Moneytalk@SET14Dec2014ทิศทางเศรษฐกิจ&หุ้นไทยปี58

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
ภาพประจำตัวสมาชิก
i-salmon
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 295
ผู้ติดตาม: 1

Moneytalk@SET14Dec2014ทิศทางเศรษฐกิจ&หุ้นไทยปี58

โพสต์ที่ 1

โพสต์

Money talk at SET14Dec2014

ช่วงที่ 1 สัมมนา หัวข้อ “ทิศทางเศรฐกิจไทยปี 58”
ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกรุงเทพ

ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร และ อ.เสน่ห์ ศรีสุวรรณ ดำเนินรายการ

2558 มีความหวังกับเศรษฐกิจไทยแค่ไหน?
• ชีวิตมีความหวังเสมอ ขึ้นกับปัจจัยหลายอย่าง
• ช่วงกลางปี 57 ทุกคนแอบหวังว่าหลังปฏิวัติเศรษฐกิจไทยจะฟื้นกลับขึ้นมาหลังจากที่อัดอั้น คาดว่าจะเป็น V shape แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็ไม่เป็นตามหวัง
• ความเชื่อมั่นนักธุรกิจดีขึ้น ความเชื่อมั่นผู้บริโภคดีขึ้น ยอดเปิดโรงงานดีขึ้น แต่ยอดขายไม่ขึ้น ต้องแบ่งคนเป็น 3 กลุ่ม
1) กลุ่มคนมีอันจะกิน มีรายได้สูง กลุ่มนี้ไปได้ดี ยอดขายMotor show ล่าสุด ขายไปได้เกือบ 5.2 หมื่นล้านบาท 4.2 หมื่นคัน motor show กลางปี ขายได้เกือบ 4 หมื่นคัน ยอดขายเกือบ 9 หมื่นล้านบาท โครงการ icon สยาม มีคอนโดสูง 300 กว่าเมตร สูง 70 ชั้น เปิดขาย 4 เดือน ราคา 2.3-3.6 แสนบาท/ตรม. ขายหมดแล้ว สรุปคือ รถขายได้ คอนโดหรูขายได้ แสดงว่ากลุ่มนี้พร้อมจ่าย มีเงิน ที่ดินอุดรก็ราคาขึ้นเกือบ 2 เท่า แสดงว่ามีกำลังซื้อ
2) กลุ่มคนรากหญ้า มีปัญหา หนี้ครัวเรือนสูง รายได้ลดลง ราคาขายข้าวได้ 2.5 หมื่นบาท เหลือ 7-8 พันบาท ราคายางจาก 100 กว่าบาท เหลือ 40 กว่าบาท ในภาคอีสานเสาร์อาทิตย์เงียบมาก ภายใต้มีโจรเยอะขึ้น NPL ต่างจังหวัดเพิ่มขึ้นสูงพิเศษ อย่างพวกหนี้มอเตอร์ไซค์
3) กลุ่มระดับกลางก็มีปัญหา หนี้รถคันแรกสูง
o มองรวมกัน 3 กลุ่มแล้วยังมีปัญหา อย่างสำเพ็งปีนี้ไม่ค่อยมีคนไปซื้อของ คนที่จะลงทุนก็ไม่เห็นรัฐบาลจะออกโครงการ เข็มปูนราคาตก 20% บริโภคก็ฝืดๆ ลงทุนก็รอดู เศรษฐกิจไทยเข้าไปสู่ปี 58 โดยแรงส่งไม่ดี ต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ขับเคลื่อน

ต้องทำอย่างไรเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ?
• ที่เติบโตง่ายๆเหมือนในอดีตได้ผ่านไปแล้ว แบงค์ปล่อยสินเชื่อกลุ่มหนึ่งเฟื่องฟูเป็นพิเศษพวก personal loan, consumer credit โตปีละ 20-30% ต่อปี แต่ตอนนี้เริ่มแผ่วลง บัตรเครดิตเมื่อก่อนมี 1 ใบ สมัยนี้มี 5-10 ใบ บางคนก็ใช้จนเต็มหมด 13 ใบ เพราะ 3-4 ปีที่ผ่านมาใช้จ่ายเยอะ ปล่อยสินเชื่อเยอะ หนี้จึงเต็ม จะโตด้วยหนี้จึงยาก คนกู้ยืมไประดับหนึ่ง แบงค์เริ่มกังวลใจ กระบวนการปล่อยสินเชื่อโตได้มากๆ จึงหมดไป
• การจะเติบโตได้ต้องดูว่าอะไรที่เป็น balance sheet ยังสดๆอยู่ โตแบบหนี้โตเร็ว โตด้วยรายได้เพิ่มโตช้า จึงไปดูว่ามีอะไรที่ยังกู้ได้ นั่นคือบริษัทของไทย ที่ผ่านมา balance sheet ดีมาก บริษัทเหล่านี้อยากลงทุน แต่เกิดน้ำท่วม ปฏิวัติ ประท้วง ปิดราชประสงค์ หัวใจคือ ถ้าทำให้บริษัทเหล่านี้ลงทุนได้ เมืองไทยจะเปลี่ยน คนจึงรอว่ารัฐบาลจะลงทุนมากน้อยแค่ไหน รัฐบาลต้องลงก่อน เอกชนก็จะลงทุนตาม
• ปัญหาตอนนี้คือ รอมา 3 เดือนแล้ว พอถึงเวลาก็บอก 3 ล้านล้าน ทุกรัฐบาลเข้ามาก็บอก mega project แต่ทุกครั้งไม่ได้เกิดขึ้น
• ที่ทุกคนรออยู่คือ การเห็นผลจริง ทำให้นักลงทุนเชื่อ คิดว่าง่ายๆ คือหยิบมา 2-3 โครงการ เช่น สุวรรณภูมิเฟส 2, รถไฟรางคู่,รถไฟฟ้าใต้ดิน ประกาศว่าภายใน ม.ค.58 จะประมูล 3 โครงการเสร็จ แล้วราคาต่ำลง 20% เพราะไม่มีใต้โต๊ะ ถ้าทำได้จริง นี่คือความแตกต่างจากอดีต สิ่งที่เคยพูดๆจะเกิดขึ้นแล้ว ถ้าทำได้กำลังของเอกชนที่อยากจะลงทุนก็จะทะลักเข้ามา ความเชื่อมั่นในโครงการที่เหลือก็จะเชื่อว่าทำได้จริง

