รถคันแรกซัดกำลังซื้อไตรมาส 2 ยังซบ คาดลากยาวตลอดปี

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
syj
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 4256
ผู้ติดตาม: 6

รถคันแรกซัดกำลังซื้อไตรมาส 2 ยังซบ คาดลากยาวตลอดปี

โพสต์ที่ 1

โพสต์

รถคันแรกซัดกำลังซื้อไตรมาส 2 ยังซบ คาดลากยาวตลอดปี ชี้ห้างกระทบ โชห่วยได้อานิสงส์

นายบุญชัย โชควัฒนา ประธานกรรมการบริหาร บริษัท สหพัฒนพิบูล ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคในเครือสหพัฒน์ เปิดเผยว่า ผลพวงจากนโยบายรถคันแรกในปีที่ผ่านมา ส่งผลกระทบให้ผู้บริโภคมีกำลังการซื้อลดลง และชะลอการซื้อสินค้าในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา รวมถึงยังพบว่ากำลังการซื้อในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ตั้งแต่เดือนเม.ย.-พ.ค. ยังไม่ฟื้นตัว

นอกจากนี้ คาดว่ากำลังการซื้อของผู้บริโภคจะยังคงซบต่อเนื่องลากยาวจนถึงสิ้นปีนี้ หากภาครัฐไม่มีนโยบายหรือมาตรการใดๆ ออกมากระตุ้นการจับจ่ายของผู้บริโภค หลังจากผู้บริโภคลดการจับจ่ายลงเนื่องจากต้องกันเงินส่วนหนึ่งไว้จ่ายค่างวดรถคันแรก

ขณะเดียวกัน นอกจากผลของรถคันแรกแล้ว ยังมีอีกหลายปัจจัยที่ส่งผลกระทบให้กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง ไม่ว่าจะเป็นราคาสินค้าเกษตรที่ปรับตัวลดลงทั้งการส่งออกและกระทบถึงราคาจำหน่ายในประเทศ รวมถึงภาคอุตสาหกรรมส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทแข็งค่า

“ปีนี้กำลังการซื้อผู้บริโภคไม่ดีมาก แม้กระทั่งตลาดอุปโภคบริโภค ซึ่งเป็นสินค้าที่จำเป็นต้องใช้ในชีวิตประจำวันยังได้รับผลกระทบ ทำให้บริษัทต้องปรับแผนการทำตลาด แต่ไม่เน้นการทำโปรโมชั่นลด แลก แจก แถม” นายบุญชัย กล่าว

ทั้งนี้ ผลกระทบที่เกิดขึ้นทำให้บริษัทต้องปรับลดเป้าหมายการเติบโตจากเดิมตั้งไว้ 18% เป็นเหลือ 12% จากปีที่ผ่านมามีรายได้ 2.7 หมื่นล้านบาท

ด้านนายสมชาย พรรัตนเจริญ นายกสมาคมค้าส่ง-ค้าปลีกไทย เปิดเผยว่า กำลังการซื้อไตรมาส 2 ของผู้บริโภคยังไม่มีสัญญาณว่าจะฟื้นตัว โดยกลุ่มผู้บริโภคที่น่าจะเป็นห่วงคือ กลุ่มระดับกลาง-ล่าง จนถึงกลุ่มรากหญ้า และคาดว่าจะซบลากยาวกระทั่งถึงสิ้นปีนี้ หรืออาจซบต่อเนื่องถึงขั้น 5 ปี หรือจนกว่าจะผ่อนรถหมด ส่วนกลุ่มระดับกลาง-บน ยังมีกำลังการซื้อดีอยู่

จากการสำรวจสภาพการจับจ่ายของผู้บริโภคในปัจจุบัน พบว่า ธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มที่จำหน่ายในศูนย์การค้า รวมไปถึงสินค้าแฟชั่น เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า คาดว่าจะเป็นตลาดที่ได้รับผลกระทบจากกำลังการซื้อที่ลดลงมากกว่าจะเป็นสินค้าอุปโภคบริโภค

อย่างไรก็ตาม พบว่าร้านค้าปลีกดั้งเดิมกลับได้รับอานิสงส์ในครั้งนี้ เนื่องจากผู้บริโภคหันมาซื้อสินค้าใกล้บ้านมากกว่าจะเดินทางไปซื้อในศูนย์การค้าและร้านค้าปลีกสมัยใหม่เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง

http://feeds.posttoday.com/c/33101/f/59 ... tory01.htm
// Stay Hungry, Stay Foolish.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
syj
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 4256
ผู้ติดตาม: 6

Re: รถคันแรกซัดกำลังซื้อไตรมาส 2 ยังซบ คาดลากยาวตลอดปี

โพสต์ที่ 2

โพสต์

ผลกระทบจากยอดจอง"รถคันแรก" ดันสต็อกรถใหม่ล้นตลาด ระบุตัวเลขเดือนเม.ย.โต 24.9% แต่เดือนพ.ค.เริ่มทรงตัว

สถานการณ์ตลาดรถยนต์ในช่วงกลางไตรมาสที่สอง หรือหลังจบแคมเปญรถคันแรกไป5เดือน ตลาดรถยนต์ยังคงผันผวน แม้ว่าปริมาณการส่งมอบ(ขายปลีกหน้าโชว์รูม)จะยังคงมีตัวเลขที่ดีแต่ผู้จำหน่ายรถยนต์ต่างยอมรับว่าความคึกคักในการเข้าโชว์รูมของลูกค้าลดลงอย่างเห็นได้ชัดในขณะที่ปริมาณรถใหม่ล้นสต็อคทำให้ต้องปรับแผนกลยุทธ์ด้วยการออกไปหาและเข้าถึงลูกค้าให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย

นายวุฒิกร สุริยะฉันทนานนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า ตลาดรถยนต์เดือนเมษายนมีปริมาณการขาย 109,673 คัน สูงสุดเป็นสถิติใหม่ของยอดขายในเดือนเมษายน ด้วยอัตราการเติบโตที่เพิ่มขึ้น 24.9% โดยตลาดรถยนต์นั่งมีปริมาณการขาย 47,511 คัน เพิ่มขึ้น 22.9% ตลาดรถยนต์เพื่อการพาณิชย์มีปริมาณการขาย 62,162 คัน เพิ่มขึ้น 26.5% เป็นผลจากการส่งมอบรถยนต์ค้างจองในโครงการรถยนต์คันแรก ในขณะที่ยอดขายของตลาดรถยนต์สะสม 4 เดือน มีปริมาณการขาย 522,929 คัน สูงสุดเป็นสถิติใหม่ของยอดขายสะสม 4 เดือนแรกด้วยอัตราการเติบโตที่เพิ่มขึ้น 42.4% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา

โดยตลาดรถยนต์นั่งมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 76.9% ตลาดรถยนต์เพื่อการพาณิชย์มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 20.9% ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการทยอยส่งมอบรถยนต์ในโครงการรถยนต์คันแรก ประกอบกับความนิยมอย่างต่อเนื่องในรถยนต์รุ่นใหม่โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดรถยนต์นั่ง ทั้งนี้ สถิติการจำหน่ายรถยนต์4 เดือนแรกของปี(มกราคม - เมษายน 2556)พบว่า ตลาดรถยนต์ที่มีการขยยตัวสูงสุดคือ ตลาดรถยนต์ มีการเติบโตเพิ่มขึ้น 76.9% (ปริมาณการขาย 249,653 คัน ) ตลาดที่เติบโตเป็นอันดับสองได้แก่ ตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ ปริมาณการขาย 273,276 คัน เพิ่มขึ้น 20.9% ส่วนลำดับสามคือตลาดรถกระบะ( Pure Pick up) ปริมาณการขาย 207,141 คัน เพิ่มขึ้น 17.3% ซึ่งสัดส่วนการเติบโตของรถยนต์นั่งแสดงให้เห็นว่า อิทธิพลของรถคันแรกที่ได้ส่งมอบยังคงมีผลต่อตลาดรถยนต์ ในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา

ส่วนตลาดรถยนต์ในเดือน พฤษภาคม มีแนวโน้มทรงตัว ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการที่ลูกค้าส่วนใหญ่ที่จองรถยนต์เพื่อใช้สิทธิรถยนต์คันแรกตั้งแต่ปีที่ผ่านมาได้ทยอยรับรถเรียบร้อยแล้ว แต่อย่างไรก็ดีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายของบริษัทรถยนต์ต่างๆ จะเป็นปัจจัยบวกในการกระตุ้นยอดขายรถยนต์

http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... นตลาด.html
// Stay Hungry, Stay Foolish.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
syj
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 4256
ผู้ติดตาม: 6

