กลยุทธ์การลงทุนโดยดูธุรกิจของบริษัท by Hong value & คุณชิณณ์

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
amornkowa
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2637
ผู้ติดตาม: 269

กลยุทธ์การลงทุนโดยดูธุรกิจของบริษัท by Hong value & คุณชิณณ์

โพสต์ที่ 1

โพสต์

สัมมนา ของ เอเชียเวลท์ หัวข้อ กลยุทธ์การลงทุนโดยดูธุรกิจของบริษัท
วิทยากร
คุณ ฮง สถาพร งามเรืองพงศ์
คุณ ชิณณ์ กิติภานุวัฒน์


คุณชิณณ์เกริ่นนำเรื่องการลงทุนด้วยปัจจัยพื้นฐาน
คำถามแรก การลงทุนด้วยปัจจัยพื้นฐานแท้จริงเป็นอย่างไร ทำให้ประสบความสำเร็จหรือไม่

คุณชิณณ์เฉลยว่า การลงทุนด้วยปัจจัยพื้นฐาน ประกอบไปด้วย
1.การวิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาค
2.การวิเคราะห์รายอุตสาหกรรม
3.การวิเคราะห์ตัวบริษัท

และ การลงทุนที่ถูกต้อง ต้องดูปัจจัยพื้นฐานของตัวเองก่อน
ถ้าปัจจัยภายในไม่พร้อม ก็ไม่ประสบความสำเร็จในการลงทุน

สิ่งแรก คือ Financial statusของผู้ลงทุน
เช่น ตอนทำงาน ได้เงินเดือนบวกค่าคอม ถ้าเอาไปใช้จ่ายก่อนออม
หรือลงทุน ดอกผลก็ออกได้ช้า
ผมค่อนข้างสบายระดับนึง ไม่มีภาระ
ถ้าเราไปถึง Financial freedomแล้วหมดไฟจะทำอย่างไร
ถ้าไฟน้อยลงในการหาหุ้น วิธีแก้คือ ไปก่อหนี้ที่ดีเสียก่อน
จะได้มีไฟในการหุ้นเพิ่มเติม

2. ความรู้ นักลงทุนบางท่านอาจได้ทรัพย์สมบัติมามากจากทางบ้าน
แต่ขาดความรู้ในการลงทุน สามารถหาจากยูทูป และ เข้าใจได้ไม่ยาก
แต่webpage & youtube ใช่เป็นเรื่องการลงทุนหรือไม่
เวลาส่วนใหญ่ของชีวิต ไปลงทุนกับเรื่องที่ไม่เกี่ยวการลงทุน สุดท้ายก็ไม่ได้ความรู้
ผมออกกำลังกายก็ฟังความรู้เช่นเรื่อง value chain เป็นต้น เพื่อสร้างความรู้
ผู้สรุป ขอเสริม เห็นคุณหมอพงษ์ศักดิ์ ก็ใช้วิธีในการฟังopp day


3 จิตใจนักลงทุน
ถ้าเราเข้าจิตใจการลงทุน โดยใช้หลักของโอวาทปาติโมกข์

3.1การทำความเลวความชั่วทั้งปวงเราไม่ทำ
เปรียบกับ นักลงทุนส่วนใหญ่ตอนแรก จะใช้สติปัญญาในการลงทุน
หลังจากลงทุนสักระยะจะหลง เริ่มฟังคนอื่นไม่ได้ใช้สติปัญญาของตนเอง
บาปกรรมที่ไปเล่นหุ้นปั่น เก็งกำไร ความคิดเหล่านี้ทำให้เกิดผิดพลาดได้

