เมื่อหุ้น Value กลับมาชนะหุ้น Growth // โดย ชัชวนันท์ สันธิเ

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
ภาพประจำตัวสมาชิก
IndyVI
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 17922
ผู้ติดตาม: 921

เมื่อหุ้น Value กลับมาชนะหุ้น Growth // โดย ชัชวนันท์ สันธิเ

โพสต์ที่ 1

โพสต์


เมื่อหุ้น Value กลับมาชนะหุ้น Growth

โดย ชัชวนันท์ สันธิเดช

ช่วงเก้าปีที่ผ่านมา หลังวิกฤตการเงินปี 2008 ผลตอบแทนของนักลงทุนแนว “เน้นการเติบโต” หรือ growth investor ในสหรัฐอเมริกา เหนือกว่านักลงทุนแนว “เน้นมูลค่า” หรือ value investor เยอะมาก โดยเฉพาะพวก “tech stock” ทั้งหลาย

(สอดคล้องกับตลาดหุ้นไทย ที่หุ้น growth โตเอาๆ ในช่วงระยะเวลาเดียวกัน แต่ที่ไม่เหมือนกันคือของไทยมักเทไปที่เซคเตอร์ค้าปลีก โรงพยาบาล ซึ่งก็ทำให้พอร์ตของหลายคน “ทบเท่าทวี” กลายเป็นเศรษฐีใหม่กันไปมากต่อมาก)

ผมอ่านเจอข้อมูลในนิตยสาร Fortune ฉบับวันที่ 1 เม.ย. 2018 มีข้อมูลระบุว่า นับตั้งแต่ต้นปี 2008 ดัชนีหุ้นเติบโต Russell 3000 (Russell 3000 Growth Index) ของสหรัฐฯ เอาชนะดัชนีหุ้นมูลค่า ( Russell 3000 Value Index) ได้อย่างขาดลอย โดยให้ผลตอบแทนทบต้นถึงปีละ 10.3% เมื่อเทียบกับ 7% ของหุ้น value ซึ่งเป็นการชนะยาวนานที่สุดในรอบ 40 ปี

เรื่องนี้อธิบายได้ว่าเป็นพลวัตปกติหลังการตกต่ำครั้งใหญ่ของเศรษฐกิจ เนื่องจากในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจไม่ดี GDP จะโตน้อย หุ้น growth จึงหายาก เมื่อมีหุ้นที่มีโอกาสการเติบโตของรายได้ชัดเจน เงินทุนที่หาที่ลงไม่ได้ จึงไปกองรวมกันในหุ้นเหล่านั้น ประกอบกับนโยบายดอกเบี้ยต่ำของเฟดเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้บริษัทที่กำลังโตยิ่งกู้ได้ง่าย และเอาเงินมาสร้างการเติบโตต่อเนื่องขึ้นไปได้อีก

ยิ่งนับจากปี 2015 เป็นต้นมา หุ้นผู้ชนะในบางอุตสาหกรรมยิ่งชนะห่างขึ้นเรื่อยๆ อาทิ tech stock ของสามบริษัทอย่าง Facebook, Amazon และ Netflix ที่ราคาขึ้นถึงปีละ 92% เมื่อเทียบกับ S&P 500 ที่โตเฉลี่ย 14.8% (ซึ่งอันที่จริงก็ถือว่าเยอะมากแล้ว)

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์กำลังจะเปลี่ยนไป !!

ข้อมูลระบุว่า จากเศรษฐกิจโดยภาพรวมที่ดีขึ้น กำไรของบริษัทใน S&P 500 โตขึ้นเฉลี่ยไตรมาสละ 2.5% โดยเฉพาะจุดพลิกผันในไตรมาสที่สี่ของปี 2017 ซึ่งทั้ง 500 บริษัทกำไรโตเฉลี่ยถึง 14.8% นั่นทำให้บริษัทโดยรวมใกล้จะ “ไล่ทัน” พวกบริษัทเทพๆ ที่โตแซงไปก่อนหน้านี้เต็มที จากเงินในกระเป๋าของผู้บริโภคที่มากขึ้น อันเป็นผลมาจากเศรษฐกิจที่ดีขึ้น

นอกจากนี้ การที่ดอกเบี้ยกลับมาเป็น “ขาขึ้น” หุ้น Growth ก็ยิ่งกระทบหนักกว่าหุ้น Value เพราะต้นทุนในการกู้เพิ่มขึ้นเยอะ ต่างจากหุ้น value ที่กู้น้อย อีกทั้งรายได้ยังสม่ำเสมอ อนาคตจึงดูแน่นอนกว่า

โดยสรุป ในสถานการณ์เช่นนี้ หุ้น Value จึงกลับมาน่าสนใจอีกครั้ง โดยจากข้อมูลในอดีตหลังเศรษฐกิจตกต่ำผ่านมาได้ระยะหนึ่ง หุ้น Value จะกลับมาเอาชนะหุ้น Growth ได้ทุกครั้ง รวมแล้วหกครั้งด้วยกัน ในอัตราเฉลี่ย 37 ต่อ 27 เปอร์เซ็นต์

เรียกได้ว่า เมื่อสถานการณ์ทางเศรษฐกิจอยู่ตัวแล้ว หุ้น Value จะชนะ Growth กระจุยกระจายเลยทีเดียว

สำหรับเมืองไทย คงยากที่จะฟันธง แต่สิ่งที่เห็นอย่างหนึ่ง ณ เวลานี้ คือหุ้น growth หลายตัวที่เคยเจิดจรัสมาในรอบห้าปีหลังเริ่มจะแผ่วไปเยอะมาก บางตัวจากที่ PE 50-60 เท่า กลับตกลงมาฮวบฮาบ (เท่าที่นึกชื่อได้ในหัวตอนนี้มีไม่ต่ำกว่า 5-6 ตัว)

นักลงทุนอย่างเราๆ จึงอาจได้เวลาตั้งคำถามต่อกลยุทธ์ของตัวเองว่า ถึงเวลาหรือยังที่จะหันมาให้ความสนใจหุ้น Value กันมากขึ้น แม้เศรษฐกิจไทยคงยากจะเทียบเคียงกับสหรัฐฯ แต่สภาพการณ์ที่เกิดกับหุ้น growth และหุ้น value ก็ออกจะมีบางอย่างที่คล้ายคลึงกันอยู่

ลองพิจารณากันดูก็แล้วกันนะครับ



https://clubvi.com/2018/04/30/valuebeatsgrowth/
Investment success doesn’t come from “buying good things,” but rather from “buying things well.
# Howard Mark #
โพสต์โพสต์