เมื่อเศรษฐกิจอ่อนฤทธิ์ยาชูกำลัง

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
ภาพประจำตัวสมาชิก
นายมานะ
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 1167
ผู้ติดตาม: 193

เมื่อเศรษฐกิจอ่อนฤทธิ์ยาชูกำลัง

โพสต์ที่ 1

โพสต์

ดร.วิรไท สันติประภพ

ผ่านไปครึ่งปีแล้วนะครับ สำหรับปีแม่ปูขี่งูเล็ก ครึ่งปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกต้องเผชิญกับความผันผวนสูงมาก ใครที่ลงทุนในตลาดหุ้นคงรู้สึกเหมือนกับเล่นรถไฟเหาะตีลังกา ใครที่ลงทุนในทองคำคงรู้สึกเหมือนกับเล่นสไลเดอร์ที่มองไม่เห็นพื้นดิน ประมาณการเศรษฐกิจไทยที่ออกมาใหม่ๆ ทำให้รู้สึกว่าเรากำลังรำวงสาละวันเตี้ยลงๆ ส่วนสถานการณ์การเมืองก็คล้ายกับติดอยู่ในเขาวงกตที่มีกับระเบิดซ่อนไว้หลายจุด

หลายคนคงเห็นคล้ายกันว่า เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ดูจะไม่สดใสเท่าไหร่ แม้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาเริ่มฟื้นตัวดีขึ้นเรื่อยๆ เศรษฐกิจญี่ปุ่นเริ่มเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ และความกังวลว่าเศรษฐกิจยุโรปจะล้มละลายได้ลดลงไปมาก สาเหตุสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจไทยดูไม่ค่อยสดใสเท่าไหร่คงเป็นเพราะเศรษฐกิจไทยในช่วงสองปีที่ผ่านมาได้ใช้ยาชูกำลังหลายขนาน ยาชูกำลังเหล่านี้ทำให้คนไทยลันล้ามาได้ต่อเนื่อง ไม่ว่าเศรษฐกิจโลกจะเละแค่ไหนก็ตาม

มาถึงวันนี้ ยาชูกำลังของเศรษฐกิจไทยอ่อนฤทธิ์ลงเรื่อยๆ ทั้งยาชูกำลังสัญชาติฝรั่งและยาชูกำลังแบบไทยไทย สำหรับยาชูกำลังสัญชาติฝรั่งนั้น เราได้รับอานิสงจากยา QE ที่ผลิตโดยธนาคารกลางของประเทศยักษ์ใหญ่ในโลก นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายมากๆ และสภาพคล่องส่วนเกินที่ธนาคารกลางอัดฉีดเข้าสู่ระบบการเงินโลก ส่งผลให้ราคาหุ้น ราคาทองคำ และราคาอสังหาริมทรัพย์ ปรับเพิ่มขึ้นตลอดช่วงสองปีที่ผ่านมา อัตราดอกเบี้ยในตลาดเงินทั่วโลกลดลงต่ำมาก ทำให้ต้นทุนการกู้เงินของรัฐบาลไทยและธุรกิจไทยขนาดใหญ่ต่ำลงมากจนบางคนชะล่าใจว่าอัตราดอกเบี้ยจะต่ำอย่างนี้ตลอดไป

ในวันนี้ยาชูกำลัง QE ที่ไหลเข้าปากคนไทย กำลังจะแปลงสภาพเป็นกรดไหลย้อน แค่ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาเริ่มส่งสัญญาณว่าอาจจะลดการทำนโยบาย QE ลงได้ ก็สร้างความปั่นป่วนให้กับทั้งตลาดหุ้น ตลาดทองคำ และตลาดพันธบัตร แบบที่คนไทยส่วนใหญ่ตั้งตัวไม่ทัน ธุรกิจขนาดใหญ่หลายแห่งต้องยกเลิกการออกหุ้นกู้เพราะอัตราดอกเบี้ยกระโดดขึ้นสูงกว่าที่รับได้ บางบริษัทต้องเลื่อนการออกหุ้นระดมทุนเพราะตลาดหุ้นตกลงแรง ในวันนี้สภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ำในระบบการเงินโลกเริ่มที่จะกลับทิศแล้ว แม้ว่าธนาคารกลางของยุโรปและญี่ปุ่นยังจะคงผลิตยาชูกำลัง QE ต่อเนื่อง แต่ยาของญี่ปุ่นและยุโรปไม่ถูกปากถูกใจคนไทย และไม่แรงเท่ากับยา QE ของสหรัฐอเมริกา

