MoneyTalk@SET16/12/60เฟ้นหุ้นเด่นและกลยุทธ์VI รับปี 61

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
ภาพประจำตัวสมาชิก
i-salmon
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 295
ผู้ติดตาม: 0

MoneyTalk@SET16/12/60เฟ้นหุ้นเด่นและกลยุทธ์VI รับปี 61

โพสต์ที่ 1

โพสต์

สรุปสัมมนา Money Talk@SET 16/12/2017
_____________________________________________
ช่วงที่ 1 “เฟ้นหุ้นเด่นรับ SET All time High ปี 61”
1. คุณ สุกิจ อุดมศิริกุล / กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย Mbket
2. คุณ วิน พรหมแพทย์ / ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บล.ซีไอเอ็มบี
3. คุณ เกษม พันธ์รัตนมาลา / Head of Research บล.ซีไอเอ็มบี
ผู้ดำเนินรายการ ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา และ นพ.ศุภศักดิ์ หล่อธนวณิชย์

คำถาม 4 ข้อ
1.แนวโน้มตลาดหุ้นไทย?
คุณสุกิจ
ก่อนขึ้นเวทีได้ย้อนดูสิ่งที่เคยพูดปีก่อน คิดว่าบางส่วนก็จะพูดอีกในปีนี้
การบริโภคในประเทศที่ฟื้นตัว ปีที่แล้ว Q3 กลุ่มค้าปลีกทำกำไรดีกว่าคาด ปีนี้ก็ภาพเดียวกัน
ภาพตลาดปีที่แล้ว มองหุ้น Growth stock น่าจะดี เศรษฐกิจและตลาดฟื้นตัว
คาดไว้ว่าครึ่งแรกน่าจะดี ครึ่งหลังดูยาก แต่สิ่งที่เกิดขึ้นผลออกมากลับกัน
เหตุผลที่มองตอนนั้น มีเหตุการณ์ดอกเบี้ย โดนัลด์ ทรัมป์ การกีดกันการค้า
แต่ผลลัพธ์ที่ออกมา สิ่งเหล่านั้นมีผลกระทบกับตลาดไม่มาก ทำให้ครึ่งปีหลังดีกว่าครึ่งปีแรก

ณ เวลานี้ ความกลัวตลาดภายนอก เบาบางลง ดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐตอนนี้ขึ้นมาเท่ากับดอกเบี้ยไทยแล้ว
จุดที่ประเมินไว้ตลาดหุ้นคงขึ้นได้ไม่ได้มากนักเพราะปีก่อนขึ้น 20% แล้ว ปีนี้น่าจะขึ้นได้ 9-10%

สำหรับปี 61 มอง SET มีโอกาส new high อาจจะไปแตะในช่วงครึ่งแรก (จุดสูงสุดเดิมอยู่ที่ 1789)
เพราะ Momentum (แรงเหวียง) ในทุกเรื่องยังดี ได้แก่ เศรษฐกิจตัวเลขเริ่มกลับขึ้นมาดี และมีสัญญาณดีต่อ
,ผลประกอบการปีนี้ new high คาดว่าปีหน้าก็ new high
ซึ่งตลาดหุ้นจะ new high ควรเกิดจากกำไรบริษัท new high จะได้ไม่แพงเกินไป กำไรตลาดไทยน่าจะโตราว 8-10%
โดยสรุป ความเสี่ยงในด้านพื้นฐานเศรษฐกิจไม่มากนัก
แต่เรื่องดอกเบี้ยเป็นสิ่งที่น่าจับตา ตลาดหุ้นขึ้นมา PE 15-16 เท่าส่วนหนึ่งเพราะดอกเบี้ยต่ำมานานกว่าที่คาด
ปี 61 ในครึ่งปีแรกอาจยังไม่ขึ้นดอกเบี้ย ถ้าเงินเฟ้อยังไม่แรง เศรษฐกิจยังไม่โตสูงนัก
ถ้ามองย้อนตั้งแต่ ช่วง 2013 จนถึงปัจจุบัน ค่าเฉลี่ยกำไรที่เพิ่มขึ้นกับดัชนีตลาดเพิ่มขึ้นใกล้เคียงกัน คือ 6.4%
ดังนั้น ปีหน้าอาจเห็น Set index 1800 ได้ แต่ปิดที่เท่าไรอีกเรื่องหนึ่ง
กำไรปี 60 ส่วนใหญ่ดีมาจากปัจจัยนอก เช่น พลังงาน ปิโตรเคมี โรงกลั่น ส่งออก
ส่วนตั้งแต่ไตรมาส 3 เริ่มเห็นปัจจัยภายในที่ดีขึ้น ซึ่งปีหน้าฐานด้านราคาน้ำมันที่สูงจากปีนี้จะทำให้โตยากขึ้น
จึงต้องพึ่งพาจากการบริโภคภายในประเทศ และจากการลงทุนภาคเอกชน
โดยเฉพาะกลุ่มธนาคารพาณิชย์ เป็น sector ใหญ่จะสามารถช่วยให้กำไรตลาดรวมโตได้ 10%
รวมถึงจากกลุ่มค้าปลีก, กลุ่มท่องเที่ยว, กลุ่มอสังหาริมทรัพย์,กลุ่มสื่อสาร