3.2 การทำกุศลให้ถึงพร้อม
การทำบุญทำทาน มาจากส่วนที่มีเรามีเกินก็มาทำบุญ แค่ได้กำไรระดับพอเพียง
ก็พออยู่ได้
ตัวอย่างของนักลงทุนบางคน
นักลงทุนบางคนถามเราว่าหุ้นตัวนี้น่าลงทุนหรือไม่
เราทำหน้าที่คือ สอบถามนักลงทุนว่าหุ้น ต่อไปจะเป็นอย่างไร
เขาตอบไม่ได้ เพราะไม่รู้เข้าใจ ทำหน้าที่ไม่เพียงพอ
นักลงทุนต้องเข้าใจกิจการเหมือนเป็นเจ้าของ

3.3 สุดท้าย ต้องไม่มีโทสะ ไม่อยากขาดทุน
เวลาผมลงทุน ผมตีไว้ว่าจะขาดทุนเท่าไหร่จะไม่เดือดร้อน เราเตรียมพร้อมแล้ว
โลภะ เราอยากกำไรเยอะ เจอหุ้นที่จะกำไรในสองปีแต่เพื่อนทักให้ซื้อหุ้นตัวอื่น
ถ้าเราเข้าใจหุ้นที่เพื่อนแนะนำ เราย้าย เราก็มีเหตุผล
แต่ถ้าไม่เข้าใจ แล้วย้ายไปลงทุน เราก็มีโลภะ
เราเป็นของๆเรา แสดงว่าเรามีโลภะ และ โทสะ
คนที่ไม่ประสบความสำเร็จในการลงทุน คือ ควบคุมจิตใจไม่ได้

หลังจากเกริ่นนำเสร็จ คุณชิณณ์ก็เข้าหัวข้อสัมมนา
ธุรกิจเดินด้วยผู้บริหาร หรือ เจ้าของกิจการ เป็นสัดส่วนที่ใหญ่
ล่าสุดลงทุนแล้วขาดทุนมาก มาจากเจ้าของหยุดทำโครงการใหม่
และหันไปแก้ไขธุรกิจเดิมที่ถืออยู่มากแทน
จะไม่มีรายได้ใหม่เข้ามา ทำให้กำไรลดลง ราคาหุ้นก็เลยลดลง
แต่ขาดทุนไม่มาก

สิ่งที่เราดูจากเพื่อนที่ชวนลงทุน เรามีกฏเกณฑ์คือ
1.เราดูผู้บริหารของบริษัทที่จะลงทุนอายุไม่มาก
2.ไม่มีประวัติว่าทำอะไรที่ไม่มีเหตุผล
3.ผู้บริหารเก่งหรือไม่ ความคิดทันสมัยหรือไป
ยุคนี้ผู้บริหารต้องสร้างS-curveให้กับบริษัทอยู่เสมอ

สิ่งที่สำคัญต่อมาคือดูที่ธุรกิจ
1.เศรษฐกิจในอนาคตในพื้นที่หากิน ดีหรือไม่
2.แข่งขันสูงหรือไม่
3.Marginสูงหรือต่ำ

เราต้องลึกซึ้งกับบริษัทให้ใกล้เคียงกับเจ้าของ
แต่ถ้าทำไม่ได้ เราต้องมีส่วนเผื่อเหลือเผื่อขาด(MOS)

บางครั้งนักลงทุน forcast งบการเงิน แต่ไม่สามารถตอบคำถาม
ทางการเงินง่ายได้ แสดงว่าไม่เข้าใจธุรกิจดีพอ

สุดท้ายการที่เราลงทุนในกิจการหนึ่ง เราน่าจะเห็นงบการเงิน
ผ่านสมมติฐานที่มีเหตุมีผล
สมมติธุรกิจถ่านหิน
1.ผู้บริหารหรือ นสพ บอกมาบอกว่าโต20%
เราต้องพิจารณาแล้วว่าเป็นไปได้หรือไม่
2. เพื่อนถามว่าน่าลงทุนไหม เลยมาถามผม จริงๆคนถาม
ต้องศึกษาก่อน เขาคาดหวังอะไร
การลงทุนที่ดี คือ กิจการที่พอประมาณรายได้ และ มีจำลอง
สถานการณ์ต่างๆ เราจะรู้ว่าเราพอลงทุนได้ไหม
หรือ PE Band ทำให้เรารู้ราคาในจริงว่าอยู่ในช่วงไหน

