รวบรวม AGM Q1 /2556 ครับ

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

ล็อคหัวข้อ
ภาพประจำตัวสมาชิก
crazyrisk
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 4562
ผู้ติดตาม: 40

รวบรวม AGM Q1 /2556 ครับ

โพสต์ที่ 1

โพสต์

http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=55578
จากโครงการนี้ครับ ผมได้รวบรวม AGM จาก กระทู้ต่างๆ เพื่อให้สมาชิกได้ศึกษาข้อมูลกัน
และ เพื่อเป็นต้นแบบไอเดียในการเข้าประชุม AGM ในบริษัทต่างๆ

หมายเหตุ กรุณาใช้วิจารณญาณในการอ่าน เนื่องจาก ข้อมูลต่างๆ เป็นเพียงข้อมูลที่สมาชิกแต่ละท่านได้โพสต์
อาจจะมี conflict of interest หรือ มีการชี้นำราคา ในทางบวกหรือ ทางลบได้


เนื่องจากในแต่ละรายชื่อหุ้น มี คนโพสต์อาจจะหลายคน แต่คงนำมาได้ไม่ทั้งหมด
จะพยายามนำข้อความนี่ ครอบคลุมมากสุด หรือ เห็นถึงความตั้งใจของคนโพสต์มากสุด
หาก ผมตกข้อความ หรือ AGM ของใคร กรุณา PM มา แนะนำได้ที่ผมโดยตรงครับ

กระทู้นี้ เป็นกระทู้ที่ไว้รวบรวม AGM เท่านั้น เพื่อให้กระทู้นี้เรียบร้อยง่ายต่อการอ่าน ผมขอ lock กระทู้ และให้อ่านได้เท่านั้นนะครับ หากใครต้องการโต้แย้งหรือเพิ่มเติมความเห็นใดๆกรุณาตามอ่านใน ร้อยคนร้อยหุ้น ตามรายชื่อหุ้นได้โดยตรงเลยครับ

A
B
C


CI
ACME49 เขียน:วันนี้ได้ไปประชุมมาเอาข้อมูลมาแชร์ให้ผู้ที่ไม่ได้ไปได้ทราบถึงข้อมูล
ผู้ถือหุ้นไปประมาณ 30-40 คน จำนวนหุ้น ประมาณ74.4 ล้านหุ้น
มติต่างๆ ลงมติผ่านหมด
ประเด็นที่จะมาแชร์คือความคืบหน้าของโครงการในปัจจุบันและอนาคต
1.โครงการอิสระลาดพร้าว มูลค่าโครงการ 1400 ล้านเหลือ 30 ห้องชุดมีการปรับราคาขายขึ้นทำให้กำไรมากขึ้นน่าจะหมดปีนี้
2.โครงการทิวทะเล1 มูลค่าโครงการ 2000 ล้านขายได้85% แล้วงบการตลาดวางไว้ 90 ล้าน ใช้ไป 45 ล้านตอกเสาเข็มแล้วขึ้นชั้น1 อยู่เสร็จq357
3.โครงการทิวทะเล2 มูลค่าโครงการ 1800 ล้านขายได้เกือบ40% แล้วงบการตลาดวางไว้ 80 ล้าน ใช้ไป 20 ล้านแล้ว ยังไม่สร้าง
4.โครงการทิวทะเล3 กำลังออกแบบอยู่เป็นบ้านพักอาศัยและโรงแรม เป็นโครงการใหญ่ ในด้านโรงแรมกำลังติดต่อเชนดังอยู่
5.ISSI condo มูลค่า1900 ขายแล้ว80 % (จริงๆขาดหมดถ้าเปิดขาย) ผู้บริหารต้องการปรับราคาขายขึ้นเนื่องจากขายดีมาก
6.สีตะวัน53 หลัง มูลค่า800 ล้าน น่าจะโอนได้ปลายปี
โครงการอนาคต
กทม. นางลิ้นจี่ที่อยู่อาศัย ตอกเสาเข็มปีนี้ ใช้เวลา 2 ปี
พังงา มัดจำค่าที่ที่ดินแล้วรอตรวจสอบผังเมืองอยู่(คุยนอกรอบหลังเลิกประชุม)
เชียงใหม่ เล็งที่ดินอยู่ 2-3 แปลงกำลังเจรจาอยู่(คุยนอกรอบหลังเลิกประชุม)
กองทุนศรีพันวายื่นกลต.แล้ว รอเวลาอนุมัติ
ข้อดีตั้งกองทุน
1.ได้เงินสดทันที ทำให้มีสภาพคล่องมากขึ้น และสัดส่วนหนี้สินต่อผู้ถือหุ้นลดลง
2.ทำให้งบการเงินรวมรับรู้กำไรจากการขายทรัพย์สินร้อยละ 70 ทันทีประมาณ1073ล้าน
3.บริษัทยังคงรับรู้รายได้จากการดำเนินงานโครงการศรีพันวาเช่นเดิม ตลอดอายุสัญญา
4.บริษัทยังเป็นผู้บริหารงานโครงการศรีพันวา
4.มีโอการกำไรส่วนเพิ่มจากการบริหารและกำไรส่วนต่างราคาจากกองทุนรวม
ข้อด้อย
1.มีภาระผูกพันต้องจ่ายค่าเช่าให้กองทุนตลอดอายุสัญญา
2.มีภาระภาษีและค่าใช้จ่ายในการทำรายการนี้
สรุปคร่าวๆว่า หลังจากหักภาษีและค่าใช้จ่ายต่างๆแล้วมีกำไรประมาณ472ล้านจากที่ท่านประธานบอก แต่ผมมาดูจากเอกสารแนบ
บอกกำไร753ล้านเลยงงๆอยู่ จากการดูตัวเลขท่านประธานน่าจะบอกผิดนะ
เรื่องความไม่สม่ำเสมอของรายได้และกำไร อนาคตน่าจะดีขึ้นมากเป็นประเด็นที่ผู้บริหารตระหนักอยู่ ในระยะ3-4 ปีข้างหน้า
รายได้จะอยู่ประมาณ 3-4000ล้าน
แต่ที่คุยหลังเลิกประชุมกับปลาวาฬเรื่องศรีพันวา รายได้ดีขึ้นมากอัตราเข้าพัก ประมาณ50% มีโอกาสโตอีกมาก ส่วนราคาที่พักเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น ประมาณ25000 บาท จากปีที่แล้วประมาร22000 บาท
เท่าที่จำได้มีเท่านี้
CPALL
TLSS เขียน:สรุปประชุมผู้ถือหุ้น CPALL 25/4/56

1.รายได้ปี 2555 เติบโตประมาณ 22% กำไรเติบโตประมาณ 37% ค่าใช้จ่ายเติบโต 21.8% ต่ำกว่ากำไร , การเติบโตเป็นไปอย่างต่อเนื่อง มีสาขารวม 6,822 สาขา , กทม: ต่างจังหวัด = 47 : 53, ร้านบริษัท:แฟรนไชส์ = 44 : 56, ทำเลปกติ : ปั๊มน้ำมัน = 86:14 , ปีที่แล้วเปิด 546 สาขา, วงจรเงินสด -51 วัน (ดี), เงินสด 23ม085 ล้านบาท, ROA 17.3% ROE 45.7%

2. ประเด็น Makro มีความเป็นมาอย่างไร
25 ปีที่แล้ว คุณธนินท์ชักชวน SHV ตั้ง Makro ในไทย มีผลประกอบการดีอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด ความสัมพันธ์ระหว่าง CP และ SHV ก็เป็นไปด้วยดี คุณธนินท์บอกทางว่าถ้า SHV จะขายเมื่อไหร่ให้บอก ต่อมา SHV มีนโยบายจะไม่ทำค้าปลีกแล้ว จึงแจ้งทาง CP คุณธนินท์พิจารณาแล้วว่า Makro มีจุดเด่นเรื่องค้าส่ง Cpall มีจุดเด่นเรื่องค้าปลีก ถ้า 2 แห่งรวมกันจะเกิดพลังร่วม จึงตัดสินใจซื้อ

3. ปัจจัยที่อาจสงผลให้ดีลนี้ไม่สำเร็จ
ผู้ถือหุ้นลงคะแนนเห็นด้วยน้อยกว่า 75% ในการประชุมวิสามัญครั้งต่อไป

4. Cpall จะจ่ายปันผลได้เหมือนเดิมหรือไม่
ก่อนอื่นขอย้ำว่า ไม่มีการเพิ่มทุน เงินกู้ธนาคารเพียงพอ การจ่ายปันผลในอนาคตจะไม่น้อยกว่าเดิมและจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากการเติบโตอย่างต่อเนื่องของทั้ง 2 บริษัท

5. ดีลนี้มีข่าวรั่วหรือไม่
ขอรับรองว่า คณะผู้บริหารไม่มีใครทำข่าวรั่ว ส่วนคุณกอบศักดิ์ท่านก็มีหุ้นอยู่ ถ้าราคาหุ้นลงท่านก็เสียหายเช่นกัน

6. กู้เงินประมาณ 180,000 ล้าน จะใช้หนี้อย่างไร กี่ปีจะใช้หนี้หมด
กำไร Makro ประมาณ 3,000-4,000 ล้าน และยังเติบโตต่อเนื่อง สามารถ cover ดอกเบี้ย ส่วนใช้เวลากี่ปีคุณธนินท์บอกว่า จะใช้เวลาให้เร็วที่สุด

7. Cpall มีแผนงานอย่างไร จะมีการตั้งกองทุนอสังหาหรือไม่
- Cpall จะสนับสนุนให้ Makro เติบโตอย่างรวดเร็ว คุ้มค่าที่ซื้อ
- สนับสนุนเรื่องคน มีสถาบันการศึกษา ผลิตคน ปวช ป.ตรี โท กว่า 20,000 อัตรา
- Makro สามารถขยายไปต่างประเทศทั่วเอเชีย (ยกเว้นอินเดีย) จะเริ่ม 10 ประเทศ AEC ก่อน และสนับสนุน- สินค้าไทย SME OTOP
- การใช้ประโยชน์จาก DC ร่วมกัน
- กองทุนอสังหา ยังไม่ขอตอบ

8. ผู้ถือหุ้นรายย่อยได้ประโยชน์อย่างไรกับดีลนี้
ผู้ถือหุ้นได้ประโยชน์แน่นอน ระยะ 2-3 ปี จะเติบโตมากกว่านี้ เราซื้อของดี กำลังอยู่ในระยะเติบโต ผู้ถือหุ้นได้ประโยชน์แน่นอน

9. ถ้าดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น Cpall จะดำเนินการอย่างไร
ดอกเบี้ยเงินกู้ถูกมาก ถ้าอยู่ที่ระดับ 3-4 % เรารับมือได้

10. ความเสี่ยงของการซื้อ Makro
คุณธนินท์มองด้านบวก แทบไม่เห็นความเสี่ยง ในอนาคตไทยเติบโตอย่างมาก เราศึกษามาอย่างรอบคอบ ถ้าเสี่ยง CP จะเสี่ยงมากกว่าผู้ถือหุ้นรายย่อยอีก แต่ให้มั่นใจว่า ปันผลจะไม่น้อยลง และจะเพิ่มขึ้น

11. มุมมองคุณธนินท์
ค้าปลีกแบ่งเป็น 4 แบบ 1.ห้าง มอลล์ 2.Hypermarket 3.สะดวกซื้อ 4. ค้าส่ง

ในเครือ CP ทีมงาน Cpall เยี่ยมที่สุด ใน SHV หากเทียบ อเมริกา ยุโรป ไต้หวัน ญี่ปุ่น เกาหลี อินโดนีเซีย มาเลเซีย (ในเอเชียส่วนใหญ่ขายหมดแล้ว) ทีมงาน Makro เมืองไทย เยี่ยมที่สุด SHV เป็นบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในฮอลแลนด์ ทำธุรกิจพลังงาน ทยอยขาย Makro ในประเทศอื่นๆ เหลือไทยเป็นแห่งสุดท้าย (เพราะทีมงานดี)

Makro ถือว่าเป็นลูก CP+SHV แต่ CP มีความจำเป็นต้องขายเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้วเนื่องจากวิกฤตเศรษฐกิจ เราฝากให้ SHV ดูแลลูกเราจนเติบโต จนถึงวันนี้ Makro พร้อมที่สุด เศรษฐกิจไทยพร้อม อยากขยายต่างประเทศก็ทำได้ เราจะใช้ Makro ทำแฟรนไชส์ ต่างประเทศ ยังไม่ต้องพูดเรื่องที่ดิน

เฉพาะ Makro อีก 2 ปี PE จะเหลือ 20 กว่าเท่า ในไทยมีร้านโชว์ห่วยกว่า 600,000 ร้าน ซึ่งคือฐานลูกค้า Makro ซึ่งพวกนี้โตมาจะกลายเป็น Supermarket

อีกกลุ่มคือ ร้านอาหาร โรงแรม ตั้งแต่ แม่ค้าข้าวแกง ภัตตาคาร พวกนี้ซื้อของ Makro ซื้อทีละมากๆ Makro มีพร้อมหมด วัตถุดิบ ชุด โต๊ะ เก้าอี้ CP มีพลังของสถาบันการศึกษาและความชำนาญ เราจะสนับสนุนให้ร้านอาหารเหล่านี้ ผลิตอาหารดี อร่อย มีคุณภาพ

Makro จะเติบโตประมาณ 30% คนนอกมองว่าซื้อแพง แต่จริงๆ ถูก

เปรียบเสมือน เราซื้อ เครื่องพิมพ์ธนบัตรเยอรมัน ผลิตได้เยอะ เร็ว เครื่องไม่เสีย

ถ้าดีลนี้ไม่ดีธนาคารคงไม่สนับสนุนเรา Cpall ได้ดอกเบี้ยถูกที่สุด และเป็นดีลคนไทยซื้อกิจการต่างประเทศ เราคนไทยควรภูมิใจ

เก็บตก รุมหลังงาน
1. ดร.นิเวศน์ ให้ความเห็นว่า การซื้อ Makro ค่อนข้างคุ้มค่า Cpall ไม่ต้องใช้เงินตัวเอง ใช้เงินกู้ กำไรและกระแสเงินสดของ Makro สามารถ cover ดอกเบี้ยเงินกู้ได้ และกำไรยังเติบโตต่อเนื่อง
2. ในอนาคต market cap Cpall มีโอกาสโตมากกว่านี้มาก มีโอกาสอยู่อันดับต้นๆ ของประเทศ เป็นผลมาจากรายได้ประชากรเพิ่มขึ้น จะใช้จ่ายมากขึ้น
3. Makro ไม่สามารถเปิดร้านสะดวกซื้อได้ เนื่องจากติดสัญญา 7-11 (ผู้บริหาร)
4. ดีลนี้ มีการประเมินอย่างรอบคอบ มีการ projection plan รายได้ กำไรอย่างรอบคอบ และคิดว่าคุ้มค่า (ผู้บริหาร)

CPF

TLSS เขียน:สรุปประชุมผู้ถือหุ้น CPF 24/4/56

1. ผลการดำเนินงาน ปี 2555 1) รายได้ 357,175 ล้าน โต 73% ส่วนหนึ่งมาจากการซื้อ CPP กิจการในจีนและเวียดนาม และทำให้รายได้ต่างประเทศเพิ่มขึ้น 281% ส่งผลให้สัดส่วนรายได้ต่างประเทศ :รายได้ในประเทศ เท่ากับ 55:45 2) อัตรากำไรขั้นต้นโต 11% 3) กำไรจากการดำเนินงาน 5,729 ล้านบาท ติดลบ -69% 4) ส่วนแบ่งจากบริษัทร่วม 12,806 ล้านบาท โต232% 5) กำไรสุทธิ 18,790 ล้านบาท โต 17%

2. ปี 2555 เป็นปีที่บริษัทเผชิญความยากลำบากหลายๆ เรื่อง ได้แก่ 1) ธุรกิจเนื้อสัตว์ในไทยผลิตล้นตลาด ทำให้เนื้อสัตว์ราคาตกต่ำ ส่วนหนึ่งเป็นผลต่อเนื่องจากช่วงน้ำท่วม ทำให้มีเนื้อสัตว์ในห้องเย็นคงค้างเยอะ 2) เกิดภัยแล้งในสหรัฐ ทำให้ราคาวัตถุดิบสูง เช่น กากถั่วเหลือง 3)ปลายปีเกิดปัญหาโรคกุ้งใหม่ EMS กระทบรายได้จากสัตว์น้ำ

ช่วงถาม-ตอบ
1. ปี 2556 มีมุมมองอย่างไร จะผันผวนเหมือนปีที่ผ่านมาหรือไม่
- ปีที่ผ่านมาราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์สูงเป็นประวัติการณ์ ราคาเนื้อสัตว์ตกต่ำ แต่ CPP ทำให้บริษัทมีกำไร ส่วนปีนี้ราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์มีแนวโน้มลดลงในครึ่งปีหลัง ราคาจะถูกกว่าปีที่แล้ว ราคาเนื้อไก่ เนื้อหมู ดีขึ้น ส่วนกุ้งกำลังดำเนินการอย่างใกล้ชิด คาดว่า Q2 Q3 จะดีขึ้น คาดว่ารายได้จะเติบโต 10% จากปีที่แล้ว คิดว่า Q1 จะเป็นจุดต่ำสุดแล้ว

2. ปัญหาไข้หวัดนกในจีนส่งผลกระทบอย่างไร
- จีน ส่วนใหญ่จะเป็นธุรกิจอาหารสัตว์ โดยเฉพาะอาหารสุกร
- คุณธนินท์เสริมว่า จริงๆ ในจีนยังไม่ได้ข้อสรุปแน่ชัดว่าเป็นไข้หวัดนกหรือไม่ เพราะ ผู้เลี้ยงไก่ยังไม่มีใครเสียชีวิต จีนเน้นผลิตอาหารสุกร คนจีนบริโภคสุกร 45% ของประชากรโลก นอกจากนี้การซื้อ CPP จะได้รายได้จากจีน รวมถึงเวียดนาม ด้วย

3. ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมในปีนี้ จะสามารถเทียบเท่าปีที่ผ่านมาได้หรือไม่
- เราเชื่อว่าธุรกิจหลักดีกว่าปีที่แล้ว และเติบโตประมาณ 10%

4. ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ส่งผลกระทบอย่างไร
- CPF ส่งออกประมาณ 30,000 ล้านบาท ขณะที่นำเข้าใกล้เคียงประมาณ 30,000 ล้านบาทเช่นกัน ถือว่า balance กัน

5. แผนการเพิ่มสัดส่วน food ทำอย่างไร จะเป็นครัวของโลกอย่างไร เติบโตอย่างไร
- CPF มีรายได้ 350,000 ล้านบาท เป็นส่วน food ประมาณ 20% อาหารสัตว์ 50% โดยตั้งเป้ารายได้ส่วน food จะเติบโตปีละ 20% ขณะที่รายได้รวมเติบโตปีละ 10% สัดส่วน food ที่เพิ่มขึ้น จะสร้างความมั่นคงของรายได้รวม ปีนี้มีแผนที่จะเปิดโรงงานผลิตอาหารสำเร็จรูปในจีน 2 แห่ง ที่ ชิงเต่าและชิงหวังเต่า ขณะที่ไทยส่งออกอาหารสำเร็จเกือบ 40 ประเทศทั่วโลก ขณะที่ประเทศอื่นๆ ที่ลงทุนในตอนนี้ยังเริ่มในส่วน feed farm ให้มีวัตถุดิบก่อน แล้วส่วน food จะค่อยๆ ขยายต่อไป

6. เคยได้ยินว่า ตอนนี้เราส่งออกอาหารไปครึ่งโลกแล้ว อีกครึ่งโลกที่เหลือทำอย่างไร
- ในส่วนอเมริกา ยุโรป คนเกือบ 500 ล้านคน ตอนนี้ก็มีส่งออก และยังมีช่องว่างให้ขยายต่อไป

7. งบประมาณด้านวิจัย เช่นโรคสัตว์ มีสัดส่วนอย่างไร
- ปัจจัยความสำเร็จของเราคือ เรามุ่งเน้นด้านวิทยาการ เรามีการวิจัยโรคสัตว์ตั้งแต่ต้นน้ำ ถึงปลายน้ำ ในขณะที่ลูกค้าเช่น อเมริกา ยุโรป ก็เข้มงวดเรื่องคุณภาพมากๆ เราจึงทำให้ได้มาตรฐานโลก โดยมีงบวิจัยพัฒนาประมาณ 1% ของรายได้รวม

8. CP GROUP ลงทุนบริษัทผิงอัน เกี่ยวของกับ CPF หรือไม่
- คุณธนินท์ ตอบว่า การลงทุนผิงอันเป็นเรื่องที่ดีที่สุด ธุรกิจครอบคลุมหลากหลาย และจีนเติบโตเร็ว และมีฐานลูกค้าใหญ่มาก แต่เป็นการลงทุนของ CP GROUP ไม่เกี่ยวข้องกับ CPF

9 CPALL ซื้อ MAKRO ส่งผลอย่างไรต่อ CPF
- CPF เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ CPALL เกือบ 33 % โดยรวมน่าจะเป็นผลบวกต่อ CPF เพิ่มช่องทางกระจายสินค้า โดยเฉพาะกลุ่มค้าส่ง กลุ่มภัตตาคาร โรงแรม เป็นการเพิ่มความแข็งแกร่งให้เราด้วย

10 CPF มีการทำ สัญญาป้องกันเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนหรือไม่
- เรามี fix ค่าเงินบางส่วน อีกส่วนจัด exchange rate เป็นส่วนผสมของราคา เราต้องปรับตัวให้รวดเร็ว อย่างรอบนี้ที่บาทแข็งค่าเร็ว เราก็ได้รับผลกระทบบ้าง

11 เนื่องจากเห็นว่าในจีน ทำเฉพาะส่วนของอาหารสัตว์ และถ้ามีการตั้งโรงงานผลิตอาหารสำเร็จรูป 2 แห่งในปีนี้ จะใช้วัตถุดิบจากแหล่งไหน
- คุณธนินท์ตอบว่า จริงๆ ธุรกิจเนื้อสัตว์มีตั้งแต่ดั้งเดิมแต่ยังไม่ใหญ่ และโรงงาน 2 แห่ง ยังถือว่ายังเล็กอยู่ ยังต้องการเนื้อสัตว์ไม่มาก แต่หากไม่เพียงพอ ก็สามารถนำเข้าเนื้อสัตว์ได้ รัฐบาลจีนให้โอกาสนำเข้าได้

12. หากเนื้อสัตว์แพงขึ้น จะ balance อย่างไร ให้บริษัทได้กำไร และผู้บริโภคไม่เดือดร้อน
- คุณอดิเรก ตอบกว้างๆ ขึ้นกับ demand supply

13 ธุรกิจ 5 ดาว บริษัททำเอง หรือ แฟรนไชส์
- แฟรนไชส์ทั้งหมด

14 ข่าวซื้อคาร์ฟู เป็นอย่างไร ยังสนใจหรือไม่
- คุณธนินท์ ตอบว่า วันนี้เราสนใจยุโรปอย่างมากในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร เป็นโอกาสที่เราจะเรียนรู้อาหารตะวันตก และนำอาหารตะวันออกไปขาย ธุรกิจในยุโรปตอนนี้ PE 6 8 10 เท่า ถูกมาก ต้องเลือกซื้อธุรกิจที่ brand แข็งแกร่ง อาจจะยอมซื้อในราคาแพงบ้าง แต่ได้ทีมงานที่ดี เทคโนโลยีดี ช่วงนี้เป็นยุคของเอเชีย ไทยกำลังเนื้อหอม เงินบาทแข็งค่า คุณธนินท์แนะนำว่า อย่าเอาเงินไปสู้เพื่อให้บาทอ่อนตัว ควรจะเอาเงินไปช่วยถูกจุด ไปช่วยผู้ที่เดือดร้อน เช่นผู้ส่งออกโดยตรง

15 แผนเชิงรุก 1-2 ปีนี้ ที่จะทำให้ CPF เติบโต
- การทำงานเชิงรุกเป็นสิ่งที่เราพยายามทำ โดยการ 1) การเพิ่มมูลค่า feed farm food 2) ขยายไปยังประเทศกำลังพัฒนา 3) ซื้อบริษัทดีๆ เน้นทีมงานและเทคโนโลยีที่ดี

16 AEC มีผลดี ผลเสียต่อ CPF อย่างไร
- มองเป็นโอกาสมากกว่า

17 ทำไมซื้อ Makro ที่ราคาแพงขนาดนี้
- คุณธนินท์ตอบว่า จริงๆ วันนี้ไม่อยู่ในฐานะที่จะตอบ แต่จะพูดสั้นๆ ว่า ของแพงในวันนี้ จะเป็นของถูกในวันหน้า กรณี BigC ตอนนั้นหลายคนบอกว่าแพง แล้วตอนนี้เป็นอย่างไร ความคุ้มค่าอยู่ที่ใครซื้อ Makro มีอายุ 25 ปีแล้ว เปรียบเหมือน เรียนจบมหาวิทยาลัย สะสมความรู้ และกำลังเติบโต ถ้าคุณธนินท์ เป็นเจ้าของ ท่านจะไม่ขาย ราคาขึ้นไปมากว่านี้ 3-4 เท่าก็ไม่ขาย โอกาสต่างๆ กำลังจากมา ประเทศไทยกำลัง
เนื้อหอม รายได้จากภาคท่องเที่ยว 700,000 ล้าน ภาคเกษตร 50,000 ล้าน ความต้องการอาหารคุณภาพมีมาก

18 มุมมอง CPF จากคุณธนินท์
- หากวัตถุดิบมีราคาสูงขึ้น สิ่งที่เราทำได้คือ 1) ผลิตให้มากขึ้นเพื่อให้ต้นทุนต่อหน่วยต่ำลง 2) ใช้เทคโนโลยี เช่น ให้ไก่กินน้อยแต่โตเร็ว 3) ความเหมาะสมของอาหารสัตว์และการเติบโตของสัตว์ อย่าไปให้อาหารมากเกินไป ให้สูตรอาหารที่เหมาะกับวัย และต่อไปเทคโนโลยีจะก้าวหน้าอีกมาก
- สัดส่วน food เติบโตปีละ 20% 5 ปีก็ 100% จะเป็นตัวที่สร้างกำไรมหาศาล CPF เต็มไปด้วยโอกาส
- CPF กำลังพัฒนา อาหารให้เหมาะสมกับมนุษย์ เช่นอาหารคนเป็นเบาหวาน คนเป็นโรคความดัน อาหารเหมาะกับอายุ เพราะจริงๆ คนเราทุกวันนี้กินอาหารไม่ถูกต้อง ถ้าจะถูกต้อง ครบถ้วนสารอาหาร ควรกินเหมือนไก่ สุกร ที่จะมีการพัฒนาสูตรและปริมาณให้เหมาะสม ในแต่ละวัย
- เชื่อมั่นในทีมงาน CPF เชื่อมั่นในผู้บริหาร คุณอดิเรก
- ปัจจุบัน เป็น no.1 อาหารสัตว์ เป็น no.1 กุ้ง เป็น no.2 หมู แต่หากขยายที่จีนก็จะขึ้น no.1 ได้ไม่ยาก
- ขอให้ผู้ถือหุ้นทุกคนสนับสนุน เชื่อมั่นว่า จะไม่ทำให้ผิดหวัง

19. วิสัยทัศน์ระยะยาวของ CPF
- คุณธนินท์ ตอบว่า CPF อยู่ในธุรกิจที่สำคัญที่สุดของมนุษย์ คือ พลังงานของมนุษย์ อาหารการกินมีความมั่นคง โดยเฉพาะอาหารสุขภาพ อาหารปลอดภัย ต้องทำอาหารคุณภาพสูง ราคาย่อมเยา
- CP ดำเนินธุรกิจโดยยึดหลัก ประเทศได้ประโยชน์ ประชาชนได้ประโยชน์ CP ได้ประโยชน์
- CPF เป็นบริษัทที่สำคัญยิ่งของ CP เป็นอาหารมนุษย์
- CPALL เป็นช่องทางจัดจำหน่าย เช่นเดียวกับ CP Fresh mart เป็นการบริการประชาชน
- True เป็นอาหารสมอง

20. มีผู้ถือหุ้นนำโบชัวร์จากหน่อยงานราชการว่า กินไส้กรอก เบคอนมาก ระวังเป็นมะเร็ง มาให้ผู้บริหารรับทราบ