เศรษฐกิจโลกที่ฟื้น จะเอื้อหนุนไทยไหม? เชื่อมกับเศรษฐกิจไทยอย่างไร?
• ปี 58 จะน่ากังวลใจเศรษฐกิจโลก อาทิตย์ก่อนหุ้นกรีซตก 12% ในหนึ่งวัน วันถัดมาหุ้นจีนตกวันเดียว 5% อเมริกาเคยไป 17,000 ตอนนี้ตกลงมา 1,000 จุด ในสัปดาห์เดียว
• ปีหน้าจะมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้น ภาพแตกต่างจาก 4-5 ปีที่แล้ว ทุกคนแย่หมด ทำให้ ทุกคนต้องกระตุ้นพร้อมๆกัน ทองขึ้น หุ้นขึ้น ราคา commodity ขึ้น แต่ปีหน้า อเมริกากำลังเข้มแข็ง เดินหน้าไปเรื่อยๆ ส่วนยุโรปจะเข้าสู่วิกฤติเศรษฐกิจอีกรอบ ที่ทุกคนกำลังจับตา จีนก็ยังไปไม่ได้เท่าไร ญี่ปุ่นก็กำลังขับเคลื่อนอยู่
• ประเด็นคือ อเมริกากำลังจะดูดสภาพคล่องออกมา แต่ประเทศอื่นจะอัดฉีดเข้าไป ค่าเงิน 4 เดือนที่ผ่านมาอเมริกาแข็งขึ้น 10 กว่า % ในเวลา 3-4 เดือน ตอนนี้ 88.5 บางช่วง 89 (เป็น index ค่าเงินดอลลาร์ DXY) ไม่เคยแตะระดับนี้ในช่วง 7 ปีก่อน ยกเว้นช่วงเศรษฐกิจอเมริกา กับกรีซมีปัญหา
•อเมริกากำลังถอนสภาพคล่อง ญี่ปุ่นกำลังย่ำแย่ ยุโรปกำลังย่ำแย่ ค่าเงินญี่ปุ่นอ่อน ค่าเงินยุโรปก็อ่อนเป็นพิเศษ เพราะตอนนี้เงินกำลังเปลี่ยนแปลง และเตรียมการ
• ปัญหาที่คนกำลังมองคือ กรีซ เมื่อสัปดาห์ก่อนประกาศจะมีการเลือกตั้งใหม่ เกรงว่ารัฐบาลได้เสียงไม่เพียงพอ มีพรรคชื่อเซลิซ่า ซึ่งพรรคนี้มีแนวทางอยากเอากรีซออกจากยูโร ถ้าหากพรรคนั้นชนะ ก็จะเป็นจุดที่เกิดความไม่แน่นอน
• ปีหน้าอเมริกาจะขึ้นดอกเบี้ย 2 ปี ปีละ 0.25 ดังนั้นปีละ 2% ยุคดอกเบี้ยต่ำก็จะจบ ต้นทุนทุกคนก็จะขึ้น
• ค่าเงินอเมริกาแข็ง เอเชียก็แข็งขึ้นด้วย แต่ปีหน้า emerging market ก็ต้องดิ้นรน
• รัสเซียก็น่ากังวลเมื่อก่อน 30 กว่า ตอนนี้ 45

ช่วยวิเคราะห์เครื่องยนต์เศรษฐกิจ 4 เครื่อง ส่งออก ลงทุน บริโภค การใช้จ่ายภาครัฐ
• บริโภคที่พูดไปแล้วไม่ค่อยดี
• ลงทุนรอรัฐบาลอยู่ พร้อมจะไป
• ส่งออกแทบไม่โต แต่กลุ่มส่งออกไป CLMV โตเกือบ 20% ตอนนี้ตลาดเหล่านี้ใหญ่เท่ากับอเมริกา แล้วโตเร็วกว่าอเมริกาด้วย ทุกร้านค้าของประเทศเหล่านี้สินค้าไทยเต็มไปหมด ไม่นับรวมที่แอบๆส่งไป
• นั่นคือผลิตสินค้าให้ 240 ล้านคน เห็นว่าสินค้าไทยคือแบรนด์เนม เคยไปเจอบางที่จีนปลอมเป็นสินค้าไทย
• พม่าส่งออกยางจักรยานก็ขายดีมาก จีนก็ต้องมาปลอมของไทย
• ส่งออกไทยไปจีนก็มีสัดส่วนมากเป็นเบอร์ 1 บางส่วนก็น่าสนใจ คุนหมิง,ฉงชิ่ง
• ส่งออก 2 เดือนสุดท้ายข้อมูลดีขึ้น
• คิดว่ากำลังจะดีขึ้น ไปได้
• การใช้จ่ายภาครัฐ กำลังจะอัดฉีด ที่อยากจะทำพวก 1 ไร่ 1 พันให้เกษตรกร เป็นโครงการที่ตรงจุด ถือว่าใช้ได้ ต้องมีที่ดิน กลุ่มนี้มีเงินจ่ายออกไปแค่ 3 พันล้านบาท จากที่บอกจะออก 4 หมื่นล้านบาท ยังขับเคลื่อนไม่เต็มที่
• โครงการลงทุนก็อย่างที่บอกว่าทุกคนรออยู่ว่าจะไปได้จริงหรือเปล่า
• ภาครัฐเก็บภาษีได้ต่ำกว่าเป้าหมาย เป็นข้อจำกัดส่วนหนึ่ง แต่ก็ไม่ใช่ประเด็นกังวลใจ รัฐบาลสามารถกู้เงินมาใช้ได้ แต่ถ้าเก็บได้น้อยต่อกันหลายๆปี จะมีเรื่องการตั้งงบประมาณ รายได้ไม่ตามเป้า
• การท่องเที่ยว
o น่าเสียดาย เพราะง่ายที่สุดสำหรับหาเงินเข้าประเทศ คนอยากมาเที่ยว แต่ติดเรื่องอัยการศึก ทำให้โตได้บ้าง แต่ไม่เต็มที่
o นักท่องเที่ยวพร้อมกลับมาหลังเลิกทะเลาะกัน ติดปัญหาเรื่องนี้ทำให้ไม่สามารถประกันได้ จึงมาไม่ได้ อย่างพวกภูเก็ต หรือภาคใต้ ไม่น่ามีใครมาเดินขบวน แต่พอมาไม่ได้ก็เสียโอกาส
o นักท่องเที่ยวจีนเข้ามาไม่เก็บวีซ่าเป็น มูลค่าเป็น 100 ล้าน ก็ได้นักท่องเที่ยวมาเยอะ แต่ตอนนี้หมดมาตรการแล้ว 3 เดือน
• ราคาน้ำมันที่ลดลงมาอาจช่วยเศรษฐกิจบ้าง ราคาน้ำมันเหลือ 54$/barrel จากกลางปีที่ 110 $/barrel ราคาดอลลาร์ที่แข็งขึ้น 10% พร้อมกันทองคำก็ตกลงมา ตลาดการเงินโลกกำลังปรับตัวพอสมควร พออเมริกาค่าเงินแข็ง พวก emerging ต่างๆค่าเงินอ่อน อย่างบราซิลเป็นผู้ส่งออกใหญ่ ราคาน้ำตาลก็ไปไหนไม่ได้ มีของเราที่แข็งไปกับอเมริกา คือแทบจะไม่เปลี่ยน เทียบกับคนอื่นเราก็แข็งขึ้นด้วย

ทำไมค่าเงินบาทไม่อ่อน?
• มองทั่วโลกว่าที่ไหนไปได้บ้าง ภูมิภาคที่ไปได้ คือเอเชีย แต่ยุโรปไปไม่ได้ ลาตินอเมริกาก็มีปัญหา แอฟริกามีอีโบลา middle east ก็ทะเลาะกัน
• รอบบ้านเราค่าเงินก็แข็งเหมือนกัน
• จีนตอนต้นปีอ่อน แต่ตอนนี้เริ่มแข็ง net ก็ไม่ค่อยไปไหน
• ราคาน้ำมัน ทองคำ commodity กำลังผันผวนอย่างที่ไม่เคยเป็น ต้องระวังตัว บริหารจัดการระมัดระวัง มีหลายคนที่อ่อนแอในโลกก็อาจกระทบกับเราได้
• ดอกเบี้ยไทย โอกาสลงไม่มี ต่อให้ลงก็ได้ไม่มาก ตอนนี้อยู่ที่ 2% สมัยเกิดวิกฤติอเมริกา หรือปี 40 ต่ำสุดของเราคือ 1.25% ดังนั้นต่อให้ลงก็ได้ไม่เยอะ อยู่ในช่วงที่กำลังขับเคลื่อน เงินเฟ้อก็ไม่มี ปีหน้าคาดกันว่า GDP โต 4-5% ความจำเป็นต้องลดดอกเบี้ยกระตุ้นเศรษฐกิจจึงไม่มี
• คิดว่า GDP 4% น่าจะทำได้ สิ่งที่ช่วยเราอยู่คือฐานต่ำจากปี 57 ตัวเลขเศรษฐกิจตั้งแต่ Q4 ไปจะเริ่มดูดี เพราะปีก่อนเป็นช่วงที่เริ่มติดลบ ราวพ.ย. แล้วธ.ค.เดินขบวน ม.ค.เดินขบวน ตัวเลขก็จะเริ่มย่ำแย่ตั้งแต่ตอนนั้น Q158 หลายๆคนคุยกันว่าน่าจะ 5-6% สรุปคือคิดว่า GDP โต 4% เป็นไปได้ ไม่ได้มาจากการที่เราเข้มแข็ง แต่เพราะมาจากฐานไม่ดี