Re: รถคันแรกซัดกำลังซื้อไตรมาส 2 ยังซบ คาดลากยาวตลอดปี

โพสต์ที่ 3

โพสต์

รายงานข่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ยอดคงค้างเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพ (เอ็นพีแอล) ทั้งระบบไตรมาส 1/2556 แยกตามประเภทธุรกิจรวมทั้งสิ้น 256,003 ล้านบาท คิดเป็น 2.17% ต่อสินเชื่อรวม เพิ่มขึ้น 1,788 ล้านบาท จากไตรมาสก่อนหน้า แต่ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 270,004 ล้านบาท คิดเป็น 2.65% ต่อสินเชื่อรวม

ทั้งนี้ เมื่อแยกตามประเภทธุรกิจ เป็นที่น่าสังเกตว่า การอุปโภค-บริโภคส่วนบุคคล มียอดคงค้างเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพ 60,204 ล้านบาท คิดเป็น 2.03% ของสินเชื่อรวม เพิ่มขึ้น 3,621 ล้านบาท จากไตรมาสก่อน รองลงมาคือ การพาณิชย์มี 36,489 ล้านบาท คิดเป็น 2.36% เพิ่มขึ้น 1,710 ล้านบาท การก่อสร้างมี 10,154 ล้านบาท คิดเป็น 5.89% เพิ่มขึ้น 771 ล้านบาท โดยยอดคงค้างเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพของธุรกิจการอุปโภค-บริโภคส่วนบุคคลที่เพิ่มขึ้นมากที่สุด คิดเป็นสัดส่วน 23.52% ต่อเอ็นพีแอล โดยเพิ่มขึ้นเป็นอันดับสอง รองลงมาจากการอุตสาหกรรมที่มีสัดส่วน 34.25% ต่อเอ็นพีแอล

http://www.matichon.co.th/news_detail.p ... 3&catid=03
// Stay Hungry, Stay Foolish.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
syj
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 4256
ผู้ติดตาม: 6

Re: รถคันแรกซัดกำลังซื้อไตรมาส 2 ยังซบ คาดลากยาวตลอดปี

โพสต์ที่ 4

โพสต์

สศช.ชี้เงินเดือน 15,000 บาท ค่าแรง 300 มีผลทำให้คนรายได้น้อยจ่ายฟุ่มเฟือยเพิ่ม 15.85% เสี่ยงหนี้ครัวเรือนพุ่ง

สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) รายงานภาวะสังคมไตรมาส 1 ปี 2556 เปิดเผยว่า เงินเดือน 15,000 บาท และค่าแรง 300 บาท มีผลให้คนที่มีรายได้น้อย ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยมากขึ้นกว่า 15.85% ทำให้มีความเสี่ยงปัญหาหนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้น

http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... นพุ่ง.html
// Stay Hungry, Stay Foolish.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
syj
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 4256
ผู้ติดตาม: 6

Re: รถคันแรกซัดกำลังซื้อไตรมาส 2 ยังซบ คาดลากยาวตลอดปี

โพสต์ที่ 5

โพสต์

ส.อ.ท. เตรียมแผนรับมือทิ้งยอดจองรถ ชี้อาจปรับเป็นผลิตเพื่อส่งออกมากขึ้น

นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธานและโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือ ส.อ.ท. เปิดเผยว่า ขณะนี้กำลังติดตามยอดกำลังซื้อรถยนต์ของกลุ่มผู้บริโภค ในภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ ว่า อาจมีการปรับตัวลดลงมาหรือไม่ ซึ่งที่ผ่านมา ถือว่า ยอดกำลังซื้อได้เติบโตขึ้น ส่วนสัญญาการทิ้งยอดใบจองรถยนต์และการเลื่อนรับรถในโครงการรถยนต์คันแรกนั้น หากอยู่ในสัดส่วนประมาณ 10-20% จะไม่ส่งผลกระทบมาก

โดยมองว่าภาวะเศรษฐกิจของประเทศจะเป็นปัจจัยหลัก ซึ่งถ้าหากจำนวนยอดทิ้งใบจองรถมีจำนวนสูงเกินที่คาดการณ์ และยอดขายในประเทศปรับตัวลดน้อยลง ก็จะมีมาตรการรองรับในการเพิ่มการผลิต เพื่อการส่งออกมากขึ้น

ทั้งนี้ นายสุรพงษ์ เปิดเผยว่า ปัจจุบันตลาดรถยนต์อีโคคาร์ที่ประเทศไทยเป็นฐานการผลิต และกลุ่มรถที่มีขนาดไม่เกิน 1,500 ซีซี และขนาด 1,500 - 1,800 ซีซี ยังคงเป็นที่นิยมของกลุ่มผู้บริโภคโดยมีสัดส่วนสูงถึง 90% ของยอดขายรถยนต์นั่ง เนื่องจากมีราคาไม่สูงมากและประหยัดน้ำมัน นอกจากนี้สัดส่วนยอดการส่งออกของรถกระบะ ก็ได้เติบโตเพิ่มขึ้นถึง 8%

http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... จองรถ.html
// Stay Hungry, Stay Foolish.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
syj
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 4256
ผู้ติดตาม: 6

Re: รถคันแรกซัดกำลังซื้อไตรมาส 2 ยังซบ คาดลากยาวตลอดปี

โพสต์ที่ 6

โพสต์

คลังยอมรับหนี้ครัวเรือนพุ่ง จากสินเชื่ออุปโภคบริโภค ระบุหนี้เพิ่มมากกว่ารายได้ อยู่ที่ 0.82 เท่า แต่ยังไม่พบสัญญาณหนี้เสีย รถยนต์คันแรก

นายสมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวว่า สศค.ได้ทำการประเมินสถานะหนี้ครัวเรือนในปัจจุบัน โดยดูจากฐานข้อมูลทุกหน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็นธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.)และศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย พบว่า สถานการณ์หนี้ครัวเรือนขยายตัวได้ตามภาวะเศรษฐกิจไทยที่ขยายตัวได้ดี และปรับตัวสูงขึ้นจากปีก่อนหน้า

"เมื่อพิจารณาข้อมูลสถานะการเงิน ยังไม่พบสัญญาณของปัญหาหนี้เสียจากหนี้ครัวเรือนในปัจจุบัน"

ทั้งนี้ ธปท.แสดงความกังวลต่อหนี้ครัวเรือนที่ปรับเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง และเป็นประเด็นที่นำมาโยงกับนโยบายอัตราดอกเบี้ย โดยเกรงว่าหากลดอัตราดอกเบี้ยจะส่งผลให้สินเชื่อภาคครัวเรือนปรับสูงขึ้นไปอีก และกำลังวิตกว่าหากเศรษฐกิจมีปัญหาจะกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้

นายสมชัยกล่าวว่า เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบระหว่างรายได้ทั้งประเทศและสินเชื่ออุปโภคบริโภคส่วนบุคคลพบว่า รายได้ทั้งประเทศในปี 2555 สามารถขยายตัวที่ 7.3% ขณะที่ สินเชื่ออุปโภคบริโภคส่วนบุคคลขยายตัว 21.6% แสดงถึงประชาชนได้ก่อหนี้เพิ่มในอัตราที่มากกว่ารายได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาหนี้สินต่อรายได้ในปีดังกล่าวพบว่า หนี้สินต่อรายได้อยู่ที่ 0.82 เท่า เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า ซึ่งอยู่ที่ 0.74 เท่า

สินเชื่อรวมในปี 2555 นั้น ขยายตัว 15.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยสินเชื่อธุรกิจ ซึ่งมีสัดส่วนถึง 74.2% ของสินเชื่อรวมนั้น ขยายตัวได้ 13.2% และ สินเชื่ออุปโภคบริโภคส่วนบุคคล ที่มีสัดส่วน 25.8% ของสินเชื่อรวม ขยายตัวในระดับสูงที่ 21.6%


โครงการรถยนต์คันแรกดันหนี้พุ่ง

ในหมวดสินเชื่ออุปโภคบริโภคที่ขยายตัวดีมาจากสินเชื่อเพื่อการซื้อและเช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์เป็นหลักที่ขยายตัว 33.9% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนหนึ่งเป็นผลจากโครงการรถยนต์คันแรกของภาครัฐที่ส่งผลโดยตรงต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค

ขณะที่สินเชื่ออุปโภคบริโภคกรณีไม่รวมสินเชื่อเพื่อการซื้อหรือเช่ารถยนต์และรถจักรยานยนต์พบว่า ขยายตัวลดลงอยู่ที่ 17.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ส่วนการขยายตัวของสินเชื่อเพื่ออสังหาริมทรัพย์ขยายตัวที่ 11.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งถือว่า อยู่ในระดับปกติ คือ ไม่ได้ขยายตัวมากจนน่าเป็นห่วง