สรุป สัมภาษณ์คุณธนินท์ (รุมหลังงาน) กรณี Cpall-Macro หลังเสร็จสิ้นประชุมผู้ถือหุ้น
1. ท่านให้ความเห็นไม่ได้มาก (อยากให้คุณก่อศักดิ์ ตอบวันประชุม Cpall พรุ่งนี้มากกว่า)
2. Makro ทำธุรกิจที่สนับสนุน แม่ค้า พ่อครัว โรงแรม 5 6 ดาว มีขายอาหาร เสื้อผ้ากุ๊ก แม่ครัว
3 เหตุผลหลักที่คุณธนินท์ ซื้อ Makro คือ ทีมงานที่ยอดเยี่ยม ค้าปลีก Cpall มีทีมงานยอดเยี่ยมมาก ค้าส่งต้องยกให้ Makro คุณสุชาดา CEO Makro เก่งมาก
4. ลูกค้าคนละกลุ่มชัดเจน Cpall ลูกค้าคือ พวกเรา เป็นครัวของแต่ละบ้าน แต่ Makro ลูกค้าคือร้านโชว์ห่วย และภัตตาคาร โรงแรม คนละกลุ่มกัน แยกกันชัดเจน
5. Cpall ถูกจำกัดเรื่องขยายไปต่างประเทศ ต้องได้รับอนุมัติจากบริษัทแม่
6. Makro ลงทุนขยายต่างประเทศได้ทันที เราเป็นเจ้าของตราสินค้า
7. ราคา Makro วันนี้อาจจะมองว่าแพง แต่จะถูกในวันหน้า และจะถูกอย่างรวดเร็ว
8. Makro มีอายุ 25 ปี เป็นค้าส่ง no.1 เจ้าของขายเพราะอยากออกจากธุรกิจนี้ ถ้าเป็นคุณธนินท์จะไม่ขายหรอก ขึ้นไปอีก 3-4 เท่าก็ไม่ขาย
9. Cpall ไม่เพิ่มทุนแน่นอน ธนาคารที่ให้กู้ 3-4 ราย ถ้ามองว่าไม่ดี คงไม่ปล่อยกู้
10. ที่ดินของ Makro มีค่ามาก ปีนี้ Makro จะมี 62 สาขา สาขาที่เช่าพื้นที่มีเพียง 7 สาขา
11. ความคุ้มค่าอยู่ที่ใครซื้อ
CPN
TLSS เขียน:สรุปประชุมผู้ถือหุ้น CPN 26/4/56

1. สามารถขยายสาขาได้ตามแผน 2 โครงการ คือ สุราษฎร์ธานี และลำปาง และส่วนขยายที่สาขาอุดรธานี

2. สิ้นปี 2555 ราคาหุ้นปรับขึ้น 107% รายได้รวมเพิ่ม 39% กำไรสุทธิเพิ่ม 201% สาเหตุหลักมาจาก 1)ขยายสาขา 2) ปรับราคาค่าเช่า 3) ลดต้นทุน 4) กำไรจาก CPNCG

3. จำนวนสาขาทั้งสิ้น 20 แห่ง พื้นที่เช่ารวม 1,125,492 ตร.ม. อัตราเช่า 97% ใกล้เคียงกับปีก่อนที่ 98% อัตราเช่า(same store sales)เพิ่มขึ้น 14%

4. ส่วนสำนักงาน พื้นที่เช่า 96% เพิ่มขึ้น 9% จากการเช่าพื้นที่สาขาพระราม9 และแจ้งวัฒนะ, นำ the office at Central world เข้า CPNRG ได้กำไร 1,700 ล้าน, ส่วนที่พักอาศัย อัตราเข้าพัก 59% เพิ่ม 7 % มีโรงแรมฮิลตันพัทยาและ Centara อุดร

5. โครงการในอนาคต ภายใน 5 ปีข้างหน้า ตั้งเป้ารายได้โตปีละ 15% พยายามขยายปีละ 3 โครงการ ปีนี้มีอุบลราชธานี เปิด 5 เมษายน 56, เชียงใหม่ เปิด พฤศจิกายน 56, หาดใหญ่เปิด ธันวาคม 56, ส่วน Westgate ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่า 98 ไร่ จะเปิดปี 2558, การขยายนอกประเทศ มีการพิจารณา วางแผน อย่างรอบคอบ

6. ได้รับรางวัลต่างๆ มากมาย เช่น set award, รางวัลด้านความปลอดภัย รางวัล best hotel (ฮิลตัน) รางวัลด้านพลังงาน

7. งบการเงิน
สินทรัพย์ เพิ่มขึ้น 10%
หนี้สิน เพิ่ม 2% ส่วนใหญ่เป็นเงินกู้ระยะยาว
ส่วนผู้ถือหุ้น เพิ่ม 27%
รายได้รวม เพิ่ม 50% จากการปรับค่าเช่า เปิดสาขาใหม่ที่ลำปาง สุราษฎร์ อุดร และเปิด Central World และลาดพร้าว เต็มปี55 รายได้โรงแรมเพิ่มขึ้น
ต้นทุนรวม เพิ่ม 21% จากการตั้งศูนย์ใหม่
ค่าใช้จ่ายรวม เพิ่ม 14% จากบุคลากรเพิ่มขึ้นจากการขยายสาขา
กำไรสุทธิ เพิ่ม 201% จากการปรับค่าเช่า และบริหารต้นทุน และมีกำไรจากการขาย Office at Central World เข้า CPNCG 1,776 ล้านบาท

8. ที่ประชุม มีมติอนุมัติการเปลี่ยนแปลงมูลค่าที่ตราไว้ จากมูลค่าหุ้นละ 1 บาท เป็น 0.5 บาท เหตุผล คือ เพิ่มสภาพคล่อง คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 1 week คาดว่ามีผล 7/5/56 (ถ้าเป็นไปได้) เดิมมีผู้ถือหุ้นไม่ถึง 1,000 ราย ปัจจุบันประมาณ 6,000 ราย เราต้องการเพิ่มสภาพคล่องให้มากขึ้น

9. เงินปันผล ผู้ถือหุ้นจะได้ 0.475 บาท @พาร์ 0.5บาท จากเดิม 0.95 บาท@พาร์ 1 บาท

10. ที่ประชุม มีมติอนุมัติให้เพิ่มทุนจดทะเบียนจากเดิม 2,178,816,000 บาท เป็น 2,244,000,000 บาท
สาเหตุที่ต้องเพิ่มทุน คือ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เพิ่มโอกาสลงทุนขยายสาขา เพิ่มความสามารถในการกู้เงิน และรักษาวินัยทางการเงิน โดยจะมีการออกหุ้นสามัญใหม่ 130,368,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 0.5 บาท

11. การเพิ่มทุนจะเป็นการขายแบบ Private Placement ให้กองทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศ สาเหตุที่ขายให้กองทุน ไม่ขายให้บุคคลทั่วไปเพราะ 1.เพิ่มสัดส่วนสถาบัน 2.ใช้ระยะเวลาสั้น 3. ต้นทุนต่ำสุด

12.แตกพาร์ผู้บริหารจะเล่นหุ้นง่ายขึ้นไหม
ผู้บริหารไม่เล่นหุ้น มีการควบคุมอย่างดี และต้องรายงานการซื้อขายตามระเบียบ กลต.

13. เซนทรัลลาดพร้าวเปิดวันแรก ฝุ่นเยอะมาก ทีวีแขวนห้อยเกือบตกลงมา อันตรายมาก
รับทราบปัญหาและกราบขออภัยและจะไม่ให้เกิดขึ้นอีก แต่เรามีความจำเป็นต้องเปิดให้ตามกำหนด

14. ถ้าจะเพิ่มสภาพคล่องทำไมให้เป็นหุ้นปันผลล่ะ
การเพิ่มสภาพคล่องมีหลายวิธี หุ้นปันผลเป็นวิธีหนึ่ง ซึ่งเราสนใจ อยู่ระหว่างการศึกษา เนื่องจากอาจมีผลเรื่องภาษีหัก ณ ที่จ่าย

15. เรื่องเงินประกัน ที่ Central World เป็นอย่างไร บริษัทประกันยื่นอุทธรณ์หรือไม่
บริษัทประกันยังไม่ยื่นอุทธรณ์ แต่ยื่นชะลอการอุทธรณ์ อาจจะชะลอได้อีกไม่กี่ครั้ง

16. ทำไมสาขาส่วนใหญ่ เป็นสิทธิการเช่า
เราอยากเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ แต่มีข้อจำกัดเช่น ที่ดินบางแห่งเป็นของราชการ เช่น ลาดพร้าว Central World ตอนนี้สาขาพัทยาก็เตรียมต่อสัญญา

17. ที่ดินย่านรังสิต มีแผนทำอะไร
ยังไม่สามารถตอบได้

18. แผนการออก property fund เป็นอย่างไร
ยังดำเนินการอยู่ ปีนี้จะนำสาขาเชียงใหม่เข้ากองทุน

19. ความคืบหน้าที่ดินเตรียมทหารเป็นอย่างไร / เป็น project CPN ใช่หรือไม่
ได้เสนอเรื่องไปแล้ว และเป็น project CPN

20. รูปแบบการเก็บค่าเช่า แบบ revenue sharing ทำอย่างไร ทำทุกร้านหรือไม่ และพวก Central Robins เก็บอย่างไร
Revenue sharing ได้กำไรมากกว่า fixed rent จะพยายามเก็บ revenue sharing ให้เยอะขึ้น ได้ไม่ได้ทำทุกร้าน ทำกับร้านขนาดใหญ่ที่มีรายได้สม่ำเสมอ ส่วน Central Robins พวกนี้ไม่ได้เป็นของ CPN ตั้งแต่สร้างอยู่แล้ว ไม่ได้เก็บค่าเช่าอยู่แล้ว

21. ห้าง Central หลายๆ ที่มีรูปแบบเหมือนกันหมด
ผู้บริหารรับไว้ให้ฝ่าย Development พิจารณา แต่อีกมุมที่เราทำแบบนี้เนื่องจากส่วนหนึ่งก็เป็นสูตรแห่งความสำเร็จเช่นกัน

22. นโยบายทางบัญชี ปี 54 55 มีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ / มีการตีมูลค่าสินทรัพย์ใหม่หรือไม่
ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง มีการตีราคา แต่ไม่ได้บันทึกในงบ แต่ระบุในหมายเหตุประกอบงบ

23. ในงบเห็นเงินสด 2,800 ล้าน จะนำไปทำอะไร
เงินสดได้จากการขาย office at Central World เข้า CPNCG จะนำไปลงทุน ปีนี้เราใช้เงินลงทุนประมาณ 15,000 ล้าน และนี่เป็นเหตุผลหนึ่งในการเพิ่มทุน

24. มีการซื้ออสังหา 6,100 ล้านบาท
เป็นโครงการใหม่ ทั่วไป เช่นที่ดิน จะมีการประกาศในอีก 2-3 เดือนข้างหน้า

25. Vision ผู้บริหารในอีก 4 ปีข้างหน้า
เป็นผู้นำในการพัฒนาอสิงหาริมทรัพย์ชั้นนำระดับภูมิภาค ขยายสาขาปีละ 3-4 แห่ง ช่วง 2-3 ปีนี้จะเน้นในประเทศก่อน ต่างประเทศก็สนใจแต่ขอศึกษาให้รอบคอบ

26. ที่บางใหญ่ 60 ไร่ ทำเป็น West Gate อีก 40 ไร่ทำอะไร
มีทางเลือกหลายทาง จะทำให้เกิดประโยชน์สูงสุด

27. เวลาเซนทรัลเปิดใหม่ในแต่ละสาขา ใช้เวลาคืนทุนกี่ปี
ปกติประมาณ 7-8 ปี คืนทุน ส่วนปีแรกก็มีกำไรเข้ามาแล้วเนื่องจากเป็นการเก็บค่าเช่า

28. สาขาพุทธมณฑลสาย 5 ก่อสร้างเมื่อไหร่
ยังไม่สามารถเปิดเผยได้

29. มีข้อเสนอแนะให้ปรับส่วนผสมของห้างให้มีครบทุกอย่าง เป็น One stop Service

30. เปรียบเทียบพนักงานเรากับพนักงานญี่ปุ่น พนักงานญี่ปุ่นจะกระตือรือล้นในการให้ความช่วยเหลือมากกว่า

31. อีก 10-20 ปีข้างหน้าจะทำอะไรนอกเหนือจากห้างหรือไม่
ตั้งแต่อดีต จุดแข็งเราคือห้างสรรพสินค้า เรายังไม่คิดออกจากธุรกิจหลัก ธุรกิจอื่น เช่นสำนักงาน โรงแรม ก็ทำเที่ยวที่จำเป็น และมีความเกี่ยวเนื่องกับธุรกิจหลัก
D
DEMCO
The Richboy เขียน:วันนี้ผมไปประชุมผู้ถือหุ้นมา ขอนำข้อมูลมาแชร์นะครับ (แต่ขอออกตัวก่อนว่าอาจจะไม่ละเอียดเท่าไรเพราะผมไม่ได้จดมา จะเขียนเท่าที่จำได้นะครับ ถ้าผิดพลาดประการใดขออภัยไว้นะที่นี้ด้วย รอคนอื่นมาเพิ่มเติมนะครับ)

- หุ้นซื้อคืน Demco ต้นทุนประมาณ 5บาท บริษัทถือมาประมาณ 2 ปี ปัจจุบันขายออกหมดแล้ว ได้กำไรทั้งหมด 156 ลบ. จะบันทึกบัญชีเป็นการเพิ่ม Equity นะครับ
- Demco W4 ใช้สิทธิ์เกือบ 100% ทำให้ Q1 บริษัทมีกระแสเงินสดเพิ่มขึ้น 550-600 ลบ. (รวมกับหุ้นที่ซื้อคืน) ทำให้ Q1 บริษัทมี D/E ลดลงจาก 1.6 เท่า เหลือเพียง 0.9 เท่า (ทำให้กู้สถาบันการเงินในแต่ละ Project ได้มากขึ้น)
- Backlog ที่ผู้บริหารเคยบอกในงาน Opp day ว่ามีประมาณ 4,900 ลบ. ล่าสุดผู้บริหารคอนเฟิร์มแล้วว่าเราได้งาน 90 MW จาก EA แล้ว จะเซ็นต์สัญญากันในเร็ววัน มูลค่าประมาณ 1,400 ลบ. (ปล.ในส่วนของแผง Solar ลูกค้าสั่งซื้อเอง เพราะจะช่วยประหยัดต้นทุนของลูกค้า และให้เป็นหน้าที่ของผู้ผลิตแผงในการรับประกันแผงตลอดอายุการใช้งานและส่วนนี้ผมคิดว่า margin ไม่น่าเยอะ)
- ทำให้ล่าสุด Demco มี Backlog จากประมาณ 4,900 ลบ. บวกกับ 1,400 ลบ. เป็น 6,300 ลบ.
- งานที่กำลังยื่นเสนอ (รอผล) ส่วนของงานไฟฟ้า 5,064 ลบ. งานพลังงานทดแทน 4,000 ลบ. และงานที่กำลังเตรียมเสนอราคา 340 ลบ.
- ปี 56 คาดว่าจะรับรู้รายได้ประมาณ 7,000 ลบ. (ยังไม่รวมงานในตลาดใหม่ที่บริษัทพึ่งเข้าไป ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่ได้เข้าไปเพราะ margin ไม่ได้ แต่ตอนนี้ margin เริ่มดีแล้วจึงเริ่มเข้าไปใหม่ ได้แก่ งานสายส่ง เป็นต้น)
- งานโรงงานปีนี้ตั้งเป้าประมาณ 800 ลบ. คาดว่าปี 57-58 งานโรงงาน เสา 3G จะเพิ่มขึ้นเป็น 1,200 ลบ.
- ปี 57-58 ยังมีงานของ EA โครงการละ 90 MW อีก 2 โครงการ ซึ่งผู้บริหารคาดว่าจะได้ทั้ง 2 โครงการเช่นเดียวกับโครงการที่พึ่งได้มาล่าสุด 1,400 ลบ. นี้
- โครงการเขาค้อ ก่อสร้างใน Q3
- WEH มีโครงการที่ได้รับการตอบรับซื้อไฟแล้ว 5 โครงการ โดยโครงการ1 จะเริ่มก่อสร้างปลายปีนี้ COD ปลายปีหน้า ส่วนโครงการที่เหลืออีก 4 โครงการ คาดว่าจะทยอยสร้างเสร็จปลายปี 59
- WEH ยังมีโครงการอีก 3 โครงการ ที่กำลังยื่นขอขายไฟ คาดว่าจะได้รับการตอบรับและเริ่มก่อสร้างได้ปี 60-61 (แสดงให้เห็นแนวโน้มว่าบริษัทมีงานและเติบโตได้ย่างต่อเนื่องถึงปี 61 แน่นอน)
- WEH มีแผนที่จะก้าวไปสู่ระดับโลกโดยการสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนที่ เวียดนาม อินเดีย และยุโรป รวมทั้งหมด 4,000 MW (ในไทยประมาณ 1,000 MW) :shock:
- Biogas Biomass บริษัทยังไม่ทิ้ง กำลังศึกษาอยู่ เพราะใช้เงินลงทุนต่อ MW ไม่มาก และรัฐบาลส่งเสริม โดยเฉพาะจากหญ้าเนเปียร์ ซึ่งคุณประเดช กิตติอิสรานนท์ กรรมการบริษัทท่านนี้ถือว่าเชี่ยวชาญมาก ปัจจุบันท่านทดลองปลูกอยู่ 100 ไร่ ซึ่งโรงไฟฟ้าจากชีวะมวลนี้จะเป็นการช่วยกระจาย portfolio การลงทุนของบริษัท)
- จะมีการจัดประชุมผู้ถือหุ้นอีกครั้งในวันที่ 30 พ.ค. 56 เพื่อขอมติเพิ่มทุน ซึ่งเร็วๆนี้บริษัทจะส่งรายงานจากที่ปรึกษาการเงินอิสระให้ผู้ถือหุ้นได้พิจารณาความคุ้มค่าและผลตอบแทนที่จะได้จากการลงทุน 5% ใน WEH
- WEH จะ IPO ปลายปี 57
- มีผู้ถือหุ้นท่านหนึ่งถามเกี่ยวกับ conflict of interest ระหว่างผู้ถือหุ้นใหญ่บางท่านของ Demco ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ WEH ด้วย บริษัทชี้แจงว่า การซื้อหุ้น 5% ของ WEH นั้น ไม่ได้ซื้อจากผู้ถือหุ้นรายใดรายหนึ่งของ WEH แต่ WEH จะทำการเพิ่มทุนอีก 5% เพื่อขายให้กับ Demco ครับ (ประเด็นนี้ผู้หารตอบได้ค่อนข้างชัดเจน ซึ่งผมคิดว่าหลายๆท่านน่าจะคลายความกังวลในประเด็นนี้ได้ครับ)
- Demco ไม่มีแผนจะผลิตใบพัดหรือกังหันลมเอง เนื่องจากผลิตค่อนข้างยากและคิดแล้วไม่คุ้มครับ
- การประมูล IPP ของรัฐ ช่วงกลางปีนี้ บริษัทจะเข้าไปประมูลงานในส่วนของ Substation ที่บริษัทเชี่ยวชาญครับ
- สุดท้ายมีผู้ถือหุ้นให้ผู้บริหารประมาณการรายได้ของบริษัทใน 3 ปี ข้างหน้า ซึ่งผู้บริหารประมาณการว่าปี 56 7,000 ลบ. ปี 57 7,500 ลบ. ปี 58 8,000 ลบ. (ผมคิดว่าว่าผู้บริหารค่อนข้าง Conservative ซึ่งก็ดีครับ :D )

ปล.ปีนี้บริษัทมีผู้ถือหุ้นทั้งหมด 7,700 คน ทำให้บริษัทจัดห้องประชุมไว้ค่อนข้างใหญ่ แต่ผู้มาประชุมมา 242 คน ทำให้ห้องมีที่ว่างค่อนข้างมาก บรรยากาศวันนี้จึงให้ความรู้สึกสบายๆ ค่อนข้างเป็นกันเองครับ)
"Champions aren't made in gyms. Champions are made from something they have deep inside them: A desire, a dream, a vision.
ภาพประจำตัวสมาชิก
crazyrisk
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 4562
ผู้ติดตาม: 40

Re: รวบรวม AGM Q1 /2556 ครับ

โพสต์ที่ 2

โพสต์

E
F
FANCY
megatrend เขียน:
VIT.ZERO เขียน:ceilingแล้ว วันประชุมพอดี วันนี้ใครไปประชุมมาบ้าง มีอะไรคืบหน้า รบกวนโพสหน่อยคับ พอดีผมทำงาน ไม่ได้ไป
1 ปีนี้บริษัทมีกำไรอย่างแน่นอน
2core bisiness คือ ไม้ particle board อย่างบาง สามารถแทน mdf อย่างบางได้
3 particle board อย่างบาง ได้เปรียบในแง่ต้นทุน
4 particle board ขนาด 7 ฟุต เริ่มขายแล้ว
5 particle board ขนาด 4 ฟุต test run วันที่8 พ.ค. 2556
6 ธุรกิจสนามกอร์ฟ ที่ วอชิงตัน เสตรด มีราคาขายในใจแล้ว ยืนยันว่าขายแล้วมีกำไรแน่นอน
หมายเหตุต้นรวมอยู่ที่ 7* 30= 210 รวมขายทุน3ปี ประมาณ 30 ล้านบาท = 240ล้านบาท
7 โรงงานที่ปิดไป เนื้อที่ 31 ไร่ ที่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาที่ซื้อมาราคา 6 ล้านบาท มีผู้เสนอราคา มากกว่า 330ล้านบาท ผู้บริหารยังไม่ต้องการขายเนื่องจากมีราคาในใจสูงกว่านั้นมาก
G

GFM
Tsurumi เขียน:
yy เขียน:1. ทองคำราคาลง ... จะขาดทุนจากสต็อคไหม
(แต่ดูเหมือนว่าจะทำเครื่องประดับทองน้อยมาก อาจจะไม่เท่าไหร่ ... ถามเองตอบเองซะแล้ว)
2. เงินบาทแข็ง จะแก้ไขอย่างไร .... ปีที่แล้วยอดขายลดลงมามาก กลัวว่าปีนี้จะขายของได้น้อยกว่าเก่าอีก
(และการ swap คงได้แค่ป้องกันความผันผวน ... แต่ยอดเงินบาทที่ได้น้อยลงนี่สิ ผมว่าคงเป็นปีที่ยากลำบากแน่ๆ)
3. มีแนวทางการเพิ่มตลาดทดแทนที่ยุโรปหรือยัง
4. ปีนี้เจอค่าแรง 300 บาทเต็มๆ .... โรงงานที่แม่สอด จะมีอนาคตเป็นอย่างไร
เพราะไม่มีข้อได้เปรียบต่อโรงงานที่ลาดกระบังแล้ว แถมต้องมีค่าเดินทางและขนส่งเพิ่มมาอีก

เอาแค่นี้ก่อนแล้วกัน
ขอบคุณมากๆครับ

AGM GFM

ทั่วไป
ผถห มาด้วยตนเองและมอบอำนาจมารวมทั้งสิ้น 59 ราย เท่าำกับ 119,147,767 หุ้น
ทุกวาระเพื่อพิจารณาได้รับเสียงเอกฉันท์ 100% ยกเว้นวาระเดียวท้ายๆ (จำไม่ได้) ได้รับเสียง 99.9... เพราะงดหรือไม่เห็นด้วยไม่เกิน 20,000 เสียง คณะกรรมการบริษัทมาครบพร้อมตัวแทนบริษัทผู้สอบบัญชี และมีเลือกตัวแทน ผถห หนึ่งคนเข้าร่วมนับคะแนน

ตัวอย่างคำถาม/ตอบ
1. ทองคำราคาลง ... จะขาดทุนจากสต็อคไหม
ตอบ ไม่คิดว่าจะกระทบ เพราะเราซื้อของเมือ่มีออร์เดอร์ทันที ถ้ากระทบคงเป็นเรื่องอัตราส่วนลูกค้า เมื่อมีบางสินค้าถูกลง อาจเปลี่ยนไปสั่งซื้อตัวที่ถูกลงก็ได้
2. เงินบาทแข็ง จะแก้ไขอย่างไร
ตอบ ค่าเงินบาทแข็งกระทบเราน้อยมาก เพราะเราเป็นผู้รับจ้างผลิต ได้ออร์เดอร์แล้วคอ่ยผลิต เมื่อเซ็นออร์เดอร์ก็ซื้อของทันที่
3. มีแนวทางการเพิ่มตลาดทดแทนที่ยุโรปหรือยัง
ตอบ กำลังทำอยู่ในเฉราะที่ตลาดรัศเซีย
4. ปีนี้เจอค่าแรง 300 บาทเต็มๆ .... โรงงานที่แม่สอด จะมีอนาคตเป็นอย่างไร สัดส่วน พนง. แม่สอดกับ ลาดกระบังเป็นอย่างไร
ตอบ โรงงานแม่สอดก็ดำเนินการตามปรกติ มีคนพนง.จากกทม.ประจำอยู่ 30 คน ส่วนอีก 4-500 คนเป็นพนักงานผลิตที่เราใช้ระบบ Outsourcing ทั้งหมด (ประเด็นค่าแรงมีพูดน้อย แต่จับไม่ทันว่า เป็นบวก หรือ ลบ กับบริษัทอย่างไร)
5. หมายเหตุประกอบงบฯ ข้อ 7 หนี้สงสัยสูญทำเพิ่มมาอีก ยอดเดิมสถานะเป็นยังไง หมายเหตุฯ ข้อ 19 ค่าแสดงสินค้าลดลง เพราะอะไร ค่าขอส่งพนักงานก็ลดลงด้วย
ตอบ หนี้สงสัยสูญเดิมเริ่มเจรจาและเก็บมาได้แล้วครึ่งหนึ่ง แต่มีหนี้ใหม่เพิ่มมาอีกจึงทำให้เป็น 7 ล้านกว่า แต่ก็น่าเจรจากันได้ ไม่หนักใจ อยู่ขั้นเจรจา ไม่ใช่ขั้นตอนทางกฏหมาย
6. บริษัทจะลงทุนในหุ้น/พันธบัตรที่มีความเสี่ยงอีกใหม กรรมการบริหารความเสี่ยงก็ไม่มีอีก
ตอบ ช่วงที่ลงทุนนั้นก็ตลาดหุ้นกำลังดี ก็ไม่ได้มีผลเสียอะไร ขณะนี้เราไม่ทำแล้วและจะไม่ทำอีกเพราะไม่ถนัด
7. โรงงานในเวียตนามปิดสมบูรณ์หรือยัง กระทบเงินในงบอย้างไร
ตอบ การปิดโรงงาน (ขายโรงงาน)ใกล้สมบูรณ์แล้ว แต่ไม่ได้แจ้งตลาดอย่างเป็นทางการก็ขอเก็บไว้ก่อน คิดว่าไม่เกินสิ้นปีนี้ทุกอย่างจะเรียบร้อย ถ้ากระทบยอดในงบการเงินก็น้อยมาก
8. คชก. การบริหาร เพิ่มมามากช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ก่อนหน้าอยู่ที่ 100 ล้านต้นๆ-+ ตอนนี้ไปกว่า 130 ล้านแล้วทำไม มาจากอะไร
ตอบ ที่เพิ่มมามากช่วงหลังๆนี้เป็นส่วนมาจากอัตราค่าแลกเปลี่ยนเป็นส่วนใหญ่
9. อธิบาย บันทึก deferred tax ให้ฟังด้วย
ตอบ …. (ผมจับประเด็นไม่ทัน)
10. การทำ Hedging ไปถึงใหนแล้ว
ตอบ … (ผมจับประเด็นไม่ทัน)


คำแนะนำให้บริษัท
ก. ให้จ่ายปันผลเร็วกว่าเดิมหน่อย
ตอบ ขอนำไปพิจารณาดูก่อน เพราะบางลูกค้าออกขอเวลาการพิจารณาว่ารับเงินปันผล หรือขายหุ้นเนื่องจากมีภาษีเข้ามาเกี่ยวข้อง อีกอย่างก็ต้องดูข้อกำหนดต่างๆที่เกี่ยวกับเงินปันผลให้ละเอียดก่อน
ข. ให้ตั้งกรรมการค่าตอบแทน/ กรรมการสรรหา ให้ครบเพื่อหลักธรรมาภิบาล
ตอบ ขอนำไปพิจารณา
ค. จัดพา ผถห ไปชมโรงงานที่แม่สอด
ตอบ ขอนำไปพิจารณา
ง. ช่วยแจ้งอัตราภาษีเมื่อบอกการปันผล
ตอบ มีการแจ้งอยู่แล้วว่าจ่ายในอัตราภาษีเท่าไร หรือไม่ก็มีอยู่ในเอกสารที่เผยแพร่ทางตลาด เพราะมันมีบังคับให้แจ้งไว้
จ. ขอให้บริษัทซื้อหุ้นคืน เพราะบริษัทมีสภาพคล้องมากแล้ว
ตอบ ขอนำไปพิจารณา
ง. น่าจะเชิญลูกค้าใหญ่มาถือหุ้นเสียเลยเพื่อลดความเสี่ยงกรณีอาจเสียลูกค้าใหญ่ 1 ใน 2 ราย
ตอบ จริงแล้วใครก็ซื้อหุ้นบริษัทเราได้ อยู่ในตลาดหลักทรัพย์อยู่แล้ว เรายินดีเสมอ แต่ประเด็นคงอยู่ที่ว่า เขาจะซื้อหุ้นเราไหม บางเจ้าก็จ้างผลิตดีกว่า อนึ่งการให้ผู้ค้ารายใดเข้ามาถือหุ้นแล้วก็ไม่ใช่ดีเสมอไป เพราะลูกค้ารายอื่นก็คิดถึงความลับของเขาที่สั่งผลิตว่าไม่รั่วใหลไปสู่คู่แข่ง ฉนั้นการเอาลูกค้ามาถือหุ้นก็จำกัดการทำตลาดเราไปด้วย มันเป็นธรรมชาติของธุรกิจต้องเกินให้ถูกต้อง