คุณเกษม
CIMB มอง ตลาดหลักทรัพย์ปีหน้า bull มาก
ให้เป้าหมาย SET ที่ PE 15 คิดแบบ -1SD คือ SET 1875 แต่ถ้าคิด Average 5 ปีย้อนหลังคือ SET 2050
ปัจจัยหลักที่เกี่ยวข้อง เช่น การท่องเที่ยว ราคาน้ำมันที่ลดลง เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เงินบาทแข็ง
จากที่คนกังวล FED ขึ้นดอกเบี้ยจะทำให้เงินไหลออก
ปรากฏว่า ปีนี้ FED ขึ้นดอกเบี้ย 3 ครั้ง เงินไหลออกตลาดหุ้นนิดหน่อย 2 หมื่นกว่าล้าน
แต่ตลาด Bond เงินไหลเข้า 2 แสนล้าน ซึ่งเรามี ดุลบัญชีเดินสะพัด 10 เดือนแรก 1.3 ล้านล้าน
เมื่อนักลงทุนต่างชาติเห็นเกินดุลเยอะก็คาดการณ์ได้ว่า บาทจะแข็ง จึงรีบเข้าซื้อเงินบาท
สังเกต เวลากระทรวงพาณิชย์หรือแบงค์ชาติประกาศข้อมูลแล้วดี เงินบาทจะแข็งขึ้นมา
ผลกระทบถ้าดูผลประกอบการกลุ่ม อิเล็กทรอนิกส์ ส่งออกตัวเลข รายได้ดี แต่กำไรไม่ดี
แต่สำหรับปีหน้า เงินบาทกับเงิน US ดอกเบี้ยเท่ากัน 1.5%
การมีเงินดุลบัญชีเดินสะพัดสูง จะมีเงินไหลเข้าเยอะ มีสภาพคล่องสูง ทำให้แบงค์ชาติไม่จำเป็นต้องขึ้นดอกเบี้ย
ตัวเลขเงินเฟ้อ Core inflation 0.6% กรอบเงินเฟ้อแบงค์ชาติ 1-4% เราหลุดจากกรอบนี้มาหลายปีแล้ว
คิดว่าปีหน้าขึ้นแค่ 1.5% ยังไม่ถึงกรอบเงินเฟ้อของแบงค์ชาติ จึงยังไม่จำเป็นต้องขึ้นดอกเบี้ย
การไม่ขึ้นดอกเบี้ยจะส่งผลดี ทำให้การบริโภค การลงทุนในประเทศค่อยฟื้นตัวต่อเนื่องขึ้น
นอกจากนี้จากตัวเลขส่งออกที่ดีขึ้น จะเห็นว่า Capacity Utilization (อัตรากำไรการใช้กำลังผลิต) ดีขึ้น
จากระดับ 60% มาหลายปี ขยับมาอยู่ที่ 63.5% ในเดือนกันยายน
เดือนตุลาคมลดลงมาเล็กน้อย เพราะมีวันหยุดเป็นพิเศษ
ถ้าตัวเลขนี้ขึ้นไประดับ 65-70% การลงทุนใหม่ๆ น่าจะเกิดขึ้น เช่น ขยายกำลังผลิต, ตั้งโรงงานเพิ่ม
พอมีการลงทุนใหม่ๆ Bank loan ดีขึ้น Fee ปล่อยกู้ดีขึ้น NPL ลดลง จะเป็นวงจรที่เป็นบวกกว่าเดิม
นอกจากนี้จะส่งผลไปถึงการบริโภคระดับล่างดีขึ้นด้วย บางโรงงานทำงาน 1 กะ อาจขยายเป็น 2 หรือ 3 กะ
พนักงานมีรายได้ OT สูงขึ้น ใช้เงินได้มากขึ้น
ปีหน้า Theme ของเราคือ ปีแห่งการเฉลิมฉลอง น่าจะมีพิธีพระบรมราชาภิเษกในครึ่งปีแรก
และรัฐบาลประกาศให้ปีหน้าเป็น Amazing Thailand tourism year 2018 น่าจะส่งเสริมเรื่องการท่องเที่ยวด้วย
ไตรมาส 4 ปีนี้ก็น่าจะดีขึ้น เพราะปีที่แล้วรัฐบาลพยายามกำจัดทัวร์ 0 เหรียญ
สรุปแล้วจำนวนนักท่องเที่ยวปี 60 น่าจะโตได้ 8 % ปี 61 โตได้ 9-10%
ถ้าดูตัวเลขรายได้ที่โตจากนักท่องเที่ยวจะสูงกว่านี้ เพราะรัฐบาลเน้นนักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพมากขึ้น
ยิ่งถ้าหากมีการเลือกตั้งในปีหน้า ก็คาดการณ์ว่านักท่องเที่ยวปีหน้าอาจโตถึง 15%

ภาพใหญ่ในปีหน้าไม่ใช่เรื่องน่าเป็นห่วง แต่ก็ความไม่แน่นอนเรื่องการเรื่องตั้ง
อย่างข่าวไม่กี่วันก่อน EU ประกาศจะยกระดับความสัมพันธ์กับไทยถ้ามีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
ตัวเลขนักท่องเที่ยวยุโรป(ไม่นับรัสเซีย) ปีนี้โตแค่ 1.5%
ซึ่งถ้าหากเรามีรัฐบาลการเลือกตั้งจะโตได้มากกว่านี้ขึ้นอีก
ถ้าหากไม่มีการขยับการเลือกตั้งไปไหน sentiment น่าจะขึ้นตั้งแต่กลางปีเป็นต้ไป
เพราะนายกฯประกาศเลือกตั้ง มิ.ย. ถ้าดูตัวเลขที่บริษัทไทยไปลงทุนในต่างประเทศเพิ่มขึ้นเยอะ
ถ้าหากความมั่นใจฟื้นและเศรษฐกิจในประเทศฟื้น เงินลงทุนส่วนนี้จะไหลกลับมา
การลงทุนภาครัฐมีน้ำหนักใน GDP 6% แต่ของภาคเอกชนใหญ่กว่าของภาครัฐ 3 เท่า
ดังนั้นรัฐต้องสร้างความเชื่อมั่นให้เอกชนลงทุนตาม
และปีนี้ภาครัฐก็ลงทุนเชื่องช้าด้วย 3 ไตรมาสที่ผ่านมาไม่โต
คาดว่าการลงทุนภาครัฐปีหน้าจะสูงขึ้นกว่าปีนี้ ต้องมีการเร่งลงทุนก่อนเลือกตั้ง
เช่น โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู สายสีเหลือง มีการเซ็นตั้งแต่ปลายปีก่อน
แต่ยังส่งมอบพื้นให้ผู้รับเหมาไม่ได้ เม็ดเงินลงทุนจึงยังไปไม่สามารถนำออกไปใช้

คุณวิน
ปี 60 ผลตอบแทนกองทุนเราได้ 20% SET TRI 13% Alpha 7%
ย้อนไป 3 ปีได้ปีละ 10% แต่ดัชนีย้อนหลังปีละ 3%
(อ.ไพบูลย์อธิบาย Alpha คือส่วนต่างที่กองทุนทำได้เทียบกับผลตอบแทนตลาด ยิ่งเยอะยิ่งดี)
มักมีคนชอบถามว่า ถ้ามองไปข้างหน้าจะทำได้ปีละ 10% ต่อปีเหมือนเดิมไหม
ซึ่งหากทำได้ SET 3 ปีข้างหน้าก็ควรอยู่ที่ 2200 จุด

ภาพ theme ปีหน้า มองภาพการลงทุน ปีท้องฟ้าสีฟ้าสดใส ตรงกลางมีพื้นหญ้าสีเขียว และมีร่มสีแดง
คือ ฟ้าสีฟ้าสดใส แต่ให้กางร่มไว้ด้วย เพราะเราอยู่ในโลกที่ 20-30 ปี เกิดขึ้นนานๆครั้ง
ที่ช่วงเศรษฐกิจภูมิภาคต่างๆของโลกโตพร้อมกัน เพราะปกติมักจะมีประเทศที่ดึงให้เศรษฐกิจแย่ลง
ตลาดหุ้นมักจะนำเศรษฐกิจ เรามองข้ามไปว่า 2018 ดี แต่ ปี 2019 อาจเห็นการชะลอตัว
ดังนั้นปี 2018 อาจจะดีครึ่งปีแรก และชะลอตัวครึ่งปีหลัง
หุ้นโลกที่ขึ้นยาวๆมา และชะลอก็อาจทำให้หุ้นไทยแย่ลง
เศรษฐกิจไทย momentum ดี เห็น GDP โต 4% ในไตรมาส 3
สิ่งที่ต้องคำนึง คือ การเติบโตมาจากภายนอก ส่งออกและท่องเที่ยว
เป็นทิศทางทั่วโลก ส่วนท่องเที่ยวก็เติบโตสูงเพราะปีก่อนฐานต่ำ จากการจัดการทัวร์ศูนย์เหรียญ
ปีนี้ถ้าไปพัทยา ภูเก็ตจะเห็นว่าคึกคักกว่าปีก่อน มีนักท่องเที่ยวรัสเซีย จีน
รวมทั้งมีคนอินเดีย ซึ่งนิยมในการเข้ามาแต่งงานที่โรงแรมไทย
คนไม่ได้รู้สึกว่ารวยขึ้น ทั้งที่ตัวเลขเงินเฟ้อต่ำมาก
เพราะวัดจากสิ่งที่เราไม่ได้ใช้ ค่ารถเมล์ ค่าเช่าบ้าน
แต่คนชั้นกลางใช้รถไฟฟ้า ไม่ได้วัด ค่าไข่เจียวจานละ 800 ไม่ได้วัด
ถ้ารายได้ไม่ได้เพิ่มขึ้นมาก แต่ค่าใช้จ่ายเพิ่มมากกว่า คนจะไม่กล้าบริโภค
ตอนต้นปีมองไว้ชอบ อุตสาหกรรมบริโภคในประเทศรวมถึงเงินกู้, ท่องเที่ยว, โรงพยาบาล
มองไปปีหน้าก็ยังชอบ 3 theme นี้อยู่ แต่ต้องดูหุ้นรายตัวอีกที บางตัวราคาปรับขึ้นไปสูงแล้ว