ยาชูกำลังต่างชาติตัวที่สอง ที่เราได้รับอานิสงมาต่อเนื่องก็คือยาสัญชาติจีน ในขณะที่เศรษฐกิจตะวันตกอ่อนแอ เศรษฐกิจจีนได้ทำหน้าที่พยุงเศรษฐกิจเอเชีย การส่งออกของไทยไปจีนขยายตัวดีมาโดยต่อเนื่อง นักท่องเที่ยวจีนเข้ามาทดแทนนักท่องเที่ยวชาติอื่นจนเต็มทุกแหล่งท่องเที่ยวในประเทศไทย เมื่อจีนเปลี่ยนผู้นำในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา นักวิเคราะห์ทั่วโลกคาดหวังว่าผู้นำจีนชุดใหม่จะออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่จะช่วยให้เศรษฐกิจจีนกลับมาขยายตัวดีอีกครั้งหนึ่ง ในทางตรงกันข้าม ผู้นำจีนชุดใหม่กลับให้ความสำคัญกับการสร้างความเข้มแข็งและสร้างวินัยให้กับระบบเศรษฐกิจจีน โดยเฉพาะระบบสถาบันการเงิน ยาชูกำลังสัญชาติจีนกำลังจะกลายเป็นยาขม อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในตลาดเงินจีนกระโดดขึ้นเร็วมาก เพราะรัฐบาลมีนโยบายที่จะใช้อัตราดอกเบี้ยสูงหยุดพฤติกรรมเก็งกำไร และหยุดโครงการลงทุนที่ไม่มีประสิทธิภาพ แม้ว่านักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจีนจะยังขยายตัวได้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 7 ในปีนี้ แต่ก็เชื่อว่าธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กในจีนจะถูกกระทบรุนแรง ตัวเลขการส่งออกจากไทยไปจีนในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาก็เริ่มส่งสัญญาณอันตรายแล้ว เพราะติดลบไปถึงร้อยละ 16 จากช่วงเดียวกันของปีที่ก่อน

เมื่อหันกลับมาดูสถานการณ์ภายในประเทศ รัฐบาลไทยได้ใช้ยาชูกำลังและยาม้าหลายประเภท ทั้งยาที่ส่งเสริมให้คนไทยบริโภคเกินจริง แล้วยาประเภทที่กินแล้วฝันดีว่าอนาคตจะสดใส แต่วันนี้ยาชูกำลังขนานหลักๆ เริ่มอ่อนกำลังลง ยาม้าหลายตัวเริ่มส่งผลข้างเคียง ปล่อยสารตกค้างไว้ในร่างกาย ทำให้เศรษฐกิจไทยไหลลงเร็วโดยไม่ได้ตั้งใจด้วย ยาชูกำลังที่ทำให้คนไทยบริโภคเกินจริงมีหลายขนาน ชุดใหญ่ๆ คงหนี้ไม่พ้นโครงการรับจำนำ (หรือรับซื้อ) ข้าวทุกเม็ดในราคาที่สูงกว่าตลาดโลกมาก โครงการรับจำนำข้าวและสินค้าเกษตรอื่นๆ ได้ส่งผลให้เศรษฐกิจชนบทกระชุ่มกระชวยเป็นพิเศษ นอกจากนี้ ค่าแรงขั้นต่ำได้ถูกปรับขึ้นเป็น 300 บาททั่วประเทศ เงินเดือนข้าราชการระดับปริญญาตรีได้เพิ่มขึ้นเป็น 15,000 บาทต่อเดือน รัฐบาลได้เร่งเบิกจ่ายงบประมาณในหลายโครงการ โดยเฉพาะพวกรายจ่ายที่ไม่เกิดประโยชน์ในระยะยาว เช่น การจัดกิจกรรมเปิดงานประชาสัมพันธ์เรื่องต่างๆ การซื้อพื้นที่โฆษณาตามหนังสือพิมพ์ ไปจนถึงการเช่าป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ติดชื่อและรูปของรัฐมนตรี ใครที่ใช้ดอนเมืองโทลเวย์เป็นประจำ คงเห็นด้วยกับผมว่าสินค้าที่มีป้ายโฆษณามากที่สุดคือรัฐบาลไทย

