Thai Value Investor การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุน VI หุ้นวีไอ Webboard

ผมพยายามยึดแนวทางของ VI เพราะรู้ว่าเป็นหลักการกินอิ่มหลับสบาย
แต่ด้วยความที่ช่วงเวลานี้เป็นยุคที่หุ้นต่ำบาทรุ่งเรืองกันไปหมด ไม่เห็นจะมีพื้นฐานรองรับอย่างมีนัยยะ
ขึ้นดีเป็นเด้งๆ พี่ๆ รับมือกันอย่างไรที่หุ้นที่ถือด้วยพื้นฐานไม่วิ่งไปไหนแถมมีสีแดงเป็นบางวัน
แต่ที่เขียวๆ กับเป็นหุ้นเล็กๆ พุ่งปรี๊ดกันขนาดนี้ ยอมรับว่าทำใจไม่ได้จริงๆ ครับ ช่วยชี้แนะด้วยครับ

ผมก็รู้สึกเหมือนกันเลยครับ แต่ก็ได้แต่มอง ถือคติยิ่งสูงยิ่งหนาว เรารอดูอย่างเดียวสนุกดี

กองทุนแบบ 3 เดือน 6 เดือน ช่วยท่านได้

หุ้นที่ขึ้นมาช่วงนี้ มาจากกลุ่มก่อสร้าง พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ กับ พวกหุ้น Penny Stock ทั้งนั้น
หุ้นพวกนี้ ผมไม่เคยมองเลย เพราะมันเป็นหุ้นปั่นทั้งนั้น
หุ้นพื้นฐานดี ๆ กลับลง แต่ไม่รู้มันจะลงไปถึงไหน ใกล้จะต่ำสุดหรือยัง จะได้เวลาเข้าซื้อหรือยัง

ถ้ามีหุ้นดีพื้นฐานดี ราคาไม่ไปไหน ณ.เวลานี้คือลาภอันประเสริฐแล้วฮะ หายากมากมาย .. ส่วนหุ้นตัวไหนใครจะไปไหน ช่างมัน

ถ้ามองตอนนี้ก็คือตอนนี้ครับ แต่ vi มองไปในอนาคต+ระยะยาว ถ้าถือหุ้นที่พื้นฐานดีจริง
มีเหตุผลอะไรที่จะต้องหวั่นไหวด้วยครับ? แล้วในอนาคตคิดว่าหุ้นที่ไม่มีพื้นฐานที่ดีรองรับ
จะเป็นยังไงหละครับ? เราก็เห็นตัวอย่างหุ้นipo ที่ผ่านมาบ้างแล้วนี่ครับ คำถามที่สำคัญ คือ
หุ้นที่คุณเลือกซื้อมา เหตุผลที่เลือกมันคืออะไร แล้วมันเป็นแบบที่คุณคิดหรือเปล่า? เช่น ผมซื้อ
หุ้นตัวนึงเพื่อเอาปันผล ส่วนราคานิ่งและลงทุกวัน แต่ผมรู้ว่าผมรอปันผล(ส่วนพื้นฐานนั้นผ่านเกณของ
ผมแล้ว) ดังนั้นผมจึงไม่สนใจเรื่องราคาจะขึ้นหรือจะลง เป็นต้นครับ ลองกลับไปศึกษาแนวทาง vi
ของกูรูเพิ่มเติมครับ แล้วใจจะได้นิ่งและสงบมากขึ้นครับ...^^)

ตั้งแต่ผมเน้นหลักการแบบ VI ไม่เคยไปสนใจหุ้นคนอื่นคนอื่นว่าจะเป็นไงอีกเลยครับ ถือคติเฮียคลายเครียดครับ ไม่โลภเกินความรู้ ดังนั้นตัวที่ไม่ได้ติดตาม ไม่ได้รู้เรื่องมาก่อนมันควรจะวิ่ง พลาดไปก็ไม่เป็นไร ยิ่งพวกหุ้นปั่นแปะทั้งหลาย ต่อให้คนอื่นได้เป็นเด้งๆก็ไม่เป็นไรครับ ผมคิดว่า ถ้ามันเป็นหุ้นปั่น เราไม่แน่ใจในพื้นฐาน เราคงไม่กล้าจัดเต็ม ซื้อเยอะๆ ต่อให้มันขึ้นมาเป็นเด้งๆ ก็คงไม่ได้ช่วยให้พอร์ทรวมเราโตเท่าไหร่ครับ อย่าไปเล่นเกมที่เราไม่ถนัดครับ เพราะเราจะเจอคู่แข่งเป็นคนที่ถนัดเกมนั้นอยู่แล้วครับ