ด้านข้อมูลการผิดนัดชำระหนี้หรือหนี้เสียอยู่ที่ 2.3% ของสินเชื่อคงค้าง ขณะที่หนี้เสียในส่วนของสินเชื่ออุปโภคบริโภคมีสัดส่วนที่ต่ำเพียง 0.5% ของสินเชื่อรวม ส่วนหนี้เสียของสินเชื่อบัตรเครดิตนั้น พบว่า อยู่ในระดับต่ำเพียง 1.9% ของสินเชื่อบัตรเครดิต สะท้อนถึงความสามารถในการชำระหนี้ครัวเรือนที่ดี ขณะที่ สินเชื่อบัตรเครดิตขยายตัวที่ 14.3% ด้านอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง(บีไอเอสเรโช)ของระบบธนาคารพาณิชย์ในเดือนก.พ. 2556 อยู่ที่ 15.94% ซึ่งอยู่ในระดับที่สูงกว่าเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด

หนี้เพิ่มต่อเนื่อง-ออมต่ำ

ทั้งนี้ สำหรับสถานะหนี้ครัวเรือนของสำนักงานสถิติแห่งชาตินั้น เป็นข้อมูลที่ได้มาจากการสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน โดยข้อมูลล่าสุดในปี 2554 พบว่า ภาระหนี้สินเฉลี่ยต่อครัวเรือนอยู่ที่ 134,900 บาท โดยมีสัดส่วนหนี้สินต่อรายได้เฉลี่ยต่อครัวเรือนอยู่ที่ 5.8 เท่า ปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับปี 2552 ซึ่งอยู่ที่ 6.4 เท่า

ส่วนสถานะหนี้ครัวเรือนตามข้อมูลของธปท.ซึ่งเป็นฐานข้อมูลที่ได้จากธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงินเฉพาะกิจที่รับฝากเงินและอื่นๆ เช่น สหกรณ์ออมทรัพย์ ธุรกิจนอนแบงก์ ซึ่งธปท.รายงานว่า หนี้ครัวเรือนสูงขึ้นในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา โดยสินเชื่อครัวเรือนในปี 2555 คิดเป็น 77.7% ต่อจีดีพี เพิ่มขึ้นจากปี 2552 ซึ่งอยู่ที่ 61.4% ต่อจีดีพี โดยหนี้สินครัวเรือนทั้งระบบมีจำนวน 8,818,217 ล้านบาท ทำให้ภาระหนี้สินเฉพาะต่อครัวเรือนอยู่ที่ 439,490 บาท จากจำนวนครัวเรือน ณ สิ้นปี 2555 อยู่ที่ 20.06 ล้านครัวเรือน

ด้านสถานะหนี้ครัวเรือนของสศช.ซึ่งใช้ข้อมูลของธปท.ในการศึกษา สรุปว่า ครัวเรือนมีการก่อนหนี้เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่ การออมภาคครัวเรือนในปี 2554 อยู่ที่ 5.3% ของจีดีพี และ เมื่อพิจารณาความสามารถในการออมพบว่า มีครัวเรือนสูงถึง 45% ของครัวเรือนทั่วประเทศจำนวน 9.09 ล้านครัวเรือนที่ไม่มีความสามารถในการออม

สำหรับสถานะหนี้ครัวเรือนของศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ซึ่งใช้การสำรวจข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง โดยสำรวจจากกลุ่มแรงงานล่าสุดเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2556 จากจำนวนตัวอย่าง 1,237 ราย พบว่า จำนวนหนี้ครัวเรือนและผ่านการชำระหนี้ในปี 2555 อยู่ที่ 168,517 บาทต่อคน เพิ่มขึ้น 5.7%เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน และส่วนใหญ่มีปัญหาในการชำระหนี้จากการที่มีรายได้ไม่พอกับรายจ่ายถึง 79.8%

นายสมชัยกล่าวว่าต้นเดือนมิถุนายนนี้ สศค.จะจัดให้มีการสัมมนาในหัวข้อหนี้ครัวเรือน โดยเชิญผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาร่วมวิเคราะห์ถึงสถานการณ์หนี้ครัวเรือนว่าอยู่ในระดับใด และ มีความน่าเป็นห่วงต่อประเด็นดังกล่าวตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ได้กังวลหรือไม่

http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... เรือน.html
// Stay Hungry, Stay Foolish.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
syj
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 4256
ผู้ติดตาม: 6

Re: รถคันแรกซัดกำลังซื้อไตรมาส 2 ยังซบ คาดลากยาวตลอดปี

โพสต์ที่ 7

โพสต์

นางสาวสุรีทิพย์ ละอองทอง โฉมทองดี ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดรถยนต์ตั้งแต่ช่วงต้นปีนี้ถือว่าชะลอตัวลง หลังจากหมดโครงการคืนเงินรถคันแรกของทางรัฐบาล แต่สำหรับรถปิกอัพและรถยนต์ซีเซ็กเมนต์หรือรถเก๋งขนาดกลาง อย่างเช่น มาสด้า 3 พบว่ากระเตื้องขึ้นมา ในขณะที่ปีที่แล้วตลาดทั้งสองกลุ่มนี้ชะลอตัวอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะรถเก๋งขนาดกลางโดนผลกระทบจากรถเก๋งขนาดเล็กในโครงการรถคันแรกในรุ่นท็อป แต่ขณะนี้ตลาดรถทั้งสองกลุ่มนี้มีแนวโน้มขยายตัวอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยอดยกเลิกการจองรถคันแรกมีเข้ามามากพอสมควร แบ่งเป็นยกเลิกจองประมาณ 40% ส่วนอีก 20% ยังไม่ได้บอกยกเลิก แต่ชะลอการออกรถออกไปก่อน เนื่องจากอารมณ์ซื้อรถคันแรกของลูกค้าแผ่วลง บางรายมองว่าอยากนำเงินจากการออกรถคันแรกไปใช้อย่างอื่นก่อน ส่วนรถคันแรกยังรอได้ ทางค่ายรถก็ไม่สามารถเร่งรัดลูกค้ากลุ่มนี้ได้

"ทางมาสด้าไม่มีนโยบายยึดเงินจองรถจากลูกค้าโดยไม่มีเหตุผล หากลูกค้าจองรถแล้วไม่พร้อมมารับก็ยินดีคืนเงินให้ ขณะนี้ได้เร่งทำจดหมายถึงลูกค้ากรณีที่รหัสของรถที่ผลิตออกมาแล้วตรงกับที่ลูกค้าจองไว้ แต่ยังไม่มารับรถ เพราะบางรายไม่มาติดตามความคืบหน้ารถที่จองไว้เลย" นางสาวสุรีทิพย์กล่าว

นางสาวสุรีทิพย์กล่าวว่า มาสด้ายังคงเน้นทำกิจกรรมเพื่อเสริมแบรนด์อย่างต่อเนื่อง โดยจะออกรถใหม่มาเพิ่มในช่วงตลาดรถยนต์มีแนวโน้มหดตัวลง และเชื่อว่าทุกค่ายรถก็พยายามทำข้อเสนอที่ดีให้กับลูกค้าเช่นกัน เพราะขณะนี้แนวโน้มรถยนต์ผลิตออกมาเข้าสู่ตลาดเพิ่มขึ้นอย่างมาก เพราะแต่ละค่ายเร่งกำลังการผลิตต่อเนื่องจากปีที่แล้ว ตามความต้องการที่เพิ่มขึ้น ทำให้เกิดการแข่งขันในแง่กลยุทธ์การตลาดรุนแรงขึ้น แต่ละค่ายมีข้อเสนอและแคมเปญให้กับลูกค้ามากพอสมควร มาสด้ามองว่าขณะนี้ลูกค้าใหม่ไม่ได้มองเรื่องรถคันแรกแล้ว แต่จะมองรถที่ตรงความต้องการใช้งานอย่างแท้จริง ดังนั้น จึงแนะนำให้ผู้แทนจำหน่าย (ดีลเลอร์) บริหารสต๊อกรถอย่างมีประสิทธิภาพ จากเดิมปีที่แล้วจะเก็บรถทุกสีทุกรุ่นให้ลูกค้าเลือก ปรับเป็นให้สต๊อกรถตรงรุ่นตรงสีตามความต้องการของลูกค้ามากที่สุด

นางสาวสุรีทิพย์กล่าวว่า คาดว่าตลาดรถยนต์รวมปีนี้น่าจะใกล้เคียงกับปีที่แล้ว แม้ว่าจะหมดโครงการรถคันแรกไปแล้ว หรือประมาณ 1 ล้านคัน บวกลบไม่เกิน 5% เพราะดูตัวเลขยอดขายแต่ละเดือนประมาณ 1 แสนคัน ส่วนยอดขายของมาสด้าเอง ยังคงไว้ที่ 7.5 หมื่นคัน เพราะจะมีรถยนต์รุ่นใหม่มาเป็นทางเลือกให้กับลูกค้าเพิ่มขึ้น และคาดว่าจะทำยอดขายให้มาสด้าได้ไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นคัน โดยมาสด้า 2 ยังคงเป็นรถยนต์ที่สร้างยอดขายให้มาสด้ามากที่สุด รองลงมาก็คือปิกอัพ บีที 50

