ถ้าวันหนึ่งฟองสบู่ของโลกแตก VI จะลงทุนแบบใด

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
woraphat
Verified User
โพสต์: 18
ผู้ติดตาม: 0

ถ้าวันหนึ่งฟองสบู่ของโลกแตก VI จะลงทุนแบบใด

โพสต์ที่ 1

โพสต์

เพื่อนๆคิดว่าถ้าวันนึงราคาโภคภัณฑ์ตกลงอย่างหนักเหมือนในอดีตเมื่อหลายสิบปีก่อน เพื่อนๆคิดว่าบ.ใดได้ประโยชน์และเพราะอะไร บ.ใดเสียประโยชน์และเพราะอะไร คืออยากให้ทุกคนเตรียมพร้อมรับกับสถานะการ์ณที่จะเกิดขึ้นในอนาคตและร่วมวิเคราะห์ล่วงหน้าครับ เพราะเมื่อก่อนนํ้ามันก็เคยขึ้นไป 80 ดอลล่า หลังจากนั้นก็ลงมาเหลือ 20 ดอลล่านานมาก ทองก็เช่นเดียวกัน (ยาง ทองแดง เงิน เหล็ก ค่าการกลั่น และอื่นๆ) เพราะผมคิดว่าโลกเราตอนนี้อาศัยอยู่บนความโลภ ทุกอย่างต้องขึ้นไปอีกๆ จับโยนสลับเปลี่ยนมือไปมาระหว่างกองทุนเก็งกำไรระหว่างประเทศ เกิดเป็นฟองสบู่ระดับโลก คนรวยรวยมากขึ้น คนจนจนลงอีก ปัญหาสังคมต้องเกิดขึ้นในอนาคตแน่นอน เมื่อราคาหล่าวนี้เริ่มจะลงมาก็มักจะมีสถานะการ์ณยันราคาเกิดขึ้น ไม่ว่าจะอิรัก คูเวต หรือแม้กระทั่งล่าสุดเกาหลีเหนือ ผมคิดว่าเหตุการ์ณหลายๆอย่างประจวบเหมาะอย่างเหลือเชื่อ โดยเหตุการ์ณทั้งหมดเชื่อมโยงกับผลประโยชน์ทั้งสิ้น หรือว่าที่เราเห็นเป็นแค่เกมส์ของผู้นำระดับและกลุ่มทุนระดับโลก ในการรักษาผลประโยชน์ของตนเอง และเมื่อฟองสบู่ระดับโลกนี้แตกคงไม่เหมือนในอดีตเพราะปัจจุบันโลกมีธุรกิจที่เชื่อมต่อกันมากกว่ามาก เสรีมากขึ้นซึ่งหมายถึงการผูกกันไว้มากขึ้น ผลกระทบอย่างรุนแรงคงกระจายวงทั่วโลก ซึ่งผมคิดว่าคงหนักกว่าวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์มาก และถ้าเกิดเหตุการ์ณนี้ กลุ่มผู้ลงทุนสไตล์ vi จะทำให้ตนเองเสียหายน้อยที่สุด หรืออาจจะได้ประโยชน์จากสถานะการ์ณดังกล่าวอย่างไร รบกวนช่วยกันวิเคราะห์หน่อนนะครับ (ต้องขอโทษด้วยถ้าเพื่อนๆเห็นเป็นเรื่องไร้สาระ ขอบคุณครับ)
blueplanet
Verified User
โพสต์: 1155
ผู้ติดตาม: 1

Re: ถ้าวันหนึ่งฟองสบู่ของโลกแตก VI จะลงทุนแบบใด

โพสต์ที่ 2

โพสต์

อเมริกาชอบมาก
อเมริกามีอุตสาหกรรมพิมพ์แบ้งที่เข้มแข็ง
อเมริกาคงพิมพ์แบ้ง 3 กะ
คือ ปัญหาเรื่องฟองสบู่สินค้าโภคภัณฑ์แตก เป็นไปไม่ได้แล้ว
แต่ไม่ใช่ว่าราคาจะลงมาไม่ได้
คร่าว โอกาสที่จะเห็นราคาน้ำมัน ต่ำกว่า 50 us$/บาเรล
เป็นไปไม่ได้แล้ว (ถ้าลงมาจริง ผมจะขายบ้านข้ายหุ้นทั้งหมดไปซื้อน้ำมัน)
เพราะถ้าราคาน้ำมันลงมา จีน อินเดีย
ที่มีความต้องการน้ำมันสูงมาก และมีเงินเต็มกระเป๋า
คงซื้อแหลก ถ้าถูกมากขนาดนั้น
ขณะนี้ มีเงิน us$ ในโลกมากมายมหาศาล
และสามารถเพิ่มได้ไม่จำกัด
ขณะที่ทรัพยากร และพลังงานมีจำกัด
ถ้าใช้ตรรกะนี้ ก็จะรู้ว่าสิ่งที่ จขกท กังวล ไม่มีทางเกิด
Blueplanet
sakkaphan
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1123
ผู้ติดตาม: 1

Re: ถ้าวันหนึ่งฟองสบู่ของโลกแตก VI จะลงทุนแบบใด

โพสต์ที่ 3

โพสต์

สถาณการณ์ยันราคานี่ ยกตัวอย่างหน่อยครับ ผมไม่ค่อยได้ตามข่าวมากนัก
ส่วนคำตอบว่า ทำยังไงนี่ โดยส่วนตัวบริษัทที่ลงทุนส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะเกี่ยวกับระบบเศรษฐกิจมหภาคระดับโลกมากนัก แต่ถ้ามันแย่ขนาดลากเศรษฐกิจไทยไปด้วย พวกสถาบันการเงินคงโดนลากไปอันดับแรกๆ แล้วก็ธุรกิจใหญ่ๆที่เกี่ยวข้อง ผมว่าผมคงลงทุนในธุรกิจที่เป็นอุปโภคบริโภค ต้องกินต้องใช้แม้เศรษฐกิจจะแย่ อีกแนวหนึ่งคือลงทุนในบริษัทที่มีฐานกลุ่มลูกค้าระดับล่าง เนื่องจากเวลาเศรษฐกิจล่มคนที่น่าจะโดนเต็มๆคือคนรวย และชนชั้นกลางที่ทำงานกินเงินเดือนบริษัท ธุรกิจที่มีฐานลูกค้าระดับบนเช่น พวกของหรูหราฟุ่มเฟือยน่าจะโดนเต็มๆ ส่วนผมมองว่าลูกค้าระดับล่างนี่ ตอนเศรษฐกิจดีคนรวยนี่ยิ่งรวยอู้ฟู่ คนจนยังคงทำนา เป็นแม่ค้า รับจ้าง พอเศรษฐกิจตกต่ำคนรวยโดนเต็มๆ ส่วนคนจนก็ยังทำนา เป็นแม่ค้า รับจ้างอยู่อย่างงั้น คงไม่ค่อยมีมั้งครับแบบว่าเศรฐกิจล่มแล้วชาวนาเจ๊ง แม่ค้าขายปลาไม่ออก คนรับจ้าง ช่างซ่อมโน่นนี่ไม่มีอะไรให้ซ่อม
แต่จริงๆผมก็ลงทุนในธุรกิจแนวนี้อยู่แล้วนี่หว่า-_-'
ความยากจนในจิตใจ คือความยากจนที่แท้จริง
woraphat
Verified User
โพสต์: 18
ผู้ติดตาม: 0