นอกจากมาตรการยาชูกำลังแล้ว รัฐบาลได้ออกมาตรการแบบยาม้าอีกหลายขนาน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจแบบแรงๆ ได้ใจในช่วงสั้นๆ พฤติกรรมรัฐบาลก็เหมือนกับเด็กติดยาม้าทั่วไป นึกแต่ความสนุกไม่ได้นึกถึงผลร้ายที่ตกค้างอยู่ในร่างกายเมื่อยาม้าเริ่มอ่อนฤทธิ์ โครงการรถคันแรกเป็นตัวอย่างที่เห็นชัดเจนที่สุด รัฐบาลกระตุ้นอุตสาหกรรมรถยนต์และการบริโภคได้สำเร็จในช่วงสั้นๆ แต่เมื่อหมดโครงการแล้ว บริษัทผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ไม่รู้จะทำอะไรกับกำลังการผลิตส่วนเกินที่ลงทุนไปแล้ว อุปสงค์ของรถยนต์ใหม่จะชะลอไปอีกหลายปี เพราะโครงการรถคันแรกได้เร่งให้คนที่ตั้งใจจะซื้อรถในอีก 2-3 ปีข้างหน้ามาซื้อในปีที่แล้ว ดีลเลอร์รถยนต์ทั่วประเทศกำลังงงว่าจะจัดการอย่างไรกับรถคันแรกที่คนแห่กันมาจองแต่ยังไม่มารับรถ ส่วนประชาชนที่ซื้อรถคันแรก เพราะคิดว่าเป็นสิทธิ์ที่รัฐบาลให้มากกว่าที่จะคิดถึงผลได้ผลเสียที่เกิดขึ้น เริ่มมีปัญหาเรื่องการผ่อนรถ และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่ตามมากับรถยนต์ ใครที่ขอสินเชื่อในโครงการรถคันแรก ก็คงหมดโอกาสที่จะขอกู้เงินซื้อบ้าน (ซึ่งเป็นการลงทุนที่สำคัญต่อชีวิตมากกว่ารถ) ไปอีกหลายปี ในระดับประเทศ ความต้องการพลังงานก็เพิ่มขึ้นเร็วมาก รถติดมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และมีอุบัติเหตุที่เกิดจากนักขับรถมือใหม่เพิ่มขึ้น จนบริษัทประกันวินาศภัยตั้งท่าจะขอขึ้นค่าธรรมเนียมประกันภัยรถยนต์ทั้งระบบในปีหน้า

ปฏิเสธไม่ได้ว่ามาตรการเศรษฐกิจแบบยาม้าได้ทิ้งสารตกค้างไว้ในร่างกายจำนวนมาก นักเศรษฐศาสตร์เกือบทุกสำนักเห็นตรงกันว่าหนี้ครัวเรือนไทยเพิ่มขึ้นเร็วมาก จนเกือบถึงระดับที่จะกระทบต่อการเจริญเติบในระยะยาว หนี้ครัวเรือนได้กลายเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของประเทศ และจะเป็นตัวถ่วงศักยภาพของเศรษฐกิจไทยในอนาคต ในวันนี้ คนไทยเริ่มกังวลเรื่องรายจ่ายมากขึ้น ซึ่งอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้การบริโภคชะลอตัวลงเร็วกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดไว้ก็ได้

