Moneytalk@SET19Dec15เศรษฐกิจนอกเศรษฐกิจในและหุ้นไทยปี59

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
ภาพประจำตัวสมาชิก
i-salmon
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 295
ผู้ติดตาม: 1

Moneytalk@SET19Dec15เศรษฐกิจนอกเศรษฐกิจในและหุ้นไทยปี59

โพสต์ที่ 1

โพสต์

Moneytalk@SET19Dec15เศรษฐกิจนอกเศรษฐกิจในและหุ้นไทยปี59
หัวข้อ1 "เศรษฐกิจนอกเศรษฐกิจในและผลกระทบหุ้นไทยในปี 59"
แขกรับเชิญ ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล
ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร และ อ.เสน่ห์ ศรีสุวรรณ ดำเนินรายการ

สถานการณ์เศรษฐกิจนอก?
อ.กอบศักดิ์
สิ่งที่สำคัญคนไม่เฉลียวใจ
ระหว่าง 3 ปีข้างหน้า กับ 3 ปีที่ผ่านมา มองไป 3 ปีข้างหน้ายากกว่ามาก
ปีนี้เป็นตัวอย่าง ถ้ามอง ณ เวลานี้กำลังเข้าสู่ช่วงใหม่ ที่ไม่เหมือนเดิม
สมัย QE ออกมา ทุกคนเฮฮา หุ้นขึ้น ทองขึ้น ทุกสินทรัพย์ดี
แต่ 2-3 ปีที่ผ่านมาหลายสินทรัพย์ราคาตกลง ทอง ทองแดง ดีบุก ข้าว ยาง น้ำตาล แม้แต่ค่าเงินก็เปลี่ยนไป
ใน 3 ปีข้างหน้านับตั้งแต่ปีที่ผ่านมาเป็นช่วงที่ผันผวนมากขึ้น เศรษฐกิจที่คิดว่าจะพลิกฟื้นดีๆ เข้าสู่การชะลอ

ในอาทิตย์นี้เป็นจุดเริ่มต้นที่จะนำมาถึงการเปลี่ยนแปลงการเงินที่สำคัญ
การที่ FED ขึ้นดอกเบี้ยไม่ surprise เพราะปูพรมมาเยอะและประกาศมาพอสมควรแล้ว
วันที่เกิดขึ้นจริงค่าเงินก็ไม่เปลี่ยนมาก หุ้นก็ไม่ได้ตกดิ่งเหวอะไรมากมาย
แต่ช่วงเตรียมการก่อนขึ้นดอกเบี้ยที่ผ่านมา ค่าเงินดอลลาร์ในช่วง 1 ปีแข็งขึ้น 25%
ซึ่งตรงนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการขึ้น 3 ปีเต็ม 1 ปีประชุม 8 ครั้ง แต่จะขึ้นปีหน้า 4 ครั้ง ครั้งละ 0.25%
เป็นแบบหยุดครั้งขึ้นครั้ง เพื่อให้ดอกเบี้ยไปอยู่ที่ 3.5%
สิ่งนี้จะเกิดขึ้นพร้อมๆกับ ยุโรป,จีน,ญี่ปุ่น ที่กำลังอัดฉีดสภาพคล่องเยอะ ทำให้เกิดแรงกดดันในระบบ
เพราะข้างหนึ่งมีแรงดึงดอกเบี้ย อีกข้างหนึ่งก็อัดฉีด ค่าเงินโลกจะผันผวน
จะส่งผลกับค่าเงินต่างๆรวมถึงค่าเงินบาทด้วย อย่างหุ้นส่งออก ก็ได้ประโยชน์
อีกอย่างที่คนไม่เฉลียวใจ ณ ขณะนี้ในประเทศอื่นๆมีความยากลำบากกว่าเมืองไทยเยอะ
ค่าเงินบาทนิ่งๆจาก 32.5 ไป 36 แต่ลองดูค่าเงินประเทศเช่น ตุรกี , แอฟริกาใต้, บราซิล, รัสเซีย
ค่าเงินในปีที่ผ่านมา อ่อนลงเกือบ 20% เทียบ 5 ปีที่ผ่านมา
อ่อนลงจากจุดที่แข็งสุดเป็นเท่าตัว ซึ่งเงินบาทเรายังถือว่าดีมาก
ค่าเงิน บราซิลอ่อนลง 1.2 เท่าของที่เคยแข็งมา จึงทำให้อุตสาหกรรมน้ำตาลแข่งขันลำบากขึ้นเรื่อยๆ

ท่ามกลางความ gloomy(เศรษฐกิจมืดมน ไม่ดีเหมือนเดิม) ยังมีจุดที่ลงทุนได้
เศรษฐกิจจีนเมื่อก่อน ยังไงก็ต้องโต 8% ปีที่แล้วจีนเขาพูดว่า 7.5 กับ 8% เหมือนๆกัน
แต่มาวันนี้เขาพูดว่า 7 กับ 8% ก็เหมือนๆกัน กำลังสะท้อนว่าเศรษฐกิจจีนก็ไปไม่ได้ดี
เหมือนไทยตอนปี 40 คึกคักมานาน กำลังเข้าสู่ช่วงพักฟื้น กำลังต่อสู้กับโลก
และหลังจากนั้นก็เข้าโรงพยาบาลให้หมอดูแลใกล้ชิด
แต่ต้องทำใจว่าเศรษฐกิจที่เคยโตดีๆ ยากที่จะกลับไปลักษณะนั้น
จีนลงทุนในอุตสาหกรรมเหล็ก เครื่องจักร ไว้เยอะ เมื่อเขาโตไม่ได้ก็ต้องส่งออกมา
จีนงบดุลไม่ดี แบงค์มีหนี้เสียเยอะ รัฐบาลลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเยอะ
ต้องเอาหนี้เสียมาปรับโครงสร้าง มาล้างหนี้ไม่ง่าย ต้อง haircut ทำสารพัดอย่าง ใช้เวลาหลายปี
เขาจะโตช้าๆอีก 4-5 ปีข้างหน้า ระหว่างทาง ส่งออกไทยไปจีนก็ไม่โตเหมือนเดิม
สินค้าไทยที่ขายในเมืองจีนก็ทะลักออกมาข้างนอก

ยุโรปก็ยังไม่ดีเหมือนกัน แต่ไม่คิดว่าจะมีวิกฤติ จะซึมๆแบบเดียวกันไปอีก 4-5 ปี
เพราะช่วงที่ผ่านมายุโรปไม่ได้ปรับโครงสร้าง ไม่เหมือนอเมริกา
อเมริกาวันนี้กำลังไปข้างหน้า Citibank เขาไปแก้ไข
บริษัทรถยนต์เอาออกจากตลาดหุ้นมาล้างหนี้ AIA มีปัญหายึดมาเป็นของภาครัฐ ผู้บริโภคก็ลดหนี้ลงไปเยอะ
แต่ยุโรปที่ผ่านมาไม่ได้ทำอะไร เตะปัญหาไปข้างหน้า มันยากกว่าของอเมริกาเป็นหมอคนเดียว
ยุโรปขยายตัวได้ 0.3% มีหมอเป็น 10 กว่าคนเลยตกลงไม่ได้ สิ่งยากๆก็ไม่ได้ทำ
อาการเหมือนญี่ปุ่นเมื่อปี 90 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งทำให้โตไม่ได้เกือบ 20 ปี
อย่างกรีซก็ยังไม่แก้ปัญหาสุดท้ายก็ยกเงินให้
ตอนนี้คนตกงาน 25% ยังไม่ได้แก้ปัญหา เหมือนนอนโรงพยาบาลนิ่งๆไปเรื่อย

จีนมีเงินเยอะ เตรียมเงินไว้ที่ AIIB เขาโชคดีกว่าไทยปี40
เพราะเคยเห็นตัวอย่างว่าพอร่างกายไม่ดีแล้วไม่ทำอะไรจะแย่ เขาเห็นทางนั้นก็ไม่ทำ
จึงดำเนินมาตรการต่างๆเพื่อแก้ปัญหา กำลังใช้เงินที่มีดูแลตัวเอง
มีเงินสำรอง 3.5 ล้านล้าน $ เทียบกับเมืองไทย 2 แสนล้าน$ ประคองตัวเองไม่ให้แย่กว่านี้
ขณะเดียวกันนักธุรกิจก็มีโอกาส ก็เอาเงินที่มีไปลงทุนต่างประเทศ
จีนเขาก็อยากวางกรอบอื่นไปพร้อมกัน เส้นทางสายไหม ทางบกทางทะเล
จะมีรถไฟความเร็วสูงจากจีนยุโรป 5 วันส่งสินค้าไปมาได้
และขณะเดียวกันทำที่ลาวต่อผ่านไทยทะลุมาเลเซียถึงสิงคโปร์
เขารู้ว่าอยากจะทำให้เศรษฐกิจไปได้ ต้องไปถึง AEC ที่กำลังโต
จีนมีคำขวัญในใจ จะเจริญได้ต้องมีถนน ต้องมี logistics เขาจึงจะทำเส้นทางต่อช่วยประเทศลาว,ไทย
วันนี้กำลังจะวางศิลาฤกษ์ที่เชียงรากน้อย แถวบางปะอิน
สำหรับทำศูนย์ควบคุมรถไฟฟ้าความเร็วสูง (180-250 km/hr)
ซึ่งรางรถไฟยังไม่ได้สร้าง ปีหน้าจะทำ
เวลาเดินทางจากกรุงเทพไปโคราชเดิม 5 ชั่วโมง จะเหลือ 1 ชั่วโมงกว่า
จีนตะวันตก เช่น คุนหมิงไม่มีทางออกทะเล ทางดีที่สุดคือลงสู่เมืองไทย
ซึ่งจะเป็นประตูไปสู่จีนตะวันตกที่มีพลเมืองพอสมควรและเติบโตได้ดี 8-9%
เป็นที่มาว่าจีนอยากช่วยลงทุน ธนาคาร AIIB(ธนาคารเพื่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในเอเชีย)
มีเงิน 1 แสนล้าน$ ในการลงทุนรอบแรก จีนจะใช้เงินช่วยสร้างถนน โครงสร้างสำคัญๆ
ส้นทางสายไหมเมื่อก่อนคือทะเล เรือสำเภาไปมา แต่วันนี้มันไม่ใช่แค่ทางสำเภาวิ่ง
แต่เป็นรถไฟความเร็วสูง ถนน ควบคู่ สนามบิน และท่าเรือสำคัญทั่วเอเชีย และจะนำไปสู่เส้นทางสำคัญต่างๆ