Re: ถ้าวันหนึ่งฟองสบู่ของโลกแตก VI จะลงทุนแบบใด

โพสต์ที่ 4

โพสต์

ขอบคุณครับ ตามที่สังเกตุนะครับ เมื่อใดถือรอบการทำกำไรของกองทุนเก็งกำไร ไม่ว่าจะขึ้นหรือลงมักจะมีเหตุการกระตุ้นให้เกิดตามนั้นเสมอๆ ผมจึงคิดว่านี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแต่เป็นเรื่องของผลประโยชน์ เช่นช่วงโจมตีอิรัก บ.ขายอาวุธของอเมริกากำไรมหาศาล ราคานำ้มันขึ้นต่อเนื่อง นี่ก็1เหตุการ์ณว่าทุกอย่างเชื่อมโยงผลประโยชน์ทั้งสิ้น (อันนี้เก่ามาก) ล่าสุดก็คือ ทั่วโลกกังวลหนี้สินยุโรป วิกฤติที่อเมริกา การเกิดฟองสบู่ที่จีน ทุกเหตุการ์ณล้วนแต่ทำให้สินค้าโภคภัณฑ์น่าจะตกลงมากกว่านี้ ไม่ใช่เฉพาะนำ้มันทุกอย่่าง แต่เรื่องจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่เพราะถ้าราคาตกลง กลุ่มทุนต่างๆความมั่งคั่งก็จะลดลงอย่างไม่น่าเชื่อ ส่วนที่ผมคิดถึงคือ วิธีที่ดีที่สุดคือสินค้าทุกอย่างขึ้นอยู่กับพลังงานเป็นส่วนใหญ่วิธีง่ายสุดคือ ทำให้ราคาพลังงานขึ้นไปเรื่อยก็จะทำให้สินค้าทุกตัวเพิ่มขึ้นเอง ไม่ว่าจะเป็นถ่านหิน (พลังงานที่ใกล้เคียงกัน) จนไปถึงราคานำ้มันปาล์ม แป้งสาลี และอื่นๆอีกมาก จนกระทบไปถึงการขึ้นราคาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ถ้าเรื่องถอยมาไกลๆแล้วมองกลับไปก็จะรู้ว่า ทำไมเรื่องร้ายเกิดขึ้นมากมายผลประโยชน์ในการเก็งกำไรในนำ้มันช่วงหลังไม่โดดเด่นแต่ราคากลับไม่ลง เหตุผลที่ผมคิดคือไม่ใช่ไม่ลงแต่ลงไม่ได้เพราะผลกระทบกับความมั่งคั่งทั้งระบบต่างหาก ไม่ใช่นำ้มันจะหมดโลก ไม่ใช่ความต้องการเพิ่มขึ้นตลอด แต่คุณเคยสงสัยไหมว่านำ้มันเราใช้มานานมากแล้ว เทคโนโลยีอื่นๆที่สามารถใช้ในวงกว้างไม่มีหรือ หรือว่ามีแต่เราไม่มีทางรู้จนถึงเวลาเหมาะสม ผมคิดว่าเทคโนโลยีต่างๆอาจถูกซื้อหรือฆ่านักวิทยาศาสตร์ที่คิดค้นได้เพื่อเก็บเทคโนโลยีนั้นไว้เพราะถ้าถูกนำมาใช้ก็จะมีผลกระทบกับผลประโยชน์มหาศาล คุณคิดหรือไม่ว่ามีหน่วยงานลับในกลุ่มโอเปคเพื่อรักษาผลประโยชน์ไว้ อย่าลืมว่าเรายังมีดินทำนาปลูกข่าวได้ แต่ในตะวันออกกลางถ้าขาดนำ้มันที่เป็นรายได้แล้วเขาจะทำอะไรพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นอะไร ทำไมเทคโนโลยีที่มีมูลค่าตำ่กว่าเช่นการแพทย์พัฒนากันได้อย่างมากเมื่อเทียบกับนำ้มัน เช่น การวิเคราะห์ดีเอ็นเอ การโคลนนิ่งสัตว์ต่างๆ การตัดต่อพันธุ์กรรม เมื่อดูไปแล้วผมว่า เชื้อโรคที่เรารู้จักในโลกเทียบกับอาวุธชีวะภาพ อาจจะมีแค่ 1 ใน 10000 เท่านั้น คุณคิดว่า ตอนที่ไข้หวัด 2009 ระบาดเป็นเรื่องธรรมชาติหรือจงใจ ต่อด้วยบ.ผลิตวัคซีนเติบโตหลาย 1000 % โรคภัยที่เกิดขึ้นเองย่อมมีโดยผมสังเกตุว่าโรคดังกล่าวนั้นจะไม่สามารถผลิตวัคซีนได้ในเวลาอันสั้น แต่โรคที่เหลือที่ระบาดละ... ผลประโยชน์นี้น่ากลัวมาก เมื่อคนเรามีความโลภคนเราก็จะหน้ามืดตามัว กระหาย โหดเหี้ยม ซึ่งทำให้ผมเศร้าใจมาก ที่ผมตั้งกระทู้นี้มาคือเพื่อทำให้เราเอาตั้งรอดจากสถานะการ์ณที่ทุกคนบอกว่าไม่มีทาง เป็นไปไม่ได้ ย้อนมาถึงเหตุการ์ณล่าสุด ผมไม่เห็นประโยชน์ที่เกาหลีเหนือจะได้จากการยิงขีปนาวุธเลย นอกจากเป็นเกมส์ผลประโยชน์ ผู้นำทุกประเทศอยู่เพื่อผลประโยชน์หรือไม่ก็รักษาผลประโยชน์ สุดท้ายรัสเซียก็ต้องเปิดประเทศ สุดท้ายจีนก็ต้องเปิดประเทศ สุดท้ายพม่าก็ต้องเปิดประเทศ สุดท้ายเกาหลีเหนือก็ต้อง... หรือไม่ก็จะถูกวิธีเดี่ยวกันกับหลายประเทศในอาหรับที่โค่นล้มผู้นำ หรือคุณคิดว่านี่คือเหตุบังเอิญ สุดท้ายนี้ผมเป็นแค่คนตัวเล็กๆที่พยายามดิ้นรนเพื่อครอบครัวที่จะเอาตัวรอดจากหลากหลายสถานะการ์ณ ถ้ากระทู้นี้สร้างความน่ารำคาญให้ใครหรือมองเป็นเรื่องเพ้อเจ้อผมต้องขออภัยมาณ.ที่นี้ด้วย ขอบคุณครับ
woraphat
Verified User
โพสต์: 18
ผู้ติดตาม: 0

Re: ถ้าวันหนึ่งฟองสบู่ของโลกแตก VI จะลงทุนแบบใด

โพสต์ที่ 5

โพสต์

สมัยโบราณถ้าพูดว่า เราสามารถฆ่าช้างได้ด้วยตัวคนเดี่ยวคนอื่นก็บอกว่าเป็นไปไม่ได้ สมัยต่อมาถ้าเราบอกว่าเราจะดำนำ้ได้เหมือนปลาคนอื่นก็คงบอกว่าเป็นไปไม่ได้ สมัยต่อมาถ้าเราบอกว่าโลกกลมคนอื่นก็คงบอกว่าเป็นไปไม่ได้ สมัยต่อมาถ้าเราบอกว่าเราจะบินเหมือนนกคนก็คงบอกว่าเป็นไปไม่ได้ สมัยต่อมาถ้าเราบอกว่าเราจะไปเหยียบกระต่ายที่ดัวจันทร์คนอื่นก็คงบอกว่าเป็นไปไม่ได้ สมัยต่อมาถ้าเราบอกว่าไม่ต้องตั้งท้องก็สร้างคนได้โดยการโคลนนิ่งคนอื่นคงบอกว่าเป็นไปไม่ได้ สมัยต่อไปอะไรจะเกิดขึ้นคงไม่มีใครรู้ แต่ที่เราต้องรู้คือเราจะอยู่ให้ดีอย่างไรในสมัยนั้น ขอบคุณครับ
sakkaphan
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1123
ผู้ติดตาม: 1

Re: ถ้าวันหนึ่งฟองสบู่ของโลกแตก VI จะลงทุนแบบใด

โพสต์ที่ 6

โพสต์

ทฤษฎีสมคบคิดนั่นเอง
ผมไม่คิดว่ามันเพ้อเจ้อนักหรอกครับ
ความยากจนในจิตใจ คือความยากจนที่แท้จริง
ภาพประจำตัวสมาชิก
picatos
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 3352
ผู้ติดตาม: 327