นอกจากโครงการรถคันแรกแล้ว รัฐบาลยังบริหารเศรษฐกิจแบบใช้ยาม้าอีกหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการเร่งให้ธนาคารเฉพาะกิจของรัฐปล่อยสินเชื่อ จนธนาคารเฉพาะกิจสองแห่งมีปัญหาหนี้เสียเพิ่มขึ้นเร็วและรัฐบาลต้องช่วยเพิ่มทุน โครงการพักหนี้ดีเพื่อให้คนไทยเอาเงินที่ต้องชำระหนี้มาจับจ่ายใช้สอยก่อน ไปจนถึงกดดันให้ธนาคารแห่งประเทศไทยลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงแรงๆ เพื่อทำให้ค่าเงินบาทอ่อน กระตุ้นการส่งออกและการบริโภคในช่วงสั้นๆ โดยไม่ได้คำนึงถึงผลข้างเคียงในระยะยาวๆ โชคดีที่ธนาคารแห่งประเทศไทย และคณะกรรมการนโยบายการเงิน ไม่นิยมการเสพยาม้าหาความสุขช่วงสั้นๆ ด้วย มิฉะนั้นแล้วเศรษฐกิจไทยคงจะต้องเผชิญกับความผันผวนและความถดถอยมากกว่านี้มาก

สำหรับยาชูกำลังประเภทที่ยังไม่ได้ออกฤทธิ์ชูกำลังจริง แต่ทำให้คนไทยนอนหลับฝันหวานได้ก็มีอีกหลายรายการ ไม่ว่าจะเป็นโครงการบริหารจัดการน้ำสามแสนห้าหมื่นล้านบาท ที่วันนี้กลายเป็นฝันค้างของประชาชน และฝันร้ายของรัฐบาลไปแล้ว เพราะศาลปกครองเห็นว่าวิธีใช้ทางลัดของรัฐบาลไม่ชอบด้วยบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ อีกโครงการฝันหวานที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือโครงการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานของประเทศสองล้านล้านบาท ซึ่งมีขนาดใหญ่มาก มีความซับซ้อนมาก และนักวิชาการยังมีข้อกังขาหลายเรื่อง หวังว่ารัฐบาลจะไม่ทำทุกโครงการที่อยู่ในแผนแต่จะเร่งทำเฉพาะโครงการที่จะเกิดประโยชน์ต่อประเทศจริง แสดงได้ชัดเจนว่าคุ้มค่าการลงทุน เพราะถ้ารัฐบาลยืนยันที่จะทำหมดทุกโครงการแล้ว ยาชูกำลังสองล้านล้านบาทนี้ อาจจะทำให้คนไทยฝันร้ายจนหาทางลงจากรถไฟความเร็วสูงไม่ถูกก็ได้

รัฐบาลได้บริหารเศรษฐกิจโดยใช้ยาชูกำลังเป็นหลัก และยาชูกำลังเหล่านี้กำลังอ่อนฤทธิ์ลง รัฐบาลเริ่มติดขัดข้อจำกัดด้านงบประมาณ หนี้สาธารณะ ขาดความสามารถในการนำมาตรการต่างๆ ไปปฏิบัติให้เกิดผลจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพและไม่รั่วไหล รวมทั้งขาดการวางแผนบริหารเศรษฐกิจอย่างเป็นระบบ และคิดยุทธศาสตร์สำหรับระยะยาว ผมเกรงว่าวิธีบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาล ได้ส่งผลให้คนไทยเริ่มเสพติดยาชูกำลังเช่นกัน เมื่อมีสัญญาณว่าเศรษฐกิจไทยจะไม่สดใส คนบางกลุ่มได้เริ่มออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ ด้วยยาชูกำลังขนานใหม่ๆ และยาม้าแบบแรงได้ใจ