ราคาน้ำมันมาจากการสู้ shale gas ?
• หลายคนหวังว่าน้ำมันจะขึ้นไป 140 เหมือนสมัยก่อน ปัญหาคือ โครงสร้างน้ำมันเปลี่ยน มีการพบ shale gas คือหินดินดาน ทำให้อเมริกาเปลี่ยนเป็นประเทศที่ผลิตและส่งออกน้ำมัน เมื่อก่อนอเมริกาชอบไปยุ่งแถวตะวันออกกลาง แต่ตอนนี้ไม่ค่อยสนใจมากแล้ว เพราะมีน้ำมันใต้ประเทศตัวเองและผลิตเองได้ จึงยากที่ราคาน้ำมันจะกลับไปสูงๆเหมือนเมื่อก่อน
• คิดว่าช่วงนี้ราคาต่างๆเป็น overshoot ทำให้สิ่งต่างๆผันผวนเป็นพิเศษ เป็นช่วงปรับตัว ระยะยาวคิดว่าต้องสูงกว่านี้ ราคา shale gas ก็ไม่ได้กำไร คิดว่าเป็นเรื่องชั่วคราว

เศรษฐกิจไทยมีการเปลี่ยนเชิงโครงสร้าง อนาคตอาจจะไม่โต? การเติบโตค่อยๆลดลงมาเรื่อยๆ แรงงานก็ไม่ค่อยมี อิเลคทรอนิกส์เราก็ไม่ค่อยมีความสามารถส่งออก ?
• คู่แข่งฟิลิปปินส์, มาเลเซีย โตออกเป็น 10% สิ่งที่เราไม่ทันเฉลียวใจคือน้ำท่วมใหญ่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ มีหลายๆบริษัทบอกไม่ย้ายฐาน แต่ฐานการผลิตใหม่ไปขยายที่อื่น อย่างรถรุ่นใหม่ก็ไม่มาที่เรา หรืออย่าง hard disk drive ทำกำแพงล้อม น้ำไม่ท่วม แต่รุ่นใหม่ก็เอาผลิตที่อื่น
• หลังจากนั้นมีการขึ้นค่าแรง 300 บาท หลายบริษัทที่เคยบอกจ่ายได้ แต่เวลาจริงก็ตัดสินใจปิดกิจการ ไปประเทศเพื่อนบ้านแทนดีกว่า
• มีคนบอกว่า 20-30 ปีที่แล้ว ไทยตัดสินใจถูก 2 เรื่อง คือ ไม่มีรถยนต์ของประเทศตัวเอง ทำให้เป็นศูนย์กลางของการผลิตรถในแถวนี้ เพราะเราไม่แข่งกันใคร ไม่กีดกัน ทุกคนแข่งขันเท่าเทียม ทำให้ญี่ปุ่น เยอรมัน หรือแม้แต่จีนก็เข้ามา อีกอย่างหนึ่งคือปิโตรเคมี ทำอีสเทิรน์ซีบอร์ดทำให้เรามีปิโตรเคมีที่ใหญ่สุดแห่งหนึ่งของภูมิภาคนี้
• เราจะหากินต่อไปได้ ต้องเปลี่นแปลงคิดว่า ประเทศไทยรับจ้างผลิตต่อไปไม่ได้อีกแล้ว ค่าแรงแพง แรงงานขาดแคลน ที่เคยโตได้ 7-10% จากแรงงานเกษตรมาอุตสาหกรรม หลายอย่างที่ซื้อมาจากต่างประเทศผลิตที่กาญจนบุรี แล้วส่งออกไปขาย เราก็ภูมิใจไปซื้อกันกลับเข้ามา ถ้าไม่เปลี่ยนก็คงโตได้ราวๆ 4-5%
• รถไฟ หรือ เรือ ยังเปลี่ยนได้อีกเยอะ เปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐานยุคใหม่
• กลุ่มธุรกิจเรามีผู้เล่นใหญ่ๆของโลกหลายได้ อาหาร ไก่ หมู ขนาดปลาทูน่าเรายังเป็นที่ 1 ของโลกได้ ทำครบทั้ง chain อย่าง อ้อยไม่มีของเสีย ทำให้ได้ผลตอบแทนดี


ช่วงที่ 2 สัมมนาหัวข้อ “ทิศทางหุ้นไทยปี 58”
1. ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ CEO บล.เอเซียพลัส
2. คุณมนตรี ศรไพศาล CEO บมจ.หลักทรัพย์ เมย์แบงค์กิมเอ็ง (ประเทศไทย)
3. ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ผู้เชี่ยวชาญการลงทุน

ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา และ อ.เสน่ห์ ศรีสุวรรณ ดำเนินรายการ

แนวโน้มหุ้นไทยปี 58 ชอบไม่ชอบ? ดีไม่ดี?
คุณมนตรี
• ค่อนไปทางดี มองโลกแง่บวก มีหลายเรื่องน่าสนใจ
• ดีกลางๆ เชื่อว่าผ่านวิกฤติมา บรรยากาศทำให้ระลึกถึง วิกฤติครั้งที่ 2 ต่อจากปี 40 ตอนนั้นก็มีประท้วงแถวสีลม ในช่วงที่ผ่านมาก็มีภาระหนัก ซึ่งกำลังดีขึ้น จะมีการฟื้นตัวคล้ายๆกัน ไม่ใช่การฟื้นตัวจากคนใดคนหนึ่ง ต้องร่วมมือกันก็น่าจะฟื้นตัวได้
• หลายตัวที่เห็นสัญญาณดีขึ้น
• การบริโภคในประเทศ เติบโตแน่นอน ข้อมูลวัดกันปีต่อปี รู้อยู่แล้วครึ่งหนึ่งคือฐานปีก่อนหน้า ไตรมาส 4 เป็นต้นมาเห็นอยู่แล้วว่าไม่ดี คนค้าขายบอกว่าการค้าขายทรุดมาเป็นปี แต่ ต.ค.-พย. พึ่งเริ่มฟื้น
• การท่องเที่ยว ปีที่แล้วจนถึงต้นปีก็ไม่ดี แต่ตอนนี้ก็ดีขึ้น
• การส่งออกทยอยค่อยๆดีขึ้น กลุ่มสิ่งทอเจอภาระต้นทุนก็ย้ายไปอินโด เวียดนาม แต่ก็น่าจะมีกลุ่มอุตสาหกรรมที่ฟื้นตัว
• กำลังซื้อประชาชนขึ้นกับหนี้ครัวเรือน เกษตรกรได้รับเงินก็น่าจะดีขึ้น
• ราคาน้ำมันลดลง มีทั้งบวกและลบ ถ้าราคาน้ำมันลงดีขึ้น 0.5-1% แต่หุ้นเกี่ยวกับน้ำมันอาจปรับตัวลง แต่ก็เราจะมีต้นทุนลดลง
• การใช้จ่ายภาครัฐสะดุด แต่ถ้ารัฐบาลกล้าหาญจะใช้จ่ายไปตามปกติก็จะมีผลดี
• สิ่งที่เป็นห่วง การขยับขึ้นภาษี VAT ที่ยกเว้น 10% ให้เก็บ 7% อยู่ ต้องรอบคอบ ระมัดระวัง แทนที่เงินจะสะพัด ก็จะถูกดูดกลับไป ถ้าจะกระตุ้นเศรษฐกิจก็น่าจะต้องทบทวน
• สัญญาณหลายเรื่องคิดว่าดี ยังมีกำลังใจ
• ปี 2014 บริษัทจดทะเบียนไทย กำไรน่าจะโตจาก 2013 5.6% เป็นค่าเฉลี่ย consensus จาก Bloomberg แต่ปี 2015 คาดว่า กำไรเติบโต 17.4% แม้ต่างชาติยังไม่เข้ามากนัก แต่เงินนักลงทุนแข็งแรง มีทั้ง vi, dollar cost average เพิ่มขึ้นหุ้นยังยืนได้ อัตราคาดการณ์กำไรลดลงตลอด จนเห็นสัญญาณที่ไม่ลงแล้ว ก็ต้องรอดูว่าจะฟื้นคืนเมื่อไร
• ถ้าช่วยกันคาดการณ์อย่างสดใส ถ้าเคยอ่านหนังสือ macro economics ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจคือ การคาดการณ์ทางเศรษฐกิจ เชื่อแล้วจะเห็น ไม่ใช่เห็นแล้วจึงเชื่อ ถ้าเราเชื่อว่าเศรษฐกิจจะดี มันก็จะดี ถ้าเราเชื่อมั่นและเกิดการจับจ่ายหลายๆอย่างก็จะดีขึ้นได้

