MoneyTalk@SET27May2018หุ้นเด่น&กลยุทธ์ฝ่ากิเลสหุ้น

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
ภาพประจำตัวสมาชิก
i-salmon
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 295
ผู้ติดตาม: 0

MoneyTalk@SET27May2018หุ้นเด่น&กลยุทธ์ฝ่ากิเลสหุ้น

โพสต์ที่ 1

โพสต์

Moneytalk at SET 27/5/61

ช่วงที่ 2 “กลยุทธ์ฝ่าความร้อนรุ่มของกิเลสจากหุ้น”
แขกรับเชิญ 1. คุณ ดนัย จันทร์เจ้าฉาย 2. คุณ ชาย มโนภาส 3. ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ผู้ดำเนินรายการ ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา และ อ. เสน่ห์ ศรีสุวรรณ

Intro อ.เสน่ห์
ยามหุ้นขึ้น ระรื่นยิ้ม อิ่มเอมจิต ยามหุ้นลง ปลงชีวิต คิดหงอยเหงา
เดี๋ยวร้อนรุ่ม เดี๋ยวกลุ้มใจ ไม่บรรเทา กิเลสเร้า เข้าหรือถอย คอยพะวง
ฟังหลัก คิดจิตสบาย ได้คลายหยุด กลยุทธ์ ฝ่าร้อนรุ่ม หรือลุ่มหลง
กิเลสหุ้น วุ่นวาย ไม่มั่นคง ได้ยืนยง ลงทุนยาว เข้าตำรา
คุณดนัย ใจยึดมั่น จันทร์เจ้าฉาย รู้ความหมาย ใช้ชีวิต จิตหรรษา
ไวท์โอเชียน เขียนให้อ่าน ผ่านสายตา มีธรรมา ในหัวใจ ไร้เงินทอน
คุณชาย โก้ มโนมาส มาดสุขุม นายกหนุ่ม ไทยวีไอ ไม่หยุดหย่อน
เลือกหุ้นดี ซีจีเด่น เป็นขั้นตอน ไม่รุ่มร้อน ช้อนหุ้นชัวร์ ไม่กลัวช้า
ดร.นิเวศน์ เหมวชิร วรากร ไม่เคยคลอน หลักวีไอ ใช้ฟันฝ่า
หลบรุ่มร้อน อย่างไร ใช้วิชา รู้รักษา ตัวรอด เป็นยอดดี
ดร.ไพบูลย์ บ้านหมุนบ่อย อยากปล่อยของ ให้มุมมอง การลงทุน หุ้นวิถี
ทันกิเลส ทันโลภา มาราวี เตรียมพร้อมพลี เมื่อความตาย หมายมาเยือน

Intro อ.ไพบูลย์
จากการสอนหนังสือมา 30 ปี ทั้งเมืองนอกและเมืองไทย วิชาการทั้งหลาย
ที่ไปสร้างความเจริญความมั่งคั่งต่างๆ คิดว่าวิชาที่มีสาระน้อยที่สุด คือ บริหารธุรกิจ
และในวิชาบริหารธุรกิจ ที่สร้างกิเลสทางลบมากสุด คือวิชาการเงิน
เพราะเป็นตัวเลขเดิมไม่ได้สร้างอะไรเพิ่ม แต่ไปคิดให้มันพองออก
และในวิชาการเงิน วิชาที่แย่ที่สุด คือ การลงทุนในหุ้น
เมื่อก้าวเข้าสู่ตลาดหุ้นจะมีแต่กิเลส หุ้นขึ้น อยากให้ขึ้นอีก โลภ ถ้าขายไปก่อนก็ โกรธ หุ้นตกก็โกรธ
สัมมนาวันนี้จึงเป็นแนวทางจะทำอย่างไรให้เดินทางในสายที่สงบเย็นได้

กิเลสคืออะไร?
คุณดนัย กิเลส คือ ความไม่พอใจในสิ่งที่มี ความไม่ยินดีในสิ่งที่ได้
ภาษาธรรมะ กิเลสแปลว่าธรรมที่เป็นเครื่องเศร้าหมอง มี 16 ตัว
เป็นสิ่งที่เกิดกับตัวกับใจเราแล้วรู้สึกไม่พอ ไม่สบายใจ ตรงกันข้ามกับธรรมะอยู่ข้อหนึ่งคือ
จงพอใจในสิ่งที่มี จงยินดีในสิ่งที่ได้
อยากให้ลองสังเกตว่าตัวเราเองอยู่ตรงไหน….
ถ้าเราพอใจ สภาวะที่เกิดข้างนอกจะไม่กระทบกับเราเท่าไร ใจเราจะไม่แกว่งขึ้นแกว่งลง
ลองสังเกตใจในวันที่หุ้นขึ้นลงมากๆ เป็นการทำงานของกิเลส แสดงว่าเราฝากชีวิตฝากหัวใจไว้กับข้างนอก
ถ้าไม่ได้เอาใจของเราไว้กับตัวเราเอง ปัจจัยภายนอกเป็นสิ่งที่คาดการณ์ได้ยากที่สุด
ทุกวงการเกิดเรื่องราวตลอดเวลา อย่างเรื่องลบที่เกิดขึ้นในวงการศาสนา
สิ่งที่เป็นข้าศึกต่อพรหมจรรย์ที่ทำให้พระไม่เป็นพระมี 2 ข้อ คือ สตรี กับ สตางค์ แต่เบื้องหลังก็คือ กิเลส นั่นเอง

กิเลสที่เกี่ยวกับหุ้นมีอะไรบ้าง?
คุณชาย มีเซียนหุ้นท่านหนึ่งเคยบอกไว้ว่า นักลงทุนหุ้นมีความสุขยาก
เวลาได้กำไรมา แสนนึง ก็ไม่มีความสุขอยากได้สองแสน
นักลงทุนจะมีความสุขได้ คือ ดาวเคราะห์ในจักรวาลต้องเรียงตัวมาเส้นเดียวกัน
คือ ซื้อได้จุดต่ำสุด ขายได้จุดสูงสสุด พอขายแล้วก็ต้องให้หุ้นลงไป จะได้ซื้อได้อีก
ซึ่งความจริงยากที่จะทำได้
มีคำพูดของ ชาลี มังเกอร์บอกว่า ความโลภไม่ได้เป็นตัวขับเคลื่อนโลภใบนี้
แต่กิเลสที่ผลักดันโลกใบนี้ที่แท้จริงคือ ความอิจฉา
ซึ่งก็อีกคำกล่าวหนึ่งว่า สนามหญ้าหน้าบ้านคนอื่น มักเขียวกว่าของตนเอง
ผลงานของคนอื่นดูน่าอิจฉาไปหมด เห็นรายชือคนอื่นติดผู้ถือหุ้นใหญ่ เห็นโพสต์โชว์พอร์ตในหน้าเฟซบุ๊ค
คนที่เห็นก็ใจร้อนรุ่นคนอื่นกำไรหลายร้อยเปอร์เซ็นต์แต่เราขาดทุน
มีคำกล่าวว่า ถ้าท่านหาความสุขในปัจจุบันไม่ได้ ก็อย่าหวังว่าจะหาความสุขได้ในอนาคต
เพราะความสุขที่แท้จริงอยู่ที่ปัจจุบัน ไม่ใช่ต้องพอร์ตสิบล้านพันล้านแล้วจึงจะมีความสุข ความสุขอยู่ที่ความเป็นปกติของจิต
ขณะที่นั่งฟังสัมมนาอยู่นี้จิตเป็นปกติ แต่พอตลาดหุ้นเปิดจิตก็ไม่ปกติ
หรือมีคนขับรถปาดหน้าก็ไม่ปกติ หรือสามีกลับบ้านช้าก็จิตฟุ้งซ่าน เพราะเอาใจไปยึดกับสิ่งภายนอก
ประวัติคนที่ประสบความสำเร็จมากมายในโลก ล่าสุดได้ดูซีรีย์พระเจ้าหลุยส์ที่ 14
อยู่พระราชวังแวร์ซายสวยงามโอ่อ่าแต่ไม่ได้มีความสุข ต้องหวาดระแวงตลอดเวลา
มันไม่ได้เกี่ยวว่ามีเงินมากจะมีความสุข ไม่ต้องรอมีพอร์ตเป็นพันล้านจึงมีความสุข บางทีจุดที่ไปถึงไม่ใช่เส้นชัย
การลงทุนจะมีความสุขต้องมีธรรมะประกอบด้วย ต้องมีสติ ต้องมีสมาธิ
ลองค้นหาคำว่า Mindfulness มีหลายคอร์สของฝรั่งมากหมายที่สอนเรื่องเหล่านี้