สุดท้ายหุ้นที่ผมชอบ อยากเป็นหุ้นส่วนคือ B-C (Business to Consumer)
มีความต่าง หรือ ความห่างระหว่างผู้ผลิตและผู้บริโภค
บางช่วงยอดขายเพิ่ม แต่ SG&A ไม่เพิ่ม ทำให้กำไรลงไปที่บรรทัดล่าง

และ ต้องรู้บริษัทที่เราลงทุนอยู่ในช่วงไหนของการเติบโต
ถ้าเราลงทุนในช่วงหุ้นstable ซึ่งไม่matchกับความคาดหวังเรื่องเติบโต
เราต้องลงทุนในช่วงที่กำลังเติบโต

คุณฮงเสริมคุณชิณณ์เรื่องลงทุนในตัวเอง มีโอกาสพูดกับรุ่นน้อง
เขาถามคุณฮงละเอียดมากเลย
ตอนลงทุนต้องทำอย่างไร ผมตอบไปว่า อ่านหนังสือวันละ8-9 ชม
เขาทำไม่ได้ แต่เขาสามารถทำงานได้ทุกวัน ไม่เว้นวันหยุดเสาร์ อาทิตย์
จริงๆเขาทำหนักหนากว่าผมมาก แต่กลับทำเรื่องลงทุนไม่ไหว

มียกตัวอย่างหุ้นเพื่อเป็นบทเรียน
หุ้นตัวแรกมีการวางมัดจำค่าที่ดินเมื่อปี58 350ลบ
แต่ปรากฏว่าไม่สามารถหาเงินมาทยอยแบ่งจ่ายเพื่อไม่ให้โดนยึดเงินมัดจำ
เลยโดยยึดเงินมัดจำ และ ต้องตั้งสำรองหนี้ทั้งจำนวน

บริษัทที่มีหนี้เยอะ แต่สามารถหาเงินมาได้ ก็ไม่เป็นไร
แต่ถ้าหาเงินมาคืนไม่ได้ จะมีปัญหา

คุณชิณณ์เสริม เราลองคิดแบบง่ายๆว่า ถ้าเป็นกระแสเงินภายในบ้าน
มีชำระหนี้ และ ลงทุนใหม่
ที่บ้านมีหนี้ต้องจ่าย และ มีเงินเข้าเท่าไหร่ จะรู้ว่ามันอาจขาดเงิน ขาดสภาพคล่องได้
มีแนวโน้มถูกยึดทรัพย์สินได้
เราต้องทำความเข้าใจธุรกิจ รู้จักงบกระแสเงินสด

กลับมาที่คุณฮง แนะนำการลงทุนไว้ว่า
ไม่เล่นหุ้นปั่น หุ้นเน่า ลงทุนแต่หุ้นที่มีพื้นฐานดี
หุ้นปั่นไม่มีพื้นฐาน ลากราคากันแรงๆ

วีไอชอบแบบไหน
เช่น รายได้โตสูงๆ กำไรโตสูงๆ
อัตราส่วนทางการเงิน gpm ,npm สูง d/e ต่ำ และ ปันผลสูง

เราดูแค่นี้จะประสบความสำเร็จไหม
ยกเคส บริษัทเมื่อ10ปีก่อน
บริษัทที่สอง ขายถ่านหิน กำไรโตมาเยอะเพราะตอนนั้นราคาน้ำมันสูง
โรงงานเลยใช้ถ่านหินซึ่งต้นทุนถูกกว่า หาลูกค้าเพิ่มได้จาก170 to 330 เจ้าในหนึ่งปี
ปี2005-2008 การบริโภคน้ำมันเตาลดลงเรื่อยๆ
เมื่อราคาน้ำมันขึ้น ก็ขายถ่านหินได้เยอะขึ้นจากปี2008
ราคาวิ่งจาก5ไปที่40กว่าบาท ทำกำไร700%ในสองปี
จ่ายปันผลสูงเป็นอันดับสามของกลุ่ม MAI
แต่ปี59 กลับมาขาดทุน