มีอีกโครงการที่ญี่ปุ่นอยากจะทำเช่นเดียวกับจีน เราเป็นสาวงามที่มีคนแข่งกันจีบ
เขาอยากจะช่วยทำรถไฟความเร็วสูง แต่เป็นเส้นอีสเทิร์นซีบอร์ดมากรุงเทพไปกาญจนบุรีแล้วไปทวาย
เป็น อีสเทิร์นคอรริดอรร์ ญี่ปุ่นอยากเชื่อมมหาสมุทรอินเดียไปแปซิฟิค
มอเตอร์เวย์ มีกำลังจะทำ บางปะอิน-โคราช , บางใหญ่-กาญจนบุรี จะทำถนน 2 เลนไปก่อนทะลุที่ทวาย
อย่างค่าเงินอ่อน ส่งออก ท่องเที่ยว เกษตรได้อานิสงค์ โครงสร้างพื้นฐานกำลังเกิดขึ้น

มองในเศรษฐกิจไทยปี 59?
อ.กอบศักดิ์
ถ้าถามตัวเลข ปีนี้คงราวใกล้ 3% แต่ปีหน้าคงดีกว่าปีนี้ น่าจะได้ซัก 4%
แต่อย่าใส่ใจกับตัวเลขเศรษฐกิจมาก ไม่ได้โตดี 5-6% เหมือนอดีต
ที่สำคัญ คือการเปลี่ยนประเทศไทยให้ได้ ถ้ากลับไปดูข้อมูลเศรษฐกิจไทยน่าคิด
สมัยก่อนตอนยุคอ.กอบศักดิ์ทำงาน ส่งออกโต 20% ทุกปี
แต่ 4 ปีที่ผ่านมา โต 3.7%, 0.7%, 0.5% -5% เป็นหนังคนละม้วน
GDP ก็เหมือนกันคู่แข่งมาเลเซีย,อินโต,ฟิลิปปินส์ โตสู้ไม่ได้
คิดว่าเพราะเมืองไทยขายของเดิม เช่นมือถือรุ่นเก่าๆ มัวแต่ตีกัน แทบไม่ได้เปลี่ยนแปลงตัวเอง
ไม่ได้ลงทุนโครงสร้างต่างๆ เมกะโปรเจคได้ยินมาตลอด 7 รัฐบาล พูดมาจนไม่เชื่อว่าคนจะทำ

ปีนี้หัวใจสำคัญอย่าไปคิดว่าโตกี่ % แต่เราลงทุนโครงสร้างพื้นฐานได้ไหม
อย่างเรื่อง 4G ก็เป็นสิ่งที่รัฐบาลเดินหน้าในการประมูลให้สำเร็จแม้จะมีคนขัดขวาง
สิ่งสำคัญคือต้องเปลี่ยนประเทศไทย ถ้าทำแบบนี้ได้ 3-4 โครงการ
คนจะเริ่มมองใหม่ จะเห็นว่ากำลังขับเคลื่อนและเป็นไปได้

บริโภคในประเทศไทยตันแล้ว เพราะคนไทยใช้เงินไปเยอะ
รัฐบาลเก่าได้เร่งเครื่องตรงนี้ไปเยอะ รถคันแรก บ้านหลังแรก ใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต

ส่งออกก็ลำบาก ที่บอกว่ายุโรป จีน ญี่ปุ่นไม่ดี อเมริกา aec ยังไปได้ ก็หวังพึ่งมากไม่ได้ ถ้าโตได้ 3-4% ก็ดีแล้ว

การลงทุนยังไปได้ ถ้าลงทุนในหุ้นเมืองไทย ลองดูงบการเงินมีหลายบริษัทยังดี
เงินสดที่อยากจะลงทุนไม่ได้ใช้ เก็บไว้เป็นเงินสำรอง เพราะที่ผ่านมาสถานการณ์ไม่สงบ
บริษัทไทยมีเงินสำรองเก็บเยอะ อย่างเช่น แบงค์กรุงเทพมีเงินสำรอง 1 ล้านล้านบาท
ที่สำคัญคือ ตัวของบริษัทไทยพร้อมลงทุน แต่ไม่มีความมั่นใจ
ซึ่งขณะนี้ 4G ได้ ก็จะเกิดการลงทุนตามมา อย่างรถไฟทางคู่ที่มีการประมูลแล้ว
รอมาตั้งแต่รัชกาลที่ 5 คือ จิระ-ขอนแก่น และจะมีโครงการแบบนี้ออกมาอีก

โครงการสุวรรณภูมิเฟส 2 มีเงินแต่ไม่ทำ ก็เป็นหน้าที่รัฐบาลจัดการให้ทำ
เป็นที่รองรับให้นักท่องเที่ยวลง รวมถึง อู่ตะเภา ภูเก็ต ก็ต้องทำ

เส้นทางที่ผ่านจะเปลี่ยนเมืองต่างๆให้เจริญ เป็น hub สำคัญ เช่น ขอนแก่น พิษณุโลก กาญจนบุรี
ต่อไปก็จะดีขึ้น บริษัทที่ทำโครงการเหล่านี้ก็จะได้ประโยชน์

เวียดนามน่ากังวลสำหรับเรา เขาเคยตามหลังเราตั้งนาน
วันนี้ส่งออกไปสู่จีนของเวียดนามแซงเราแล้ว ส่งออกอิเลคทรอนิกส์วันนี้ปริมาณก็มากกว่าไทย
เขากำลังปรับตัว รวมถึงการเข้าร่วม TPP
(อ.เสน่ห์เสริม TPP คือ Trans Pacific Partnership เป็นข้อตกลงการค้าเสรี
เซ็นกันเมื่อ 5 ต.ค.ที่ผ่านมาประกอบด้วย 12 ประเทศ ออสเตรเลีย บรูไน ชิลี นิวซีแลนด์
เปรู สิงคโปร์ สหรัฐอเมริกา เวียดนาม ญี่ปุ่น แคนาดา มาเลเซีย และเม็กซิโก )

TPP ความกังวลใจคือ ถ้าเมืองไทยไม่เข้า ชิ้นส่วนที่ผลิตเมืองไทยจะนับเป็นส่วนหนึ่งของ TPP หรือไม่
ซึ่งถ้าไม่นับอาจจะต้องผลิตที่เวียดนามแทน รัฐบาลก็กำลังศึกษาเรื่องนี้ จะมีเวลา 1-2 ปีกว่าจะใช้จริง
เป็นการสรุปข้อตกลงแต่ยังไม่อนุมัติ ญี่ปุ่นเสนอว่าถ้าไทยสนใจเขาจะให้ข้อมูลและคำปรึกษากับเรา
ไม่เช่นนั้นเขาอาจต้องย้ายฐาน แต่การเข้าร่วม TPP ก็ไม่ได้ง่าย เพราะมาตรฐานสูง
มีมาตรฐานสิ่งแวดล้อม, IP ถ้าจะเข้าร่วมก็ต้องทำให้ได้

2-3 ปีข้างหน้าเห็นอนาคตเศรษฐกิจไทยอย่างไร?
อ.กอบศักดิ์
หัวใจสำคัญอยู่ที่เราจะสร้างโครงสร้างใหมได้หรือไม่ และปฏิรูปตัวเองในกฏหมายที่สำคัญได้ไหม
โครงการเหล่านี้ไม่ง่าย รัฐบาลปกติจะผ่านขั้นตอนต่างๆไม่ง่าย ถ้าติดอุปสรรคต่างๆ ยังแก้ไขได้
สิ่งที่เขาอยากให้ทำคือ กฏหมายแข่งขันทางการค้า รายใหญ่เยอะ, กฏหมายปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ
เช่น การบินไทย, รถไฟไทย ถ้าทำได้ก็จะเป็นการเปลี่ยนแปลงสำคัญ
เหมือนบริษัทถ้าผมเป็นโนเกีย ขายมือถือรุ่นเก่าไม่ได้ ก็พยายามขาย
แต่อีกด้านต้องสร้าง platform ใหม่ ถ้าทำได้ในช่วง 2-3 ปีนี้ ต่อไปก็มีทางไปต่อได้
ถ้าสามารถทำโครงสร้างพื้นฐาน ปฏิรูปกฏหมายสำคัญได้ เมืองไทยจะสดใส โอกาสในการโต 5-6% เป็นไปได้

ทั้งหมดไม่ง่ายเหมือน 2-3 ปีก่อน ตัวเราต้องกลับมานั่งคิดเรื่องการวางรากฐานใหม่
ถ้าทำได้จะทำให้เมืองไทยแข่งขันได้อีก รัฐบาลอยากทำหลายเรื่อง new industry
สร้างnew S curve - medical hub, tourist hub, ศูนย์กลางการบิน อยู่ในวิสัยที่ทำได้
แต่ต้องมีเป้าหมายชัดเจนและเดินไปข้างหน้า
ระหว่างนี้คือช่วงเปลี่ยนผ่านที่จะเปลี่ยนกฏหมายยากๆและลงทุนเพื่อเดินไปข้างหน้า