(ที่มา:มติชนรายวัน 28 พ.ค.2556)

http://www.prachachat.net/news_detail.p ... catid=0000
// Stay Hungry, Stay Foolish.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
syj
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 4256
ผู้ติดตาม: 6

Re: รถคันแรกซัดกำลังซื้อไตรมาส 2 ยังซบ คาดลากยาวตลอดปี

โพสต์ที่ 8

โพสต์

"มาสด้า"แจงลูกค้าที่จองรถโดยใช้สิทธิ์คืนภาษีในโครงการรถคันแรก ยกเลิกการจองไม่มาก เผยส่งมอบรถคันแรกแล้ว 70%

มาสด้า เปิดเผยว่า ลูกค้าที่จองรถโดยใช้สิทธิ์คืนภาษีในโครงการรถคันแรก ยกเลิกการจองไม่มาก และไม่ถึง 70% เหมือนที่เป็นข่าวก่อนหน้านี้ ซึ่งเป็นความคลาดเคลื่อนของข้อมูล

ปัจจุบัน มาสด้า สามารถส่งมอบรถให้กับลูกค้าในโครงการรถคันแรกได้แล้วมากกว่า 70% และคาดว่าจะส่งมอบภายใน 1-2 เดือนข้างหน้าอีกประมาณ 10%

ดังนั้นจึงเหลือลูกค้าที่ยังไม่กำหนดรับรถอีก 20% ซึ่งไม่ได้หมายความว่าจะไม่รับรถ เพียงแต่อยู่ระหว่างการยืนยันเวลาในการรับรถเท่านั้น ทั้งนี้เนื่องจากรัฐบาลเปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถขอใช้สิทธิได้โดยไม่ได้กำหนดเวลา ดังนั้น ลูกค้าจึงอยู่ระหว่างการพิจารณาความพร้อมที่จะรับรถ ในประเด็นต่างๆ เช่น ช่วงเวลาที่เหมาะสม การเงิน และอื่นๆ

"โดยปกติของธุรกิจรถยนต์ การยกเลิกการรับรถจะมีอัตราเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 10-20% โดยมีปัจจัยหลักเรื่องข้อจำกัดด้านการเงินของลูกค้า" มาสด้าระบุ

http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... ้ว-70.html
// Stay Hungry, Stay Foolish.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
syj
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 4256
ผู้ติดตาม: 6

Re: รถคันแรกซัดกำลังซื้อไตรมาส 2 ยังซบ คาดลากยาวตลอดปี

โพสต์ที่ 9

โพสต์

ธปท.– สมาคมธุรกิจเช่าซื้อไทยไม่ห่วงหนี้เสียจากโครงการรถยนต์คันแรก เพราะสัดส่วนหนี้เอ็นพีแอลยังจิ๊บๆ แนะให้รีบคุยกับไฟแนนซ์ อย่าให้รถถูกยึด เพราะจะโดน 2 เด้ง คือจ่ายหนี้ไฟแนนซ์และคืนเงินภาษีกลับรัฐ

นายเกริก วณิกกุล รองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในการเสวนาหัวข้อ “โครงการรถยนต์คันแรกกับการผิดสัญญาเช่าซื้อ” จัดโดยศาลแพ่งกรุงเทพใต้ว่า จากการติดตามภาวะสินเชื่อในการเช่าซื้อรถยนต์คันแรกถือว่าไม่น่าเป็นห่วง  เพราะสินเชื่อที่ให้แก่รถคันแรกมีสัดส่วนหนี้สินที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือเอ็นพีแอล เมื่อเดือน มี.ค.56 อยู่ที่ 0.12% ของสินเชื่อรถยนต์รวมทั้งระบบ ซึ่งถือว่าต่ำมาก แสดงว่าธนาคารพาณิชย์ไม่ได้ปล่อยสินเชื่อหละหลวม อย่างไรก็ตามสิ่งที่ ธปท.จะติดตามต่อไปคือ หนี้ครัวเรือนที่ขยายตัวเฉลี่ย 20.8% ซึ่งน่าระวัง เพราะผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ไทยช่วง 20 ปีขยายตัวเฉลี่ยประมาณ 5% สินเชื่อควรโต 1-2 เท่าของการเติบโตของจีดีพี

นายอนุชาติ ดีประเสริฐ ประธานสมาคมธุรกิจเช่าซื้อไทย กล่าวว่า หากถามว่าเป็นห่วงเรื่องการผ่อนค่างวดรถยนต์ในโครงการรถคันแรกหรือไม่  คงไม่เป็นห่วง เพราะต้องรอดูตัวเลขผู้เข้าร่วมโครงการที่ชัดเจนช่วงสิ้นเดือน มิ.ย.นี้อีกครั้ง จากกรมสรรพสามิต ส่วนผู้ที่ผ่อนค่างวดรถยนต์ไม่ไหว ควรไปคุยกับสถาบันการเงิน ขอยืดหนี้ ปรับปรุงโครงสร้างหนี้ เพื่อไม่ให้รถถูกยึด เพราะถ้าถูกยึดโดน 2 เด้ง คือใช้หนี้ไฟแนนซ์ให้ครบ แล้วเอาเงินไปคืนให้รัฐอีก

นายฉลอง นิ่มเนียม ผู้อำนวยการส่วนคดี สำนักกฎหมาย กรมสรรพสามิต กล่าวว่า ขณะนี้มีผู้ใช้สิทธิ์เข้าร่วมโครงการรถยนต์คันแรกประมาณ 1.2 ล้านราย โดยล่าสุด ณ วันที่ 6 มิ.ย.ที่ผ่านมา รัฐจ่ายภาษีคืนแก่ผู้ใช้สิทธิ์ไปแล้วประมาณ 250,000 ราย เป็นจำนวนเงินรวมประมาณ 17,000 ล้านบาท และในปีงบประมาณ 56 จะถึงรอบจ่ายเงินคืนภาษีในเดือน  ก.ย.นี้ประมาณ  270,000 ราย จำนวนเงินประมาณ 20,000 ล้านบาท ที่เหลืออีกประมาณ 670,000 ราย จำนวนเงินประมาณ 51,000 ล้านบาท จะได้รับเงินในปีงบประมาณ 57 หรือตั้งแต่เดือน ต.ค.นี้เป็นต้นไป

ทั้งนี้ โครงการรถยนต์คันแรกกำหนดเงื่อนไข ที่ผู้เข้าร่วมโครงการจะต้องคืนเงินภาษีกลับสู่รัฐใน 4 กรณี ประกอบด้วย 1.ผู้ใช้สิทธิ์เข้าโครงการเป็นฝ่ายบอกเลิกสัญญากับสถาบันการเงินที่ปล่อยสินเชื่อหรือไฟแนนซ์ โดยผู้ใช้สิทธิ์รับเงินภาษีคืนไปแล้ว ต้องนำเงินมาคืนรัฐ  2.กรณีไฟแนนซ์เป็นฝ่ายยึดรถ และนำรถไปขายทอดตลาดแล้ว เงินส่วนที่เหลือผู้ใช้สิทธิ์ต้องนำเงินภาษีที่ได้รับไปแล้วมาคืนรัฐเช่นกัน 3.กรณีที่รถของผู้ใช้สิทธิ์เสียหายสิ้นเชิง จน
ไม่สามารถใช้งานรถยนต์ได้อีกต่อไป ต้องนำเงินมาคืน และ 4.กรณีที่รถยนต์สูญหาย แม้ตามหาจนเจอภายใน 5 ปีที่เข้าร่วมโครงการ ก็ต้องนำเงินมาคืน เพราะรถถูกตัดเป็นสิทธิ์ของบริษัทประกันภัยแล้ว

“ส่วนกรณีที่ผู้ใช้สิทธิ์เสียชีวิต ตามขั้นตอนจะต้องมาตีความว่า จะต้องนำเงินภาษีมาคืนโครงการหรือไม่ ซึ่งเบื้องต้น กรมฯถือว่าจะต้องเรียกเงินคืน เพราะถือว่าเป็นเงินหลวง แต่เมื่อวันนี้ข้อยุติของโครงการยังไม่ชัดเจน ผู้บริหารกรมสรรพสามิตจึงมอบนโยบายอย่างชัดเจนว่า จะต้องโอนเงินให้เป็นสิทธิ์แก่ผู้ใช้สิทธิ์ที่เข้าร่วมโครงการ”

นายสิทธิศักดิ์ วนะชกิจ ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์ ประจำสำนักงานประธานศาลฎีกา กล่าวว่า จำนวนคดีการผิดสัญญาเช่าซื้อที่เข้าสู่การพิจารณาของศาล มีจำนวนมากน้อยในแต่ละปีสอดคล้องกับข้อมูลการจำหน่ายรถยนต์ในแต่ละปี ซึ่งในส่วนของศาลเมื่อเกี่ยวข้องกับคดีที่เกิดจากนโยบายรถยนต์คันแรก ศาลไม่มีนโยบายให้คุณและโทษกับใคร แต่จะเข้ามาคุ้มครองในกรณีที่มีการทำสัญญาที่เอาเปรียบ ซึ่งศาลจะพยายามไม่ให้ผู้ประกอบการใช้ศาลเป็นเครื่องมือ.