หรือองค์กรหลายแห่ง เช่น google ก็มีห้องให้พนักงานนั่งสมาธิ
หรืออย่าง MBA ของมหาวิทยาลัย จอร์จทาวน์ หรือ NYU ก็ให้ความสำคัญ
มีบทความใน Harvard Business Review เขียนถึงว่า ทำไม มหาวิทยาลัย NYU จึงสอนสมาธิในคอร์ส
อยากฝากว่า ว่าเรื่องเหล่านี้สำคัญ การลงทุน,การปฏิบัติธรรม เป็นเรื่องเกี่ยวเนื่องกัน เพื่อความสุขที่แท้จริง

ดร.นิเวศน์ เสริมว่า ตั้งแต่เป็นลูกศิษย์ Richard Dawkins ได้ปฏิบัติความคิดใหม่
มีหนังสือดังชื่อว่า selfish gene ใจความในหนังสือบอกว่า ที่จริงแล้ว พวกเราไม่ได้ เป็นเจ้าของชีวิตเราเอง
คนที่เป็นเจ้าของชีวิตคือ คุณ gene แต่เราเป็นเครื่องมือที่จะพา gene เอาตัวรอด
และเผยแพร่เผ่าพันธ์ให้มีโอกาสรอดสูงสุด และ คุณ gene จะสร้างตัวเอง วิวัฒนาการไปเรื่อย
ทำให้มี คุณสมบัติบางอย่าง เช่น สัตว์ทุกชนิดจะต้องมีความโลภ ไม่เช่นนั้นสัตว์ตัวนั้นจะตายไปหมด
สัตว์ที่ต้องอยู่ได้คือมีความโลภ รวมถึงความกลัวก็ต้องมี ถ้ามีแต่ความโลภอย่างเดียวก็ตายไปหมดแล้ว
ดังนั้นจะไม่ให้คนโลภทำไม่ได้ เพราะคุณ gene เป็นผู้สั่งให้เราทำ
ดังนั้นจึงป่วยการที่จะให้ลดความโลภลงไป ทุกคนถูกใส่ไว้แล้ว
คนหนึ่งอาจมีความโลภ 10 หน่วย อีกคนอาจมีความโลภ 12 หน่วย ทุกคนมีความโลภทั้งนั้นแตกต่างกันไม่มาก
ความกลัวก็เช่นเดียวกัน ถ้าไม่มีเจอเสือมาก็ตายหมดแล้ว
นอกจากนั้น อารมณ์ความใคร่ คนที่ไม่มีความใคร่ตายหมดแล้ว ต้องเข้าใจตรงนี้
หน้าที่เราคือ เอาคุณ gene ให้รอดให้ได้ ไม่เช่นนั้นจะสูญพันธ์หมด
บางคนมุ่งไปที่เรื่องบางอย่างมากเกินไปอันตรายมาก ต้องมีหลายๆอย่างกระจายความเสี่ยง
กระจายความโลภออกไป บางคนเล่นหุ้นอยากได้มากๆเร็วๆ ต้องใช้มาร์จิ้น ต้องใช้ DW หรือ future เยอะๆ
ฝากไว้ว่าถ้าโลภเกินไปหรือหนักเกินไปก็อาจจะตายได้

คุณดนัย มีข้อมูลเรื่องมนุษย์สมัยดึกดำบรรพ์มี 2 สาย
ยีนส์สายที่มีความเห็นแก่ตัวอยู่ไม่ได้ ยีนส์ที่มีความเกื้อกูล เอื้อเฟื้อจะอยู่ได้
เคยศึกษาหนังสือของ ชาลส์ ดาร์วิน ชื่อ The origin of species
มีสายที่อยู่รอดได้จะมีความโดดเด่นอยู่ข้อหนึ่งคือ adaptability ความสามารถในการปรับตัวเอง
ซึ่งมนุษย์มียีนส์หลายตัวและมีสัญชาตญาณบางอย่าง โดยเฉพาะ แกนกลางสมองเหมือนกัน เดรัชฉาน
แต่มนุษย์เป็นสัตว์สายพันธ์เดียวที่ตัวตั้งตรง
ซึ่งจากการวิจัยในทางสมอง แพทย์วิจัยพบว่า อะมิกดาล่า(แกนกลางสมอง)
คือส่วนที่มีความกลัว ความโลภ ซึ่งมนุษย์ที่มีการฝึกเจริญสติ อามิดาล่าจะเล็กลง
และนิวรอนที่เป็นตัวเชื่อมกับสมองที่รับความเจ็บปวดจะตัดหมดเลย
เคยได้กราบพระอาจารย์ท่านหนึ่ง ไปผ่าฟันคุดทีเดียว 4 ซี่ โดยไม่ใช้ยาชาอะไรเลย
พระอาจารย์นิ่งเฉย แต่หมอฟันผู้ผ่าตัดกลับสั่น เป็นผลของคนที่ฝึกสติ
ประเด็นคือ เราจะพัฒนาเป็นแบบนั้นไหม หรือจะคงสภาพไว้เหมือนเดิม
วิชา mindfulness มหาวิทยาลัยฝรั่งมีให้เรียน online ด้วย ประเทศเรากำลังผลักดัน
มีที่เกษมบัณฑิต และ ม.รังสิต เรียกว่า mindfulness 5.0 มาจาก
แผนแม่บทคุณธรรมแห่งชาติฉบับที่ 1 ปี 59-79 เป็นคุณสมบัติ 4 ประการ
ตามรอยพ่อหลวงรัชกาลที่ 9 พอเพียง วินัย สุจริต จิตอาสา
จึงตั้งชื่อเล่นว่า 4.0 + 1 คือความรับผิดชอบด้วยเป็น 5.0
ซึ่งเชื่อว่าถ้าคนมีคุณสมบัติเหล่านี้ ทั้งคนไทยและตลาดหุ้นไทยจะเจริญแน่นอน

คุณสมบัติหุ้นที่กระตุ้นคนให้มีกิเลสเป็นอย่างไร?
คุณชาย หุ้นไม่ได้เป็นกิเลส แต่จิตของนักลงทุนที่ไปซื้อหุ้นเป็นกิเลส
หลายครั้งตลาดก็ทำให้เห็นแล้วว่า ความจริง กับสิ่งที่คิดไม่เหมือนกัน
ทุกวันนี้มีคนเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นมาก มองอะไรเหมือนจะสวยหรูทุกอย่าง
เคยทำงานในบริษัท หัวหน้าบอกว่าจะเติบโต 20% พนักงานโวยวายกันว่าทำได้ยาก
แต่นักลงทุนรุ่นใหม่มาก็หวังโต 50% โตมากมาย ซึ่งไม่ได้ง่าย มี margin มีเครื่องมือ leverage มากมาย
บางเครื่องมือมีไว้บริหารความเสี่ยง แต่นักลงทุนไปใช้ผิดๆ
ถ้าอยากลงทุนแล้วรวยเร็วๆ ได้หลายเด้งในไม่กี่ปี เป็นความเสี่ยงมาก
มีเรื่องเล่าจากไบรอันเชสกี้ ว่า ครั้งหนึ่งบนโต๊ะสนทนา
Jeff Bezos เคยถาม Warren Buffettว่า “คุณรวยอันดับ 2 ของโลก
แต่พูดหลักการลงทุนหุ้นเป็นเรื่องที่ฟังแล้วง่าย แต่คนส่วนใหญ่ไม่ประสบความสำเร็จเหมือนคุณ”
Buffett ตอบว่า “เพราะคนส่วนใหญ่อยากรวยเร็ว ทนที่จะรวยช้าๆไม่ได้”
เคยเล่นเกมตู้รถแข่ง มันจะมีเกียร์ High กับ Low ซึ่งถ้าใส่เกียร์ High ตลอดไม่มีทางถึงเส้นชัย
เพราะจะมีโค้ง มีอุปสรรค แต่นักลงทุนหลายคนกลับใส่เกียร์ High ตลอด
ซึ่งก็เหมือนกับการลงทุน อย่าให้กิเลส ความต้องการรวยเร็วๆครอบงำ
ถ้าทุกคนได้ผลตอบแทน 5 เด้งกันหมด ก็จะไม่มีใครรวย ชีวิตจริงไม่ได้ง่ายขนาดนั้น