คุณโอภาส
•มองแตกต่าง หุ้นไทยดีมา 2 ปีแล้ว หุ้นไม่ถูกแล้วดูอย่างไรก็แพง
• เปรียบเทียบหลายประเทศ ส่องกล้องจากมุมสูง ตลาดที่แพงที่สุดในโลกน่าจะ ญี่ปุ่น กับ อเมริกา pe 17,16 เท่าตามลำดับ ของไทยก็อยู่ใกล้ๆ 16 เท่า ถัดมาก็อินโด,อินเดีย,ฟิลิปปินส์ ที่เป็นดาวเด่นหลังๆคือประเทศจีน ตลาดหุ้นขึ้นมา 20% เพราะตลาดหุ้นตกต่ำมา 6 ปี ซึ่ง pe จีนแค่ 10 เท่า นักลงทุนรายย่อยในจีนลงทุนในหุ้นมากขึ้น มีอยู่ครั้งหนึ่งมียอดเปิดพอร์ตใหม่ 5 แสนกว่าบัญชีในวันเดียว มีโบรกเกอร์รายใหญ่รายหนึ่งออกมาบอกว่า 5 ปีข้างหน้า commission จะเพิ่ม 10 เท่า คือมองว่าตลาดเขาฟื้น เงินก้อนใหญ่ก็จะไหลมาที่นี่
• ญี่ปุ่นก็ขึ้นเยอะ นิเคอิตอนนี้อยู่ที่ 1.7 หมื่น จากที่เคย 4 หมื่นจุด สมัยนั้นบริษัทรถไฟ pe 100 เท่า คนบอกว่าบริษัทนี้ถูก เพราะราคาที่ดินสูงกว่า พระราชวังอิมพีเรียลแพงกว่ารัฐแคลิฟอรเนีย หลังจากนั้นก็ล้มลงมา 20 กว่าปี จนวันนี้เริ่มเห็นแสงสว่างจากนโยบายผ่อนคลาย(QE) รัฐบาลเลือกตั้งใหม่ก็คิดว่าจะได้กลับมาใหม่อีก ขณะเดียวกํนก็ดึงนักท่องเที่ยงเข้าประเทศ ช่วยส่งออก ก็ทำให้ค่าเงินอ่อน หุ้นญี่ปุ่นก็ขึ้นมาก
• ยุโรปเศรษฐกิจไม่ดี แต่ QE ยังมีต่อเนื่อง คิดว่าราคาหุ้นก็อยู่จุดต่ำสุดอยู่เหมือนกัน เราก็มีลงทุนใน volkswagen, bmw พวกนี้ไม่ได้ขายแค่ในยุโรปสง่ออกไปขายทั่วโลกเช่นจีนก็เป็นตลาดใหญ่ของเขา ยังเติบโตสูง หรืออย่างบางธนาคารใหญ่ที่ pbv อยู่ 0.5 เท่า หรือประกันชีวิตที่น่าจะถูกสุด div 5-6% pe 9-10 เท่า เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลก valuation ยังถูกกว่าบริษัทใหญ่ของอเมริกา ถ้าเทียบของไทย pe 20 กว่าเท่า แต่พวกนี้ portfolio จะดีขึ้นถ้าหุ้นดีขึ้นเพราะมีถือลงทุน ตัวอย่างบริษัทโตเกียวมารีนก็โตขึ้นมาเพราะหุ้น กบข.ของญี่ปุ่นก็เพิ่มสัดส่วนลงทุนในหุ้นญี่ปุ่น
• อเมริกาไม่ถูก เพราะขึ้นมาเยอะ ถ้าเลือกดีๆก็น่าสนใจ อย่าง apple pe 16 เท่าเริ่มแพง ตอน pe 9 เท่าคนที่ไม่เห็นด้วยก็บอกแพง พวกหุ้น ecommerce facebook, Alibaba 40-50 เท่าหมด พวกนี้จะแพงเพราะคนคาดว่าเติบโตสูง พวก แบงค์อเมริกาเทรดที่ pbv 1 เท่าส่วนใหญ่ แบงค์จีนก็เหมือนกัน Icbc, bank of china, bank agriculture
• Emerging market พวกไทย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ อะไรที่จะทำให้ต่างประเทศเอาเงินเข้ามาเพิ่มต้องมีจุดเด่น ให้นักลงทุนต่างประเทศเข้ามาทุ่มซื้อ ของไทยคิดง่ายๆก็คือ ขยายการลงทุนระบบขนส่งมวลชน รางรถไฟ รถไฟต่างๆ ถ้าทุ่มทุนจริงๆตามที่ได้ประกาศเอาไว้ ก็อาจทำให้เงินลงทุนตรงไหลเข้ามา รวมทั้งในตลาดหุ้น แต่วันนี้ยังไม่มีสัญญาณที่ชัดเจน และกระบวนการไม่รวดเร็วอย่างที่อยากเห็น
• Commodity พืชผล ต่างๆก็ยังไม่เห็นสัญญาณดีขึ้น แต่ก็เป็น cycle ถ้าวันหนึ่งดีขึ้นมา การจับจ่ายใช้สอยก็อาจดีขึ้น ก็เป็นตัวจุดประกายอันหนึ่ง
•ถ้า ยกเลิกกฏอัยการศึก ที่ทำให้นักท่องเที่ยวไม่มา จะเป็นการบอกชาวโลกว่าประเทศไทยกลับมาปกติแล้ว เชิญท่องเที่ยวได้ไม่ต้องกังวล
• ความถูกแพงของตลาดยังไม่มั่นใจในทางบวกมากนัก เพราะต่อให้มีปัจจัยที่ดีเกิดขึ้น แต่หุ้นไทยไม่ได้ถูกที่จะดึงให้อยากเอาเงินเข้ามา อย่างลูกค้าก็มีบอกว่ารอให้ลงซัก 10-20% ค่อยเข้ามา ซึ่งสไตล์นั้นก็จะเป็นการเข้ามาเก็งกำไร และอยู่ไม่นาน
•ช่วง 9 เดือนแรกผลประกอบการจดทะเบียนในตลาดไม่ดี ตัวเลขที่รวมออกมาโต 1% ปีนี้ก็น่าจะจบที่ราวๆโต 1% ยิ่งพลังงานราคาลงก็ยิ่งทำให้มีผลกระทบเพราะมีน้ำหนักใน SET มาก ก็ต้องพิจารณาหุ้นเป็นรายตัว
• ฐานปี 57 ที่ต่ำ จึงทำให้ปี 58 คาดว่าผลประกอบการจะดีขึ้น 15% GDP ไทยปีนี้ไม่ถึง 1% แต่ปีถัดไป 4% ถัว 2 ปีก็คือ 2% ต่ำกว่าศักยภาพของประเทศไทย
• ปีหน้ายังต้องระวัง ก็เคยได้แนะนำให้ลูกค้ากระจายไปต่างประเทศ จะช่วยลดความเสี่ยงในภาพรวมได้ แม้ถ้ากระจายตลาดหุ้นไทยเกิดขึ้นเยอะเสียโอกาส แต่ก็เป็นไปได้เหมือนกันถ้าลงเยอะก็จะกระทบมาก