ดอกเบี้ยอเมริกาที่กำลังขึ้นจะกระทบอย่างไร?
FED ขึ้นดอกเบี้ย 4 ครั้ง คิดว่าเมืองไทยจะไม่ทำอะไรกับดอกเบี้ยจนถึง 1 ปีให้หลัง
เพราะเศรษฐกิจไทยก็ยังซึมๆ จะลงดอกเบี้ยก็ไม่ได้เพราะต่ำแล้วจะมีปัญหาค่าเงิน
ซึ่งจะคงไปถึงปลายปี 59 ถ้าเศรษฐกิจไปได้อาจจะมีโอกาสขึ้นดอกเบี้ย
อสังหาฯถ้าคิดว่าดอกเบี้ยจะลดก็คงไม่มา
ค่าเงินในช่วงปีหน้าก็จะมีโอกาสอ่อน
เวลา FED ขึ้นดอกเบี้ยแรกๆจะยังไม่เห็นผลมาก แต่พอผ่านไป 2-3 ครั้งดอกเบี้ยจะอยู่ที่ 0.75%
ที่ยุโรปตอนนี้มีปรากฏการณ์ใหม่ ใครฝากเงินธนาคารกลางต้องจ่ายค่าฝาก
ในอนาคตถ้า FED ขึ้นดอกเบี้ยไป 0.75% ขณะที่ยุโรปต้องจ่ายเงินดอกเบี้ย 0.25%
เขาก็จะเอาเงินยุโรปไปฝากที่อเมริกาข้ามคืน พอค่าเงินอเมริกาแข็ง ยุโรปอ่อนด้วย
ยิ่งดีเข้าไปใหญ่ อเมริกาก็จะดูดเงินทั่วโลกเข้าไป ค่าเงินก็จะแข็ง

เรื่องเงินไหลออกก็มีโอกาส ขณะที่ทำ QE US ซื้อ พันธบัตรมาเก็บไว้ 4.5 ล้านล้านUS$ จากปกติมี 1 ล้านล้านUS$
ซึ่งช่วงที่ขึ้นดอกเบี้ยเขาประกาศว่าจะไม่ขายพันธบัตรออก ทุกอย่างที่ซื้อไว้จะถือจนหมดอายุ
แต่เมื่อ FED ขึ้นดอกเบี้ย ถ้าสภาพคล่องล้นตลาดอยู่ จะขึ้นดอกเบี้ยไม่ได้ เหมือนสนามบินน้ำท่วม
ดังนั้นเขาต้องทำให้สภาพคล่องน้อยลง FED ก็จะรับฝากเงินได้ผลตอบแทน
ซึ่งก่อนหน้านี้คนต้องเอาเงินออกไปซื้อน้ำมัน ทอง commodity ต่างๆ

เมืองไทยเงินไหลออกไปเยอะแล้ว เราโชคดีตรงที่วันที่เงินไหลเข้าเราทะเลาะกัน
ถัดมาเราก็ตีกันต่อ ถึงเวลาไหลออกก็เลยไม่ค่อยมีให้ไหลออก
ในตลาดหุ้นปี เงินออกไป 3 แสนล้าน
ช่วงที่เคยทำงานอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ตอน subprime ตอนนั้นเราก็บอกต่างชาติขายหมดแล้ว
แต่ก็ตลาดหุ้นก็ยังตกต่อได้เพราะคนไทยขายเอง
ดังนั้นอย่าเพิ่งคิดว่า fund flow ไม่มีออกแล้วจะตกไม่ได้

AEC คิดว่าเป็นของจริง ลาว พม่า เวียดนามกำลังดี เราเชื่อมโยงได้ทุกคน และส่งออกไปที่เหล่านี้ดีมาก
เมืองที่กำลังเกิดขึ้นตามโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึง Digital economy
ต่อไปจะเปลี่ยนไปเยอะ แม้ความผัวผวนจะจริง
แต่โอกาสต่างๆก็ของจริงเหมือนกัน ดูอย่างมือถือสมัยนี้ก็เป็น atm สามารถใช้สิ่งต่างๆเปลี่ยนแปลงชีวิตได้
โลกกำลังเปลี่ยน e-commerce ก็เปลี่ยน 4g มาก็จะทำให้เปลี่ยนแปลงเร็วขึ้น

ช่วงที่ปิดราชประสงค์ เคยถามนักธุรกิจโรงแรมที่อยู่ตรงนี้อาจจะไม่ดี แต่ต่างจังหวัดก็ยังไปได้
ร้านขายของที่เป็น stationary หน้าร้านอาจจะไม่ดี แต่ e-commerce ไปได้ดีมาก
และต่อไปDigital เมืองไทยก็จะมีกฏหมายสำคัญมารองรับมากขึ้น

ดร.นิเวศน์ สมมติว่าเราทำเรื่องต่างๆมา แล้วเราขายไม่ออก
เราแข่งขันกับต่างชาติไม่ได้ จะทำให้เศรษฐกิจเจริญได้จริงไหม?
อ.กอบศักดิ์ โครงสร้างพื้นฐานสำคัญมาก ไปที่นครพนม ริมน้ำโขงจะติดป้าย
สุดเขตแดนสยาม เขาเปลี่ยนป้ายเป็นประตูสู่ AEC
เชียงรายแต่ก่อนเป็นเมืองที่อยากไปเที่ยว เงียบๆ นะวันนี้เป็นประตูมิตรภาพไทยลาว
ทะลุเชียงขอม ไปจีนตะวันตก วันนี้ไม่ใช่เราขายไม่ได้ เราเปิดประตูเหล่านี้แล้วทุกอย่างเปลี่ยนแปลง
นครพนมเมื่อก่อน ไม่มีสะพานไปพม่า
ส่งออกข้ามแดนได้ 5 พันล้านบาท แต่มีสะพานส่งออกเป็น 5 หมื่นล้านบาท
เราไปช่วยพม่าทำแม่สอด เมวดี ผาอัน ย่างกุ้ง
ในอดีตจะมีเขาลูกหนึ่งที่มีถนนเลนเดียว ถ้าไปผิดวันต้องรอ 1 วันข้ามไม่ได้
ตอนนี้ไปสร้างถนนเพิ่มสามารถไปมาได้ทุกวัน ยอดค้าขายจาก 5 หมื่นล้าน จะเป็น 1 แสนล้าน
เราอาจจะไม่ดี แต่คนอื่นดี ลาวกัมพูชาเมียนมาร์ กำลังซื้อดีมาก

4 ปีนี้ผมไป AEC มา 70 ครั้ง ไปเปิดสาขาที่เมียนมาร์ กัมพูชา
สินค้าที่อยู่ในร้านสะดวกซื้อแทบจะเหมือนเมืองไทย เขามองว่าประเทศไทยเป็นสินค้าดี
ของจีนใช้ไม่ได้ เราต้องโดน copy made in Thailand
แต่มันหมายความว่าสินค้าวิ่งไปสู่ aec และขายดีมาก
อย่าดูถูกว่าเขาไม่มีกำลังซื้อ ไปเมียนมาร์ ชาบูชิขายอยู่ 500 กว่าบาท แพงกว่าเมืองไทย แต่คนเต็มร้าน
ไปเดินห้างสรรพสินค้าเขา เดินดูไวน์ ขวดที่แพงสุด ราคา 60,000 บาท
ถามพนักงานเขาบอกว่าขายได้เรื่อยๆ บางเดือนก็ขายได้ 6 ขวด
นี่คือที่บอกว่ากำลังซื้อมีอยู่ และโตอย่างรวดเร็ว ถ้าเราทำถนนหนทางเสร็จ
จะเป็นช่องทางไปสู่รอบๆบ้าน เป็นหัวใจของการก้าวหน้าครั้งต่อไป เราจะโตเพราะเพื่อนบ้านเราเจริญ



หัวข้อ2 “จับตาหุ้นไทยในปี 59”
แขกรับเชิญ
1) ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ CEO_ASP
2) คุณมนตรี ศรไพศาล CEO_MBKET
3) ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา และ อ. เสน่ห์ ศรีสุวรรณ ดำเนินรายการ