2. เลือก อุตสาหกรรม/หุ้นไหน?
คุณสุกิจ
เสริมเรื่อง Cycle เศรษฐกิจโลก ข้อมูล GDP โลก ตั้งแต่ปี 96 จนถึงปัจจุบัน
การปรับขึ้น GDP รายไตรมาสต่อเนื่องมีน้อยมาก ไม่เกิน 2 ปีติดกัน
ดังนั้นถ้าปี 2017,2018 ดี แล้ว ปี 2019 จะดีอีกเป็นปีที่สามจึงค่อนข้างยาก
ถ้าปีหน้าอเมริกามีลดภาษีบริษัทจดทะเบียน ฐานกำไรจะกระโดด ปีถัดไปจึงยากที่จะรักษาไว้ได้
อุตสาหกรรมที่มองว่าน่าจะดีปีหน้า
กลุ่มที่ 1 อสังหาริมทรัพย์ มองว่าเงียบไปสักพัก และมีปัจจัยที่ขับเคลื่อนให้บริโภคอสังหาริมทรัพย์
anada, ori,ap,siri มีการ JV กับต่างประเทศ
สะท้อนว่ากำลังซื้อจากต่างประเทศเป็นตัวมาช่วยเสริม
จากที่ซื้อกันเองเพื่ออยู่ หรือเก็งกำไร ซึ่งทำได้ยากแล้ว
แต่สำหรับนักลงทุนต่างชาติ กลุ่มใหญ่คิดว่าน่าจะเป็นฮ่องกอง
ราคาคอนโดเรายังไม่แพงสำหรับเขา เป็นแค่ 1 ใน 4 ของราคาที่ฮ่องกง
ปีนี้ยอด presales ก็ดีขึ้น ปีหน้าก็น่าจะดีขึ้น อาจจะ 2 digit
หุ้นในกลุ่มที่ชอบ เป็นหุ้นที่เกิดจากกำลังซื้อชนชั้นกลางขึ้นไป
แต่ถ้ามองถึงกำลังซื้อต่างชาติก็จะเป็นระดับสูงกว่าและป็น CBD ด้วย
ในระยะสั้นชอบ AP เป็นตัวที่มี JV และมีกำไร Q4 ที่สูง มีเงินปันผลที่ยังไม่ได้จ่าย ราว 4%
ในระยะยาวกว่ามอง LPN เป็นหุ้น Q3 กำไรแย่กว่าคาด แต่ปีหน้าจะเห็นกำไรกลับมาเติบโต
ราคาหุ้นยังต่ำ คนยังไม่ค่อยเชื่อมั่น
กลุ่มที่ 2 กลุ่มโลจิสติกส์ซึ่งเกี่ยวข้องกับการส่งออก
มีบริษัทที่เก่งเกี่ยวกับอิเลคทรอนิกส์ เป็น freight forwarder
คือ wice ซึ่งมี M&A ในสิงคโปร์ ฮ่องกงด้วย เห็นหุ้นที่ไม่ต้องมี asset เยอะ
มองว่าผู้ให้บริการมีความได้เปรียบ
กลุ่มที่ 3 โรงแรม เลือก ERW ปัจจัยไม่ดีผ่านไปแล้ว
ปีหน้าก็อาจจะมีโปรโมชั่นจากภาครัฐ เช่น การส่งเสริมให้เที่ยวในเมืองรองๆ ซึ่งจะได้ประโยชน์จากตรงนี้

คุณเกษม
ชอบกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ถ้าการลงทุนฟื้น บริโภคฟื้น แบงค์จะดีขึ้นโดยอัตโนมัติ
ปัจจัยผลดำเนินงานล่าสุดปีนี้ NPL ยังขึ้นสูงอยู่
ตัวเลขผลประกอบการไตรมาส 3 ปีนี้ลดลง ซึ่งฉุดกำไรของกลุ่ม
สัญญาณบวก ก็มีถ้าดูกำไรก่อนตั้งสำรอง กลายเป็นบวกทั้ง yoy, qoq
ตัวสำรองที่สูงมาจาก 2 สาเหตุหลัก จาก NPL ที่ยังเพิ่ม และบางแบงค์ตั้งสำรองสำหรับ IFRS9
ซึ่งจะเริ่มใช้ในปี 2019 ในปีหน้าบางแบงค์อาจไม่ต้องตั้งสำรองสูงเหมือนปีนี้แล้ว
จึงมองว่ากำไรแบงค์ปีหน้าจะดี
ตัวเลือก top pick คือ KTB fee income ต่างๆน่าจะดีขึ้น คาดกำไรโตขึ้น 20% ปีหน้า
BBL ก็ชอบ มีปัจจัยบวกเฉพาะ คือ จับมือ aia ขาย product ประกัน แต่ KTB ยัง laggard กว่า
TMB มี fee income เพิ่มสูง และมี product ใหม่ๆ มาตลอด จึงคิดว่าน่าจะผลดำเนินงานโตดีกว่าค่าเฉลี่ย
กลุ่ม อสังหาริมทรัพย์ก็น่าจะ perform ได้ดีขึ้น เช่น AP, ANAN
ปีหน้าการผลักดัน EEC เป็นรูปร่างมากขึ้น ก็จะมี AMATA ที่น่าสนใจ
การฟื้นตัว บริโภคในประเทศ F&B น่าจะได้ประโยชน์
และขยายตลาดไปต่างประเทศได้ดีขึ้นด้วย ตัวที่ชอบคือ malee
ซึ่งได้รับผลกระทบจากการ export ไปอเมริกา แล้วต้องปรับปรุงคุณภาพ
คาดว่าจะแล้วเสร็จปีนี้ น่าจะได้ export ปีหน้าสูงขึ้น