ดร.นิเวศน์
• ตั้งแต่ตลาดเปิด มีช่วงที่ตลาดขึ้นแรงยาวนานเกือบสิบปี (super boom) ตกลงมาบางทีแรงเกือบ 50% แต่ไม่นานก็ขึ้นกลับไปอีก แสดงว่าภาพใหญ่เหนือกว่าภาพเล็ก มีอยู่ 2 ช่วง
•ช่วง ก่อนถึงปี 37 ที่ 1700 กว่าจุด กราฟขึ้นตลาด ลงไม่นานก็ขึ้นอีกเหมือนมีพลังผลักดันที่เป็นช่วงที่ประเทศไทยต้องขึ้น จะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นก็ขึ้นใหม่ เพราะช่วงแรกๆคือเกิดวิกฤติเริ่มฟื้นตัว มีการลดค่าเงินบาท เกิดวิกฤติ สถาบันการเงินก็เจ๊งหลายแห่ง พอทิ้งเวลาสักพักเศรษฐกิจก็เริ่มฟื้นตัว จะมีอีกอันตามมาคือเรื่องเม็ดเงิน ช่วงแรกที่ฟื้น pe จะต่ำ ไม่เกิน 10 เท่า ไม่มีคนสนใจหุ้น จะมีเม็ดเงิน ที่เราเปิดเสรีการลงทุน พวกต่างประเทศก็เอาเงินมาลงทุนได้ จะมีสงครามอ่าวเปอเซียหุ้นก็ตกไม่นานก็กลับขึ้นไปใหม่ เพราะพลังยังมา เศรษฐกิจก็เป็น golden year ช่วงนั้นญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนมาก โรงงานก็ย้ายฐานมาตั้ง หุ้นก็วิ่งขึ้นหลายปี หลังจากนั้นเริ่มมีปัญหา ค่าเงินบาท แข็งจนเกิดวิกฤติปี 40 คนก็เลิกเล่นหุ้น 2-3 ปีเศรษฐกิจเริ่มฟื้น บริษัทเริ่มฟื้นก็จะคล้ายๆกัน pe 5 เท่า div 10% บางบริษัทก็ไม่มีหนี้ รอบนี้เงินคนไทยเข้ามา เพราะดอกเบี้ยจาก 7-10% ลดลงมามากเหลือ 3-4% เริ่มมีเก็บเงินเข้ากองทุนต่างๆ มี LTF/RMF เงินก็เข้ามาในตลาดหุ้นมากขึ้น กฏหมายก็เอื้ออำนวย หุ้นก็เป็นขาขึ้นอย่างเดียวจะลงก็ไม่นานหุ้นขึ้นใหม่
• ปี 57 เศรษฐกิจเกือบติดลบ แต่หุ้นขึ้น 20% ดังนั้นจะเอาเศรษฐกิจเป็นตัวตั้งก็อาจจะใช้แทนไม่ได้ ดูแล้วก็ไม่ได้เกี่ยวมาก ปีนี้เศรษฐกิจแย่ แต่หุ้นขึ้นดีมาก ตัวที่มีผลแรงคือเศรษฐกิจเริ่มฟื้น เม็ดเงินเข้าไป ทำให้ดัชนีขึ้นได้เรื่อยๆ
• ช่วงปี 37 เศรษฐกิจยังดีมาก แต่หุ้นเริ่มตกเพราะเม็ดเงินอาจเริ่มหาย เพราะ PE สูงมาก ต่างชาติก็อาจจะขายออกไปก่อน เมื่อเศรษฐกิจเริ่มโตจุดหนึ่งก็อาจมีปัญหา ถ้าเทียบกับรอบนี้ถ้าเศรษฐกิจถึงพีคปีหน้าก็เหนื่อย ปีนี้ก็ pe สูง ต่างชาติก็ไม่ได้เข้ามาซื้อเท่าไร เม็ดเงินที่เข้าก็คือคนไทย ถ้าเริ่มเห็นว่า pe สูง เริ่มยืนไม่ไหว เอาเงินออก ถ้าต่างชาติเริ่มออกแรง คนไทยก็ขายตามด้วย ก็จะกลับมาตกแบบจบพีครอบที่ 2 แต่ถ้าคนไทยยังสู้ต่อก็อาจไปได้ ปี58 ที่บอกโต 15% ส่วนตัวไม่เชื่อ ถ้าเป็นไปได้เพราะไตรมาส 4 ปี 57 จะร่วงไปอีกเยอะ ก็อาจเป็นไปได้ มีผลกระทบติดลบพวกบริษัทน้ำมันอาจขาดทุนจาก stock
• โดยรวมแล้ว PE ปีหน้าก็จะสูง อาจจะ 19 เท่า โบรกเกอร์ชอบบอก pe 15-16 เท่า แต่จริงๆ pe 18-19 เท่า กำไร 8 แสนล้าน market cap 14 ล้านล้านบาท หารออกมาก็อยู่ในช่วง 18 เท่า ซึ่งแพงมากสำหรับตลาดหุ้นไทย
• ถ้า pe สูง เม็ดเงินเริ่มหายก็เป็นสัญญาณไม่ดี ก็เป็นห่วงที่คาดการณ์ไว้ว่า earning จะเพิ่ม pe ลด ถ้าไม่เป็นอย่างนั้นก็จะเหนื่อย ทิศทางระยะยาว โบรกเกอร์จะบอกกำไรโต 10-15% แต่ดูย้อนหลังมาเติบโตเพียง 6-7% ในระยะยาวก็คิดว่าโตอยู่ระดับนี้ ที่บอก 10-15% เป็นการมองโลกแง่ดี ซึ่งที่ผ่านมาการเติบโตส่วนหนึ่งมาจากการลดภาษีนิติบุคคล ถ้าตัดตรงนี้ออกไป การเติบโตยิ่งต่ำกว่านี้
• ถ้า super boom สิ้นสุดก็อาจจะซึมยาว แต่ถ้าลงทีเดียวมากๆก็น่าสนใจ โดยธรรมาชาติก็จะต้องฟื้นตัวกลับขึ้นไปใหม่
• ถ้าไม่ลงแรงก็อาจ side way ยาวไปอีกเป็น 5-10 ปี ขึ้นลงไม่เยอะ ก็เล่นแบบซื้อไปซื้อมาเหงาๆ แต่ไม่เกิดวิกฤติ

