มหกรรมลดราคา “หุ้นเทคโนโลยีจีน” เริ่มแล้ว ตอนจบ

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
doctorwe
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 152
ผู้ติดตาม: 0

มหกรรมลดราคา “หุ้นเทคโนโลยีจีน” เริ่มแล้ว ตอนจบ

โพสต์ที่ 1

โพสต์

maxresdefault (1).jpg
คอลัมน์: หุ้นส่วนประเทศไทย
หนังสือพิมพ์ โพสต์ทูเดย์
มหกรรมลดราคา “หุ้นเทคโนโลยีจีน” เริ่มแล้ว ตอนจบ
ดร.วีรพงษ์ ชุติภัทร์
วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต
http://www.CsiSociety.com
Add Line: @CsiSociety

เมื่อวานนี้ เราได้คุยกันไปแล้วเกี่ยวกับเหตุการณ์สงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน และได้นำไปสู่การร่วงลงมาอย่างหนักหน่วงของบรรดาหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีของจีน โดยเราคุยกันไป 3 เรื่องคือ หนึ่ง เมื่อหุ้นเทคโนโลยีของอเมริกาผงาด สอง หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีของจีนประสบกับวิบากกรรม และสาม ราคาของกองทุน ETF หุ้นอเมริกา...รุ่ง หุ้นจีน...ร่วง
วันนี้ ผมจะพาคุณผู้อ่านไปดูบรรดาหุ้นเทคโนโลยีของจีนเป็นรายตัวกันเลยนะครับ ดังนี้ครับ

- Tencent เป็นหุ้นเทคโนโลยีที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกง ราคาหุ้นได้ไต่ถึงจุดสูงสุดในเดือนมกราคมที่ผ่านมาที่กว่า 470 ดอลลาร์ฮ่องกงต่อหุ้น และทำสถิติราคาสูงสุดตั้งแต่บริษัทเข้าตลาดฯมาในปี 2547 ในไตรมาสสองที่ผ่านมา ผลประกอบการของ Tencent ตกลงมากว่า 2% และต่ำกว่าเป้าหมายที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ ผลประกอบการที่ออกมาย่ำแย่ดังกล่าวมาจากยอดขายที่ตกลงกว่า 19% โดยมีเหตุมาจากหน่วยงานจีนไม่อนุมัติเกมออนไลน์ตัวใหม่ของบริษัทในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา และน่าจะเป็นเหตุการณ์ร้ายชั่วคราวที่เกิดขึ้น ปัจจุบันราคาต่อหุ้นอยู่ประมาณ 360 ดอลลาร์ฮ่องกง ซึ่งตกลงมากว่า 20%

- Alibaba เป็นหุ้นเทคโนโลยีที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นนิวยอร์ก ราคาหุ้นได้ตกลงมาจากจุดสูงสุดเกือบ 210 ดอลลาร์ ลงมาเหลือประมาณ 180 ดอลลาร์ ท่ามกลางความกลัวว่าจะต้องประสบกับปัญหาเรื่องภาษีจากสงครามการค้า สิ่งที่น่าสนใจของหุ้นตัวนี้ก็คือ ทุกวันนี้ Alibaba มีอัตราการเจริญเติบโตในระดับ 60% ซึ่งนับว่าสูงมาก และมันก็ถูกซื้อขายในอัตราส่วนระหว่างราคาต่อหุ้น/กำไรต่อหุ้น (P/E) ประมาณ 50 เท่า ดังนั้นอัตราส่วนระหว่างราคาต่อหุ้นต่อกำไรต่อหุ้นในอนาคตหรือ PEG ก็จะอยู่ที่ประมาณ = (50/(1+60%) = 31.25 หรือประมาณ 30 เท่า ถ้า Alibaba ยังสามารถรักษาอัตราการเจริญเติบโตในระดับนี้ต่อไปได้ หุ้นตัวนี้ก็...น่าสนใจมากครับ

