ประกันภัย ประกันชีวิต เป็นการพนันไหม?/ บรรยง พงษ์พาณิชย์

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
istyle
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 872
ผู้ติดตาม: 1

ประกันภัย ประกันชีวิต เป็นการพนันไหม?/ บรรยง พงษ์พาณิชย์

โพสต์ที่ 1

โพสต์

ว่าด้วยการพนัน....ตอนที่ 3
ประกันภัย ประกันชีวิต เป็นการพนันไหม? ...เจ้ามือ(บริษัทประกัน)เอาเปรียบมากไหม?

ในสองตอนแรก ผมเขียนถึงการพนันในคาสิโน การพนันแข่งหมาแข่งม้า การแทงหวย การซื้อลอตเตอรี่ และทิ้งท้ายว่าจะเขียนถึงการประกันภัย ประกันชีวิต โดยบอกว่าเป็นการพนันชนิดหนึ่ง มีคนสงสัยทักท้วงมาว่า การประกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลส่งเสริม อยากให้ประชาชนทำประกัน มีถึงกับการให้หักภาษีได้จากการจ่ายเบี้ยประกันบางประเภทเสียด้วยซำ้ ซึ่งผลก็เท่ากับรัฐยอมช่วยจ่ายเบี้ยประกันบางส่วนให้ด้วย จะถือเป็นการพนันได้อย่างไร ซึ่งพวกเราถูกสั่งสอนฝังหัวว่าการพนันนั้นเป็นหนึ่งในอบายมุข 4 (นักเลงหญิง นักเลงสุรา นักเลงพนัน และการคบคนชั่ว) ซึ่งเป็นหนทางแห่งความเสื่อม ความฉิบหาย วิญญูชนทั้งหลายควรหลีกเลี่ยง

สำหรับผมแล้ว การประกัน ทั้งประกันภัย ประกันชีวิต นั้นสามารถมองได้ว่าเป็นการพนัน แต่ไม่ใช่การพนันที่เป็นอบายมุข เป็นการพนันที่มีประโยชน์ แต่ถึงจะมีประโยชน์ ก็มีต้นทุนสูงไม่น้อย คนที่จะซื้อประกันควรที่จะต้องรู้ต้องเข้าใจว่าการซื้อประกันนั้นเป็นอย่างไร ส่วนไหนเป็นเรื่องการพนัน ส่วนไหนเป็นเรื่องของการออม เจ้ามือ(บริษัทประกัน)นั้นเขาเอาเปรียบเรามากน้อยเท่าใดในการประกันแต่ละประเภท

ทำไมผมถึงบอกว่าการซื้อประกันเท่ากับการพนัน จะขออธิบายให้ฟังนะครับ โดยยกตัวอย่างที่ง่ายก่อนอย่างการซื้อประกันไฟซึ่งซื้อกันทีละปี ก็ชัดเจนนะครับว่า ถ้าเราซื้อประกันไฟบ้านก็เท่ากับว่าเราพนันว่าบ้านเราจะไฟไหม้ในหนึ่งปีข้างหน้า บริษัทประกันก็เป็นเจ้ามือรับแทงโดยถือหางอีกข้างว่าไฟจะไม่ไหม้บ้านเราหรอก ซึ่งปัจจุบันอัตราค่าประกันไฟ รวมภัยธรรมชาติอื่นๆเช่น พายุ นำ้ท่วม จะอยู่ประมาณ ล้านละพัน ซึ่งก็คือ ถ้าจะเอาทุนประกันหนึ่งล้านบาท ก็ต้องจ่ายเบี้ยประกันหนึ่งพันบาท นั่นก็เท่ากับว่าเจ้ามือ(บริษัทประกัน)เขาต่อให้เราพันเอาหนึ่งว่าไฟไม่ไหม้บ้านเราหรอก ถ้าเกิดไฟไหม้เขาก็ต้องจ่ายให้เราตามความเสียหายแต่ไม่เกินทุนประกันที่เราซื้อ(ซึ่งเขาก็ระวังไม่ให้เกินมูลค่าทรัพย์สินเพราะกลัวเราจะเผาบ้านเอาประกัน) ถ้าไม่ไหม้เขาก็กินเงินแทงเราไป