Re: ถ้าวันหนึ่งฟองสบู่ของโลกแตก VI จะลงทุนแบบใด

โพสต์ที่ 7

โพสต์

woraphat เขียน:สมัยโบราณถ้าพูดว่า เราสามารถฆ่าช้างได้ด้วยตัวคนเดี่ยวคนอื่นก็บอกว่าเป็นไปไม่ได้ สมัยต่อมาถ้าเราบอกว่าเราจะดำนำ้ได้เหมือนปลาคนอื่นก็คงบอกว่าเป็นไปไม่ได้ สมัยต่อมาถ้าเราบอกว่าโลกกลมคนอื่นก็คงบอกว่าเป็นไปไม่ได้ สมัยต่อมาถ้าเราบอกว่าเราจะบินเหมือนนกคนก็คงบอกว่าเป็นไปไม่ได้ สมัยต่อมาถ้าเราบอกว่าเราจะไปเหยียบกระต่ายที่ดัวจันทร์คนอื่นก็คงบอกว่าเป็นไปไม่ได้ สมัยต่อมาถ้าเราบอกว่าไม่ต้องตั้งท้องก็สร้างคนได้โดยการโคลนนิ่งคนอื่นคงบอกว่าเป็นไปไม่ได้ สมัยต่อไปอะไรจะเกิดขึ้นคงไม่มีใครรู้ แต่ที่เราต้องรู้คือเราจะอยู่ให้ดีอย่างไรในสมัยนั้น ขอบคุณครับ
การจะอยู่ให้ดีได้ในสมัยนั้น คือการอยู่ด้วยสติ ไม่ประมาท รู้เท่าทันอารมณ์ของตัวเอง และเข้าใจว่าสิ่งต่างๆ ย่อมแปรเปลี่ยนไปเป็นธรรมดา และสามารถยอมรับความเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้โดยไม่ยึดติดกับสิ่งต่างๆ จนเกินไป

วันใดวันหนึ่งฟองสบู่ก็คงจะแตก วันใดวันหนึ่งก็คงจะเกิดภัยพิบัติรุนแรง วันใดวันหนึ่งโลกก็จะถึงจุดสิ้นสุดลง ทำอย่างไรเราถึงจะอยู่ในสภาพ ในสภาวะที่ทนอยู่ได้ยากอย่างปราศจากความทุกข์

ไม่ต้องรอให้ถึงวันนั้นหรอกครับ ณ วันนี้เราสามารถลงทุนอย่างมีความสุขได้แล้วหรือยัง?


ปล เขียนอะไรลงไปเนี่ยข้าพเจ้า เพ้อดีจริงๆ 555
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
blueplanet
Verified User
โพสต์: 1155
ผู้ติดตาม: 1

Re: ถ้าวันหนึ่งฟองสบู่ของโลกแตก VI จะลงทุนแบบใด

โพสต์ที่ 8

โพสต์

ทำไมกลัวว่า ฟองสบู่แตก แล้วน้ำมันจะลงมา เหลือ 10-20 us$
ทำไมไม่กลัวว่าเงินจะเฟ้อจนกระทั่ง น้ำมันขึ้นไป 200-300 us$
โอกาสที่จะเกิด us$ เฟ้อ มีมากกว่า น้ำมันเฟ้อแน่นอน
เพราะ น้ำมันมีจำกัด แต่ us$ มีไม่จำกัด
เมื่อ 20ปีก่อน กับตอนนี้มันต่างกัน
เมื่อก่อนนี้ us$ ในโลกน้อยกว่าตอนนี้มาก
และประเทศโลกที่หนึ่งมันไม่ทำงานมา 20-30ปีแล้ว
มันให้ประเทศจีนเป็นโรงงานผลิตสินค้า
หมายความว่า จีนส่งสินค้าและทรัพยากรให้อเมริกา
อเมริกาส่ง us$ ไปให้จีน
เพราะทุกครั้งที่เกิดวิกฤตในประเทศรวย
ประเทศรวย ก็จะเพิ่มปริมาณเงินเพื่อแก้วิกฤตินั้นๆ
ขณะนี้ประเทศรวยและมีอำนาจมีสภาวะเป็นลูกหนี้
การลดหนี้ง่ายที่สุดคือการลดค่าเงิน
อเมริกาทำได้ เพราะ ทุกอย่างอยู่ในเทอม us$
แค่เพิ่มปริมาณเงินออกมา และพยายามให้ทั้งโลกค้าขาย
ในเทอม us$ อมเริกา ก็ให้ประเทศอื่นทำสินค้าให้ตัวเองใช้ได้อีกนาน
อย่ากลัวเลยว่าจะเกิด สตอรมเสริจใน กทม
อย่ากลัวเลยว่าจะเกิดพายุหิมะในเมืองไทย
การกลัวและปล้องกันในสิ่งที่มันไม่เกิด ก็เสียทรัพยากรเปล่าๆ
Blueplanet
sakkaphan
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1123
ผู้ติดตาม: 1

Re: ถ้าวันหนึ่งฟองสบู่ของโลกแตก VI จะลงทุนแบบใด

โพสต์ที่ 9

โพสต์

picatos เขียน:
woraphat เขียน:สมัยโบราณถ้าพูดว่า เราสามารถฆ่าช้างได้ด้วยตัวคนเดี่ยวคนอื่นก็บอกว่าเป็นไปไม่ได้ สมัยต่อมาถ้าเราบอกว่าเราจะดำนำ้ได้เหมือนปลาคนอื่นก็คงบอกว่าเป็นไปไม่ได้ สมัยต่อมาถ้าเราบอกว่าโลกกลมคนอื่นก็คงบอกว่าเป็นไปไม่ได้ สมัยต่อมาถ้าเราบอกว่าเราจะบินเหมือนนกคนก็คงบอกว่าเป็นไปไม่ได้ สมัยต่อมาถ้าเราบอกว่าเราจะไปเหยียบกระต่ายที่ดัวจันทร์คนอื่นก็คงบอกว่าเป็นไปไม่ได้ สมัยต่อมาถ้าเราบอกว่าไม่ต้องตั้งท้องก็สร้างคนได้โดยการโคลนนิ่งคนอื่นคงบอกว่าเป็นไปไม่ได้ สมัยต่อไปอะไรจะเกิดขึ้นคงไม่มีใครรู้ แต่ที่เราต้องรู้คือเราจะอยู่ให้ดีอย่างไรในสมัยนั้น ขอบคุณครับ
การจะอยู่ให้ดีได้ในสมัยนั้น คือการอยู่ด้วยสติ ไม่ประมาท รู้เท่าทันอารมณ์ของตัวเอง และเข้าใจว่าสิ่งต่างๆ ย่อมแปรเปลี่ยนไปเป็นธรรมดา และสามารถยอมรับความเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้โดยไม่ยึดติดกับสิ่งต่างๆ จนเกินไป

วันใดวันหนึ่งฟองสบู่ก็คงจะแตก วันใดวันหนึ่งก็คงจะเกิดภัยพิบัติรุนแรง วันใดวันหนึ่งโลกก็จะถึงจุดสิ้นสุดลง ทำอย่างไรเราถึงจะอยู่ในสภาพ ในสภาวะที่ทนอยู่ได้ยากอย่างปราศจากความทุกข์

ไม่ต้องรอให้ถึงวันนั้นหรอกครับ ณ วันนี้เราสามารถลงทุนอย่างมีความสุขได้แล้วหรือยัง?


ปล เขียนอะไรลงไปเนี่ยข้าพเจ้า เพ้อดีจริงๆ 555
โอ๊ะ นึกถึงตอนนี้เลยครับ วันที่ 28 เมษามีคนทำนายว่าภูเก็ตจะจม มีจดหมายลูกโซ่ส่งไปทั่ว มาถึงบ้านผมด้วยครับ แล้วที่สำคัญคือ ปฏิกิริยาของผู้คนล่ะ เป็นอย่างไร... มีคนเชื่อจริงๆจังๆ ไม่ต่างจากตอนเด็กชายปลาบู่เลย เพื่อนผมเล่าว่าที่ทำงานคนที่มาจากจังหวัดอื่นที่มาทำงานในภูเก็ต บางคนขอลาหยุดกลับบ้าน บางคนลาออกกลับบ้านไปเลยก็มี(คงกลัวเพราะเจอเรื่องแผ่นดินไหวด้วยมั้ง) มีผู้เฒ่าผู้แก่มาพูดว่า ย้ายข้าวของหรือยัง......
คนที่เจอเรื่องแบบนี้ แล้วเชื่อไปซะทุกอย่าง จะอยู่อย่างเป็นปกติสุขได้อย่างไร

