Thai Value Investor การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุน VI หุ้นวีไอ Webboard

เมื่อตลาดเริ่มต้น วัฏฏะ ครั้งใหม่ ในการขึ้น ดัชนีจะมีการขึ้นอย่างรุนแรง บางครั้งขึ้นโดยไร้อินดิเคเตอร์ใด ๆ ที่จะบอกว่าเป็นอย่างไร?

นลท. นักเก็งกำไร หน้าใหม่หน้าเก่า จ้องที่ตารางเดียวกัน ความผันผวนไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในตลาดแต่เกิดขึ้นในจิตใจเราด้วย

1 พอร์ตว่างทำไงดี
2 ตกรถทำไงดี
3 เฮ้ยหุ้นเราทำไม่ไม่ขึ้นทำไงดี
4 หุ้นเราขึ้นน้อยกว่าหุ้นเพื่อนทำไงดี
5 หุ้นที่จ้องแล้วจ้องอีกเอาแต่จ้องขึ้นมาเยอะแล้วเอาไงดี
6 สลับ สลับ สลับ

ผมไม่มีคำตอบสุดท้ายที่จะยืนยันสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ เพราะมันก็เกิดกับผมด้วยเช่นเดียวกันในฐานะนักลงทุนคนหนึ่ง แต่อยากบอกกับทุกท่านว่า

จงใช้สติในการลงทุน หลักการวีไอต้องยึดไว้เป็นสรณะ

ถ้าท่านกำลังทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ว่าจะซื้อ ขาย หรือถือ ด้วยความโลภ หรือความกลัว ท่านต้องรีบรับรู้และกลับมาที่พื้นฐานการลงทุนที่ถูกต้อง อย่าผลีผลาม อย่าโลภจนเกินตัวหรืออย่ากลัวจนเกินเหตุ ครับ

ส่วนตัวผมคงรองบ Q2 ออกมาก่อนอ่ะครับ แล้วค่อยตัดสินใจปรับพอร์ตอีกทีนึง ถ้ามีตัวที่น่าสนใจอย่างมีนัยยะนะครับ ถ้าไม่มีก็ stay calm, stay invest เหมือนเดิม

พี่ NB เล่นออกมาเตือนน้องๆก่อนเลยนะครับนี่...^^)
วันนี้ผมเห็นตลาดแล้วรู้สึกดีใจ เพราะจะได้มีเวลาไปศึกษาเรื่องอื่นๆเพิ่มเติม
ต่อ ไม่ต้องมานั่งดูราคาที่หน้าจออีก (เขียวได้เขียวไป แดงเมื่อไรเจอกันอีกที
นาย Mr.Market) หุหุหุ....^^)

indicator ที่ผมใช้คือ เพื่อนรอบๆตัวกับเพื่อนใน facebookครับ ช่วงไหนคนที่ไม่เคยสนใจเรื่องหุ้นมาก่อนเริ่มมาพูดหรือโพสน์เรื่องหุ้นผมถือว่านั่นคือช่วงกลางๆของขาขึ้นละครับ (ช่วงนี้เริ่มเห็นเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆละครับ)

สิ่งที่ผมทำคือ เวลาเค้าขยับ(เริ่มเล่นหุ้น)ผมจะนิ่ง เวลาเค้านิ่ง(เริ่มไม่พูดเรื่องหุ้นหรือบ่นขาดทุน)ผมถึงจะขยับ

บางทีผมว่ามันก็ดูโหดร้ายกับเพื่อนๆไปหน่อยนะ แต่อดีตผมก็เคยพยายามบอกให้คนเหล่านี้อย่าไปเล่นหุ้น แต่ให้เปลี่ยนเป็นลงทุนแทน แต่ก็พบว่าการเปลี่ยนความคิดคนนี่มันยากจริงๆ คงต้องให้ประสบการณ์เป็นตัวสอนน่าจะดีที่สุด เพราะผมก็ผ่านช่วงแบบนั้นมาแล้วเหมือนกัน ก่อนจะรู้จักการลงทุนแบบ VI

ออกจากตลาด แต่เอาเงินไปไว้กับบริษัท มาระยะหนึงแล้วครับ.....กลัว "ช่วงเวลาอันตราย"

เมื่อราคาหุ้นขนาดใหญ่ทะยอยทำสูงสุดใหม่ตลอดกาล
หลายคนเห็นเป็นเรื่องดี ตีความว่าแนวโน้มตลาดขาขึ้นรอบใหญ่เพิ่งเริ่ม และอาจขึ้นต่อเนื่องอีกยาวนาน
อีกหลายคนมองตรงข้ามเห็นเป็นสัญญาณร้าย ตีความว่าตลาดอาจกำลังอยู่ในจุดสูงสุดและอาจร่วงลงในไม่ช้า