คุณวิน
ยังชอบกลุ่มเดิมที่ลงทุนคือ บริโภคในประเทศรวมเงินกู้ส่วนบุคคล, การท่องเที่ยวรวมสนามบิน, โรงพยาบาล
พอร์ตของ cimb ตัวหลัก คือ Sawad, cpall, mint, aot
เนื่องจากราคาที่ปรับตัวขึ้น ปีหน้าจึงมีการขยับออกนอกกลุ่มนี้บ้าง เช่น
อสังหาริมทรัพย์ - ส่วนตัวระวังคอนโด จะชอบบ้านมากกว่า เพราะ demand คอนโดมันอิ่ม
แบงค์จะลงทุนมากขึ้น หุ้นแบงค์ที่ชอบก็จะมีสอดคล้องกับที่คุณเกษม แนะนำ ทีมบริหารเก่ง ขายของเก่งขึ้น
การลงทุนยุคปัจจุบันยากขึ้น หน้าที่เราต้องมีวินัย
ถ้าราคาแพงหรือใกล้ target ต้องกัดฟันไม่ซื้อ รอ วันหนึ่งที่ข่าวร้ายมา
หากมั่นใจว่าหุ้นนี้ดีจริงต้องซื้อ วินัยจะเป็นตัวพิสูจน์
ยกตัวอย่างเช่น สาธารณูปโภคตัวหนึ่ง ฝรั่งเรียกว่า boring stock ราคาแทบไม่ขยับ
คนชอบซื้อเอาปันผล ir บริษัทก็มีการให้ข้อมูลนักลงทุนทุกเดือน
คนอ่านก็จะไม่ได้สนใจอะไรมากมาย
มีน้องในทีม ติดตามและดูแล้วเห็นว่ายอดขายขึ้น ซึ่งเราก็กัดฟันซื้อไป
รอจนงบออกมาก็ราคาขึ้นมา 20%
สรุปว่า ต้องทำการบ้าน มองข้าม shot ถ้ารองบดีก็อาจจะสายเกินไป

หมอเค แชร์ข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับหุ้น IPO
- ดู 7 ปีย้อนหลัง ถ้าจองเสร็จขายวันแรก ผลตอบแทนที่ได้ ดังนี้
2010 46%, 2011 75%, 2012 78%, 2013 48%, 2014 74%,
2015 32%, 2016 51%, 2017 28%
จะเห็นได้ว่าปัจจุบัน 7 ปีที่ผ่านมา ปีนี้ผลตอบแทนจะต่ำสุด
- ถ้าหากถือหุ้นตั้งแต่ ipo จนมาถึงปัจจุบัน เฉลี่ย 40-50%
แต่ปีนี้จะได้ค่อนข้างต่ำ ส่วนหนึ่งก็มีระยะเวลาเกี่ยวข้อง
- ดูผลตอบแทนในปีนี้ ตัวที่สูงสุดคือ asap 139% รองมา human 86% รองมาเป็น iii และ jkn
- หากได้ ipo มาแล้วถือจนมาถึงปัจจุบันตัวที่ได้ผลตอบแทนสูงสุด คือ
ปี 2015 tfg planb 225% com7 360% tkn 418%
ปี 2016 netbay 856% au 216%

3. ให้คะแนนตลาดหุ้นปี 2018
คุณสุกิจ 7 คะแนน
คุณเกษม 8 คะแนน
คุณวิน 7 คะแนน

4. เลือกหุ้นที่ชอบสุด 1 ตัว
คุณสุกิจ
sector อสังหา เลือก ap
คุณเกษม
ชอบ aot คน cover เยอะ ประเทศไทยคนอยากเที่ยว
มี monopoly power จะมีการประมูลราวกลางปีหน้า duty free concession(รายได้ส่วนแบ่งผลประโยชน์)
ซึ่งจะหมดสัญญาปี 2020 รวมถึงร้านค้าต่างๆในสนามบิน (concession ร้านค้า 15% duty free 19%)
จะมีคู่แข่งเข้ามาแข่งกับ king power และพื้นที่จะเพิ่มขึ้นจาก หมื่น ตรม. เป็นหมื่นเก้าพัน ตรม.
ไม่กี่วันก่อน มีข่าวที่สนามบินปักกิ่ง บ. Beijing international airport
มีการประมูล concessioion ส่วนแบ่งรายได้กระโดดจาก 25% เป็น 47%
ปี 2020 สุวรรณภูมิเฟส 2 เสร็จ ซึ่งอาจมีการปรับขึ้นภาษีเดินทาง ทำให้กำไรเพิ่มขึ้นได้
ปี 2022 สนามบินดอนเมืองก็จะมี concession หมด และเปิดประมูลอีก รวมถึงพื้นที่เพิ่มขึ้นด้วย

คุณวิน
ขอเล่านิทานแทน สำหรับคนที่เคยขายหมู
ปี 1967 โรนัลด์ เวย์น เป็น 1 ในผู้ก่อตั้ง apple ซึ่งตอนนั้นเริ่มกังวลว่าบริษัทอาจจะเจ๊ง
ซึ่งสตีฟ จ๊อบก็ไม่ค่อยมีเงิน จึงตัดใจขายไป 10% 800 เหรียญ
หากถือจนถึงวันนี้ 40 ปีผ่านไปจะมีมูลค่า 8 หมื่นล้านเหรียญ ถ้าใครขายหมูไปแล้ว นึกถึงเรื่องนี้จะสบายใจขึ้น

[ต่อช่วงที่ 2 โพสต์ถัดไป]
Go against and stay alive.
ภาพประจำตัวสมาชิก
i-salmon
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 295
ผู้ติดตาม: 0

Re: MoneyTalk@SET16/12/60เฟ้นหุ้นเด่นและกลยุทธ์VI รับปี 61

โพสต์ที่ 2

โพสต์

ช่วงที่ 2 “กลยุทธ์วีไอรับหุ้นไทย All Time High ปี 61”
1. นพ.พงศ์ศักดิ์ ธรรมธัชอารี / เซียนวีไอรุ่นใหญ่
2. คุณ พีรนาถ โชควัฒนา / เซียนวีไอรุ่นใหญ่
3. คุณ อนุรักษ์ บุญแสวง (โจลูกอิสาน) / เซียนวีไอ
4. คุณ ประชา ดำรงค์สุทธิพงศ์ / เซียนวีไอ
5. ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร / กูรูวีไอ
ผู้ดำเนินรายการ ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา และ อ.เสน่ห์ ศรีสุวรรณ