อ้อ แต่ผมไม่ได้ว่าคุณ woraphat ว่าเป็นแบบนั้นนะครับ ผมไม่คิดว่า การหาทางหนีทีไล่ หรือ วางแผนเผื่อ หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้น เป็นการเปลืองทรัพยากร เพราะมันไม่ได้ใช้อะไรมากไปกว่าความคิดตระหนักไว้ในหัว ตราบเท่าที่เราไม่จริงจังกับมันมากเกินไป(เนื่องจากมันยังไม่เกิด และยังไม่เห็นโอกาสเกิดอย่างจัดเจนเป็นรูปธรรม)และตราบเท่าที่เราไม่เป็นทุกข์หรือกังวลกับมันถึงขนาดแบบผู้คนที่ผมพูดถึง มันเป็นการมองทั้งทางบวกและทางลบ ไม่ใช่มองด้านเดียว.... แต่คุณworaphat คงไม่ได้กลัวจริงจังใช่มั้ยครับเนี่ย :D เพราะถ้าเป็นยังงั้น คุณคงอยู่ไม่เป็นสุขแน่ๆ
ความยากจนในจิตใจ คือความยากจนที่แท้จริง
woraphat
Verified User
โพสต์: 18
ผู้ติดตาม: 0

Re: ถ้าวันหนึ่งฟองสบู่ของโลกแตก VI จะลงทุนแบบใด

โพสต์ที่ 10

โพสต์

ขอบคุณครับ ไม่ได้กลัวว่าจะเกิดครับ แต่คิดเผื่อไว้ครับกันผิดพลาด เพราะตลอดเวลาลงทุนในหุ้น 100% ตลอดครับ อยากให้เพื่อนช่วยกันคิดว่าถ้า % อันน้อยนิดนั้นเกิดขึ้นมาพวกเราก็ยังจะเติบโตไปครับ ส่วนผมคงลงทุนในบ.บะหมี่กึ่งสําเร็จรูป โรงพยาบาล ประภัย ประกันชีวิต ของกินระดับราคาที่ตํ่า ประมาณนี้ครับ คือตอนนี้มีความสุขมากกับการลงทุนระยะยาวครับ เลยอยากคิดในทางที่ลบมากๆเผื่อไว้ครับ และจากประสบการณ์ในอดีตนะครับ เวลาขึ้นบันไดมันช้ากว่าลงบันไดมาก เปรียบได้กับอารมย์ความโลภของคนเวลาขึ้น ส่วนตอนลงเหมือนหนีไฟไหม้เหยียบบางครั้งเหยียบกันตายมากกว่าที่ถูกไฟคลอก แล้วอยากหาบันไดหนีไฟต่างหากครับ และอารมย์โลภอาจจะรุนแรงและรวดเร็วแต่ก็ยังมีสติอยู่บ้าง แต่อารมย์เอาตัวรอดหนีตายสิครับมันขาดสติทําไปตามสัญชาติญาณเอาชีวิตรอดจนสามารถฆ่่าคนอื่นได้ครับ อีกเรื่องไม่อยากกล่าวถึงก่อนหน้านี้คือเงิน us เฟ้อครับ ถ้าคุณเป็นร้านขายของอยู่มีลูกค้ารายใหญ่มากและน่าเชื่อถือมากอยู่ คุณขายของเขาไปเรื่อยทั้งที่เห็นเค้าขาดทุนไปเรื่อยๆ วันนึงเงินที่เขาเอามาจ่ายเริ่มนําไปซื้อของไม่ค่อยได้ความน่าเชื่อถือลดลง คนต่างๆเริ่มปฎิเศษเงินเขาและเขาไม่มีปัญญาใช้หนี้ที่มีมากขึ้นเรื่อย คุณว่าตอนนั้นจะเป็นเช่นไร ถ้าเป็นผมผมจะถามตัวเองว่ายังไม่ก็คงต้องขายของให้เขาไหม ถ้าต้องขายมิฉะนั้นโรงงานเราต้องปิด ผมคงต้องเจรจาลดหนี้ให้ แต่การค่าขายต่อไปเขาจะต้องเอาสิ่งที่จับต้องได้มาวางไว้กับผมครับ ความเห็นส่วนตัวนะครับ มิใช่เงิน us ล่มสลายไม่ได้แต่ประเทศต่างไม่ต้องการให้มันล่มต่างหาก เพราะเขาคิดว่าในช่วงสร้างโรงงานถึงรู้ว่าขายของให้คนที่ไม่มีอนาคตก็ยังจําเป็นต่อการเสริมความแข็งแกร่งในตอนนี้ แต่ถ้าวันนึงโรงงานสร้างเสร็จฐานลูกค้าแข็งแรงพึ่งพาตนเองและเพื่อนบ้านได้ คุณคิดว่าคุณจะขายของให้กับคนที่เอากระดาษมาจ่ายเงินคุณไปเรื่อยๆไหม โดยเขาก็ยังขาดทุนอย่างหนักต่อไป คุณคงหาทางออกในการกระจายความเสี่ยงของตัวคุณเอง อเมริกานําหน้าไปมาก ต่อจากนี้ต่อรอเรารอความสมดุลใหม่ที่จะเกิดขึ้น ยุโรปก็เช่นกัน เหมือนในอดีตขุดก๊าซธรรมชาติมาใช้จนหมด ช่วงนั้นประเทศหล่าวนั้นมั่งคั่งอย่างมหาศาสหลายสิบปี แต่ตอนนี้แค่รัสเซียไม่สงก๊าซให้ไฟดับไปหลายวัน แล้วคุณคิดว่าใครถูกใครผิด รํ่ารวยก่อนหรือหลัง ผมคิดว่ามันเป็นวัฐจักรต่างหาก มันคงจะเกิดซํ้าๆไปเรื่อยๆ 1 รอบอาจจะกินเวลาหลายสิบปี แต่ที่ผมสังเกตุเห็นคืออัตราเร่งที่เร็วขึ้นเรื่อยๆ เช่นรถยนตร์สมัยก่อน 8 ปีเปลี่ยนโฉมทีนึง แล้วก็เหลือ 6 ปี แล้วก็เหลือ 4 ปี อาหารก็รอทํากินเสียเวลามากไม่ได้ ต้องเข้าไมโครเวฟหรือใส่นํ้าร้อนแล้วกินได้ทันที ทั้งหมดนี้ผมคิดว่าเกิดจากจิตใจมนุษย์ ที่ใจร้อนมากขึ้น กระหายมากขึ้น โลภมากขึ้น จึงเป็นเหตุให้เกิดอัตราเร่งดังกล่าว และคงเร่งขึ้นเรื่อยอีกหลายร้อยปีหรืออีกเป็นพันปี จนกว่าจะเข้ายุคเสื่อมทรามถึงขีดสุดมนุษย์ถึงจะรู้สึกตัวว่าทําผิดไปและกลับสู่จุดเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ดังที่พุทธศาสนาสอนไว้ นอกเรื่องเต็มไปหมด ขอโทษด้วยครับ ขอบคุณครับ
Green
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2895
ผู้ติดตาม: 235

Re: ถ้าวันหนึ่งฟองสบู่ของโลกแตก VI จะลงทุนแบบใด

โพสต์ที่ 11

โพสต์

ฟองสบู่ ดอกทิวลิป ฟองสบู่ เซ๊าท์ซี ฟองสบู่ อสังหา ฟองสบู่ ดอตคอม อะไรๆ ที่มีราคาสูงเกินจริง คนแห่ตามด้วยความละโมบมากๆ มันก็กลายไปฟองสบู่ทั้งนั้น เหอะๆ


ขอฝากบทความจาก คุณ IH ผมไปเอามาจาก ห้องบทความ อ่านแล้วชอบมาก จะได้ไม่หลงไปกับความโลภ บริษัทหลายๆ แห่ง เสื่อมมนต์ลงไปถาวร แต่ก็มีหลายๆ บริษัท แข็งแกร่งขึ้นอย่างยอดเยี่ยม ใช่มั้ยครับ ดังนั้นทำใจเย็นๆ นะครับ

http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=7&t=32559
เล่าอดีตสมัยดัชนี 1 พันกว่าจุด

ลองนึกๆ เท่าที่จำได้นะครับ ใช้ตัวเลขดัชนีประมาณ 800-1300 จุดช่วงก่อน crisis นะครับเพราะช่วง 1500-1700 จำได้ว่าหุ้นวิ่งแบบไม่มีใครสนใจ p/e กันอยู่แล้ว

