รายงานพิเศษ : ลุ้นหุ้นไทยปี 58 แตะ 1,700 จุด

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
ภาพประจำตัวสมาชิก
คนอุดร
Verified User
โพสต์: 3386
ผู้ติดตาม: 4

รายงานพิเศษ : ลุ้นหุ้นไทยปี 58 แตะ 1,700 จุด

โพสต์ที่ 1

โพสต์

สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย- -25 ธ.ค. 57 13:46 น.
** ปี 57 หุ้นไทยหลากรส

  ปี 2557 ตลาดหุ้นไทยถือว่ามีเรื่องราวหลากหลายเกิดขึ้น หากเป็นอาหารต้องเรียกว่าครบรสกันเลยทีเดียว แม้ว่าจะเริ่มต้นปีด้วยการลงไปทดสอบจุดต่ำสุดในรอบกว่า 1 ปีที่ 1,205.44 จุด แต่จากนั้นก็ไต่ระดับขึ้นไปได้เรื่อยๆ แม้มีปัญหาการเมืองปกคลุมตลอดครึ่งปีแรก แต่ SET Index ก็ยังสามารถขยับขึ้นทะลุ 1,600 จุดได้ หลังจากปัญหาคลี่คลายลง สะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่มีต่อผลตอบแทนของตลาดหุ้นไทย ถึงขั้นโบรกเกอร์บางแห่งมองว่า 1,700 จุดอาจได้เห็นในปี 2557 ด้วยซ้ำ
  แต่แล้วตลาดหุ้นก็เริ่มดราม่าในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี จาก "ข่าวลือส่งเดช" - ปัญหาเศรษฐกิจในยุโรประลอก 2 และราคาน้ำมันที่ทรุดหนักในรอบ 4 ปี หลุด 60 เหรียญต่อบาร์เรล ทำให้หุ้นไทยเกิด Black Monday เมื่อวันที่ 15 ธ.ค. ที่ดัชนีรูดลงเกือบ 140 จุด หวุดหวิดจะได้ใช้เซอร์กิต เบรกเกอร์ พร้อมกับมูลค่าการซื้อขายที่ทำสถิติสูงสุดครั้งใหม่กว่า 1.02 แสนล้านบาท
  ขณะที่หุ้นเก็งกำไรก็ออกอาละวาดเกือบตลอดทั้งปี จนทำให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและผู้เกี่ยวข้องเร่งหามาตรการมายับยั้งเพื่อป้องกันผลเสียที่ไม่พึงประสงค์ต่อตลาดหุ้นไทย ซึ่งจะดีเดย์เริ่มใช้ในปี 2558 นี้