บริษัทประกันนั้น เขามีลูกค้าจำนวนมาก กับยังสามารถออกตัว คือไปซื้อประกันภัยต่อได้อีก เพราะฉะนั้นเขากระจายความเสี่ยงได้ และการจ่ายสินไหมทดแทนในกรณีที่เกิดภัยก็มักจะเป็นไปตามอัตราเฉลี่ย ซึ่งสำหรับการจ่ายสินไหมทดแทนในการประกันไฟนั้น โดยปกติบริษัทประกันภัยไทยจะมี Loss Ratio สำหรับประกันภัยบ้านอยู่ที่แค่ 28-32%เท่านั้น หมายความว่าถ้าเขารับเบี้ยประกันไปร้อยล้านบาทในหนึ่งปี เขาจะจ่ายค่าสินไหมสำหรับความเสียหายให้กับผู้เอาประกันเพียงแค่ 28-32ล้านบาทเท่านั้น ที่เหลือจ่ายเป็นค่านายหน้าเสียเกือบพอๆกันคือ 23-28% แล้วก็มีค่าใช้จ่ายดำเนินงานต่างๆ เช่น ค่าตึกหรูๆ ค่าเงินเดือนแพงๆ ค่าโฆษณา(เช่น ซื้อหน้าอกเสื้อทีมฟุตบอล ฯลฯ) เหลือกำไรประมาณ 10% ...แต่นานๆทีบริษัทประกันก็มีโดน Jackpot ได้เหมือนกัน ถ้ามีเหตุการณ์ Black Swan เช่นภัยพิบัติในวงกว้าง อย่างเช่น จลาจลเผาเมือง หรือนำ้ท่วมใหญ่ปี 2554 ที่ทำเอาบริษัทประกันไทยส่วนใหญ่ขาดทุนกันทั่วหน้า

สรุปว่า ถ้าซื้อประกันไฟบ้านในเมืองไทย ถ้ามองในแง่สถิติ ก็เท่ากับว่าวางเงินไปร้อยบาท ก็เหลือมูลค่าคาดหวัง(Expected Value)แค่ 27-32 บาทเท่านั้น มันเป็นการพนันที่เจ้ามือเอาเปรียบ(House edge)สูงถึง68-72%ทีเดียว นับว่าเป็นอัตราเสียเปรียบมากที่สุดในบรรดาการพนันทั้งหลายแหล่

ประกันวินาศภัยที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ก็คือการประกันภัยรถยนต์ ซึ่งก็คือการที่เราไปพนันว่ารถเราจะมีอุบัติเหตุหรือถูกขโมยแต่เขารับแทงว่าไม่มีหรอก ไม่หายหรอก ถ้าชนถ้าหายจะรับใช้ให้ แต่ละปีมีผู้จ่ายเบี้ยประกันประมาณ 120,000 ล้านบาท(จากประกันวินาศภัยทั้งหมด 200,000 ล้านบาทต่อปี) แต่เนื่องจากมีการแข่งขันกันมาก Loss Ratio ของประกันรถยนต์จึงสูงกว่าการประกันไฟมาก คือ อยู่ที่ประมาณ 50-60% ซึ่งมีน้อยบริษัทที่มีกำไร นอกจากบริษัทที่มีขนาดใหญ่และควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดี พอจะกล่าวได้ว่าซื้อประกันรถยนต์เป็นการพนันที่แย่กว่าซื้อลอตเตอรี่ไม่มากนัก

ถามว่า ถ้าการซื้อประกันภัยเป็นการพนันที่เจ้ามือเอาเปรียบมากมายอย่างที่ว่า แล้วทำไมคนถึงยังซื้อประกัน แถมรัฐยังส่งเสริมให้คนซื้อประกันเพื่อลดความเสี่ยงอีกด้วย ...ซึ่งการที่คนมีประกันภัยเยอะๆจะช่วยกระจายความเสี่ยงและบริหารความเสี่ยงเป็นประโยชน์กับระบบเศรษฐกิจโดยรวม ทุกรัฐจึงส่งเสริม แต่การที่คนซื้อประกันนั้น นอกจากพวกที่โดนบังคับเพราะกู้ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ซึ่งเจ้าหนี้เขากำหนดว่าต้องมีประกันแล้ว คนที่ซื้อโดยสมัครใจก็ยังสามารถอธิบายได้โดยใช้ทฤษฎีอรรถประโยชน์(Utility Theory)ซึ่งเป็นทฤษฎีเบื้องต้นของเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม

ตามหลักของทฤษฎีอรรถประโยชน์บอกว่า เงินบาทแรกๆของเราย่อมมีคุณค่าหรืออรรถประโยชน์ต่อเรามากกว่าเงินบาทท้ายๆเสมอ(Law of diminishing marginal utilities) เช่นเงินบาทที่หนึ่ง ย่อมมีคุณค่ามากกว่าเงินบาทที่ล้าน ซึ่งบาทที่ล้านก็ย่อมมีคุณค่ามากกว่าบาทที่สิบล้านเป็นลำดับกันไป คนจึงยอมที่จะเอาเงินส่วนท้ายๆของเขาไปซื้อประกันเพื่อให้แน่ใจว่าทรัพย์สินที่มีความสำคัญให้อรรถประโยชน์มากกว่าอย่างบ้าน อย่างรถยนต์ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญของการดำรงชีวิตจะได้รับการคุ้มครอง หรือพูดง่ายๆก็คือยินดีที่จะกินหรูลดลงหน่อย หรือท่องเที่ยวให้น้อยลง เพื่อเจียดเงินไปซื้อประกันไฟบ้าน ประกันรถ ทั้งๆที่เสียเปรียบเจ้ามือมากมาย เพราะเงินที่เอาไปจ่ายนั้น แท้จริงแล้วมีอรรถประโยชน์ต่อหน่วยน้อยกว่าการที่บ้านที่รถจะได้รับการคุ้มครอง ถึงจะเสียเปรียบบ้างก็ยังมีเหตุผลสมควรทำ ไม่ได้เป็นการกระทำที่หน้ามืดตามัวเหมือนการพนันที่เป็นอบายมุขอื่นๆ (ความจริงการพนันที่เสียเปรียบมากๆแต่มีโอกาสได้ทีละเยอะๆ เช่น Lotto แต่คนยังเล่นก็สามารถอธิบายได้ด้วยทฤษฎีUtilityนี้เหมือนกัน แต่คนที่ทำเช่นนั้น มักจะเป็นพวกที่มีเส้น Utilityเป็น S curve)

ทีนี้ถามว่า คนอย่างไหนถึงควรซื้อประกัน และควรซื้อประกันอะไร ถ้าตอบตามทฤษฎีก็คือ คนชั้นกลางที่ทรัพย์สินที่ตัวเองเอาประกันนั้นเป็นส่วนต้นส่วนสำคัญของความมั่งคั่ง ยกตัวอย่างเช่น คนที่มีความมั่งคั่งสิบล้านบาท โดยในทรัพย์สินนั้นเป็นบ้านสมมุติว่ามูลค่าแปดล้าน เป็นรถเสียหนึ่งล้าน แล้วเขามีรายได้ปีละหนึ่งล้านบาท การที่เขาจะยอมเจียดเงินปีละ 8,000บาทไปประกันบ้าน อีก 15,000 บาทไปประกันรถ ย่อมเป็นเรื่องมีเหตุผล ถึงแม้ว่าเงินที่จ่ายไป 23,000 จะดูเหมือนว่ามีค่าคาดหวัง(expected value)เหลือแค่เพียง 10,000 บาท(ตามสถิติloss ratio)ในทันที เพราะถ้าเขาศูนย์เสียบ้านและรถไปคงจะเป็นเรื่องใหญ่และยากที่จะสะสมเงินขึ้นมาใหม่ ในขณะที่สิ่งที่ต้องแลกเปลี่ยนอาจเป็นแค่การต้องลดการเดินห้างไปสี่ห้าวันต่อปี