หุ้นตัวไหนไม่เข้าใจ ก็ไม่ต้องมองครับ ง่ายดี
ใครจะกำไรเท่าไหร่นั่นเป็นเรื่องของเค้าครับ
หุ้นในพอร์ตของเราถือแล้วสบายใจ นอนหลับ ก็เยื่ยมแล้วครับ

อย่าหลงภาพลวงตาเชียวครับ ถ้าเราศึกษาพื้นฐานมาไม่ดี รีบซื้อตามกระแส จะติดดอยง่ายๆ หรือไม่ก็ไม่กล้าถือเพราะว่าไม่ได้ศึกษามาอย่างดี ด้วยความปรารถนาดีครับ

ผมท่องไว้ตลอด เสียดายดีกว่าเสียใจ (ถึงแม้ว่าปีล่าสุดจะเสียดายจนแอบใจเสียใจนิดๆ )

อยากเคาะซื้อหุ้นหนอครับ

ผมอดทนที่จะไม่ซื้อธุรกิจที่ผมไม่ทราบว่ามูลค่าเป็นเท่าไหร่ หรือขายธุรกิจที่ผมคิดว่าราคายังต่ำกว่ามูลค่าที่คำนวณได้

แต่ผมไม่อดทนที่จะอยู่เฉยๆครับ ยังไงเราลองไปศึกษาสิ่งที่ใครๆคิดว่าเป็นหุ้นปั่น ว่าจริงๆแล้วมูลค่ามันเท่าไหร่กันแน่ บางทีเราอาจจะมองข้ามอะไรไปบ้างก็ได้ ถ้าศึกษาแล้วยังคิดว่ามันเป็นหุ้นปั่น ก็แค่ไม่ซื้อแค่นั้นเอง

เป็นสำนวนที่ไม่ค่อยมีคนพูดมาปีหรือสองปีแหล่ะจำได้ไม่ถนัด

เวลามองสนามหญ้าข้างบ้าน มักจะเขียวกว่าบ้านเราเสมอ

พยายามมองอนาคตออกไปไกลๆ ครับ...

ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นอนิจจัง เกิดขึ้น เสื่อมไปเป็นธรรมดา แม้แต่หุ้นพื้นฐานดีๆ ที่อยู่เราถืออยู่ก็ไม่พ้นความเสื่อมไปอย่างแน่นอน

แต่ความเป็นจริง ก็คือ ในกิจการที่เราเข้าใจ ที่เรารู้จัก เรารู้ว่าอะไรคือ เหตุปัจจัยที่ทำให้กิจการนั้นเสื่อมลง ปัจจัยอะไรเป็น key factor ที่เราต้องติดตาม และเมื่อเกิดอะไรขึ้นกันกิจการ เรารู้ชัดว่า เราต้อง take action อย่างไรบ้าง...

เปรียบเทียบกับกิจการที่เราไม่เข้าใจ มันขึ้นได้อย่างไรเราก็ไม่เข้าใจ กิจการดำเนินไปอย่างไรเราก็ไม่เข้าใจ กิจการจะเสื่อมไปอย่างไรเราก็ไม่เข้าใจ ดังนั้นหากลงทุนไป กำไร หรือ ขาดทุน ก็คงจะเป็นไปแบบที่เราไม่เข้าใจ จะทำอะไรก็ทำไม่ทันเค้า... สิ่งที่เราไม่เข้าใจ ถ้าเราเข้าไปเล่น ก็คงต้องยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่าเรากำลังเก็งกำไร เรากำลังพนัน ซึ่งถ้าทนความยั่วยวนไม่ไหว ก็ต้องจำกัด position ที่เราจะถือในพอร์ตเอาไว้ มีกลยุทธ์ในการซื้อขายที่ชัดเจน จิตใจต้องเข้มแข็งเพียงพอที่จะทนต่อสถานการณ์ที่ ถ้าวันดีคืนดี หุ้นตัวนั้นเกิดลง 3 floor เราจะยังคงกินได้ นอนหลับ ไม่ทำให้คนรอบๆ ตัวเดือดร้อนตามเราไป และในกรณีเลวร้ายที่สุด หากเงินลงทุนก้อนนั้นเป็น 0 เราจะทำใจยอมรับมันได้