ในทางตรงกันข้าม ผมเห็นว่ารัฐบาลไม่ควรกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ด้วยมาตรการประเภทยาม้าหรือยาชูกำลัง โดยเฉพาะในช่วงที่รัฐบาลยังเป็นแม่ปูขี่งูแก้แห ไม่สามารถจัดการสารตกค้างจากยาม้าและยาชูกำลังหลายประเภทที่ผ่านมาได้ เศรษฐกิจไทยในวันนี้ยังขยายตัวได้แม้ว่าจะไม่ได้ขยายตัวในอัตราสูงเหมือนกับที่คนไทยบางกลุ่มอยากเห็น แต่เราควรใช้โอกาสนี้สร้างความเข้มแข้งให้เศรษฐกิจไทย เพื่อให้ขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องในระยะยาว ทั้งสหรัฐอเมริกาและจีนได้แสดงตัวอย่างให้เห็นแนวคิดการบริหารเศรษฐกิจแบบสร้างวินัยและสร้างความเข้มแข็ง ทั้งในระดับรัฐบาลและระดับครัวเรือนได้เป็นอย่างดี

หนทางเดียวที่จะสร้างความเข้มแข้งในระยะยาวให้แก่เศรษฐกิจไทยได้ คือต้องปล่อยให้สารตกค้างจากยาม้ายาชูกำลังในร่างกายหมดลง หยุดใช้ยาม้ายาชูกำลังรอบใหม่ และหันมายอมเหนื่อยออกกำลังกายกันอย่างจริงจังครับ

http://thaipublica.org/2013/07/economic ... ergy-down/
syj
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 4256
ผู้ติดตาม: 6

Re: เมื่อเศรษฐกิจอ่อนฤทธิ์ยาชูกำลัง

โพสต์ที่ 2

โพสต์

... เห็นด้วยกับ บทความ นี้มากเลยครับ ...

ชอบนโยบายผู้นำจีนครับ แต่อย่างว่า ระบบเขาดี
ในแบบ "เผด็จการ" ผู้นำได้รับการคัดสรร วางตัว
มาอย่างดี เป็นเทอมละ 10 ปี ไม่น้อยและไม่มาก
พอดีๆ ในขณะที่ของ US เทอมคล้ายกันเป็นได้มากสุด
สองสมัย 8 ปี กำลังดีเหมือนกันแต่มีโอกาสเปลี่ยน
ตัวเมื่อครบ 4 ปี (มีสองพรรค เลี้ยวขวามากก็ต้อง
เลี้ยวซ้ายบ้าง กลับไปกลับมา ไม่อย่างนั้นแหกโค้ง
ลงคลองแน่นอน) อยู่นานๆ เดี๋ยวจะมาเป็น "เผด็จการ"
จริง เหมือน รัสเซีย ตอนนี้กลายเป็นอย่างนั้นแล้ว แก้
กฎหมายไปแก้มา "ปูติน" เป็นผู้นำสูงสุดเหมือนเดิม
เป็นจนตาย ... ผมทำนายได้เลยว่า อวสานของรัสเซีย
วันหนึ่งก็ต้องมาถึง ถ้าปกครองกันแบบนั้น ...

ของจีนเมื่อเปลี่ยนผู้นำ ก็มีโอกาส ทำอะไรที่มันไม่ชอบ
มาพากล ให้กลับมาในอีกแนว ทางหนึ่ง ถึงจะเป็นพรรคเดียว
มีแนวนโยบายที่ไม่ต้องเอาอกเอาใจใคร เอาประเทศชาติ
เป็นตัวตั้งก่อน เท่าที่ทราบว่า (ไม่รู้เท็จจริงประการใด) ผู้นำ
จีนรุ่นนี้ (รุ่นที่ 4) ได้รับการวางตัว ตามแผนของ เติ้งเสี่ยวผิง
(คิดว่ารุ่นนี้น่าจะเป็นรุ่นสุดท้่ายที่ เฮียเติ้่งวางเอาไว้ เป็นผู้นำ
ที่สายตายาวไกลมากๆ) เพื่อให้จีนขึ้นมาเป็นมหาอำนาจของ
โลก หลังจากที่มีเงินมีทอง ชาติรุ่งเรือง ก็ต้องหาโอกาส
และแนวทางออกไป "ยึด" ประเทศอื่นๆ (ซึ่งสมัยใหม่ ยึดกัน
ทางเศรษฐกิจ เมื่ออย่างของ ไทย เป็นเมืองขึ้น ใคร ก็ทราบกัน
ดีอยู่ อย่ามาปากแข็งบอกว่าไม่จริง) จะโดยวิธีการใด
ก็ต้องติดตามต่อไป