ตามหลักการแล้ว คนมีเงิน คนรวยมากๆจะไม่ซื้อประกัน เพราะไม่มีทรัพย์สินชิ้นใดชิ้นหนึ่งที่มีค่าเป็นส่วนสำคัญแรกๆเลย เช่น ถ้าคุณมีเงินห้าพันล้าน ถึงจะมีบ้านมูลค่าสักร้อยล้าน ต่อให้บ้านจะถูกไฟไหม้หมดคุณก็สามารถสร้างใหม่ได้เอง ดีกว่าที่จะควักเงินปีละแสนไปซื้อประกัน เพราะโอกาสมีไฟไหม้แค่หนึ่งในสามพัน แต่เขาจ่ายค่าทดแทนให้คุณแค่พันเท่าเอง (แต่เอาเข้าจริงคนรวยก็ยังซื้อประกันทรัพย์สินชิ้นใหญ่ๆอยู่ ก็เพราะlaw of diminishing marginal utilities นี่แหละครับ) ....ยิ่งการซื้อประกันรถยนต์คนรวยที่มีรถหลายคันยิ่งไม่ควรซื้อใหญ่ เพราะการใช้ต่อคันก็น้อยกว่าเฉลี่ยมากมาย โอกาสชนโอกาสมีอุบัติเหตุย่อมน้อยกว่า และรถหรูมีโอกาสหายโอกาสถูกขโมยน้อยกว่าเยอะ แถมถ้าชนถ้าหายเขาก็ซื้อใหม่ได้สบายๆ ไม่ถึงกับเดือดร้อนมาก ...อย่างผมที่มีรถ 4 คัน ถ้าซื้อประกันชั้นหนึ่งต้องจ่ายปีละกว่าสี่แสนบาท นี่ซื้อแค่พรบ.ตามที่กฎหมายบังคับ ยังไม่มีปีไหนเลยที่จ่ายค่าซ่อมเกินปีละห้าหมื่นบาท เฉลี่ยแค่ปีละสองสามหมื่นเอง ซึ่งสมมุติถ้าซวยสุดถูกยกเค้าหายไปทั้งสี่คัน(ซึ่งมีโอกาสเกิดไม่ถึงหนึ่งในพันล้าน) ผมก็ซื้อใหม่ได้ เรื่องอะไรจะไปเล่นพนันที่เสียเปรียบขนาดนั้น

ที่ว่ามานั้นเป็นการประกันภัย ซึ่งเป็นการพนันถูกกฎหมายที่มีประโยชน์ ซึ่งปีหนึ่งๆมีขนาดเบี้ยประกันรวมประมาณสองแสนล้านบาท(สองเท่าของลอตเตอรี่) แต่มีการจ่ายค่าสินไหมแค่ แปดถึงเก้าหมื่นล้านบาท เจ้ามือรับกินไปถึงแสนกว่าล้าน เป็นค่านายหน้า ค่าตึกหรู ค่าเงินเดือนแพงๆ ค่าโฆษณา อุปถัมภ์ทีมบอล ฯลฯ ที่เหลือเป็นกำไรให้กับผู้ถือหุ้นซึ่งก็ไม่ใช่อัตราที่สูงมาก