ดร.นิเวศน์ ขอพูดต่อเรื่อง ยีนส์
ยีนส์ มีการปรับตัวมีพฤติกรรมมานานแล้ว แต่เปลี่ยนช้ามาก ทุกวันนี้ก็เหมือนสมัยหมื่นกว่าปีที่แล้ว
ประเด็นคือ ยีนส์เปลี่ยนช้ามาก แต่สังคมเปลี่ยนไปเร็ว ยีนส์ทุกวันนี้ไม่เหมาะกับคนยุคใหม่
เช่น ยีนส์บอกว่าต้องกลัวเมื่อเจอสิ่งอันตราย สมัยก่อนก็คือถ้าเจอเสือก็ต้องหนีเลย
คนที่มัวแต่คิดมากก็โดนเสือกินก่อน ถ้าเปรียบเป็นตลาดหุ้นคือ หุ้นตกก็ให้รีบขายเลย
คนเหล่านี้รอดตาย แต่ปัจจุบันสิ่งเหล่านี้อาจจะไม่เหมาะแล้ว
คนที่ panic เมื่อหุ้นตกแล้วขายทันทีอาจจะไม่รอด แต่คนที่คิดหนักอาจจะรอดแทน เพราะทำตรงกันข้ามกับคนส่วนใหญ่
เห็นด้วยตามที่คุณดนัยบอก ว่าจิตที่ฝึกแล้ว สามารถช่วยได้ สามารถฝืนลดความโลภ ในยามที่คนโลภกันหมด
ลดความกลัว ในยามที่ทุกคนกลัวกันหมด แต่จะเป็นคนส่วนน้อย ไม่ใช่ทุกคนคนฝึกได้กันหมดเพราะ ยีนส์คือเจ้านาย เราคือผู้ปฏิบัติ
ถ้าเราเป็นคนเก่ง เราก็จะบอกยีนส์ได้ว่า ใจเย็นๆ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาขายหุ้น
นี่คือเวลาซื้อหุ้น พยายามฝึกให้ทำในสิ่งที่เหมาะสม แต่ไม่ได้ทำตามยีนส์
สมัยนี้เราไม่ต้องคอยสู้กับเสือแล้ว ก็ไม่ต้องกลัวแบบเดิม และก็ไม่ต้องโลภเหมือนเดิม
คนที่มีเป็นพันล้านก็อาจไม่ได้เผยแพร่เผ่าพันธ์ได้มากขึ้น เพราะมันเป็นส่วนเกินแล้ว ยุคนี้ต้องใจเย็นๆ ใช้เหตุใช้ผล
อ.ไพบูลย์ สรุปว่า ธรรมชาติคนจะมียีนส์ที่มีความกลัว หุ้นตกก็รีบขายก่อน
เราต้อง ฝึกสติให้รู้ว่าเวลาคนอื่นขาย อย่าไปขายตามเขา ต้องสู้กับยีนส์แล้วทำตรงกันข้าม
เมื่อหุ้นตกก็อย่าเพิ่งรีบขาย พิจารณาและหาจังหวะซื้อ

เวลาหุ้นตกทำอย่างไร? จะผ่านความรู้สึกอย่างไร?
ดร.ไพบูลย์ อย่างแรกอย่าให้เมียรู้ว่าขาดทุนหุ้น กำไรบอกได้ ขาดทุนให้บอกนิดหน่อย (ในใจเหลือนิดหน่อย)
อย่าให้เขาเข้ามาร่วมในการตัดสินใจของเรา การควบคุมยีนส์ การตัดสินใจของเขาและเราอาจไม่เหมือนกัน
อย่างที่สอง เวลาหุ้นตกหลายคนคิดว่าแย่แล้ว เมื่อเช้าได้ดูคลิป
เด็กผู้ชายไม่มีแขนไม่มีขา เวลาไปไหน ต้องพลิกหมุนตัวไป มีความสุขไม่ต้องลงทุนก็ได้
สิ่งที่ควรทำเมื่อหุ้นตกก็ดูว่าคนอื่นเป็นอย่างไร ดูที่เราโชคดียังได้ลงทุนหุ้น
ได้มาฟังสัมมนา แต่คนมากมายไม่มีโอกาส เวลาสอนนักศึกษาจะบอกว่าเวลารู้สึกว่าชีวิตแย่
ให้ลองไปบ้านเด็กปัญญาอ่อนและพิการแถวรามอินทรา เขายังสู้ชีวิตได้เลย
แต่เรา มีแขนขาครบ มีปัญญาลงทุน มีปัญหาหนักหนาอย่างไรก็สามารถเริ่มใหม่ได้
เรื่องที่เราขาดทุนหุ้นเป็นเรื่องเล็กนิดเดียว เงินไม่ใช่ชีวิต หุ้นไม่ใช่ชีวิต อย่างอื่นถึงเป็นชีวิต

ผู้ปฏิบัติธรรมลงทุนได้ไหม? เล่นหุ้นแล้วไปปฏิธรรมดีไหม?
คุณดนัย คิดว่าไม่ขัดแย้งกัน พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสห้ามไว้
สิ่งที่ตรัสห้ามไว้เช่น ค้าขายอาวุธ อบายมุข ซึ่งส่วนใหญ่ตลาดหลักทรัพยบ้านเราก็คัดบริษัทที่ดี ส่งเสริมสังคม
เวลาลงทุนหุ้นก็ดูใจว่า พอง หรือแฟบไปไหม ใจขึ้นใจตก คือไม่ดี
เป้าหมายสุดท้ายเราต้องการความสุข อย่าปล่อยให้ความสุขขึ้นกับผลลัพธ์ที่แสดงขึ้นมาต่อวัน
ให้ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับคุณค่า หน้าที่เราคือรักษาใจให้เป็นปกติและมีความสุข
วอรเรน บัฟเฟตต์ เป็นตัวอย่างที่น่าชื่นชม แม้ไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ แต่เชื่อว่ามีความเป็นพุทธมาก
ใช้ชีวิตสันโดษ สมถะ รู้จักแบ่งปันเพราะเขาเอาไปหมดไม่ได้อยู่แล้ว
เป็นแรงบันดาลใจให้กับบิล เกตต์ และบิล เกตต์ ก็เป็นแรงบันดาลใจให้กับซัคเคอร์เบิร์คต่อ
ความสุขไม่ได้เพิ่มขึ้นจากสิ่งที่เขามี ซึ่งต้นแบบที่ชัดเจนที่สุดคือพระพุทธเจ้าทรงเริ่มจากการมีทุกอย่าง
เป็นเจ้าชายมีความร่ำรวย ไปสู่ความไม่มี แต่พวกเราจากไม่มี อยากจะมี ซึ่งปลายทางสุดท้ายคือไม่มีอยู่ดี
ดังนั้นระหว่างทางอย่าให้ใจของเราเด้งขึ้นเด้งลงมากไป

เวลาหุ้นขึ้นควรทำใจอย่างไร เวลาหุ้นลงควรทำใจอย่างไรจึงไม่ร้อนรุ่นจากกิเลส
คุณชาย เวลาลงทุนในหุ้น สังเกต เมื่อไรที่สุขจนเหิมใจนั่นผิดแล้ว เมื่อไรที่เศร้าจนหมองใจผิดแล้ว
ขอให้มีสติตามรู้อารมณ์ของเราตลอดในการลงทุน จิตใจเป็นอย่างไร มีความสุข มีความโลภไหม
ถ้ามีสติตลอดจะเห็นความเปลี่ยนแปลงของใจ อารมณ์ดีเดี๋ยวก็หายไป อารมณ์ไม่ดีเดี๋ยวก็หายไป
จะเห็นว่าความสุขจากหุ้นขึ้นไม่แน่นอน เสียใจจากหุ้นลงก็ไม่แน่นอน
ส่วนตัว คุณแม่เสียเมื่อสิบปีที่แล้ว ก็เสียใจ แต่ความเสียใจหายไปแล้ว
เคยกำไรหุ้น 5 เด้งในเวลาไม่นาน แต่ความดีใจก็หายไปแล้ว
ท่านยังจำความเสียใจที่เลิกกับแฟนคนแรกได้ไหม จะเอาอารมณ์นั้นกลับมาไม่ได้แล้ว
จะดีใจหรือเสียใจเราทำอะไรไม่ได้ อย่าไปสนใจมันมาก รับรู้ไปเรื่อย ดูไปเรื่อย
สุดท้ายเราจะไม่สนใจมัน อยู่กับปัจจุบันไปเรื่อยเราก็จะพบความสุขที่แท้จริง
ให้มีสติอยู่เสมอ จะมีปัญญาตามมา จะช่วยให้ความสุขในชีวิตง่ายขึ้น ไม่ขึ้นกับสิ่งภายนอกเหมือนแต่ก่อน
ไม่ต้องเป็นความสุขที่มีข้อแม้ อยากให้ลองทำดู