คำถาม 3 ข้อ
1.หุ้นไทยปีหน้าเป็นอย่างไร?
คุณพีรนาถ
ปกติดัชนีเป็นอย่างไรไม่ได้สนใจ จะมาเริ่มสนใจดัชนีบ้างตอนจะขึ้นเวที
มองย้อนกลับไป 3-4 ปีก่อนเคยมองไว้ว่าดัชนี set วันหนึ่งจะต้องไปถึง 3,000 จุด (ภาพระยะไกล)
แต่ ณ ตอนนี้อาจจะมองไปถึง 5,000 ด้วยซ้ำ
ปีหน้าต่างจากปีอื่นที่ผ่านมาคือ มองไปแล้วทุกอย่างรู้สึกดี สิ่งที่กลัวคือ ทุกคนรู้สึกดีหมด
หลายคนไปลงทุนต่างประเทศมองว่าไทยสู้เพื่อนบ้านไม่ได้ แต่ถ้ามองระยะยาวแล้วดัชนีจะไปถึง 3,000
เพราะมันไม่ได้เหมือนเดิม บริษัทมันไม่เหมือนเดิมแบบในตลาดที่เราเห็น รายได้บริษัทส่วนหนึ่งหรือหลายส่วนมาจากต่างประเทศ
ช่วงนี้ได้ไปลงทุนใน Startup มากขึ้น เขาไม่ได้นึกถึงแค่เมืองไทย แต่นึกถึงไปทั่วโลก จะเป็นตัวผลักดันให้กำไรบริษัทเติบโตได้
การเรียนรู้และเทคโนโลยีที่เข้ามาทำให้ความแตกต่างของบริษัทเล็กและใหญ่เท่าเทียมกันมากขึ้น
เมืองไทยยังมีโอกาสไปได้ SET ทำ new high น่าจะเห็นอยู่แล้ว แต่ปีหน้าถ้าไปถึง 2000 อาจเร็วไป น่าจะอยู่ที่ 1980
มองภาพประเทศ คิดว่า ดร.สมคิด มีวิสัยทัศ น่าจะนำพาประเทศไทยได้ดี หรือท่านอภิศักดิ์ ที่เคยเป็นประธานของ QH
ดัชนีในช่วงปี 18-19 อย่างไรก็น่าจะเกิน 2,000 จุดเพียงแต่อาจจะมีย่อกลับมาต่ำกว่า 1800 ได้ก่อนที่จะขึ้นไปอีก
เนื่องจากราคาหุ้นสูงแล้ว หุ้นกลุ่มที่คิดว่าดีคือกลุ่มที่เราเข้าใจมันดี

หมอพงษ์ศักดิ์
มองว่าดัชนีที่ไต่ระดับขึ้นไป 4-5 ปีที่ผ่านมา หุ้นทั่วโลกขึ้นสูงเกินค่าเฉลี่ย วันหนึ่งน่าจะมีการปรับตัวลง
ยิ่งทุกคนมองในแง่ดี เหมือนทุกคนได้ใช้เงินซื้อหุ้นกันไว้หมดแล้ว
ถ้าพลิกไปจากที่คาดก็ต้องทำใจว่าจะลงแน่ เป็นช่วงเวลาที่ต้องระวัง
อาจเรียกว่าฟองสบู่เล็กๆในตลาดหุ้นได้ วันหนึ่งก็กลับไปที่ค่าเฉลี่ย
มองในปีหน้าหรือ 2-3 ปีข้างหน้า ด้วยความระมัดระวัง
จากข้อมูลที่เกิดขึ้น จำนวนเดือนที่หุ้นขึ้นนานสุด ในเวลานี้คือเป็น อันดับ 2 ในประวัติศาสตร์แล้ว
เป็นสิ่งที่เห็นอย่างหนึ่งว่าหุ้นบูมขึ้นมานานแล้ว
หุ้นที่ชอบเป็นกลุ่มที่ defensive หน่อย ไม่ได้ price in ไม่ได้มีความคาดหวังมาก
หุ้นที่โดนข่าวร้ายเยอะแล้วทุกคนรู้สึกว่ามันแย่ แต่ระยะยาวมันไม่ได้แย่ขนาดนั้น ก็คงปลอดภัยระดับหนึ่ง

คุณโจ ลูกอีสาน
ตลาดจะเป็นอย่างไรคงตอบยาก สำหรับแนวทาง VI
20 ปีที่ลงทุนมา คิดว่าไม่มีความสามารถจะคาดเดาทิศทางตลาดได้เลย
ทุกวันนี้ streaming ไม่มีดัชนีหุ้นจะดีมาก ดัชนีแดง หุ้นผมก็ต้องแดงด้วย มันไม่ถูกต้อง ทั้งๆที่มันเหมือนเดิม
สิ่งที่พอรู้คือบริษัทที่เราถือ ต่อให้ดัชนีไปถึง 1900 หรือลงไป ก็จะมีคนที่กำไร และขาดทุนอยู่ดี
มีตัวเลขที่น่าตกใจ ไปเปิดดูว่าปีนี้แม้ดัชนีจะเพิ่มขึ้น แต่จำนวนหุ้นที่ราคาลดลงจากต้นปีก่อนถึง 50%
มันสำคัญที่หุ้นที่เราถือเป็นหุ้นที่มันขึ้นหรือเปล่า อย่างหุ้นที่ลงทุนในปีนี้ก็มีตัวที่ปรับตัวขึ้นต้นๆถึง 2 ตัว
สรุปว่าการคาดเดาดัชนีเป็นเรื่องยาก สิ่งที่ง่ายกว่าคือ คาดเดากำไรบริษัท
หุ้นกลุ่มที่นน่าจะดีเช่น หุ้นรับเหมา การ spending ของรัฐบาลก็น่าจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ รวมถึงวัสดุก่อสร้างที่เกี่ยวข้อง
กลุ่มทั่วไปพวกท่องเที่ยวก็ OK อยู่แล้ว แต่ที่สำคัญต้องดูราคาที่ซื้อด้วย ถ้าแพงไปแล้วก็อันตราย

คุณประชา
ทิศทางหุ้นปีหน้าไม่ทราบ เป็นคำถามที่ยากที่สุด เพราะ คาดการณ์ดัชนีเป็นเรื่องยาก และ ให้ระยะเวลา 1 ปีข้างหน้า สั้นมากเกินไป
มีสิ่งหนึ่งที่ชอบดูเวลาที่มองปีหน้าหรือหลายปีข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง มักจะดูราคาหุ้นปัจจุบันเป็นอย่างไร
ทุกคนมีข้อมูลถึงกันหมดคล้ายกันหมด และเร็วมาก
สมัยก่อนอ่าน 56-1 ต้องเอา floppy disk ไปตลาดหลักทรัพย์ จ่าย 30 บาท เอากลับไปอ่านทีบ้าน
แต่สมัยนี้ดาวน์โหลดจาก internet ได้ตลอดเวลา สิ่งที่ต่างกันคือการตีความ
ข้อมูลชุดเดียวกัน การตีความก็ต่างกัน เวลาเห็นราคาหุ้นปัจจุบัน มันคือ people expectation
เป็นความคาดหวังของคนตลอดเวลา มันจะสะท้อนว่าคนมองข้างหน้าอย่างไร
หลายปีมานี้ตลาดหุ้นอยู่ในช่วงค่อนข้างดี รวมถึงตลาดโลกก็ดีมาก
เหตุผลหนึ่งเพราะดอกเบี้ยที่ต่ำมาหลายปี earning growth ของบริษัทก็ดี
มันอยู่ที่ราคาหุ้นสะท้อนความคาดหวังแค่ไหน เวลาหุ้นเพิ่มขึ้นมาก็จะเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น
ดัชนีจะเป็นอย่างไรไม่สำคัญ มีหุ้นขึ้นเยอะ ลงเยอะ หรือขึ้น SP การที่ดัชนีขึ้น 10% ก็สะท้อนว่าคนมองดีขึ้น
ปีหน้าจึงเพิ่มความระมัดระวัง แต่ในระยะยาวเชื่อว่าดัชนีจะดีขึ้น เพราะบริษัทจะกำไรดีขึ้นๆ เชื่อมั่นในผู้บริหาร ในกิจการที่จะพัฒนาดีขึ้น