- Baidu หุ้นเว็บค้นหาข้อมูลที่จดทะเบียนในตลาดหุ้น NASDAQ คุณผู้อ่านหลายท่านคงทราบกันดีว่า Google ได้หยุดทำธุรกิจในประเทศจีนนับตั้งแต่ปี 2553 ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ Baidu กลายเป็นเว็บค้นหาข้อมูลเกือบจะแห่งเดียวที่ผูกขาดตลาดจีน อย่างไรก็ตาม ข่าว Google กำลังใช้ความพยายามทุกวิถีทางในการที่จะกลับมาเปิดกิจการใหม่ในประเทศจีนก็ทำให้นักลงทุนพากันกังวล ซึ่งแนวโน้มในปัจจุบันก็คือ Google ไม่น่าจะกลับมาทำธุรกิจที่จีนได้ง่ายๆ เพราะรัฐบาลจีนคงเข้ามาเซ็นเซอร์เนื้อหาต่างๆอย่างหนักหน่วง และทำให้การค้นหาข้อมูลของ Google ไม่เป็นอิสระ ซึ่งนั่นคงจะทำให้บรรดาพนักงานของ Google ไม่ยอมแน่ๆ ราคาหุ้นของ Baidu ขึ้นไปถึงจุดสูงสุดประมาณ 280 ดอลลาร์ต่อหุ้นเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา และราคาในช่วงนี้ก็ลงมาเหลือประมาณ 220 ดอลลาร์ต่อหุ้นเท่านั้น

- JD.com เป็นหุ้นเทคโนโลยีที่จดทะเบียนในตลาดหุ้น NASDAQ และเป็นหุ้น
e-commerce ที่มีมูลค่าการตลาดเป็นอันดับสองของจีนรองจาก Alibaba เท่านั้น JD.com ทำธุรกิจคล้ายกับ Amazon นั่นคือ การทำการค้าที่ได้กำไรบางเฉียบ เพื่อขยายฐานลูกค้าให้ได้มากที่สุด ทุกวันนี้ หุ้น Amazon ถูกเทรดในค่า P/E ประมาณ 170 เท่า ขณะที่ JD.com ตอนนี้ถูกเทรดด้วยค่า PEG อยู่ที่ประมาณ 60 เท่าเท่านั้น

- Weibo เป็นหุ้นโซเชียลมีเดียของจีนที่จดทะเบียนในตลาดหุ้น NASDAQ รายงานผลประกอบการในไตรมาสแรกของปีนี้ออกมาค่อนข้างดี อย่างไรก็ตาม หุ้นตัวนี้ก็ไม่สามารถหลีกพ้นกระแสการเทขายหุ้นต่างๆในตลาดเกิดใหม่ไปได้ ราคาหุ้น Weibo จึงตกลงมาจากเกือบ 140 ดอลลาร์เหลือเพียง 80 ดอลลาร์ หรือตกลงมากว่า 40% นั่นเอง สิ่งที่น่าสนใจของหุ้นตัวนี้คือ Weibo มีฐานลูกค้าที่เติบโตโดยเฉลี่ย 25% ทุกปี ในขณะที่รายได้เติบโตเฉลี่ย 70% และกำไรเพิ่มขึ้นเท่าตัวทุกปี ปัจจุบัน Weibo มีฐานลูกค้ามากกว่า 400 ล้านคน

- Hikvision คุณผู้อ่านหลายท่านน่าจะคุ้นเคยดีกับยี่ห้อนี้ดีเพราะ Hikvision เป็นที่ทำกล้อง CCTV ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ทุกวันนี้ Hikvision ได้นำเทคโนโลยีของตนมาพัฒนาสินค้าไฮเทคอีกมากมาย เช่น ที่จอดรถอัจฉริยะ ระบบการควบคุมจราจรที่มีประสิทธิภาพสูง รถยนต์ขับขี่ด้วยตัวเอง เป็นต้น ในสงครามการค้าอเมริกา-จีนที่เกิดขึ้น สินค้าต่างๆของ Hikvision ก็โดนเข้าอย่างจัง และต้องเสียภาษีนำเข้าในอัตราที่สูงเป็นประวัติการณ์ ส่งผลต่อราคาหุ้นอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ Hikvision เป็นหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ โดยมีราคาสูงสุดก่อนที่สงครามจะเกิดขึ้นอยู่ที่ประมาณ 44 หยวนต่อหุ้นในช่วงประมาณต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ราคาปัจจุบันของ Hikvison อยู่ประมาณ 30 หยวนต่อหุ้น โดยมีค่า P/E อยู่ประมาณ 30 เท่า