หุ้นสื่อสาร เป็นหุ้นที่ทุกคนยอมรับว่า p/e ต้องสูงมากเพราะ growth สูง ถ้าเป็น shin advanc ก็ p/e 30-40 เท่า แต่คนที่ลงทุนใน shin advanc ตอนนั้นถึงปัจจุบันก็ยังพอกำไรเพราะธุรกิจมือถือเติบโตได้จริง

ส่วนสื่อสารตัวอื่นๆ TT&T ตอนเข้าตลาดก็ประมาณ 150 บาท ( ปัจจุบันยังพาร์เดิมอยู่คือ 10 บาท ) ส่วน TA ก็ 100 กว่าบาทเหมือนกัน เมื่อไม่นานนี้ช่วง dot com boom คือปี 2543 TA หรือ TRUE ปัจจุบันก็เคยขึ้นจาก 10 กว่าบาทเป็น 70 กว่าบาท ปัจจุบันเหลือ 5 บาทกว่า ลงเหมือนแตกพาร์

ส่วน Samart ราคา IPO 80 บาท ราคานอกตลาด 200 กว่า เทรดวันแรกประมาณ 450 ( พาร์ 10 ) ตอนนี้แตกพาร์เหลือ 1 ราคาหุ้นตอนนี้ก็ 8 บาท คนถือตอนนั้นก็ไม่เสียหายเท่าไหร่ ราคาหุ้นกลับมาที่ IPO พอดี

ส่วน JAS หรือ Jasmin Inter ราคา trade วันแรก 450 บาท ตอนเข้าตลาดมีโฆษณา TV เป็นฉากการประชุม มีผู้บริหาร ( ซึ่งเข้าใจว่าเป็นนักแสดง ) ประชุมแบบถกกันหน้าตาเคร่งเครียดแล้วประธานก็ทุบโต๊ะแล้วพูดว่า " Project นี้พลาดไม่ได้ เพราะผมหมายถึงชื่อเสียงของประเทศ " แล้วจบท้ายว่า Jasmin สยายปีกเทคโนโลยีสื่อสารไทย ฟังแล้วรู้สึกว่าอีกไปกี่ปีจากนี้ประเทศไทยต้องยิ่งใหญ่ในระดับโลกแน่ๆ เลยครับ สมัยเมื่อ 10 กว่าปีก่อนเค้าว่ากันว่าในปี 2020 แม้บอลไทยจะชนะฝรั่งเศสไม่ได้ก็ตาม แต่ GDP ของเราจะโตแซงฝรั่งเศส ตอนนี้ราคาหุ้น Jas ก็อยู่ 1 บาทกว่า ผมเลยไม่แน่ใจว่า project ที่หมายถึงตอนนั้นประมูลได้หรือเปล่านะครับ หรือเพราะประมูลได้ตอนนี้จึงเป็นเช่น ณ ปัจจุบันนี้

ส่วนหุ้นอสังหาฯ ตอนนั้นจำได้ว่า ในสายตานักลงทุนบ้านเรานั้น b-land หรือ tyong หรือที่เรียกกันว่า ตี๋ย้ง นั้นดูจะดังกว่า LH เสียอีกครับ p/e กลุ่มก็ประมาณ 20-50 เท่าเหมือนกัน story ของ tyong ก็คือรถไฟฟ้า BTS ครับ ถ้าช่วง 2-3 ปีนี้หุ้น EVER ดัง เมื่อก่อนหุ้น RR ก็ดังประมาณนี้เหมือนกันครับ โดย RR เค้าจะขึ้นลงตามหุ้นอีกตัวหนึ่งคือ FCI เพราะผู้ถือหุ้นกลุ่มเดียวกัน จึงเรียกหุ้นคู่นี้กันว่า คู่แฝดอภินิหาร แต่ปัจจุบัน คู่แฝดที่ว่านี้ไม่อยู่แล้ว เข้าใจว่าตัวหนึ่งหายไปก่อน อีกตัวเลยตรอมใจตามไปครับ

หุ้นหลายๆ ตัวตอน IPO นั้นเฟื่องขนาดมีงบโฆษณาเข้าตลาด แม้กระทั่งหุ้นอสังหาฯ อย่าง CNTRY หรือ บริษัทคันทรีประเทศไทยก็โฆษณาเป็นเพลงเพราะเชียวคือ ใช้เพลง Sailing เป็นภาพเรือใบล่องโต้คลื่นในทะเล ผมจำได้ว่าหุ้นหลุดจองตั้งแต่วันแรก เลยเพิ่งตีความภายหลังว่าในเพลงที่ร้องว่า I m sailing นั้นมันคือ Im selling. เสียมากกว่า หุ้น CNTRY นั้นหายไปปรับโครงสร้างหนี้อยู่นานก่อนกลับมาในชื่อใหม่ว่า EVER หมายถึง เคย อยู่ในตลาดหุ้นมาก่อนนั่นเอง

อสังหาฯ ตอนนั้นนโยบายบัญชีคือ รับรู้รายได้เมื่อจอง คือลูกค้าเอาเงินมาจอง 5 หมื่นบาท ยังไม่ทันสร้างอะไรก็เริ่มรับรู้รายได้กันแล้ว ตอนนั้นหลายๆ บริษัทเปิดจองโครงการใหม่ๆ พอเศรษฐกิจไม่ดีลูกค้าทิ้งเงินจองเงินดาวน์ แต่รับรู้รายได้ไปแล้วเสียเยอะเลย เราจึงเห็นหุ้นอสังหาฯ บางตัวตอนปี 39-40 มีรายได้เป็นเครื่องหมายลบ ดังนั้นที่มาตรฐานทางบัญชีใหม่บอกว่าวิธีรับรู้ตาม % ของงานนั้นไม่ conservative ให้เปลี่ยนเป็นรับรู้เมื่อโอนทั้งหมด ถ้าย้อนไปดูสมัยก่อนแล้วจะตกใจยิ่งกว่าครับ


สมัยนั้นอสังหาฯ บูมขนาดที่เจ้าของโครงการเอาเงินไปมัดจำที่ดินจะสร้างตึกแถว สถาปนิกเพิ่งเขียนแบบร่างเสร็จ ก็ขายหมดแล้วครับ พอขายหมดก็อาจจะโดนญาติพี่น้องเพื่อนฝูงต่อว่าว่ามีของดีแบบนี้ทำไมไม่บอก

LPN หรือ PS ที่ว่าขายดีเทน้ำเทท่า เปิดวันแรกจอง 100% ผมว่าจำนวน unit ตอนนั้นต้องสู้โครงการแฟล็ตปลาทองกระรัตไม่ได้ครับ ตอนนั้นเป็นโฆษณาเพลง โดยใช้นักแสดงตลกชื่อดังๆ มาร้องเพลงโฆษณา ดาวน์ก็น้อยผ่อนนิดโอนสิทธิ์โฉนดเอาไปเลยง่ายดาย ย้า ยา ยา หย่า ยา จะไปจะไปใกล้หมด สะดวกมีรถเมล์ผ่าน มีสระว่ายน้ำและมีสวนหย่อมปลาทองมีพร้อมทุกสิ่ง เพลงนี้เด็กอนุบาลยังจำไปร้องกันได้เลยครับ ตอนนี้ผมไม่แน่ใจว่าแฟล็ตปลาทองที่ว่านั้นอยู่ส่วนไหนของประเทศไทยเลยครับ แต่ได้ยินว่าสร้างเสร็จจนได้ครับ

ถ้าจะไม่พูดถึงเลยคงไม่ได้คือ หุ้นไฟแนนซ์ เป็นสุดยอดหุ้น blue chip สมัยนั้นไม่ว่าจะเป็น FIN1 DS CMIC NFS p/e ก็ 30-50 เท่าตลอด และคงไม่มีใครที่เล่นหุ้นช่วงนั้นจะไม่เคยมีหุ้น finance เหล่านี้อยู่ในพอร์ต อย่างน้อยต้องมีไม่ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง ดังนั้นใครที่ท่องหลักการว่า ไม่ขาย ไม่ขาดทุน ขอให้ดูประวัติศาสตร์ดีๆ ด้วยครับ