ดร.นิเวศน์
ปัจจัยหุ้นขึ้นหรือลงมีเยอะ เศรษฐกิจดี หุ้นลง เศรษฐิจแย่ หุ้นขึ้น ก็มี
ประวัติศาสตร์สอนอะไรเยอะ มันมีพลัง ถ้าคิดอะไรไม่ออกให้ดูประวัติศาสตร์
21 ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยมีแต่ขึ้นลงๆ ไปเรื่อย ไม่ค่อยมีขึ้นยาวๆ
มีแค่ 3 ปีที่ขึ้นติดกันคือปี 44 ที่เริ่มฟื้นจากเศรษฐกิจตกต่ำ ใช้เวลา 3-4 ปีฟื้นตัวตลาดหุ้นจึงขึ้นไม่หยุด
และมีอีกครั้งหนึ่งปี 51 เกิดวิกฤติแต่ใช้เวลา 1 ปีฟื้นตัว จึงทำให้หุ้นไทยขึ้นติดต่อกัน 2 ปี
ปี 2560 จะเป็นครั้งที่ 2 ที่หุ้นไทยขึ้น 2 ปีติดกัน ถ้าปีหน้าดีอีกจะเป็น jackpot
ซึ่งปัจจัยตลาดไทยอาจไม่ได้มีอะไรดีเป็นพิเศษ บังเอิญโลกตลาดหุ้นโลกดี น่าจะเป็นส่วนที่ช่วยดึงเราไป
ล่าสุดขึ้นกับอัตราดอกเบี้ยที่ตกต่ำมาต่อเนื่องจนตลาดหุ้นโลกขึ้นกันหมด
ปีหน้าอัตราดอกเบี้ยสหรัฐจะเริ่มขึ้นเป็นเรื่องเป็นราว 3 ครั้ง อาจเป็นจุดที่ทำให้กราฟขึ้นตลอดที่หยุดลง จนกระทั่งดอกเบี้ยมัน stable
ในอดีตบอกว่าลงทุนหลายๆประเทศปลอดภัย แต่ตอนหลังโลกขึ้นพร้อมกันหมด
ดอกเบี้ยก็ตกต่ำกันหมดทุกประเทศ ถ้าหากอเมริกาขึ้น และบางประเทศที่ต้องขึ้นดอกเบี้ย ภาพอาจจะเปลี่ยน
บางประเทศอาจฝืนอัตราดอกเบี้ยได้ ถ้าเศรษฐกิจเติบโตได้ดี
สมัยปี 40 เป็นช่วงที่ตลาดหุ้นกำลังบูม ทุกคนบ้าหุ้น แห่กันฟังสัมมนา โบรกเกอร์บอกจะขึ้น 2-3 พันจุด ต้องระวัง

2. กลยุทธ์ VI ควรเป็นอย่างไร ?
คุณพีรนาถ
กลับมานั่งคิด ว่าโชคดีที่เป็นนักลงทุน ถ้าหากครอบครัวเรียกไปทำงานก็จะหนักใจมาก เพราะเป็นช่วงเวลาที่ท้าทาย
และต้องตามหลายอย่าง สิ่งที่สำคัญมากคือ ดูเจ้าของ หรือ ceo ของบริษัทนั้นที่จะนำบริษัทผ่านไปได้
เป็นบริษัทที่สามารถปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ที่เข้ามา ซึ่งเปลี่ยนแปลงได้เร็ว
ส่วนตัวสนใจ big data ต้องสนใจให้ลึกซึ้ง อย่างบางบริษัทอ้างถึงอาจจะไม่ใช่ big data
พวก data analyst, data scientist ขาดแทนทั่วโลก สมัยนี้ข้อมุลเป็น unstructural data
การเอาข้อมูลเหล่านี้รวบรวมมาใช้กับธุรกิจได้อย่างไร การปรับตัวเหล่านี้ จะมาใช้ในองค์กรอย่างไร
การมองเทคโนโลยีการเปลี่ยนแปลงที่เข้ามา องค์กรที่เคยสำเร็จในอดีตอาจปรับตัวได้ยากขึ้น
นักลงทุนจึงต้องสนใจมากไปกว่าบริษัท แต่ต้องเข้าใจเทคโนโลยีเหล่านี้
และประเมินได้ว่าบริษัท ผู้บริหารจะสามารถปรับตัวได้ทัน
ประเด็นคือ ถ้าเราซื้อมาขายไป วันหนึ่งเราจะแพ้ AI สิ่งที่ AI ทำไม่ได้
เช่น วิเคราะห์ CEO ส่วนตัวเน้นในเชิงวิเคราะห์ผู้บริหาร และ corporate culture (วัฒนธรรมขององค์กร)
คนรุ่นใหม่ไม่อยากทำงานเป็นลูกจ้ง บริษัทที่มี วัฒนธรรมที่ดี รับคนที่มี passion(แรงบันดาลใจ) เดียวกัน
จะสามารถทำงานและดึงศักยภาพของคนออกมาได้เต็มที่

หมอพงษ์ศักดิ์
ถ้าสิ่งที่เจอเป็น worst case ปัญหาต่างๆจะคลี่คลาย ต่อไปโอกาสจะลงก็น้อย มีแต่ทรงๆกับขึ้น
ปกตินักลงทุนในตลาดหุ้นจะทำอะไรออกไปทางหนึ่งมากเกินไป คือ มองดีเกินไป หรือ มองแย่เกินไปเสมอ
ถ้าทุกคนมองอะไรแย่เกินไป เราคิดว่าต่อไปจะดีขึ้น เราลงทุนตัวนั้น downside risk ต่ำ ถ้าทำได้ดีกว่าคาดเราก็ได้โบนัส
ชอบมองข่าวร้ายเยอะๆ แล้วมันจะคลี่คลาย โอกาสแบบนี้ใช้ได้
ถ้าเราคอยติดตามอยู่จะรู้ว่าจังหวะนี้ sentiment เป็นแบบไหน price in ไปหรือยัง
เวลาตลาดมองบริษัทจะมองแค่ 3-6 เดือน แต่ถ้าเรามอง 1-2 ปี จะเป็นโอกาสของเรา
ถ้ามั่นใจว่า 1-2 ปีดี แล้วเรารอได้ การลงทุนบริษัทนั้นน่าจะปลอดภัย
คนส่วนน้อยต้องมองไม่เหมือนตลาด
ทุกบริษัทที่ลงทุนควรสอดคล้องไปกับพฤติกรรมผู้บริโภคไปทางนั้น
ถ้าเราลงทุนในบริษัทที่ไม่ไปไปทางนั้น ระยะยาวโอกาสจะกลับมาฝืนยาก