มองหุ้นไทยปี 59 อย่างไร?
ดร.ก้องเกียรติ
ประเทศเราเปลี่ยนแปลงและชะลอตัวปี 58 ในช่วงต้นถึงกลางปี 59 น่าจะไม่ต่างกันมากเท่าไร
หลังจากนั้นถ้าทั่วโลกรวมทั้งในประเทศเริ่มนิ่ง ครึ่งปีหลังอาจจะดีขึ้น
ไม่ค่อยมองหุ้นไทยบวกเท่าไรในปี 58 รวมถึง 57 ด้วย เพราะหุ้นไทยแพง เมื่อเทียบกับต่างประเทศ
ดูจากต่างประเทศแล้วค่อยดูในประเทศ อเมริกาขึ้นดอกเบี้ย ปีหน้าขึ้นอีก 4 ครั้งครั้งละ 0.25%
สิ้นปี 59 ดอกเบี้ย 1.375% เป็นการส่งสัญญาณที่ดี
ทำให้นักธุรกิจและนักลงทุน ใช้สมมติฐานตัดสินใจลงทุนได้
ราคาน้ำมันลงไปเยอะ wti 34-35 $/barrel มีผลให้ประเทศเจ้าหนี้เริ่มเป็นลูกหนี้
หลายประเทศที่ร่ำรวยจากการเจาะน้ำมันขาย เช่น ซาอุดิอาระเบีย
ต้องเอาสินทรัพย์ออกมาขายหลายหมื่นล้านเหรียญus$
ซึ่งประเทศที่ลงทุนสร้างต่างๆไว้ด้วยคิดว่าน้ำมันราคาระดับ 100$ ต้องเบรครวมถึงขายสินทรัพย์ด้วย
ทำให้มูลค่าสินทรัพย์ไม่ว่าจะเป็นหุ้นหรือพันธบัตรที่เขาถือเยอะจะถูกกดราคาลงไป
แต่เชื่อว่าต้นทุนน้ำมันที่มองกันจะไปถึง 20$ อาจจะมองในแง่ร้ายเกินไป
ที่คนมองลงก็จะลงต่อ มันมีจุดสมดุล วันหนึ่งก็ถ้าพลิกกลับเหตุการณ์ก็อาจจะเปลี่ยน
เราใช้สมมติฐาน 35-40$ ในปี 59 พวกลูกหนี้ก็ต้องประมาณว่าจะต้องขายสินทรัพย์เท่าไรในเคลียร์หนี้
มองยุโรปในแง่ค่อนข้างบวก ใช้ประสบการณ์ที่เคยลงทุนในอเมริกาตอน sub prime เป็นจุดต่ำสุด
จุดที่ bad bank เอาของมาขาย เหมือน บบส. เอาตึก เอาของมาขาย ราคาต่ำสุด
ถ้าเราได้ประมูลซื้อของตรงนั้นคือจุดต่ำ อเมริกาผ่านไปแล้ว ยุโรปกำลังทำอยู่
จึงทำให้น่าสนใจประกอบกับมาตรการ QE ทำให้ ดอกเบี้ยต่ำ และเกิดสภาพคล่อง
ญี่ปุ่นก็เหมือนกันยังเป็นบวก มี QE, ท่องเที่ยวก็ดีมาก คนไทยไปช่วยอุดหนุนเยอะ
มีช่วงหนึ่ง ที่คนไทยไปซื้อ bad bank เอาตึกมาขาย
ตึกที่ลอนดอนขายดีมาก ราคาไม่แพง กู้ปอนด์ได้
เช่น กู้ 50% เก็บค่าเช่าได้ 6% ต้นทุน 3-3.5% ให้ spread ที่น่าสนใจ
ตึกละ 3-4 พันล้านบาท ลูกค้าชอบ เป็น sweet spot ซื้อง่ายขายคล่อง
ถ้าสนใจในเยอรมัน หรือสเปน พวก yield 6% ก็น่าจะมีอยู่
การลงทุนอสังหาริมทรัพย์ ต้องถือหลัก คือ ซื้อยาก ขายง่าย อย่าซื้อสิ่งที่ซื้อง่าย ขายยาก
เช่น ซื้อที่เพลินจิต สมัยก่อน ที่มีเหลือไม่เยอะ ซื้อยาก เวลาเอามาขายแย่งกันเยอะแยะ
เรียกว่าเป็น crown jewel (เพชรยอดมงกุฏ)

สภาพคล่องดี ยุโรปฟื้นจะเอื้อให้เอเชียได้ประโยชน์บ้าง
รถยนต์ bmw benz ขายดีมากในจีน อเมริกา เป็นรถยนต์ยอดฮิต
ค่ายูโรที่ถูกทำให้ส่งออกน่าจะฟื้น
ญี่ปุ่น ก็ฟื้น ปี 2020 ก็จะมีโอลิมปิคด้วย
จีน รัฐบาลข้อดี สามารถสั่งได้ สามารถสร้างงาน สร้างโครงการต่างๆให้เศรษฐกิจโตได้
อาทิตย์ก่อนไปเซินเจิ้น กวางเจาดู e commerce ของจีน ต้องยอมรับว่าก้าวหน้ามาก
เทียบบ้านเรา ถ้ารัฐบาลเปิดสถาบันให้จีนมาสอนคนไทย คงทำให้เราก้าวหน้าไปกว่านี้เยอะ
อย่างบางบริษัทก็กำลังท้าทาย Alibaba ด้วยซ้ำ
เคยฟังแจ็ค หม่า เมื่อ 15 ปีก่อน และก็ได้เจอหลายครั้ง
มีความเชื่อดูวิสัยทัศน์ดูการทำงาน ตอนนี้ 1 ใน 3 การค้าจีนผ่าน Alibaba ซึ่งก็ได้ลงทุนในบริษัทนี้นานแล้ว

ในเมืองนอกโลกโตด้วย disruptive technology สิ่งนั้นไปได้ดี
เช่น Alibaba, uber หรือที่ใช้เทคโนโลยีน้อยๆด้วย
starbuck ใช้เทคโนโลยีและสร้างบรรยากาศ
ทำให้ทุกคนอยากไปนั่งทำงาน ประชุมเล็กๆ เราก็ถูกกลืนไปด้วย
ประมูล 4G ในบ้านเราก็ทำให้ชีวิตเปลี่ยนเยอะ
ต่อไปกดปั๊บข้อมูลขึ้นทันที ธุรกรรมต่างๆก็จะรวดเร็ว
ต้องไปเราต้อง absorb ข้อมูลได้มากและต้อง process ให้เร็ว

ประเทศจีนโต 6% กว่าไม่ถึง 7 , AEC ก็ดีต่อเมืองไทย
รวมแล้วบรรยากาศยังดีอยู่ ยกเว้นการขึ้นดอกเบี้ยอเมริกาก็จะกระเทือนเล็กน้อย แต่เป็นเรื่องที่ดี
ไม่เกิดการเก็งกำไรเกินไป กองทุน junk bond มีคนออกไปถอนเงินเยอะเลย
ตอนนี้ก็ค่อยๆคลี่คลายขึ้น จนราคาถูกกดขายไม่ออก

ประเทศไทย รัฐบาลเดินหน้านโยบาย การใช้นโยบายต่างๆกินเวลา ภาคการใช้จ่าย
ความมั่นใจผู้บริโภคต้องใช้เวลาฟื้นตัว คนซื้อรถยนต์เยอะใน motor show เพราะกลัวภาษีขึ้นปีหน้า
สัญญาณสำคัญคือ โครงการต่างๆ รถไฟ ถนนต่างๆ อาจจะเริ่มสร้างขึ้นในครึ่งปีหลัง
ต้องดูว่าสร้างจริงไหม น่าจะเป็นสิ่งที่ช่วยฟื้นความมั่นใจระดับหนึ่ง

หุ้นทำให้คนเสียกำลังใจ นักลงทุนเวลากำไร เอาเงินไปซื้อคอนโด ซื้อรถยนต์ ไปต่างประเทศ
และบริโภคมากขึ้นกว่าปกติ แต่เมื่อหุ้นตกคนจะประหยัดค่าใช้จ่าย
เมื่อหุ้นตกระดับหนึ่งจะถูกพอให้คนที่มองระยะยาว เข้ามาซื้อ
3 ปีที่ผ่านมา ต่างชาติขายออกไป 3.3 ล้านบาท
เมื่อก่อนต่างชาติมีหุ้น 30% ของหุ้นทั้งหมดในตลาด ขายจนเหลือ 25%
คิดว่าคงไม่ขายมากกว่านี้แล้ว เพราะเป็นหุ้นส่วนกับบริษัทจดทะเบียน
ถ้ามีเหตุการณ์บวกกระตุ้นเช่นการลงทุน หรือถ้าผลประกอบการที่ดีขึ้น ไตรมาส 1 หุ้นก็อาจจะขึ้นได้

คุณมนตรี
ปลายปี 57 ยังเป็นบรรยากาศที่พอมีกำลัง นักลงทุนยังอยู่สภาพความสนุกสนานได้อีก 2 เดือน
ที่ให้ภาพบวกที่ผ่านมาอาจจะมากไปหน่อย แต่ที่คุณสุกิจ ฝ่ายวิจัยเราให้ข้อมูลก็ใช้ได้
ปี 13 เราบอกว่า shutdown first half restart midyear ซึ่งก็ เป็นจริงอย่างนั้น
พอถัดมาเราก็บอกภาพตลาดน่าจะดีอีกหนึ่งไตรมาส หลังจากนั้นจะมีปัจจัยเสี่ยงเข้ามาเรื่อยๆ ซึ่งก็เป็นอย่างนั้น
หลายคนมีความกังวลว่าหุ้นขึ้นไป 1600 แล้วมีบรรยากาศลูกโป่งไหม
สิ่งที่ผมชี้คือลูกโป่งในตลาดหุ้นใหญ่ไม่มี อาจจะมีในหุ้นที่เสี่ยงๆปัจจัยพื้นฐานไม่มี
หุ้นหลายตัวถือเป็นหุ้นอภินิหาร เป็นหุ้นขึ้นได้ไม่มีผล มันพร้อมจะตกลงมาอย่างมีเหตุผล
ถ้าวัดจากสิ้นปีถึงสิ้นปี หุ้นไทยตกลง 7-8% แต่ถ้าวัดจุดพีค จนถึงวันนี้ ดัชนีหุ้นไทยตกมา 20 กว่า %
ส่วน mai peak ที่ 800 จุด ตกลงมา 35% เริ่มมีการปรับตัวลงมา เพราะบางหุ้นผิดปกติ
สังเกตหุ้นที่ขึ้นมักขึ้นตอนเราไม่มี พอเราถือตกทุกที

สิ่งที่ทำให้หุ้นตกมาจากหลายเรื่อง เช่น เศรษฐกิจโลก
ฟังข่าวปีนี้การส่งออกไทยตกต่ำติดต่อกัน ข้อมูล 7 เดือนสะสม ประเทศไทยส่งออกลดลง 2% นำเข้าลดลง 9%
แต่ถ้าเทียบต่างประเทศอื่นเขาก็ส่งออก นำเข้าลดลงเหมือนกัน ถ้าเราเข้าใจเป็นเรื่องเศรษฐกิจโลก
ไม่ใช่ประเทศไทยถอยหลัง ที่จริงเมืองไทยทำได้ดีกว่าประเทศส่วนใหญ่ด้วยซ้ำ