** กูรูฟันธงดัชนีฯ ปี 58 แตะ 1,700 จุด แต่ผันผวนสูง
  นางภรณี ทองเย็น อุปนายกสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน เปิดเผยว่า จากการสำรวจความคิดเห็นนักวิเคราะห์ทั้ง 24 บริษัทหลักทรัพย์ ประเมินดัชนีหุ้นไทยที่ระดับ 1,706 จุด โดยมองการเติบโตของบริษัทจดทะเบียนไทยที่ 14.2% มีแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของรัฐบาลเป็นหลัก และการขยายตัวของผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน และเงินทุนเคลื่อนย้าย
ส่วนปัจจัยลบ ยังอยู่ที่การปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ การชะลอตัวของเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะการส่งออก และเศรษฐกิจโลกขยายตัวต่ำกว่าที่คาด
  พร้อมกันนี้นักวิเคราะห์ แนะให้ปรับการลงทุนหุ้นสามัญหรือกองทุนหุ้นในประเทศเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 46% จากเดิม 40% ลดน้ำหนักหุ้นต่างประเทศอยู่ที่ 18% จากเดิม 21% ทองคำและโกลด์ฟิวเจอร์สอยู่ที่ 5% จากเดิม 6% ตราสารหนี้และกองทุนตราสารหนี้ ลดลงเหลือ 17% จากเดิม 20% เงินฝากและเงินสดคงเดิมที่ 13% และเพิ่มการลงทุนในส่วนอื่นๆ ทั้งอสังหาริมทรัพย์ และตราสารอนุพันธ์ 1% ขณะที่แนะนำให้เลือกลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี เน้นหุ้นที่จะได้ประโยชน์จากโครงการลงทุนของภาครัฐบาล และพื้นหุ้นที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง ผู้บริหารโปร่งใส โดยย้ำว่าให้กำหนดวัตถุประสงค์การลงทุนอย่างชัดเจน มีวินัยและติดตามข่าวสารทั้งภายในและภายนอกประเทศ กระจายความเสี่ยงการลงทุน
  นายกวี ชูกิจเกษม รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย เปิดเผยว่า ดัชนีหุ้นไทยปีหน้ามีโอกาสปรับขึ้นไปที่ 1,750 จุด ในครึ่งหลัง ด้วยแรงหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และราคาน้ำมันที่ลดลง โดยมองธุรกิจที่น่าสนใจลงทุนในปีหน้า ได้แก่ กลุ่มขนส่ง, อสังหาริมทรัพย์ และรับเหมาก่อสร้าง โดยมองว่าตลาดปีหน้ายังมีโอกาสปรับตัวขึ้นไปได้ โดยเฉพาะหุ้นที่ได้อานิสงส์ จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง เพียงแต่ต้องยอมรับว่าระหว่างทางอาจจะผันผวนสูง แต่ในกรณีที่ปรับตัวลงต่ำกว่า 1,500 จุด ถือเป็นจังหวะที่น่าเข้าลงทุน ขณะที่คาดปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นไทยปีหน้า จะอยู่ที่ประมาณ 4.7-4.8 หมื่นล้านบาทต่อวัน
  บทวิเคราะห์ บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ประเมินว่าปี 58 ความผันผวนในหุ้นไทยจะสูงขึ้นกว่าปี 57 เนื่องจากเป็นปีที่มีทั้งปัจจัยบวกและลบผสมกัน ในขณะที่ราคาหุ้นในปัจจุบันถือว่าได้สะท้อนผลการดำเนินงานปี 58 ไปบ้าง ดังนั้นหากการเติบโตของผลการดำเนินงานไม่เป็นไปตามคาดก็จะทำให้ตลาดหุ้นมีโอกาสปรับตัวลดลง ทั้งนี้ ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่
  1) การคาดการณ์เรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯที่คาดว่าจะมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นตลอดทั้งปี โดยเราคาดว่ามีโอกาสเกิดขึ้นจริงในช่วง H2/58
  2) การแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯส่งผลลบต่อตลาดหุ้นเกิดใหม่
  3) นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของยุโรป ญี่ปุ่น และ จีน คาดว่าจะส่งผลดีเพียงระยะสั้น
  4) การเพิ่มสัดส่วนเงินลงทุนในหุ้นของกองทุนบำเหน็จบำนาญญี่ปุ่น (GPIF) ถือว่าเป็นบวกกับตลาดหุ้นทั่วโลก