ยังมีอีก 2-3 คำถาม/คำแนะนำที่ผมจับไม่ทัน ขอความกรุรณาเพื่อน ผถห ที่เข้าประชุมมาเสริม หรือ แก้ไข/เติมสิ่งที่ผมเล่าไปครับ



นอกประเด็น
เป็นการประชุมที่อบอุ่น กระทัดรัดน่ารัก มี ผถห 59 คน เต็มเพียงประมาณ 40% ของเก้าอี้ สิ่งที่น่ารักคือ บัตรลงคะแนนไม่ได้พิมพ์จากคอมฯ แต่เป็นถ่ายเอกสารแล้วตัดแจกกันเหมือนคูปองงานชั่วคราว คนเก็บคูปองคะแนนก็ขึ้นไปเก็บจากคณะกรรมการบริษัทบนโพเดี้ยมมารวมพร้อมกับของ ผถห อื่นๆ ประธานประชุมก็ถามก่อนทุกครั้งว่าไม่มีคำถามแล้วค่อยลงมติ คื่อถามกันให้พอใจไปเลย สุดท้ายมี ผถห ถามอยู่แค่ 2-3 รายเท่านั้น อาจเพราะตลาดอัญมณีเป็นต่างประเทศ ผถห มองตลาดออกยาก ที่ส่วนใหญ่ดูภาวะเศรศฐกิจในประเทศคู่ค้าและธรรมาภิบาล/อัตาาแลกเปลี่ยน/ ผบห เป็นหลัก เลยยกให้เป็นผลประโยชน์ ผบห ทางบริษัทคงอยากคงความเป็น “ครอบครัว”ไว้สูงในการบริหาร(ไม่มีกรรมการสรรหา/ค่าตอบแทน/ความเสี่ยง และมีกำไรสะสมมาก)
ผมทำผิดอย่างคือ นั่งรถแอร์พอร์ตลิ้งค์ เดินไปหาเคาน์เตอร์รถในสนามบิน รอรถ กว่าไปถึงโรงแรมก็ มากกว่า 15 นาทีจากรถไฟ ขากลับเอาใหม่ถามพนง. โรงแรม มันมีทางอุโมงเชื่อมจากโรงแรมโนโวเท็ลมาถึงสถานีแอร์พอร์ตลิ้งค์ไม่เกิน 300 เมตรติดแอร์ตลอด เดินเร็วหน่อย 300 เมตรไม่เกิน 10 นาทีเลย เออน่าาา มัวแต่เชื่อบริษัท (แผนที่ด้านหลังหนังสือเชิญประชุม) และเราไม่มีประสบการณ์ นั่งเหม่อในรถไฟก็นึกถึงการลงทุนในตลาดในปีที่ผ่านมาตลอดเส้นทาง

GL
neuhiran เขียน:ผมเพิ่งไปประชุมมา เลยอยากจะมาแชร์ ถ้าขาด-ตกประเด็นไหนขอให้ผู้ที่เข้าร่วมประชุมช่วยเติมด้วยครับ

*ทุกวาระการประชุม ผ่านปรกติ
-มีพนักงานของเรามาจากกัมพูชาด้วย สิบกว่าคน มาฝึกงานที่ กทม.
-ตอนนี้เราปล่อยกู้ได้ประมาณ 8000 คัน/เดือน ราคาเฉลี่ยต่อคัน 43500 บาท
ผ่อนประมาณ 32 งวดโดยเฉลี่ย ดอกเบี้ยรับ เกือบ 2 % /เดือน(ประเทศไทย)
-เรื่อง General mandate นั้นอาจจะไม่ต้องใช้ และปีถัดๆไปอาจจะใช้ Warrant เหมือนเดิม โดยที่ไม่มี
การออก General mandate อีก
-การเปลี่ยนแปลงพาร์ 5 บาท เป็น 0.5 บาทจะเริ่มเทรดได้ประมาณ กลางเดือน พ.ค นี้

*หลังจากที่ประชุมเสร็จท่านประธานให้เกียรติตอบคำถามนอกรอบครับ(กัมพูชา)
-ธุรกิจที่กัมพูชาตอนนี้ถึงจุดคุมทุนแล้ว ปีนี้จะปล่อยให้ได้2000 คัน/เดือน
และจะเป็น 4000คัน /เดือน ในปีหน้า (ข้อนี้ผมถามเอง)
-รถมอเตอร์ไซค์ที่กัมพูชาราคาสูงกว่าในประเทศไทย
-ดอกเบี้ยรับประมาณ 2.3 % / เดือน
-ต้องวางดาวน์ 30 %
-ยังไม่มีหนี้เสีย แต่มีมอเตอร์ไซค์หาย (แต่มีประกัน)
-เรื่องตลาดรถมือสองที่นั้่น เป็นตลาดที่แข็งแกร่งมาก ไม่ต้องห่วงเรื่องรถยึดจะขายไม่ได้ราคา(ข้อนี้ผมถามเอง)
-ผู้ผลิต HONDA ที่กัมพูชา ลาว และพม่า นั้นเป็นเจ้าเดียวกัน
-เรามีโอกาสที่จะ ไปทำธุรกิจต่อที่ลาว และพม่า ขึ้นอยู่กับ HONDA จะเป็นผู้ตัดสินใจ
และต้องได้รับการแต่งตั้งเป็น Exclusive แบบเดียวกันกับที่กัมพูชา
-ตอนนี้เรามีแหล่งเงินเยอะ ธนาคารต่างๆก็อยากจะทำ Micro finance ก็วิ่งมาหาเรา



ผมจำได้เท่านี้ครับ ใครมีข้อมูลช่วยเพิ่มเติมด้วยครับ :D :D :D
H

HTECH
tomiea เขียน:ไปประชุมมาครับ จะสรุปเท่าที่จำได้นะครับ

1.สัดส่วนรายได้ของบริษัทถ้าไม่รวม FDM จาก HDD 69% Non HDD 31% แต่ถ้ารวมจะกลายเป็น HDD 60% Non HDD 40%
2.กลุ่ม non HDD น่าจะมีกำไรต่ำกว่าเพราะค่าใช้จ่ายเยอะกว่าและการผลิตต่อครั้งน้อยชิ้น แต่จะพยายามทำให้ได้อัตราส่วนกำไรเท่าเดิม
3.จะมีการลงทุนเพิ่มในส่วนของเครื่องจักรเพื่อให้เหมาะสมจะสินค้าในกลุ่มใหม่ๆ
4.Q4-2555 น่าจะเป็นช่วงที่แย่ที่สุดแล้ว Q1-56 น่าจะดีกว่า Q4-55
5.การเจาะตลาดต่างๆ มีความก้าวหน้าอย่างน่าพอใจปีนี้น่าจะได้ผลตอบกลับจากตัวอย่างที่เริ่มเจาะกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ไป
6.ค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นเกิดจากการต้องหยุดเครื่องจักรที่ทำเงิน เพื่อมาทำตัวอย่างให้การตลาด ซึ่งที่ผ่านมา 2ปี Htech เน้นส่วนนี้น้อยเกินไปทำให้ส่วนมากไปอิงกับกลุ่ม HDD ยิ่งช่วงนี้ HDD หดตัวก็ยิ่งบีบให้ต้องเจาะตลาดมากยิ่งขึ้น
7.ค่าเผื่อสินค้าล้าสมัยที่เยอะถึง 10.429 ลบ. เกิดจากระบบตัดทิ้งทุกๆ 12 เดือนแต่จริงๆ สินค้าประมาณ 60% สามารถนำมาปรับแต่งแล้วขายเป็นสินค้าตัวใหม่ได้
8.มีการเพิ่มกลุ่มใหม่ที่บริษัทพยายามเจาะเข้าไปทำตลาดคือ Oil & Gas
9.ที่ผ่านมาเจอปัญหาค่อนข้างเยอะในกลุ่มใหม่ที่พยายามเข้าไปทำตลาด ตอนนี้รู้ปัญหาเกือบหมดแล้ว และจะเริ่มปรับเพื่อลดต้นทุนให้แข่งขันในกลุ่มใหม่ได้ เช่น สั่งเครื่องจักรให้เหมาะสมกับขนาดของงาน
10.ยังตั้งเป้าหมายเหมือนเดิมคือ EPS = 1 บาท กับ FDM ต้องคืนทุนใน 3ปี
"Champions aren't made in gyms. Champions are made from something they have deep inside them: A desire, a dream, a vision.
ภาพประจำตัวสมาชิก
crazyrisk
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 4562
ผู้ติดตาม: 40

Re: รวบรวม AGM Q1 /2556 ครับ

โพสต์ที่ 3

โพสต์

I

IFS
Tsurumi เขียน:บางประเด็นจาก AGM 19/04/2013 / 14.00 - 15.30 hrs. / ไม่เรียงหัวข้อ ผิดตกยกเว้นและก็ขอให้ช่วยเติมให้เต็มด้วยครับ

เกริ่น: มี ผถห มา 90 ราย = 383,237,491 หุ้น; วาระเพื่อพิจารณาส่วนใหญ่ดไ้เสียงลงมติเอกฉันท์ หรือไม่ก็ เกิน 99% ของเสียงทั้งหมด

ตัวอย่างคำถามใน AGM

1. จะขยาย product line นอกจาก 3 คือ factoring , Leasing, Hire Purchase ออกไปอีกหรือไม่
2. อัตราส่วนหนี้สิน:ทุนจะเพิ่ม/เปลี่ยนแปลงได้ขนาดใหน มีนโยบายเรื่ิงนี้อย่างไร
3. แนวโน้มธุรกิจปีนี้จะดีกว่าปี ที่ผ่านมาหรือไม่
4. นโยบายแบบสั้น/กลางเป็นยังไง จะขยายไป ตจว ใหม อุปสรรคทำธุรกิจคืออะไร
5. ค่าตอบแทนกรรมการเ าอะไรเป็น้กณฑื้ปลี่ยน เอาความสามารถ หรือ อะไรมาอ้างอิง
6. อย่ายืมเงินนอก เอาเงินจากบริษัทแม่ที Singapore มาใช้สิ จะออกบอนด์ใหม ? ทำไมไม่เอาเงินกู้ระยะยาวมาหมุน เอากู้สั้นมาหมุนก็จ่ายดอกสูงน่าดู
7. ค่าเงินบาทแข็งกระทบใหม ?
8. ถ้าดู market share ในตลาดแล้วเราอยูใหน อยากเป็น # 1 ใหม ?
9. จะขยายไปประเทศเพื่อนบ้านใหม ? เพราะ CIMB ก็ไปแล้ว
10. ถ้ารัฐปล่อย/อนุมัติแผนลงทุน 2.2 ล้านๆบาท กระทบใหม ? จะแก้หาเงินมายังไง เห็นภาครัฐเตือนว่าอาจมีฟองสบู่บางเซ็กเตอร์ เห็นและเตรียมตัวยังไง เห็นบริษัทบอกว่าอนาคต factoring จะดีแล้วบริษัทเตรียมรับมือยังไง
11. เงินบาทแข็งค่า ดอกเบี้ยนโยบายมีแรงกดดัน บริษัทมองการรับมือยังไง ?
12. Margin แต่ละโปรดักส์เราต่างกันยังไง
13. ทำไมคุณตันไม่ได้รับโบนัส (หนังสือเชิญประชุมหน้า 5)
14. ทำไมไม่ขยายธุรกิจไป เช่น structure loan, morgage loan, asset management (รับทวงหนี้) ฯลฯ

ตัวอย่างคำตอบ (ช่วยเอาไปใส่คำถามเองนะครับ)

1. การขยายโปรดักส์ลายก็อยากทำ แต่มันติดที่ไม่ได้รับ license จากรัฐ เพราะเราเป็นบริษัทต่างชาต เคยยื่นขอทำทีหนึ่งกับกรมพัฒนาฯ แต่ไม่ได้รับอนุญาติ ยังไม่มีต่างชาติได้รับ
2. คุณตันไม่รับโบนัส เป็นการแสดงความเป็นสุภาพบุรุษ เพราะเป็นกรรมการอยู่ใน board ์ด้วย ต้องขอบคุณในสปิริตของท่าน คงเทียบกับ บมจ ไทยบางแห่ง หรือ ของ รัฐวิสาหกิจไม่ได้ รับกันทุกรายการ
3. มาร์จินแต่ละตัวนั้น ต้องแยกออกก่อน วิธีดูคือ ดูดอกเบี้ยแล้ว เจ้า factoring & Leasing มันก็พอๆเสมอกัน แต่ถ้ามองกันที่ Yield แล้ว factoring ดีกว่า
4. เงินบาทแข็ง ดอกฯนโยบาย้ปลี่ยน เราค่อนข้างมั่นใจการทำงานของ ธปท. เพราะผู้ว่าการอิสระและแกร่ง เพื่อให้บาทไม่แข็งมาก รัฐก็แนะว่าให้ไปลงทุน ตปท. บ้างมันจะได้หักลบกับเงินทุนใหลเข้าตลาดหุ้นได้ เราคิดว่าค่า basic Point คงจะอยู่ที่ 275 ยังไม่มีอะไรให้หวั่นนัก ซึ่งดอกฯนโยบายคงอยู่แบบเดิมไม่เปลี่ยนตอนนี้
เรื่องการลงทุนของรัฐ 2.2 ล้านๆนั้น ถ้าดูให้ดีแล้ว มันไม่ออกทำปีเดียวเลย มันกระจายไปเจ็ดปีๆละ 300,000 ล้านบาททถึงจะรวมเป็น 2.2 ล้านได้ โอเคปีแรกตลาดทุน/ตลาดเงินอาจหาเงินกันยาก แต่ตลาดทุน โดยเฉพาะนักธุรกิจไทยปรับตัวได้เรผ็วมาก ปีที่สอง หรือ สาม ก็ไม่น่าเป็นปัญหาแล้ว. เรื่องบาทแข็งไม่กระทบเราเลย เราทำงานเป็นเงินบาทถึง 98% บาทแข็ง/อ่นไม่กระทบเรา
5. อัตราส่วนหนี้สิน/ทุนนั้น เรามีธนาคารจะให้กู้ถึงแปดแห่ง ที่ยินดีไห้เราไต่ไปถึง 8:1 ได้ แต่เราคงไม่ทำ เราจะให้สูงสุดที่ 5:1
6. เงินจากบริษัทแม่ที่สิงห์ฯก็ให้วงเงินเราทุกปีเอามาใช้ 10 ล้าน สิงห์ดอลล่าห์ แต่เราก็ไม่เคยเอามาใช้เลย. พูดเรื่องนี้แล้วก็ต้องบอกว่า การทำงานเทียบกันแล้ง เราทำได้ดีกว่าบรษัทแม่มาก มาถึงตอนนี้แล้วคงตอบได้กันเองว่า แม่ควรช่วยลูก หรือลูกควรช่วยแม่ดี. แต่มองมองภาพตลาดทุนแล้ว การเอาเงินบาทมาทำนั้นเหมาะสมกว่าการเอาเงินสกุลอื่นมาหมุน ถ้ามองที่ต้นทุนเป็นหลัก
7. เรื่องการตามหนี้เป็นธุรกิจใหม่ หรือเรียกกันว่า asset management นั้นสนใจอยู่และมองบริษัทอื่นที่เราอาจเข้าซือได้ น่าสนใจทีเดียว
8. แนวโน้ม factoring & Leasing ปีนี้คงโตอีก 15-20% เราก็จะโตตามนั้น อุปสรรคทำธุรกิเราคือ การที่เราเป็นบริษัทต่างด้าว หา License ได้ยาก เราไมมี่ปัญหาเรื่องเงินทุน เราอาจซื้อบริษัทแล้วเอาเข้าตลาดหุ้นก็ได้ แต่อีกห้าปีภาครัฐคงเปลี่ยนแปลงไป เราก็ต้องการไปลงทุนประเทศเพื่อนบ้าน เคยไปดูที่เวียตนามแล้ว อาทิตย์ไปดูพนมเปญ ก็จะดูทุกแห่งรอบบ้านก่อน มันก็ขึ้นอยู่ว่า ตลาดรองรับมีใหม ระเบียบเขาเอื้อต่อการทำธุรกิจเราใหม. ในไทยเองเรามีสินค้าน้อยก็เป็นจุดแข็งเองด้วย ไม่ใช่เรื่องด้อย เพราะเราเชื่องโยงเครือข่ายไปที่สาขาเราในมาเลย์ สิงห์ฯได้ดี
9. การเป็นที่ 1 market share นั่นดีเราก็อยากเป็น แต่จริงๆแล้ว ผลตอบแทนให้ ผถห ดีกว่าน่าจะเป็นคำตอบดีที่าุด เป็นที่หนึ่งแล้วผลตอบแทนไม่ดีก็คงไม่เหมาะ อันดับตอนนี้น่าเป็นดังนี้ไนตลาด factoring
#1 = Kbank = 20%
#2 = IFS = 15-16%
#3 - 4 = SME bank + IRA (?)

เรารักษายอด NPL ไม่ให้เกิน 3%
10. ปี 2012 = มี spread = 7.9 ปีนี้จะอยู่ที่ .... (จดไม่ทัน)
12. เรื่องต้นทุนการเงิน การกู้สั้นมาทำธุรกิจ ที่ไม่กู้ระยะยาวมาหมุน ธรรมชาติแฟคตอริ่งนั้น เงินมันหมุนเร็วมี cycle แค่สองเดือน หรือ 60 วัน เราจึงหาเงินในตลาด Money market แทน Financia/capital market มาทำธุรกิจ มีหลายธนาคารอยากให้เรากู้ เรายังไม่อยากออกบอนด์ ไม่คุ้มตรงว่า เรทเราไม่งามพอที่จะดึงต้นทุนให้ตำ่ได้เพราะเรามี asset แค่ 2-3000 ล้าน ถ้าจะออกบอนด์ให้คุ้มควรมี asset ที่ 10,000 ล้านจะได้เครดิตเรทติ้งดี (แบบเกิน B+ (?))
13. การขยายไป ตจว เราดูมาแล้วและยังไม่ทำ เพราะยังไม่มีฐานลูกค้าเพียงพอ ล/ค ส่วนใหญ่ในกทม และปริมลฑล หรือไม่ก็ระยอง เราวิ่งไปเซอร์วิสได้ไม่เกินสองชั่วโมง
14. แบงค์ชาติก็เตือนภายในเรื่องการก่อสร้างอาจมีฟองสบู่ได้ แต่ก็ 4 เดือนไปแล้ว ยังไม่มีอะไร. ส่วนพวกวงการรถยนต์ที่เราให้บริการก็ไม่มีปัญหา อย่างไรก็ดี เรารักษาตัวเลขไม่ให้ Sector ใหนเกิน 20% ของยอดรวมอยู่แล้ว

-----
ข้อสังเกตุผมคือ คุณตันได้ขอบคุณประธาน lee soonkie ว่าเป็นผู้ที่นำกลยุทธ์ใหม่ๆมาปีที่แล้วที่ทำให้บริษัทเิร่มเปลี่ยนไปในแนวที่ดีขึ้น เรื่องการจะทำ backdoor listing หรือแม้แต่สนใจธุรกิจติดตามหนี้สิน เพราะการเป็นบจก.ต่างชาติ มันติดที่ขอใบอนุญาติประกอบธุรกิจยากขึ้น
INET
Tsurumi เขียน:ได้เข้าไป AGM เช้านี้ 24-4-56/09,00 น. / สนง. ของ

บรรยากาศทั่วไป
- ผถห วันปิดสมุดมี 2,283 คน จำนวนหุ้น 250,020,799 หุ้น
- วันนี้มาประชุม มาด้วยตนเอง 24 คน มอบอำนาจให้คนอื่นมาแทน 18 คน รวมเป็น 42 คน จำนวนหุ้น 87,351,902 หุ้น หรือ 34,90% (ขณะเริ่มประชุม)

ประชุมตรงเวลา แต่ผมอยู่แค่วาระที่ 4 ยังไม่จบเพราะมีเหตุจำเป็นต้องออกมาก่อน สังเกตุดูเพื่อน ผถห 2-3 คนที่เคยมาปีที่แล้วและตั้งคำถามมากหน่อยก็ไม่เห็นมี เสียดายมาก แต่ก็มี ผถห ท่านอื่นๆ ที่ตั้งคำถามต่อคณะกรรมการบริษัทดังนี้ (ไม่เรียงข้อ/ประเด็น) ก่อนเข้าวาระการประชุม ฝ่ายบริหารได้นำเสนอผลงานบริษัทแต่ละเดือนที่ผ่านมาปี 2555 และกลยุทธิ์บริษัทในลักษณะ INET Infrastructure

-1. ปีที่ก่อนหน้าคือปี 2554 มีขาดทุน 80 ลบ. และตั้งกรรมสอบผู้รับผิดชอบในบางประเด็น ผลไปถึงใหนแล้ว ทางบริษัทคงไม่ปล่อยให้เป็นแบบระบบราชการคือ มีการลาออกไปของ พนง. บางคนก็บอกว่า เสร็จไปเรียบร้อยแล้ว ฝ่ายกกหมายช่วงแจ้งด้วยว่า เมื่อไรผลสอบจะออกมา
ตอบ มีการตั้งกรรมการสอบอยู่ ยังไม่มีผลออกมา ถ้ามีผลออกมาแล้วจะแจ้งให้ทราบเผอิญมุ่งอยู่กับการปรับปรุงกิจการบริษัท เลยไม่ได้ติดตามประเด็นนี้เท่าที่ควร ขออภัยด้วย (ไม่แจ้งว่า กรอบเวลาการสอบนานเท่าไร ผลจะออกเมือไร)

2. เห็นตัวเลขรายได้จากการขายได้ 5 ล้าน ปีก่อนหน้าได้ 15 ล้าน ทางบริษัทไม่เน้น การขาย แต่จะเน้นการให้บริการแทนใช่ใหม
ตอบ บริษัทเน้น การเพิ่มตัวมาร์จิ้นให้ได้มากที่สุด เช่น ถ้าต้นทุนมัน fix อยู่แล้ว ถ้ามียอดขายเพิ่ม ตัวหาร คชก ก็จะมากขึ้นทำให้ยอดกำไรสินค้าจะเพิ่มมากขึ้น เราอยากให้เป็นแบบ ทั้ง access and non-access เหมือนท่เขามี non-voice and voice กัน เราจำเป็นต้องมี internet access ไว้เพื่อเสริมไลน์แก่ลูกค้าที่เขาไม่มีกัน

3. (คำแนะนำ) ตอนนี้ตลาดมันเปลี่ยนไปแล้ว ต้องตามตลาดให้ทัน บริษัทต้องทำงาน aggressive กว่านี้ ฯลฯ การที่ลดคนจาก 200 เหลือ 150 คนนั้นทำถูกต้องแล้ว ต่อไปต้องสร้างประสิทธิภาพงานจาก 150 คนให้ได้ดีกว่าก่อนหน้านี้ อย่าให้ระบบราชการมาครอบงำ
ตอบ ขอบคุณคำแนะนำ เราก็กำลังดำเนินการอยู่ ฯลฯ

4. รักษาการกรรมการผจก. ทำไมรับตำแหน่งมาก ทั้งเลขาฯบริษัท ทั้งกรรมการความเสี่ยงและกรรมการในบริษัทอื่นๆอีก จะทำการตลาดได้หรือ เอาเวลาไหนมาทำ ควรหาคนมารับไปบ้าง เช่น ตำแหน่งเลขาฯบริษัท
ตอบ เข้าใจที่อยากให้ส่งมอบความรับผิดชอบให้คนอื่นบ้าง กำลังหาคนมารองรับอยู่

5. จะเอา NETBay เข้าตลาดหลักทรัพย์หรือไม่
ตอบ ตอบไม่ได้ เพราะไม่อยู่ในฐานะที่จะตอบได้ ต้องถามทาง NetBay เอง

6. กรรมการบริษัท มีทั้งหมด 13 คนทำไมมาแค่ 8 คนขาดหายไป 5 คนได้แจ้งหรือไม่ เนื่องจาก AGM สำคัญมาก ทำไมไม่มารับฟังจาก AGM
ตอบ บางท่านมีสลับตำแหน่งในหน่วยงานหลักของกรรมการท่านนั้นๆ บางท่านติดภาระจริงเช่น ต้องเข้าพบรัฐมนตรี แต่ท่านเหล่านั้นก็ได้แจ้งมาแล้ว

7. แนวทางการทำตลาด หรือ กลยุทธิ์บริษัท ได้จ้างที่ปรึกษาทำใหหรือไม่
ตอบ เปล่าเลย เพราะกรรมการบริษัทแต่ละท่านก็เป็นผู้มีความสามารถมากอยู่แล้ว

เสียดายไม่ได้อยู่ครบสิ้นประชุม จึงอยากฟังท่าน ผถห อื่นๆมาเล่าให้ฟังด้วยครับ
J
K
L
"Champions aren't made in gyms. Champions are made from something they have deep inside them: A desire, a dream, a vision.
ภาพประจำตัวสมาชิก
crazyrisk
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 4562
ผู้ติดตาม: 40

Re: รวบรวม AGM Q1 /2556 ครับ

โพสต์ที่ 4

โพสต์

M

MOONG
doikham เขียน:ขอเล่าในส่วนที่ผู้ถือหุ้นซักถามแบบย่อนะคะ

Q: ทำไมยอดขายเพิ่มขึ้น แต่กำไร(จากการดำเนินงาน)ลดลง
A:มีสาเหตุหลายอย่างทั้ง การขึ้นค่าแรงเป็น 300 อัตราแลกเปลี่ยน และราคาน้ำมันซึ่งกระทบต่อต้นทุนการขนส่ง
นอกจากนี้สัดส่วนรายได้ที่เพิ่มขึ้นที่มาจากสินค้าที่ไม่ใช่พีเจ้นจะมีmargin ต่ำ

Q: ทำไมสินค้าคงเหลือจึงเพิ่มขึ้นมาก
A: เป็นสินค้าที่stockไว้ขายในเดือนมกราคม รวมถึงของนำเข้าที่ลงเป็น goods intransit

Q: ค่าใช้จ่ายในการบริหารเพิ่มขึ้นมากถึง 23.9% ในขณะที่ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงานเพิ่มประมาณ18% เท่านั้น น่าจะมีสาเหตุอื่นอีกคืออะไร
A: มีค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับwarehouse เนื่องจากมีการโอนไปให้DHLทำ ในช่วงแรกต้องมีค่าใช้จ่ายในการจัดwarehouse (ประมาณ3ปี)

Q: วางแผน AEC ยังไง
A: มีplanขยายตลาดไปindo china หาธุรกิจที่เขาจะมาขายในไทยและบริษัทจะเป็นตัวแทนจำหน่าย นอกจากนี้บริษัทกำลังจะเปลี่ยนแปลงระบบ MIS ซึ่งจากเดิมใช้ AS400 มาเป็น ERP (SAP) ซึ่งน่าจะเสร็จภายใน 7 เดือนนับจากนี้

Q: จะมีการผลิตผ้าอ้อมสำเร็จรูปขายหรือไม่ (พีเจ้น)
A: ในไทยไม่มี

Q: ทำไมบริษัทร่วมมีกำไรเพิ่มขึ้นแต่ปันผลให้น้อยลง
A: เขาสำรองเงินไว้ขยายธุรกิจ

Q: เราสนใจที่จะทำ wipe product สำหรับผู้ใหญ่หรือไม่
A: เริ่มทำแล้วและจะออกสู่ตลาดเร็วๆนี้

Q: แผนในอนาคตจะเป็นอย่างไร
A: สัดส่วนสินค้ากลุ่มแม่และเด็กจะลดลง และน่าจะต่ำกว่า 50%ใน 3ปีข้างหน้า
N
O
P

PB
6 Dimensions เขียน:ขออนุญาตสรุปคำถามคำตอบที่สำคัญสั้นๆ เท่าที่จำได้นะครับ รอพี่ท่านอื่นๆ มาเสริมนะครับ
Q: สาเหตุที่กำไรโตน้อยกว่ายอดขาย ในปี 2555
A: มีหลายปัจจัยมาก แต่เป็นเหตุการณ์พิเศษที่เกิดขึ้นเฉพาะปีที่แล้ว
- สั่งรถไว้กระจายสินค้า แต่ได้รับช้าไป 6 เดือน ทำให้ส่งสินค้าได้น้อยกว่าที่คาดในช่วงครึ่งปีแรก
- ปรับค่าแรงให้พนักงานทุกคน รวมทั้งรับพนักงานเพิ่มเนื่องจากพนักงานเก่าไม่เพียงพอจริงๆ สินค้าขายดีทำให้ต้องผลิตสินค้ามาก
หลังๆ พนักงานเหนื่อยมากแม้จะได้ OT บางทีก็ไม่เอา
- ติดตั้งเครื่องจักรใหม่เดือน 6 แต่ผลิตได้เดือน 7 รับรู้ค่าเสื่่อมเกินไป 1 เดือน [ไม่แน่ใจ]

Q: เป้าหมายการเติบโตที่ตั้งเป้าไว้ในใจในช่วง 3 ปีนี้
A: - ตั้งไว้ท้าทายตนเอง 14% ต่อปี ใช้กลยุทธที่ถนัดคือ เพิ่มจำนวนตัวแทนขาย (ปีที่แล้วจาก 32000 เป็น 40000 [ไม่แน่ใจนะครับ])
เพิ่มชนิดสินค้า ทำการตลาดส่งเสริมการขาย ทำ school tour รุกตลาดเพื่อนบ้าน
โดยสินค้าที่เพิ่งวางแผงคือ โดนัท และขนมปังหน้าฟักทอง โดยโดนัทได้รับการตอบรับดีเกินคาดไปมาก ตอนนี้ผลิต 24 ชม.