กลับมาเมืองไทยที่รักของเรา โครงการรถคันแรก แน่นอน
ในระยะสั้นมันก็ดีอยู่ ในบทความข้างบนก็เขียนไว้ดีเยี่ยมอยู่แล้ว
บริษัทฯ ต่างๆ ถูกบีบให้เพิ่มกำัลังการผลิตขึ้นเพื่อรองรับในเวลา
ที่จำกัด ก็เหมือนเกิด Bubble ในวงการ กำลังผลิตที่เหลือๆ
ทำอย่างไร? นี่เป็นปัญหาหนึ่ง แต่ปัญหาใหญ่คือ กำลังซื้อ ครับ
หดหายอย่างรวดเร็ว จากจำนวนครัวเรือนที่ต้องเป็นหนี้รถคันแรก
ไม่ใช่แค่ 10-12 เดือน (เหมือนผ่อนเครื่องใช้ไฟฟ้า โทรศัพท์ ฯลฯ)
แต่ส่วนใหญ่ 48 - 60 เดือน และไม่ใช่มูลหนี้หลักพันหลักหมื่น
แต่เป็นหลักสามแสนถึงครึ่งล้าน นั้นคือโจทย์ที่ ผู้ประกอบการ ต้อง
แก้ไข (เพราะรัฐบาลคงมาช่วยไม่ได้) ถ้าหากมีการสะดุดทาง
เศรษฐกิจขึ้นมานิดเดียว คนเหล่านั้นส่วนใหญ่อาจไม่มีทางผ่อน
ใช้หนี้ได้ นอกจากถูกยึดรถแล้วยังต้องเอาเงินภาษีฯ ที่ได้คืนมา
ไปคืนให้รัฐบาลอีก แต่ผลว่าถ้าเกิดอย่างนั้นจริงๆ มีจำนวนมากๆ
รัฐบาลชุดไหน ก็ต้องมีการ "ลด" หรือ "ละ" หนี้ คือยกให้ไปเลย
หรือค่อยๆ ผ่อนคืนมา

จากผลประกอบการณ์ไตรมาสแรกปีนี้ เห็นว่าหลาย บมจ.ในตลาด
มีผลประกอบการที่แย่ และมักจะอ้างปัญหากำลังซื้อที่ถูกดูดไปกับ
รถคันแรก ส่วนที่ดีคือพวกธนาคาร/ไฟแนนซ์/เงินทุน ... ซึ่งพวก
นี้ก็อาจแย่ลงหากมีเหตุในเศรษฐกิจสะดุดล้มหรือแค่ขาพลิก ...

... ขอส่งท้ายว่า ประชานิยม ไม่เคยทำให้ประเทศไหนเจริญ
มีแต่ ship หายทุึกประเทศในโลกที่ใช้ ไม่เว้นแม้แต่ประเทศในยุโรป ...
// Stay Hungry, Stay Foolish.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
tae_2323
Verified User
โพสต์: 361
ผู้ติดตาม: 0

Re: เมื่อเศรษฐกิจอ่อนฤทธิ์ยาชูกำลัง

โพสต์ที่ 3

โพสต์

ขอบคุณครับ
FefeBig
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 91
ผู้ติดตาม: 0

Re: เมื่อเศรษฐกิจอ่อนฤทธิ์ยาชูกำลัง

โพสต์ที่ 4

โพสต์

ขอบคุณครับ เขียนดีจังเลย เปรียบเทียบเห็นภาพชัดเจนครับ
I love Fefe
PLUSLOVE
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1524
ผู้ติดตาม: 3