คุณมนตรี
• การวัดความถูกแพงเราดูด้วย pe ซึ่งถ้าดู consensus 12ธ.ค. ก็ยังมีผลกระทบจากน้ำมันมายังไม่เยอะ ปี 2015 ฟิลิปปินส์ PE 17.6 อินโด 14 มาเล 15 ไทย 13.78 ซึ่งของไทยอาจกระทบเรื่องน้ำมันมากกว่า เพราะเรามีบริษัท market cap ใหญ่ที่เป็นน้ำมันเยอะ PE ไต้หวัน 13 เกาหลี 10.4 จีน 10.3 อเมริกา 16.9 ญี่ปุ่น 17 เท่า
• ไทย การเติบโต ปี 2014 GDP 1% เพราะครึ่งปีแรกเราลำบากมาก ยังได้ประโยชน์จากฐานต่ำ อัตราการเติบโตปี 14 เฉลี่ยกำไรบลจ.ที่ 5.6% ซึ่งปี 15 ก็น่าจะมีโอกาสเติบโตที่ 17%
• ปีที่แล้ว SET1650 จุดที่ขึ้นสูงสุด เทียบกับอดีต 4 ม.ค. 1994 1789 จุด เป็นจุดสูงสุด ซึ่งของไทยแทบจะเป็นประเทศเดียวที่ยังไม่เคยผ่านจุดนั้น ถ้าเทียบช่วงนั้น ดาวโจนอยู่ที่ 14,000 แล้วก็เจอ QE tapering หุ้นก็ตกทั่วโลก ซึ่ง emerging ก็โดนผลกระทบด้วย แต่เขาฟื้นกลับขึ้นมาแล้วจนไปถึง 18000 แต่หุ้นไทยยังไม่ฟื้นกลับไป ยังไม่ถึงพีคตรงนั้น ซึ่งถ้าเทียบภาพสมัย 1700 ที่ยังไม่ฟื้นกลับไป
•pe ที่เทียบไม่เท่ากันอยู่ที่การใช้ฐานกำไรตรงกันหรือไม่ กำไรเติบโต 17% ที่พูดถึงคือเทียบ 4 ไตรมาสย้อนหลัง ซึ่งเป็นช่วงที่กำไรที่ย่ำแย่ที่สุดแล้ว จากนี้ไปก็น่าจะดีขึ้น pe ตลท.แสดงที่ 18 เท่า แต่ที่เราใช้ pe 16 เท่าเป็นการใช้ ไตรมาส 4 ปี 57เข้าไปด้วย แล้วถอดไตรมาส 4 ปี 56 ออก
• ถ้าย้อนหลังไปสมัย 1700 จุด เป็น pe 28 เท่า เทียบกำไรย้อนหลัง ต่างกันมาก ถ้ามองกำไรไปข้างหน้า pe 20 เท่า แต่วันนี้ pe เทียบกำไรไปข้างหน้า 14 เท่า
• Pe 20 เท่า ได้กำไร 5% ส่วนหนึ่งได้ปันผล ส่ว่นหนึ่งบริษัทเก็บไว้โต วันนี้ pe 14 เท่า คือผลตอบแทน 7% สมัยปี 94 ดอกเบี้ยค่อยๆขึ้น ไปฝากเงินแบงค์ 10% ฝาก finance เสี่ยงๆ 13-14% ตอนนั้นหุ้น pe 20 เท่า เทียบกับฝากแบงค์แล้วไม่เสี่ยง ตลาดหุ้นจะยืนอยู่ได้อย่างไร ถ้าเทียบ 14 เท่า 7% ฝากธนาคารได้แค่ 1-2% นั่นเป็นเหตุผลอยู่แล้วว่าทำไมต้องลงทุนในหุ้น แต่ต้องทำอย่างรอบคอบ
• เวลาลงทุนแล้วก็ต้องดูรายหุ้นด้วย ตลาดหุ้นไทยมี pe ย้อนหลัง 18 เท่าแต่ก็มีหลายๆหุ้นแปลกๆ pe เป็น 100 เท่า หรือใน mai ก็มีหุ้นแปลกๆเยอะ วัดที่ pe เหมือนกัน pe เฉลี่ย mai อยู่ที่ 70 เท่า บางบริษัท market cap เป็นหมื่นล้าน ปีก่อนหน้ายังอยู่หลักร้อยล้าน ยอดขายก็มีนิดเดียว หรือบางบริษัทก็ขาดทุนทุกปี
• ถ้ามองดูในภาพใหญ่ไม่เป็นลูกโป่ง แต่ในภาพย่อยให้ระมัดระวัง
• หุ้นที่ไม่มีปัจจัยพื้นฐานเวลาตกก็จะมีความกลัวว่าจะไปอยู่ที่ไหน สิ่งที่น่ากลัวคือสภาพคล่องไปอยู่ในที่ไม่ควรจะอยู่ เวลาลูกโป่งแตกมูลค่าจาก 2 หมื่นล้าน มาเหลือ 200 ล้านใน 8 วัน ผมชอบคาถาที่เรียนรู้จากอ.ไพบูลย์ คือ เสียดาย ดีกว่าเสียใจ
• จะลงทุนต้องถามตัวเองว่าหุ้นนั้นทำอะไร pe เท่าไร กำไรเท่าไร ใช้ความรอบคอบอย่าใช้ความโลภนำ ถ้าไม่ชัดเจนก็ลงทุนทั้งตลาด หรือถ้าลงทุนเพื่อเกษียณก็ซือสะสมไปในระยะยาวดีกว่าฝากเงิน

ดร.ก้องเกียรติ
• แต่ละบริษัทเขียนบทวิจัยไม่เท่ากัน เอเชียพลัสดูแล 170 บริษัท เป็น 90% ของบริษัททั้งหมดในตลาด ดู valuation, div, อัตราเติบโต แต่ถ้าเป็นของตลท.ประกาศจะเป็นหุ้นทุกตัวในตลท. ถ้าเป็นของ Bloomberg ส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นขนาดใหญ่ ซึ่งโบรกเกอร์ใหญ่ๆเป็นคนเขียนบทวิจัย อย่างมากก็ดูแล 40-50 บริษัท มักจะดูหุ้นที่สถาบันขนาดใหญ่ลงทุนได้ ตัวเลขจึงต่างกัน ดังนั้นตัวเลข Bloomberg consensus กับ Broker หรือ ตลท.ซึ่งเป็นเลขจริง ก็อาจจะต่างกัน
•การคาดการณ์ สิ้นปี 57 โตกี่ % ปี 58 กี่ % ถ้าเป็น Bloomberg น่าจะไม่ update เท่าไร เพราะโบรกแต่ละรายมีการติดตามใกล้ชิดกว่า บางทีไปเยี่ยมชมบริษัทมาก็อาจจะเขียนบทวิจัยฉบับย่อออกมาเลย แต่ถ้าสถาบันขนาดใหญ่อาจใช้เวลานาน และเผยแพร่ให้ลูกค้าก่อนที่จะออกสู่สาธารณชน
• เสริมอ.นิเวศน์เรื่อง wave super boom ช่วงหลังวิกฤติเลห์แมน หุ้น pe 7-8 เท่ามีเยอะ แต่ไม่ค่อยมีคนสนใจซื้อ ซึ่งเป็นจุดน่าซื้อที่สุดทุกครั้ง ช่วงที่คนกล้าที่สุดก็เป็นช่วงที่น่ากลัวที่สุด
• บริษัทดีๆยังมีอีกเยอะ ข้อดีตอนนี้คือดอกเบี้ยยังต่ำมาก และน่าจะต่ำอีกนาน แม้อเมริกาจะปรับขึ้น แต่ก็คงต้องดูสภาวะเศรษฐกิจอื่นๆด้วย ทั้งยุโรปและจีน ซึ่งดอกเบี้ยต่ำจะเป็นผลบวก แต่ถ้าดอกเบี้ยปรับขึ้นจากการเติบโตก็ต้องระวัง คิดว่าคงยังไม่เกิดปีหน้า
• มีทั้งข้อดีข้อเสีย ปีหน้าต้องระวังเพราะ pe หุ้นหลายบริษัทสูงมาก