- การต่อสู้ของค้าปลีกที่พยายามจะเพิ่มสาขา ไม่ว่าจะเป็น family mart, mini bigc, lotus express, 108Lawson เป็นผลดีกับเรามาก

- คุณภาพและประสิทธิภาพการผลิตของเราเป็นหนึ่งในอาเซียนแน่นอน

Q: การเจาะตลาด AEC
A: มีการคุยกันพอสมควรและ บางประเทศ เช่น ลาว มีการหิ้วขนมเราไปขายอยู่แล้ว
กำลังจะส่งของไปขายเอง สามารถเริ่มได้ในไม่กี่เดือนข้างหน้านี้

Q: การควบคุมต้นทุนในปีนี้เป็นอย่างไร แป้งสาลีต้นปีราคาสูงมาก แต่ตอนนี้ลดลงมาเรื่อยๆ เราซื้อสัญญาระยะยาวหรือไม่
A: - จากประสบการณ์การทำธุรกิจทางบริษัทมีความเข้าใจเรื่องราคาแป้งเป็นอย่างดี ตอนต้นปีราคาแพงเกินไปเลยซื้อระยะสั้น
ทำให้ช่วงเดือนปัจจุบันได้ประโยชน์จากต้นทุนที่ลดลงรวมทั้งเงินบาทที่แข็งตัวขึ้น
- ปรับราคาขายสินค้าบางอย่างให้สอดคล้องกับต้นทุนที่เพิ่ม
- ต้นทุนแรงงานได้ปรับหมดไปก่อนแล้ว เพิ่มให้พนักงานทุกคนคนละ 2000 บาท [ไม่แน่ใจ] ไม่ว่าจะเป็นพนักงานระดับปฏิบัติการจนถึงระดับสูง เพื่อความ
เท่าเทียม รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมด 200 ล้านบาท ปีนี้จะไม่มีรายจ่ายเป็นอัตราเพิ่มพิเศษแบบนี้อีก
- พื้นที่โรงงานตอนนี้เหลือประมาณ 20 % น่าจะรองรับเครื่องจักรใหม่ๆ ได้อีก 2 ปี หลังจากนั้นอาจจะต้องสร้างโรงงานใหม่ข้างๆ โรงงานเดิม
ซึ่งจะเพิ่มสเกลให้มากกว่าเดิม (เดิมใช้งบ 2000 ลบ.)
- เรื่อง take over แบรนด์อื่นๆ เช่น yamazaki thai (ผู้บริหารแซวว่าเป็น top ของโลกนะ) ยังไม่ได้อยู่ในความคิดครับ

ปล. วันประชุมได้มีโอกาสเจอพี่ worapong เผอิญต้องรีบกลับเลยไม่ได้ลา ไว้มีโอกาสจะขอไปสวัสดีพี่ที่ภาคใต้อีกครั้งนะครับ

PJW

monsoon เขียน:ผมขออนุญาติเสริมคุณ macapear และคุณ plant จากที่จดมาเท่าที่จำได้นะครับ เผื่อเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆบ้าง ผิดถูกยังไงขออภัยด้วยนะครับ ผมเพิ่งเริ่มมาศึกษาตัวนี้ครับ..

• ระดับ utilization rate ปี52 (61%) ปี53 (66%) ปี54 (68%)ปี55 (63%) โดยที่ปี55 มีระดับ utilization rate ที่ลดลงเนื่องจาก มีการเพิ่มเครื่องจักรมาเตรียมการผลิต แต่จริงๆแล้วผลิตได้มากขึ้น >68% ท่านผู้บริหารกล่าวว่า เวลาดู utilization rate นั้น แบ่งเป็นกรณีๆ ดังนี้
1. อุตสาหกรรมที่เป็น consumer product เมื่อ %การใช้ capacity ขึ้นถึง 80% ควรจะต้องเริ่มมีการขยายการผลิต
2. อุตสาหกรรมที่เป็น OEM จะต้องเพิ่มเร็วกว่า คือเมื่อถึง 70-75% เพราะเราไม่รู้ว่าลูกค้าจะเพิ่ม order ให้เราเมื่อไร ต้องการสินค้าเมื่อใด
• บริษัทที่เทียนจิน (คุณวิวรรณ์ ดูแล) วางแนวทางไว้ให้โต 20-25% แต่ปีที่แล้ว ไม่โต เหมือนๆกับอยู่กับที่ มีภาระการขาดทุนอยู่ที่ ประมาณ 200,000 หยวน (ประมาณ 1 ล้านบาท) แต่ปีนี้จะเติบโต จะเข้าสู่ระบบ โดยมี organic growth คือลูกค้าเดิม จะโตดีขึ้น
• เมืองจีน พอเปลี่ยนประธานาธิบดี ปีแรกๆจะต้องพยายามสร้างความจดจำที่ดี เพราะฉะนั้น เศรษฐกิจก็น่าจะดีและมีแผนที่จะเพิ่มลูกค้าอีกอย่างน้อย 1 ราย (ตอนนี้กำลัง ทำแม่พิมพ์ให้ลูกค้ารายใหม่อยู่) ก็เป็นไปได้ที่จะได้เห็นกำไรปีนี้ คิด IRR ที่ 16% base on ลูกค้าเจ้าเดียว คิดยาวไปเป็น 5 ปี และจะไม่ดึงเงินจากแม่มาใช้
• การแข็งค่าของเงินบาท มีผลกระทบเล็กน้อย เพราะมีการนำเข้าไม่มาก (นำเข้าพวก ฝา+ขวด) ส่วน วัตถุดิบ ไม่ได้นำเข้า แต่จะได้ประโยชน์จากการสั่งซื้อเครื่องเข้าในปีนี้
• R&D ในแง่กระบวนการผลิต ได้คิดค้นหุ่นยนต์ ที่มาทำงานแทนคนในการบรรจุขวด น่าจะทำได้เป็นรายแรกในประเทศไทย และปรับภายในโรงงานให้เป็น automation มากขึ้นในโรงงานและคลังสินค้า ก็สามารถลดการใช้คนได้พอสมควร
• ในปี56 นี้การลงทุนส่วนใหญ่ น่าจะลดลงแล้ว เป็นไปได้หรือไม่ที่จะมีปันผลระหว่างกาล ท่าน ผบห.บอกว่าจะนำไปพิจารณา
• การเติบโตจากอุตสาหกรรมยานยนต์ ปีที่แล้วโตจากรถคันแรกและ eco car ดังนั้นในปี56 ตามประมาณการน่าจะโตได้ไม่เกิน 10% เพราะในปีที่แล้วได้ถูกใช้มาแล้ว หลักๆน่าจะโตจากการส่งออก ส่วน PJW ยังคงโตได้มากกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม ตามโมเดลรถใหม่??
• AEC ทาง World Bank & IMF ประเมินว่า เอเชีย เศรษฐกิจน่าจะโต 7%/ปี ไปเรื่อยๆเป็นเวลา 10 ปี (59-69) ดั้งนั้น ทั้งอาเซียนจะโตเป็น สองเท่าตัว การบริโภคจะมากขึ้น น่าจะมีโอกาสและการแข่งขันที่สูงอยู่
• ฐานการผลิตจะใช้ที่ไหน ค่ายรถยนต์ยังไม่ชัดเจนว่าจะเลือกใคร ถ้าใช้เมืองไทยเราก็จะได้เปรียบ
• ลูกค้าเรามี 10 กว่าบริษัท แต่ละบริษัทจะตัดสินใจต่างกัน ตอนนี้ เตรียมความพร้อมเรื่อง AEC กรณีย้ายฐานการผลิต 1. มีทีมในการสร้างช่าง 2. การเงินบัญชี ไม่ให้รั่วไหล 3. การเข้าใจวัฒนธรรมในการทำจะมีโครงสร้างทางวัฒนธรรมที่ไม่เป็นเหมือนกัน
• กรณีโลโก้ มีลูกค้าเรียกชื่อไม่เหมือนกัน เพื่อให้ลูกค้าได้เรียกชื่อเราได้ง่ายขึ้น โลโก้ใหม่มีความทันสมัย สอดคล้องกับการเติบโตที่เราจะไป เรื่อง technology การจัดการ นอกจากนี้ก็เป็นเรื่องฮวงจุ้ย ข้างนอกกลม หมายถึงไม่ติดขัด ข้างในเป็นดวงดาว
• การแข่งขัน
- ยานยนต์ เราไม่เป็นสองรองใครในอาเซียน
- น้ำมันหล่อลื่น เราอยู่ในแถวหน้าๆ ที่อินโดนีเซีย ค่อนข้างแข็ง เหมือนเรา
- เมืองจีน มีข้อจำกัดด้านวัฒนธรรมทำให้ไม่สามารถทำยอดขายได้มากนัก
• Competitiveness มองแยกตามแต่ละ segment
- น้ำมันหล่อลื่น เรายังเป็นผู้นำ และจะทิ้งห่างจากคู่แข่งไปเรื่อยๆ
- บรรจุภัณฑ์นม เรามี market share มากขึ้น ลูกค้ามีมากขึ้น
- ยานยนต์ ยังคงรักษา tier# 1 ได้อยู่
ดังนั้น โดยรวมเรายังมีความสามารถในการแข่งขันมากกว่าคู่แข่งอยู่
• หลังจากการระดมทุน นำเงินไปใช้อะไรบ้าง – ยอดเงินทั้งหมด 403 ล้านบาท
- นำไปชำระหนี้ 100 ลบ.
- นำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน 100 ลบ.
- นำไปสร้างอาคาร 40ลบ. และซื้อเครื่องจักรอีก 100 กว่าลบ.

ขอบคุณครับ ^ ^'


PL
thedoc เขียน:ผมได้มีโอกาสไปประชุมผู้ถือหุ้นมา ดีใจที่ได้รู้จักกับลุงขวดและน้องอาเหลียงด้วยนะครับ
สรุปคำถามจากที่ประชุมนะครับ
1.นโยบายรถคันแรกไม่มีผลกระทบกับการดำเนินงานของบริษัท รวมถึงการขายรถหลังหมดสัญญาเช่า เพราะเป็นลูกค้าคนละกลุ่มกัน
2.สินทรัพย์รวมปี55มีจำนวน 10,444.72MB เป็นสินทรัพย์ให้เช่าประมาณ7,800MB (มีพอร์ตรถเช่าหนึ่งหมือนกว่าคัน เป็นอันดับหนึ่งในตลาด Operating lease มีmarket shareประมาณ20% ทิ้งห่างที่2ประมาณ10%)
3.อัตราการเติบโตของรายได้ปี 55เทียบกับ 54 โตลดลงเมื่อเทียบกับอัตราการเติบโตของรายได้ปี54 เทียบกับ 53 เป็นเพราะฐานเดิมเล็ก และ ในปี 55 มีการซื้อทรัพย์สินให้เช่าเพิ่มประมาณ 4,000MB แต่เพราะยังรับรู้รายได้ไม่เต็มปี เลยทำให้การเติบโตของรายได้เหมือนน้อยกว่า คุณพิภพ ยังยืนยันว่าบริษัทมีการขยายฐานลูกค้าทั้งเก่าและใหม่ได้ดี ยังสามารถคงอัตราการเติบโตของรายได้ของบริษัทในระดับเลขสองหลัก(ที่ประมาณ10%/ปี) ได้เหมือนในอดีต โดยดำเนินงานอย่างระมัดระวัง ไม่แข่งด้านราคา เน้นคุณภาพการบริการและราคาเหมาะสม
4.ทิศทางการเติบโตของบริษัทหลังมีAEC บริษัทเห็นว่าเป็นโอกาส จะมีลูกค้าต่างชาติเข้ามามากขึ้น แต่บริษัทก็จะดำเนินการทั้งเชิงรุกและบริหารความเสี่ยงให้ดี การขยายธุรกิจไปประเทศเพื่อนบ้านกำลังมีการศึกษาอยู่ ไม่มีการไปตั้งสาขาตามหัวเมืองใหญ่ แต่ใช้วิธีให้saleไปหาลูกค้าแทน บวกกับมีพันธมิตรกับศูนย์บริการทั่วประเทศ เพื่อประหยัดต้นทุน อีกทั้งลูกค้าส่วนใหญ่ก็อยู่ในกรุงเทพแล้วลูกค้าก็นำไปใช้งานตามสาขาของลูกค้าที่อยู่ทั่วประเทศเอง
5.อัตรากำไรสุทธิต่อรายได้รวมปี54, 55 ที่ลดต่ำกว่าปี53 เป็นเพราะตลาดรถเช่าดำเนินงานมีผู้เล่นมากขึ้น และมีการแข่งด้านราคามากขึ้น แต่PL จะไม่แข่งด้านราคายกเว้นลูกค้าชั้นดีจะยอมลดmarginลงแต่ก็จะไม่ขาดทุน โดยถ้าmarginค่าเช่าลดลงจะไปได้กำไรเวลาขายรถหลังหมดสัญญาเช่าแทน
6.บริษัทมีแผนการที่จะเพิ่ม net profit margin โดยการลดcostการบริหาร ลดต้นทุนการให้เช่า(แต่ยังคงคุณภาพการบริการ)และขยายกำไรจากการขายรถหลังหมดสัญญาเช่ามากขึ้น
7.กระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่ติดลบในปี 54, 55 เพราะทางบัญชีให้ลงการซื้อทรัพย์สินเพื่อปล่อยเช่าเป็นส่วนของการดำเนินงาน ไม่ใช่ส่วนกระแสเงินสดจากการลงทุน ไม่ได้ซื้อทรัพย์สินมาแพง(แถมยังซื้อได้ถูกกว่าทั่วไปอีกด้วย) และทรัพย์สินที่ซื้อมาสามารถนำไปสร้างกระแสเงินสดให้บริษัทได้ทันทีไม่ต้องรอเหมือนการสร้างโรงงานหรืออาคาร
8.อันนี้เป็นคำถามจากลุงขวด เรื่องD/E ของบริษัท บริษัทยังตั้งเป้า D/E ไม่เกิน 5 เท่า โดยนับเฉพาะDebtที่มีดอกเบี้ย ในปี55 D/Eยังอยู่ที่ 3.76
9.มีการเสนอให้จ่ายปันผลปีละ 2ครั้ง ทางบริษัทจะรับไปพิจารณา
10.มีการเสนอให้จ่ายปันผลพิเศษจากกำไรสะสม (ที่มีอยู่ถึงประมาณ4บาทต่อหุ้น) ท่านประธานบริษัทบอกว่าบริษัทต้องรักษาความมั่นคงของบริษัทไว้ก่อน ต้องสำรองกองทุนไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน
11.สัดส่วนรายได้เป็นส่วนของFleet leasing เป็นส่วนใหญ่(Auto80+%, Air-craft 6%, Water-craft 10%) และ comercial leasing เป็นส่วนน้อย
12.การเติบโตของ Air-craft, Water-craft มีโอกาส บริษัทเน้นเฉพาะปล่อยเช่าบริษัทให้นำเครื่องบินหรือเรือไปดำเนินธุรกิจต่อ แต่ไม่ได้ทำตลาดluxuryลูกค้าส่วนบุคคลที่นำไปใช้ส่วนตัว และบริษัทคำนึงถึงความเสี่ยงที่จะเลือกทรัพย์สินที่มีตลาดรองรับและขายต่อได้ราคาดี
ความเห็นส่วนตัวนะครับ ผมชอบนโยบายการดำเนินธุรกิจของบริษัทที่ค่อนข้างconservativeครับ ไม่เน้นโตเร็วแบบเสี่ยงๆจนเกินไป คือถ้าปล่อยเช่าแล้วต้องไม่ขาดทุนแน่นอนถึงจะปล่อยเช่า (เหมือนกฏการลงทุนข้อที่1คือ อย่าขาดทุน)

ผมยังมีFileเสียงที่ผม ลุงขวดและน้องอาเหลียง ถามคำถามกับคุณพิภพอีกส่วนหนึ่งแต่ขนาดมันใหญ่เกินที่จะนำมาลง ถ้าใครอยากได้ก็mailมาขอได้นะครับที่ [email protected]
ต้องขอขอบคุณคุณพิภพและคณะกรรมการบริษัทเป็นอย่างมากที่ตอบคำถามได้ดีและกระจ่างครับ
PM
ton5533 เขียน:สรุปจากที่ประชุมครับ

อนาคตอัตราส่วนยอดขายของ modern trade จะค่อยๆขยายตัวเพิ่มมากขึ้น เพราะยอดขายตัวนี้จะเร็วกว่าโชว์ห่วยธรรมดาครับ แต่แน่นอนว่าสัดส่วน margin modern trade อำนาจการต่อรองเราน้อยกว่า

ปีนี้จะมีโปรดักออกใหม่อย่างน้อยสองตัวตามสัญญาครับ ที่แน่ๆ จะมีทาโร่อบกรอบเป็นไฮไลท์ ซึ่งใช้เวลาศึกษาตลาดค่อนข้างนาน และจะขยายกำลังการผลิตก่อนสิ้นปีนี้ประมาณ 10% ซึ่งจะใช้เงินลงทุนไม่เยอะ

เรื่องยอดขาย
ผู้บริหารยัง conservative เหมือนเดิมครับ 10% magic number
ตรงนี้ทางทีมของผู้บริหารแบ่งออกเป็นสองส่วนใหญ่ๆคือ
1. ธุรกิจจัดจำหน่าย ผลิตเอง ขายเอง วิธีการโตก็คือการเพิ่มจำนวนคู่ค้า taro กินสัดส่วนครึ่งนึงของธุรกิจนี้
2. ธุรกิจการผลิต วิธีการโตคือการออกรสชาติใหม่ๆ ออกโปรดักใหม่

ความเสี่ยง
- การยกเลิกเป็นคู่ค้ากันสามารถเลิกสัญญาได้ตลอดเวลา ถึงแม้จะมีสัญญา 3 ปี ก็ตามเพียงแค่บริษัทคู่ค้าต้องแจ้งล่วงหน้า 30 วัน 90 วัน แต่ผู้บริหารบอกเรื่องนี้ไม่น่าห่วงเพราะคู่ค้าต่างๆ ก็ synergy กันช่วยเหลือกัน ยกตัวอย่างพวก โอสถสภา จัดจำหน่ายโปรดักให้พวกร้านขายยา แต่เราจัดจำหน่ายโปรดักให้กับโชว์ห่วยทั่วไป ก็ได้ผลประโยชน์ด้วยกันทั้งคู่
- ทางผู้บริหารมีพูดถึงดีล cpall ด้วยนิดหน่อย บอกว่าตรงส่วนนี้อาจมีผลกระทบกับบริษัทในอนาคตในเรื่องอำนาจการต่อรอง ต้องดูกันต่อไป

เสริมเรื่องบาทแข็ง สินค้าส่งออกบริษัทบอกไม่ค่อยกระทบเท่าไหร่ครับ เพราะมี natural hedge อยู่แล้ว
- บริษัทเองมีการนำเข้าทูน่าด้วยเช่นเดียวกันกับการส่งออก
- สัดส่วนครึ่งนึงของการส่งออกคือ บริษัทจะรับจ้างผลิตอย่างเดียว เรื่องวัตถุดิบลูกค้าเป็นผู้จัดหามาให้ จึงไม่ค่อยมีผลกระทบในเรื่องขาดทุนค่าเงิน อีกทั้งยังมีการป้องกันความเสี่ยงโดยการทำ forward 3 เดือน
- อนาคตอาจมีผลกระทบยอดสั่งซื้อของลูกค้าบ้าง แต่บริษัทพยายามหาคู่ค้าใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นในส่วนของ ตะวันออกกลาง ยุโรป และ AEC เพื่อลดความเสี่ยง portion การส่งออกไปญี่ปุ่นที่ 70%-80%
PAP
it เขียน:ข้อมูลจากการประชุมสามัญผู้ถือหุ้น
สรุปข้อมูลที่ไม่ได้อยู่ใน Opportunity Day ข้อความใน () เป็นความคิดเห็นส่วนตัวครับ
1.ผลการดำเนินงานไตรมาส1 เป็นอย่างไรและอีก 9 เดือนจะเป็นอย่างไร
-บริษัทวางแผนยอดขายทั้งปีเพิ่มขึ้น 15% จากปี55
Q1 56 ผลการดำเนินงานเป็นที่น่าพอใจ (กำไรสุทธิน่าจะเพิ่มขึ้นเนื่องจากสินค้าคงเหลือที่ซื้อจากปี55 ดูจาก Q4 55 ที่กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเยอะมาก) และกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน
Q3-Q4 บริษัทจะพยายามทำให้ดีที่สุด เนื่องจากความผันผวนของราคาเหล็กโลกไม่นิ่งช่วงที่ผ่านมา ทางบริษัทต้องควบคุมสินค้าคงคลังและการขายให้ดีที่สุด
2.อัตรากำไรสุทธิปี 56 คาดว่าจะได้กี่เปอร์เซ็นต์
ไม่สามารถตอบเป็นเปอร์เซ็นต์ที่แน่นอนได้ แต่จะควบคุมให้ได้มากที่สุด เนื่องจากราคาเหล็กที่ผันผวนในตลาดโลก
3. มีแผนอะไรที่จะทำให้กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น
ออกสินค้าใหม่ๆที่มีกำไรมากขึ้น เช่น ผลิตท่อเหล็กแบบสี่เหลี่ยมผืนผ้าให้มีหลากหลายสี ขายใน สยามโกลบอลเฮาส์
4.ยอดขายที่จะเพิ่มขึ้น 15% มาจากตลาดใด
ยอดขายที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่ยังเป็นตลาดภายในประเทศ จะไปเน้นตามต่างจังหวัดมากขึ้น เนื่องจากการเติบโตที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และเรามองตลาด AEC โดยมองไปที่ ลาวและพม่า สินค้าที่ลาวและพม่าใช้ส่วนใหญ่นำเข้าจากไทย
(บริษัทไม่มีผู้แทนจำหน่ายทางภาคใต้ – บริษัทไม่ทำการตลาดภายใต้เนื่องจากพื้นที่จะจำนวนประชากร บวกกับค่าขนส่ง ถ้าจะขายทางภาคใต้ก็ต้องสร้างโรงงานทางภาคใต้ บริษัทมองว่าไม่คุ้ม)
5 เงินบาทที่แข็งค่าขึ้นมีผลอย่างไรต่อบริษัท
ตอนนี้ถือว่าดี เนื่องจากเราได้นำเข้าสินค้าจากต่างประเทศช่วงปลายปี 55 โดยจ่ายเป็น us กำหนดชำระเงิน 90 วัน

คุยกับท่านประธานหลังประชุม
อนาคตสิ่งปลูกสร้างจะหันมาใช้เหล็กมากขึ้น เนื่องจากต้นทุนการปลูกสร้างโดยการใช้ปูนจะมีต้นทุนสูงจากค่าแรงขั้นต่ำ300บาท ยกตัวอย่าง lotus ใช้เหล็กในการสร้างเสร็จเร็วกว่าการสร้างแบบเดิมครึ่งหนึ่ง
กำไรสุทธิจริงๆ 3.5% ท่านประธานบอกเป็นค่าที่พอใจ ถ้ากำไรสุทธิสูงๆคู่แข่งจะเข้ามาแข่งขันกันเยอะขึ้น ถ้ากำไรอยู่ในช่วงนี้คู่แข่งรายใหม่ๆก็ไม่เข้ามา เราก็ขยายฐานลูกค้าไปเรื่อยๆเพิ่มยอดขายไปอย่างต่อเนื่อง จนถึงจุดหนึ่งผู้แข่งขันรายใหม่ๆก็จะเข้ามาแข่งขันได้ยากขึ้น ยกตัวอย่าง ราคาไก่ บริษัทใหญ่สุดในไทยก็ไม่อยากให้ราคาขายไก่สูงๆ ถ้าราคาสูงก็จะมีคนมาแข่งมากขึ้น
ถ้ากำลังการผลิตเต็มจะทำอย่างไร ตอนนี้เราสามารถเพิ่มเครื่องจักรขยายกำลังการผลิตได้เล็กน้อยในโรงงานเดิม
เครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตเป็นเครื่องมือสองแต่ใช้งานได้ดี ราคาถูกกว่าเครื่องจักรใหม่ครึ่งหนึ่ง(คำพูดจากกรรมการ)
บริษัทสามารถที่จะซ่อมแซมเครื่องจักรเองได้ทั้งหมด และสามารถสร้างเครื่องจักรได้ด้วยแต่เราไม่ทำเพราะต้นทุนแพงกว่าซื้อ
ถ้าข้อมูลใดผิดพลาดจากประชุม รบกวนพี่ๆช่วยเติมเต็มแก้ไขข้อมูลให้ด้วยครับ มือใหม่ฝึกสรุป
PT
Freeman เขียน:เป็นการไปประชุมที่รู้สึกดีมากครับ รู้สึกมีความเข้าใจในธุรกิจทางด้านนี้มากขึ้นกว่าเดิมเยอะเลย (หลังจากมีบางเรื่องที่ยังรู้สึกสับสนอยู่มากมาย) ขอบคุณสำหรับคำถามดีๆจากเพื่อนๆพี่ๆด้วยนะครับ โดยเฉพาะ Lecture หลังจากประชุมเสร็จจากพี่ชัชสุดยอดเลย :D

ผมอัพเดตที่จดได้จากการประชุมนะครับ รวมถึงที่ถามท้ายการประชุมด้วย (ความเห็นส่วนตัวจะใส่ในวงเล็บของแต่ละข้อน่ะครับ อยากจะลงตัวเลขเหมือนกันแต่ว่ากล้องที่ถ่ายมาไม่ชัดเลยน่ะครับ ทำให้เขียนได้ไม่สมบูรณ์นะครับ) ขาดเหลืออย่างไร ช่วยเสริมด้วยนะครับ

1. งานทางด้าน On-Premise
ทางบริษัทให้คำจำกัดความว่าเป็นงาน "ตัวแทนขายสินค้า"
โดยถึงแม้มีการประมูล 3G แล้วเสร็จ ประมาณการณ์ยอดขายที่ตั้งเป้าไว้ในปี 2013 จะเติบโตประมาณ 10-15% ตามค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมไอที โดยเหตุที่ยอดขายไม่ได้โตแบบก้าวกระโดดตามที่คาดไว้ เนื่องจากทางอุตสาหกรรมโทรคมนาคมก็มีการลงทุนมาเรื่อยๆอยู่แล้ว ทำให้มีความพร้อมในการเปิดให้บริการอยู่พอสมควรแล้ว อย่างไรก็ดีอุตสาหกรรมทางด้านโทรคมนาคมนั้นจะมี cycle ในการเปลี่ยนอุปกรณ์ครั้งใหญ่ทุกๆ 3 ปีอยู่แล้ว อันเนื่องมาจาก Capacity เดิมเต็ม หรือว่าเป็นการ reinfrastructure ใหม่
(ผิดจากความคาดหมายไปค่อนข้างมากครับ ที่คิดว่าหลังจากการประมูล 3G รายได้จะเติบโตแบบก้าวกระโดด แต่อย่างไรก็ดีคุณหะรินให้ comment หลังงานว่า เป้าหมายของ PT คือการสร้างให้ยอดขายเติบโตตามอุตสาหกรรมไอทีที่มี growth 10-15% ทำให้เราสามารถคาดหวัง momentum ว่ายอดขายของ On-Premise น่าจะโตขึ้นไปได้เรื่อยๆเช่นเดียวกัน ตอนแรกผมคิดว่าหลังจากงาน 3G เสร็จจะเห็นการตกลงอย่างมากของยอดขายน่ะครับ ก็โอเคเหมือนกันครับ)