สรุปปิดท้าย
คุณดนัย วันนี้ได้คีย์เวิร์ดสำคัญจากหลายท่าน อยากเลือกคีย์เวิร์ดที่ได้จากอ.นิเวศน์ ให้เราฝืนใจ
ที่เวลาให้คนอื่นขายกันเราต้องรอก่อน ในการปฏิบัติ สมองจะทำให้เราคิด แต่จิตจะทำให้เรารู้
ถ้าเราอยู่กับจิตเราบ่อยๆ จิตเราจะเหนือกว่าสิ่งที่เป็นกระแสที่กำลังเกิดขึ้น
คือ อย่าไหลไปตามกิเลส ทำตัวเป็นศิลาในน้ำเชี่ยว คนอื่นจะทำอะไรก็ทำไป แต่เราต้องอดทนได้
การฝืนใจเป็นการตัดภพตัดชาติ
ภาษาอังกฤษเรียกว่า the road less travel ถ้าเราเลือกไปในเส้นทางที่คนสัญจรน้อยกว่า
ผลลัพธ์ต่างแน่นอน การฝืนใจเป็นการปฏิบัติขั้นปรมัต บุคคลธรรมดาไม่ได้
เราจะฝ่าความร้อนรุ่มของกิเลสได้
อ.ไพบูลย์ รายการ money talk มีวัตถุประสงค์ให้ความรู้กับเราในทุกด้าน
ทั้งการลงทุนก็ลงทุนให้ดี ประสบความสำเร็จ ยิ่งเราประสบความสำเร็จก็ยิ่งห่างจากคนเฉลี่ยออกไป
ซึ่งสัมมนาอย่างวันนี้ก็อยากให้เป็นประโยชน์ให้ช่องว่างตรงนั้นแคบลง

ช่วงที่ 1 ทางพี่อมร จะเป็นผู้สรุปให้นะครับ


ขอบพระคุณ อ.ไพบูลย์ อ.เสน่ห์ อ.นิเวศน์ หมอเค น้องเมย์ พี่นุช พี่แป๋ม น้องคิม และstaff ทุกท่านที่ผมอาจไม่ได้ทราบชื่อ
ขอบพระคุณแขกรับเชิญ ผู้บริหารทั้ง 4 บริษัท, พี่ชาย, คุณดนัย และผู้สนับสนุนทุกท่านครับ
Go against and stay alive.
amornkowa
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2610
ผู้ติดตาม: 257

Re: MoneyTalk@SET27May2018หุ้นเด่น&กลยุทธ์ฝ่ากิเลสหุ้น

โพสต์ที่ 2

โพสต์

MoneyTalk@SET 27 พค 2018 ช่วงที่1

อ ไพบูลย์ แจ้งกำหนดการ MoneyTalkคราวหน้า วันอาทิตย์ที่ 10 มิย 2018
ช่วงที่1 หุ้นเด่นต้องจับตา
1. คุณ ปรียนาถ สุนทรวาทะ CEO BGRIM
2. คุณ ภัคพล เลี่ยวไพรัตน์ CFO TPIPP
3. คุณ สุวิทย์ ยอดจรัส CEO AUCT
4. คุณ ทรงพล ชัญมาตรกิจ CEO TVD
หัวข้อสอง ทำไมวิกฤตถึงจะมา และ หากวิกฤตมา จะต้องทำอย่างไร
1. คุณ ปริญญ์ พานิชภักดิ์ บล CLSA
2. คุณ สมจินต์ ศรไพศาล บลจ ทหารไทย
3. คุณ มนตรี ศรไพศาล บล MBKET
4. ดร นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ผู้เชี่ยวชาญการลงทุน

ส่วนเดือนกรกฏาคม ก็มีงานMoneyTalk ดังนี้
วันที่ 1 กค มีงาน MoneyTalk@MAI จัดที่ Centara @ Central World และ วันที่ 14 กค MoneyTalk@SET

เริ่มเข้าเนื้อหาสัมมนา
หัวข้อแรก หุ้นเด่นต้องจับตา


1.คุณ อัญรัตน์ พรประกฤต CEO Jubilee
2.คุณ ทรงวิทย์ ฐิติปุณญา CEO ASAP
3.คุณ ปิยะ พงษ์อัชณา Director JMT
4.คุณ ธิดา แก้วบุตตา ผู้บริหารฝ่ายกลยุทธ์SAWAD

อ เสน่ห์ บอกว่าหุ้นเด่นเหล่านี้ต้องจับตา เป็นหุ้นที่ใกล้ชิดกับรายการ ส่วนใหญ่เป็นสปอนเซอร์
วันนี้ท่านผู้ชมจะได้ฟังเรื่องราว และ พัฒนาการ หรือ แผนการของบริษัททั้ง4บริษัท
หมอเค เสริมว่า ตอนนี้สภาวะตลาดหุ้นได้แบ่งนักลงทุนออกเป็นสองกลุ่ม
กลุ่มแรก เก็บเงินสด ( หมายถึงขายหุ้นออกไปหมดแล้ว )
กลุ่มที่สอง ติดดอยอยู่ข้างบน กลุ่มนี้จะเปลี่ยนการลงทุนเป็นแบบอื่นได้ไหม
ให้ผู้ชมได้ฟังและคิด แล้ววิเคราะห์เพื่อไปตัดสินใจในการลงทุนต่อไป

เริ่มจากการเข้าใจธุรกิจก่อน คุยทีละบริษัท และ รับทราบผลประกอบการของธุรกิจ

1 .ASAP

คำถาม หมอเคเกริ่นก่อนว่า บริษัท ASAP มาขึ้นเวทีครั้งแรก อยากให้ASAPแนะนำธุรกิจก่อน
เราทำธุรกิจรถเช่า ประเภทอะไรบ้าง เหมือนหรือแตกต่างจากธุรกิจคู่แข่งอย่างไร

คุณ ทรงวิทย์ เล่าว่า บริษัทASAPทำธุรกิจให้เช่ารถ
บริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์มาปีกว่า โดยบริษัทเริ่มจากให้เช่าระยะยาวก่อนเมื่อ 11 ปีก่อน
ในอดีตการลงทุนเครื่องจักรต้องใช้เงินทุนมาก ปัจจุบันต้องเปลี่ยนแปลง ทั้งหน่วยงานเอกชน
และ หน่วยงานราชการ ก็เปลี่ยนการซื้อเป็นการเช่า
ตอนนี้เรามีให้เช่ารถระยะสั้นที่สนามบินที่AOTบริหารทั้ง7แห่งในไทย ใช้ชื่อ ASAP
บางที แตกเป็นการให้เช่าระยะสั้น ใช้ชื่อ asap GO และสามารถไปคืนต่างสถานที่ได้
มีโปรแกรมที่จะคำนวณระยะทาง ค่าใช้จ่ายอยู่ใน smart phone ต่อมาบริษัทจะมีแผนเปิดแฟรนไชส์ให้เช่ารถ
สมัยก่อน ผมเป็นDealer แบรนด์ Nissan ต่อมาทำDealer แบรนด์Toyota ในกรุงเทพ
ตอนนี้สัดส่วนPortfolio 90% เป็นการเช่าระยะยาว อีก 10%เป็นการเช่าระยะสั้น
ลูกค้าหลัก เป็นหน่วยงานเอกชน 80% ที่เหลือเป็นราชการ 20%
บริษัทเราพึ่งเข้าตลาดมา ขยายรถมากกว่าคู่แข่ง เราไม่ได้พึ่งเติบโตตอนเข้าตลาดหลักทรัพย์
แต่เราเติบโตมาตั้งแต่5ปีก่อน คิดเป็นเติบโตปีละ 20กว่า%
ต้นทุนต่อหน่วยในการเช่าดีกว่าซื้อแน่นอน ทำให้เราเสนอให้กับเอกชนเช่ารถแทน

คำถาม เคยได้ยินว่า ASAP มากับtrendของโลก ช่วยอธิบายให้ผู้ชมฟังได้ไหมครับ
คุณทรงวิทย์ตอบว่า เป็นเทรนของโลกนี้จริงๆ หลายองค์กรคิดได้เองโดยไม่ต้องชี้นำ
นักท่องเที่ยว ครึ่งนึง ที่มาเอง ก็มีการbookingการเช่ารถมาล่วงหน้า โดยมีใบขับขี่สากล
คนที่ขับพวงมาลัยซ้ายมาไทย ก็สามารถปรับตัวได้ในที่สุด ไม่น่าจะมีปัญหา