กลุ่มไหนที่น่าจะดี กลุ่มไหนน่าจะไม่ดี ให้ระมัดระวัง
คุณมนตรี
• ภาพรวมมองเป้าหมาย SET 1640 ไม่ได้มองว่าเป็นปีที่ดีมาก
• มองว่ากลุ่มที่น่ามีน้ำหนักลงทุนมากกว่าเฉลี่ยคือสื่อสาร , อาหารมีหลายบริษัทน่าสนใจ ค่าเงินบาทอ่อนตัว การส่งออกจะดีขึ้น,กลุ่มอิเลคทรอนิกส์ดูมีการฟื้นตัว ได้ผลดีจากอเมริกาฟื้น, ธนาคารน่าจะเติบโต ได้ประโยชน์กับการใช้จ่ายภาครัฐ ซึ่งเป็นกลุ่มที่สะท้อนภาพรวม, infrastructure ก็น่าสนใจ แต่หุ้นขึ้นมาแล้ว ก็เลยกลางๆ
• กลุ่มที่ให้ระมัดระวัง คือพวกที่เกี่ยวกับอสังหาพวกที่ตามแนวขนส่งมวลชนก็ขึ้นมามาก, กลุ่มพลังงาน รอบนี้อาจจะมีปัจจัยที่ไม่ใช่ระยะสั้นเพราะอุปสงค์อุปทานมีการเหลื่อมกันมานานแล้วพอสมควร เพราะผู้ผลิตมีเยอะตอนที่ราคา 90-100 เหรียญก็ผลิตกันมาก แต่ความต้องการมีไม่มากเท่า อย่างยุโรปก็ฟื้นตัวไม่ได้อย่างที่คิด

ดร.ก้องเกียรติ
• กลุ่มที่คิดว่าน่าสนใจ ราคายังไม่ถูกนัก
• ประกันชีวิต กรมธรรม์ไม่ได้เปลี่ยนแปลงตามอัตราขึ้นลงของเศรษฐกิจ และคิดว่าประชาชนจะใช้ออมเงินมากขึ้น รวมทั้งการเก็บเงินเป็นมรดกให้ลูกหลานโดยไม่เสียภาษี ซึ่งสัดส่วนการซื้อประกันชีวิตในไทยยังต่ำมาก ในต่างประเทศมีกรมธรรม์ก้อนใหญ่ 5 ล้านเหรียญ และประกันไปจนอายุ 80-90 ปี แล้วเงิน 10 ล้านเหรียญจะส่งให้ลูกหลาน น่าจะมีกรมธรรม์ลักษณะนี้ในไทย เป็นธุรกิจที่ไทยโตได้ระยะยาวเพราะฐานยังเล็ก
• สายการบินและlogistics ต่างๆ ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันถูก พวกสายการบินที่บินหลายประเทศด้วย ถ้ายกเลิกกฏอัยการศึกก็จะได้ประโยชน์ แต่ทั้งโลกมีบริษัทเดียวที่ได้กำไร คือ south west airline ราคาหุ้นขึ้นมาตลอด ที่เหลือขาดทุนกันหมด
• กลุ่มสื่อสาร พวก 4G น่าจะมีการประมูล และพวกที่มีปันผลสูง สถาบันก็ให้ความสนใจ
• กลุ่มอาหาร เป็น recession proof แม้จะเศรษฐกิจต่ำก็ต้องกินต้องใช้ ถ้าเป็นตัวที่ส่งออกก็น่าจะได้ประโยชน์ คิดว่าตอนนี้บาทแข็งเกินไปเทียบสกุลเงินต่างๆรอบบ้านที่เป็นคู่แข่งส่งออก ถ้าเศรษฐกิจไทยเติบโตช้ากว่าที่ควรจะเป็น กนง.ก็อาจจะลดดอกเบี้ย จีนก็เพิ่งลดไป แต่ต้องดูเลขเศรษฐกิจรายเดือน ซึ่งแบบนั้นค่าเงินบาทก็จะอ่อนลง
• กลุ่ม micro finance ปล่อยสินเชื่อให้ผู้กู้รายย่อย เป็นการทดแทนการกู้นอกระบบ ซึ่งจะมีบริษัทที่เริ่มเป็นระบบเข้ามาจดทะเบียนในหลักทรัพย์มากขึ้น ธนาคารพาณิชย์โดยทั่วไปไม่ถนัด และไม่คุ้มทุนในการปล่อยกู้ให้รายย่อย ก็จะมีผู้เชี่ยวชาญลักษณะนี้เข้ามา
• กลุ่มที่ควรหลีกเลี่ยง
• พวกน้ำมัน ตอนนี้ก็ควรหลีกเลี่ยงก่อน แต่ถ้าตกถึงจุดหนึ่งอาจจะน่าสนใจ ดู spot rate ต่ำกว่า 60$/barrel ถ้ายืนฐานได้สักพักอาจจะเริ่มน่าสนใจ ซึ่งคงต้องประกาศผลที่แย่ออกมาก่อน แต่ถ้าตกลงมาเรื่อยๆประกาศออกมาก็อาจแย่กว่าได้อีก
• กลุ่มที่ดีแต่แพงมีมากเป็นสิบกลุ่ม ก็ขอข้าม

ดร.นิเวศน์
• ให้เป็นสูตรให้คิดเอง
• มี over reaction ในตลาด คิดว่าดีเกินไป ต้องหาหุ้นที่ยัง stable ผลประกอบการไม่กระทบรุนแรง เกิดวิกฤติก็ยังมีกำไรใช้ได้ แต่ราคาไม่สะท้อน หรือไม่ขึ้นตามา ตัวที่ขึ้นเยอะๆอย่าไปสนใจมาก
• อีกอย่างก็อาจจะลงทุนต่างประเทศ หรือถ้าเก็บเงินไว้ รอจังหวะ

คะแนนตลาดหุ้นไทยปี 58 (0 แย่สุด ->10 ดีสุด)
• คุณมนตรี 6 คะแนน
• ดร.ก้องเกียรติ 4 คะแนน
• ดร.นิเวศน์ เพราะลงมาแล้วเกือบร้อยจุดให้ 4 คะแนน ถ้า 1600 ให้ 2-3 คะแนน
• อ.เสน่ห์ ฝากว่า หลายคนซื้อหุ้นก็ไม่ได้สนใจบริษัท ไม่ได้สนใจ pe อะไรมาก ขอให้ซื้อหุ้นได้กำไร ซึ่งก็เห็นหลายๆตัวเข้ามาที่ซื้อขายกันแบบไม่มีพื้นฐานแต่ได้กำไรมากมาย เหมือนมีคนเอาลูกเต๋ามาโยนเข้าไป ให้คนเล่นซื้อขายกันใหญ่ เรากำลังสนใจที่ลูกเต๋าหรือการซื้อขายรอบตัวเรา มูลค่าแท้จริงเป็นเท่าไร สุดท้ายคนที่ได้ประโยชน์เสียประโยชน์คือใคร