คุณโจ ลูกอีสาน
5 ปีที่ผ่านมา ทุกๆปี ดัชนีได้ทำจุดสูงสุดไปแล้ว เพราะมันไม่ได้รวมเงินปันผล ตั้งแต่ปี 2518 จนถึงปัจจุบัน
แทนที่ดัชนีควรอยู่ 1700 มันน่าจะเป็น 1 หมื่นกว่าจุดไปแล้ว
อย่าง ดาวโจนส์ถ้ารวมปันผลเข้าไปด้วยน่าจะเป็นล้านกว่าจุดแล้ว
แม้กระทั่งว่าถ้าเราซวยมากไปซื้อหุ้นที่จุดสูงสุดปี 38 และถือจนมาถึงวันนี้ดัชนียังไม่กลับไปที่เดิม
แต่ 23 ปีได้ปันผลปีละ 3-4% ก็จะได้กลับ 80-90% ของราคาหุ้นวันนั้นแล้ว
ดังนั้นอย่ากังวลมากดัชนีจะไปถึงไหน ถ้าเราลงทุนหุ้นบริษัทดีๆหน่อย มีเงินปันผล เราไม่ขาดทุนหรอก
แต่เราสามารถทำได้ดีกว่านั้น ถ้าใช้ความรู้หน่อยจะได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าตลาด เพราะดัชนีตลาดเป็นของดีไม่ดีคละกัน
ประเด็นที่น่ากังวล ช่วงนี้ มีใครซื้อหุ้น ipo บ้าง และอาจเริ่มขาดทุน ปีนี้เป็นปีเดียวที่มีบริษัทจดทะเบียนใหม่เข้ามาสูงสุด
มี market cap ค่อนข้างมากด้วย เพราะตอนนี้คือจุดที่ค่อนข้างแพงสุด
เจ้าของบริษัทเดิมก็อยากขายได้เงินกลับเข้ามาได้มากสุด under writer ก็ได้รับ commission ตามเงินที่ระดมทุนได้
มีหลายบริษัทที่มีกำไรเป็นวัฏจักร และเอาบริษัทมาเข้าในตลาดหุ้นช่วงที่เป็นวัฏจักรดีสุด ก็ต้องดูให้ดี
เช่น บริษัทผลิตสินค้าเกี่ยวกับเหล็ก กำไรดีมาก แต่พอดีรายละเอียดลึกๆ
เพราะ 2 ปีก่อนได้ตุนวัตถุดิบราคาต่ำไว้มาก กำไรโตมาก แล้วเอาเข้าตลาดหุ้น พอวัตถุดิบ lot ใหม่แพง อัตรากำไรก็เริ่มต่ำลง
บริษัท content ภาพยนตร์ก็มีความไม่แน่นอนสูงว่าจะฮิตไหม
ถ้าต่อไปไม่ฮิตกำไรลดลง คนซื้อหุ้นก็ขาดทุน
อัตราดอกเบี้ย เป็นของตาย ถ้าไม่ฝากเงินในแบงค์ทางเลือกมีไม่เยอะ
ในอดีตเงินฝากธนาคารให้ดอกเบี้ย 5% หุ้น PE10 ให้ผลตอบแทน 10% ต่างกันเท่าหนึ่ง
แต่มีความเสี่ยง ความผันผวน แต่ทุกวันนี้ตลาดหุ้น PE 18 เท่า ผลตอบแทน 6%
แต่เงินฝาก 1% ต่างกัน 6 เท่าตัว เป็นสาเหตุที่ทำให้ตลาดหุ้นบูมขึ้นมา ถ้าวันหนึ่งดอกเบี้ยขึ้นเยอะๆ เราต้องจับตา
สถานีทีวีช่องหนึ่งเคยมี market cap 1 แสนกว่าล้าน ทุกวันนี้เหลือหลักหมื่นล้าน
สิ่งพิมพ์ก็ตายไปเยอะ ร้านหนังสือชื่อดังทุกวันนี้ก็ขาดทุน ลงทุนในโลกต้องตื่นตัว
ไม่มีกฏหมายกำหนดว่าต้องถือหุ้นตลอดไป นักลงทุนร่วมหัวแต่ไม่จมท้าย
ซื้อหุ้นบริษัทช่วงที่เขาดี เป็นข้อได้เปรียบที่สุดของนักลงทุนรายย่อย

คุณประชา
กลยุทธ์ที่คิดไว้ปีหน้า มองบวก แบบระมัดระวัง ดอกเบี้ยก็ต่ำ ตลาดหุ้นก็ดีหลายปี
สิ่งที่มองเป็นบวกได้อยู่ เพราะตลาดหุ้นที่ผ่านมาขึ้นแบบคนระมัดระวังเหมือนกัน
เวลาหุ้นขึ้นมาเจอข่าวร้ายก็ปรับตัวลงในไม่นาน แสดงว่ามีความระมัดระวัง
รัฐบาลต่างๆในโลกก็มีความพร้อมกระตุ้นเศรษฐกิจ การกู้การลงทุนของบริษัทก็ระมัดระวัง
ยุคก่อน 1700 จุด ดอกเบี้ยออมทรัพย์ 5% ฝากประจำ 10% ช่วงปี 35-38
เคยคำนวณกับน้องชาย ถ้ามีเงิน 1 ล้านบาทเกษียณได้เลย เป็นยุคที่ตลาดหุ้นเฟื่องฟู
ได้คุยกับน้อง เขาบอกว่า หุ้นธนาคารให้ปันผล 2% แต่คนก็ยังซื้อหุ้น
แต่ตอนนี้ PE เรายังต่ำกว่า 20 เท่า ฝากประจำได้ 1% แต่ไปซื้อหุ้นเติบโต
ที่มั่นคงให้เงินปันผล 1-2% ยังดีกว่าฝากประจำด้วยซ้ำ จึงคิดว่าไม่ได้เป็นฟองสบู่เกินไป เพราะมีความระมัดระวังอยู่เหมือนกัน
คุณพ่อเคยสอนขับรถว่า เวลาขับเกียร์ 3 ปล่อยคันเร่งจะชะงักทันที แต่เกียร์ 4 รถจะไม่ชะงัก
ดังนั้นใช้เกียร์ 3 จะเป็นอะไรที่ปลอดภัยพอสมควร และรถยังไปได้ดี
ขับ 120 km กับ ขับ 90 km ความเหนื่อยก็ต่างกัน
สรุปว่า ยังขับรถต่อ ระมัดระวัง ไม่ต้องรีบร้อน
เคยอ่านหนังสอ บอกว่า ประวัติศาสตร์จะไม่เหมือนเดิม 100% แต่จะคล้ายเดิม
สิ่งมหัศจรรย์อย่างหนึ่งของมนุษย์คือการปรับตัว และวิวัฒนาการ เขาเจออะไรที่ทำไม่ดี
จะถอยมาทำใหม่ด้วยวิธีการใหม่ ถ้าเราเจอบริษัทที่ผู้บริหารมีการปรับตัว มีการมองว่าลูกค้าจะเป็นอย่างไร
ซึ่งจะหาข้อมูลได้จาก opportunity day และ money talk weekly ได้เจอผู้บริหารโดยตรง เป็นสิ่งที่ดีมากๆ
อย่างดู cnbc จะเชิญผู้บริหารมาออกรายการ 5 นาที เราดูไม่ออกหรอกว่าผู้บริหารบริษัทนี้เป็นอย่างไร
แต่แบบ money talk weekly ที่เชิญผู้บริหารมาสัมภาษณ์ เห็นกลยุทธ์ วิธีคิดอันนี้เป็น company visit แบบย่อยๆที่ดีมาก
อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ตลาดหุ้นไทยยืนอยู่ได้ VI ที่มีความรู้สมัยนี้ก็เยอะขึ้นมาก
เราควรลงทุนในบริษัทที่ management มีการปรับตัวเก่ง หลายๆอย่างในอดีตทำไม่ได้
แต่ถ้าเรามี management เก่งๆ จะแก้ปัญหาหรือปรับตัวได้
เมื่อ 20-30 ปีก่อน เวลาหนังเรื่องไหนสำเร็จจะมีภาคต่อ แต่ภาคสองมักจะไม่ประสบความสำเร็จเท่าภาค
ปัจจุบันการเขียนบทสามารถทำให้หนังภาคต่อทำให้ดีขึ้นไปเรื่อยๆ ดูแล้วสนุก เป็นความมหัศจรรย์ของมนุษย์
อ.ไพบูลย์ เสริม money talk weekly ก็ตั้งใจทำมานาน ช่วงหลังก็มีรายการดีๆ business model, hard topic ก็เป็นรายการที่ดี