สมัยนั้นหุ้น Fin1 นั้นกลุ่มเค้ามีหลายตัว ถ้าเป็นหลักทรัพย์ก็มี Fin1 S-one FAS ซึ่งถือหุ้นโดย ONE ซึ่งอยู่กลุ่มสิ่งทอ ทำเหมือนเป็น holding company หุ้นกลุ่มนี้ติด top active อยู่เป็นประจำต่อเนื่อง ถ้าไม่ล้มไปก่อนไม่ทราบจะเหมือน Berkshire รึเปล่านะครับ ช่วงซักปี 37-38 ก็เล่นข่าวกันว่า Fin1 จะ takeover ธ. ไทยทนุ แล้วยกระดับเป็นธนาคาร แต่ตอนปี 39 เริ่มมีปัญหา ก็มีข่าวว่า ธ. ไทยทนุ จะไปช่วยเหลือ Fin1 กลับตาลปัตรภายในเวลาอันรวดเร็ว

หุ้นธนาคาร ช่วงนั้นเหมือนโดนรัศมีหุ้น finance กลบไปเยอะครับ หุ้นธนาคารที่เหมือนจะ hot สุดคงจะหนีไม่พ้น BBC หรือ ธนาคารกรุงเทพพาณิชยการครับ ถ้าตอนนี้หุ้นแขกเป็นที่นิยม ตอนนั้นเค้าก็เล่นหุ้นแขกกันเหมือนกันครับ แต่แขกที่ว่านั้นคือ ราเกซ สักเสนา ครับ แต่ใครถือหุ้นแขกก็อย่าตกใจครับมันคงจะต่างกันครับ หุ้นธนาคารเล็กๆ หลายแห่งเช่น BMB LTB นครธน สหธนาคาร ไทยทนุ IFCT ปัจจุบันถูกลดทุนเหลือ 1 สต. ไปรวมกับอะไรต่ออะไรไปเสียหมดแล้วครับ จริงๆ แล้วสัญลักษณ์ของ ธ. กรุงเทพพาณิชยการนั้นคือ สตางค์แดง เค้าเลยเรียกว่าแบงค์สตางค์แดง เหมือนคนคิดสัญญลักษณ์นั้นมี six sense ว่าท้ายสุดแล้วมันจะเหลือ 1 สตางค์จริงๆ ครับ

เรื่องเพิ่มทุนของหุ้นในตลาดทำกันเป็นว่าเล่น ตอนนั้นไม่ต้องเพิ่มทุนบวกวอร์แรนท์ให้เมื่อย แค่ประกาศเพิ่มทุนหุ้นก็วิ่งทั้งก่อนและหลังประกาศแล้ว XR เสร็จหุ้นก็วิ่งต่อ ยิ่งอัตราเพิ่มทุน สวย เท่าไหร่หุ้นยิ่งวิ่งแรง คำว่า สวย สมัยนั้นกับสมัยนี้ไม่เหมือนกันแน่นอนครับ สวยสมัยนั้นต้องประมาณ 1: 2 หรือ 1: 3 ผมไม่ได้เขียนสลับนะครับ 1 หุ้นเดิมต่อ 3 หุ้นใหม่ ถ้าขืนเพิ่มแบบเขียมๆ แบบปัจจุบันประเภท 2: 1 หรือ 3: 1 หุ้นไม่วิ่งหรอกครับ ยุคสมัยเปลี่ยนไป คำว่าสวยก็เปลี่ยนไปครับ ผมดูภาพวาด Impressionist ของยุโรปสมัยศตวรรษที่ 18 ผู้หญิงสวยๆ ของเค้าต้องอ้วนๆ หน่อยมีพุง สมัยนี้ต้องผอมบางถ้าไปอยู่ยุคอดีตเค้าคงคิดว่าเป็นโรค ดังนั้นเวลาเปลี่ยน อะไรๆ ก็เปลี่ยน ผู้หญิงคนไหนที่ตัวใหญ่หน่อยก็มองโลกในแง่ดีครับว่าเราเกิดช้าไปแค่ 200 ปีเอง

ดังนั้นสมัยนี้ หุ้น p/e เกิน 10 บางตัวว่าค่อนข้างแพง p/e เกิน 20 คือ แพงมาก เกิน 30 แพงอย่างไร้เหตุผล ถ้าเป็นเมื่อปี 253x ผมเห็นหุ้น p/e เกิน 30 อยู่น่าจะเกินครึ่งหนึ่งของตลาดครับ

ผมเริ่มแก่แล้วล่ะครับ
“Market prices are always wrong in the sense that they present a biased view of the future.”, Soros.

Blog about the investment playbook https://www.blockdit.com/alphainvesting
ภาพประจำตัวสมาชิก
ดำ
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 4483
ผู้ติดตาม: 88

Re: ถ้าวันหนึ่งฟองสบู่ของโลกแตก VI จะลงทุนแบบใด

โพสต์ที่ 12

โพสต์

ผมชอบแนวคิดคุณ woraphat นะ แค่กระทู้นี้ก็กดไป +2 แล้ว

เขียนมาเรื่อยๆนะครับ จะคอยอ่าน
Teerasak Boonrat
Verified User
โพสต์: 42
ผู้ติดตาม: 0

Re: ถ้าวันหนึ่งฟองสบู่ของโลกแตก VI จะลงทุนแบบใด

โพสต์ที่ 13

โพสต์

เศรษฐกิจมีขึ้นมีลงอยู่แล้วครับ

แต่ถ้าเราลงทุนในกิจการที่แข่งแกร่ง ผมคิดว่ามันสามารถฟันฝ่าอุปสรรคและกลับมาฟื้นตัวได้ครับ
patongpa
Verified User
โพสต์: 1904
ผู้ติดตาม: 1

Re: ถ้าวันหนึ่งฟองสบู่ของโลกแตก VI จะลงทุนแบบใด

โพสต์ที่ 14

โพสต์

แตกจริงก็อย่าไปคิดว่าจะรอดเลยครับ. เงินสดดีที่สุด
ภาพประจำตัวสมาชิก
tum_H
Verified User
โพสต์: 1857
ผู้ติดตาม: 0

Re: ถ้าวันหนึ่งฟองสบู่ของโลกแตก VI จะลงทุนแบบใด

โพสต์ที่ 15

โพสต์

ผมขอยกตัวอย่างน้ำท่วมปีที่แล้ว
ที่สร้างความรุนแรงจนทำให้เราคิดว่ายากที่จะเยีบวยา

แต่สุดท้ายตลาดหุ้นกลับทำนิวไฮ และ หุ้นหลายๆตัวก็ทำนิวไฮเช่นกัน
ทั้งๆที่ในสถานการณ์ขณะนั้น ต่างเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง

เมื่อเกิดวิกฤต เราคงหนีไม่พ้น ได้แต่ต้องเรียนรู้และอยู่ร่วมกับมัน
เพราะทุกวิกฤตย่อมมีโอกาสที่นอกเหนือความคาคหมายซ่อนอยู่

โลกหมุนเปลี่ยนไปทุกวัน วิ่งตามยังไงก็ไม่ทัน สู้อยู่นิ่งๆและเรียนรู้ตัวเองให้มากขึ้น
เราก็สามารถอยู่ร่วมกับมันได้อย่างมีความสุขครับ


:D
ชาตินี้เป็นที่สุดแล้ว บัดนี้ไม่มีความเกิดอีก
pat4310
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 733
ผู้ติดตาม: 1

Re: ถ้าวันหนึ่งฟองสบู่ของโลกแตก VI จะลงทุนแบบใด

โพสต์ที่ 16

โพสต์

ถ้าประเมินมูลค่าเป็น ช่วงที่คนเขาโลภกันทั้งตลาดเราจะกลัว เช่นซื้อเข้าไปได้ไงหุ้น PE 40 เท่า

แต่ในทางกลับกันช่วงที่คนเขากลัวกันทั้งตลาดอย่างวิกฤติ US EU ซึนามิ น้ำท่วม เรากลับโลภครับ
ลงทุนหุ้นดี มีการเติบโต ราคาไม่แพง เดี๋ยวก็รวย
ภาพประจำตัวสมาชิก
generalman
Verified User
โพสต์: 81
ผู้ติดตาม: 0

Re: ถ้าวันหนึ่งฟองสบู่ของโลกแตก VI จะลงทุนแบบใด

โพสต์ที่ 17

โพสต์

ผมขอลงทุนแบบ VI เหมือนเดิมครับ :D
เพราะเราเน้นที่คุณค่าของสิ่งที่เราจะซื้อ มากกว่าความโลภและความกลัวของคนครับ
"Investing is not a game where the guy with 160 IQ beats the guy with 130 IQ. What is needed is a sound intellectual framework for making decisions and the ability to keep emotions from corroding the framework."

