ข่าวร้าย ตลาดอสังหาฯ ปี 2559 ท่าจะปลุกไม่ขึ้น

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
pornchokchai
Verified User
โพสต์: 96
ผู้ติดตาม: 0

ข่าวร้าย ตลาดอสังหาฯ ปี 2559 ท่าจะปลุกไม่ขึ้น

โพสต์ที่ 1

โพสต์

ข่าวดี! และข่าวร้ายในวงการอสังหาริมทรัพย์ ข่าวดีคือในเดือนพฤษภาคม ภาพรวมของอสังหาริมทรัพย์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลมีการเปิดตัวโครงการเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก โดยในเดือนนี้ มีจำนวนโครงการเปิดขายใหม่ทั้งหมด 29 โครงการ เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน 2559 จำนวน 15 โครงการ แต่ข่าวร้ายคือทั้งปี 2559 การเปิดตัวโครงการใหม่คงมีลดลงเป็นอย่างมาก
ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย (http://www.area.co.th) ซึ่งเป็นศูนย์ข้อมูลแห่งแรกในประเทศไทย และเป็นศูนย์ข้อมูลที่เป็นกลางที่สุด โดยไม่มีผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมานั่งเป็นกรรมการศูนย์ ล่วงรู้ข้อมูลไปใช้เองก่อน หรือไม่เป็นนายหน้า ไม่พัฒนาที่ดินเองอย่างเคร่งครัด กล่าวว่า ในเดือนพฤษภาคม 2559 มีจำนวนหน่วยขายเปิดใหม่รวม 6,095 หน่วย และมีมูลค่าการพัฒนาโครงการรวม 19,923 ล้านบาท แยกเป็นอาคารชุด 3,385 หน่วย (55.5%) รองลงมาคือ ทาวน์เฮ้าส์ 1,480 หน่วย (24.3%) ส่วนอันดับ 3 คือ บ้านเดี่ยว 690 หน่วย (11.3%) ของจำนวนหน่วยขายที่เปิดขายใหม่ทั้งหมด
มูลค่ารวมของการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่เกิดใหม่ในเดือนพฤษภาคม 2559 นี้มีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 19,923 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเดือนที่ผ่านมาจำนวน 12,125 ล้านบาท (เดือนเมษายน 2559 มีมูลค่า 7,798 ล้านบาท) หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 155% ซึ่งในเดือนนี้ลักษณะการพัฒนาที่อยู่อาศัยจะใกล้เคียงกับเดือนที่ผ่านมา โดยจะพบว่าสินค้าที่เข้าสู่ตลาดส่วนใหญ่เป็นอาคารชุด และมีราคาปานกลางถึงค่อนข้างต่ำเป็นสำคัญโดยมีระดับราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท (60%) รองลงมา คือที่ราคา 3-5 ล้านบาท มีจำนวนประมาณ (17%) ของหน่วยขายที่เปิดใหม่ทั้งหมดในเดือนนี้
หากเทียบภาพรวมอสังหาริมทรัพย์ที่เปิดใหม่เดือนพฤษภาคมของปีนี้กับเดือนพฤษภาคมปี 2558 จะพบว่าในปีนี้มีจำนวนโครงการเปิดใหม่ลดลง 9 โครงการ (-24%) มีจำนวนหน่วยขายลดลง 2,991 หน่วย (-33%) มีมูลค่าลดลง 17,624 ล้านบาท (-47%) และมีราคาขายเฉลี่ยต่อหน่วยลดลงด้วยจาก 4.312 ล้านบาท เป็น 3.269 ล้านบาท (-21%)