ดร.นิเวศน์
ภาพใหญ่ตลาดหุ้นมีช่วงเวลาทองแต่ละยุค อเมริกายุค 10 ปี ก่อนปี 2000 หุ้น hi tech ขึ้นเป็นบ้าเป็นหลัง โตมหาศาล
คนลงทุนหุ้น hi tech รวย แต่พอผ่านปี 2000 ฟองสบู่แตก ราคาลง 90% รวมถึง amazon, Microsoft อยู่ในยุคนั้น
หุ้นไทยตั้งแต่ปี 40 มา กระแสคือหุ้นถูกแบบเบน เกรแฮม
ถ้าคนยังเล่นหุ้นถูกต่อก็ไม่ได้เท่าไร เข้าสู่ยุคหุ้น growth โตเร็ว ผลประกอบการดี pe จากเดิม 10 เท่า
ก็ปรับขึ้นไป 20,30,40 เท่า บางคนก็ใช้ margin อะไรก็รวยขึ้นมา
เวลานี้อาจหมดยุคไปแล้ว อาจเหลือแต่หางๆจะเหนื่อยขึ้นในการหาหุ้น
ส่วนตัวก็ปรับกลับมาลงทุนแบบเต่า หุ้นโตเร็วๆ pe สูงๆ ก็พยายามลด กลับมาซื้อ pe ไม่เกิน 10 เท่า pbv ต่ำ ปันผลสูง
หุ้นที่แบบ 4-5 ปีที่ผ่านมาไม่ลง แต่ก็ไม่ค่อยขึ้น ถ้าเต่าตัวไหนอายุยืน ไม่ตาย ก็เอามาเลี้ยง
มีปันผล และหวังว่าจะมีคนมาเลี้ยงเต่าด้วย อย่างน้อยหุ้นขึ้นซัก 10% ต่อปี ได้มีปันผล 5% ก็ดีแล้ว
กลยุทธ์ปีหน้าคือ เลี้ยงเต่า แล้วก็ขายกระต่ายทิ้ง

3. ให้คะแนนตลาดหุ้นไทย ?
คุณพีรนาถ เคยให้เป้าปีก่อนราว 1690 มันเกินไปอีก จึงคิดว่าหุ้นเต่าก็น่าสนใจที่จะทำให้ดัชนีขึ้นไป ให้ 8 คะแนน
หมอพงษ์ศักดิ์ 2-3 ปีข้างหน้าจะมี correction ไม่รู้ว่าเมื่อไร ให้คะแนนปีหน้าให้ 4 คะแนน
คุณโจ ลูกอีสาน ให้ 5 คะแนน
คุณประชา ให้ 6 คะแนน ไม่รู้ปัจจัยข้างหน้าจะเป็นอย่างไร แต่มองบวกบ้างอย่างระมัดระวัง stay calm and invest
ดร.นิเวศน์ ให้ 3 คะแนน ถ้าถูกคนจำได้ แต่ถ้าให้กลางๆ เดี๋ยวจำไม่ได้ ส่วนตัวก็ไม่ได้ขายหุ้น
อ.เสน่ห์ กล่าวกลอนปิดรายการ

ขอขอบพระคุณ อ.ไพบูลย์ อ.เสน่ห์ อ.นิเวศน์ หมอเค และทีมงาน money talk แขกรับเชิญ ทุกท่านที่ทำให้เราได้ความรู้ดีๆ
และได้มาพบปะร่วมกัน รวมถึงพี่ๆน้องๆกรรมการสมาคม Thaivi ทุกท่าน ด้วยครับ

วันนี้กลับถึงบ้านดึก อาจเบลอๆหน่อยครับ
หากข้อมูลที่แชร์บกพร่องไปอย่างไรขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย
ติดตาม VDO ฉบับเต็มได้ทาง fb live, youtube และช่อง TV ครับ

Money talk@SET ครั้งต่อไป 13 ม.ค. 61 เปิดจอง 6 ม.ค. 61
ช่วง 1 แนวโน้มหุ้นไทยปี 61 ดร.ก้องเกียรติ asp, คุณมนตรี mket, คุณไพบูลย์ tisco
ช่วง 2 หลากหลายกลยุทธ์ลุ้นหุ้นปี 61 ดร.นิเวศน์, คุณปริญญ์ clsa, คุณประภาส talis, คุณวัชระ (เสี่ยป๋อง)
Go against and stay alive.
theenuch
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1736
ผู้ติดตาม: 37

Re: MoneyTalk@SET16/12/60เฟ้นหุ้นเด่นและกลยุทธ์VI รับปี 61

โพสต์ที่ 3

โพสต์

ขอบคุณมากเลยจ้า...น้องบิ๊ก ^^
amornkowa
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2608
ผู้ติดตาม: 255

Re: MoneyTalk@SET16/12/60เฟ้นหุ้นเด่นและกลยุทธ์VI รับปี 61

โพสต์ที่ 4

โพสต์

ขอบคุณนะ น้องบิ๊ก
ภาพประจำตัวสมาชิก
conseto
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1187
ผู้ติดตาม: 5

Re: MoneyTalk@SET16/12/60เฟ้นหุ้นเด่นและกลยุทธ์VI รับปี 61

โพสต์ที่ 5

โพสต์

ขอบคุณมากครับ
ทำ..เพื่อไม่ต้องทำ
ALOHAYONG
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 102
ผู้ติดตาม: 1

Re: MoneyTalk@SET16/12/60เฟ้นหุ้นเด่นและกลยุทธ์VI รับปี 61

โพสต์ที่ 6

โพสต์

ขอบคุณมากครับ. นักวิเคราะห์มอง bullish มากๆ.
โพสต์โพสต์