คำถาม มีการตัดราคาจากคู่แข่งใช่ไหม ลูกค้ามาจากการแย่งลูกค้าเจ้าอื่นใช่ไหม
ปกติมี retention rate กี่% เกิดอะไรขึ้นถ้าเช่า5ปี แล้ว ลูกค้ายกเลิกสัญญาก่อน
คุณทรงวิทย์ อ้างถึงมือถือ สมัยก่อนค่าโทรคิดเป็นนาทีละ3-30 บาท เหมือนจ่ายค่าโทรไปเมืองนอก
ทุกธุรกิจ price warเป็นเรื่องปกติ
จริงๆลูกค้าส่วนใหญ่ที่เข้ามาเป็นลูกค้าใหม่ เรามีportfolio หมื่นกว่าคัน โดย 70-80%เป็นลูกค้าใหม่
สัญญามีตั้งแต่ 2 ปีขึ้นไป แต่ที่เหมาะสมคือสัญญา 4 ปี retention rate 80%กว่าๆ
เป็นการแข่งขันเรื่องการให้บริการมากกว่าเรื่องราคา
ลูกค้าประเภทองค์กร 80% มาจากธุรกิจ E-commerceซึ่งมาแรงมาก เช่น ค้าปลีก
เรามีทุกแบรนด์ แต่แบรนด์หลักเป็น Toyota ในแง่การจัดการบริหาร และ ต้นทุนเราทำได้ดีกว่าคู่แข่ง

คำถาม บริษัทแข่งขันกับ AVIS หรือ แบรนด์ต่างประเทศอย่างไร ความโดดเด่นของASAPคือเป็นผู้เล่นที่ขยายfleetรถ
จำนวนมากอย่างรวดเร็วกว่าคู่แข่งมากๆ ASAPมองเห็นโอกาสอะไรไหม
กลัวไหมว่าการขยายมากๆจะเกิดoversupplyไหม
คุณทรงวิทย์ตอบว่า แบรนด์เราเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น เป็นการจัดการเรื่อง product
Challengeกับลูกค้าว่า ถ้าลูกค้าเอารถไปใช้ แล้ว mile เกิน 50,000 ให้ใช้ฟรี
ตอนนี้เรามีfleetรถ 10,000 กว่าคัน เราสามารถดึงรถมีไมล์เกินห้าหมื่นไมล์ออกและ นำรถไปทดแทนได้
ปกติเจ้าอื่น จะต้องใช้ให้คุ้มก่อน เช่น สี่ปี ตัดค่าเสื่อมหมดแล้วค่อยเอาไปขาย แต่เราไม่ได้คำนึงถึงค่าเสื่อมในการให้บริการ
Partner เรามีแค่ Toyota เป็นหลัก ส่วนยี่ห้ออื่น เราก็ได้ราคาพิเศษ เช่นรถยุโรปซื้อทีละสิบคัน ได้ราคาดี
ส่วนเรื่องการประกันภัย คือ บริษัทเมืองไทยประกันภัย และ แอกซ่าประกันภัย ก็ดูแลให้เรา
AOTมีสนามบิน 7 ที่ ที่เราให้บริการอยู่ และเขาเริ่มมีการขยายสนามบินออกไปอีก

2 Jubilee

ถาม เราเจอคุณอัญทุกปี อยากให้คุณอัญupdateว่า 1 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ Q2 17 – Q1 18
ผลการดำเนินงานดีมาตลอด ทั้งที่มีแต่คนบอกว่า เศรษฐกิจไม่ดี ช่วยอธิบายว่าดีจากอะไร

คุณอัญตอบว่า เรามีการนำข้อมูลมาบริหารจัดการ เราเก็บข้อมูลจาก 125 สาขาทั่วประเทศ
นำข้อมูลเหล่านั้นมาพัฒนาทุกส่วนขององค์กร
เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ไหนที่ลูกค้าชอบ
เรามีนวัตกรรม เช่น Celebrity of Love
จี้เพชรหนึ่งแบบ ใส่ได้สองแบบ ตัวอย่างเช่น จี้เพชรราคา 22,900 บาท ใส่ได้สองรูปแบบ
เราจะเพิ่มvalue added ให้กับ product ได้อย่างไร
แหล่งผลิตของเพชรมาจากเบลเยี่ยม ซึ่งเป็นแหล่งผลิตเพชรที่ดีที่สุดของโลก
บริษัททำงานร่วมกับบริษัทญี่ปุ่นที่มีนวัตกรรม และ มี value added
อีกส่วนคือการสร้างความพึงพอใจให้ลูกค้า ลูกค้าสามารถfeed back ให้เราอย่างreal time
การทำทั้งหลายภาคส่วน รวมถึงการปรับเปลี่ยนโครงสร้างขององค์กร เราต้องกระชับเข้ามา
ให้การบริการให้ทันท่วงที เราต้องมองทุกรายละเอียดที่สำคัญ แก้ไขกลยุทธ์เพื่อตอบโจทย์ของลูกค้า
ปัจจุบัน บริษัททำเครื่องประดับ เราแก้ไขภายในองค์กร
ตลาดเครื่องประดับเพชร ภายในประเทศและต่างประเทศยังเติบโต
มีdemandเข้ามามากกว่าsupply แหล่งข่าวจากเดอ เบียร์ บอกว่า จีนมีความชอบเครื่องประดับเพชรมากขึ้น
สมัยก่อน คนรุ่นนั้นคิดว่าเป็นการลงทุน แต่จากการวิจัย คนจีนรุ่น millioniam
การใส่เครื่องประดับจะบ่งบอกตัวเขาเอง ซึ่งล้อตามเทรนของอเมริกา
ตอนนี้นักท่องเที่ยวจีนก็มาซื้อเครื่องประดับ ซึ่งอยู่ในส่วน 5%ของทั้งหมด ที่เหลือ 95% เป็นคนในประเทศมาซื้อ
Sparking club มีสมาชิก140,000 กว่าราย มีการซื้อซ้ำจากสมาชิกเก่าประมาณ 60% ซื้อซ้ำทุกสองปี
และ อีก 40% เป็นการซื้อใหม่จากคนไทยและต่างชาติ
ตลาดWedding (งานแต่งงาน) ปีนี้มีการแต่งงานมากกว่าทุกปี แหวนเพชรถือเป็นสิ่งที่ต้องซื้อก็เติบโตไปด้วย

ถาม ส่วนตลาดออนไลน์ เราสามารถเปิดตลาดในออนไลน์แทนการเปิดshopได้ไหม

คุณอัญตอบว่า ในช่วง 3-4 ปีข้างหน้าจะเติบโตจากตลาดออนไลน์
แต่ตอนนี้การซื้อขายเครื่องประดับต้องเกิดจากการเข้าไปลองสวมดูก่อนตัดสินใจซื้อที่ร้าน
ต่อไปช่องทางค้าขายของเราจะเป็น omi-channel ( online + offline )

หมอเคถามว่าสัดส่วนในการซื้อในส่วน wedding กี่%

ตอบว่า 30% จากงาน wedding แต่อีก 70% เป็นการซื้อทั่วไป
ราคาเพชรเติบโตมาก จากช่วงครึ่งปีที่ผ่านมาจากปลายปี 2017 demandเพิ่มมากกว่าsupply

อ เสน่ห์ บอกว่า นาฬิกาใส่กันน้อยลง เพราะสามารถดูเวลาได้จากsmartphone
โอกาสที่เพชรจะเจอแบบนาฬิกาบ้างไหม

คุณอัญตอบว่า กลุ่มMillionaim สำหรับเครื่องประดับเพชรมีโอกาสเติบโตมากขึ้น
แต่เราก็เพิ่มนวัตกรรมเข้าไปทำให้ใส่ได้หลายรูปแบบ
Positioning ด้านprice เป็นแบบ Best Value ซึ่งแหล่งเพชรมาจากแหล่งดีที่สุดในระดับโลก
ต้นทุนในการบริหารจัดการต่ำกว่า รวมถึงเพิ่มนวัตกรรมเข้าไป ทำให้ลูกค้าได้ Best Value

เรามาต่อเรื่องหนี้สิน จากการปล่อยหนี้

3 SAWAD

หมอเคบอกว่าราคาลงมาเยอะ ที่ผ่านมากำไรเติบโตทุกไตรมาส
แต่ปลายปีที่แล้วกำไรเริ่มนิ่งมาจากการปรับโครงสร้างองค์กร