Warren Buffett
ภาพประจำตัวสมาชิก
Sorgios
Verified User
โพสต์: 368
ผู้ติดตาม: 0

Re: ถ้าวันหนึ่งฟองสบู่ของโลกแตก VI จะลงทุนแบบใด

โพสต์ที่ 18

โพสต์

Green เขียน:ฟองสบู่ ดอกทิวลิป ฟองสบู่ เซ๊าท์ซี ฟองสบู่ อสังหา ฟองสบู่ ดอตคอม อะไรๆ ที่มีราคาสูงเกินจริง คนแห่ตามด้วยความละโมบมากๆ มันก็กลายไปฟองสบู่ทั้งนั้น เหอะๆ


ขอฝากบทความจาก คุณ IH ผมไปเอามาจาก ห้องบทความ อ่านแล้วชอบมาก จะได้ไม่หลงไปกับความโลภ บริษัทหลายๆ แห่ง เสื่อมมนต์ลงไปถาวร แต่ก็มีหลายๆ บริษัท แข็งแกร่งขึ้นอย่างยอดเยี่ยม ใช่มั้ยครับ ดังนั้นทำใจเย็นๆ นะครับ

http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=7&t=32559
เล่าอดีตสมัยดัชนี 1 พันกว่าจุด

ลองนึกๆ เท่าที่จำได้นะครับ ใช้ตัวเลขดัชนีประมาณ 800-1300 จุดช่วงก่อน crisis นะครับเพราะช่วง 1500-1700 จำได้ว่าหุ้นวิ่งแบบไม่มีใครสนใจ p/e กันอยู่แล้ว

หุ้นสื่อสาร เป็นหุ้นที่ทุกคนยอมรับว่า p/e ต้องสูงมากเพราะ growth สูง ถ้าเป็น shin advanc ก็ p/e 30-40 เท่า แต่คนที่ลงทุนใน shin advanc ตอนนั้นถึงปัจจุบันก็ยังพอกำไรเพราะธุรกิจมือถือเติบโตได้จริง

ส่วนสื่อสารตัวอื่นๆ TT&T ตอนเข้าตลาดก็ประมาณ 150 บาท ( ปัจจุบันยังพาร์เดิมอยู่คือ 10 บาท ) ส่วน TA ก็ 100 กว่าบาทเหมือนกัน เมื่อไม่นานนี้ช่วง dot com boom คือปี 2543 TA หรือ TRUE ปัจจุบันก็เคยขึ้นจาก 10 กว่าบาทเป็น 70 กว่าบาท ปัจจุบันเหลือ 5 บาทกว่า ลงเหมือนแตกพาร์

ส่วน Samart ราคา IPO 80 บาท ราคานอกตลาด 200 กว่า เทรดวันแรกประมาณ 450 ( พาร์ 10 ) ตอนนี้แตกพาร์เหลือ 1 ราคาหุ้นตอนนี้ก็ 8 บาท คนถือตอนนั้นก็ไม่เสียหายเท่าไหร่ ราคาหุ้นกลับมาที่ IPO พอดี

ส่วน JAS หรือ Jasmin Inter ราคา trade วันแรก 450 บาท ตอนเข้าตลาดมีโฆษณา TV เป็นฉากการประชุม มีผู้บริหาร ( ซึ่งเข้าใจว่าเป็นนักแสดง ) ประชุมแบบถกกันหน้าตาเคร่งเครียดแล้วประธานก็ทุบโต๊ะแล้วพูดว่า " Project นี้พลาดไม่ได้ เพราะผมหมายถึงชื่อเสียงของประเทศ " แล้วจบท้ายว่า Jasmin สยายปีกเทคโนโลยีสื่อสารไทย ฟังแล้วรู้สึกว่าอีกไปกี่ปีจากนี้ประเทศไทยต้องยิ่งใหญ่ในระดับโลกแน่ๆ เลยครับ สมัยเมื่อ 10 กว่าปีก่อนเค้าว่ากันว่าในปี 2020 แม้บอลไทยจะชนะฝรั่งเศสไม่ได้ก็ตาม แต่ GDP ของเราจะโตแซงฝรั่งเศส ตอนนี้ราคาหุ้น Jas ก็อยู่ 1 บาทกว่า ผมเลยไม่แน่ใจว่า project ที่หมายถึงตอนนั้นประมูลได้หรือเปล่านะครับ หรือเพราะประมูลได้ตอนนี้จึงเป็นเช่น ณ ปัจจุบันนี้

ส่วนหุ้นอสังหาฯ ตอนนั้นจำได้ว่า ในสายตานักลงทุนบ้านเรานั้น b-land หรือ tyong หรือที่เรียกกันว่า ตี๋ย้ง นั้นดูจะดังกว่า LH เสียอีกครับ p/e กลุ่มก็ประมาณ 20-50 เท่าเหมือนกัน story ของ tyong ก็คือรถไฟฟ้า BTS ครับ ถ้าช่วง 2-3 ปีนี้หุ้น EVER ดัง เมื่อก่อนหุ้น RR ก็ดังประมาณนี้เหมือนกันครับ โดย RR เค้าจะขึ้นลงตามหุ้นอีกตัวหนึ่งคือ FCI เพราะผู้ถือหุ้นกลุ่มเดียวกัน จึงเรียกหุ้นคู่นี้กันว่า คู่แฝดอภินิหาร แต่ปัจจุบัน คู่แฝดที่ว่านี้ไม่อยู่แล้ว เข้าใจว่าตัวหนึ่งหายไปก่อน อีกตัวเลยตรอมใจตามไปครับ

หุ้นหลายๆ ตัวตอน IPO นั้นเฟื่องขนาดมีงบโฆษณาเข้าตลาด แม้กระทั่งหุ้นอสังหาฯ อย่าง CNTRY หรือ บริษัทคันทรีประเทศไทยก็โฆษณาเป็นเพลงเพราะเชียวคือ ใช้เพลง Sailing เป็นภาพเรือใบล่องโต้คลื่นในทะเล ผมจำได้ว่าหุ้นหลุดจองตั้งแต่วันแรก เลยเพิ่งตีความภายหลังว่าในเพลงที่ร้องว่า I m sailing นั้นมันคือ Im selling. เสียมากกว่า หุ้น CNTRY นั้นหายไปปรับโครงสร้างหนี้อยู่นานก่อนกลับมาในชื่อใหม่ว่า EVER หมายถึง เคย อยู่ในตลาดหุ้นมาก่อนนั่นเอง

อสังหาฯ ตอนนั้นนโยบายบัญชีคือ รับรู้รายได้เมื่อจอง คือลูกค้าเอาเงินมาจอง 5 หมื่นบาท ยังไม่ทันสร้างอะไรก็เริ่มรับรู้รายได้กันแล้ว ตอนนั้นหลายๆ บริษัทเปิดจองโครงการใหม่ๆ พอเศรษฐกิจไม่ดีลูกค้าทิ้งเงินจองเงินดาวน์ แต่รับรู้รายได้ไปแล้วเสียเยอะเลย เราจึงเห็นหุ้นอสังหาฯ บางตัวตอนปี 39-40 มีรายได้เป็นเครื่องหมายลบ ดังนั้นที่มาตรฐานทางบัญชีใหม่บอกว่าวิธีรับรู้ตาม % ของงานนั้นไม่ conservative ให้เปลี่ยนเป็นรับรู้เมื่อโอนทั้งหมด ถ้าย้อนไปดูสมัยก่อนแล้วจะตกใจยิ่งกว่าครับ


สมัยนั้นอสังหาฯ บูมขนาดที่เจ้าของโครงการเอาเงินไปมัดจำที่ดินจะสร้างตึกแถว สถาปนิกเพิ่งเขียนแบบร่างเสร็จ ก็ขายหมดแล้วครับ พอขายหมดก็อาจจะโดนญาติพี่น้องเพื่อนฝูงต่อว่าว่ามีของดีแบบนี้ทำไมไม่บอก