โดยงานทางด้านนี้มี GP ประมาณ 18% งานในปี 2012 นั้นกลุ่มลูกค้าหลักยังเป็นกลุ่มโทรคมนาคมอยู่ดี โดยงานสำหรับลูกค้าในกลุ่มนี้สามารถแบ่งงานได้เป็นสองลักษณะ คือ การติดตั้งขายสินค้าธรรมดา และ การร่วมมือกับ partner ในการพัฒนาสินค้าเพื่อตอบสนองลูกค้า นอกจากนี้กลุ่มลูกค้าถัดไปจะเป็นพวกสถาบันการเงิน
(สัดส่วนของสองกลุ่มนี้ค่อนข้างมาก เกือบ 50% เลยทีเดียว นับได้ว่าพอร์ตการค้าส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มลูกค้าที่พร้อมจะให้ premium เพื่อแลกกับคุณภาพของงานและการบริการที่ดีได้นะครับ)

2. งานทางด้าน Data Center & Outsourcing Services
ณ ปัจจุบันทางบริษัทยังอยู่ในเพียงแค่ Phase 1 เท่านั้น โดยมี Capacity ที่ 64 rack ใช้ไปแล้วเพียง 34 rack เท่านั้น โดยคาดว่าอีก 2 ปีถึงจะใช้ Capacity จนเต็ม เมื่อเต็มแล้วทางบริษัทสามารถเปิด Phase 2 ได้อีก โดยมี Capacity ที่ 50 rack โดยมีการลงทุนทางด้าน Infrastructure รองรับไว้หมดแล้ว โดยเทคโนโลยีทางด้านไอทีนี้ จะมีลักษณะการใช้ Space ให้น้อยลง รวมถึงการขยาย Density ให้มากขึ้นด้วย
งานในกลุ่ม recurring นั้นให้มี GP ประมาณ 42%
มีการถามถึง Competitive ของ Data Center จาก DCS โดยทางคุณหะริน อธิบายว่าตลาดของ Data Center นี้จะแบ่งเป็นตลาดบนกับตลาดล่าง โดย DCS นี้จัดอยู่ในตลาดบน ที่ลูกค้า Serious เกี่ยวกับเรื่องของคุณภาพ, การรักษาความลับข้อมูลของลูกค้า รวมถึงการมี Value Added ให้กับลูกค้า โดย Data Center ที่จัดอยู่ในกลุ่มนี้จะมี IBM, TCC Technology และก็ DCS อย่างไรก็ดี TCC Technology และ DCS มุ่งเน้นตลาดคนละกลุ่มกัน
อีกรูปแบบหนึ่งจะเป็น Data Center ในตลาดล่างที่เน้นเรื่องราคาเป็นหลัก โดยไม่มี Value Added ให้
(Value Added คุณหะรินยกตัวอย่างตอนท้ายงานให้ฟังว่า ตอนที่ลูกค้านำเครื่อง Server มาฝากนั้นจะมีบริการที่เกี่ยวข้องต่างๆมากมายให้ลูกค้าได้เลือก โดยลูกค้าก็จะจ่ายเงินตาม Option ที่เลือกนั้น อย่างเช่น มีธนาคารระดับกลางแห่งหนึ่งมาฝาก Server เกี่ยวกับ Mobile Banking โดยทาง DCS ก็รับผิดชอบเกี่ยวกับงานทางด้านไอทีเสริมในการ run Application ตัวนี้ให้ได้ อาจจะรวมถึงการมี call center และ professional service ต่างๆไว้คอย support , อย่างไรก็ดี switching cost ในการเปลี่ยน Data Center นั้นสำหรับลูกค้าเองก็ไม่ค่อยสูงมากนัก โดยเหตุผลการเปลี่ยนอาจจะมาจากหลายๆอย่าง อย่างเช่น การบริการ ราคา และจากหลายๆปัจจัย)
โดย Trend ของการใช้ Data Center & Outsourcing นั้นจะค่อนข้างดี โดยลูกค้าเริ่มมีแนวคิดที่ว่าเช่าใช้แทนซื้อสินค้าไปใช้เองน่าจะดีกว่า ทำให้ประหยัดค่าของรวมถึงคนในการดำเนินการ
นอกจาก ISO ทั้ง 2 ตัวทางด้าน Data Center ของ DCS แล้ว ณ ปัจจุบันทางบริษัทกำลังดำเนินงานขอ ISO อีกตัวหนึ่งที่เกี่ยวข้องทางด้านนี้
(นับได้ว่าจะเป็นจุดแข็งที่สำคัญ เพิ่มขึ้นอีกน่ะครับ ในกลุ่มลูกค้าระดับบน โดยกลุ่มลุกค้าระดับบนนี้ความน่าเชื่อถือของระบบ และการรักษาความลับของชข้อมูลจะสำคัญมาก ยกตัวอย่างเช่น งานทางด้าน Mobile Banking ถ้าระบบล่มไปสัก 2 นาที ทางผู้บริหารของธนาคารนั้นน่าจะเพิ่งเล็งไปที่กลุ่มทำงานได้โดยง่าย, หรือว่าการเป็นศูนย์ข้อมูลให้ธนาคารแต่ละสาขาติดต่อเข้ามาทำธุรกรรม ถ้าระบบล่มไปสัก 1 นาที น่าจะเกิดเสียงบ่นจากหลายฝ่ายได้มากเช่นกัน)

3. งานทางด้าน Cloud Application
เป็นในส่วนที่ทางบริษัทอย่างจะมุ่งเน้นในอนาคตอันใกล้นี้ โดยผลตอบรับของ D-Work นี้ค่อนข้างดี มี user แล้วสัก 10,000 คน โดยคาดหวังว่าการเติบโตน่าจะอยู่ในระดับหลัก 100% ต่อปีได้เนื่องจากฐานยังไม่ใหญ่มากนัก โดยทางผุ้บริหารมองว่างานทาง IT ของไทยตามหลังอเมริการสัก 5 ปี ดังนั้นระยะนี้น่าจะเป็นระยะเริ่มต้นของไทยอยู่ในการทำตลาด
นอกจาก D-Work แล้วทางบริษัทยังร่วมมือกับบริษัทอื่นในการเปิด cloud application ใหม่เป็น Office Ability อีกด้วย
ปัญหาโดยหลักที่ทางลูกค้ากังวลในการใช้งานส่วนใหญ่จะเป็นปัญหาทางด้าน Security ซึ่งทางบริษัทก็ต้องพยายามทำความเข้าใจกับลูกค้าให้ได้ อย่างไรก็ดีข้อดีของ Cloud Application นั้นจะมีราคาถูกกว่าการซื้อซอฟแวร์มาใช้งานเองเนื่องจากเป็น Pay per use รวมถึงเมื่อลูกค้าใช้งานแล้วมักจะติดใจและเลิกยาก โดยการเติบโตในการใช้ Cloud Application จะมี 2 มิติ มาจากจำนวน user ที่เพิ่มมากขึ้น รวมถึงการใช้งาน module อื่นที่มากขึ้นของทางลูกค้า
(ค่อนข้างประทับใจนะครับ เนื่องจากทางบริษัทเน้นเจาะตลาดสำหรับพวกองค์กร ซึ่งเป็นตลาดค่อนข้างใหญ่ รวมถึงการพัฒนา application สำหรับตลาดนี้ ถ้ามี application ใหม่ น่าจะชักชวนให้ลูกค้าเก่าทดลองใช้ได้ง่ายขึ้น โดยความคิดเห็นส่วนตัวงานทางด้าน cloud งานทางด้านการตลาดในการให้ลูกค้ามาทดลองใช้จะค่อนข้างยากมาก โดยเมื่อมีฐานลูกค้าในมือแล้ว ก็ช่วยด้านการขาย application อื่นๆต่อไป นอกจากข้อดีของการมี Data Center ที่มีคุณภาพสูงจะเหมือนเป็นแม่เหล็กให้ผู้ผลิต cloud application รายอื่นเข้ามาร่วมมือกับทางบริษัทได้ด้วยเช่นเดียวกัน โดยร่วมมือกันและแบ่งผลประโยชน์เป็นรายได้ก็ได้ด้วยเช่นกัน)

3. รายได้ Breakdown
2011 2012
Recurring 482 556 --> growth 15%
Non-recurring 73 140
On-Premise 1280 1500 --> growth 17%
โดยทางบริษัทนั้นมุ่งเน้นลูกค้าที่เซ็นสัญญาระยะยาวเป็นหลัก โดยมีแผนงานในระยะยาวให้รายได้จาก On-Premise กับ Recurring อยู่ในอัตราส่วน 50:50

Recurring breakdown
Q1 12 : 123 ล้านบาท
Q2 12 : 134 ล้านบาท
Q3 12 : 141 ล้านบาท
Q4 12 : 156 ล้านบาท
(รายได้ในส่วนนี้มีการเติบโตทุกไตรมาส ค่อนข้างน่าจะภูมิใจครับ)

4. การออก Opp Day ในอนาคต
ทางบริษัทวางแผนไว้ว่าจะมาออกสักปีละ 2 ครั้งครับ โดยเริ่มจาก Opp Day ของไตรมาส 2

5. งานในพม่า ทาง DCS ก็มีรับงานในพม่าเหมือนกัน ซึ่งคาดว่าก็อยากจะบุกเบิกเพิ่มเติมต่อไปด้วย
Nanotube เขียน:ขอบคุณทุกๆ ท่านมากที่ช่วยสรุปข้อมูลจาก AGM นะครับ และก็ยินดีที่ได้รู้จักทุกๆ คนเลยครับ และก็ขอยืนยันอีกเสียงว่าพี่ชัช Lecture ได้เทพมากๆ ครับ และที่ผมได้ข้อมูลเชิงลึกของ PT ก็ได้ความช่วยเหลือจากพี่ชัชคนนี้ล่ะครับ :bow: :bow: :bow:

วันนี้รีบปั่นงานเกือบเสร็จล่ะ ขอแบ่งเวลามาให้กิจการของตัวเองบ้างดีกว่า :mrgreen:

จริงๆ หลายๆ ท่านก็สรุปได้ครบแล้ว ผมขออนุญาตเสริม บวกกับความเห็นส่วนตัวดังนี้ครับ

คำถามที่ผมถามในที่ประชุมนั้น บางคำถามผมต้องการให้ ผบห พูดออกสื่อ เพื่อย้ำความเข้าใจว่าสิ่งที่ผมได้โพสต์ในห้องนี้ใกล้เคียงกับข้อเท็จจริงของบริษัทที่ทาง ผบห เปิดเผยมากที่สุด ซึ่งสิ่งที่ตรงกันคือ

1. 3G จะทำให้เกิดธุรกิจเกี่ยวเนื่องตามมามากมาย ซึ่งทั้ง Operators และธุรกิจใหม่ๆ นั้นต้องมีการลงทุนด้าน IT รองรับ เช่น Server และ Security เพื่อรองรับปริมาณข้อมูลที่เพิ่มขึ้นมหาศาล รวมถึง Digital TV ที่กำลังจะเกิดขึ้น ที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนให้ปริมาณข้อมูลเพิ่มสูงขึ้นในอัตราเร่ง

2. นอกจากการลงทุนใหม่ดังกล่าวแล้ว งานด้าน On Premise จะมาจากการ Upgrade หรือ Replace อุปกรณ์ตามอายุการใช้งาน ซึ่งโดยเฉลี่ยมีอายุประมาณ 3 ปี ซึ่งที่ผ่านมาลูกค้าที่เคยสั่งซื้อจาก DCS ก็มีจะสั่งซื้ออย่างต่อเนื่องในทุกๆ รอบการลงทุน

3. ปัจุบัน DCS ให้บริการลูกค้ากว่า 1,000 ราย ทำให้ช่วยลดความเสี่ยงในด้านความผันผวนของรายได้ที่เกิดจากรอบการซื้ออุปกรณ์ 3 ปี ครั้ง (ลูกค้าแต่ละรายมีรอบการเปลี่ยนอุปกรณ์ไม่ตรงกัน)

4. พื้นที่ Data Center ใน Phase 1 มีการใช้งานแล้ว 34 Racks เหลือว่างอยู่ 30 Racks อันนี้ใกล้เคียงกับที่ผมได้ข้อมูลมา ซึ่ง 30 Racks ที่ว่างอยู่นี้มาจากการเพิ่ม Rack ในพื้นที่ของ Phase 1 ที่ผมเคยโพสต์ก่อนหน้านี้ ซึ่งสูงกว่าที่ผมคาดไว้ว่าจะสามารถเพิ่มได้อีกเพียง 19 Racks :mrgreen:

5. Cloud Service โดยเฉพาะ D-Work ปัจจุบันมี User 10,000 คน ผมชอบตรงที่ ผบห. ให้ข้อมูลว่าการเติบโตของรายได้จาก D-Work จะมาจาก 2 มิติ คือ User เพิ่ม และ Module เพิ่ม ความหมายคือ D-Work จะเก็บค่าบริการตามการใช้งานจริง คิดเป็น xx บาทต่อหัวต่อเดือน ซึ่งราคาจะขึ้นกับจำนวน Module ที่เลือกใช้ ซึ่งผมคาดว่าช่วงปีที่ผ่านมาลูกค้าส่วนมากน่าจะเป็นกลุ่มทดลองใช้ ดังนั้นน่าจะใช้แค่ Standard Module ซึ่งหลังจากใช้แล้วมั่นใจในระบบมากขึ้นบวกกับติดใจใช้แล้วเลิกยากก็ยอมจ่ายแพงขึ้นเพื่อเพิ่ม Module หรือฟังก์ชั่น ในการใช้งานเพิ่มขึ้น ซึ่งน่าเสียดายมากที่ ผบห ไม่เปิดเผยข้อมูลว่า Standard Module ราคาต่อหัวต่อเดือน เป็นเท่าไหร่ และบวกเพิ่มอีกเท่าไหร่สำหรับแต่ละ Module ที่ใช้บริการเพิ่มขึ้น

สิ่งที่ไม่ตรงคือ กำไรจากการตั้ง DTA 6 ล้านบาท จะวิ่งเข้ากำไรสะสมเลย ไม่บันทึกเข้่างบกำไรขาดทุน :'O แต่น่าจะได้ FX Gain มาชดเชยเนื่องจากสินค้าที่สั่งซื้อเข้ามาเป็นสกุล USD แต่มีกำหนดชำระประมาณ 3 เดือน ซึ่งตั้งแต่ต้นปีเงินบาทแข็งค่าประมาณ 6% ถ้าประมาณการชำระแบบ FIFO เร็วๆ จะได้ว่า Inventory 440 ล้านบาทมี FX Gain 440 * (6% / 2) ~ 13 ลัานบาท (ประมาณแบบคร่าวๆ นะครับ)

Key Analysis ที่ได้จากการประชุม

1. ถ้ามีการใช้งาน Data Center เต็มทั้ง 2 Phase ผมลองประมาณรายได้ในส่วนของ Recurring น่าจะอยู่ที่ประมาณ 900 ล้านบาทต่อปี (ยังไม่รวมในส่วนของ D-Work) หรือมีรายได้ส่วนเพิ่มประมาณ 350 ล้านบาทต่อปี ถ้าให้ GPM 42% จะได้ว่า GP ส่วนเพิ่มหลังหักภาษีที่จะวิ่งเข้า NP เลยประมาณ 110 ล้านบาท

2. ถ้า D-Work สามารถเพิ่ม User ได้ถึง 100,000 คน (ซึ่งผมมองว่าเป็นไปได้โดยประเมินจากข้อมูลสำนักงานสถิติที่ระบุว่าประเทศไทยมีจำนวนพนักงาน Office ประมาณ 10 ล้านคน ดังนั้น 1 แสนคน หรือ 1% ของตลาดไม่น่าจะเกินความสามารถของ DCS ในการทำตลาด D-Work) โดยตั้งสมมติฐานว่า Q4/55 มีรายได้ D-Work จาก User 10,000 ราย ตลอดไตรมาส และรายได้จาก D-Work ประมาณ 2% ของ Recurring จะได้ว่ารายได้จาก D-Work ที่ 100,000 ราย ประมาณ 120 ล้านบาทต่อปี ซึ่งผมเข้าใจว่ารายได้ส่วนนี้แทบจะไม่มีต้นทุนขายเลย เนื่องจากใช้โปรแกรมที่พัฒนาขึ้นมาเอง โดยผมคาดว่า GPM น่าจะประมาณ 80% จะได้ว่า GP ส่วนเพิ่มหลังหักภาษีที่จะวิ่งเข้า NP เลยประมาณ 77 ล้านบาท

3. ถ้าคิดแบบ Worst case คือให้รายได้จาก On Premise ไม่โตเลย และงาน Professional Service อื่นๆ รวมถึงงาน Digital Content เท่ากับปี 55 ซึ่งมี NP ประมาณ 73 ล้านบาท จะได้ Target NP ขั้นต่ำปีละประมาณ 260 ล้านบาท หรือประมาณ 1.83 บาทต่อหุ้น ซึ่งผมเชื่อว่าเป็นไปได้ในอีกไม่เกิน 3 ปีข้างหน้าครับ

4. ถ้าคิดโดยให้ On Premise โต 15% ต่อปี ตามที่ ผบห ประมาณการ จะได้ว่าอีก 3 ปีข้างหน้า รายได้จาก On Premise จะประมาณ 2,200 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 700 ล้านบาท ซึ่งถ้าให้ GPM 18% โดยมีค่าใช้จ่ายในการขายอีก 10% จะได้ว่า GP ส่วนเพิ่มหลังหักภาษีที่จะวิ่งเข้า NP เลยประมาณ 45 ล้านบาท ดังนั้นจะได้ NP ในอีก 3 ปีข้างหน้าประมาณ 305 ล้านบาท หรือประมาณ 2.15 บาท

อันนี้เป็นวิธีประมาณการคร่าวๆ โดยใช้วิธีคิดแบบส่วนเพิ่ม เพื่อให้เห็นภาพนะครับ เผื่อใครอยากนำไปปรับใช้ และกำหนดสมมติฐานที่เหมาะสมของแต่ละคนต่อไปครับ

สุดท้ายต้องขอขอบคุณ ผบห และกรรมการทุกท่านโดยเฉพาะคุณหะริน และ คุณวิเชียร สำหรับข้อมูลดีๆ ตลอดการประชุม AGM ครั้งนี้ด้วยครับ

ตอนแรกว่าจะเขียนแป็บเดียวแต่สุดท้ายติดพัน ลากยาวมา 3 ชั่วโมง พรุ่งนี้ไปหลับในที่ประชุมอีกแล้ว :oops:
tanapol เขียน:ขอเสริมพี่ freeman ครับ

รายได้ recurring (ที่โตจากปีก่อนมา 15%) ประกอบด้วย 3 ส่วนคือ

1. professional service 20%
2. digital content+cloud 20%
3. data center 60%

จากรายงานประชุมผู้ถือหุ้นปี เม.ย.2555 พบว่า utilization ของ data center อยู่ที่ 35%
แต่ปีนี้อยู่ที่ 53.1% ครับ จะเห็นได้ว่าโตค่อนข้างเร็วมาก (52% ใน 1 ปี)

และผบห.เชื่อว่าไม่น่าเกิน 2 ปี rack ของเฟสแรกน่าจะเต็ม (อัตราเติบโตใกล้เคียงกับปี 2555 ครับ :mrgreen: :mrgreen: :mrgreen: )

และถ้า data center โตได้ปีละ 50%
ปีต่อๆ ไป ผมเชื่อว่า recurring ของเราคงโตได้เกินปีละ 15% ครับ
(เพราะรายได้ data center เป็นสัดส่วนที่มากของ recurring income)

ซึ่งก็จำทำให้ gpm จาก recurring (ปี 55 อยู่ที่ 42% ครับ) ยิ่งมากขึ้นไปอีก
(data center ลงทุนมากๆ กับพนักงาน ค่าเสื่อมตึก และอุปกรณ์ครับ)

ดังนั้นเป้าหมาย (ที่เก็บไว้ลุ้น) จากการประชุมครั้งนี้คือ
1. รายได้ recurring โตมากกว่า 15% ต่อปี
2. gpm จาก recurring มากกว่า 42% ในปี 2556

:B :B :B
PHOL



monsoon wrote:


• โครงสร้างรายได้ปีที่ผ่านมา 1. อุปกรณ์เซฟตี้ 650 ลบ. (78.59%) 2. การควบคุมสภาพแวดล้อม 129ลบ. (16.36%) 3. กลุ่มสินค้าและบริการ 39 ลบ. (5.05%)
• GP ลดลงจาก 29%-->27% NPM เพิ่มขึ้น 3.9%--> 5.63% กำไรโต 54.99%
• การเปลี่ยนแปลงและพัฒนาการที่สำคัญ 1. ขยายสาขาไปยังภาคใต้ อ.เมือง ภูเก็ต 2. แต่งตั้ง บ.เอการ์ ตัวแทนจำหน่ายในพม่า สินค้ากลุ่มน้ำ 3. ได้รับการรับรอง OHSAS18001:2007 4. ได้ CG ระดับ “ดีเลิศ” 5. ได้รับ set award การรายงานบรรษัทภิบาลดีเยี่ยม
• ผมยกมือถามเรื่อง ลูกหนี้การค้าค้างชำระ เกิน 180 วันขึ้นไป จากปี54ที่ 5.9ลบ. เพิ่มขึ้นเป็น 7.8ลบ. ในหมายเหตุประกอบงบการเงิน ผบห.ตอบว่าเป็นหนี้ที่ไม่ดี จากลูกค้า 2-3ราย จริงๆเป็นบริษัทใหญ่มากมีชื่อเสียง แต่ไม่ขอเปิดเผยชื่อ คาดว่าอาจจะไม่ได้คืนทั้งหมด หรือถ้าได้คืนคงได้นิดหน่อย
• หนี้ long-term จะต้องอยู่ในสัดส่วนที่เหมาะสม การลงทุนจะต้องพิจารณาว่ามี IRR เท่าไร มีระเบียบปฏิบัติอยู่แล้วขอให้ ผถห.วางใจ จะกู้ยาวหรือสั้นให้ดู ดอกเบี้ยเป็นหลัก (ส่วนนี้ผมก็ งงๆอะคับ)
• คุณบุญชัย ceo คนใหม่ผ่านการทดลองงานแล้ว ใช้เวลา 6 เดือน
• โบนัสกรรมการ ขึ้นอยู่กับเงินปันผลที่จ่ายแก่ผถห.ที่ 2.5% แต่ต้องไม่เกิน 3 ล้านบาท
• ถามเรื่องการเติบโตไปที่ 2,500ลบ.ภายในปี 2017 ผบห.ตอบมาแบ่งออกเป็น 2 ส่วน
• 1. อุปกรณ์ Safety – ตลาดนี้มีผู้เล่นไม่เยอะ ผู้ผลิตก็ไม่เยอะ เราโชคดีที่อยู่ในตลาดมา 30ปี ฐานลูกค้ามากกว่า 5,000ราย ในประเทศ คู่แข่งอันดับสองห่างจากเรา 3 ช่วงตัว (ผมไปถามหลังไมค์ ได้ความว่าคู่แข่ง คือ3M) ส่วนนี้จะโตไปพร้อมกับเศรษฐกิจของประเทศ ไม่สามารถคาดหวังว่าจะโตแบบก้าวกระโดด ค่อนข้างมั่นคง โตสม่ำเสมอ ค่อยเป็นค่อยไป อนาคตจะบุกตลาดล่างมากขึ้น แต่มาร์จิ้น(GP)จะต่ำ ประมาณ15-20% ถ้าเป็นตลาดบน ประมาณ 30% เราพยายามจะทำ market share ให้มากขึ้น
• 2. สินค้ากลุ่มบำบัดน้ำ – เราตัดสินใจเข้าสู่ธุรกิจนี้เมื่อ 3 ปีที่แล้ว โอกาสมันมีมากขึ้นเรื่อยๆ เช่น สภาพน้ำแล้งในปีนี้ การบริหารจัดการน้ำประเทศเรายังไม่ดี การประปานครหลวงserveได้ 20% ใช้น้ำใส อีก 80% ยังล้าสมัย ใช้น้ำขุ่น ส่วนมากจะได้จากประปาหมู่บ้าน มีท่อเล็ก ใช้น้ำคลอง น้ำบาดาล ที่ไม่ค่อยสะอาด เรามีแผนจะขายเครื่องกรองน้ำในบ้านด้วย จะเกิดต้องมีประปาหมู่บ้าน ส่วนพวกตลาดสถาบัน บำบัดน้ำเพื่อการผลิต ตามโรงแรม โรงพยาบาล 3 ปีที่ผ่านมาเรามุ่งภาคอุตสาหกรรม ตอนนี้เรายังตามอยู่ ใช้ technology ไม่สูงส่ง เราอยู่ในจุดที่แข่งขันได้ กาลเวลาจะช่วย ในการธุรกิจเครื่องกรองน้ำประจำหมู่บ้าน หลักๆจะเป็นเรื่องmanpower ที่มีความรู้เรื่องน้ำ ต้องหาคนเก่ง คนดีเข้ามาร่วมงานกับเราให้ได้ ธุรกิจนี้ GP จะต่ำ ถึงต่ำมากๆ volume สูง management cost จะต่ำ สุดท้ายจะทำให้ npm ของเราสูง เพราะฉะนั้นมองไปข้างหน้า GP ของเราจะลดลง แต่ NPM จะสูงขึ้น (ประมาณ 8% หลังหักภาษี, 10%ก่อนภาษี)
• คาดว่าเราจะโต 2.5 เท่าของ GDP ในช่วง 3-5ปี ข้างหน้า เพราะฉะนั้น ตัวเลข 2,500ลบ.เป็นไปได้ใน 5 ปีนี้ ตามแผนที่เคยให้ไป ไม่ยาก (ปีนี้มีสิทธิ์ขึ้นถึง 1,000ลบ.)
• การ M&A มีอยู่แล้วในแผน เริ่มคิดกันเมื่อปีที่แล้วในไตรมาสสุดท้าย ไปที่ไหนยังตอบได้ เมื่อก่อนเราโตแค่ภายใน ด้วยระบบของเราเอง โอกาสของเรามีทั้ง vertical integration – upstream คือเรื่องของการผลิต และ downstream คือพวก retail & wholesale
• Biz model ที่เราใช้มาวันนี้เราใช้มา 30ปีแล้ว ต่อไปคาดว่าจะต้องขยายบริษัทลูกที่มี biz model ที่แตกต่าง
• Investment policy ถ้าจะเข้าไป acquire กิจการต่างๆ ต้องตั้ง target เข้าไปถือหุ้น ไม่น้อยกว่า 25% อยากจะเป็น active investor
• Phol shop เป็น retail outlet เป็นช่องทางการจัดจำหน่ายสู่ผู้บริโภครายย่อย คือเป็นร้านสะดวกซื้อ ถ้าสำเร็จก็จะขาย franchise
• ตอนนี้เราขายให้ central ชลบุรีและขอนแก่น ทำมาสองปีแล้ว เราได้ค่าขายน้ำ โดยที่ต้องบำบัดน้ำให้เค้า
• งานที่พม่าเราเปิดมาได้ 6 เดือนแล้ว เราอยู่ในระดับที่ 4-5 ในประเทศ ยอดประมาณ 500,000บาท/เดือน โมเดลพม่าถ้าทำได้สำเร็จจะนำมาใช้กับ กัมพูชา เวียตนาม ลาว ต่อไปตามลำดับ พยายามให้มี foorprint ในประเทศนั้นๆ ถ้าเค้าโต เราก็จะได้โตตามไปด้วย
• ผมถามเรื่องผลกระทบค่าเงินบาทที่แข็ง – ผบห.ตอบว่าเรานำเข้า 70% กำไรจากการแข็งค่าของค่าเงินบาทใน Q1 ก็พอสมควร ยังบอกตัวเลขไม่ได้ ท่านประธานพูดประมาณว่า เราได้ส่วนต่างตรงนี้ ลูกค้าก็รู้ว่าเราได้มาถูก พอไปขายลูกค้า เราก็คงไม่ไปเอากำไรกับเค้าเกินควร ส่วนถ้าค่าเงินบาทอ่อน เราก็ได้ทำ forward เอาไว้แล้ว
"Champions aren't made in gyms. Champions are made from something they have deep inside them: A desire, a dream, a vision.
ภาพประจำตัวสมาชิก
crazyrisk
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 4562
ผู้ติดตาม: 40

Re: รวบรวม AGM Q1 /2556 ครับ

โพสต์ที่ 5

โพสต์

Q

QLT
nattawutw เขียน:ครับ หลังประชุม ก็มี 4-5 อยู่รอคุยกับ CEO ต่อครับ

แต่เท่าที่ฟัง ก็ไม่มีอะไรใหม่แหละครับ

คาดการณ์การเติบโต ก็ค่อยเป็นค่อยไป ซัก 10% เพราะท่านบอกว่าไม่อยากให้โตมากไป อยากให้มัน balance