สิ่งที่กระทบเมืองไทย เทียบกับวิกฤติต้มยำกุ้ง เกิดปี 40
เคยได้ยินคำอภิปรายเชิงวิชาการว่าประเทศไทยเจอ 3 เรื่องพร้อมกัน
cyclical วัฏจักร bubble การกู้เกินตัว ใช้จ่าย เก็งกำไรเกินตัว structural โครงสร้างพื้นฐาน
Cyclical - น้ำมันเคยไปถึง 100 กว่าจนเหลือ 30 กว่า ทุกคนมีรายได้เชื่อมกับราคาน้ำมันก็จะลดลงตาม
กิจการใหญ่เรารายได้ผูกกับน้ำมันเช่น ปตท. ข้าวราคาตก ยางราคาตก ทั่วโลกตกมีหลายตัว
ที่มาเลเซีย น้ำมันตก ปาล์มตก ยางตก ยังไปเจอเครื่องบินตกอีก อาการหนักมาก
ตอนนี้ค่าเงินแลกกับไทยจาก 10 เหลือ 8.4 บาทต่อริงกิต
Bubble – สมัยปี 40 ถ้าใครอยู่ในตลาดหุ้นเจอ bubble ทุกคน
คนเมืองสมัยนั้น กู้เกินตัว ใช้จ่ายเกินตัว ไม่มีกำลังจ่าย ล้มละลาย
หลังผ่านวิกฤติเราก็ได้เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง
ตอนปี 07-08 ที่เกิด hamburger crisis เราฟื้นตัวเร็วเป็นอันดับ 5 ของโลก เพราะเราเรียนรู้ ไม่กู้เกินตัว
แต่ตัวเลขหนี้ครัวเรือนเพิ่มจาก 60 เป็น 80% เกิดในเศรษฐกิจฐานราก ทำให้กำลังซื้อลดลง
ซึ่งต้องใช้เวลา ถ้าคนอยากสบายเพื่อก่อหนี้ก็จะทิ้งภาระให้ปีหลังๆหรือให้ลูกหลายรับภาระแทน
พอเวลาผ่านไปจะถึงสภาพธรรมชาติที่คนต้องซื้อรถซื้อบ้านจะกลับมา
Structural – ทุกครั้งเศรษฐกิจตกไม่ได้แปลว่าจะเด้งขึ้นเอง คนต้องเรียนรู้และปรับตัวให้เก่งขึ้น
กรีซทำเรื่องล้มละลายมีการถกกันในกลุ่ม EU บทเรียนที่พูดน่าสนใจให้กรีซออกจาก EU ไปเลย
แล้วอยากดู Leadership ของประชาชนยืนอย่างแข็งแกร่งแล้วฟื้นขึ้นมาได้
แต่จะยืนลำบากเพราะไม่มีใครให้กู้ ค่าเงินจะไม่เชื่อถือ ค่าครองชีพจะแพง
ชอบตรงที่ใช้คำว่า “Leadership ของประชาชน”
ถ้าดูอเมริกาไม่ได้ฟื้นตัวเพราะโอบามาคนเดียว แต่ทั้งประเทศปรับตัว ประชาชน บริษัทเอกชนพัฒนาต่างๆ
ตอนปี 40 มีปัญหาแรงงานไทยแข่งขันยาก บางโรงงานปิดตัว ย้ายฐานผลิตไปจีน เวียดนาม
ซึ่งตอนนั้นจีนมีรายได้หรือ GDP ต่อหัวแค่ 60% ของเรา แต่ตอนนี้ 1.5 เท่าของเรา
ดังนั้นเรื่องค่าแรงแพงจะสูญเสียอุตสาหกรรม ก็คงไม่ขนาดนั้น
ปัญหาไม่เหมือนเดิม ปัญหาเรื่องโครงสร้างจะสอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานของประเทศ
การเพิ่ม GDP ต่อหัว มันคือ % ของคนที่ทำงาน xชั่วโมงเฉลี่ยที่ทำงาน x ค่าแรงเฉลี่ยต่อชั่วโมง x 365
จะเพิ่มได้ คนทำงานมากขึ้น เป็นชั่วโมงมากขึ้น ได้มูลค่ามากขึ้น
ประเทศไทยเกษตรกรค่อนข้างเยอะ ทำงานเป็นชั่วโมงเฉลี่ยจึงไม่ค่อยเยอะ
ข้อมูล Unemployment rate ของไทย แค่ 1% ดูตามการก่อสร้าง โรงงาน ร้านอาหาร คนไทยหายาก
คนไทยไปไหน??? ถ้าว่างงาน 1% คนไทยควรมีกำลังจับจ่าย
ถ้าไปเป็นเกษตรกร เราต้องส่งเสริมให้เขาอยู่ได้ ให้ดูแลพื้นที่ที่ใหญ่ขึ้น จะมีฐานะดีขึ้น
ถ้ามีคนต่างชาติที่มาทำงานในก่อสร้าง โรงงาน ร้านอาหาร เราควรเสียดาย
อย่างในญี่ปุ่น ร้านอาหารพนักงานใส่สูทดูแลอย่างภาคภูมิใจ ถ้าเรามีทัศนคติที่ถูกต้อง เศรษฐกิจไทยจะฟื้นได้
ถ้ามองภาพใหญ่ในตลาดหุ้น cyclical ตกต่ำมาเยอะแล้ว
นโยบายดอกเบี้ย FED เขามองว่าจะไม่ขึ้นดอกเบี้ยแบบหลับหูหลับตา
หลายคนกลัว และความกลัวทำให้ตลาดหุ้นไม่ดี ภาพที่หลอนคือ
มีการขึ้นดอกเบี้ยอย่างรุนแรงในปี 1994 และในปี 2004
ขึ้นใน 7 เดือนจาก 1-> 2.25% ในอเมริกา ขึ้นแรงและเร็วไปในระดับสูง
สิ่งที่มองตอนนี้ขึ้นและจะคอยชำเลืองผลของเศรษฐกิจอเมริการและโลกจะเป็นอย่างไร
เป็น Data dependent จะดูข้อมูลไปด้วย เป้าหมายเงินเฟ้อไม่อยากเห็นติดลบ
มีเป้าหมายอยู่ที่ 2% เงินจะเฟ้อได้ไม่ใช่แต่จะขึ้นดอกเบี้ย ผลกระทบจึงไม่ได้น่ากลัวมาก
ดอกเบี้ยขึ้น มีผลกระทบต่อหุ้น มีแนวโน้มให้หุ้นลง ความต้องการผลตอบแทนสูงขึ้น
ปันผลเท่าเดิม ราคาหุ้นก็ต้องลดลง มันไม่ได้ขึ้นเยอะ และเป็นการ normalize
เพราะถ้าอยู่ที่ 0% นานๆ เป็นโรคเรื้อรัง อีกอย่างไม่ได้ตั้งใจขึ้นรุนแรงเหมือนปี 2004 จึงน่าอุ่นใจได้ระดับหนึ่ง
ประเทศใหญ่ๆเวลาแก้วิกฤติเขาทำเป็นกระบวนการ US ใช้ QE คนแรก
ถัดไปเป็น ญี่ปุ่นและ ยุโรป พอ US กลับมายืนได้ก็ขึ้นดอกเบี้ย
นักลงทุนก็ตีความแบบสบายใจว่าขึ้นสักที
แต่สิ่งที่สวนทางกัน ยุโรปยังต่อ QE และขยายเวลาอย่างน้อยปี 2016 ไปทั้งปี
อาจไปถึงเม.ย.2017 ถ้าฟื้น อาจจะหยุดได้คงต้องติดตามดู ญี่ปุ่นก็คล้ายกัน
เป็นภาพที่พอเอื้อตลาดไม่ถึงกับน่ากลัวเกินไป
ภาพปี 59 คิดว่าครึ่งปีแรกน่าจะ sideway เพราะปัญหาต่างๆทยอยแก้ไข
โครงการรัฐบาล กองทุนหมู่บ้าน การลงทุนต่างๆ ใช้เวลาหน่อย แต่ครึ่งปีหลังจะมีลุ้นน่าจะดี