โดยส่วนตัวแล้ว ขนาดผมลงทุนในกิจการที่ผมเข้าใจ ผมยังมีความกังวลใจ ทุกข์ใจ เดือดเนื้อร้อนใจอยู่บ้างเป็นระยะๆ ผมยอมทนกับความรุ่มร้อนใจจากความอิจฉาที่เห็นหุ้นคนอื่นขึ้น ดีกว่าที่จะต้องมาเดือดเนื้อร้อนใจ ทุกข์ใจกับกิจการ หรือหุ้นที่ผมไม่เข้าใจ ที่หากเกิดผมขาดทุนขึ้นมา ผมคงจะรับไม่ได้ที่ต้องมาด่าตัวเองที่ดันหลงเข้าไปเล่นอยู่ในเกมที่ตัวเองไม่สมควรเล่น

ผมอยากรู้ครับที่บอกว่า
หุ้นพื้นฐานดี ๆ กลับลง แต่ไม่รู้มันจะลงไปถึงไหน ใกล้จะต่ำสุดหรือยัง จะได้เวลาเข้าซื้อหรือยัง
บอกหน่อยได้ไหมว่าเป็นหุ้นอะไร ผมจะได้ช่วยวิจารณ์555 555

Seth Klarman ผู้เขียนหนังสือ Margin of Safety ที่โด่งดัง
เคยบอกคุณสมบัติของ VI ไว้ข้อนึงครับว่า

Value investing is absolute-performance-, not relative-performance oriented

หมายถึงการลงทุนโดยดูผลตอบแทนของเราเอง ไม่ต้องไปเทียบหรือวัดกับอะไรอย่างอื่นครับ

การเลือกหุ้นที่ถูกตัว เป็นปัจจัยหลักความสำเร็จของการลงทุน แต่ การเลือกไม่ลงทุนในหุ้นบางตัว
ก็สำคัญไม่แพ้กันนะครับ

ในขณะที่หลายๆคน กำลังคิดว่าจะซื้อหุ้นตัวไหนดี ในช่วงนี้อีกหลายท่านก็คิดว่าจะขาย ตอนไหนดีเหมือนกัน

"อย่าเอาเงินที่ตัวเองมีและเป็นเงินที่จำเป็นต้องมีไปเสี่ยงมากๆ
เพื่อหวังจะได้เงินที่ตัวเองยังไม่มีและไม่จำเป็นต้องมี"

- Warren Buffett

คัดเลือกโดย พี่ Pornchai Rattananontachaisook

เล่นตามเกมส์ของตัวเองเท่านั้นครับ

ถ้าผมไปกำไรมากๆกับหุ้นปั่น นั่นคือจุดเริ่มต้นหายนะการลงทุนของผมแน่นอนครับ

อย่าเทียบผลตอบแทนกันคนอื่นครับ

ถ้าเราพอใจผลตอบแทนที่เราหาได้มันก็พอแล้วครับ

เคยเจอรถติดมั๊ยครับ
อึดอัด ท้อแท้ ห่อเหี่ยว
ในขณะที่อีกฝั่งถนน
วิ่งกันฉิว ฟิ้วๆๆๆ

เคยคิดเล่นๆ
ทำไมเราไม่เอารถไปวิ่งอีกฝั่งนึงนะ
ก็ถนนมันโล่งดี
ทั้งๆ ที่มันไม่ใช่เส้นทาง
ที่จะพาเราไปสู่เป้าหมายที่เราต้องการ

ผ่านไปเพียงครู่
เลนข้างๆ เราก็ไหลลื่นดีขึ้นมาทันที
ในขณะที่เลนของเรายังหนึบอยู่

ผมอยากเปลี่ยนเลน
มองซ้ายมองขวา
จนลืมคิดไปว่ารถที่อยู่เลนเดียวกันกับผม
ก็อาจจะกำลังคิดเหมือนกัน
เลนข้างๆ น่าจะพาเราไปสู่จุดหมายได้เร็วขึ้น

จริงหรือเปล่า ?