- Pinduoduo เป็นหุ้นที่เพิ่งออกจำหน่าย (IPO-Initial Public Offering) ในตลาดหุ้น NASDAQ และเริ่มซื้อขายวันแรกเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยมีราคาต่อหุ้นประมาณ 24 ดอลลาร์ต่อหุ้น จากนั้นราคาหุ้นก็ร่วงลงมาตามแนวโน้มของสงครามการค้าที่ดุเดือดขึ้น ทุกวันนี้ราคาของหุ้นตัวนี้เหลือเพียงประมาณ 18 ดอลลาร์ต่อหุ้นเท่านั้น หรือลดลงมาแล้วกว่า 25% Pinduoduo ทำเว็บไซต์และแอปในโทรศัพท์มือถือที่รวมเอา Social Media กับ e-Commerce มาใช้ร่วมกัน เมื่อเร็วๆนี้ได้มีการค้นพบสินค้าปลอมและสินค้าลอกเลียนแบบในเว็บไซต์นี้ จนในที่สุดก็ทำให้ Pinduoduo ต้องตัดสินใจนำรายการสินค้าออกจากเว็บไซต์ของตนมากกว่า 10 ล้านรายการ จึงเป็นอีกเหตุหนึ่งที่ทำให้ราคาร่วงลงมา จากนี้ไป Pinduoduo คงจะต้องรีบนำรายการสินค้าเข้ามาเพิ่มอย่างรวดเร็ว และนั่นหมายถึงโอกาสที่ราคาหุ้น Pinduoduo น่าจะมีโอกาสฟื้นตัวในระยะเวลาอันใกล้

- Bilibili เป็นหุ้น IPO อีกตัวหนึ่งที่เพิ่งจะออกจำหน่ายในตลาดหุ้น NASDAQ โดยเริ่มเข้ามาซื้อขายเมื่อวันที่ 29 มีนาคมที่ผ่านมา Bilibili ทำธุรกิจ Video Streaming และวีดีโอเกม นอกจากผลกระทบจากการที่เป็นหุ้นเทคโนโลยีของจีนและมีลูกค้าส่วนใหญ่เป็นคนจีน Bilibili ยังมีปัญหาอื่นอีกคือ รัฐบาลจีนได้ออกระเบียบใหม่เกี่ยวกับการทำ Video Streaming จึงทำให้ Bilibili ต้องเอาแอปของตนออกจากโทรศัพท์มือถือที่เป็นบริษัทระบบแอนดรอยด์ชั่วคราวจนถึงวันที่ 25 สิงหาคมนี้ ซึ่งทำให้ลูกค้าใหม่ๆยังไม่สามารถดู Video Streaming ผ่านโทรศัพท์มือถือได้ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นเหตุผลอีกประการหนึ่งที่ทำให้ราคาหุ้นของ Bilibili จากราคาสูงสุดเกือบ 20 ดอลลาร์ต่อหุ้นเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ร่วงลงอย่างรุนแรงเหลือประมาณ 10 ดอลลาร์ต่อหุ้นในปัจจุบัน
และนั่นคือ “มหกรรมลดราคา หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีของจีน” หวังว่าคงเป็นประโยชน์แก่คุณผู้อ่านบ้างนะครับ สำหรับคุณผู้อ่านที่คิดจะลงทุน...โปรดใช้วิจารณญาณก่อนการลงทุนทุกครั้งนะครับ ขอให้คุณผู้อ่านโชคดีในการลงทุนนะครับ

หาอ่านบทความ และความรู้ด้านการลงทุนของผู้เขียนได้เพิ่มเติมได้ที่ http://www.doctorwe.com
โพสต์โพสต์