Money talk at SET ครั้งต่อไป
เสาร์ที่ 17 ม.ค. 58 จอง 10 ม.ค.58
หัวข้อ 1 เส้นทางมืออาชีพนักการเงิน Gen M ดร.สมจินต์ ศรไพศาล,ดร.ประดิษฐ์ วิธิศุภกร
หัวข้อ 2 กลยุทธ์ VI ปี 58 ดร.นิเวศน์, คุณโจ ลูกอีสาน,คุณพีรนาถ,คุณประชา
เวลาเริ่ม 12.50 นิมนต์ท่านพระอาจารย์อลงกต วัดพระบาทน้ำพุ ท่านจะเทศน์ให้ฟังเล็กน้อย และมีการบริจาคสมทบทุนวัดจากรายการ Moneytalk และ thaivi ทุกท่านสามารถร่วมทำบุญได้
โปรแกรมปี 2558 ดูได้ที่ facebook money talk : facebook.com/moneytalktv

ขอบพระคุณอ.ไพบูลย์,พิธีกร,วิทยากร และทีมงาน money talk
และผู้สนับสนุนทุกท่านทั้งตลาดหลักทรัพย์,สปอนเซอร์ทุกท่านครับ
หากเนื้อหามีความผิดพลาดอย่างไรขออภัยด้วยครับ สามารถช่วยเสริมหรือแก้ไขได้ครับ ขอบคุณครับ
Go against and stay alive.
ภาพประจำตัวสมาชิก
sai
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 4095
ผู้ติดตาม: 291

Re: Moneytalk@SET14Dec2014ทิศทางเศรษฐกิจ&หุ้นไทยปี58

โพสต์ที่ 2

โพสต์

ขอบคุณมากครับผม
Small Details Make a Big Difference
RoMEAotZ
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 339
ผู้ติดตาม: 0

Re: Moneytalk@SET14Dec2014ทิศทางเศรษฐกิจ&หุ้นไทยปี58

โพสต์ที่ 3

โพสต์

ขอบคุณครับ
dermunong
Verified User
โพสต์: 19
ผู้ติดตาม: 0

Re: Moneytalk@SET14Dec2014ทิศทางเศรษฐกิจ&หุ้นไทยปี58

โพสต์ที่ 4

โพสต์

ขอบคุณครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
GINTOKI
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 174
ผู้ติดตาม: 3

Re: Moneytalk@SET14Dec2014ทิศทางเศรษฐกิจ&หุ้นไทยปี58

โพสต์ที่ 5

โพสต์

ขอบคุณมากๆครับ
theenuch
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1736
ผู้ติดตาม: 38

Re: Moneytalk@SET14Dec2014ทิศทางเศรษฐกิจ&หุ้นไทยปี58

โพสต์ที่ 6

โพสต์

ขอบคุณมากเลยจ้าน้องบิ๊ก :D
ภาพประจำตัวสมาชิก
kongkiti
Verified User
โพสต์: 5830
ผู้ติดตาม: 19

Re: Moneytalk@SET14Dec2014ทิศทางเศรษฐกิจ&หุ้นไทยปี58

โพสต์ที่ 7

โพสต์

ขอบคุณครัช
“Its like a finger pointing away to the moon. Don't concentrate on the finger
or you will miss all that heavenly glory.”- Bruce Lee

FAQs เกี่ยวกับแนวทางลงทุนแบบ VI
Blog ใหม่ >> https://www.blockdit.com/articles/5d733 ... 270d7b530
amornkowa
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2636
ผู้ติดตาม: 269

Re: Moneytalk@SET14Dec2014ทิศทางเศรษฐกิจ&หุ้นไทยปี58

โพสต์ที่ 8

โพสต์

ขอบคุณครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
JobJakraphan
Verified User
โพสต์: 749
ผู้ติดตาม: 0

Re: Moneytalk@SET14Dec2014ทิศทางเศรษฐกิจ&หุ้นไทยปี58

โพสต์ที่ 9

โพสต์

ขอบคุณครับ
a_tar_7
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 48
ผู้ติดตาม: 0

Re: Moneytalk@SET14Dec2014ทิศทางเศรษฐกิจ&หุ้นไทยปี58

โพสต์ที่ 10

โพสต์

ขอบคุณมากครับ..
ลูกหิน
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1217
ผู้ติดตาม: 1

Re: Moneytalk@SET14Dec2014ทิศทางเศรษฐกิจ&หุ้นไทยปี58

โพสต์ที่ 11

โพสต์

ขอบคุณมากๆครับ
doikham
Verified User
โพสต์: 91
ผู้ติดตาม: 0

Re: Moneytalk@SET14Dec2014ทิศทางเศรษฐกิจ&หุ้นไทยปี58

โพสต์ที่ 12

โพสต์

ขอบคุณมากค่ะ
Mr. Wealth
Verified User
โพสต์: 45
ผู้ติดตาม: 0

Re: Moneytalk@SET14Dec2014ทิศทางเศรษฐกิจ&หุ้นไทยปี58

โพสต์ที่ 13

โพสต์

ขอบคุณครับ
คุณค่า แข็งแกร่ง เติบโต ยั่งยืน
ชนะมด
Verified User
โพสต์: 14
ผู้ติดตาม: 0

Re: Moneytalk@SET14Dec2014ทิศทางเศรษฐกิจ&หุ้นไทยปี58

โพสต์ที่ 14

โพสต์

ขอบคุณครับ
:P :P :P :P
A journey of a thousand miles begins with a single step.
ภาพประจำตัวสมาชิก
RnD-VI
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 6460
ผู้ติดตาม: 618

Re: Moneytalk@SET14Dec2014ทิศทางเศรษฐกิจ&หุ้นไทยปี58

โพสต์ที่ 15

โพสต์

ขอบคุณมากครับ
วินัย + แผนการ + ลงรายละเอียด => ขุดหุ้น
b4solid
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1135
ผู้ติดตาม: 72

Re: Moneytalk@SET14Dec2014ทิศทางเศรษฐกิจ&หุ้นไทยปี58

โพสต์ที่ 16

โพสต์

ขอบคุณมากเลยครับผม
ลูกเต่า
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 504
ผู้ติดตาม: 1

Re: Moneytalk@SET14Dec2014ทิศทางเศรษฐกิจ&หุ้นไทยปี58

โพสต์ที่ 17

โพสต์

ขอบคุณครับ
ปัจจุบันขณะ
nutsopon
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 246
ผู้ติดตาม: 3

Re: Moneytalk@SET14Dec2014ทิศทางเศรษฐกิจ&หุ้นไทยปี58

โพสต์ที่ 18

โพสต์

ขอบคุณครับ
somkiatt
Verified User
โพสต์: 6
ผู้ติดตาม: 0

Re: Moneytalk@SET14Dec2014ทิศทางเศรษฐกิจ&หุ้นไทยปี58

โพสต์ที่ 19

โพสต์

ขอบคุณมากครับ
กิมหงวน
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 125
ผู้ติดตาม: 8

Re: Moneytalk@SET14Dec2014ทิศทางเศรษฐกิจ&หุ้นไทยปี58

โพสต์ที่ 20

โพสต์

ขอบคุณมากครับ
ratchawan
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 52
ผู้ติดตาม: 0

Re: Moneytalk@SET14Dec2014ทิศทางเศรษฐกิจ&หุ้นไทยปี58

โพสต์ที่ 21

โพสต์

ขอบคุณมากค่ะ
nuk
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 178
ผู้ติดตาม: 0

Re: Moneytalk@SET14Dec2014ทิศทางเศรษฐกิจ&หุ้นไทยปี58

โพสต์ที่ 22

โพสต์

ขอบคุณมากครับ
LER1982
Verified User
โพสต์: 44
ผู้ติดตาม: 0

Re: Moneytalk@SET14Dec2014ทิศทางเศรษฐกิจ&หุ้นไทยปี58

โพสต์ที่ 23

โพสต์

ขอบคุณมากครับ
โพสต์โพสต์