Re: เมื่อเศรษฐกิจอ่อนฤทธิ์ยาชูกำลัง

โพสต์ที่ 5

โพสต์

+1 ดร.วิรไท สันติประภพ ท่านเขียนได้ถูกต้องแล้วครับ เขียนเห็นภาพใหญ่มากๆ

ในยามนี้ ถ้ายาที่อัดลงไปสลายไปกับน้ำปัสสาวะแล้ว ถ้าเรายังไม่เงย หัว ขึ้นมาได้

อีกไม่นาน เราคง โหม่งโลกครับ ผมยังมองไม่ออกเลยว่า ถ้าเม็ดเงินของโครงการ

ที่จะพัฒนา2.2 ลล ถูกเลื่อนออกไปแล้ว รัฐบาลประกาศยุบสภาตูม ขาดหัวเรือนำประเทศ

เครื่องยนต์อีก 3 ตัว จะพาเราบินได้ไกลแค่ไหน

แต่ที่แน่ๆ เงินรัฐเข้ามาไม่ทันปีนี้หรอกครับ ถ้าเรื่องยังค้างเติ่งแบบนี้


นับตั้งแต่ปี2540 ประเทศไทยยังไม่เคยมีครั้งไหน ที่ต้องมาลุ้นเท่าครั้งนี้ ต้องลุ้นจริงว่า

จะไม่ ดิ่งโหม่งโลก แต่ผมเชื่อว่า เรากำลัง จะ โหม่งโลก
PLUSLOVE
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1524
ผู้ติดตาม: 3

Re: เมื่อเศรษฐกิจอ่อนฤทธิ์ยาชูกำลัง

โพสต์ที่ 6

โพสต์

คงเปรียบได้กับ ไททานิค ทุกคนกำลังสนุกสนานอยู่บนเรือที่กำลังพุ่งเข้าชนภูเขาน้ำแข็ง

GDP = รายจ่ายเพื่อบริโภค + รายจ่ายเพื่อการลงทุน + รายจ่ายของรัฐบาล + รายจ่ายสุทธิของต่างประเทศที่ซื้อสินค้าผลิตในประเทศ

รายจ่ายเพื่อการบริโภค หดตัวลงจากหนี้ภาคครัวเรือนที่เพิ่มขึ้น

รายจ่ายเพื่อการลงทุนภาคเอกชน ดูจากบริษัทใหญ่ๆครับ ว่าแผนการลงทุนไปทางไหน

ถ้าน้อยลง ก้แปลว่า ภาคเอกชน ชะลอการลงทุน

ตัวเลขการส่งออก นำเข้า ถ้านับวันยิ่งติดลบมากขึ้นๆ เป็นสัญญาน ที่บ่งบอกได้ว่า

ภาคการผลิตในอนาคต ก้จะผลิตน้อยลง การจ้างงานก้จะน้อยลง การจ้างคนใหม่ก้น้อยลง

ขณะที่ภาคการผลิตแรงงาน ผลิตเพิ่มขึ้นแต่ตลาดแรงงานเริ่มหด

คนจะเริ่ม ตกงาน คนจบใหม่ๆก้จะเริ่มไม่มีงานทำ เริ่มเกิดภาวะการ ไม่ชำระหนี้

ทั้งยานยนต์ อสังหา หรือ หนี้บัตรเครดิต เิกิด NPL สุดท้ายก้ระเบิดออกมาเป็นระเบิด NPL


ลองคิดเองเถอะว่า ถ้ารัฐบาลนี้ยุบสภาไม่มีเงินเข้ามาในระบบแล้ว จะเกิดอะไรเกิดขึ้น

ผมมองว่า ต่อให้ รวมซุบเปอร์ฮีโร่ มาช่วย ก้เอาไม่อยู่นะครับ

นี่แค่ การเริ่มต้นของภาวะ Hard landing ทุกคนยังไม่ค่อยรู้สึก แต่พอผ่านไปนานๆ

เด๋วก้จะรู้เองครับว่า การตกจากที่สูงด้วยความเร็ว 30000Km/s มันเป็นยังไง
แนบไฟล์
2673622vw7.jpg

โพสต์โพสต์