  5) ปัญหาเศรษฐกิจถดถอยของรัสเซีย การอ่อนค่าของเงินรูเบิล กระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ของรัสเซีย มีโอกาสกระทบต่อตลาดการเงินโลก
  6) การเมืองไทย ซึ่งต้องติดตามการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ การร่างรัฐธรรมนูญใหม่ซึ่งมีผลกระทบต่ออนาคตการเมืองไทย
  7) การลดลงของราคาน้ำมันดิบจะส่งผลดีต่อการปฏิรูปพลังงาน และ ช่วยลดต้นทุนภาคธุรกิจ เพิ่มกำลังซื้อให้กับผู้บริโภค
  8) การปฏิรูปภาษี โดยเฉพาะภาษี VAT หากขึ้นจะกระทบต่อตลาดหุ้น
  โดยสรุปแล้วประเมินว่าหุ้นไทยในปี 58 มีโอกาสให้ผลตอบแทนระหว่าง 0 ถึง 8% (เท่ากับค่าเฉลี่ยของผลตอบแทน 10 ปี (2546-56) ไม่รวมเงินปันผล) โดยยังคงยืนยันเป้าหมายของ SET Index ปี 58 ไว้ที่เดิมที่ 1,640 จุด แต่อาจมีโอกาสทบทวนเป้าหมาย SET Index ในช่วง 2H58 หากเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและผลสำเร็จของการปฏิรูปประเทศไทย
  ขณะที่มองว่าไตรมาสที่ 1/58 อาจเป็นไตรมาสที่ดีที่สุดของปี SET Index มีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นไปที่ระดับ 1,640 จุด เพราะเป็นช่วงที่ปัจจัยเสี่ยงน้อยที่สุดของปี เนื่องจากธนาคารกลางยุโรป (ECB) ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) และ รัฐบาลจีน มีโอกาสออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่ม เพื่อต่อสู้กับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว โดยไม่ต้องกังวลกับความเสี่ยงในเรื่องเงินเฟ้อจากราคาน้ำมันดิบจะยังคงทรงตัวในระดับต่ำ รวมถึงคาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ยังคงไม่เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในไตรมาสนี้
  ส่วนปัจจัยในประเทศ คาดว่าจะเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นตามลำดับ รวมถึง ความคืบหน้าของโครงการลงทุนของรัฐบาลในด้านต่างๆ โดยเฉพาะ ความชัดเจนของนโยบายเศรษฐกิจดิจิทัล (Digital economy) โดยกฏหมายสำคัญที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจไอซีทีจะได้รับการอนุมัติจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ภายในไตรมาสที่ 1/58 นี้
  ด้านฝั่งเทคนิค นายรณกฤต สารินวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการสายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (CGS) เปิดเผยว่า แนวโน้มดัชนีทางเทคนิคในระยะยาวตลอดปี 58 ยังคงมีทิศทางขาขึ้นและมีโอกาสสร้างระดับสูงสุดใหม่ที่เกิน 1,700 จุด โดยอาจปรับตัวขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี ขณะที่ในระยะครึ่งปีหลังของปี 58 แนวโน้มดัชนีอาจเกิดการพักตัวตามสัญญาณ MACD ที่กำลังเกิด Divergence สวนทางกราฟที่ปรับขึ้น ประกอบกับกราฟแท่งเทียนมีโอกาสเกิด M-curve ซึ่งทำให้กังวลว่า ดัชนีอาจมีการปรับฐานลงมาก่อน โดยหากปรับฐานเบาจะลงมาที่ 1,420 จุด หากปรับฐานแรงจะลงได้ถึง 1,300 จุด จากนั้นจึงค่อยมาประเมินแนวไต่ระดับขึ้นใหม่ว่าจะไปได้ระดับใด แต่เห็นปลายทางของดัชนีเกิน 1,700 จุดในอนาคต
  ทั้งนี้คาดการณ์เป้าหมายดัชนีในปี 58 โดยมีสมมุติฐานการเติบโตของกำไร บจ.ที่ 12% ทำให้ EPS อยู่ที่ 104.59 บาท ขณะที่ปี 57 กำไร บจ. คาดว่าขยายตัวราว 5% ซึ่งที่ P/E ระดับ 17 เท่าจะพบดัชนีที่ 1,587 จุดใกล้เคียงกับช่วงเดือนธ.ค.57 และที่ระดับ 14 เท่า ใกล้เคียงกับช่วงเดือนม.ค.57 ดังนั้นหากใช้ช่วงนี้เป็นกรอบในปี 58 ก็จะได้แนวรับที่ 1,464 จุด และแนวต้านที่ระดับ 1,778 จุด