คุณธิดาตอบว่า การปรับโครงสร้างของบริษัท แตกต่างจากJubilee
ต้นปีที่แล้ว SAWADลงทุนในBFIT ซึ่งมีlicense บง (บริษัทเงินทุน) และมีกฏเกณฑ์การปล่อยกู้ที่ชัดเจน
เราต้องปรับตัวตาม ในฐานะผู้ถือหุ้นBFIT โดยSAWAD เปลี่ยนเป็น Holding company
ในช่วงที่ปรับโครงสร้าง สิ่งที่ได้ คือ กฎหมายใหม่
ปกติคนทำสินเชื่อ ใครๆก็ได้ ไม่จำเป็นต้องlicense ตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
บริษัทจำกัด และ บริษัททำธุรกิจพาณิชย์ ก็ปฏิบัติตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ส่วนนึงของบริษัทSAWADเป็น Non bank คือ เงินสดทันใจ เป็นการกู้ยืมแบบไม่มีหลักประกัน
เราได้มีโอกาสปล่อยสินเชื่อภายใต้ พรบ สถาบันการเงิน
บริษัทลูกที่ซื้อมาทำการปล่อยกู้มากขึ้น
พรบ สถาบันการเงินทำให้เราปล่อยสินเชื่อได้ดอกเบี้ยสูงกว่า15%แต่ไม่เกิน 36%
เวลาปฏิบัติตามกฎหมาย ขายทรัพย์สินจากSAWADให้บริษัทลูก BFIT

คำถาม ปัจจุบัน หน้าที่ของบริษัทSAWAD และBFIT แตกต่างกันที่productอย่างไร

คุณธิดาตอบว่า BFIT รับจำนำทะเบียนรถที่มีหลักประกัน และมูลค่าต่ำกว่า 10 ลบ
ส่วน SAWADจะปล่อยสินเชื่อไม่มีหลักประกัน เป็นสินทรัพย์อื่น หรือ ทะเบียนรถที่มีหลักประกัน
มีมูลค่ามากกว่า 10 ล้านบาท
BFITรับเงินฝากได้ ยกเว้นบัญชี ออมทรัพย์ และ ประจำ เช่น ธุรกิจเงินฝากเริ่มจาก 1 ล้านบาท
ส่วนดอกเบี้ยพิเศษ เริ่มต้นที่ 5 ล้านบาท
ระบบถูกปรับเรียบร้อย เราสื่อสารกับสาขาทั้ง 2,500 สาขาเรียบร้อย
ตอนนี้ รายได้ 50% มาจากรถกระบะ ,15% รถพ่วง ,25% มอเตอร์ไซต์ และที่เหลือเป็นสินทรัพย์อื่นๆ
ตอนนี้มีแผนขยายสาขาอีก 200-300 สาขา เป้าในอนาคตคือ 3,500 สาขา

ถามว่า บริษัทเห็นมีทิศทางในการตัดราคากันหรือยัง

คุณธิดาตอบว่า เร็วๆนี้ คู่แข่งมีpromotionลดราคาลงมาในช่วงQ2
ส่วนใหญ่มุ่งไปหาลูกค้าที่หลักฐานในการกู้ มีรายได้เป็นหลักแหล่งมากกว่า มีเครดิตบูโร
แต่เราเน้น assetที่มาค้ำประกันคุ้มค่าในการปล่อยกู้ไหม มากกว่าดูที่รายได้ของผู้กู้
การแข่งขันแบ่งกลุ่มกันชัดเจน เราทำNano financeด้วย แต่สัดส่วนไม่ค่อยเยอะ

ถาม ยอดขายรถมีแนวโน้มลดลงมีผลกระทบต่อบริษัทหรือไม่

คุณธิดาตอบว่า ตลาดของเรา คือต้องมีรถเรียบร้อยก่อน ผ่านกระบวนการผ่อนกับธนาคารมาเรียบร้อย
ถ้าเดือดร้อนเรื่องเงิน จึงมาจำนำกับเรา เลยไม่ได้ผลกระทบจากเหตุการณ์นี้

ถาม ที่ผ่านมามีข่าวทั้งกฏของแบงค์ชาติจะมาควบคุมดอกเบี้ยสินเชื่อเช่าซื้อ และเริ่มจะใช้ IFRS9 มันจะกระทบ
กับเรามากไหม และ เราจะรับมืออย่างไร coverageพอไหม

คุณธิดาตอบว่า จากข่าวกระทรวงการคลังจะเข้าควบคุมธุรกิจที่ไม่มีเจ้าภาพดูแล
กำลังร่างกฎหมาย พึ่งผ่านPublish hearing มา
ส่วนบริษัทเรามี regulator ดูแลแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้มีผลกระทบกับบริษัทเรา
การปล่อยสินเชื่อปล่อยผ่าน พรบ สถาบันการเงิน ปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยไม่เกิน36%
ซึ่งมากกว่า พรบ แพ่งและ พาณิชย์ ไม่เกิน15%

4 JMT บริษัทที่เชี่ยวชาญการตามหนี้

ถามคุณปิยะ ถึงทิศทางNPLในปัจจุบัน ทั้งมีหลักประกันและไม่มีหลักประกัน ตอนนี้เป็นอย่างไร เอื้อให้กับการซื้อหนี้มา
บริหารกับรับติดตามหนี้ของJMTอย่างไรบ้าง

ตอบจากข้อมูลแบงค์ชาติ สินเชื่อรายย่อย มี NPL ที่เติบโต โดยเฉพาะบัตรเครดิต และ personal loan
แต่จริงๆ หนี้สินเชื่อบ้านก็มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นด้วย
NPL 2%กว่า แต่NPLมีมูลค่าสูงขึ้นด้วยจากปริมาณที่ปล่อยกู้มากขึ้น
ทำให้เรามีโอกาสในการปล่อยกู้ในส่วนนี้ด้วย
ธุรกิจรับจ้างตามหนี้ 25,000 กว่าล้านบาท ลูกหนี้ 600,000 ราย คิดเป็น 10% ของรายได้
อีกธุรกิจซึ่งเป็นธุรกิจหลัก ซื้อหนี้มาบริหารที่ไม่มีหลักประกัน มูลค่า 130,000 ลบ
ลูกหนี้คิดเป็น 3ล้านคน ซึ่งอยู่ในบริษัท JMT
อีกธุรกิจ เริ่มซื้อ ตั้งแต่ช่วง เดือน เมย 18 คือ หนี้ที่มีหลักประกัน คือ สินเชื่อบ้าน คอนโด บ้านเดี่ยว ทาวเฮ้าส์
เราซื้อหนี้ที่เราถนัด เรามีคนตามหนี้ 2,600คน เราไม่ต้องการซื้อมาเพื่อไปฟ้องลูกค้า (เราต้องการเพื่อสร้างกำไร)
ถ้าทำอย่างนั้น คือ การฟ้อง จะทำให้ต้นทุนสูง เราน่าจะเป็นคนกลางในการตามหนี้
เราทดลองซื้อเข้ามา 200 ลบตอน เมย 17 พอเราเข้าไปคุยกับลูกค้า เราพลิกกลยุกต์ โดยไปซื้อส้มที่ปากคลองตลาด
มาเยี่ยมลูกค้า ปรากฏว่าลูกค้าจ่ายเงิน เราได้เงินคืน 9 ลบในระยะเวลา 7วัน ทุกอย่างต้องทดลอง
เราซื้อสะสมมาอีก 2,100 ลบ ตอนนี้เรามีหนี้แบบหลักประกัน 2,300 ลบ
หนี้ที่ไม่มีหลักประกันจะอยู่ที่ JMT Network Services
ส่วนหนี้ที่มีหลักประกันจะอยู่ที่ J Asset Management (JAM) ซึ่งเป็นลูก JMT
ปีนี้เราได้ตั้งงบที่จะซื้อหนี้ที่มีหลักประกัน 4,000 ลบ
และหนี้ที่ไม่มีหลักประกัน 1,000 ลบ
ตัวเลขปรับเพิ่มตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสแรก
Jmart ถือหุ้น JMT 56%
เรามีJMart ขายมือถือ มีบริษัทลูก7 บริษัท
บริษัทที่มีsynergy คือมีการปล่อยสินเชื่อ ได้แก่ J Fintech , Singer etc
J venger พัฒนาplatform digitalให้กับบริษัทในกลุ่ม
เราวางplatformแบบ Digital มีการตามหนี้แบบ ใช้AI