เรื่องคู่แข่งตอนนี้ ก็มีจากต่างประเทศมามากขึ้น ซึ่งเค้าจะใช้กลยุทธ์ด้านราคา ซึ่งเราคงสู้ไม่ได้แน่ๆ

ของ QLT ยังคงเน้นที่คุณภาพครับ

เรื่อง Advance ที่ลงทุนเพิ่ม ส่วนหนึ่งก็เพื่อรักษาฐานลูกค้าเดิมครับ อีกส่วนก็เป็นการลดเวลาการทำงาน ซึ่งปีนี้ ก็คงจะลงทุนต่อไป

เรื่องเงินสดที่ถือเยอะอยู่ ก็ปันผลออกมาให้เห็นในปีนี้ครับ

ปัญหา ก็เรื่องเดิมครับ เรื่องคน ซึ่งผมคิดว่าเป็นปัญหาที่ยากที่จะแก้หล่ะครับ ท่านบอกว่า ค่าแรงตอนนี้ ให้มากกว่าขั้นต่ำก็ยังหาคนไม่ได้เลยครับ จะไปใช้ต่างด้าว ก็คุณภาพไม่ได้ครับ ดังนั้น เรื่องค่าแรง อาจจะต้องสูงขึ้น อาจกระทบค่าใช้จ่ายอีกแหละครับ

Turn Over Rate ก็ประมาณ 10% (ถ้าจำเลขไม่ผิดนะครับ)
แต่ที่ออกๆไป ส่วนใหญ่ ก็คือ พวกที่เข้ามาใหม่ครับ ทำงานได้ปีสองปี

ส่วนพวกหัวหน้า ท่านบอกว่า พวกนี้ยังไม่ออกครับ และท่านก็จะพยายามดึงให้เค้าอยู่กับบริษัทนานๆครับ
ซึ่งท่านพยายามจะรักษาวิศวกรนี้ให้ได้ เพราะอยู่กันมานานแล้ว

เรื่องคน ปัญหาที่ท่านยกตัวอย่าง ก็คือ วิศวกรจบใหม่ครับ ถ้าเราเสนอเงินเดือน เท่า ปตท. หรือ สผ. คิดว่า เค้าจะมาควอลิเทคหรือป่าวครับ... คำตอบก็น่าจะอยู่ในใจทุกคน ว่าคงไม่.. เพราะคงมีคนถาม ว่า ควอลิเทคเป็นใคร ท่านเลยมีไอเดียจะทำเรื่อง branding ครับ ให้คนรู้จัก QLT ให้ได้ จะได้มีคนมาทำงานกับเราบ้าง

ส่วนเรื่องระดับล่างหน่อย ท่านก็ไปเป็นอาจารย์ใน สถาบันศึกษาครับ (จำชื่อสถาบันไม่ได้ขออภัย) เพื่อพยายามจะดึงคนเข้าบริษัทเช่นกันครับ

งานของ ปตท. (นครสวรรค์ โคราช) คาดการณ์ว่าน่าจะได้ครับ เพราะผู้รับเหมาน่าจะเป็นจากจีนครับ อย่างอันก่อน ผู้รับเหมาอินเดีย อันนี้เราไม่ได้เพราะ เค้ามา เค้าก็เอา NDT ของเค้ามาด้วย แล้วมาขอใช้ชื่อเรา ให้แค่ 3% ครับ ท่านก็ปฏิเสธไป

ส่วนเรื่องพม่า ท่านก็บอกว่า เราไปที่นู้น เปรียบเทียบเหมือน เราอยู่ไทยลีก แล้วเราไปเตะพรีเมียร์ลีกครับ ก็เลยต้องขอกลับมาตั้งหลักใหม่

เรื่องลงทุนอื่นๆ ท่านก็บอกว่า ถ้ามีโอกาส ก็จะทำครับ แต่ที่ผ่านมาก็ยังไม่มีโดนๆ ซึ่งการลงทุน ก็คงไม่ใช่แค่ 10-50 ล้าน อาจจะต้องรบกวนผู้ถือหุ้นอีกครับ ถ้าจะลงทุนอะไรจริงๆ

จำได้เท่านี้ฮะ ไม่ได้จดอะไรเลย :'O :'O :'O

R
S
SNP
MACUS เขียน::oops: ขอ Update ข้อมูลที่ได้จากงานประชุมผถห ครับ (ตกหล่นประการใด หรือผิดประการใดรบกวนพี่ ๆ ช่วยชี้แนะครับ เนื่องจากผมจดทันมั่ง ไม่ทันมั่ง เพราะแต่ละท่านพูดเร็วมาก เกือบจะบอกให้ช่วย " กรุณาพูดอีกครั้ง " :wink: )

บรรยากาศก็ดูดีครับ มีอาหารเลี้ยง (ได้ยินจากพี่ที่ไปด้วยว่าปีที่แล้วมีคนโวยวายว่าไม่ได้ทานข้าวมา และก็ไม่มีข้าวเลี้ยง) มีคุกกี้กล่องใหญ่ กับชุดอาหาร caterman มาเป็นของที่ระลึกครับ

เข้าสู่ช่วงคำถามครับ
1.เกี่ยวกับสัดส่วนรายได้ในรายงานประจำปีในส่วนของรายได้จากร้านอาหารและเบเกอร์รี่ที่รวมกันอยู่ พอจะแยกได้ไหมว่ายอดเป็นอย่างล่ะเท่าไหร่ครับ

Ans เบเกอร์รี่ 45% ของยอดขายรวม ส่วนร้านอาหารเป็น 30% ของยอดขายรวม (ซึ่งก็คือ 75% เป็น 6.2 พันล้านบาท)

2. สอบถามเกี่ยวกับ GP ของร้านอาหาร กับ เบเกอร์รี่ช๊อป

Ans ร้านอาหาร 8-12% เบเกอร์รี่ 15-20% (ฟังแล้วผมก็คิดไปว่า GP ในงบมัน 46% อันนี้น่าจะเป็น Operation Profit คนตอบน่าจะเมา หรือลนก็ไม่รู้ ผมก็เลยไม่ถามต่อล่ะ)

3. สอบถามเกี่ยวกับ ยอดลูกหนี้การค้า กับสินค้าคงเหลือ ที่เพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก

Ans เกิดจากการขายสินค้าเข้า Discount Store, 7-11 ซึ่งพวกนี้จะขายเป็นเครดิต Due 30 วันโดยส่วนใหญ่ที่ขายเข้าไปจะเป็นพวก คุ๊กกี้ ของที่สามารถเก็บไว้ได้นาน ซึ่งการขายเข้าในที่นี้จึงทำให้ยอดลูกหนี้เพิ่มขึ้น สอดคล้องกับยอดสินค้าคงเหลือที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากเป็นการผลิตสินค้าเพื่อรองรับ order ต้นปี โดยส่วนใหญ่ที่ผลิตเก็บในรูปสินค้าสำเร็จรูปจะเป็นพวกคุ๊กกี้ ซึ่งอายุอยู่ที่ 60 วันครับ

4. สอบถามเกี่ยวกับการจัดการของ ขนมอบและ Fresh Cake ของบริษัทซึ่งทราบว่าสินค้าจำพวกนี้เป็นของที่ทำขายวันต่อวัน ในกรณีที่ขายไม่หมด บริษัทมีวิธีจัดการอย่างไร และ รายการนี้มีมูลค่าในงบการเงินเท่าใด และจะบันทึกรายการดังกล่าวไว้ที่ใดในงบการเงินครับ

Ans เกี่ยวกับการจัดการนั้น ถ้าขายไม่หมดบริษัทจะทิ้งทั้งหมด หรือดูทีอายุการเก็บ ถ้าใกล้ก็จะพิจารณาขายลดราคา เกี่ยวกับประเด็นเรื่องมูลค่า ประมาณ 2% ของรายได้ส่วนของเบเกอร์รี่ไม่มาก แต่ทางบริษัทก็ให้ความสำคัญกับการจัดการในส่วนนี้อยู่โดยสิ่งใดลดได้ก็พยายามจะลดครับ ส่วนเรื่องของการ Book ในงบก็จะรวมอยุ่ในต้นทุนขายครับ

4.1 สอบถามเรื่องของหายในร้าน มีสัดส่วนมากหรือไม่ และส่วนนี้ Book ไว้ในงบอย่างไรครับ (Ans ยอดส่วนนี้น้อยมาก ๆ เมื่อเทียบกับยอดขาย แต่บริษัทก็ไม่ได้ละเลย ส่วนการ Book ก็รวมไว้ที่ต้นทุนขายเช่นกัน)

5. ถามเกี่ยวกับเรื่อง GP ของ ร้านไมเซน (ผบห ไม่ตอบบอกเป็นความลับทางการค้า แต่ผมก็พยายามตีกรอบให้กว้างขึ้นเป็นประมาณว่า Big หรือ Lower ก็ไม่ได้ บอกว่าอยู่ในอัตราที่ดีครับ)

6. เกี่ยวกับลูกหนี้การค้าที่อายุเกิน 12 เดือน เป็นใครแล้วทำไมถึงตามเก็บไม่ได้ ทีมงานตามหนี้ของ บริษัทไม่ดีหรือเปล่า

Ans เกี่ยวกับลูกหนี้ที่เกิน 12 เดือนในส่วนของลูกหนี้นั้นรายหนึ่งจะเป็นบริษัทอะไรซักอย่างผมจำชื่อไม่ได้ แต่บริษัทนี้มีปัญหาสภาพคล่อง แล้ว 2 ปีที่ผ่านมาก็เริ่มมีกำไรแล้ว ทางบริษัทก็มีแววว่าจะสามารถรับชำระหนี้จากลูกหนี้รายนี้ได้

7. เกี่ยวกับ เรื่องของมาตรฐานของอาหารในร้าน เช่น ข้างกล้องงอก ซึ่งมาตรฐานบางวันแข็ง บางวันพอดี ในส่วนนี้ควรปรับปรุงให้ด้วย ซึ่งในส่วนนี้ทาง ผบห.ก็รับนำไปปรับปรุง

8. เกี่ยวกับเรื่อง Utility ในสาขาร้านอาหารที่ ไม่ค่อยดี เช่น แอร์ไม่เย็น เป็นต้นบางสาขามีปัญหามานานมาก รบกวนทางผบห.ช่วยแก้ไขให้ด้วยครับ (ทางผบห. ชี้แจงว่าขนาดประธานกรรมการลงไปจี้ก็ยังช้าอยู่เลยค่ะ )0( สาเหตุให้ทางผบห.ท่านนึงชี้แจงว่าเป็นเกี่ยวกับ ระบบของห้างซึ่งทางบริษัทก็ตามอยู่ตลอด)

9. เกี่ยวกับยอดรายได้ต่อจากนี้ไปจะโตกี่ % ครับ

Ans บริษัทตั้งเป้าที่จะมีรายได้ หนึ่งหมื่นล้านบาทภายใน 5 ปีดังนั้นจากนี้ไปบริษัทจะต้องมีรายได้โตปีล่ะ 15% แต่ที่ผ่านมาเราก็ทำได้ประมาณ 12% UP ส่วนตัวที่จะช่วยในการเติบโต จะเป็น Chain ร้านที่ทางบริษัทจะเปิดเพิ่มในปีนี้ และปีต่อ ๆ ไปโดย Maisan จะเปิด 4 สาขาในปีนี้ครับ (โดยส่วนตัวผมไปชิมมาแล้วเสียดายที่โรงแรมที่ผมพักไม่มีตู้เย็นก็เลยซื้อไปฝากที่บ้านไม่ได้ แต่โดยรวมรสชาติใช้ได้ หมูทอดที่ว่าใช้ตะเกียบตัดได้ ผมสัมผัสมาแล้วครับ :wink: )

10. ผถห ท่านนึ่งถามเกี่ยวกับอัตราส่วนของ NP ว่าในปีนี้เป็นอัตราที่สูงที่สุดเท่าที่เคยทำมา อยากจะทราบว่า NP ของปีนี้เป็น NP ปกติ หรือเปล่าครับ (จริงผมคิดว่าท่านคงจะถามว่าจากนี้ไปจะยังคง NP ระดับนี้ได้หรือเปล่ามากกว่า)

Ans เกี่ยวกับอัตรา NP ทางผบห อยากจะให้ ผถห มองที่ GP ดีกว่าเพราะจะเห็นเนื้อการดำเนินงานจริง ๆ เนื่องจากในส่วนของ NP จะมีผลของภาษีเงินได้ที่ลดลง กับ รายการตัดจ่ายอื่น ๆ ด้วย

โดยในปี้นี้ที่ GP สูงขึ้นเกิดจากการขยายสาขาของร้านอาหาร และเบเกอร์รี่เพิ่ม และที่สำคัญคือมีการปรับราคาสินค้าเพิ่มเพื่อรองรับต้นทุนค่าแรงที่เพิ่มขึ้น และต้นทุนอื่น ๆ ที่จะเพิ่มขึ้น โดยในปีนี้ที่ต้นทุนไม่เพิ่มมาก เพราะบริษัทควบคุมต้นทุนได้ดี โดยเฉพาะราคาวัตถุดิบในปีนี้ก็ไม่ได้ปรับเพิ่มครับ

ทั้งนี้ทั้งนั้น ผมขอชื่นชม ทีมผบห. ที่ถึงแม้ว่าแรกจะ ดูเครียดเมื่อเจอคำถามเจาะ ๆ ไปที่งบการเงิน รวมถึงเกี่ยวกับพวกของเสีย แล้วก็ของหาย แต่ก็เห็นว่าทางผู้บริหารเองก็ตั้งใจที่จะตอบให้เคลียร์ที่สุด ถึงว่าบางคำถามจะดูเหมือนกับ เป็นการจับผิดทางทีมบริหารก็ตามครับ :8) ซึ่งผมคิดว่าปีนี้ถ้ายังไม่ขายหุ้นออกไปผมก็ยังคงจะไปประชุมเหมือนปีนี้ครับ :roll:
SAM
ACME49 เขียน:เช้านี้ได้ไปประชุมประจำปีมา ขอสรุปข้อมูลที่ได้ฟังมาและที่ได้คุยกับผู้บริหารดังนี้
มีผู้ถือหุ้นมาประมาณ64 คน(รวมมอบฉันทะ) จากสายตาน่าจะสัก30-40 คนจำนวนหุ้น760ล้านหุ้น
จากวาระการประชุมตามหนังสือเชิญประชุมทุกวาระผ่านหมด
และผู้บริหารได้อธิบายตัวเลขทางบัญชี ในปี55 บริษัทได้เน้นขายลูกค้าที่ใช้สินค้าคุณภาพสูง ทำให้บริษัทมีมาร์จินที่สูง บวกกับออกผลิตภัณท์ใหม่และบริการเสริมให้กับลูกค้าเลยทำให้ปี55มีกำไรขั้นตั้นสูงกว่าปี54มาก
จากการที่ผู้ถือหุ้นสอบถามและฝ่ายบริหารตอบ สรุปได้ดังนี้

Q. นโยบายรัฐบาล2ล้านๆมีผลอะไรกับบริษัทบ้าง
A.มีผลแน่นอนเนื่องจากผู้รับเหมารายใหญ่ๆเป็นลูกค้าของบริษัทเกือบ100% น่าจะได้แน่นอน
Q.Margin ที่เพิ่มขึ้นในปี55 สาเหตุมาจากสต็อกเก่าใช่หรือไม่
A.ไม่ใช่
(สอบถามนอกรอบ)มาจากการบริหารต้นทุนให้สอดคล้องกับการขาย
Q.anti-dumping และsafeguard มีผลกระทบกับบริษัทอย่างไรบ้างและทำให้marginลดลงมั้ย
A.ไม่น่าเป็นห่วงเพราะมีผลทั้งอุตสาหกรรม ส่วนมาร์จินไม่น่าลด มีแต่ขึ้น
Q.เราเน้นขายสินค้ามาร์จินดี จะทำให้market share เราหายไปมั้ยหรือลดลง
A.บริษัทเน้นสินค้ามาร์จินดี ลูกค้าเก่าๆเรายังเดินหน้าต่อไม่ได้ทิ้งและได้บุกเข้าอุตฯยานยนต์ด้วย
Q.ในอุตสาหกรรมเหล็กปลายน้ำบริษัทมีmarket share เท่าไรและกี่%ในส่วนนี้
A.น่าจะประมาณ10%เพราะเราทำเฉพาะท่อเหล็กที่มีคุณภาพ
Q.ธุรกิจนี้มีcycle หรือเปล่า
A.ไม่มีเนื่องจากลูกค้าคละเคล้ากันอยู่
Q.ส่วนใหญ่วัตถุดิบนำเข้าหรือซื้อในประเทศ
A.มีทั้ง2ส่วน
Q.ลักษณะธุรกิจเน้นแรงงานหรือเครื่องจักร
A เครื่องจักร
Q.มีการส่งออกไปต่างประเทศบ้างหรือเปล่า
A มีพม่า ลาว ออสเตรเลีย
Q.มีแนวคิดไปตั้งโรงงานแถวๆเพื่อนบ้านบ้างมั้ย
A ไม่มีเนื่องจากถ้าไปตั้งแล้วยังต้องซื้อวัตถุดิบจากเมืองไทย(ไม่มีวัตถุดิบในการผลิตในพม่า ลาว)
Q.ค่าเงินมีผลกระทบกับบริษัทหรือไม่
A ไม่มีเนื่องจากเรามีการขายไปต่างประเทศเก็บเงินฝากเข้าบัญชีเงินสกุลต่างประเทศไว้ เมื่อมีการจ่ายวัตถุดิบเป็นเงินต่างประเทศก็ใช้บัญชีนี้จ่าย ไม่มีผลกระทบเลย
Q.ยักษ์SSI GJ STEEL G STEEL จะมาแข่งกับเรามั้ย
A ไม่แน่นอน คนละแบบกัน
เท่าที่จำได้ สรุปได้ประมาณนี้
ปล.เท่าที่ได้คุยก่อนเข้าห้องประชุมกับผู้บริหาร2ท่าน ต่างบอกว่านับจากนี้SAM พร้อมแล้วที่จะเดินหน้าอย่างมั่นคง เหมือนเครื่องบินที่กำลัง take-off
555 เราจะรอดู ผลงานรายไตรมาสจะพิสูจน์ให้เราเห็น
ผู้บริหารทุกท่านดีมากใส่ใจผู้ถือและถามตลอดว่ามีอะไรไม่เข้าใจสอบถามได้ทุกเรื่องและถามย้ำตลอด
ขอบคุณครับ อ่านแล้วใช้ดุลยพินิจด้วยนะครับ

SCP
romee เขียน:นั่งฟัง นั่งจดทันมั่ง ไม่ทันบ้าง

ผบห.พูด
1.ภาครัฐขยายงาน ทำให้ขายดีขึ้น

2.ต้นทุนขาย ลดลง 7.7%

3.ต้นทุนทางการเงินลดลง เพราะจ่ายหนี้แบงค์ไป ทำให้ต้นทุนทางการเงินลดลงในปี2555

งบกระแสเงินสด ตรงจ่ายเงินตามสัญญาปรับโครงสร้างนี้ กลาง-ปลายปีนี้น่าจะหมดไป
DE อาจจะเหลือแค่0.5 ถ้าถ้าจ่ายเงินกู้หมด

Q.มีแผนจะใช้เงินสด200กว่าล้านยังไง
A.ส่วนนึงกันไว้จ่ายเรื่องภาษี, และซ่อมแซมเครื่องจักร+ซื้อเปลี่ยนใหม่เพื่อให้พร้อมในการขยายการผลิต ประมาณ30ล้าน, ซ่อมบำรุง ปีนี้70ล้าน ที่สุราด (จะเพิ่มกำลังการผลิต10%, จะก่อสร้างเดือนพค. 2เดือนครึ่งใช้งานได้)
คุณอรุณี กรรมการผจก. บอกว่าปีที่แล้วรับงานเยอะมาก เลยต้องสำรองเงินซ่อมเครื่องจักร และอาจจะมีการซื้อเครื่องจักรใหม่ๆเข้ามา

Q.มีแนวโน้มจะเพิ่มส่วนของปันผลมั้ย
A.ทางคณะกรรมการเรากำลังพิจารณา (ไม่ให้ผถห.ผิดหวัง)

Q.% utilization อยู่ที่เท่าไร
A. 80% ในปี55 และตอนนี้เพิ่มการสร้างหลังคาของโรงงาน เพราะตอนนี้โรงงานเป็นกลางแจ้ง ติดหลังคาเข้าไปก็ทำให้ใช้งานได้ดีขึ้น โดยไม่ต้องไปยุ่งกับส่วนของพื้นโรงงานเลย

Q.ต้นทุนขายจะลดลงมั้ย เห็นว่าราคาเหล็กลดลง
A.จริงๆแล้วราคาเหล็กไม่ได้ลดลงด้วยซ้ำ มีแต่จะเพิ่มขึ้น ที่เห็นว่าลดเพราะเป็นกลไกทางตลาดในประเทศ (ตรงนี้ผมก็งงๆฟังไม่ทัน) แต่ทางเราก็พยายามควบคุมอยู่

Q.มีการทำoption ราคาเหล็ก หรือซื้อตุนไว้มั้ย
A.ไม่มีการตุน เพราะกลัวเรื่องสต็อก และกลัวขึ้นสนิม ส่วนเรื่องซื้อกับ บ. TWP เจ้าเดียว ก้ไม่ใช่, ทางเราซื้อประมาณ3เจ้า

Q.ค่าแรงที่เพิ่มขึ้น มีผลกระทบเยอะมั้ย
A.ค่าแรงงานที่เพิ่ม กระทบกับรายจ่าย 3-4% เพราะเพิ่มแรงงานชั้นล่าง ก็ต้องเพิ่มระดับกลาง กระทบเป็นชั้นๆขึ้นมา

Q.เรื่องปันผล ถ้ากำไรต่อหุ้น ตีซะว่าเท่าเดิม จะปันได้มากขึ้นมั้ย เพราะที่ผ่านมาก็ปัน 1.1บาท แต่กำไรต่อหุ้น 7บาทกว่าๆ และมีนโยบายปันผล50%อยู่แล้ว
A.ปันผลไม่ได้บอกว่าต้องปัน50%ของกำไร ทางคณะกรรมการกำลังพิจารณาอยู่ แต่ตอบไม่ได้ กลัวผิดกฎ กลต.

Q.ทำไมค่าใช้จ่ายผู้ตรวจสอบบัญชีเพิ่มจาก5แสนกว่า ไปเป็น8แสน หวังว่าเพิ่มไปครัง้นี้ แล้วจะไม่เพิ่มไปอีกนาน
A.ที่เพิ่มค่าใช้จ่ายของผู้ตรวจสอบบัญชีเพราะเปลี่ยนเจ้า เจ้าเก่ามีการปรับเปลี่ยนคนในองค์กรเลยต้องย้ายค่าย และเจ้าใหม่ก้มีกำลังคนมากขึ้น เพราะต้องไปaudit ไซด์งานต่างจังหวัดด้วย เมื่อก่อนใช้ PWH แต่แพงมากเป็นหลักล้าน เลยไม่ไหว....แต่ทางบริษัทSCP ก็หาผู้ตรวจสอบที่ดี เพื่อความโปร่งใสของทุกฝ่าย

Q.เรื่องเพิ่มราคาขาย สามารถปรับได้มั้ย ถ้าราคาปูนซิเมนต์ขึ้น เพราะเห็นมีเขียนใน 56-1 ว่าปรับไปแล้วเมื่อปี2555
A.ทางบ.สามารถปรับได้ กับโปรเจคที่เข้ามาใหม่ๆตลอด (โปรเจคส่วนใหญ่3-4เดิอนก็เสร็จแล้ว)

Q.อยากให้ทาง บ.ช่วยเขียน ระบุกำลังการผลิตแต่ละไซด์โรงงานแต่ละจังหวัดด้วย ลงในรายงานประจำปีก็ได้
A.ขอบคุณ และทางคณะกรรมการจะเอาไปพิจารณา

Q.ไซด์งานที่ฝั่งชลบุรี เป็นอย่างไรบ้าง จะมีชนกับเจ้าตลาดแถวโน้นมั้ย
A.ขายได้ค่อนข้างดี เพราะทำให้อุตสาหกรรมปิโตรเคมี

Q.เรื่องสภาพคล่องของหุ้น
A.กรรมการกำลังพิจารณา เพิ่มสภาพคล่อง ทั้งแตกพาร์และปันผลเป็นหุ้น

Q.งบ2.2ล้านล้าน เรื่องคอนกรีตรางรถไฟ มีโอกาสมั้ย
A.ยากที่จะทำเรื่องคอนกรีต และเรื่องเหล็กราง เพราะต้องมีการตรวจสอบเทส เรื่องความเค้น ความเครียด ของวัสดุ ที่ต้องทำที่ต่างประเทศเท่านั้น

Q.บ.มีbacklog เท่าไรในปี 2556
A.การออกข่าวทั้งเรื่องbacklog ไม่กล้าบอกมาก เพราะกังวลเรื่อง กลต. และมีเจ้าหน้าที่กลต.นั่งอยู่ ขอพูดนอกรอบ

ช่วงมุงหลังงาน ส่วนใหญ่จะถาม ผบห. ด้านการขาย กับด้านบัญชี (ผมฟังได้นิดหน่อยต้องกลับเร็ว ใครอยู่ตรงช่วงมุง รบกวนแบ่งปันข้อมูลด้วย)
Q.อยากให้ไปออก Opp day บ้าง
A.เรื่องไปออกopp day จะมีการพิจารณา เพราะบุคลากร ค่อนข้างน้อย

Q.กังวลเรื่องอะไรมั้ย เรื่องขาดแรงงาน หรือเรื่องส่งมอบงานไม่ทัน
A.ไม่ค่อยกังวล อย่างมากก็อาจจะเป็นเรื่องขาดแรงงาน

ฟังมาทั้งหมด ได้ประโยคนี้เยอะสุดละ ทางคณะกรรมการกำลังพิจารณาอยู่ :oops:
SIMAT
pornchai_w เขียน:สรุปคร่าวๆ จากการไปร่วมประชุม AGM SIMAT ในวันศุกร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2556
ผมขออนุญาตสรุปเป็นเรื่องๆ ไปเลยแล้วกัน เพราะตอนประชุมมีคำถามสลับไปมาไม่ต่อเนื่องในแต่ละเรื่อง
ซึ่งการสรุปลักษณะนี้อาจจะปนความคิดเห็นของผมอยู่ในนั้นด้วย ดังนั้นอาจจะต้องพิจารณากันอีกที
รวมทั้งหากเพื่อนๆ ท่านใดจะแก้ไขประเด็นใดก็ยินดีครับ

เรื่อง Fttx
SIMAT ให้บริการ Fttx ในชื่อ SiNet โดยเริ่มจาก 2จังหวัดคือเชียงใหม่และโคราช มีการวางระบบสาย Fiber Optic เป็น 2 วง (ring loop)
ประโยชน์เพื่อความเสถียรในกรณีวงใดมีปัญหาอีกวงก็ช่วยทดแทนได้ ที่เชียงใหม่มี 8 Node โคราชมี 10 Node
แล้วมีการกระจายเสาสัญญาณหนาแน่นครอบคุมทั้งเมืองระยะห่างแต่ละจุดไม่เกิน 500 เมตร
รูปแบบการติดตั้ง SiNet จะมี 2 รูปแบบ
1. แบบลากสาย(drop wire) เป็นการลากสายจากจุดกระจายสัญญาณเข้าไปยังบ้านโดยตรง
ซึ่งวิธีนี้ใช้เวลาในการติดตั้ง แต่จะได้ความเร็วที่สูง(มากกว่า 50 MBขึ้นไป) และมีความเสถียรสูง
น่าจะเหมาะสำหรับลูกค้าที่เป็นลักษณะบริษัทหรือต้องต่อพ่วงคอมหลายตัว
[ปัจจุบันที่กำลังทำอยู่เป็นลักษณะ drop wire] แต่ในไม่ช้านี้ SiNet กำลังจะแนะนำให้ลูกค้าตามบ้านติดตั้งแบบที่2คือ

2. แบบ CPE เป็นการส่งสัญญาณแบบ wireless ในระยะไม่เกิน 1.5 กิโลเมตร จากจุดกระจายสัญญาณ
เพียงติดตั้งตัวรับที่บ้านก็สามารถรับสัญญาณอินเตอร์เน็ทได้ แต่ความเร็วน่าจะอยู่ที่ 15 – 30 MB
(1จุดกระจายสัญญาณสามารถส่งสัญญาณได้ 300MB แต่SiNet จะให้ 1จุดกระจายให้ตัวรับไม่เกิน 20 ตัว เป็นลักษณะshare speed)
[บริษัทกำลังจะประชาสัมพันธ์ แบบ CPE ซึ่งเพิ่มความรวดเร็วในการติดตั้งและราคาจะใกล้เคียงกับ ADSL]
ต้นทุนต่อพอร์ตของการติดตั้งของ CPE คิดเป็น 1/3 เทียบกับต้นทุนการทำแบบ drop wire

