“บิทคอยน์” เรื่องราวของ...คนกลัวตกรถ...คนติดดอย

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
doctorwe
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 152
ผู้ติดตาม: 0

“บิทคอยน์” เรื่องราวของ...คนกลัวตกรถ...คนติดดอย

โพสต์ที่ 1

โพสต์

quote-bitcoin-is-mostly-about-anonymous-transactions-and-i-don-t-think-over-time-that-s-a-bill-gates-142-82-21.jpg
คอลัมน์: คุยให้... “คิด”
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 17 พฤศจิกายน 2560
“บิทคอยน์” เรื่องราวของ...คนกลัวตกรถ...คนติดดอย
ดร.วีรพงษ์ ชุติภัทร์
วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต
http://www.CsiSociety.com
Add Line: @CsiSociety

คุณผู้อ่านหลายท่านคงมีความรู้เรื่องบิทคอยน์บ้างอยู่แล้ว แต่วันนี้ผมจะขอคุยในแบบที่คุณผู้อ่านที่ยังไม่มีความรู้ด้านนี้เลย...ก็ยังพอเข้าใจได้ด้วย ก่อนอื่นขอเล่าเรื่องบิทคอยน์ปูพื้นซักหน่อยนะครับ บิทคอยน์เป็นเงินสกุลดิจิตอลที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ด้วยเหตุที่มันเป็นเงินสกุลดิจิตอลสกุลแรกที่ใช้ระบบบล็อกเชน (Blockchain) รันระบบทั้งหมด ดังนั้นข้อดีของบิทคอยน์จึงมีมากมาย เช่น รันบนระบบล็อกเชน...ทำให้ไม่มีศูนย์กลาง...ไม่มีใครมาควบคุมได้ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลประเทศไหน หรือธนาคารกลางประเทศไหนก็ไม่สามารถควบคุมมันได้ บรรดาคนร่ำรวยจึงชื่นชอบ เพราะเวลาโอนเงินไปไหน...ก็จะไม่มีใครรู้ บิทคอยน์ถูกควบคุมให้มีจำนวนเพียง 21 ล้านบิทคอยน์เท่านั้น...จึงไม่เกิดภาวะเงินเฟ้อกับบิทคอยน์ นั่นหมายถึง ราคาบิทคอยน์ภายใต้ระยะเวลายาวนาน...มีแต่จะขึ้น...ถ้าผู้คนยังเชื่อถือมันอยู่ และสุดท้ายระบบของบิทคอยน์โกงไม่ได้...เพราะระบบมันเป็นระบบกระจายศูนย์กลางไปยังคอมพิวเตอร์เป็นพันเป็นหมื่นเครื่อง จึงไม่สามารถแฮ็คได้

เหตุผลข้างต้นที่ฟังดูดีไปหมดจึงทำให้มีผู้คนหลั่งไหลเข้ามาซื้อบิทคอยน์เพิ่มขึ้น...เพิ่มขึ้น ทำให้ราคาบิทคอยน์จากต้นปีประมาณพันดอลลาร์ต่อหนึ่งบิทคอยน์ ราคาก็พุ่งขึ้นไปสูงกว่า 7,000 ดอลลาร์ต่อหนึ่งบิทคอยน์ ก็ทำให้ผู้คนคิดไปว่า บิทคอยน์จะกลายเป็นราชาแห่งเงินสกุลดิจิตอลไปอย่างแน่นอน แต่เทคโนโลยีของบิทคอยน์นั้นเป็นเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นเมื่อเกือบสิบปีที่แล้ว จึงทำให้การโอนบิทคอยน์ที่มีปริมาณสูงขึ้นเป็นอย่างมาก...ช้าลง และที่สำคัญที่สุดคือ ค่าโอนแพงขึ้นเป็นอย่างมาก
ด้วยเหตุนี้ จึงเริ่มมีคนที่พยายามจะดัดแปลงบิทคอยน์ให้มีโครงสร้างใหม่ เพื่อให้โอนเร็วขึ้นและเสียค่าโอนถูกลง และแล้ว...ความร่วมมือในการดัดแปลงดังกล่าวก็เกิดขึ้น เมื่อมีคน 12 คนที่อยู่ในวงการบิทคอยน์ไปประชุมกันที่นครนิวยอร์ค โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะทำการดัดแปลงบิทคอยน์ครั้งใหญ่หรือที่เรียกกันว่า “Hard Fork” เพื่อให้มีขนาดบล็อกขยายขึ้นจากเดิม 1 เมกะไบท์ กลายเป็น 2 เมกะไบท์ และยังมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเดิมอีกด้วย ข้อตกลงดังกล่าวมีชื่อว่า “ข้อตกลงนิวยอร์ค” (New York Agreement) และตกลงกันว่าวันที่ 16 พฤศจิกายนนี้จะเริ่มต้นทำการดัดแปลงตามข้อตกลง อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการดัดแปลงครั้งนี้จะมีผลกระทบต่อบิทคอยน์ครั้งใหญ่ และนักพัฒนาโปรแกรมบิทคอยน์จำนวนมากก็ไม่ได้รับรู้เรื่องนี้มาก่อน จึงทำให้มีคนไม่เห็นด้วยเป็นจำนวนมาก ในที่สุดก็เกิดกระแสการต่อต้านการทำ Hard Fork ครั้งใหญ่ จึงกดดันให้กลุ่มข้อตกลงดังกล่าวยอมแพ้ และไม่ทำการ Hard Fork ในที่สุด