เวลาเราเล่นหุ้นพื้นฐาน รายได้โต กำไรโต แสดงว่าเรามาถูกทาง
แต่จริงๆกำไรเป็นปกติ หรือ กำไรมาจากเหตุการณ์พิเศษ
ถ้าเราเอาช่วงพิเศษเข้ามาคำนวณเกี่ยวกับกำไร เราอาจหลงทางได้ เพราะเป็นสถาพผิดปกติ
ถ้าอนาคตกลับลงไป สภาพที่ดีมากๆหรือเกินจริง อาจจะกลายเป็นการติดหุ้น

คุณต้องเข้าใจnatureของธุรกิจที่ลงทุน
บริษัทนี้ไม่มีbarrier to entry ใครก็นำเข้าถ่านหินจากอินโดก็ได้

ปีเตอร์ ลินซ์เคยพูดไว้ว่า หุ้นcommodityตอนที่เราซื้อตอนที่บริษัทดีมากๆ อาจขาดทุน50%ใน1เดือน
ค่าเงินที่อ่อนมากๆ มันจะอ่อนแบบนี้ตลอดหรือไม่
ตอนที่marginดี ก็มีคู่แข่งก็เข้ามาเยอะ
ตอนน้ำมันแพง พอเปลี่ยนหม้อต้มไอน้ำ ก็สามารถคืนทุนได้เร็ว

ตัวอย่าง ขนมโรตีบอย. มีการต่อคิวซื้อที่สยามยาวมาก ค่าเปิดสาขา 3ล้านบาท
แต่ขายช่วงดีหลายหมื่นชิ้นต่อวัน เราเอาเหตุการณ์ที่ดีมากๆแบบนี้มาคำนวณ
ก็คุ้มค่าในการลงทุน แต่เป็นตัวเลขที่ไม่เป็นความจริงในอนาคต
คนไทยอยากอวด ช่วงนั้นเลยขายดี

เวลาลงทุนหุ้น ลองคิดว่า เราเหมือนลงทุนในโรตีบอยหรือเปล่า
บางธุรกิจในตลาดหุ้น ไปซื้อช่วงพีทเหมือนโรตีบอย เราจะติดสนิท ทนนาน

เหตุผลที่เลือกหุ้นเมื่อสิบปีก่อน จะเห็นว่าบางบริษัทไม่ฟื้นเลย

หุ้นอีกตัว ผลิตชิ้นส่วนelectronic
กำไรโตตลอด
แต่กำไรหายไป80-90%
เพราะลูกค้ารายใหญ่ไม่กี่เจ้าซึ่งคิดเป็น 90%ของรายได้ทั้งหมด
พอยกเลิกorderกระทบกำไรทันที
ถึงไม่ได้เล่นหุ้นปั่น ลงทุนหุ้นพื้นฐาน แต่ไม่เข้าใจดีพอก็ขาดทุนได้

ถาม คุณชิณณ์ วิธีสังเกตลักษณะผู้บริหาร
ตอบ มีหลายวิธีในการเจอผู้บริหาร เช่น
Opportunity day
การประชุมผู้ถือหุ้น
สินค้าและบริการที่เข้าถึงง่าย อาจเจอผู้บริหาร

ส่วนเรื่องเก่งหรือไม่ ต้องสังเกตจากความคิดของผู้บริหารว่าตามทันเหตุการณ์หรือไม่
บางครั้งพูดคุยกันก็รู้แล้วว่าทันสมัยหรือไม่