โดย: ทีมข่าวเศรษฐกิจ

http://www.thairath.co.th/content/eco/349650
// Stay Hungry, Stay Foolish.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
วรันศ์ บัฟเฟต
Verified User
โพสต์: 1679
ผู้ติดตาม: 0

Re: รถคันแรกซัดกำลังซื้อไตรมาส 2 ยังซบ คาดลากยาวตลอดปี

โพสต์ที่ 10

โพสต์

syj เขียน:"มาสด้า"แจงลูกค้าที่จองรถโดยใช้สิทธิ์คืนภาษีในโครงการรถคันแรก ยกเลิกการจองไม่มาก เผยส่งมอบรถคันแรกแล้ว 70%

มาสด้า เปิดเผยว่า ลูกค้าที่จองรถโดยใช้สิทธิ์คืนภาษีในโครงการรถคันแรก ยกเลิกการจองไม่มาก และไม่ถึง 70% เหมือนที่เป็นข่าวก่อนหน้านี้ ซึ่งเป็นความคลาดเคลื่อนของข้อมูล

ปัจจุบัน มาสด้า สามารถส่งมอบรถให้กับลูกค้าในโครงการรถคันแรกได้แล้วมากกว่า 70% และคาดว่าจะส่งมอบภายใน 1-2 เดือนข้างหน้าอีกประมาณ 10%

ดังนั้นจึงเหลือลูกค้าที่ยังไม่กำหนดรับรถอีก 20% ซึ่งไม่ได้หมายความว่าจะไม่รับรถ เพียงแต่อยู่ระหว่างการยืนยันเวลาในการรับรถเท่านั้น ทั้งนี้เนื่องจากรัฐบาลเปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถขอใช้สิทธิได้โดยไม่ได้กำหนดเวลา ดังนั้น ลูกค้าจึงอยู่ระหว่างการพิจารณาความพร้อมที่จะรับรถ ในประเด็นต่างๆ เช่น ช่วงเวลาที่เหมาะสม การเงิน และอื่นๆ

"โดยปกติของธุรกิจรถยนต์ การยกเลิกการรับรถจะมีอัตราเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 10-20% โดยมีปัจจัยหลักเรื่องข้อจำกัดด้านการเงินของลูกค้า" มาสด้าระบุ

http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... ้ว-70.html

แสดงว่าข่าวก่อนหน้านี้เป็นข่าวเท็จนะสิ สร้างตัวเลขขึ้นมาถึง 2 ครั้งไม่น่าจะใช่เรื่องสื่อสารผิดแล้วนะ
ตัวเลข 40% ครั้งที่สองมาจากไหนคนเขียนข่าว
บิดเบือนข้อมูลมันผิดจรรยาบรรณนะ
value trap
รูปภาพ
Little Duck
Verified User
โพสต์: 153
ผู้ติดตาม: 0

Re: รถคันแรกซัดกำลังซื้อไตรมาส 2 ยังซบ คาดลากยาวตลอดปี

โพสต์ที่ 11

โพสต์

ครั้งที่ 2 อาจเป็น white lie ก็ได้ครับ เอิ๊ก ๆ
Someday We will be Great Swan...
ถือหุ้นที่ดี ไม่แพง แล้วก็รอ แค่นั้นแหละ
เค้าว่าล้านแรกจะไ้ด้มายากที่สุด ล้านต่อ ๆ ไปจะไ้ด้มาง่ายขึ้น หวังว่าคำพูดนี้จะเป็นความจริงนะ
:wink:
ภาพประจำตัวสมาชิก
airazoc
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 904
ผู้ติดตาม: 6

Re: รถคันแรกซัดกำลังซื้อไตรมาส 2 ยังซบ คาดลากยาวตลอดปี

โพสต์ที่ 12

โพสต์

ไปเยี่ยมพี่โดมที่เพิร์ทมา พบว่าที่นั่นโรงงานผลิตชิ้นส่วนรถยนต์พากันปิด แล้วย้ายมาสั่งผลิตจากไทยเป็นจำนวนมาก กิจการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ของไทยอาจจะน่าลงทุนก็ได้ครับ ยิ่งตลาดมองกลุ่มรถยนต์ไม่ดี อาจจะมีโอกาสได้ของดีราคาถูก ลองติดต่อ IR หรือไป วิสิทดูนะครับ :mrgreen:
"In life and business, there are two cardinal sins ... The first is to act precipitously without thought, and the second is to not act at all.” – Carl Icahn
syj
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 4256
ผู้ติดตาม: 6

Re: รถคันแรกซัดกำลังซื้อไตรมาส 2 ยังซบ คาดลากยาวตลอดปี

โพสต์ที่ 13

โพสต์

อาจจะเป็นเพราะ FORD ประกาศแล้วว่าจะเลิกผลิตรถยนต์
ในออสซี่ หลังจากดำเนินการมาเป็นร้อยปี !!! ค่าแรงค่า
ครองชีพในออสซี่สูงมากๆ ครับ สูงกว่าญี่ปุ่นเสียอีก ... แต่
Economy of Scale ไม่มี (คนน้อยเกินไป)

ดังนั้น หายไปหนึ่งเจ้า จาก สามเจ้าที่ผลิตรถยนต์ในออสซี่
(ที่เหลือคือ GM กับ Toyota) ก็จะกระทบมากๆ กับ Supply-
Chain ทั้งหมด ... มีโอกาสอย่างสูงที่ หลังจากนี้ออสซี่
จะไม่มีโรงงานผลิตรถยนต์ในประเทศอีกต่อไป ...
// Stay Hungry, Stay Foolish.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
investor9000
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 314
ผู้ติดตาม: 19

Re: รถคันแรกซัดกำลังซื้อไตรมาส 2 ยังซบ คาดลากยาวตลอดปี

โพสต์ที่ 14

โพสต์

รถคันแรกซัดกำลังซื้อไตรมาส 2 ยังซบ คาดลากยาวตลอดปี
กับ
สศช.ชี้เงินเดือน 15,000 บาท ค่าแรง 300 มีผลทำให้คนรายได้น้อยจ่ายฟุ่มเฟือยเพิ่ม
ทำไมมันสวนทางกันแบบนี้ บทความนี้ได้กลิ่นการเมืองชัดมาก บ่งบอกว่ามี Hidden Agenda อย่างใดอย่างหนึ่ง
naphas12
Verified User
โพสต์: 950
ผู้ติดตาม: 1

Re: รถคันแรกซัดกำลังซื้อไตรมาส 2 ยังซบ คาดลากยาวตลอดปี

โพสต์ที่ 15

โพสต์

ตัวเลขยอดขายของค้าปลีก และ Modern Trade ก็ไม่ได้ลดลงเลย
การเสพข่าวยุคนี้ต้องระมัดระวังอย่างยิ่งทีเดียว
syj
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 4256
ผู้ติดตาม: 6

Re: รถคันแรกซัดกำลังซื้อไตรมาส 2 ยังซบ คาดลากยาวตลอดปี

โพสต์ที่ 16

โพสต์

คอลัมน์ ชั้น 5 ประชาชาติ

เดือนมิถุนายนเข้าสู่โหมดกลางปี 2556 แล้ว เวลาไม่คอยใครจริง ๆ สิ่งที่หนักอกชาวบ้านในเวลานี้คงไม่พ้นปัญหาค่าครองชีพที่พุ่งแซงค่าแรง 300 บาทไปแล้ว แม้แต่ราคาไข่ไก่ก็แพงหูฉี่ ในบางพื้นที่ไต่ระดับขึ้นไปเกือบจะทะลุฟองละ 5 บาทแล้ว 

ผู้ที่เกี่ยวข้องบางคนออกมาแจกแจงเหตุผลว่า ไข่แพง เพราะสภาพอากาศร้อน แม่ไก่ออกไข่ได้น้อยลง ทำให้ซัพพลายไข่ไก่ในตลาดหายไป และยังเป็นช่วงเปิดเทอมพอดี เด็ก ๆ หันมาบริโภคไข่กันมากขึ้น 

ฟังดูก็เหมือนมีเหตุมีผล แต่ตอนนี้ในระดับเสนาบดีผู้กุมชะตาประเทศก็ไม่มีใครให้คำตอบได้ว่า มีการเก็บสต๊อกไข่อยู่ในห้องเย็นมากน้อยเท่าไหร่ 

ในจังหวะขาขึ้นเช่นนี้ ถ้าใครปล่อยไข่ออกสู่ตลาดได้ก็จะโกยรายได้ไปเต็ม ๆ ข้าวไข่เจียว เมนูของคนมีรายได้น้อยขยับชั้นขึ้นเป็นเมนูผู้มีตังค์ไปแล้ว 