ผมก็ตอบไม่ได้

แต่ผมรู้อยู่อย่างนึง
ครูสอนขับรถเคยสอนผมว่า....

ห้ามประมาท

ความผิดพลาดของวอเร็น บัฟเฟตต์ จากในหนังสือนะครับ ว่ามีอยู่2ข้อ
1.ความผิดพลาดจากการละเลย(หุ้นขึ้นไปก่อนจะได้ซื้อ) 2.ความผิดพลาดจากการวิเคราะห์ของเราเอง

โดยที่ในข้อที่2นั้น วอร์เร็นเองก็เคยผิดพลาดจากการลงทุนในสายการบินยูเอสแอร์และ
ลงทุนในห้างสรรพสินค้าชื่อโฮคชิลล์-โคห์น

ซึ่งมีสิ่งที่เหมือนกันนั่นคืออยู่ในช่วงที่เขา มีปัญหาในการหาบริษัทที่ดีในราคาสมเหตุสมผล
แทนที่จะอดทนรอ กลับปล่อยให้นิ้วซุกซนทำงาน และลงท้ายด้วยการเข้าไปสู่ธุรกิจที่ควรจะหลีกเลี่ยง

บางครั้งการทำสิ่งที่ถูกต้อง ก็เป็นเรื่องอยากสำหรับเขาด้วยเช่นกัน
ซึ่งในกรณีนี้คือการ "รอ"

เครดิต:หนังสือคิดแบบผู้หญิงรวยแบบบัฟเฟตต์


...ถ้าไม่เข้าใจไม่เอาครับ มีความสุขกับการรอครับผม..^^

พอใจในสิ่งที่เรามี ยินดีกับสิ่งที่เราได้ครับ..

Plant เขียน:ถ้ามองตอนนี้ก็คือตอนนี้ครับ แต่ vi มองไปในอนาคต+ระยะยาว ถ้าถือหุ้นที่พื้นฐานดีจริง
มีเหตุผลอะไรที่จะต้องหวั่นไหวด้วยครับ? แล้วในอนาคตคิดว่าหุ้นที่ไม่มีพื้นฐานที่ดีรองรับ
จะเป็นยังไงหละครับ? เราก็เห็นตัวอย่างหุ้นipo ที่ผ่านมาบ้างแล้วนี่ครับ คำถามที่สำคัญ คือ
หุ้นที่คุณเลือกซื้อมา เหตุผลที่เลือกมันคืออะไร แล้วมันเป็นแบบที่คุณคิดหรือเปล่า? เช่น ผมซื้อ
หุ้นตัวนึงเพื่อเอาปันผล ส่วนราคานิ่งและลงทุกวัน แต่ผมรู้ว่าผมรอปันผล(ส่วนพื้นฐานนั้นผ่านเกณของ
ผมแล้ว) ดังนั้นผมจึงไม่สนใจเรื่องราคาจะขึ้นหรือจะลง เป็นต้นครับ ลองกลับไปศึกษาแนวทาง vi
ของกูรูเพิ่มเติมครับ แล้วใจจะได้นิ่งและสงบมากขึ้นครับ...^^)

ชอบคอมเม้นต์นี้ครับ
เพราะเป็นสไตล์เดียวกับผมเลย
อยากกดไลค์สัก 10 ครั้ง ... จะได้สูสีกับโพสต์ของนายกฯ

แบ่งเงินส่วนหนึ่งไม่เกิน10%ไปซื้อขายหุ้นพวกนี้บ้างเป็นครั้งคราวครับ

คนเรานี่ก็แปลกนะครับ

ชีวิตปกติ เรามักจะกลัวสิ่งที่เราไม่รู้ เช่น การอยู่ในความมืด เราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จะมีอะไรน่ากลัวในความมืดนั้นมั้ย
พอเริ่มลงทุนเบื้องต้น เราก็ยังกลัว เช่น เวลาซื้อ LTF คนทั่วไปก็จะมอง SET index สูงไปหรือยัง ต้องระวังแล้วนะ
พอลงทุนหุ้นเต็มตัว ความเสี่ยงสูงขึ้นอีก แต่ความรู้กับความกลัว กลับไม่สัมพันธ์กันเลย