ความผิดหวังจากการที่ไม่ได้ทำการ Hard Fork ส่งผลให้ในสัปดาห์ที่ผ่านมา จึงเกิดการเทขายบิทคอยน์ครั้งใหญ่ จากราคาประมาณ 7,800 ดอลลาร์ต่อหนึ่งบิทคอยน์ในวันที่ 8 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ก็ไหลลงไปต่ำกว่า 5,500 ดอลลาร์ ภายในเวลาแค่ 4 วัน โดยเงินที่เทขายบิทคอยน์ในครั้งนี้ก็หลั่งไหลเข้าไปซื้อเงินสกุลใหม่ที่มีชื่อว่า “บิทคอยน์แคช” แรกเดิมทีเงินบิทคอยน์แคชเป็นเงินสกุลดิจิตอลที่แตกตัวมาจากบิทคอยน์เมื่อวันที่ 1 สิงหาคมที่ผ่านมา และมีการขยายขนาดของบล็อกจากเดิม 1 เมกะไบท์ให้กลายเป็น 8 เมกะไบท์ ทำให้การโอนเงินบิทคอยน์แคชทำได้อย่างรวดเร็ว และยังทำให้ค่าใช้จ่ายในการโอนเงินถูกลงอย่างมากอีกด้วย หลายคนจึงมองว่า บิทคอยน์แคช...มีโอกาสจะมาแทนที่บิทคอยน์ในอนาคตอันใกล้นี้

นอกจากนั้นบิทคอยน์แคชเอง ยังได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มที่ประกอบคอมพิวเตอร์เพื่อขุดบิทคอยน์จากจีนที่นำโดย นายจีฮาน วู กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่พยายามสร้างเงินสกุลดิจิตอลอื่นขึ้นมาทดแทนบิทคอยน์ให้ได้ เพราะเขาจะได้รับผลประโยชน์จำนวนมากจากเหตุการณ์ดังกล่าว หลังจากเหตุการณ์ Hard Fork ล่ม บรรดากลุ่มสนับสนุนบิทคอยน์แคชก็ทุ่มเททรัพยากรจำนวนมากเข้าไปในบิทคอยน์แคช โดยการขายบิทคอยน์เอง และเข้าไปซื้อบิทคอยน์แคชแทน ข้อสำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ นักลงทุนชาวเกาหลีใต้ที่มีปริมาณลงทุนในเงินสกุลดิจิตอลสูงสุดเป็นอันดับที่ 3 รองจากญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา ทุ่มเงินจำนวนมหาศาลเข้ามาซื้อบิทคอยน์แคช...เพื่อเก็งกำไร

จากนั้นก็เกิดการสร้างปรากฎการณ์ที่เราเรียกกันว่า “กลัวตกรถ” (Fear of Missing out – FOMO) ทำให้ราคาของบิทคอยน์เพิ่มขึ้นอย่างบ้าระห่ำจาก 400 ดอลลาร์ต่อหนึ่งบิทคอยน์แคช ขึ้นไปถึง 2,450 ดอลลาร์ในวันที่ 12 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา หรือเพิ่มขึ้น 6 เท่าภายในระยะเวลาเพียง 4 วัน
หลังสงคราม 4 วัน... ราคาบิทคอยน์จาก 7,800 ดอลลาร์ ลงไปต่ำสุดที่ 5,550 ดอลลาร์ และตอนนี้อยู่ประมาณ 6,500 ดอลลลาร์ต่อหนึ่งบิทคอยน์ ฟากฝั่งของบิทคอยน์แคช จาก 400 ดอลลาร์ ขึ้นไปสูงสุดถึง 2,450 ดอลลาร์ และเวลานี้อยู่ประมาณ 1,250 ดอลลาร์ต่อหนึ่งบิทคอยน์แคช
เหตุการณ์นี้ผ่านไปแล้ว... เราไม่รู้ว่า ใครกำไรเท่าไร?...ใครขาดทุนเท่าไร? แต่ที่เรารู้แน่ๆก็คือ สงครามครั้งนี้ ได้ก่อให้เกิด “คนกลัวตกรถ” และ “คนติดดอย” บนโลกใบนี้เพิ่มขึ้นอีก...นับไม่ถ้วน
หาอ่านบทความ และความรู้ด้านการลงทุนของผู้เขียนได้เพิ่มเติมได้ที่ http://www.doctorwe.com

บทความ... เงิน 1,000 บาท กับการลงทุนใน “บิทคอยน์” เชิญอ่านได้ที่ลิงก์นี้
http://www.doctorwe.com/bangkokbiznews/20171215/6809

บทความ... "บิทคอยน์” สร้าง…ความร่ำรวย ได้หรือไม่? เชิญอ่านได้ที่ลิงก์นี้
http://www.doctorwe.com/bangkokbiznews/20170922/6815
torque
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 245
ผู้ติดตาม: 0

Re: “บิทคอยน์” เรื่องราวของ...คนกลัวตกรถ...คนติดดอย

โพสต์ที่ 2

โพสต์

10 Jan 2018
Bitcoin BTC 13,833.0 $236.70B $17.47B -3.28%
Bitcoin Cash BCH 2,470.0 $42.40B $1.41B +5.18%

source: investing.com
โพสต์โพสต์