จากที่ในปีนี้ตกลงกับ TOT ว่าจะติดตั้งพอร์ตให้ลูกค้าที่เชียงใหม่ได้ 15,000พอร์ต และ โคราชได้ 12,000พอร์ต
หากทำไม่ได้ SIMATจะต้องจ่ายประมาณ 200บาทต่อพอร์ต ซึ่งด้วยวิธีติดตั้งแบบ CPE บริษัทมั่นใจว่าจะติดตั้งได้ตามที่ตกลงกับ TOT

แนวทางการตลาดของ SiNet ใช้วิธีป่าล้อมเมือง คือทำที่เชียงใหม่กับโคราชให้ดี จากนั้นขยายไปเมืองใหญ่อื่น
เช่น ขอนแก่น อุบล อุดร หัวหิน แล้วจึงเข้ามาที่กรุงเทพ เพราะหากเข้ากรุงเทพตอนนี้ก็ชนกับเจ้าใหญ่ซึ่งเราคงสู้ไม่ได้ในตอนนี้

SiNetมีแผนที่จะสร้าง demand ให้มาใช้ SiNet โดยนำทีวีดิจิตัลต่างๆ ที่อยู่ในรูปจานแดง จานดำ ดาวเทียม ฯลฯ
ทุกรายการที่เจ้าของรายการยินดีปล่อยให้ฟรีนำมาปล่อยให้ลูกค้า SiNet ได้ดูฟรี
เป็นการอำนวยความสะดวกให้ได้ดูHD TVอย่างเต็มคุณภาพ
ซึ่งวิธีการนี้จะทำให้มีลูกค้าบางกลุ่มตัดสินใจสมัครเข้ามาใช้ SiNet ด้วยเหตุผลนี้

ส่วนการขยายไปจังหวัดอื่นนั้น บริษัทอยากให้ที่เชียงใหม่กับโคราชนิ่งก่อน และได้รับการตอบรับในแง่ดีแล้วจึงเริ่มขยายไป
ซึ่งบริษัทได้รับอนุญาตสำหรับการทำที่จังหวัดอื่นๆ พร้อมอยู่แล้วจึงสามารถทำได้ทันทีที่พร้อม

โดยการขยายไปมี 2 แนวทางคือ
1. ไปร่วมกับผู้ที่วางเครือข่าย Fttx อยู่แล้วแต่ไม่มีศักยภาพที่จะดำเนินการเองได้
2. วางเครือข่ายเองใหม่ทั้งหมด
โดยหากSiNetทำได้ดีที่ 2จังหวัดแรก TOT ก็น่าจะไว้ใจให้ทำที่อื่นต่อดีกว่าเสี่ยงที่จะเริ่มใหม่กับบริษัทอื่น

หมายเหตุ ปัจจุบันเชียงใหม่มี ADSL=120,000 พอร์ต โคราชมี ADSL=100,000พอร์ต




เรื่อง Sky Frog
Sky Frog ตอนนี้ได้พัฒนาบนระบบ Android และ Simat ได้ร่วมกับบริษัท Mimo Tech ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ AIS
โดยน่าจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการพร้อมกับ AIS 3Gใหม่ ที่จะเปิดตัวในเดือนพฤษภาคมนี้
เป็นลักษณะว่า AIS ทำการตลาด นำเสนอบริการ Sky Frog ในแบบ Solution ให้กับลูกค้าองค์กร
ซึ่งในลักษณะนี้ผู้ใช้บริการจะไม่มานั่งถามว่า ว่าเครื่องราคาเท่าไร ซิมเท่าไร โปรแกรมเท่าไร
ซึ่งถ้าพอใจกับ Solutionนี้ ก็ซื้อยก solutionไปเลย
โดยจะมี 3 ส่วนดังนี้
1. Hardware คือเครื่องโทรศัพท์ซึ่งจะใช้ Samsung
2. Sim card
3. Software
Simat จะอยู่เบื้องหลัง ดูในส่วนของ Software ซึ่งจะมีการพัฒนา application ให้กับSolutionอย่างต่อเนื่อง

หมายเหตุ
1. Simat ยังคงมีสิทธิที่จะให้บริการ Sky Frog กับ mobile operator รายอื่นหากได้รับการร้องขอ
เช่น หากกลุ่ม CP ต้องการใช้ก็คงใช้ sim card ของ TrueMove ซึ่ง Sky Frog สามารถให้บริการได้เช่นกัน
2. ที่ร่วมมือกับ Maimo แทนที่จะเป็น AIS โดยตรงก็เพราะหาก เป็นในนามของ AIS แล้วบริษัทมีรายได้
จะต้องถูกแบ่งรายได้เข้า TOT เพราะถือเป็นเสมือนรายได้จากบริการโทรศัพท์

เรื่องอื่นๆ
1. แนวโน้มบริษัทในระยะต่อไป จะเน้นที่เป็น Solution และ Service โดยจะลดในแง่ Hardware ให้น้อยลง
รวมทั้งการลงทุนในต่างประเทศก็น่าจะเป็นสัดส่วนที่น้อยลงเรื่อยๆ
2. บริษัทมีแผนเข้า SET ในปีหน้า
3. GrandFlo มีแผนที่จะทยอยลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือประมาณ 20%
โดยจะเป็นการขาย Biglot นอกตลาดไม่ได้ขายในกระดาน
4. บริษัทจะขออนุมัติการเพิ่มทุนแบบ General Mandate ไปทุกปี
โดยปีที่แล้วที่ขอไว้ใช้ไปเรียบร้อย 16 ล้านหุ้นเมื่อต้นปี และปีนี้ขออีก 18 ล้านหุ้น
สาเหตุก็เพื่อรองรับการเพิ่มทุนมาลงทุนได้อย่างทันท่วงทีสำหรับโอกาสการขยายการลงทุนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
5. แผนในการร่วมทุนมี 2 บริษัท โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปกับ 1 บริษัทก่อนใน Q2 นี้

ก็ประมาณนี้ก่อนแล้วกันครับ รอเพื่อนๆ มาเสริม ^_^

SIS
Kritkarun เขียน:ไหนๆ ก็ไหน แล้ว
ขอสรุปสาระสำคัญบางส่วนระหว่างรอคุณ arwut นะครับ

- เรื่องเีกี่ยวกับ Smartphone ทาง SIS ใช้คำว่า "ถอย" กล่าวคือ จะไม่ไปลุยสู้กับพวก Hi-end ที่ราคา 20000 และจะลอยเอาตัวราคาต่ำกว่าหมื่นมา แต่จะไม่เน้นมาก และยอดขายส่วนนี้จะลดลงมากในปีนี้ เพราะผู้บริหารบอกว่า ไม่แน่ใจว่าตลาดจะไปในทางไหน(คาดเดาลำบาก)

ซึ่งผมคิดว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะหากเราลองเข้าไปอ่านในเวบมือถือ หรือ pantip ก็จะเห็นเลยว่าคนยุคนี้ ใจร้อน ใจเร็ว เอะอะอะไรก็จะเปลี่ยนมือถือใหม่

ส่วนความเสียหาย ตอนนี้ขายทิ้งไปเกือบจะหมดแล้ว เหลือมา Q1 แค่เล็กน้อยเท่านั้น

- เรื่องเกี่ยวกับ HWH เป็นความผิดพลาดที่เกิดจากความตั้งใจ จะเป็นผู้ขายสินค้าให้กับ HWH แต่เพียงผู้เดียว จึงทำให้ SIS ค่อยๆเพิ่มวงเงินคงค้างให้ HWH ขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นหลายร้อนล้าน โดยในตอนแรกทาง HWH ก็สามารถขายได้ดี ให้เท่าไหร่ก็ขายหมด ทาง SIS จึงชะล่าใจ เพิ่มยอดคงค้างให้ ถึงแม้ว่าจะเริ่มคงค้างมากกว่า 6 เดือนก็ยังไม่หยุด(ตรงนี้ผู้บริหารยอมรับผิดว่า เพราะความอยากได้ดังกล่าว ก็เลยยอม เกิดความผิดพลาด และคงค้างมากขนาดนี้)

ยอดที่ตัดเป็นหนี้เสียนั้น คงต้องอาศัยกระบวนการทางศาล ซึ่งผมคิดว่าหนี้ก้อนนี้ ให้คิดไปเลยว่าคงไม่ได้กลับมา
ถ้าได้ก็ถือเป็นกำไรพิเศษ

โดยบริษัทบอกว่าจะไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก (เพราะหากไม่นับ HWH ลูกหนี้ส่วนใหญ่คงค้างไม่เกิน 3 เดือน)

- ลูกหนี้อายุ 6-12 เดือนที่เพิ่มขึ้นเป็น 170 ล้าน ผู้บริหารบอกว่า เป็นงานคงค้างของส่วนราชการ
ส่วนหนี้ที่เหลือไม่มีปัญหาเลย(จัดการเรื่องหนี้ได้ดีมาก)

- บริษัทตั้งเป้าหมายยอดขายปีนี้ที่ 20,000 ล้าน โดยประมาณ NPM อยู่ที่ประมาณ 1 ต้นๆ (ไม่ถึง1.5 ดี) ก็คงคำนวนกำไรสุทธิได้ไม่ยากเท่าไหร่
โดยบริษัทจะเน้นส่วนธุรกิจที่ไม่เกี่ยวกับ Smartphone ที่มีการเติบโตมาตลอด และจะขาย Tablet ราคาต่ำ โดยเน้นที่คุณภาพดี เช่น Acer

- ผู้บริหารบอกว่า เมื่อไหร่ที่ Windows 8 จุดติด หรือคนใช้เป็น จะทำให้เกิดการซื้อ Notebook& PC ครั้งใหญ่เพื่อเปลี่ยนเครื่อง(ผู้บริหารมองแบบกล่างๆว่า W8 น่าจะส่งเสริมตลาดได้ในระดับหนึ่ง)

- เหตุที่ต้องเพิ่มทุน ก็ด้วยเหตุผลที่เกี่ยวกับธนาคารโดยตรง เพราะด้วยส่วนทุนที่ลดลงมาก(จากขาดทุน) ทำให้อัตราหนี้สินต่อทุนสูงมาก ทำให้บางธนาคารจะให้วงเงินลดลง ซึ่งทางบริษัทมีทางเลือก 2 ทางคือ

ลดขนาดธุรกิจลงเหลือประมาณ 10000 ล้าน ซึ่งก็จะมีผลกระทบหลายอย่าง เช่น ต้องไล่คนงานออก และกำไรที่ได้อาจจะไม่ Cover Fixed cost ทำให้มีโอกาสขาดทุน

กับอีกทางก็คือเพิ่มทุนแบบที่เป็นอยู่ ซึ่งจะทำให้ยังคงได้วงเงินจาก Bank ใกล้เคียงเดิม(ลดลงบ้าง) และทำให้สามารถดำเนินธุรกิจขนาด 20000 ล้านได้ จึงเลือกทางนี้

- ผู้บริหารบอกว่า หากไม่นับ 2 ปีแห่งความผิดพลาด บริษัทยังคงมีศักยภาพในการทำธุรกิจเท่าเดิม

เล่าเท่าที่นึกได้ หากผิดพลาดตรงไหนก็บอกได้ครับ
arwut เขียน:ขออภัยช้าหน่อยครับ งานเยอะเรียด้วย ไงก็ขอโทษครับ หากซ้ำก็อ่านผ่านๆไปนะครับ ผมไม่ได้ตัดออกครับ พิมพ์ผิดก็ขออภัยด้วย รีบไปหน่อยงานเยอะ อิอิ

- HWH สิ้นปีรับสินค้าคืน 60 ล้าน (แสดงในงบปี 55 แล้ว) ส่วนปีนี้ยังไม่ได้ กำลังดำเนินการด้านกฎหมายมีลำดับขั้นตอน ไม่อยากเป็นคดีความเพิ่มเติมกรณีไปนำเอาของออกมาเอง จึงค่อยใช้กฎหมายเพื่อดำเนินการ และเมื่อเขาอยู่ในแผนฟื้นฟูก็จะมีระบบ และรายการกำกับชัดเจนว่าจะต้องจ่ายให้ใครเท่าไร เป็นหนี้เรา 600 ล้านเป็น หนี้ Bank ประมาณ 1 พันกว่าล้าน หลังๆนี้เจ้าหนี้รวมตัวกัน เพื่อเรียกร้องค้าเสียให้
- ยอดขายปี 56 คาดว่าจะ 20,000 ล้านบาท แม่ว่าจะถอย Smart Phone ลงไปแต่ยอดขายอื่นๆก็เพิ่มขึ้นทดแทนทำให้คาดว่าน่าจะทำได้ในระดับ 20 K
- ประเด็นในส่วนของผู้ถือหุ้นลดทำให้ DE เพิ่มขึ้นมานั้น Bank จำเป็นต้องขอให้เพิ่มทุน หรือไม่อย่างนั้นต้องลดขนาดธุรกิจลง โดย Bank ต้องขอเรียกเงินคืนแน่ โดยผู้ถือหุ้นใหญ่ยินยอมเพิ่มทุนเพราะมองว่าเป็นปัญหาเกิดขึ้นในครั้งเดียว
- Table จะโตมาก (ตลาดโดยรวม) ส่วน SIS ได้ Acer Tablet ระดับล่างมาจำหน่ายราคาประมาณ 4,000 บาท ก็น่าจะขายดีขึ้น ก่อนหน้านี้เคยจะนำ Tablet ราคาต่ำมาขายแล้วแต่คุณภาพยังไม่ดี ตามเกณฑ์เลยไม่ขาย ผบห. มีมุมมองว่า หากลูกคนใดคนหนึ่งได้ Tablet จากรัฐ ลูกคนที่ 2 จะซื้อตามเป็นส่วนใหญ่
- ยอดขายในแต่ละ BU เป็นดังนี้ (ตัวเลขอาจจะคาดนิดหน่อยจดไม่ค่อยทัน)
27-4-2556 20-15-13.png
- กำลังจะเพิ่มส่วนการค้า Online (ยังบอกไม่ได้ กำลังให้ทีมงานนอกพัฒนา Software น่าจะเสร็จเดือน สิงหาคม)
- ข้อมูลกำไรขาดทุน
27-4-2556 20-15-38.png
- คุณสมชัยก็เครียดเหมือนกัน และ “กราบขออภัยที่ทำให้ขาดทุนบอกว่านอนไม่หลับเป็นเดือนๆ เข้าใจผู้ถือหุ้น เพราะผมก็ถือหุ้นเหมือนกัน ถือเยอะด้วย” (ยิ้ม)
- มีผู้ถือหุ้นถาม : ทำไมยอดสำรองตั้ง 600 กว่าล้านเทียบได้กับยอดขายทั้งปี ได้คำตอบว่าจริงๆวงเงินของ HWH นั้นมีแค่ 400 ล้าน แต่ขอเพิ่มเรื่อยๆ เพราะเขาเร่งเปิดสาขา และแรกๆก็ได้เงินเรื่อยๆ เราก็เลยไปตกลงว่าหากจะเพิ่มให้ต้องสั่งสินค้าส่วนใหญ่ที่เรา เขาก็ตกลงเราเลยเพิ่มให้ และเพิ่มเยอะนั้นมันไปอยู่ในสาขาๆต่างๆ มันไม่ใช่เป็นยอดสะสม (ฝังจากผู้บริหารอธิบายประมาณนี้ ผิดถูกขออภัยครับ)
- ผู้ถือหุ้นถามรายละเอียด HWH แต่ ผบห. ขอบอกว่ามันเป็นด้านอ่อยไหวของกฎหมาย ยังเปิดเผยไม่ได้
- มีผู้ถือหุ้นถามว่า ทำไมไม่ค่อยสำรอง ทำไมสำรองทีเดียวคำตอบคือ คาดว่าไม่ได้แน่ๆอยู่แล้วในทางปกติ เลยจำเป็นต้องสำรองไปก่อน
- ผู้ถือหุ้นถามว่า ทำไมต้องเสียภาษีแม้ขาดทุน ได้รับคำตอบคือเป็นบัญชีสรรภากร คือต้องเสีย การตั้งสำรองสรรภากรไม่รับ แต่หากได้คืนมาก็ไม่เสียภาษีแล้วถือว่าได้เสียไปแล้ว
- ผู้ถือหุ้นถามว่า Net ของ SIS ปกติ 1.7 จะทำได้ไหม ได้คำตอบว่าไม่ได้เพราะ 1.7 เป็น Net ที่ Margin ของ Smart phone นั้นมีระดับที่ 10 กว่า เกือบจะ 20 แต่ตอนนี้ Margin ก็ใกล้เคียงกับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์จึงทำให้ Net ก็แค่ 1 ต้นๆ เหมือนก่อนมี Smart Phone
- ลูกหนี้การค้าที่ค้างเกิน 6 – 12 เดือนนั้นเป็นโครงการของรัฐ
- มีผู้ถือหุ้นถามว่าค่าใช้จ่ายผลตอบแทนพนักงาน (หน้า 121 ในรายงานประจำปี) ทำไมเพิ่มขึ้นมาก ได้คำตอบว่าได้เพิ่มพนักงานขายขึ้น (ผมดูปี 54 มีพนักงานขาย 173 และปี 55 มี พนักงานขาย 201 ก็เพิ่มขึ้นจริง) แต่ได้รับคำชี้แจงว่า ค่าใช้จ่ายรวมดูได้จากหน้า 120 ไม่ได้เพิ่มขึ้น
- ค่าใช้จ่ายทางการเงินจะลดลงได้หลัง Q2 แล้วคือต้องหลับจากเพิ่มทุน และได้กำไรส่วนหนึ่งแล้ว
- แนวโน้ม Q1 ปกติแล้วกลับมามีกำไรแล้ว (ในระดับปกติ 1 ต้นๆ)
- ผู้ถือหุ้นถามว่า ยอดขายสินค้า/วัน ทำไมไม่ลด เมื่อดูจากคลังมันลด ได้รับคำตอบ เป็นเพราะสูตรของตลาดหลักทรัพย์เขาใช้ถัวเฉลี่ย ของปีที่แล้วด้วย หากเอาถัวแบบต้นเดือนปลายเดือน (เป็นการภายในลดลงแล้ว)
- หนี้สินที่ถูกฟ้องร้องจำนวน 111 ล้านนั้น เป็นคดีเก่าแล้ว เมื่อประมาณ 6 ปีที่แล้ว ซึ่งทางฝ่ายกฎหมายก็หวังดีให้ระบุไว้เท่านั้น (ภายในบริษัทไมได้กังวลเพราะคิดว่าเราถูก แต่บริษัทก็บอกว่า แต่สิ่งที่เราคิดนั้นมันยังไม่ใช่ข้อเท็จจริง ต้องรอศาลเท่านั้น แต่เรามั่นใจ) ... (ผมไม่ทราบว่าเป็นคดีเก่าเพิ่งมาระบุ หรือว่าคะดีนานแล้ว แต่เพิ่งถูกฟ้องร้อง อันนี้ไม่แน่ใจครับ)
- Stock ขนาดนี้เพียงพอต่อยอดขายระดับ 20K หรือไม่ ได้คำตอบว่าพอ เพราะจะสั่งให้พอดีกับที่คาดว่าจะขาย คือสั่งน้องแต่สั่งถี่หน่อย สำหรับปัญหาของขาดก็มีบ้างเล็กน้อย ไม่ใช่ประเด็นหลักอะไร
- มีผู้ถือหุ้นไม่เห็นด้วยในการเพิ่มทุน ได้รับชี้แจงว่า ผบห. ก็คุยกันหนักมาก แต่ก็ต้องเพิ่มหากให้เราลดขนาดธุรกิจนั้น ค่าใช้จ่ายอื่นๆหลายอย่างลดไม่ได้ หากลดจริงจะลดลงในระดับ 10K จากส่วนผู้ถือหุ้นเท่านี้ และจะทำให้เราขาดทุนทันทีที่ 200 ล้าน โดยประมาณ (ทางฝ่ายบริหารคำนวณตัวเลขมาแล้ว) และมองว่าการเพิ่มทุนระดับ 300 กว่าล้าน มันไม่มากนักสำหรับธุรกิจที่มีระดับ 20K
- ผู้ถือหุ้นถามว่า เมื่อกำไรบางมาก พอขาดทุนทีก็ส่วนผู้ถือหุ้นหายไปเยอะ ทาง ผบห. ก็ตอบว่าเสียใจจริงๆ ไม่ได้อยากให้เกิดขึ้น และยอมรับผิดพลาดจริงๆ ซึ่งตั้งแต่ทำธุรกิจมาคุณสมชัยก็เพิ่งเคยขาดทุน คราวนี้เป็นบทเรียน (อันนี้ให้กำลังใจมากครับเพราะว่า เป็นธรรมดาคนเราก็พลาดกันได้ แต่อย่าพลาดซ้ำ)
- Q1 ยอดขายน้อยกว่า Q1 ปีทีแล้วนิดหน่อย แต่มีกำไรแล้ว
- ช่องจัดจำหน่ายของ Smart TV กำลังเป็นการทดลองอยู่ยังไม่ได้มีสัดส่วนมากนัก
- ถอย Smart Phone ลงมาเล่นระดับต่ำลงหน่อย Height End ระดับ 20K ไม่เล่นละ เล่นระดับ 4-5 พัน
- ปิดการประชุม “กราบขอโทษผู้ถือหุ้นอีกครั้ง” หลังจากที่ได้ผิดพลาดมาก็ได้ตั้งระบบมาตรวจสอบและควบคุมเพิ่มเติบอีก

SMIT
satit เขียน:สรุปประชุมเท่าที่จำได้นะครับ
1.เตรียมเปิดทีมงานบริหารรุ่นต่อไปภายในปีนี้ คาดว่าเป็นคนในที่มีประสบการณ์ และเรียนรู้งานของบริษัทมาแล้ว คงจะมีลูกหลานของผู้บริหารเก่าด้วย โดยผู้บริหารเก่าคอย support อยู่ข้างหลัง

2.คาดการเติบโตปี 56 = 10-15% แนวโน้มการใช้เครื่่องจักรแทนคนงานที่ปรับค่าแรงขึ้น และเงินบาทที่แข็งค่า คาดว่าจะมีผลดีกับบริษัท แต่ไม่ชัดเจนว่าจะมากน้อยแค่ไหน

3.stock ที่มากส่วนใหญ่ป็นเหล็กเกรดพิเศษ นอกนั้นก็เป็นเครื่องจักรและอุปกรณ์ต่างๆ ที่ต้อง stock เหล็กมาก เพราะ lead time ในการสั่งของและขนส่งใช้เวลานาน และเตรียมพร้อมสำหรับการขายให้ลูกค้าด้วย เหล็กเกรดพิเศษราคาไม่ผันผวน ไม่น่ามี stock loss และไม่เน่าเสีย

4.เรื่องค่าเงินทำ forward ประมาณ 30% แน่นอนค่าเงินแข็งย่อมมีผลดีมากกว่าค่าเงินอ่อน และจะมียอดกำไรขาดทุนทางบัญชีปรากฏเมื่องบออก ผู้บริหารเน้นว่าค่าเงินไม่มีผลต่อการสั่งของมากขึ้น จะสั่งต่อเมื่อมี demand จากลูกค้าเท่านั้น ไม่ว่าบาทจะแข็งหรืออ่อนก็สั่ง

5.Utilization Rate โรงชุปประมาณ 80% คาดปีนี้ต้องลงทุนเพิ่มกำลังการผลิตใช้เงินประมาณ 50 ลบ. ส่วนการลงทุนก้อนใหญ่ๆไม่มี

6.มีแนวคิดที่จะทำ M&A เหมือนกัน แต่คงใช้เวลาศึกษาให้รอบคอบ เคยมีการคุยกับลูกค้าเพื่อลงทุนร่วมกันในการทำกระบอก หรือ block สำหรับรับ mold อีกที (ผมจำไม่ได้เหมือนกันว่าเรียกอะไรแน่) ใครจำได้ช่วยบอกด้วย ส่วนเรื่อง solar cell ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ ส่วนการลงทุนอื่นๆก็ยังไม่ชัดเจนครับ

หวังว่าคงมีประโยชน์บ้างนะครับ :wink: :8)
Undertaker เขียน:Q : บริษัทมีวิธีการบริหารสินค้าคงคลังอย่างไร เพราะว่า เมื่อสินค้าคงคลังเพิ่มขึ้นก็บอกว่ามีการบริหารที่ดี เมื่อสินค้าคงคลังลดลงก็บอกว่ามีการบริหารที่ดีอีก
A : เป็นธรรมชาติของธุรกิจที่จะต้องมีการสต๊อกสินค้าให้มากไว้ในระดับหนึ่ง โดยต้องเพียงพอกับคำสั่งซื้อของลูกค้า และเราคำนึงถึงความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก ในส่วนของเหล็กนั้น จะมีระยะเวลาในการสั่งซื้อประมาณ 6-7 เดือน และสินค้าประเภทเหล็กประมาณ80% เป็นการ import

Q : เนื่องจากสินค้าคงคลังของเราส่วนมากจะเป็นเหล็ก ดังนั้นถ้าราคาเหล็กในตลาดโลกผันผวน จะทำให้บริษัทมีการขาดทุนจากสต๊อกหรือไม่
A : เหล็กที่เราจำหน่ายเป็นเหล็กเกรดพิเศษ ซึ่งจะมีส่วนผสมของแร่ธาตุต่างๆ (มีหลายอย่าง ผมจำไม่ได้) ดังนั้นราคาจะไม่แกว่งเหมือน commercial steel ทั่ว ๆ ไป

Q : เรามีการป้องกันความเสี่ยงจากค่าเงินบาทอย่างไร ถึงแม้ว่าปัจจุบันเงินบาทยังแข็งค่าอยู่ แต่มันก็จะต้องมีวันที่ค่าเงินบาทอ่อนค่า
A : สำหรับสินค้าที่มี order แน่นอน เราป้องกัน 100% ส่วนสินค้าโดยทั่วๆไป จะป้องกันประมาณ 30%

Q : ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นหรืออ่อนค่าลง 1 บาท จะส่งผลต่อผลประกอบการบริษัทยังไง
A : เคยมีทาง broker ทำประมาณการไว้ว่า ถ้าค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นหรืออ่อนค่าลง 1 บาท จะส่งผลต่อกำไรประมาณ 30 ล้านบาท (จริง ๆ ผมไม่ค่อยเชื่อซักเท่าไร)

Q : ในปัจจุบันค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น มีส่วนทำให้ทางบริษัททำการสต๊อกสินค้าเพิ่มขึ้นหรือไม่
A : ในการสต๊อกสินค้าของบริษัทจะขึ้นอยู่กับความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก อัตราแลกเปลี่ยนที่แข็งค่าขึ้นไม่มีส่วนในการพิจารณาเพิ่มสต๊อกสินค้า

Q : โรงชุบเหล็กแข็งของบริษัท ในปีที่แล้วมีการติดตั้งเตาชุบเพ่มอีก 1 เตา ไม่ทราบว่าในปัจจุบันมีการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่เท่าไร
A : ประมาณ 80% และในปีนี้ก็จะพิจารณาเพิ่มเตาชุบอีก 1 เตา มูลค่าการลงทุนประมาณ 50 ล้านบาท ซึ่งการลงทุนของบริษัทในแต่ละอย่าง เราจะ conservative มาก จะต้องมี pay back ที่ดี รวมถึงมี growth ต่อเนื่อง

Q : ในระดับโลก Bolher อยู่อันดับที่เท่าไร
A : อันดับ 1 ของโลก

Q : ถ้าทาง Bolher เห็นว่าเราขายผลิตภัณฑ์ของเขาได้ดี เป็นไปได้หรือไม่ว่า ทาง Bolher จะยกเลิกการเป็นตัวแทนของเรา และหันมาทำตลาดเอง
A : เป็นไปไม่ได้ เรามีความสัมพันธ์กันมาอย่างยาวนาน และเรามียอดขายเป็นอันดับ 1 ในภูมิภาคเอเชีย (หมายถึง Bolher มีตัวแทนจำหน่ายในหลายประเทศ แต่เรามียอดขายเป็นอันดับ 1) อีกอย่างถ้าจะเข้ามาทำตลาดเอง จะต้องมีการลงทุนมากมาย ทั้งในเรื่องของโกดังและงานบริการอื่นๆ อีก

Q : ในส่วนของธุรกิจเหล็กของบริษัท เราขายผลิตภัณฑ์ของ Bolher กี่ %
A : ประมาณ 40%

Q : ปัจจุบันมีบริษัทที่ขายเหล็กแข็งเหมือนเรากี่บริษัท และเรามี market share ประมาณเท่าไร
A : มีรายย่อย ๆ ประมาณ 10 ราย ส่วนรายใหญ่อีก 2-3 ราย market share ของเราก็ประมาณ 30%