vicompiler เขียน:ผมพยายามยึดแนวทางของ VI เพราะรู้ว่าเป็นหลักการกินอิ่มหลับสบาย
แต่ด้วยความที่ช่วงเวลานี้เป็นยุคที่หุ้นต่ำบาทรุ่งเรืองกันไปหมด ไม่เห็นจะมีพื้นฐานรองรับอย่างมีนัยยะ
ขึ้นดีเป็นเด้งๆ พี่ๆ รับมือกันอย่างไรที่หุ้นที่ถือด้วยพื้นฐานไม่วิ่งไปไหนแถมมีสีแดงเป็นบางวัน
แต่ที่เขียวๆ กับเป็นหุ้นเล็กๆ พุ่งปรี๊ดกันขนาดนี้ ยอมรับว่าทำใจไม่ได้จริงๆ ครับ ช่วยชี้แนะด้วยครับ

รับมือด้วยการใช้ "ความนิ่งสงบ สยบความเคลื่อนไหว" ครับ

การซื้อหุ้นตัวหนึ่ง เราคงไม่ได้มองที่ upside อย่างเดียวครับ สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือ downside อาจจะเรียกว่า MOS หรือถ้าเอาคำพูดของบัตเฟตต์มาก็คือ "อย่าขาดทุน"

ตอนนี้จขกท.คงรู้สึกแบบนี้เพราะหุ้นเล็ก ๆ มันวิ่งแบบไม่มีเหตุผล แต่ลองถามใจตัวเองนะครับ ผมเอาแบบสุดโต่งเลยแล้วกัน IEC ตอน 1 สต. มีใครกล้าซื้อไหมครับ ณ ตอนนี้ 6-7 เด้ง ถ้าเรามองตอนนี้เราก็คงจะรู้สึกว่าทำไมตอนนั้นเราไม่ลองซักหน่อย แต่ถ้าเราไม่รู้อนาคตว่ามันจะขึ้นมา 6-7 เด้ง ถ้าเราซื้อที่ 1 สต. เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่ามันจะย่ำอยู่ตรงนั้นไปเรื่อย ๆ มันจะไม่ติด SP เป็นปี ๆ หรือมันจะไม่ล้มละลาย

ทุกครั้งที่ผมเห็นหุ้นวิ่งแบบไม่มีเหตุผล และชนะวิธีการที่ผมใช้อยู่ ผมจะนึกถึงที่จอร์น เนฟฟ์เขียนไว้ในยุคฟองสบู่ดอทคอมว่า "ถึงแม้ผลงานของพอร์ตจะด้อยกว่าตลาด แต่เราจะไม่ละทิ้งหลักการของเรา"

หลายครั้งหุ้นที่ผมถืออยู่มันนิ่งเป็นเดือน ๆ แบบไม่ไปไหน แต่เวลาวิ่งมันก็สามารถ "เอาคืนทั้งต้นทั้งดอก" ได้ครับ

ที่สำคัญจงมองที่ "ผลตอบแทนเฉลี่ยในระยะยาวที่ทำได้" อย่ามองเพียงแค่ผลตอบแทนเพียงแค่ชั่วครั้งชั่วคราวครับ

ก่อนอื่นผมว่าเรามาช่วยกันคิดดีไหมครับว่าหุ้นแต่ละตัวที่ว่าวิ่งด้วยเหตุผลอะไร ถ้่าหากว่าวิ่งด้วย fw pe ในอนาคตและมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นจริงพวกเราชาว vi คงไม่เรียกว่าหุ้นปั่นใช่ไหมครับ พื้นฐานของหุ้นที่มีผลกับราคาและข่าวที่มารองรับคือ
-asset play
-เสี่ย จ ,ตระกูล ก. จะซื้อ
-ควบรวมกิจการ
-เปลี่ยน biz model
-โครงการประมูลที่คาดว่าจะได้ในอนาคต
ที่นึกๆออกเวลานี้ครับ 17/01/13
UV,BLAND,GOLD,IEC,SLC,TSF,N-PARK

ลูกอิสาน เขียน:ถ้าผมไปกำไรมากๆกับหุ้นปั่น นั่นคือจุดเริ่มต้นหายนะการลงทุนของผมแน่นอนครับ

อ๊าาาากกก พี่โจผมกดผิดจะกด + ดันไปโดน - ขอโทษครับบ

ถ้าคิดว่าทนความยั่วยวนไม่ไหว ผมว่าแก้ง่ายๆคือ อย่าไปดูมันครับ