ลองมาดูกันหน่อยไหมว่าประกันภัยไทยมีประสิทธิภาพดีแค่ไหน ที่ผมว่าประกันไฟ loss ratio ~30% ประกันรถ loss ratio ~55% นั้นมันสูงมันตำ่เพียงใด ค่าเบี้ยประกันภัยเราถูกแพงเพียงไหนเพราะอะไร ...จะขอเปรียบเทียบกับของอเมริกาให้ดูนะครับ อัตราสินไหมจ่าย(loss ratio)เฉลี่ยของประกันไฟของเขาอยู่ที่ 62% ถ้าเป็นประกันรถเขาจะมีเคลมอยู่ที่72-75%ของเบี้ยประกันเลยทีเดียว ...ซึ่งถามว่าที่มันสูงกว่าเราตั้งเยอะนี่เป็นเพราะไอ้กันไฟมันไหม้วินาศสันตะโรกันทุกเมือง แถมรถชนกันทั่วยิ่งกว่าสงกรานต์เราหรือไง ...เปล่าเลยครับ ที่เป็นเช่นนั้นมันเป็นเพราะอัตราเบี้ยประกันเขาตำ่กว่าเรามากๆๆๆๆต่างหาก ทั้งๆที่อัตราเกิดภัยเขาก็ตำ่กว่าเรามาก เขายังเอากำไร(House edge)น้อยกว่าของเราเยอะ เพราะเขามีการแข่งขันที่เข้มข้นเลยต้องมีการตลาด การบริหารงานที่มีประสิทธิภาพและต้นทุนตำ่ และตลาดเขาใหญ่ อัตราค่าเบี้ยประกันไฟประกันรถต่อทุนประกันของเขาเฉลี่ยตกแค่หนึ่งในสี่ของเราเท่านั้นเอง นั่นก็คือจะประกันไฟล้านบาทค่าเบี้ยปีละแค่ 250 บาท(ของเราพันนึง) ประกันรถล้านบาทค่าเบี้ยปีละ 5,000 บาท(ของเราสองหมื่น) แล้วเขาก็ยังมีกำไรดี นี่Progressive Insuranceบริษัทประกันใหญ่เขาก็ประกาศว่ากำลังพิจารณาจะลดอัตราเบี้ยประกันลงอีก เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งตลาด ...นี่แหละครับต้นทุนการบริหารการเสี่ยงภัยของบ้านเราถึงได้จัดว่าสูงกว่าชาวบ้านเขา มีส่วนในการบั่นทอนศักยภาพในการแข่งขันไป

ถามว่าทำไมต้นทุนการประกันภัยเราถึงแพงนัก แน่นอนครับมันมาจากหลายเหตุผล อัตราเสี่ยงภัยเราสูงกว่า ค่าใช้จ่ายมากกว่า ค่าการตลาดสูง ค่านายหน้าแพง และตลาดเราเล็กกว่าไม่ได้Economic of scaleอย่างเขา ซึ่งเป็นเรื่องที่สำนักงานคปภ.จะต้องดูแลต่อไปเพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญที่จะช่วยลดต้นทุนให้กับระบบเศรษฐกิจ ...แต่เหตุผลหนึ่งที่ถึงแม้ว่าเราจะมีการแข่งขันไม่น้อยมีบริษัทประกันวินาศภัยที่ได้รับใบอนุญาตถึง 42 แห่ง แต่ด้วยความรักชาติเราก็ยังบังคับว่าทุกแห่งต้องมีผู้ถือสัญชาติไทยเกินสามในสี่(75%)เลยทีเดียว(ถ้าจำเป็น ซึ่งมักแปลว่าจวนเจ๊งถึงจะยอมให้ต่างชาติถือ 49%ได้) ส่วนต่างชาติถ้าอยากเปิดสาขาก็จะมีเงื่อนไขสาระพัด เรียกว่าให้แข่งได้ แต่ต้องแบกกระสอบทรายวิ่งแข่งนะ ....ด้วยความรักชาติแบบนี้แหละครับ ถึงมีส่วนให้เบี้ยมันแพง สบายเจ้าสัวผู้ถือหุ้นใหญ่ของ 42 บริษัทนั่นไป บนภาระของชาวไทยรักชาติผู้เอาประกันกว่าสิบล้านคน และเพิ่มต้นทุนของประเทศบั่นทอนศักยภาพ

ทีนี้ก็มาถึงเรื่องสุดท้าย คือการประกันชีวิต ที่คล้ายกับการประกันภัยแต่มีส่วนผสมของการออมและการพนันปนกันอยู่ ซึ่งเพื่อไม่ให้บทความยาวจนเป็นที่น่าเบื่อ ผมคงต้องขออนุญาตยกยอดไปตอนหน้า ซึ่งจะเป็นตอนจบของซีรี่สว่าด้วยการพนันแน่นอนครับ

ว่าด้วยทฤษฎีการพนัน (ตอนที่ 1)
http://thaipublica.org/2017/04/banyong-pongpanich-81/

ว่าด้วยทฤษฎีการพนัน (ตอนที่ 2)
http://thaipublica.org/2017/04/banyong-pongpanich-82/

ว่าด้วยทฤษฎีการพนัน (ตอนที่ 3)
https://www.facebook.com/banyong.pongpa ... 3769305592
โพสต์โพสต์