หากพิจารณาภาพรวมใน 5 เดือนแรก 2559 (มกราคม-พฤษภาคม 2559) เปรียบเทียบกับ 5 เดือนแรกปี 2558 มีจำนวนโครงการที่เปิดใหม่รวม 126 โครงการ (ลดลง -32%) มีจำนวนหน่วยขายรวม 29,886 หน่วย (ลดลงประมาณ -37%) มีมูลค่ารวม 104,665 ล้านบาท (-47%) และมีราคาขายเฉลี่ยต่อหน่วยลดลงจาก 4.182 ล้านบาทเป็น 3.502 ล้านบาท (-16%) โดยกลุ่มที่อยู่อาศัยที่เปิดขายมากสุด คืออาคารชุดจำนวน 16,860 หน่วย (56%) รองลงมา คือ ทาวน์เฮ้าส์ 7,817 หน่วย (24%) และอันดับ 3 คือ บ้านเดี่ยว 3,403 หน่วย (11%)
ในการคาดการณ์สถานการณ์ในปี 2559 โดยรวม จะพบดังนี้:
1. ในกรณีที่สถานการณ์ใน 7 เดือนหลังของปี 2559 ยังเป็นเช่นเดียวกับปี 2558 แต่ราคาทั้งปีเพิ่มขึ้น 10% ก็จะพบว่า ในปี 2559 นี้จะมีหน่วยเปิดใหม่ 71,726 หน่วย รวมมูลค่า 276,316 ล้านบาท ซึ่งลดลงกว่าปี 2558 ที่เปิดใหม่ 107,990 หน่วย ณ มูลค่ารวมถึง 435,056 ล้านบาท โดยลดลงถึง 34% ในแง่จำนวนหน่วย และ 36% ในแง่ของมูลค่า ซึ่งถือว่าลดลงมากถึงราว 1/3 เลยทีเดียว อย่างไรก็ตามเชื่อว่าสถานการณ์คงไม่แย่ขนาดนั้น เพราะเชื่อว่าใน 7 เดือนหลังนี้ บริษัทมหาชนจะเริ่มเปิดตัวโครงการมากขึ้น เพราะที่ผ่านมาได้ระบายหน่วยขายจากการที่รัฐบาลช่วยกระตุ้นกำลังซื้อของประชาชนแล้ว
2. ในกรณีที่สถานการณ์ในช่วง 7 เดือนหลังกระเตื้องกว่าช่วง 5 เดือนแรก 20% ก็คาดว่าจำนวนหน่วยขายเปิดใหม่ จะเพิ่มเป็น 80,094 หน่วย มูลค่ารวม 308,552 ล้านบาท แต่ก็ยังทำให้จำนวนหน่วยและมูลค่าลดลงกว่าปี 2558 อยู่ 26% และ 29% ตามลำดับ หรือลดลงไปราวหนึ่งในสี่แทนที่จะเป็นหนึ่งในสามเช่นการพยากรณ์แรก
3. ในกรณีที่สถานการณ์ในช่วง 7 เดือนหลังกระเตื้องกว่าช่วง 5 เดือนแรก 40% ก็คาดว่าจำนวนหน่วยขายเปิดใหม่ จะเพิ่มเป็น 88,463 หน่วย มูลค่ารวม 340,789 ล้านบาท แต่ก็ยังทำให้จำนวนหน่วยและมูลค่าลดลงกว่าปี 2558 อยู่ 18% และ 22% ตามลำดับ หรือลดลงไปราวหนึ่งในห้ามแทนที่จะเป็นหนึ่งในสามเช่นการพยากรณ์แรก
4. ในกรณีที่สถานการณ์ในช่วง 7 เดือนหลังกระเตื้องกว่าช่วง 5 เดือนแรก 60% (ซึ่งไม่น่าจะมีโอกาสเป็นไปได้เลย) ก็คาดว่าจำนวนหน่วยขายเปิดใหม่ จะเพิ่มเป็น 96,831 หน่วย มูลค่ารวม 373,026 ล้านบาท แต่ก็ยังทำให้จำนวนหน่วยและมูลค่าลดลงกว่าปี 2558 อยู่ 10% และ 14% ตามลำดับ หรือลดลงไปราวหนึ่งในสิบ
ดร.โสภณ เชื่อว่าสถานการณ์ที่อาจเป็นไปได้ดีที่สุดคงเป็นในกรณีที่ 3 ที่ว่าสถานการณ์ในช่วง 7 เดือนหลังกระเตื้องกว่าช่วง 5 เดือนแรก 40% ซึ่งจะทำให้จำนวนหน่วยเปิดใหม่เพิ่มเป็น 88,463 หน่วย มูลค่ารวม 340,789 ล้านบาท หรือลดลงกว่าปี 2558 อยู่ 18% และ 22% ตามลำดับ สาเหตุที่สถานการณ์ยังไม่ดีเนื่องจาก
1. กำลังซื้อของประชาชนยังไม่เข้มแข็งพอ ต่างกับช่วงปี 2555 ที่มีการให้ซื้อรถคันแรก ผู้ซื้อบ้านก็ยังซื้อบ้านคันแรกและรถคันแรกกันมากมายจนถึงปี 2556 แต่ในขณะนี้ไม่ได้มีการซื้อรถคันแรกนานแล้ว แต่ก็

ที่มา: http://www.area.co.th/thai/area_announc ... nt1447.htm
โพสต์โพสต์