อีกเรื่องที่เป็นวาระร้อน "รถคันแรกเอฟเฟ็กต์" เมื่อปีที่แล้วผู้ผลิตรถยนต์และผู้บริโภคต่างดีอกดีใจกับนโยบายประชานิยมการลดภาษีรถคันแรก 

แท้ที่จริงแล้วในช่วงเวลานั้น ตลาดรถยนต์เมืองไทยก็อยู่ในช่วงขาขึ้นมาก ๆ อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้นโยบายรถคันแรกนี้มา

กระตุ้นตลาดก็ได้ เพราะทำให้กลไกตลาดบิดเบือน เนื่องจากไปดึงแรงซื้อหรือดีมานด์ในอนาคตมารวมกันไว้ภายในปีเดียว 

ในแง่นโยบายถือว่าบรรลุผลสำเร็จเกินเป้า เพราะหลังปิดโครงการรถคันแรกสิ้นปี 2555 กรมสรรพสามิตสรุปยอดขอคืนภาษีทะลุ 1,254,854 ล้านคัน ต้องเตรียมจ่ายเงินคืนประชาชนกว่า 9 หมื่นล้านบาท

แต่วันนี้ นาทีนี้ สถานการณ์พลิกกลับทั้งในด้านเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งพอจะประมวลสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นให้เห็น ดังนี้ 

1.การจราจรอัมพาต ตอนนี้เกิดปัญหารถติดอย่างหนัก ผลพวงจากยอดจองรถคันแรกถล่มทลายกว่า 1 ล้านคัน ส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล ซึ่งขณะนี้ปริมาณรถใหม่ป้ายแดงทะลักออกมาแล้ว แต่พื้นผิวถนนมีอยู่เท่าเดิม ด้วยเหตุนี้รถจะไม่ติดได้อย่างไร 

นอกจากการจราจรอัมพาตในกรุงเทพฯแล้ว ในหัวเมืองใหญ่ก็กำลังเผชิญชะตากรรมนี้เช่นกัน เพราะในต่างจังหวัดก็แห่ใช้สิทธิ์ซื้อรถคันแรกจังหวัดละหลายหมื่นคัน ไม่ว่าจะเป็นเชียงใหม่ โคราช ขอนแก่น อุดรธานี สงขลา ภูเก็ต ชลบุรี ระยอง เมืองพัทยา เป็นต้น 

รถติดกลายเป็นปัญหาใหญ่ ผู้คนเสียทั้งเวลา เสียทั้งเงิน และเสียสุขภาพจิต เผาผลาญน้ำมันวันละหลายชั่วโมง เงินในกระเป๋าถูกสูบไปโดยไม่ก่อให้เกิดการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ ต้นทุนค่าเดินทางสูงมาก อีกทั้งยังเกิดอุบัติเหตุถี่ขึ้นทุกวัน มือใหม่หัดขับเต็มไปหมด ชีวิตของผู้คนเสี่ยงสุด ๆ บนท้องถนน

2.ผลกระทบต่อตลาดรถยนต์ ทั้งรถใหม่และรถมือสอง ตอนนี้ยอดขายรถใหม่ก็เริ่มแผ่วตามคาดการณ์ของค่ายรถ แต่ปรากฏการณ์ที่น่าห่วงก็คือขณะนี้มีลูกค้าแห่ทิ้งใบจองหรือเลิกใช้สิทธิ์จากทั่วประเทศไปแล้วกว่า 4 พันคัน 

แม้ว่าผู้ประกอบการกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์จะออกมาระบุว่า การทิ้งใบจองรถยนต์ และการเลื่อนรับรถคันแรก หากอยู่ในสัดส่วน 10-20% จะไม่ส่งผลกระทบมากนัก 

แต่ที่แน่ ๆ ดีมานด์เทียมโผล่เป็นทิวแถวแล้ว 

ตอนนี้ดีลเลอร์หลายรายกำลังกุมขมับ ก่อนหน้านี้เจอปัญหาด้านซัพพลายส่งมอบรถให้ลูกค้าไม่ทัน แต่วันนี้ต้องมาแบกสต๊อกรถทิ้งดาวน์ ทิ้งใบจอง เลื่อนรับรถออกไป ต้องควักกระเป๋าอัดโปรโมชั่นแรง ๆ เรียกลูกค้า เพื่อเร่งระบายสต๊อกที่เป็นต้นทุนจมจำนวนมหาศาล

ส่วนตลาดรถมือสองก็แจ็กพอตไปด้วย ทำให้ราคาตก 5-10% เพราะคนเห่อไปใช้รถใหม่กันหมด ในฟากธุรกิจลีสซิ่งก็หืดจับไม่แพ้กัน คนเริ่มมีปัญหาส่งงวดรถ 

แม้แต่ดีลเลอร์รถยนต์ มอเตอร์ไซค์ในภาคใต้ ใจก็ตุ้ม ๆ ต่อม ๆ รอลุ้นว่าราคายางพารา ปาล์มน้ำมันจะดีดตัวสูงขึ้นในเร็ววัน เพราะตอนนี้กลุ่มลูกค้าเกษตรกรหายไปเยอะ เซลส์รถยนต์ต้องหันไปจับตลาดข้าราชการ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีเงินเดือนประจำแทนเศรษฐีสวนยางที่เคยอู้ฟู่เมื่อ 2 ปีก่อน

3.ผลสะเทือนต่อกำลังซื้อ เพราะการซื้อรถคันแรกได้ "ดูดกำลังซื้อ" ไปหมด นักธุรกิจในหัวเมืองให้ข้อมูลตรงกันว่า ช่วงนี้บรรยากาศการจับจ่ายในต่างจังหวัดเริ่มเงียบเหงา เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปีก่อน 

สาเหตุหลัก ๆ มาจากรถคันแรกเอฟเฟ็กต์ เพราะแทบทุกครัวเรือนต้องแบ่งเงินก้อนใหญ่เอาไว้ผ่อนรถทุกเดือน จึงทำให้เงินสดในมือเหลือน้อยลง กำลังซื้อหดหาย ต้องรัดเข็มขัด และเลือกที่จะจับจ่ายเฉพาะสินค้าที่จำเป็นในชีวิตประจำวันเท่านั้น 

เรียกได้ว่า สะเทือนกันไปทั้งระบบ...! 

http://www.prachachat.net/news_detail.p ... catid=0200
// Stay Hungry, Stay Foolish.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
วรันศ์ บัฟเฟต
Verified User
โพสต์: 1679
ผู้ติดตาม: 0

Re: รถคันแรกซัดกำลังซื้อไตรมาส 2 ยังซบ คาดลากยาวตลอดปี

โพสต์ที่ 17

โพสต์

syj เขียน:คอลัมน์ ชั้น 5 ประชาชาติ

เดือนมิถุนายนเข้าสู่โหมดกลางปี 2556 แล้ว เวลาไม่คอยใครจริง ๆ สิ่งที่หนักอกชาวบ้านในเวลานี้คงไม่พ้นปัญหาค่าครองชีพที่พุ่งแซงค่าแรง 300 บาทไปแล้ว แม้แต่ราคาไข่ไก่ก็แพงหูฉี่ ในบางพื้นที่ไต่ระดับขึ้นไปเกือบจะทะลุฟองละ 5 บาทแล้ว 

ผู้ที่เกี่ยวข้องบางคนออกมาแจกแจงเหตุผลว่า ไข่แพง เพราะสภาพอากาศร้อน แม่ไก่ออกไข่ได้น้อยลง ทำให้ซัพพลายไข่ไก่ในตลาดหายไป และยังเป็นช่วงเปิดเทอมพอดี เด็ก ๆ หันมาบริโภคไข่กันมากขึ้น 

ฟังดูก็เหมือนมีเหตุมีผล แต่ตอนนี้ในระดับเสนาบดีผู้กุมชะตาประเทศก็ไม่มีใครให้คำตอบได้ว่า มีการเก็บสต๊อกไข่อยู่ในห้องเย็นมากน้อยเท่าไหร่ 

ในจังหวะขาขึ้นเช่นนี้ ถ้าใครปล่อยไข่ออกสู่ตลาดได้ก็จะโกยรายได้ไปเต็ม ๆ ข้าวไข่เจียว เมนูของคนมีรายได้น้อยขยับชั้นขึ้นเป็นเมนูผู้มีตังค์ไปแล้ว 

อีกเรื่องที่เป็นวาระร้อน "รถคันแรกเอฟเฟ็กต์" เมื่อปีที่แล้วผู้ผลิตรถยนต์และผู้บริโภคต่างดีอกดีใจกับนโยบายประชานิยมการลดภาษีรถคันแรก 

แท้ที่จริงแล้วในช่วงเวลานั้น ตลาดรถยนต์เมืองไทยก็อยู่ในช่วงขาขึ้นมาก ๆ อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้นโยบายรถคันแรกนี้มา

กระตุ้นตลาดก็ได้ เพราะทำให้กลไกตลาดบิดเบือน เนื่องจากไปดึงแรงซื้อหรือดีมานด์ในอนาคตมารวมกันไว้ภายในปีเดียว 