ความจริงคือ ไม่มีใครรู้อนาคตล่วงหน้าได้เลย การพยายามหาเหตุผลมาอธิบายความเป็นไปของตลาดจะกลายเป็นการหาเหตุผลให้แก่การกระทำตนเองเสียมากกว่า

นักลงทุนที่ชาญฉลาดจึงเลือกที่จะคาดหวังแต่เฉพาะผลประกอบการของแต่ละหุ้นมากกว่าทิศทางตลาดรวม และตัดสินในที่จะกระทำหรือไม่กระทำตามนั้น


https://www.facebook.com/pages/Prichar- ... 0152437577

คิดมากปวดหัวนะครับผม เสียเวลาทำมาหากิน

วัดครี่งนึง กรรมการครึ่งนึง

ครึ่งนึงซื้อหุ้น ครึ่งนึงฝากประจำ

หุ้นตกก็คิดซะว่าซื้อของให้เมียครับ

prichar s. เขียน:เมื่อราคาหุ้นขนาดใหญ่ทะยอยทำสูงสุดใหม่ตลอดกาล
หลายคนเห็นเป็นเรื่องดี ตีความว่าแนวโน้มตลาดขาขึ้นรอบใหญ่เพิ่งเริ่ม และอาจขึ้นต่อเนื่องอีกยาวนาน
อีกหลายคนมองตรงข้ามเห็นเป็นสัญญาณร้าย ตีความว่าตลาดอาจกำลังอยู่ในจุดสูงสุดและอาจร่วงลงในไม่ช้า

ความจริงคือ ไม่มีใครรู้อนาคตล่วงหน้าได้เลย การพยายามหาเหตุผลมาอธิบายความเป็นไปของตลาดจะกลายเป็นการหาเหตุผลให้แก่การกระทำตนเองเสียมากกว่า

นักลงทุนที่ชาญฉลาดจึงเลือกที่จะคาดหวังแต่เฉพาะผลประกอบการของแต่ละหุ้นมากกว่าทิศทางตลาดรวม และตัดสินในที่จะกระทำหรือไม่กระทำตามนั้น


https://www.facebook.com/pages/Prichar- ... 0152437577

เป็นมุมมองใหม่ที่ดีมากครับที่ว่า เมื่อไหร่ที่หุ้น Big CAP หรือหุ้นแข็งแกร่งทำราคาสูงสุดใหม่ (ดัชนีก็มีแนวโน้มที่จะมีจุดสูงสุดใหม่) เป็นเวลาที่เราควรพิจารณาว่าหุ้นรายตัวที่เราถืออยู่เต็มมูลค่าหรือยัง

น่าสนใจมากครับ พี่ NB นึกว่าผมที่เริ่มคิดไปเอง พี่ๆในนี้ก็เริ่มรู้สึกกันบ้าง
VI เราๆ เองลงทุนตั้งแต่ ตลาดตกต่ำ PE 6 7 8 จน เดี๋ยวนี้ เทรดกัน PE 10 15 20 บางครั้งราคาหุ้นปัจจุบันบางตัวก็คงเริ่มฝืนความรู้สึกของเราไม่บ้างก็น้อย
หลายๆตัวของผมเองก็ยังเติบโตดี แต่ราคานี่ขึ้นไปเร็ว จน " คันมือ" สำหรับ นักลงทุนที่ผ่านหนาว มาอย่างน้อย 5- 6 ปี ผมคิดว่า ก็คงเริ่ม วิเคราะและระวังตัวกันมากขึ้น
Circle ของตลาด ก็คงเดิมๆ มีขึ้นแรง สักพัก ก็ลงแรง เป็นงี้ทุกๆครั้ง แต่วันนี้ตลาดก็วิ่งขึ้นมามาก ก็เลยตั้งคำถามกับตัวเอง ว่า หลังปฎิรูปกับ คสช เศรษฐกิจไทย ดีขึ้นมาก ขนาดนั้นเชียวเหรอ และจะดีถึงปีหน้า และปีต่อๆไปหรือไม่ ตลาดหุ้นตอบรับล่วงหน้าและเต็มมูลค่ารึยัง. เราต้องมี Exit strategy

บางตัว เกินเป้าหมาย แต่ก็ยัง ไม่กล้าขายครับ

บางตัว เกินเป้าหมาย แต่ก็ยัง ไม่กล้าขายครับ

เวลาคลื่นสงบเท่านั้นแหล่ะ ที่จะรู้ว่าใครล่อนจ้อนเกยตื้นอยู่ที่ชายหาด เหมือนตลาดจะมีแต่นักเก็งกำไรรายวัน ตัวไหนดีก้แห่กันเข้าไป

ตลาดแบบนี้ คนไม่มีเหตุผล แต่พอเหตุผลมันออกมา ก้จะรู้ว่า ข้างหน้าเป็นยังไง ระยะสั้นๆตลาดหุ้นก้เหมือนเครื่องลงคะแนน พวกใครมากก้ลากกันไป