** จับตาหุ้นสื่อสารมาแรง
  บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) แนะนำนักลงทุนให้เน้นลงทุนหุ้นกลุ่มสื่อสาร ในปี 58 นี้ เนื่องจากมองว่าปลอดภัยจากความผันผวน โดยในช่วงหลายปีที่ผ่านมานักลงทุนมักให้ความสำคัญกับเรื่องประเด็นการลงทุนเกี่ยวกับเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure play) ส่งผลให้ราคาหุ้นรับเหมาก่อสร้างปรับตัวเพิ่มขึ้นมาก สำหรับปี 58 เป็นต้นไปชื่อว่า รัฐบาลกำลังเร่งผลักดันนโยบายเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งมีมูลค่าทางเศรษฐกิจไม่ต่ำกว่า 2 ล้านล้านบาท ถือว่าใกล้เคียงกับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ดังนั้นจึงประเมินว่า หุ้นกลุ่มสื่อสารจะเป็นกลุ่มแรกที่ได้รับประโยชน์ ประกอบกับราคาหุ้นกลุ่มสื่อสารยังไม่ได้สะท้อนประเด็นดังกล่าว รวมถึงเป็นหุ้นที่มีเงินปันผลรองรับความผันผวนของตลาดฯ

** หุ้นเก็งกำไรหงอย ตลท.ออกมาตรการสกัด
  อีกหนึ่งประเด็นที่ต้องติดตามในปี 58 คือการเริ่มบังคับใช้เกณฑ์ใหม่เพื่อควบคุมการซื้อขายหุ้นที่มีการเก็งกำไรผิดปกติโดยจะเริ่มตั้งแต่ 5 ม.ค.58 เป็นต้นไป โดยหุ้นที่เข้าข่าย Trading alert list จะต้องเข้าเกณฑ์ Cash balance (วางเงินสดล่วงหน้า 100 %ก่อนซื้อหลักทรัพย์) เป็นเวลา 3 สัปดาห์ นับแต่วันประกาศและในระหว่างอยู่ในช่วงซื้อขายด้วยบัญชี Cash balance สภาพการซื้อขายยังคงมีความผิดปกติให้ขยายเวลาซื้อหุ้นด้วยบัญชี Cash balance ออกไปอีก 3 สัปดาห์ โดยหากพ้นระยะเวลาดังกล่าวไปแล้วไม่เกิน 1 เดือน สภาพการซื้อขายยังผิดปกติและเข้าข่าย Trading alert ซ้ำอีก ให้เพิ่มมาตรการด้านการซื้อขายขึ้นเป็นลำดับจากมาตรการเดิมที่ใช้อยู่ คือ
  1.หากเข้าข่าย Trading alert เป็นครั้งที่ 2 ห้ามไม่ให้นำหลักทรัพย์นั้นมาคำนวณเป็นวงเงินในการซื้อขายในทุกประเภทบัญชี และให้ซื้อด้วยบัญชี Cash balance เท่านั้นเป็นเวลา 3 สัปดาห์ นับแต่วันที่ประกาศ
  2. หากเข้าข่าย Trading alert เป็นครั้งที่ 3 ห้ามซื้อขายแบบหักกลบค่าซื้อและค่าขายหลักทรัพย์เดียวกันในวันเดียวกัน ห้ามไม่ให้นำหลักทรัพย์นั้นมาคำนวณเป็นวงเงินในการซื้อขายในบัญชีทุกประเภท และให้ซื้อด้วยบัญชี Cash balance เท่านั้นเป็นเวลา 3 สัปดาห์ตั้งแต่วันที่ประกาศ
  3.หุ้นที่เข้าข่ายดังกล่าวข้างต้น ตลท.จะมีสิทธิพิจารณาหยุดพักการซื้อขายเป็นการชั่วคราวได้ (Halt) และห้ามการขายหลักทรัพย์ที่ต้องยืมหลักทรัพย์มาเพื่อส่งมอบ (Shot sell)