เดี๋ยวค่อยมาต่อนะครับ

SSI

raynus เขียน:- ส่วนใหญ่ก็ไม่มีเรื่องอะไรใหม่ๆครับ ก็ตามขาว ตามหน้าเดิมที่เราพูดๆมาแล้ว

- ค่าเงินบาทที่แข็งค่ามีประโยชน์ในการซื้อวัตถุดิบครับ

- ค่าแรง SSI UK นั้นแพง แต่ก็เป็นเพื่อการผลิตเหล็กชั้นคุณภาพพิเศษครับ

- สถานการณ์เรื่องวัตถุดิบราคาแพงดีขึ้นเรื่องๆแล้ว เห็นคณะกรรมการบอกว่า
ถ้าราคาวัตุดิบไม่ผันผวนแบบปีที่แล้ว ยังไงต้นทุนลดลงแน่นอนครับ

- Q1 56 SSI TH มีกำไร (ได้ยินแว่วๆว่ EBITA >= 50 ไม่รู้ว่าได้ยินผิดหรือเปล่า)
Q1 56 SSI UK -> เคยพูดไว้แล้วใน Opp day ก็ยังคงขาดทุนอยู่แต่ลดลง ส่วน q2 กำลังการผลิต 80% ตามแผนครับ

- ตอนนี้ลูกค้า mexico เริ่มส่ง commercial lot แล้ว (40,000 ตัน /เดือน ?? จำตัวเลขไม่ค่อยได้ครับ)

- 3rd caster เป็น "Billet ' caster เนื่องจาก เพิ่มอำนาจต่อรองทางการค้า และความหลากหลายของสินค้า
รวมทั้ง billet ขายได้ราคาดีกว่า slab
การผลิต billtet จาก SSI UK จะมีต้นทุนต่ำกว่าหลอมเอาเองในไทย วัตถุดิบเสริม(เศษเหล็ก)ก็หาง่ายกว่าในไทย
และ แทบไม่มีคู่แข่งใน SEA เลย
(billetที่ผลิตๆในไทยกันส่วนใหญ่เอาไว้ใช้เองครับ ไม่ค่อยเอาออกมาขาย)

- เรื่องเงินทุน คุณวิน ว่า กำลังพิจารณาหลายๆทาง ยังไม่ได้ข้อสรุป(bid ก็ยังไม่เสร็จ) มีความเป็นไปได้ที่จะมีการขาย หุ้นใน SSI UK
เพื่อเอาเงินมา support ด้วยครับ
(แต่คุณวินว่าเป็น การขาย หุ้น ของ SSI UK ไม่ใช TH และ คนที่จะซื้อต้องเป็น partner อย่างเช่น
มาช่วยเรื่องเทคโนโลยี มาเป็น suppiler / ลูกค้าด้วย)

ใช้เวลาติดตั้งประมาณ 1-1ปีครึ่ง (เริ่มใช้ผลิตปี 2015-2016 ประมาณนั้น)

และคราวนี้คิดว่าไม่มี ก่อสร้าง delay
(เพราะการซ่อมเตา + PCI เป็นงานในที่โล่ง + สูง ทำให้โดนอากาศเล่นงานเข้าเต็มๆ แต่ caster นีทำในโรงงาน เลบคิดว่าไม่น่ามีปัญหาครับ)

- เรื่อง PCI ก็เสร็จตามกำหนดการเดิม ขึ้นกับว่า จะสามารถเร่งการใช้ขึ้นมาได้เร็วขนาดไหน (ตั้งเป้าไว้ที่ 57Q1 เต็มทื่ครับ)

- ยังคงคาดการณ์ EBITA รวม เป็นบวก ใน Q3


ps1 คณะกรรมการยังไม่รับปากว่าจะล้างขาดทุนสะสมในกี่ปีนะครับ

ps2 คุณวินว่า จะลงทุนตัวนี้ให้มองยาวๆครับ


- 3rd caster จะทำให้ SSI UK มีกำลังผลิตเพิ่มได้ มากกว่า 4 ล้านตันครับ
(แต่เห้นว่า caster แต่ละตัว รับการผลิตได้ 1.8 ล้านตัน ไม่ทราบว่าอาจจะเผื่อมีการขยายเตาถลุงในภายหลังด้วยรึเปล่านะครับ)

- ส่วนเรื่องการเพิมกำลังการผลิต ทั้งหมด ที่วางแผนไ้ว้

*มี demand รองรับไว้แล้วนะครับ*

- และมีแผนจะปรับปรุงระบบผลิตไฟฟ้าในโรงงานเพิ่มเติมด้วยในอนาคต

:mrgreen:
"Champions aren't made in gyms. Champions are made from something they have deep inside them: A desire, a dream, a vision.
ภาพประจำตัวสมาชิก
crazyrisk
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 4562
ผู้ติดตาม: 40

Re: รวบรวม AGM Q1 /2556 ครับ

โพสต์ที่ 6

โพสต์

T

TWFP
CupJok เขียน:AGM THAI WAH FOOD PRODUCTS

- ผลประกอบการปี 55

ยอดขายของวุ้นเส้นเติบโต 8% แยกเป็นวุ้นเส้นสด +18% ,มังกรคู่ -8% ,หงส์ +4% ,กิเลนคู่ +17% สาเหตุที่ยอดขายของมังกรคู่ตกลงเนื่องจากในปี 54 คู่แข่งได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำท่วมแต่เราไม่ได้รับผลกระทบการเติบโตของมังกรคู่ในปีนั้นจึงสูงกว่าปกติอยู่ที่ 15%(เทียบปี 53) พอปีที่แล้วคู่แข่งกลับมาผลิตได้ปกติยอดขายจึงตกลงมาเพราะฐานที่สูง ส่วนยอดขายวุ้นเส้นสดที่โตมากถึง 18% เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนมาใช้วุ้นเส้นสดกันมากขึ้นเนื่องจากความสะดวกพร้อมปรุง

- บริษัทร่วม
สาเหตุที่ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมในปี 55 ลดลง 11% เนื่องจากในปี 54 เกิดโรคเพลี้ยแป้งระบาดหัวมันสำปะหลังขาดแคลนในปีนั้นจึงเป็นตลาดของผู้ขาย(อัตรากำไรขั้นต้นสูง) พอปี 55 สถานการณ์เริ่มกลับมาปกติการแข่งขันจึงสูงทำให้อัตรากำไรขั้นต้นลดลงผลประกอบการของบริษัทร่วมจึงตกลง และที่บริษัทสำปะหลังพัฒนาไม่จ่ายปันผลในปีที่แล้วเนื่องจากผู้ถือหุ้น 3 กลุ่มมีความเห็นไม่ตรงกันโดยมีบางกลุ่มเห็นว่าควรเก็บเงินสดไว้ลงทุนต่อบริษัทจึงงดจ่ายปันผล

- ผลิตภัณฑ์ก๋วยเตี๋ยว
ผู้บริหารเล่าให้ฟังว่าจุดเริ่มต้นของการเข้ามาในตลาดนี้นอกจากจะลดการพึ่งพาตลาดวุ้นเส้น และเพื่อสร้างการเติบโตแล้วแต่เกิดจากการไปสำรวจตลาดก๋วยเตี๋ยวสดที่จำหน่ายทั่วไป บริษัทพบว่าล้วนแต่มีสารปนเปื้อนที่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภคบริษัทจึงค้นคว้าวิจัยเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์โดยมีจุดขายที่ความสะอาดปราศจากสารปนเปื้อน และมีอายุการเก็บรักษาสินค้าที่ยาวกว่าทำให้สามารถกระจายสินค้าไปต่างจังหวัดไกลๆได้ แต่ปัจจุบันบริษัทยังประสบปัญหาอันเนื่องจากกระบวนการผลิตที่ทำให้ไม่มีสารพิษ-ไม่บูดได้เป็นเวลานานทำให้ลักษณะสินค้าของบริษัทดูชื้นส่งผลให้ผู้รับสินค้าไปขาย-ผู้บริโภครู้สึกสับสนกับหน้าตา และลักษณะของสินค้าบริษัทจึงยังต้องพัฒนาผลิตภัณฑ์ก๋วยเตี๋ยวต่อไป (ผู้บริหารตั้งเป้าอยากประสบความสำเร็จภายใน 5 ปี เส้นเล็กทำตลาดมาแล้ว 2 ปี , เส้นหมี่ 1 ปี , เส้นใหญ่ไม่ถึงปี)

- งบลงทุน
กำลังการผลิตปัจจุบันอยู่ที่ปีล่ะ 22,000 ตัน ปีที่แล้วใช้ไป 15,000 ตัน จึงเพียงพอใช้ได้อีกหลายปีแต่ปีนี้คาดว่าต้องลงทุนในไลน์การผลิตวุ้นเส้นสดเพิ่มอีกเนื่องจากมีการเติบโตที่สูง(วุ้นเส้นสด-แห้งแยกไลน์การผลิตกัน) ส่วนโรงงานใหม่ที่ซื้อที่ดินเตรียมไว้แล้วหลายปีเพื่อจะใช้ผลิตเส้นก๋วยเตี๋ยวผู้บริหารบอกขอดูยอดขายอีก 1 ปีแล้วค่อยตัดสินใจโดยโรงงานนี้จะมีกำลังการผลิต 8,500 ตัน ใช้งบลงทุนทั้งหมด 200 ล้านบาท แบ่งเป็นอาคาร 120 ล้านบาท, ไลน์การผลิต 2 ไลน์รวม 80 ล้านบาท โดยเบื้องต้นจะลงทุนก่อนหนึ่งไลน์การผลิตหรือใช้เงินลงทุน 160 ล้านบาท
U
UIC
ton5533 เขียน:จากที่พอจะจับใจความคร่าวๆ ได้เมื่อวานนะครับ

ตอนนี้ยังพอมีเงินสดเหลืออยู่ในมือครับ เงินส่วนต่าง credit ลูกหนี้/เจ้าหนี้ จะนำไปซื้อพันธบัตรเพื่อให้ได้ประสิทธิผลสูงสุด

เงินที่เพิ่มทุนบางส่วนก็คงจะนำไปสร้างคลังเก็บสินค้าเพิ่มในย่านบางนา เพราะลูกค้าส่วนใหญ่อยู่แถวนั้น แต่ยังมองว่าอาจจะมีการกู้เพิ่มด้วย เพราะยังอยากที่จะเก็บเงินสดไว้ลงทุนอะไรอย่างอื่น

ส่วนการร่วมทุนกับบริษัทเกาหลีอาจจะไม่มีนัยยะสำคัญเท่าไหร่ มองว่าเป็นการไปศึกษาตลาดที่นั่นดีกว่าครับ ให้บริษัทที่นู่นช่วยมองหา supply ที่เกาหลีด้วยอีกแรง

อนาคตมองว่าอุตสาหกรรมเครื่องสำอางยังจะโตไปอีกอย่างน้อย 2 ปี ปีละประมาณ 10% จากนั้นอาจจะต้องมองที่จะเพิ่มสัดส่วนในกลุ่มอื่นๆ หรือเจาะตลาดใหม่อย่างพวก sanitary (น้ำยาทำความสะอาด ซึ่งตอนนี้ยังอยู่ในช่วงศึกษาตลาด) active (พวกทำให้ผิวขาว) และความปลอดภัย

ปีนี้ยังคงเน้นไปที่หมวดสินค้าเครื่องสำอาง และ personal care เพราะยอดขายส่วนนี้จะไม่เหวี่ยงเหมือนกลุ่มอื่นๆ

ปัจจัยความเสี่ยงคือ
1. บุคลากร เพราะเป็นบริษัทที่มีพนักงานไม่มาก sales 10 กว่า office 10 กว่า
2. อัตราแลกเปลี่ยน อันนี้ไม่น่าห่วงเพราะบาทดูแนวโน้มน่าจะแข็งค่าไปเรื่อยๆ
3. ลูกหนี้ แต่บริษัทยังคงรักษาระดับ npl ไว้ดีมากๆ

พี่พีรเจตบอกปีนี้ยอดขายมองไว้ที่ 750 ล้านก็น่าพอใจมากแล้วครับ เพราะปีที่แล้วมีสินค้า TiO2 มาช่วยเพิ่มยอดขายมากขึ้นประมาณ 150 ล้านได้
UEC
Tsurumi เขียน:
Saran เขียน:
Tsurumi เขียน: ผมตั้งใจจะไปประชุม ผถห 23/04/13 ถ้าไม่เหตุขัดข้องทันด่วน
เพื่อนๆกรุณาฝากคำถามมาได้เลยครับ
ฝากไปถามหน่อยครับ
1. ปัจจุบันงาน backlog อยู่ราวๆเท่าไร (จากในข่าวมีอยู่ 1,400 ลบ.) เมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีอยู่ราวๆ 900 ลบ.
2. ปัญหาขาดแคลนแรงาน + วิธีการแก้ไขเป็นอย่างไร
3. ผู้บริหารได้มีกลยุทธ์หรือแผนการที่จะเติบโตนอกบ้านบ้างไหม อย่างไปร่วมทุนหรือลงทุนสร้างโรงงานใหม่ในต่างประเทศ จากเมื่อก่อนที่ใช้วิธีการประมูลรับงานมาผลิตในไทยและส่งออก หรือยังเน้นการเติบโตของรายได้จากในประเทศเป็นหลักอยู่เหมือนเดิม
4. ความจำเป็นที่ต้องลงทุนอย่างมีนัยสำคัญในช่วง 1-2 ปีนี้มีหรือไม่ จำนวนเงินลงทุนประมาณเท่าไร
5. สินค้าใหม่ มีผลตอบรับอย่างไรบ้าง

ขอบคุณมากครับ
บางประเด็นจาก คำถาม/ตอบในที่ประชุม ประจำปี UEC วันที่ 23-4-2556/ 10.00- 12.00 Jasmin Hotel 2 /Sukhumvit Soi 23

บทเกริ่น

มีผถห. มาเอง 84 คน รับมอบอำนาจ 63 คน รวม 147 คน เป็น 47% ของหุ้นทั้งหมด (ทั้งหมดมี 572 ล้านหุ้น/ ผถห 2,777 คน) (วาระสุดท้ายลงมติเห็นมี ผถห มาเพิ่มเป็น 174 คน)

ทุกวาระเพื่อการพิจารณา/ขออนุมัติจะได้รับเสียงเอกฉันท์ หรือ 100% (ถ้าไม่ตรงตามนี้ก็ขอให้เพื่อนๆแก้ให้ด้วย)
การประชุมเสร็จสิ้นด้วยการทานข้าวกลางวันกัน ผู้บริหารและ ผถห ที่ถือคูปองสีส้มแยกไปทานอีกห้องทีจัดให้พิเศษ ส่วน ผถห ที่ถือคูปองสีฟ้า ก็ทานหน้าห้องประชุมและก็เป็นส่วนใหญ่ สังเกตุกับข้าว Buffet ที่จัดมาเป็นอาหารไทย มีขนมทั้ง ไอศครีม ลอดช่อง ผถห กลับชอบโต้ะส้มตำกับก๋วยเตี๋ยว เพราะเห็นยืนรอคิวกันมากเหลือเกิน
มีข้อน่าสังเกตุในวาระที่ 6 กำหนดค่าตอบแทนกรรมการดังนี้
- เปิดวาระ/ประเด็นก็มี ผถห. เสนอให้เพิ่มค่าตอบแทนกรรมการอีก 10% จาก 7 ล้านเหมาจ่ายให้กรรมการไปบริหารกันเอง เป็น 7,700,000 บาท มี ผถห อีกท่านเสนออีกว่า ให้เขียนให้ชัดเจนว่า กรรมการแต่ละท่านได้เงินเดือน เบี้ยประชุม เท่าไรลงเป็นรายละเอียดเพื่อธรรมาภิบาลของบริษัทด้วย และถามด้วยว่า ก่อนหน้านี้หรือวันนี้ บริษัทอ่างอิงอะไรประกอบพิจารณาเงินตอบแทนกรรมการ เช่น ผลประกอบการดี ผถห ได้เพิ่ม กรรมการก็ควรได้เพิ่ม หรือ เทียบเคียงบริษัทอื่นในกลุ่มเดียวกัน
- ประธานที่ประชุม (คุณไพบูลย์ เฉลิมทรัพยากร) ตอบว่า ไม่มีอะไรมาอ้างอิง มันก็เป็นมาอย่างนี้ตลอดหลายปีแล้ว ค่าตอบแทนก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง การแบ่งจ่ายก็ง่ายๆคือ มีกรรมการเท่าไร ก็เอามาหารจาก 7 ล้าน ส่วนที่เกินการหารไม่ลงตัวแล้วก็ให้ประธานไป ซึ่งก็เพิ่มได้ไม่มากเลย เป็นเลขเศษการหารเท่านั้นเอง
- จากนั้นประธานที่ประชุมก็ให้ลงมติ และเสียงเป็นเอกฉันท์ ผมสงสัยอยู่ว่า ทีลงมตินั้นเป็นรับให้เพิ่ม 10% และให้แจ้งรายละเอียดค่าตอบแทนเป็นเงินเดือน/เบี้ยประชุม/ค่ารถ ฯลฯ หรือ ลงมติเพื่อเพิ่ม 10 เพียงอย่างเดียว เพื่อนๆช่วยเสริมวาระนี้ด้วย เพราะประธานขานแต่ตัวเลข ไม่ขานวาระ/เนื้อหาให้ลงมติ

ต่อไปเป็นคำถาม/ตอบ เป็นการสรุปย่อๆตามที่เพื่อนๆฝากมาและเก็บจากประเด็นที่ ผถห ท่านอื่นๆถาม

1 ปัจจุบันงาน backlog อยู่ราวๆเท่าไร (จากในข่าวมีอยู่ 1,400 ลบ.) เมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีอยู่ราวๆ 900 ลบ.
ตอบ
ต้นปีๆนี้เรามี backlog มากกว่า backlog ปีที่แล้วมาก ถึงมั่นใจได้ว่า โต 15% ไม่มีปัญหา มากเท่าไรบอกไม่ได้ ขอเก็บเป็นความลับก่อน เพื่อผลดีในการต่อรองกับผู้ซื้อ

2 ปัญหาขาดแคลนแรงาน + วิธีการแก้ไขเป็นอย่างไร
ตอบ
ปัญหาแรงงานขาดยังแก้กันในภาคพื้นเราไม่ตก แต่เราก็ยังดีกว่าที่ยุโรป ทางออกของเราก็คือถ้าให้มี Output มากขึ้นมี 2 ทาง หนึ่งเพิ่มคนขึ้นมาหนอ่ย แต่เครื่องจักรเท่าเดิม หรือ สอง เพิ่มเครื่องจักรหรือปรับประสิทธิภาพเครื่องจักรให้ดีขึ้น เช่นแทนที่จะใช้ 4-5 คน/เครื่อง แต่ใช้คน 1-2 คน/เครื่องก็จะได้ผลผลิตออกมาเท่าเดิม เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต
กำลังการผลิตเราเต็มทั้งคน เต็มทั้งเครื่องจักร

3 ผู้บริหารได้มีกลยุทธ์หรือแผนการที่จะเติบโตนอกบ้านบ้างไหม อย่างไปร่วมทุนหรือลงทุนสร้างโรงงานใหม่ในต่างประเทศ จากเมื่อก่อนที่ใช้วิธีการประมูลรับงานมาผลิตในไทยและส่งออก หรือยังเน้นการเติบโตของรายได้จากในประเทศเป็นหลักอยู่เหมือนเดิม
ตอบ
เราคิดอยากเพิ่มสัดส่วนต่างประเทศให้เป็น 25% หรือมากกว่านั้นมาตลอด ตลาดตะวันออกกลาง ออสซี่เราก็ดูแลอยู่ ส่วนพม่านั้นเป็นตลาดใหม่ เราอาจจะเน้นย้ำบอ่ย แต่ไม่หมายความว่า จะดูพม่าแล้วทิ้งตลาดส่วนอื่นๆ

4 ความจำเป็นที่ต้องลงทุนอย่างมีนัยสำคัญในช่วง 1-2 ปีนี้มีหรือไม่ จำนวนเงินลงทุนประมาณเท่าไร
ตอบ
ยังไม่มีการลงทุน 1-2 ปีนี้เป็นนัยสำคัญ ถ้าจะมีคงเป็นเกี่ยวกับพม่า แต่ยังไม่ชัดเจน ซึ่งตอนนี้ก็หาที่ดินกันอยู่ เราอยากได้ไกล้แม่น้ำเพื่อการขนส่ง อย่างไรก็ดี เราเป็นพวก conservative ในเรื่องนี้ คือไม่กระโจนลงทันที แต่ค่อยเป็นค่อยไปอย่างระมัดระวัง

5 - สินค้าใหม่ มีผลตอบรับอย่างไรบ้าง เราต้องจ่ายค่า know-how เท่าไร/อย่างไร
- จะขยายไลน์สินค้าออกไปอีกใหม
- เหล็ก 5 นิ้วม้วนได้หรือยัง
- 2-3 ปีมานี้โตมาได้เรื่อย ต่อไปจะมีกลยุทธ์อย่างไร
ตอบ
Cryogenic บรรจุได้ราว 40000 ลิตร เราส่งออกไป ออสเตรเลียแล้ว 1 ลูกกำลังทำอยู่ 4 ลูก ขนาดก็ประมาณ เส้นผ่า0กลาง 4 เมตร ยาว 20-30 เมตร ก็ไปได้ดีครับ
ส่วนถัง self-support tank for Lorry ก็เป็นถังที่ไม่มีฌครงสร้างภายใน คือกลวง ทำให้น้ำหนักเบาในการขนส่ง
พวกนี้เป็นเทคโนโลยี่ใหม่ เราเป็นเจ้าแรกในไทย ค่า know-how นั้นไม่ได้จ่ายเป็นตามจำนวนถังที่ผลิตได้ แต่เราซื้อเทคโนฯมา ที่มี consultant เจ้าของเทคโนฯประจำอยู่บริษัทเรา (ผมจดไม่ทันว่า เป็นของถังแบบใหน ... เพื่อนๆช่วยเติมเต็มให้ด้วย)
ทั้งสองสินค้าคือ สินค้าใหม่ที่เรานำออกมาเพื่ออนาคตบริษัท เราไม่ได้หยุดนิ่ง เราก็จะเข้าไปในพม่าจะชัดเจนมากขึ้นปลายปีนี้ เราไม่หยุดนิ่ง เรามี จนท.ใหม่ที่จะเข้ามาดูเรื่องพม่าโดยเฉพาะ
ส่วนเหล็ก 5 นิ้วม้วนได้สำเร็จแล้ว มีลูกค้าเข้ามาแล้ว

6 ค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นมีผลต่อการประมูลงานแข่งกับคู่แข่งที่อยู่ต่างประเทศไหมครับ
ตอบ
ถ้าเป็นออร์เดอร์ที่ทำกันแล้ว/ผลิตแล้ว ค่าเงินบาทไม่กระทบเลย เพราะเราทำ Forward ไว้เสมอ ไม่ต้องห่วงเรื่องนี้
กรณีเป็นการเสนอราคาใหม่ แข่งกับคู่แข่ง ก็เป็นปัญหากับคู่แข่งด้วย เช่น เงินมาเลย์ก็แข็งค่าขึ้นเหมือนกัน
ถ้าได้ออร์เดอร์เซ็นแล้ว เราก็ซื้อวัตถุดิบเลยไม่รอ
อันที่จริงถ้าเป็นออร์เดอร์ก็ยิ่งดีเลย เพราะเราซื้อของได้ถูกลงด้วยซ้ำไป

7 - ณ ยอดขายของปี 2555 ใช้กำลังการผลิตกี่ % ถ้าบ.สามารถเพิ่มยอดขายได้ถึงจุดไหน จึงจะต้องมีการลงทุนเพิ่มเติม
ตอบ
- ปี 2556 จะขยายยอดขายได้เท่าไร เราใช้ยอด/กำลังผลิตเต็มแล้ว ถ้าขยายยอดขายอีก 15% ก็ไม่มีป้ญหา (ประวัติเก่าปี 50-51 เคยทำยอดได้ 1800 ล้านมาแล้ว)
ปี 2556 จะขยายยอดขายได้อีก 15%

8 ปี 2556 นี้ มีแผนอย่างไรที่จะรักษา EBIT และ NET MARGIN ให้ได้เท่ากับปี 2555

- จะรักษา Profit margin ไว้ได้อย้างไร
- ต่างประเทศกับขายในประเทศอันใหนกำไร มาร์จิ้นดีกว่ากัน
ตอบ
เราเคยมี margin 25-30% มาแล้ว แต่ปัจจุบันนี้ตลาดมันแข่งขันกันหนัก ไม่แหมือนเดิมแล้ว ปีนี้จะพยายามรักษา ยอด มาร์จิ้นให้ได้ใกล้ปีที่ผ่านให้ดีที่สุด แต่มันก็ขึ้นอยู่กับ product mix อีกว่าขายอะไรมากที่สุด
กำไรจากในประเทศดีกว่า ต่างประเทศกำไรน้อยเพราะแข่งกันมาก (ประเด็นกำไรนอกดีกว่า ในประเทศนี้เพื่อนๆช่วยยืนยันด้วยครับ ผมอาจจำสลับกัน)

9 ราคาน้ำมันในตลาดโลก กระทบการตลาดบริษัทอย่างไร
ตอบ
ถ้าราคาน้ำมันสูงขึ้น ก็จะมีการขยายกำลังการผลิตและลงทุนเพิ่มนุรกิจน้ำมัน ก็เป็นผลดีกับทางเรา เพราะจะมีการลงทุนเพิ่มขึ้น

10 - ดูงบทรัพย์สินแล้ว ทำไมยอดลูกหนึ้เพิ่มมาก (ดูงบสรุปหน้า 7) เพิ่มมา 55% และมูลค่างานที่ยังไม่เรียกเก็บเพิ่มอีก 116% แสดงว่าเงินสดในมือที่เป็นกำไรจริงก็น้อยลงใช่ใหม
- มูลค่างานที่ยังไม่เรียกเก็บนั้น ตอนนี้ผ่านไป 4 เดือนแล้วเก้บได้หรือยัง
- เห็นมีหนี้เยอะมาก ตั้งสำรองหรือยัง
- มีหนี้จะสูญอีก 5 ล้านบาท (ดูหมายเหตุประกอบงบฯ หน้า 37) เล่าคืบหน้าให้ฟังด้วย
ตอบ
ลูกหนี้เพิ่ม เพราะยอดขายเพิ่ม และยอดงานยังไม่ถึงกำหนดเรียกเก็บเงินเพิ่มก็เหตุเดียวกัน ต้องดูงบกำไรขาดทุนประกอบ อย่าดูงบดุลอย่างเดียว ในงบกำไร/ขาดทุนจะแจ้งยอดกำไรจริงๆ การรับรู้รายได้ของเราคือเมืองานครบเสร็จ หรือเมือความสำเร็จของงานทำได้ตามกำหนดในสัญญา จะออกบิลล์เก็บเงินหรือไม่ ก็ต้องดูบรรทัดต่อไปที่อธิบายว่า ลูกหนี้ยังไม่ถึงกำหนดชำระ เช่น 3 เดือน 6 เดือนก็ว่ากันไป แต่ถ้า 12 เดือนแล้วได้รับเงินก็ต้องบันทึกเป็นหนี้อาจสูญตามหลักการ
ส่วนการเรียกเก็บเงินตามงวดที่ผ่านมาแล้วนั้น ไม่ต้องห่วงเราตามเก็บได้ตลอด อย่าได้ห่วง
หนี้สงสัยจะสูญ 5.2 ล/บ นั้นหาตัวลูกหนี้ไม่พบแล้ว เคยคุยกันคณะกรรมบริษัทว่า ควรตัดออกจากระบบบัญชีเสียเลย แต่ก็ยังไม่ทำ เก็บไว้ในระบบบัญชีก่อนเผื่อผลทางภาษีจากสรรพากร ตอนนี้จะดำเนินคดีต่อก้ไม่ได้แล่ว หาลูกหนี้ไม่เจอ เลยต้องเก็บไว้ เรื่องนี้มันนานมากแล่ว

11 - มองสภาวะการตลาดขณะนี้อย่างไร
- ดูเรื่องตลาดพลังงานไว้บ้างหรือเปล่า
ตอบ
ตลาดปัจจุบันแข่งกันสูงมาก และจะมากขึ้นตอนเปิดเสรีอาเซี่ยน
ส่วนตลาดพลังงานนั้นเราไม่ทำ เราไม่ถนัด หลักการเราคือสิ่งที่เราไม่ถนัดแล้ว เราจะไม่ทำ
V
"Champions aren't made in gyms. Champions are made from something they have deep inside them: A desire, a dream, a vision.
ภาพประจำตัวสมาชิก
crazyrisk
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 4562
ผู้ติดตาม: 40

Re: รวบรวม AGM Q1 /2556 ครับ

โพสต์ที่ 7

โพสต์

W
X
Y
Z
"Champions aren't made in gyms. Champions are made from something they have deep inside them: A desire, a dream, a vision.
ล็อคหัวข้อ