แต่ระยะยาวแล้ว มันคือ กิโล ครับ สุดท้ายแล้วราคาก้ขึ้นลงตามผลประกอบการ

ถ้ามองภาพใหญ่ๆแล้ว หุ้นที่ถือแข็งแกร่งอึดทน และมีMos ก้อย่าไปสนอะไรเลยครับ

อีกหนึ่งสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนคือหุ้น IPO ซึ่งเหมือนผมเห็นภาพนี้น่าจะประมาณ 2 ปีก่อน ลองย้อนไปดูปีที่แล้วนับตัวได้ที่เหนือจองได้ ปัจจุบันกลับมาร้อนแรงอีกครั้ง

ช่วงนี้มักใช้เวลาไปเดินสำรวจสินค้า/บริการของกิจการที่เราถือหุ้นอยู่ ยังขายดี เทรนด์ยังไม่เปลี่ยนไปอีกนาน และอย่า Bias ถ้าดูแล้วยังดูดีอยู่ผมก็ถือต่อครับ

ช่วงนี้เริ่มได้ยินคนใกล้ตัวคุยเรื่องหุ้น/การลงทุน เยอะขึ้นครับ
หลายๆคนติดตามทุกวัน โทรมาบอกเราอยู่เรื่อยว่าไม่ซื้อหรอ
สงสัยจะกลัวเราตกรถ

แบบนี้พอเป็นสัญญาณอะไรได้บ้างไหมครับ

ตอนนี้ คนแถวบ้านผมเริ่มหันมาเล่นหุ้นกันเยอะ (เล่นไม่ใช่ลงทุนนะครับ) ส่วนมากจะเป็นมือใหม่ ที่ไม่รู้อะไรเลย มีหน้าใหม่เข้ามาเยอะมากๆ จนผมงงมีแต่คนบอกจะเล่นหุ้น เพื่อนผมที่สนิทๆเล่นไม่เป็นก็เข้ามาถามบอกจะเล่นหุ้นต้องทำยังไง มีแบบนี้เข้ามาเยอะ อย่างสองวันที่แล้วผมเข้าไปซื้อหนังสืิอหุ้น มีคนมาถามผมว่า "โทษนะครับ ผมอยากเล่นหุ้น มีหนังสือแนะนำไหมครับ" แบบนี้เรียกว่าเป็นสัญญานอันตรายได้ไหมครับ

มูลค่าซื้อขายต่อวันยังตํ่า ผมว่าช่วงนี้ยังไม่น่าห่วงเท่าไรนะครับ

" นักลงทุนจะต้องผ่านอารมณ์ 3 ลักษณะอย่างต่อเนื่อง ก็คือ ความกังวลใจ, ความชะล่าใจ และการยอมจำนน เขาบอกว่านักลงทุนโดยทั่วไปจะเกิดความกังวล หลังจากเกิดภาวะตกต่ำของตลาดหุ้น หรือเศรษฐกิจเริ่มชะลอตัว ซึ่งนี่ทำให้นักลงทุนไม่ได้เข้าซื้อหุ้นดีๆที่ราคาถูกๆ ด้วยเหตุผลในลักษณะเดียวกัน หลังจากที่นักลงทุนซื้อหุ้นที่ราคาสูงขึ้นแล้ว หากราคาหุ้นยังสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง พวกเขาก็จะเริ่มรู้สึกชะล่าใจ จริงๆแล้ว นี่เป็นเวลาที่ต้องมาทบทวนปัจจัยพื้นฐานกันอีกครั้ง นักลงทุนแบบนี้คิดว่า หุ้นจะขึ้นไปเรี่อยๆ แต่ท้ายที่สุดเมื่อหุ้นตกลงอย่างหนัก และราคาตกลงมาต่ำกว่าราคาต้นทุน นักลงทุนเหล่านี้ก็จะยอมจำนนและเทขายหุ้นออกมา " :ปีเตอร์ ลินช์

ที่อันตรายที่สุด คือ ที่ปลอดภัยที่สุด
ดังนั้น
ช่วงเวลาอันตราย คือ ช่วงเวลาที่ปลอดภัย

ส่วนตัวผมมองว่าถ้าธุรกิจยังเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ผมก็จะยังไม่ขายหุ้นไม่ว่าดัชนีจะเป็นอย่างไร
แต่หากกิจการเติบโตจนถึงจุดอิ่มตัวแล้ว และผลิตภัณฑ์ก็ไม่สามารถปรับปรุงเพื่อเพิ่มมูลค่าได้ ผมก็จะขายหุ้นตัวนั้นออกไปไม่ว่าดัชนีจะเป็นอย่างไร
สรุปคือ ผมเน้นโฟกัสที่ตัวธุรกิจมากกวาดัชนีครับ