ดร.นิเวศน์
เราต้องดูภาพใหญ่ ปี 58 มองว่าแย่ที่สุด ให้คะแนนต่ำ แล้วก็เป็นจริง
เห็นคล้ายๆกับเมืองไทยว่าไม่ได้ cyclical แต่เป็น structural เป็นปัญหาโครงสร้าง
มีตัวถ่วงและค่อยๆตกต่ำลงเรื่อยๆ สังเกตว่า 4-5 ปีที่ผ่านมา
เมืองไทยมีปัญหาเยอะ เลยแย่มาหลายปี
อย่างมาเลเซีย ที่บอกว่าแย่ ไปดูตัวเลขดีกว่าเมืองไทย
อินโด, ฟิลิปปินส์ ดีหมด เวียดนาม, ลาว,กัมพูชา ดีมาก
ถ้าเป็น cyclical มันต้องไม่เป็นต่อกันทุกปี เห็นมาว่าเมืองไทยมีปัญหาแบบนี้ตลอด
ไม่เคยตกหลายๆปีติดกัน ส่งออกก็ยังโตดีตลอด เพิ่งเกิดเมื่อ 4-5 ปีที่ผ่านมา แย่ทุกปี
ของเราเป็น structural มันมี pattern
ตั้งแต่เรียนจบป.ตรี ทำงาน เศรษฐกิจโต 7% เป็นเรื่องธรรมดา structural เราดีมาก
มีคนหนุ่ม baby boom เกิดเยอะ เงินเดือนโต 7-10% ปีไหนขึ้น 5% แย่มาก
พอปี 40 หลังจากนั้นตัวเลขลงมาเหลือ 5% และเกือบตลอด เห็นได้ชัดว่าเราเริ่มแก่ตัว มีคู่แข่ง
จนมาถึงปี 2008 subprime คราวนี้เหลือ 3% จนมาถึงทุกวันนี้
แต่ประเทศรอบบ้านเรา 5% สบายมาก กำลังขึ้น อย่างจีนก็ขึ้นมายาวมาก
โครงสร้างก่อนหน้านี้ดีมาก แต่จีนก็เริ่มแก่ตัว อย่างไรก็ตามเขามีศักยภาพมากกว่าเราเยอะ
ทุกวงการผู้นำอายุ 60 หรือมากกว่านั้น ให้เห็นภาพว่าสมัยที่โตมากคนหนุ่มสาวมีบทบาทตลอดและแก่มาเรื่อย
คนแก่ตัวลง ลูกน้อยลง (อ.เสน่ห์เสริม structure ของไทยอ่อนตัวลง แต่ทั่วโลกเริ่มเป็น new economy)
สมัยก่อนเศรษฐกิจดี แต่ตลาดหุ้นไม่ขึ้น คนไทยไม่ค่อยมีเงิน คนไม่เล่นหุ้น
หุ้นก็มีราคาถูก pe ต่ำ 10 เท่าก็ไม่มีคนซื้อ กำไรบริษัทจดทะเบียนไม่ได้โตมาก โตมาเรื่อยๆ 5-10%
แต่ตอนหลังตลาดหุ้นโตแบบเร่ง หลังปี 40 โตจาก 200 เป็น 1300 กว่าจุด โตเร็วมาก 7 เท่าใน 10 ปี
สถานการณ์เหมือนตลาดหุ้นเวียดนาม เพราะคนไม่มีเงิน คนมีเงินทำธุรกิจ คนไม่เล่นหุ้น
ตอนหลังนักธุรกิจไม่ค่อยลงทุน ก็เอาเงินไปเล่นหุ้นดีกว่า
บ้านเราเงินพอกขึ้นเรื่อยๆแต่ไม่ได้เอาเงินไปลงทุนมาก
สมัยนี้มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ lmf, rmf ก็มีเม็ดเงินมาลงทุน
ตอนนี้เวียดนามก็ยังไม่มี พอเริ่มเก็บสำรองทุกบริษัทมีกองทุน
พอเงินเพิ่มเข้ามา ดอกเบี้ยลงมาตลอด ตั้งแต่ปี 40 เงินเพิ่มขึ้นตลอดเพราะเงิน ไม่มีที่ไป
ตลาดหุ้นเมื่อก่อนบริษัทจดทะเบียนกำไรปีละ 6-7 แสนล้าน ผ่านมาก็พอๆกับเดิม
แต่หุ้นขึ้นเอาๆ เพราะ PE เพิ่ม จาก PE ตลาดระดับ 11-12 กลายเป็น 20 กว่า
ปี 59 ผมทำนายตั้งแต่ปลายปีก่อน เข้าสู่ช่วง sideway แปลว่าตลาด 5-6 ปีข้างหน้าไม่ไปไหน
ลงขึ้นไปเรื่อยๆ ผ่านไป 5 ปีแล้วเท่าเดิมไม่ไปไหน เพราะพื้นฐานไม่รองรับ กำไรไม่โต PE ไม่โต
คนจะบอกว่าแพงเกินไป พอกำไรไม่มา คนเล่นหุ้นก็ไม่ซื้อ แต่ก็ตกไม่มาก เพราะเม็ดเงินเหลือเยอะ
พอหุ้นตกไปเยอะ ก็เข้าไปซื้อ ไม่กลัว เพราะฝากเงินแบงค์ก็ได้แค่ไม่กี่ %
คิดว่าปี 59 ก็ไม่น่าจะดีเท่าไร ที่ผ่านมาก็ตกลงมาเยอะแล้ว มีบางกลุ่มที่ตกลงมาน่าสนใจ
เช่น แบงค์ที่ยังไปได้กับเศรษฐกิจ กำไรก็ไม่น่าตกเท่าไร เติบโตสูงก็อาจไม่มี แต่ไปได้เรื่อยๆ

หุ้นเด่น น่าสนใจปี 59
อ.ก้องเกียรติ เมืองไทยหาหุ้นยากขึ้น สมัยก่อนหุ้นสื่อสาร pe 50 เท่าฝรั่งก็ยังซื้อเพราะมองว่าโตปีเป็นเท่าตัว
แต่ต่อไปไม่ใช่แล้วเหมือนหุ้นขายน้ำขายไฟ
กลุ่มพลังงาน เงินสดเหลือเยอะ จะเป็น ปตท. หรือบริษัทยักษ์ใหญ่ของโลก
แม้กำไรจะตก หรือต้องตั้งสำรองเหมือง มีเงินสดมาก ถ้าใช้ประโยชน์จากการซื้อหุ้นตัวเองคืน
หรือจ่ายปันผลในอัตราที่สูงก็พยุงให้หุ้นไม่ตกมาก
กลุ่มธนาคาร เป็นกลุ่มที่โตไปเรื่อยๆ เป็นตัวสะท้อนภาพเศรษฐกิจไทย
ถ้าสินเชื่อโต 3-4% ก็ใช้ได้แล้ว ฝรั่งมาวิจัยในเมืองไทย ถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้าง
พวก disruptive เราจะโตแค่ 1% กว่าๆ
ที่จะโตได้ 3% รัฐบาลต้องใส่มาตรการต่างๆ คือเราเป็นเศรษฐกิจคนแก่แล้ว
จะทำให้กลับไปเมืองจีนหรืออเมริกา ที่ในยุคโรนัล เรแกน เคยถูกมองเป็นเศรษฐกิจคนแก่ ขึ้นมาเกือบ 20 เท่า
(อ.ไพบูลย์ เสริมตอนเรียนอเมริกา ดัชนีอยู่ที่ 800-1000)
ในประเทศจีนยกเลิกการมีลูก 1 คน เพราะ GDP เริ่มโตยาก ต้องหาคนมาอุปโภคบริโภค
แรงงานเริ่มแพง พอนโยบายประกาศ หุ้นอุปโภคบริโภคขึ้นหมดเลย
ในประเทศไทย ถ้าส่งเสริมให้มีลูกต้องให้ฝึกอบรมความรู้ให้พัฒนาด้วย
อเมริกาดัชนีโตมากกว่าไทย เพราะเขามีเทคโนโลยีใหม่ๆ มี IT มีธุรกิจใหม่ๆเข้ามาไทยจะโตได้ต้องมีสิ่งเหล่านี้
ถ้าดูกลุ่มใหญ่ๆ ของเราแบงค์ก็เนิบๆ สื่อสารต่อไปก็จะเหมือนสาธรณูปโภคทั่วไป
กลุ่มค้าปลีก valuation ก็แพง อเมริกา ค้าปลีกเมื่อก่อนวอลมาร์ตเป็นเบอร์ 1
ต่อมามีอเมซอนเข้ามา ขายออนไลน์ต่างๆ วันนี้อเมซอนใหญ่กว่าวอลมาร์ตไปแล้ว
เป็นเทรนด์ที่เกิดขึ้นไปเรื่อย ถึงบอกว่าหายาก
ถ้ามองพวก e commerce ดีๆ ในไทยที่เป็นสเกลใหญ่ได้ไหม ยังนึกไม่ออก
พวกที่มี VC ลงทุนนอกตลาดน่าสนใจมีหลายตลาด แต่ขนาดก็ยังเล็กมาก
หลายบริษัทมียอดขายแต่ก็ยังไม่มีกำไร เพราะยังสร้างธุรกิจ
ตลาดหุ้นจะโตได้ 20 เท่าเหมือนอเมริกา ต้องมีสิ่งเหล่านี้
ความมั่งคั่งของคนเศรษฐีมาจากสิ่งเหล่านี้ทั้งนั้น
เมื่อก่อน เศรษฐีมาจาก ที่ดิน น้ำมัน อสังหาฯ ตอนนี้เปลี่ยนไปแล้วมาจาก ICT
ปี 59 ก่อสร้าง มีวัสดุก่อสร้าง น่าสนใจ แต่ราคาหุ้นดู PE ก็ไม่ถูก
พวกบริษัทก่อสร้างไม่ง่าย valuation ก็แพง บางบริษัทหนี้ก็มาก
บางบริษัทก็ไปทำอย่างอื่นนอกจากธุรกิจหลัก ไม่ได้โฟกัส
หุ้นที่ชอบมอง PE ต่ำกว่า 13 เท่า Div yield > 4% ROE > 10%
แต่ไม่บอกชื่อหุ้น เป็นกลุ่มอาหาร ขนาดกลาง อสังหาฯ ชั้นนำแห่งหนึ่ง
บริษัทค้าขายวัสดุขายกลาง แห่งหนึ่ง ไม่มีบริษัทขนาดใหญ๋เลย
อีกกลุ่มที่ชอบ มีความแข็งแกร่งของ Cashflow และเข้าข่ายข้างต้น
มีบริษัทขนาดใหญ่ พลังงานเบอร์หนึ่ง พอถึงจุดหนึ่งน่าสนใจ,
บริษัทสื่อสารยักษ์ใหญ่ ที่ประมูลรอบหลังไม่ได้ เพราะมีวินัยในการลงทุน
ถ้าเกินราคาไม่เอา ทำธุรกิจต้องมีวินัย
หุ้นที่ชอบสุดส่วนใหญ่เป็นต่างประเทศ เช่น ชอบพวก ICT ในอเมริกา google, facebook
เป็นหุ้นที่ dominate ไม่มีใครตามทันแล้ว
ต่อไปโฆษณาโตขึ้นเรื่อยๆ โตทุกไตรมาส เป็นตัวอย่างของหุ้นมหัศจรรย์
อย่าง google วันนี้ PE 30 เท่า แพงแต่ถ้า growth สูงขนาดนี้ก็ไม่แพง
รถยนต์อีก 5 ปีข้างหน้าจะเห็นรถยนต์ไฟฟ้าเต็มถนน
บริษัทที่ผลิตแบตเตอรี่จะเป็นหัวใจสำคัญ ต่อไปสามารถซื้อไปติดที่บ้านได้
ซึ่งแบตเหล่านี้ต้องเก็บกระแสไฟได้เยอะและนาน จ่ายไฟได้สม่ำเสมอ
อย่างบริษัท tesla ลงทุนเป็นพันล้านเหรียญ$ ที่ไม่มีกำไรตอนนี้แต่ก็เป็นตัวอย่างที่น่าสนใจ
คิดว่าอะไรเกี่ยวกับ ict ecommerce การค้าขายดี พวกธนาคาร ญี่ปุ่น ยุโรป ประกันชีวิตเมืองนอก
ถ้าแบงค์ญี่ปุ่น pe10-12 div 3% เทียบกับดอกเบี้ยเงินฝากเกือบ 0%
น่าสนใจ swiss reinsurance pe11 เท่า ธนาคารยักษ์ใหญ่ในยุโรป ing socgen
ในอเมริกา ธนาคารที่น่าสนใจคือพวกที่ได้ประโยชน์จากการขึ้นดอกเบี้ย
พวกนี้ขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้ แต่ไม่ขึ้นดอกเบี้ยเงินฝาก มียักษ์ใหญ่หลายบริษัท เช่น wells fargo, bank of America