** ตลท.-ก.ล.ต. จับมือกางแผนยกระดับหุ้นไทย
  นอกจากนั้นในปี 2558 จะเป็นปีที่เราได้เห็นพัฒนาการและการยกระดับตลาดหุ้นไทยให้เป็นสากลมากยิ่งขึ้น โดยทั้งในส่วนของตลาดหลักทรัพย์ (ตลท.) และ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ต่างมีแผนงานที่สอดคล้องกัน ในการเพิ่มสินค้าและประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมาย
  นางเกศรา มัญชุศรี กรรมการและผู้จัดการ ตลท. ให้ความเห็นว่า ในปี 2558 การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ยังคงเป็นตัวเลือกที่ให้ผลตอบแทนดีสำหรับนักลงทุน เพราะเชื่อว่าเศรษฐกิจในประเทศทั้งระบบจะเติบโตดีกว่าปีนี้ค่อนข้างมาก ส่งผลบวกต่อบริษัทจดทะเบียน ทำให้ผลประการเติบโตต่อเนื่อง แม้จะมีความเสี่ยงอยู่บ้างในแง่ของปัจจัยเศรษฐกิจโลกว่าจะฟื้นตัวอย่างแท้จริงหรือไม่ แต่เชื่อว่าจะไม่กระทบมากนักเนื่องจากจะมีการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศจะเข้ามาช่วยหนุน และความแข็งแกร่งของ บจ.ไทยจะยังทำให้ตลาดหุ้นไทยยังคงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ โดย ตลท.ก็ได้กำหนดยุทธ์ศาสตร์ 4 ด้านในปี 58 ไว้ดังนี้
  1.ตั้งเป้าเพิ่มมูลค่าตลาดรวมจากหลักทรัพย์เข้าใหม่ (IPO) รวม 2.5 แสนล้านบาท และมูลค่าระดมทุนเพิ่มใน ตลท.อีก 1.3 แสนล้านบาท โดยจะเน้นเพิ่มจำนวนและคุณภาพของสินค้าและบริการ และจะเน้นเพิ่มบริษัทจดทะเบียนเข้าใหม่ที่เป็นผู้นำในระดับอุตสาหกรรม จาก 4 อุตสาหกรรมใหม่ๆ ได้แก่ ขนส่งและโลจิสติกส์ การท่องเที่ยวและสุขภาพ พลังงานทางเลือก และเกษตรและอาหาร รวมถึงการรับบริษัทจดทะเบียนต่างประเทศในกลุ่ม GMS อีกด้วย
  2. เพิ่มสภาพคล่องในตลาดให้มีสัดส่วนผู้ลงทุนที่สมดุลมากขึ้น จึงต้องการเพิ่มการลงทุนโดยเฉพาะหุ้นในกองทุนรวมและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพให้มีผู้ถือหน่วยลงทุนเพิ่มขึ้น ด้วยการส่งเสริมความรู้ผู้ลงทุนและยกระดับผู้ประกอบวิชาชีพเพิ่มขึ้นและต่อเนื่อง พร้อมกันนี้จะเพิ่มสภาพคล่องในตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) โดยจะมุ่งส่งเสริมความเข้าใจของผู้ลงทุน ทำให้เกิดผู้ลงทุนมืออาชีพมากขึ้น รวมถึงการพัฒนาบุคลากรบริษัทสมาชิกและสนับสนุนการทำงานของผู้ดูแลสภาพคล่องให้เหมาะสม
  โดยตั้งเป้าเพิ่มมูลค่าซื้อขายต่อวันของ SET และ mai อยู่ที่ 5.2 หมื่นล้านบาท/วัน เพิ่มขึ้นจากปีนี้ที่คาดว่าจะอยู่ที่ 4.4 หมื่นล้านบาท/วัน นอกจากนี้ มีแผนที่จะเพิ่มนักลงทุนรายใหม่ปีหน้าอีก 9.5 หมื่นคน โดยจะมีการร่วมมือกับบริษัทหลักทรัพย์ต่างๆ และบลจ.ในการจัดกิจกรรมสัมมนาให้ความรู้ทางด้านการลงทุนในตลาดหุ้นแก่ประชาชนอย่างต่อเนื่อง
  3.ขยายสินค้าให้มีความหลากหลายและเป็นสากล เช่น ผลักดันให้มีการซื้อขายผลิตภัณฑ์ที่อ้างอิงสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ทั้งในตลาดหุ้นและ TFEX ขณะเดียวกันยังเชื่อมโอกาสการลงทุนใน GMS ด้วยการจัดทำและเผยแพร่รายชื่อหลักทรัพย์ที่มีการดำเนินธุรกิจในภูมิภาค GMS รวมถึงเดินหน้าสร้างความร่วมมือในการพัฒนาความรู้ตลาดทุนภูมิภาคนี้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ตลท. มีแผนร่วมมือกับตลาดหลักทรัพย์ชั้นนำในต่างประเทศเพื่อขยายการเติบโตในระดับโลก