ในแง่นโยบายถือว่าบรรลุผลสำเร็จเกินเป้า เพราะหลังปิดโครงการรถคันแรกสิ้นปี 2555 กรมสรรพสามิตสรุปยอดขอคืนภาษีทะลุ 1,254,854 ล้านคัน ต้องเตรียมจ่ายเงินคืนประชาชนกว่า 9 หมื่นล้านบาท

แต่วันนี้ นาทีนี้ สถานการณ์พลิกกลับทั้งในด้านเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งพอจะประมวลสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นให้เห็น ดังนี้ 

1.การจราจรอัมพาต ตอนนี้เกิดปัญหารถติดอย่างหนัก ผลพวงจากยอดจองรถคันแรกถล่มทลายกว่า 1 ล้านคัน ส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล ซึ่งขณะนี้ปริมาณรถใหม่ป้ายแดงทะลักออกมาแล้ว แต่พื้นผิวถนนมีอยู่เท่าเดิม ด้วยเหตุนี้รถจะไม่ติดได้อย่างไร

นอกจากการจราจรอัมพาตในกรุงเทพฯแล้ว ในหัวเมืองใหญ่ก็กำลังเผชิญชะตากรรมนี้เช่นกัน เพราะในต่างจังหวัดก็แห่ใช้สิทธิ์ซื้อรถคันแรกจังหวัดละหลายหมื่นคัน ไม่ว่าจะเป็นเชียงใหม่ โคราช ขอนแก่น อุดรธานี สงขลา ภูเก็ต ชลบุรี ระยอง เมืองพัทยา เป็นต้น


รถติดกลายเป็นปัญหาใหญ่ ผู้คนเสียทั้งเวลา เสียทั้งเงิน และเสียสุขภาพจิต เผาผลาญน้ำมันวันละหลายชั่วโมง เงินในกระเป๋าถูกสูบไปโดยไม่ก่อให้เกิดการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ ต้นทุนค่าเดินทางสูงมาก อีกทั้งยังเกิดอุบัติเหตุถี่ขึ้นทุกวัน มือใหม่หัดขับเต็มไปหมด ชีวิตของผู้คนเสี่ยงสุด ๆ บนท้องถนน

2.ผลกระทบต่อตลาดรถยนต์ ทั้งรถใหม่และรถมือสอง ตอนนี้ยอดขายรถใหม่ก็เริ่มแผ่วตามคาดการณ์ของค่ายรถ แต่ปรากฏการณ์ที่น่าห่วงก็คือขณะนี้มีลูกค้าแห่ทิ้งใบจองหรือเลิกใช้สิทธิ์จากทั่วประเทศไปแล้วกว่า 4 พันคัน 

แม้ว่าผู้ประกอบการกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์จะออกมาระบุว่า การทิ้งใบจองรถยนต์ และการเลื่อนรับรถคันแรก หากอยู่ในสัดส่วน 10-20% จะไม่ส่งผลกระทบมากนัก 

แต่ที่แน่ ๆ ดีมานด์เทียมโผล่เป็นทิวแถวแล้ว 

ตอนนี้ดีลเลอร์หลายรายกำลังกุมขมับ ก่อนหน้านี้เจอปัญหาด้านซัพพลายส่งมอบรถให้ลูกค้าไม่ทัน แต่วันนี้ต้องมาแบกสต๊อกรถทิ้งดาวน์ ทิ้งใบจอง เลื่อนรับรถออกไป ต้องควักกระเป๋าอัดโปรโมชั่นแรง ๆ เรียกลูกค้า เพื่อเร่งระบายสต๊อกที่เป็นต้นทุนจมจำนวนมหาศาล

ส่วนตลาดรถมือสองก็แจ็กพอตไปด้วย ทำให้ราคาตก 5-10% เพราะคนเห่อไปใช้รถใหม่กันหมด ในฟากธุรกิจลีสซิ่งก็หืดจับไม่แพ้กัน คนเริ่มมีปัญหาส่งงวดรถ 

แม้แต่ดีลเลอร์รถยนต์ มอเตอร์ไซค์ในภาคใต้ ใจก็ตุ้ม ๆ ต่อม ๆ รอลุ้นว่าราคายางพารา ปาล์มน้ำมันจะดีดตัวสูงขึ้นในเร็ววัน เพราะตอนนี้กลุ่มลูกค้าเกษตรกรหายไปเยอะ เซลส์รถยนต์ต้องหันไปจับตลาดข้าราชการ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีเงินเดือนประจำแทนเศรษฐีสวนยางที่เคยอู้ฟู่เมื่อ 2 ปีก่อน

3.ผลสะเทือนต่อกำลังซื้อ เพราะการซื้อรถคันแรกได้ "ดูดกำลังซื้อ" ไปหมด นักธุรกิจในหัวเมืองให้ข้อมูลตรงกันว่า ช่วงนี้บรรยากาศการจับจ่ายในต่างจังหวัดเริ่มเงียบเหงา เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปีก่อน 

สาเหตุหลัก ๆ มาจากรถคันแรกเอฟเฟ็กต์ เพราะแทบทุกครัวเรือนต้องแบ่งเงินก้อนใหญ่เอาไว้ผ่อนรถทุกเดือน จึงทำให้เงินสดในมือเหลือน้อยลง กำลังซื้อหดหาย ต้องรัดเข็มขัด และเลือกที่จะจับจ่ายเฉพาะสินค้าที่จำเป็นในชีวิตประจำวันเท่านั้น 

เรียกได้ว่า สะเทือนกันไปทั้งระบบ...! 

http://www.prachachat.net/news_detail.p ... catid=0200

ตัวเลขเคยเอามาลงแล้วว่าในกรุงเทพไม่ได้เยอะนะครับ เทียบกับทั้งประเทศ
และตอนนี้รถก็ยังส่งมอบไม่ถึงไหน จะไปโทษแต่รถคันแรกได้ยังไง
แล้วเรื่องใช้สอย คนไทยมีกี่คน รถคันแรกมีกี่คันเอง
อือหือ แทบทุกครัวเรือนเลยนะที่มีปัญหา
ผมว่ามันตีความรวมไปนะเรื่องผูกรถคันแรกกับกำลังซื้อโดยรวมเนี่ย เขียนกันออกมาไม่ขาดสาย
ถ้าไม่มีตัวเลขประกอบ ต้องใช้วิจารณญาณมากๆ อ่านพวกนี้ ใส่ไข่
value trap
รูปภาพ
syj
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 4256
ผู้ติดตาม: 6

Re: รถคันแรกซัดกำลังซื้อไตรมาส 2 ยังซบ คาดลากยาวตลอดปี

โพสต์ที่ 18

โพสต์

มาสด้าแจงส่งมอบรถคันแรกแล้ว 70% ชี้ ลูกค้ายังไม่ยกเลิกการของ แค่ชะลอดูความพร้อมส่วนตัวเล็กน้อย ด้านเชฟโรเลตเผยยอดถอนจอง 25%

มาสด้าแจงส่งมอบรถคันแรกแล้ว 70% ชี้ ลูกค้ายังไม่ยกเลิกการของ แค่ชะลอดูความพร้อมส่วนตัวเล็กน้อย ด้านเชฟโรเลตเผยยอดถอนจอง 25% แต่ไม่ส่งผลกระทบสต็อก ผลิต หลังแคมเปญ อีเวนท์ ดันยอดขายใหม่พุ่ง

แม้ว่าโครงการรถคันแรกจะจบไปแล้วกว่า 5 เดือน แต่สิ่งที่เกี่ยวพันกับโครงการ ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการเลิกจอง การชะลอรับรถ หรือว่าผลต่อการสต็อกรถ การวางแผนการผลิต แตกต่างกันไปในแต่ละยี่ห้อ ซึ่งปรากฏเป็นข่าวเป็นระยะ

บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด รายงานว่า ลูกค้าที่จองรถโดยใช้สิทธิ์คืนภาษีในโครงการรถคันแรก มีการยกเลิกไม่มาก ส่วนข่าวที่ปรากฏก่อนหน้านี้ว่ามีลูกค้ายังไม่รับรถสูงถึง 70% นั้น

เป็นความคลาดเคลื่อนของข้อมูล แต่ในความจริงแล้ว มาสด้า สามารถส่งมอบรถให้กับลูกค้าในโครงการรถคันแรกแล้วมากกว่า 70% และคาดว่าภายใน 1-2 เดือนข้างหน้าจะส่งมอบได้อีกประมาณ 10%

ดังนั้นจึงเหลือลูกค้าอีก 20% แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่รับรถ เพียงแต่อยู่ระหว่างการยืนยันเวลาในการรับรถที่แน่นอนเท่านั้น เนื่องจากรัฐบาลเปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถรับรถได้โดยไม่ได้กำหนดเวลา ดังนั้น ลูกค้าจึงอยู่ระหว่างการพิจารณาความพร้อมที่จะรับรถ ในประเด็นต่างๆ เช่น ช่วงเวลาที่เหมาะสม การเงิน และอื่นๆ