คุณมนตรี
สิ่งที่ดูอยู่มีโพสต์ในเวบไซต์ทำไว้ในสิ้นปี หุ้นที่แนะนำคือ ให้ซื้อหุ้นดีๆ ที่ตกลงมา
หุ้นลงมา 20% ก็มีเหตุผล เพราะดัชนีหุ้นไทยโชคไม่ดี
หุ้นใหญ่ๆโดนไป กลุ่มปตท.ลงเพราะน้ำมัน
กลุ่มสื่อสารก็ปรับตัวได้ efficient ดีต้องไปติดตามดูผลที่ประมูลไปได้ประโยชน์แค่ไหน
กลุ่มสถาบันการเงินโดยข่าวใหญ่ๆเช่นกลุ่มเหล็ก บางธนาคารก็มีภาระพอสมควร
ธนาคารที่เกี่ยวข้องกับประชาชนก็มี npl สูงขึ้นบ้าง แต่ก็น่าจะชะลอ
หุ้นกลุ่มดีๆ ที่ตกมาไม่น้อยน่าสนใจ อย่าง cpall ราคาลงมาก็น่าสนใจ
ในรายงานจะมีหุ้นน่าสนใจ top 10 เป็น model หุ้นทุกสิ้นเดือน ถือว่าใช้ได้
กลุ่มที่ได้ประโยชน์จาก
ก่อสร้าง tpipl, itd, bem เป็นการรวมทางด่วนกับรถไฟ, pylon
แบงค์ Bbl, ktb
อสังหา gold
Digital advance
ฟื้นตัว erw
ปัจจัยเด่นเฉพาะ itd, tpipl, bcp


อ.นิเวศน์
มี 10 อุตสาหกรรมใหญ่ๆ
อาหาร มี 4-5 ตัวหลัก ส่วนใหญ่เป็น commodity ราคาก็ลงมาเยอะ
แต่สินค้าที่เขาขายราคาลง ภาพของอุตสาหกรรมก็ไม่ค่อยดี แต่ก็มีโอกาสขึ้นไปได้ถ้ากลับขึ้นมา
แบงค์ ถ้าดูฟื้นฐาน npl จัดการได้ หุ้นแบงค์เกือบทุกตัวราคาค่อนข้างถูก ปันผล 4-5%
ไม่น่าจะเลวร้าย กำไรประคองได้ ไม่น่าจะลง
ปิโตรเคมี คาดการณ์ยาก แต่ราคาน้ำมัน วัตถุดิบลดลง ราคาขายก็อาจลดลงได้ กลุ่มนี้ไม่แน่นอน
วัสดุก่อสร้าง ปีหน้าคงได้ประโยชน์จากโครงการต่างๆ ภาคเอกชนไม่รู้ว่าจะใช้วัสดุก่อสร้างแค่ไหน
กลุ่มนี้ค่อนข้าง OK ราคาหุ้นก็ OK
อสังหาฯ ถูกแต่ โอกาสตกต่ำก็มีในปีหน้า มีความเสี่ยง ไม่แน่นอน
พลังงาน ภาพใหญ่เหมือนราคาน้ำมันจะขึ้นยาก หรือลงอีกเป็นการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งของโลก
น้ำมันต่อไปจะลงไปเรื่อยหรือไม่ขึ้น น้ำมันล้นโลก อเมริกาประกาศให้ส่งออกน้ำมันได้
หลังปิดมากกว่า 40 ปี ถึงขั้นว่าเก็บไว้อาจไม่มีค่า เพราะคนไม่ใช้น้ำมัน อาจจะเป็นปัญหาระยะยาว ไม่น่าเสี่ยง
Commerce ดีขึ้น เพราะเศรษฐกิจดีขึ้นบ้าง ในเลขของการบริโภค
ทั้งกลุ่มปีหน้ากำไรดึขึ้น แต่อาจไม่สูงมาก ราคาหุ้นก็ลงมาในระดับพอเล่นได้
Health care กำไรดีขึ้น เพราะไม่มีปัญหามาก แต่การเติบโตจะน้อยลง
ราคาหุ้นก็แพงมาก รู้สึกว่าตัวเด่นๆแพงเกินไป
การท่องเที่ยว น่าจะดี รวมทั้งสนามบิน airline ขนส่งต่างๆ กำไรน่าจะดีขึ้น
แต่ราคาหุ้นคงต้องดูว่าแพงไปหรือไม่ รวมๆคิดว่า neutral
ICT กำลังเปลี่ยนโครงสร้าง และอาจจะเจ็บหนักเพราะการแข่งขันจะมา
สั้นๆกำไรยังไม่มาเพราะลงทุน ยอดขายยังไม่มา ต้องมีโปรโมชั่นอีก อาจเปลี่ยนแปลงแรงจนไม่เห็นภาพเดิม

ให้คะแนนตลาดหุ้นปี 59 ตั้งแต่ 0-10 คะแนน
อ.ก้องเกียรติ
4 คะแนน ต่ำกว่ามาตรฐานหน่อย แต่ใช้ได้แล้ว
หลายอย่างเปลี่ยนแปลงและคิดว่าประเทศไทยอยู่ระหว่างปรับตัว PE ราว 14 เท่า
เทียบกับอเมริกา ยุโรป ใกล้เคียงกัน ต่ำอยู่ PE 11-12 เท่าจะให้คะแนนสูงกว่านี้
แม้จะมีการปรับตัวแต่ยังไม่ได้ถึงกับน่ากระโจนเข้าไปซื้อ
ถ้าให้เลือกในกลุ่มเดียวกันบางตัวในต่างประเทศอาจน่าสนใจกว่า

คุณมนตรี
ยึดตามงานวิจัย จั่วหัวเอาไว้สำหรับปีหน้า เพิ่มการลงทุนในไตรมาส 1 คล้ายกับปี 2014
คือ ครึ่งปีแรกอาจจะ sideway และ ขึ้นหน่อย แล้วดีขึ้นในครึ่งปีหลัง
ให้ความหวังถึงกับไปขายที่ SET 1650 จุดปลายปี ดังนั้นให้ 7 คะแนน
ยอมรับว่าปีที่แล้วให้ 6 คะแนนพลาดไป คิดว่าควรจะให้ 4 คะแนน
สำหรับ PE ที่ 20 เท่ามันเป็น เป็นกำไรในอดีตที่ผ่านมา
ิอาจมี mark to market หรือ stock loss ของธุรกิจพลังงาน
ถ้าดูตอนนี้ SET 1370 consensus PE 12.7 เท่า ใกล้เคียงกับ PE ประเทศเพื่อนบ้าน
อยู่ในระดับที่ไปกับประเทศเพื่อนบ้านได้ หุ้นดีๆโดนปัจจัยบางเรื่องที่เปลี่ยนไปเป็นโอกาสให้เข้าซื้อหุ้นได้พอสมควร

ดร.นิเวศน์
ภาพทั่วไปไม่ positive แต่หุ้นลงมาและคิดว่าคนไทยยังมีเงินมาก ยังอยากลงทุนหุ้นอยู่
เรื่อง PE ตลอดมาโบรกเกอร์ชอบบอกปีหน้า PE จะเหลือเท่านั้นเท่านี้ ภาพใหญ่
มองว่า market cap 1.2 ล้านล้านบาท กำไรปีนี้คิดว่า 6 แสนล้านบาท
คิดว่าสิ้นปีนี้ PE 20 กว่า ถ้าปีหน้ากำไรเพิ่มขึ้นบ้าง ให้ 7 แสนล้านบาท
ถ้าหารเป็น PE 17 กว่า ซึ่งคิดว่ายังแพง คิดส่วนกลับผลตอบแทนได้ 5% กว่า
ยังดีกว่าฝากเงินได้ 1-2% คิดว่าราคาระดับนี้ยังรับได้ให้ 5 คะแนน
ดูบาง sector OK บาง sector ไม่ OK ไม่มีกลุ่มไหนโดดเด่น หวังผลตอบแทนสูงๆ ยาก

อ.เสน่ห์ ให้คะแนนระหว่าง 4-7 คะแนน

อ.ไพบูลย์ กล่าวปิดท้าย
ไม่ว่าคะแนนจะให้เท่าไร เราจะรวยหรือจนขึ้นเท่าไร พวกเราไม่ได้เดือดร้อน
เดือดร้อนบ้างเดือดร้อนใจบ้างแต่ถึงขนาดไม่มีกิน ไม่เดือดร้อนเท่ากับคนที่เขาลำบาก
ใช้ชีวิตอย่างไร ลงทุนอย่างไรไม่เดือดร้อน มีความสุข ไม่เบียดเบียนคนอื่น
มีเหลือให้ช่วยเหลือคนอื่น มีโอกาสได้ทำในสิ่งที่ดี
ใช้ชีวิตอย่างเหมาะสม เกื้อกูลคนอื่น เท่านั้นน่าจะเพียงพอ เชื่อว่าทุกคนจะทำได้ในปี 2559
พบกันใหม่ใน Money talk ครั้งหน้า 9 ม.ค.