หมอเคถามว่าใช้Robotตามหนี้ใช่ไหม

คุณปิยะตอบว่า เราเริ่มจากการแชตไปตามหนี้ก่อน เรากำลังเรียนรู้ หุ่นยนต์เก็บสถิติการถามตอบ
เพื่อให้platform แม่นยำ นี่คือการsynergy กับ Jmart
Singerมีnetwork และ JMT ก็ฝากsingerไปดูแลลูกค้าอีกที มีคนภาคสนาม หลายพันคน ไปช่วยตามหนี้ด้วย
เราใช้วิธีเข้าไปคุยกันถึงบ้าน ทำให้เราลดต้นทุนในการติดตามหนี้
หนี้จากsinger,Jmart มือถือ ซึ่งก็คือ JMT ซื้อหนี้จาก Jmart ซึ่งเป็นลูกค้ามือถือกว่าแสนกว่าราย
ทำอย่างไรที่สามารถแก้ปัญหาของลูกค้าได้
เราพัฒนา mobile application จ่ายดี
ผมอยู่มาตั้งแต่ก่อตั้ง เวลาตามหนี้สมัยก่อนไม่มีfax เวลาไปหา ลูกค้าไปแอบซ่อน
ไม่อยากเจอ อยากคุยโทรศัพท์ เราเลยพัฒนาmobile application จ่ายดี
เราสามารถเช็คคะแนนจากapplication จ่ายดีได้
ผมออกpromotionเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ใครจ่ายหนี้ JMT ได้รับคูปองลดราคามือถือเวลาไปซื้อด้วย
ลูกค้าติดต่อมาเป็นร้อยคน JMTได้รับอานิสงค์จากการsynergy
JMT มีอัตราการเติบโต 40%กว่า มาจากทรัพยากรบุคคลเป็นสิ่งมีค่าสุด ถึงเราพัฒนาplatform digital
ก็ต้องให้บุคลากรของเราไปทำอย่างอื่นในอนาคตได้ด้วย จาก platform ใหม่

ถาม ในธุรกิจติดตามหนี้ เข้าใจว่า นอกจากวัดกันที่ความคุ้มค่าในการซื้อหนี้แล้ว อีกประเด็นหนึ่ง
คือ เหมือน 2-3ปีที่ผ่านมา เราทำsuccess rate สูงขึ้นเกิดจากอะไร ตัวอย่างเช่น หนี้100ล้าน
เก็บได้เท่าไหร่ในแต่ละปี ถ้าเก็บขึ้นได้ แสดงว่าเราเก่งขึ้นเรื่อยๆ

คุณปิยะตอบว่า เกิดจากคนเก็บกับลูกค้าที่จ่ายหนี้
ปี 2016 เราเก็บหนี้ได้จากกลุ่มคนที่มีหนี้ 3 ล้านบาท จาก 1,000 ลบ
ปีต่อมาเก็บได้เพิ่มอีก 800 ลบ
ลูกค้าที่เดินมาจ่ายเรา 250,000 คน
การทวงหนี้ โดยวันนี้ถ้าเขาไม่มีเงิน ยกตัวอย่างตอน
หนี้จากปี 2006 ปีนิ้คิดเป็น 12ปี ตอนนี้ลูกหนี้เหล่านี้ยังจ่ายหนี้ให้เราอยู่
เรามีวิธีคุยกับลูกค้าในแต่ละประเภท เช่น ล้มละลาย ตกงาน หายสาบสูญ ต้องทำอย่างไร
สิ่งที่คุยกับลูกค้าโดยไม่ใช้วิธีรุนแรง เวลาเขายืนขึ้นมาได้เชื่อไหมว่า
ลูกหนี้ 3 ล้านคนจากสัญญา 5-6 ล้านสัญญา หมายความ หนึ่งคนมีหนี้หลายสัญญา
ผมมองต่าง ลูกค้าโดยเริ่มจากบัตรเครดิต ไป สินเชื่อรถ ต่อไปคือสินเชื่อบ้าน
ตัวที่เราอยู่ได้ คือ พยายามช่วยให้เขารอด การเก็บหนี้คือการทำให้เขารอด บางคนอยู่ตั้งแต่เข้าตลาดใหม่
อายุ30ปี ตอนนี้อายุ42ปี ดอกเบี้ยเรายังคิดเท่าเดิม สถานะเปลี่ยน ส่วนใหญ่จะดีขึ้น จะกลับมาจ่าย
โครงสร้างเราเติบโตจากลูกค้าเก่า หนี้ ปี 2006 พอมาถึงปี 2011 เรา amortize หมดแล้ว ดังนั้น
ถ้าเราเก็บเงินมาได้เท่าไหร่ จะเป็นรายได้หรือกำไรทั้งหมด

ช่วงครึ่งหลัง ผลประกอบการ และ ทิศทางของบริษัทในอนาคต

1.Asap

ถามเรื่องผลการดำเนินงาน Q1เป็นที่พอใจไหม ทั้งปีจะโตราวๆนี้ไหม
ปีนี้ตั้งเป้ารถเช่าโตกี่คัน ผ่านมาครึ่งปี ตามเป้าไหม

คุณทรงวิทย์ตอบ ผลการดำเนินการ Q1 2018 เรามีการเติบโตของรายได้ Q-Q 25% เป็นไปตามคาดการณ์
อาจไม่มากในแง่กำไร เรามีการลงทุนด้านบุคลากร ผู้บริหาร และ ลงทุนเรื่องระบบ
เราคาดการณ์การเติบโตในปีนี้ โดยปรับเป้าเพิ่มเป็น 30-40%
เรารับรู้รายได้ค่อนข้างเร็ว เช่น ปล่อยรถเช่า lotใหญ่ จะรับรู้กำไรทันที
แต่ถ้าเป็นระยะยาว ก็รับรู้รายได้ตามสัญญา

ถาม ตอนนี้ราคาน้ำมันแพง มีผลกระทบต่อการเช่ารถหรือไม่

คุณทรงวิทย์ตอบว่า รายได้หลักมาจากภาคธุรกิจ องค์กรเช่าเพื่อขยายธุรกิจ
ดังนั้นราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นไม่ใช่ประเด็นหลักในการทำธุรกิจ
แต่เพียงหาทางลดต้นทุนเท่านั้น ตอนสมัยน้ำมันขึ้นไป 40 บาทต่อลิตร ยอดการเช่าเมื่อ 8 ปีที่แล้วก็ไม่โดนกระทบ
รวมถึง เทคโนโลยีของรถในปัจจุบันทำให้ประหยัดน้ำมันมากขึ้น เราก็เตรียมรถ Eco car มา support
ส่วนผู้บริหาร ก็รถไฮบริค หรือ EV มาsupport
รถเช่าในระยะยาว( long term) น่าจะโตต่อเนื่องไปอีกนาน
ไทยเคยบริโภครถยนต์เกิน 1 ล้านคันในช่วงที่ผ่านมา ตอนนี้ยอดขายรถของไทยถดถอยมาอยู่4แสนคัน
และค่อยๆฟื้นขึ้น ช่วงสิ้นQ1 18 มีการเติบโตของรถทุกค่าย ตัวอย่างเช่น โตโยต้าโต 10%
ดังนั้นจึงมองว่าตลาดรถยนต์ในปีนี้มีการบริโภคมากขึ้นถึง9แสนคัน และ มีโอกาสแตะหนึ่งล้านคันได้อีกครั้ง
พฤติกรรมเปลี่ยนการเช่ารถก็มีมากขึ้น ทำให้เรามีโอกาสเติบโต 30-40%ต่อปี

Trend รถเช่าปลายทาง
การเดินทางของผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ในอนาคต ต่อไปก็ไม่ได้เอารถวิ่งไปในต่างจังหวัด แต่ขึ้นเครื่องบินไปแทน
ปลายทางแต่ละจุด ต้องมีรถไว้ใช้บริการ ดังนั้นมีโอกาสโตขึ้นอย่างมาก รวมถึงนักท่องเที่ยวที่มาไทยเพิ่มขึ้น
อีกธุรกิจ azap GO ซึ่งมีแสดงไว้ที่หน้าห้องสัมมนา ถือเป็น car sharingส่วนนึง
ตอนครบสัญญาเช่ารถ เรามีจำหน่ายรถผ่านการประมูลทาง online
เดือนหน้า มิย เปิด ASAP Autopark franchise ต่อไปเราจะเปิดแฟรนไชส์การเช่ารถขึ้นมา
อีก3-5ปีข้างหน้า ธุรกิจเราจะครบวงจร ได้แก่ การให้เช่าระยะยาว car sharing ขายรถมือสอง เป็นต้น

2. Jubilee

คำถาม ผลการดำเนินงาน Q1เป็นอย่างไร เข้าใจว่ากลับมาเติบโตดีอีกครั้ง หลังจากนิ่งๆมาสักพัก
เกิดอะไรขึ้น และ GPM ก็new highอีก เพราะอะไร เราจะmaintainการเติบโตไปตลอดทั้งปีได้ไหม