  4. พัฒนาระบบงานเพื่อรองรับการขยายตัวในอนาคต โดยตลท.จะเริ่มใช้ระบบชำระราคาใหม่ของตลาดหุ้นในปี 58 และเพิ่มประสิทธิภาพการจดทะเบียนหลักทรัพย์ทุกประเภทผ่านระบบออนไลน์ (Digital IPO) การรับและเผยแพร่ข้อมูลของบริษัทจดทะเบียนระบบออนไลน์ ขณะเดียวกัน มีแผนศึกษาเตรียมพร้อมเพื่อลดระยะเวลาในการชำระราคาและส่งมอบหลักทรัพย์ให้สามารถดำเนินการได้ภายใน 2 วันทำการ (T+2) จากปัจจุบันอยู่ที่ 3 วันทำการ (T+3)
  ด้านนายวรพล โสคติยานุรักษ์ เลขาธิการ ก.ล.ต. กำหนดแผนการดำเนินงานปี 58 ให้รองรับแนวโน้มสภาพแวดล้อมโลกในช่วงทศวรรษต่อไปทั้งในเรื่องของความผันผวนของภาวะเงินทุนเคลื่อนย้าย ทิศทางของกฎเกณฑ์และมาตรฐานสากลใหม่ๆ การเชื่อมโยงของเศรษฐกิจและตลาดการเงินที่มาพร้อมการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น ความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยี ซึ่งมี 6 ข้อหลักดังนี้
  1. ยกระดับมาตรฐานให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล
  2. เพิ่มประสิทธิภาพการป้องปรามและบังคับใช้กฎหมายให้รวดเร็วมีเครื่องมือการลงโทษที่เหมาะสมรองรับความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
  3. สร้างสินค้าและบริการทางการเงินให้หลากหลาย ดึงดูดผู้ลงทุนทั่วโลก หนุนให้ตลาดทุนไทยเป็นศูนย์เชื่อมโยงตลาดทุนในภูมิภาค
  4. เปิดช่องทางให้กิจการทุกประเภททุกขนาดสามารถเข้าถึงทุนในรูปแบบที่เหมาะสม โดยเฉพาะกิจการขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) และกิจการเชิงยุทธศาสตร์ของประเทศ
  5. สร้างผู้ลงทุนคุณภาพ พัฒนาให้ประชาชนมีความรู้ทางการเงินและใช้ประโยชน์จากตลาดทุนเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม
  6. เพิ่มประสิทธิภาพ ก.ล.ต. เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนพร้อมขับเคลื่อนนโยบายการพัฒนาตลาดทุนให้สัมฤทธิผล

  ปี 2558 นี้จึงถือเป็นอีก 1 ปีที่ต้องจับตา ทั้งในส่วนของพัฒนาการของตลาดทุนไทย ที่กำลังเดินหน้าสู่ความเป็นสากล และผลตอบแทนของตลาดหุ้นที่หลายฝ่ายก็ยังมองว่าเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนในระดับที่ดี ตลอดจนมาตรการทางกฎหมายต่างๆที่จะออกมาเพื่อรองรับการเติบโต และเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับนักลงทุนรายย่อย ไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของ "เจ้ามือ" ที่หวังเข้ามาฉกฉวยโอกาสจากตลาดหุ้นอย่างไม่เป็นธรรม.....


รายงาน โดย ศราพงค์ นันติวงค์
เรียบเรียง โดย ดาริน ปริญญากุล
อีเมล์. [email protected]
อนุมัติ โดย อนุรักษ์ ลีประเสริฐสุนทร
"มันไม่ใช่หุ้นหรอกที่จะทำให้เรารวย แต่สิ่งที่เรารู้เกี่ยวกับหุ้นต่างหากที่จะทำให้เราร่ำรวยได้"
โพสต์โพสต์