อายุผู้บริหารก็มีส่วน ส่วนใหญ่อายุเกิน50ปี อาจไม่ทันสมัย
ควรเลือกผู้บริหารที่อายุน้อย

ถาม จะถ่วงค่าเฉลี่ยของธุรกิจหลายอย่างของบริษัท บางบริษัทอยู่นอกตลาด
ตอบ ต้องดูในแต่ละธุรกิจ เพราะมีmarginไม่เท่ากัน
เราต้องมองธุรกิจอย่างลึกซึ้ง ต้องลงไปในรายละเอียด



คุณชิณณ์พูดถึง ทางเเก้ของการลงทุนในหุ้น

บาปกรรมเราไม่ทำ การใช้เงินแทบไม่มี
กุศลที่ทำมา เป็นกำลังใจให้
อโหสุโข อโหสุขัง เรามีความสุข ถึงแม้พอร์ตลดลงในช่วงบวช ก็มาแก้คืนได้
คนส่วนใหญ่เป็นทุกข์เพราะความคิด คิดว่าเราเสียมันไป
จมอยู่กับความคิด ไม่ได้หาทางแก้
เราอยากได้กลับคืนมา อยากเป็นเหมือนเดิม
ความสุขทางโลก จริงๆความสุขอยู่ตรงไหน
ถ้าเราแก้ไขปัญหา หาพื้นดินที่ยืนให้เจอก่อน
หมายถึงให้ใส่ใจสถานทางการเงินก่อน ยังไงถ้าไม่แย่กว่านั้นถือเป็นจุดต่ำสุด
และจะไต่ขึ้นไปใหม่ได้

หรือ เวลาลงทุน มีทางเลือกสามทางเลือก คิดแล้วว่า
ไม่ว่าทางไหนก็กำไร
สุดท้ายออกทางเลือกสี่ คือ ไม่ได้โครงการเลย
ดังนั้น เราควรลงทุนในหุ้นแต่ละตัวโดยไม่ได้มีนัยยะต่อพอร์ตมากเกินไป
ผู้สรุปคิดว่าไม่ควรลงแค่ตัวเดียว

คุณฮงพูดถึงบริษัทสุดท้ายแถมให้
บริษัทขายพัดลมไอน้ำ ขายดีเมื่อปีที่แล้ว
หลังบริษัทที่ผลิตพัดลมที่มีชื่อเสียงเข้ามาในปีนี้ก็เป็นที่หนึ่งได้เลย
เมื่อปี2016 เขาบริษัทที่ขายพัดลมไอน้ำยังไม่ได้จ่ายค่าแรกเข้าให้กับโลตัส
กำไรเลยดี และได้ทุ่มทุนโฆษณาในmodern trade เพื่อหวังให้ขายดีในปีนี้
ปีนี้จ่ายเยอะ แบรนด์ไม่แข็ง ทำให้ค่าใช้จ่ายสูงขึ้น แต่รายได้ขายเข้า
modern tradeไม่โต แถมยังลดลงด้วย สุดท้ายก็ขาดทุน
แสดงว่า บริษัทไม่มีความเข้มแข็งของแบรนด์


สุดท้ายขอขอบคุณ บล เอเชียเวลท์ และวิทยากรทั้งสองท่านที่มาให้ความรู้ครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
kongkiti
Verified User
โพสต์: 5830
ผู้ติดตาม: 19

Re: กลยุทธ์การลงทุนโดยดูธุรกิจของบริษัท by Hong value & คุณช

โพสต์ที่ 2

โพสต์

ขอบคุณครับ :D
“Its like a finger pointing away to the moon. Don't concentrate on the finger
or you will miss all that heavenly glory.”- Bruce Lee

FAQs เกี่ยวกับแนวทางลงทุนแบบ VI
Blog ใหม่ >> https://www.blockdit.com/articles/5d733 ... 270d7b530
โพสต์โพสต์