"โดยปกติของธุรกิจรถยนต์ การยกเลิกการรับรถจะมีอัตราเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 10-20% โดยมีปัจจัยหลักคือข้อจำกัดด้านการเงินของลูกค้า" มาสด้าระบุ


สำหรับยอดขายมาสด้าโดยรวมช่วง ม.ค.-พ.ค.ที่ผ่านมา ทำได้ 2.2 หมื่นคัน เพิ่มขึ้น 17% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่แล้ว โดยรถที่มียอดขายสูงสุดคือ มาสด้า 2 ซึ่งเป็นรถที่อยู่ในโครงการรถคันแรก 1.09 หมื่นคัน ลดลงเล็กน้อย 11% ตามมาด้วย ปิกอัพ บีที-50 โปร 9,418 คัน เพิ่มขึ้น 68% มาสด้า 3 ทำได้ 1,700 คัน เพิ่มขึ้น 63%

ด้าน บริษัท เชฟโรเลตเซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด แจ้งว่า เชฟโรเลต มียอดจองจากโครงการรถคันแรก 6,031 แบ่งเป็นรถปิกอัพ โคโลราโด 890 คัน และรถยนต์นั่ง โซนิค 5,141 คัน โดยขณะนี้สามารถส่งมอบได้แล้ว 2,828 คัน คิดเป็นสัดส่วน 55% ส่วนการยกเลิกการจองพบว่าอยู่ที่ 25% ส่วนผู้ที่ขอเลื่อนการรับรถออกไป มีประมาณ 20% ซึ่งส่วนใหญ่มีเหตุผลด้านสถานภาพทางการเงิน

การยกเลิกการจอง และเลื่อนรับรถ มีผลกระทบต่อบริษัทเล็กน้อย ในด้านการประเมินสินค้าคงคลัง และการคาดการณ์ยอดขาย แต่อย่างไรก็ตามในช่วงครึ่งปีแรกปีนี้ บริษัทสามารถสร้างยอดจองใหม่เพิ่มขึ้นได้มาก จากการสร้างแรงจูงใจผ่านแคมเปญ รวมไปถึงความสำเร็จในงาน บางกอกอินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ งานยูเอส แฟร์ เป็นต้น

"เราเชื่อมั่นว่าจะมีลูกค้าเพิ่มมากขึ้น และยอดขายจะเติบโตทั่วประเทศ โดยแคมเปญเหล่านี้จะดำเนินไปอย่างต่อเนื่องในไตรมาสที่ 3 จากนั้นจะประเมินสินค้าคงคลังของเรา และตำแหน่งการขายเพื่อกำหนดขั้นตอนการดำเนินงานในไตรมาสที่ 4 ต่อไป"

ด้านการผลิต บริษัทจะยังคงเดินหน้าไปตามแผนงานเดิมที่กำหนดไว้ โดยปัจจุบันโรงงานเชฟโรเลตเดินสายการผลิต 2 กะ เพื่อรองรับการจำหน่ายในประเทศและตลาดต่างประเทศ ซึ่งเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา บริษัทมีตลาดมียอดการส่งออกสูงสุดเป็นประวัติการณ์

"เชฟโรเลต มีประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่า 100 ปี ประสบการณ์วงจรอุตสาหกรรมมามากมาย ได้รับผลกระทบจากทุกปัจจัย ตั้งแต่สภาพเศรษฐกิจและภัยธรรมชาติ ทำให้สามารถวางแผนและวิเคราะห์วงจรอุตสาหกรรม และสามารถปรับธุรกิจให้สอดคล้องกับสถานการณ์ได้"

ในส่วนของผู้ผลิตชิ้นส่วนซึ่งอาจจะได้รับผลกระทบบ้างปัจจัยการตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปโดยไม่สามารถคาดเดาได้ บริษัทจะปรับการดำเนินงานและการทำงานร่วมกับบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วน เพื่อให้ทุกอย่างสามารถเดินหน้าต่อไปได้

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าประสบการณ์ของผู้ผลิตชิ้นส่วนที่ดำเนินธุรกิจมายาวนาน และมีความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม อีกทั้งมีการพัฒนากระบวนการผลิต รวมไปถึงเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง ทำให้สามารถรับมือกับการปรับแผนการผลิตได้อย่างรวดเร็ว

http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... แรก80.html
// Stay Hungry, Stay Foolish.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
syj
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 4256
ผู้ติดตาม: 6

Re: รถคันแรกซัดกำลังซื้อไตรมาส 2 ยังซบ คาดลากยาวตลอดปี

โพสต์ที่ 19

โพสต์

(ที่มา:มติชนรายวัน 13 มิ.ย.2556)



แหล่งข่าวจากสมาคมผู้ผลิตและผู้จำหน่ายรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่น หอการค้าญี่ปุ่น (เจซีซี) สภาหอการค้าญี่ปุ่น เปิดเผยว่า ตัวเลขยอดขายรถยนต์เดือนพฤษภาคมมีจำนวนทั้งสิ้น 111,556 คัน แม้ว่าจะเพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายนที่ผ่านมาที่มียอดขายจำนวน 109,673 คัน แต่พบว่าเมื่อเทียบกับเดือนพฤษภาคมปีที่แล้วที่มียอดขาย 115,943 คัน ถือว่ามีอัตราเติบโตลดลง และนับเป็นเดือนแรกที่ตลาดรถยนต์ในประเทศมีอัตราเติบโตที่ถดถอย หลังจากมีอัตราเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องมาตลอด 16 เดือนที่ผ่านมา สาเหตุเนื่องจากที่ผ่านมามีโครงการรถยนต์คันแรกของรัฐบาลมาช่วยกระตุ้นตลาด แต่เมื่อหมดระยะเวลาโครงการเมื่อสิ้นเดือนธันวาคม 2555 แม้ว่าจะยังช่วยกระตุ้นตลาดต่อเนื่องมาจนถึงเดือนเมษายนที่ผ่านมา เพราะยังมียอดค้างส่งมอบ แต่ขณะนี้เริ่มเห็นสัญญาณชะลอตัวลงแล้ว นอกจากนี้ยังมีสาเหตุมาจากการย่างเข้าสู่ช่วงฤดูฝน ถือเป็นช่วงโลว์ซีซั่นของตลาดรถยนต์ด้วย

แหล่งข่าวกล่าวว่า ค่ายรถที่มียอดขายรวมเป็นอันดับ 1 ได้แก่ โตโยต้า 38,024 คัน รองลงมาคือ ฮอนด้า 21,079 คัน และอีซูซุ 18,647 คัน (ดูตารางประกอบ) สำหรับตลาดรถเก๋งค่ายฮอนด้ายังคงรักษาแชมป์ไว้ได้ด้วยยอดขาย 21,709 คัน รองลงมาคือ โตโยต้า 16,328 คัน และนิสสัน 3,393 คัน (ดูตารางประกอบ) ส่วนตลาดรถอีโคคาร์อันดับ 1 ได้แก่ ซูซูกิ สวิฟท์ 3,293 คัน รองลงมาคือ มิตซูบิชิ มิราจ 2,763 คัน และฮอนด้า บริโอ้ อเมซ 2,171 คัน เป็นที่น่าสังเกตว่า ซูซูกิ สวิฟท์ สามารถรั้งอันดับผู้นำในยอดขายอีโคคาร์เป็นเดือนที่สองติดต่อกัน

นายวัลลภ ตรีฤกษ์งาม ผู้ช่วยผู้จัดการทั่วไป บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายรถยนต์ซูซูกิ เปิดเผยว่า ซูซูกิ สวิฟท์ ยังคงครองแชมป์ยอดขายอีโคคาร์ติดต่อกันเป็นเดือนที่สอง หลังจากได้รับความนิยมมาอย่างต่อเนื่องจากโครงการรถคันแรกตั้งแต่ปีที่แล้ว นอกจากนี้ ซูซูกิ

สวิฟท์ ยังมียอดยกเลิกจองรถคันแรกน้อยมาก คิดเป็น 10% ของยอดทั้งหมด และสาเหตุที่ยกเลิกไม่ได้มาจากลูกค้าหันไปซื้อยี่ห้ออื่น แต่เป็นเพราะลูกค้าเปลี่ยนใจยังไม่มีความพร้อมมากกว่า อย่างไรก็ตาม ซูซูกิ สวิฟท์ จะเร่งส่งมอบลูกค้าเร็วขึ้น หลังจากมีการปรับปรุงกำลังการผลิตเพิ่มมากขึ้น ส่วนจะเร็วขึ้นเท่าใดนั้นขึ้นอยู่กับแต่ละดีลเลอร์
http://www.prachachat.net/news_detail.p ... catid=0000
// Stay Hungry, Stay Foolish.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
โพสต์โพสต์