คุณอัญตอบว่า ผลการดำเนินงานของQ1 ค่อนข้างดีทั้งรายได้โต 8%และกำไรโต 41% SSS growth ก็โต 7%
เราเน้นที่สาขา 125 สาขา เรามุ่งเน้นทำยอดขายจากสาขาเดิม ควบคุมค่าใช้จ่ายสาขาได้ดีขึ้น
การเพิ่ม value added และ สินค้ามีนวัตกรรม ก็มีส่วนทำให้ยอดขายดีขึ้น
เราตั้งเป้า sales growth 10% ( SSS growth 8-9% และ ที่เหลือมาจากการขยายสาขาเพิ่มเติมในQ3,Q4 2018)
สัดส่วนรายได้ 1H คิดเป็น 40-50% , 2H รายได้ 50%กว่า ของรายได้ทั้งหมด

ปัจจัยในการเปิดสาขาเพิ่ม
1 ถ้าlocationเดิม เราrenovateสาขาเดิม
2 สาขาใหม่ มีmallใหม่ๆมาเปิด ก็ทำให้เราเปิดสาขาใหม่

ปีนี้ จะเปิดเพิ่มในแบรนด์ Jubilee 5 สาขา และอีกแบรนด์ Forevermark 3-5 สาขา
125 สาขาที่มี แบ่งออกเป็น 46 สาขาอยู่ในกรุงเทพ ที่เหลือ อยู่ที่ต่างจังหวัดเกือบ80สาขา
ดังนั้นเรามีโอกาสขยายสาขาในต่างจังหวัด
ยอดขายในต่างจังหวัด 56% และมีการขยาย SSS growth ดีกว่าสาขาในกรุงเทพ
Q1 เราขายจำนวนชิ้นมากขึ้น และ ชิ้นใหญ่ขึ้น
เราพยายามขายปริมาณมากขึ้น และ ชิ้นใหญ่ขึ้น
เวลาห้างขยายไปต่างจังหวัด เราก็มีโอกาสขยายตามห้างไปด้วย
ทำให้มีโอกาสขยายสาขามากขึ้น และ เพิ่มยอดขายได้
ลูกค้าในต่างจังหวัดส่วนใหญ่ซื้อเป็นเงินสด ช่วงหลังๆเริ่มมีการใช้บัตรเครดิตขึ้นมาบ้าง
ดังนั้นพฤติกรรมcashlessในต่างจังหวัดยังมีน้อย แต่ก็มีโอกาสโตขึ้น
ตอนนี้ทางธนาคารก็เริ่มโปรโมตใช้QR code แต่บัตรเครดิตน่าจะโตมากกว่าเพราะสามารถสะสมแต้มได้
ส่วนสินค้า Hello Kitty สามารถrecruitลูกค้าใหม่ๆเข้ามา ปีนี้เราจะมีสินค้ามาsurprise
มีนวัตกรรมใหม่ๆเข้ามาทุกเดือนในช่วงครึ่งปีหลัง

คำถาม สัดส่วนรายได้จากHello Kitty คิดเป็นกี่%ของรายได้ทั้งหมด
คุณอัญเฉลยว่า Hello kitty คิดเป็นสัดส่วนรายได้ไม่เกิน 5%ของรายได้ทั้งหมด

คำถาม ถ้ากระแสเศรษฐกิจดี ส่งผลต่อเราอย่างไร

คุณอัญตอบว่า productของเราเริ่มต้นจากราคาหมื่นต้นๆ ถ้าเศรษฐกิจดี เราได้ผลบวกด้วย
SAWAD Q1 งบการเงินถูกปรับปรุง เมื่อเทียบกับปีที่แล้วที่มีการปรับปรุงทุกไตรมาส
งบการเงินQ1 17 สูงขึ้น 800 ลบ (ย้ายรายได้จากQ4 16 มา)
แต่ Q1 18 ไม่มีการย้ายรายได้จาก Q4 17 มาเพื่อให้ถูกต้องตามหลักการบัญชี ทำให้รายได้Q1 18 เติบโตน้อย

เป้ารายได้ ในการปล่อยสินเชื่อแบบมีหลักประกันโต 20-30% ในปีนี้
เมื่อportโตขึ้น รายได้เราก็จะตามมาเอง
ทิศทางของyield หมายถึงรายได้ดอกเบี้ยของปีนี้ เรารับรู้รายได้จากการปล่อยสินเชื่อปีที่แล้ว
Yieldจะต่ำกว่าปกติ ได้yieldประมาณ 19-21% ของเดิมจะสูงกว่านี้
ตอนนี้ทยอยรับรู้รายได้ปีนี้ เมื่อเราวางโครงสร้างเสร็จแล้ว Net Yield ประมาณ 23%
อาจต้องใช้เวลานิดนึง ถึงจะเห็นทิศทางYieldที่ดีขึ้น
ส่วน NPL ที่สูงขึ้นในQ1 18 เพราะลูกค้า SMEหนึ่งรายมาชำระล่าช้า ปกติSMEเป็นสัดส่วน10%
ซึ่งตอนนี้ลูกค้ารายนี้มาชำระเรียบร้อย
ส่วนที่ตั้งสำรองไปในQ1 ก็จะบวกกลับมาในQ2 18
เรามีการออกหุ้นกู้ เพื่อสามารถปล่อยกู้ได้มากขึ้น
ต้นทุนการรับฝากจะถูกกว่ารายได้จากการกู้เงิน
ตอนนี้ DE ratio = 2เท่า มีโอกาสปล่อยกู้ได้อีก

3. JMT

คำถาม Growth Q1 เป็นอย่างไร แนวโน้มครึ่งปีหลังจะดีต่อเนื่องไหม

คุณปิยะอธิบายถึงผลประกอบการดังนี้

1.ปี2017 Y-Y growth 47% แต่เนื่องจากการปรับเปลี่ยนการรับรู้รายได้เพิ่มเป็น 12 ปี
ทำให้รับรู้รายได้เข้ามาเร็วขึ้นในปีนี้ 15 ลบ
2. เพิ่มรายได้จากหนี้ที่มีหลักประกัน ปีที่แล้วส่วนนี้ช่วยได้ 3% ปีนี้จะรุกมากขึ้น จะcontribute 20%
3.Focus ค่าใช้จ่ายโดยการsynergy ระหว่างบริษัทในกลุ่ม และ คู่ค้าด้วย ปี 2021 ตั้งเป้ากำไร 1,000 ลบ
ตอนนี้กำไร 400 ลบ เกิดจาก หนี้มีหลักประกันที่โตเรื่อยๆ วิธีการรับรู้รายได้จากcapital gainเป็นหลัก
โดยขายบ้านในมือภายใน 5.5 ปี ตามกฎของแบงค์ชาติ และเอาส่วนกำไรมารับรู้รายได้
ถ้าขายไม่ทัน 5.5ปี บริษัท J ซึ่งเป็นบริษัทลูกของJMARTสามารถรับซื้อได้ในราคาทุนในปีหน้า
ปีนี้ หนี้รายย่อย ถ้าตลาดบ้านโตในสัดส่วนนี้ หนี้หลักประกันจะเพิ่มเป็น 50%ของportทั้งหมด
ส่วนธุรกิจประกันภัย เราไปถือใน ฟิลิบป์ประกันภัย และเปลี่ยนชื่อเป็น J Insurance ซึ่งต่อยอดกับ JMART
เรามีbig dataของฐานลูกค้า 7 ล้านคน ทำอย่างไรให้ธุรกิจมีเสน่ห์มากขึ้น
โดยรวมธุรกิจนี้ J insurance ยังไม่เกิดดอกผล
ส่วนที่ไปต่างประเทศ คือประเทศกัมพูชา เราทำธุรกิจตามหนี้เจ้าเดียว โดยมีpartnerจากไทย
ทำรายได้แค่ 1% ของรายได้ทั้งหมด แต่ NPL 1% ขยับเป็น 7% ซึ่งเราต้องปรับจากknowhowที่นี่
เพื่อตามเก็บหนี้ให้ดีขึ้น ส่วนที่เวียดนามได้ดีลจากstandard chartered อยากให้เราไปซื้อหนี้ธุรกิจFinance
ที่เวียดนาม โดยจะเดินทางไปในวันที่ 29 พค 18
เมื่อสองปีก่อน เราก็ซื้อหนี้มาจาก standard charteredมาก็ได้กำไรดี

ขอขอบคุณ วิทยากรทุกท่านที่ให้ข้อมูลของแต่ละบริษัท รวมถึง พิธีกร อ เสน่ห์ และ หมอ เค มากครับ
theenuch
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1736
ผู้ติดตาม: 37

Re: MoneyTalk@SET27May2018หุ้นเด่น&กลยุทธ์ฝ่ากิเลสหุ้น

โพสต์ที่ 3

โพสต์

ขอบคุณน้องบิ๊ก และ พี่อมร มากเลยค่ะ ^^
โพสต์โพสต์