**Money talk at SET ครั้งถัดไป หลังปีใหม่ ! ย้ายสถานที่ใหม่ !!
http://www.set.or.th/en/about/map/map_p1.html
ถ้าเดินทางด้วย MRT ลงสถานี ศูนย์วัฒนธรรม Exit 3

Money talk at SET 9 ม.ค.59
เปิดจอง FB 2 ม.ค. 7 โมงเช้า (FB รับ 500, Thaivi รับ 200)
ช่วงที่ 1 หุ้นเด่นปี 59 ในดวงใจ Top analyst : ดร.วิศิษฐ์ trinity, คุณกวี ksec, คุณสุกิจ
ช่วงที่ 2 กลยุทธ์ vi ไทยปี 59 : ดร.นิเวศน์, คุณโจ ลูกอีสาน, คุณพงษ์ศักดิ์, คุณพีรนาถ, คุณประชา


Moneytalk ครั้งสุดท้ายปิดท้ายปี และครั้งสุดท้ายของสถานที่ตลาดหลักทรัพย์เดิม
ขอขอบพระคุณผู้เกี่ยวข้องตลอดทั้งปี อ.ไพบูลย์,อ.นิเวศน์,อ.เสน่ห์,หมอเค,แขกรับเชิญทุกท่าน
ที่ดำเนินรายการและให้ความรู้ทั้งในด้านการลงทุนควบคู่ไปกับการใช้ชีวิตอย่างเหมาะสม
ขอบคุณทีมงาน money talk ทุกๆคน(รู้ชื่อแต่พี่แป๋มกับน้องเมย์)
ที่ช่วยทำให้การจัดงานสำเร็จลุล่วงทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง
ขอบคุณพี่นุช พี่อมร ที่เป็นพี่ๆใจดีและให้การช่วยเหลือมาโดยตลอด
ขอบคุณสปอนเซอร์ทุกท่านที่ร่วมสนับสนุน ค่าใช้จ่าย สิ่งของและอาหารเครื่องดื่ม
ขอให้ปี 2559 เป็นปีที่ดีของทุกคน สำหรับการลงทุน สุขภาพ ครอบครัว และความก้าวหน้าในการงานและด้านจิตใจครับ :D
Go against and stay alive.
CARPENTER
Verified User
โพสต์: 431
ผู้ติดตาม: 1

Re: Moneytalk@SET19Dec15เศรษฐกิจนอกเศรษฐกิจในและหุ้นไทยปี59

โพสต์ที่ 2

โพสต์

ขอบคุณ คุณi-salmon มากครับ
amornkowa
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2620
ผู้ติดตาม: 262

Re: Moneytalk@SET19Dec15เศรษฐกิจนอกเศรษฐกิจในและหุ้นไทยปี59

โพสต์ที่ 3

โพสต์

ขอบคุณน้องบิ๊กที่มาช่วยสรุปได้ดีเช่นเคย รักษาสุขภาพด้วยนะครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
kongkiti
Verified User
โพสต์: 5830
ผู้ติดตาม: 19

Re: Moneytalk@SET19Dec15เศรษฐกิจนอกเศรษฐกิจในและหุ้นไทยปี59

โพสต์ที่ 4

โพสต์

ขอบคุณครับ นอนดึกจัง :P
“Its like a finger pointing away to the moon. Don't concentrate on the finger
or you will miss all that heavenly glory.”- Bruce Lee

FAQs เกี่ยวกับแนวทางลงทุนแบบ VI
Blog ใหม่ >> https://www.blockdit.com/articles/5d733 ... 270d7b530
ลูกหิน
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1217
ผู้ติดตาม: 1

Re: Moneytalk@SET19Dec15เศรษฐกิจนอกเศรษฐกิจในและหุ้นไทยปี59

โพสต์ที่ 5

โพสต์

ขอบคุณมากๆนะครับ รักษาสุขภาพด้วยนะครับ
dermunong
Verified User
โพสต์: 19
ผู้ติดตาม: 0

Re: Moneytalk@SET19Dec15เศรษฐกิจนอกเศรษฐกิจในและหุ้นไทยปี59

โพสต์ที่ 6

โพสต์

ขอบคุณมากครับ : )
ภาพประจำตัวสมาชิก
GINTOKI
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 174
ผู้ติดตาม: 3

Re: Moneytalk@SET19Dec15เศรษฐกิจนอกเศรษฐกิจในและหุ้นไทยปี59

โพสต์ที่ 7

โพสต์

ขอบคุณมากๆครับ
Suwannaraj
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 29
ผู้ติดตาม: 0

Re: Moneytalk@SET19Dec15เศรษฐกิจนอกเศรษฐกิจในและหุ้นไทยปี59

โพสต์ที่ 8

โพสต์

ขอบคุณครับ ชัดเจนเลย
ภาพประจำตัวสมาชิก
conseto
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1187
ผู้ติดตาม: 5

Re: Moneytalk@SET19Dec15เศรษฐกิจนอกเศรษฐกิจในและหุ้นไทยปี59

โพสต์ที่ 9

โพสต์

ขอบคุณมากครับ
ทำ..เพื่อไม่ต้องทำ
JARUS
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 362
ผู้ติดตาม: 0

Re: Moneytalk@SET19Dec15เศรษฐกิจนอกเศรษฐกิจในและหุ้นไทยปี59

โพสต์ที่ 10

โพสต์

ขอบคุณครับ
jupiterwin
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 183
ผู้ติดตาม: 9

Re: Moneytalk@SET19Dec15เศรษฐกิจนอกเศรษฐกิจในและหุ้นไทยปี59

โพสต์ที่ 11

โพสต์

ขอบคุณมากครับ
theenuch
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1736
ผู้ติดตาม: 38

Re: Moneytalk@SET19Dec15เศรษฐกิจนอกเศรษฐกิจในและหุ้นไทยปี59

โพสต์ที่ 12

โพสต์

ขอบคุณมากๆ เลยค่ะ ^^
bestberry
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 34
ผู้ติดตาม: 0

Re: Moneytalk@SET19Dec15เศรษฐกิจนอกเศรษฐกิจในและหุ้นไทยปี59

โพสต์ที่ 13

โพสต์

ขอบคุณมากเลยครับ
Pekko
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 676
ผู้ติดตาม: 2

Re: Moneytalk@SET19Dec15เศรษฐกิจนอกเศรษฐกิจในและหุ้นไทยปี59

โพสต์ที่ 14

โพสต์

ขอบคุณครับ
สติปัฎฐาน 4
กาย เวทนา จิต ธรรม
tanoppan
Verified User
โพสต์: 135
ผู้ติดตาม: 0

Re: Moneytalk@SET19Dec15เศรษฐกิจนอกเศรษฐกิจในและหุ้นไทยปี59

โพสต์ที่ 15

โพสต์

:D ขอบคุณมากค่ะ
LER1982
Verified User
โพสต์: 44
ผู้ติดตาม: 0

Re: Moneytalk@SET19Dec15เศรษฐกิจนอกเศรษฐกิจในและหุ้นไทยปี59

โพสต์ที่ 16

โพสต์

ขอบคุณครับ
PJWONG
Verified User
โพสต์: 7
ผู้ติดตาม: 0

Re: Moneytalk@SET19Dec15เศรษฐกิจนอกเศรษฐกิจในและหุ้นไทยปี59

โพสต์ที่ 17

โพสต์

ขอบคุณนะคะ ที่กรุณาสละเวลา สรุปให้อ่าน
elmo
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 26
ผู้ติดตาม: 0

Re: Moneytalk@SET19Dec15เศรษฐกิจนอกเศรษฐกิจในและหุ้นไทยปี59

โพสต์ที่ 18

โพสต์

ขอบคุณมากครับ
top_shiro
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 53
ผู้ติดตาม: 13

Re: Moneytalk@SET19Dec15เศรษฐกิจนอกเศรษฐกิจในและหุ้นไทยปี59

โพสต์ที่ 19

โพสต์

ขอบคุณครับ พี่บิ๊ก
JO_DO
Verified User
โพสต์: 8
ผู้ติดตาม: 0

Re: Moneytalk@SET19Dec15เศรษฐกิจนอกเศรษฐกิจในและหุ้นไทยปี59

โพสต์ที่ 20

โพสต์

ขอบคุณมากครับ อยู่ไกลไปฟังสดไม่ไหว ได้อ่านสรุปเป็นประโยชน์มากครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
kongkiti
Verified User
โพสต์: 5830
ผู้ติดตาม: 19

Re: Moneytalk@SET19Dec15เศรษฐกิจนอกเศรษฐกิจในและหุ้นไทยปี59

โพสต์ที่ 21

โพสต์

“Its like a finger pointing away to the moon. Don't concentrate on the finger
or you will miss all that heavenly glory.”- Bruce Lee

FAQs เกี่ยวกับแนวทางลงทุนแบบ VI
Blog ใหม่ >> https://www.blockdit.com/articles/5d733 ... 270d7b530
โพสต์โพสต์