LPN หรือ PS ที่ว่าขายดีเทน้ำเทท่า เปิดวันแรกจอง 100% ผมว่าจำนวน unit ตอนนั้นต้องสู้โครงการแฟล็ตปลาทองกระรัตไม่ได้ครับ ตอนนั้นเป็นโฆษณาเพลง โดยใช้นักแสดงตลกชื่อดังๆ มาร้องเพลงโฆษณา ดาวน์ก็น้อยผ่อนนิดโอนสิทธิ์โฉนดเอาไปเลยง่ายดาย ย้า ยา ยา หย่า ยา จะไปจะไปใกล้หมด สะดวกมีรถเมล์ผ่าน มีสระว่ายน้ำและมีสวนหย่อมปลาทองมีพร้อมทุกสิ่ง เพลงนี้เด็กอนุบาลยังจำไปร้องกันได้เลยครับ ตอนนี้ผมไม่แน่ใจว่าแฟล็ตปลาทองที่ว่านั้นอยู่ส่วนไหนของประเทศไทยเลยครับ แต่ได้ยินว่าสร้างเสร็จจนได้ครับ

ถ้าจะไม่พูดถึงเลยคงไม่ได้คือ หุ้นไฟแนนซ์ เป็นสุดยอดหุ้น blue chip สมัยนั้นไม่ว่าจะเป็น FIN1 DS CMIC NFS p/e ก็ 30-50 เท่าตลอด และคงไม่มีใครที่เล่นหุ้นช่วงนั้นจะไม่เคยมีหุ้น finance เหล่านี้อยู่ในพอร์ต อย่างน้อยต้องมีไม่ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง ดังนั้นใครที่ท่องหลักการว่า ไม่ขาย ไม่ขาดทุน ขอให้ดูประวัติศาสตร์ดีๆ ด้วยครับ

สมัยนั้นหุ้น Fin1 นั้นกลุ่มเค้ามีหลายตัว ถ้าเป็นหลักทรัพย์ก็มี Fin1 S-one FAS ซึ่งถือหุ้นโดย ONE ซึ่งอยู่กลุ่มสิ่งทอ ทำเหมือนเป็น holding company หุ้นกลุ่มนี้ติด top active อยู่เป็นประจำต่อเนื่อง ถ้าไม่ล้มไปก่อนไม่ทราบจะเหมือน Berkshire รึเปล่านะครับ ช่วงซักปี 37-38 ก็เล่นข่าวกันว่า Fin1 จะ takeover ธ. ไทยทนุ แล้วยกระดับเป็นธนาคาร แต่ตอนปี 39 เริ่มมีปัญหา ก็มีข่าวว่า ธ. ไทยทนุ จะไปช่วยเหลือ Fin1 กลับตาลปัตรภายในเวลาอันรวดเร็ว

หุ้นธนาคาร ช่วงนั้นเหมือนโดนรัศมีหุ้น finance กลบไปเยอะครับ หุ้นธนาคารที่เหมือนจะ hot สุดคงจะหนีไม่พ้น BBC หรือ ธนาคารกรุงเทพพาณิชยการครับ ถ้าตอนนี้หุ้นแขกเป็นที่นิยม ตอนนั้นเค้าก็เล่นหุ้นแขกกันเหมือนกันครับ แต่แขกที่ว่านั้นคือ ราเกซ สักเสนา ครับ แต่ใครถือหุ้นแขกก็อย่าตกใจครับมันคงจะต่างกันครับ หุ้นธนาคารเล็กๆ หลายแห่งเช่น BMB LTB นครธน สหธนาคาร ไทยทนุ IFCT ปัจจุบันถูกลดทุนเหลือ 1 สต. ไปรวมกับอะไรต่ออะไรไปเสียหมดแล้วครับ จริงๆ แล้วสัญลักษณ์ของ ธ. กรุงเทพพาณิชยการนั้นคือ สตางค์แดง เค้าเลยเรียกว่าแบงค์สตางค์แดง เหมือนคนคิดสัญญลักษณ์นั้นมี six sense ว่าท้ายสุดแล้วมันจะเหลือ 1 สตางค์จริงๆ ครับ

เรื่องเพิ่มทุนของหุ้นในตลาดทำกันเป็นว่าเล่น ตอนนั้นไม่ต้องเพิ่มทุนบวกวอร์แรนท์ให้เมื่อย แค่ประกาศเพิ่มทุนหุ้นก็วิ่งทั้งก่อนและหลังประกาศแล้ว XR เสร็จหุ้นก็วิ่งต่อ ยิ่งอัตราเพิ่มทุน สวย เท่าไหร่หุ้นยิ่งวิ่งแรง คำว่า สวย สมัยนั้นกับสมัยนี้ไม่เหมือนกันแน่นอนครับ สวยสมัยนั้นต้องประมาณ 1: 2 หรือ 1: 3 ผมไม่ได้เขียนสลับนะครับ 1 หุ้นเดิมต่อ 3 หุ้นใหม่ ถ้าขืนเพิ่มแบบเขียมๆ แบบปัจจุบันประเภท 2: 1 หรือ 3: 1 หุ้นไม่วิ่งหรอกครับ ยุคสมัยเปลี่ยนไป คำว่าสวยก็เปลี่ยนไปครับ ผมดูภาพวาด Impressionist ของยุโรปสมัยศตวรรษที่ 18 ผู้หญิงสวยๆ ของเค้าต้องอ้วนๆ หน่อยมีพุง สมัยนี้ต้องผอมบางถ้าไปอยู่ยุคอดีตเค้าคงคิดว่าเป็นโรค ดังนั้นเวลาเปลี่ยน อะไรๆ ก็เปลี่ยน ผู้หญิงคนไหนที่ตัวใหญ่หน่อยก็มองโลกในแง่ดีครับว่าเราเกิดช้าไปแค่ 200 ปีเอง

ดังนั้นสมัยนี้ หุ้น p/e เกิน 10 บางตัวว่าค่อนข้างแพง p/e เกิน 20 คือ แพงมาก เกิน 30 แพงอย่างไร้เหตุผล ถ้าเป็นเมื่อปี 253x ผมเห็นหุ้น p/e เกิน 30 อยู่น่าจะเกินครึ่งหนึ่งของตลาดครับ

ผมเริ่มแก่แล้วล่ะครับ
โอวววว ขอบคุณที่นำมาให้อ่านครับ
บางตัวไม่เคยรู้ประวัติมาก่อนเลย
CHIN UP, Do not give up !!!
WorriedInvestor
Verified User
โพสต์: 262
ผู้ติดตาม: 0

Re: ถ้าวันหนึ่งฟองสบู่ของโลกแตก VI จะลงทุนแบบใด

โพสต์ที่ 19

โพสต์

ชอบแนวคิดของ คุณ Woraphat เช่นกันครับ ขอบคุณที่นำมาตั้งคำถามและShared กันนะครับ
miracle
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 18398
ผู้ติดตาม: 75

Re: ถ้าวันหนึ่งฟองสบู่ของโลกแตก VI จะลงทุนแบบใด

โพสต์ที่ 20

โพสต์

ในอดีต เมื่อเกิดวิกฤติการณ์เกิดขึ้น
หลังจากที่เกิดวิกฤตินั้น ก็ฟื้นตัวหลังจากเกิดวิกฤติ ประมาณ 2-3 ปี
จากนั้น ดูดีประมาณ 1-2 ปี ก็เกิดเหมือน double dip แต่ไม่แน่นอนว่าเกิดขึ้นหรือไม่
เพราะว้า บ้างครั้งไม่เกิดขึ้น เพราะ ธนาคารกลางได้ระดมพิมพ์กระดาษให้เป็นเงิน (ธนาคารกลางนั้น เหมือนธนาคารของเกมเศรษฐีที่เราๆได้เล่นกันครั้นยังเด็กอยู่)

แต่วิกฤติรอบนี้ เกิดที่ US และ ยุโรป
US แก้ไขโดยการพิมพ์เงินเพิ่ม ลดอัตราดอกเบี้ย แต่ปัญหาที่เกิดจากราคาบ้านตกต่ำนั้น ได้รับการแก้ไขหรือยังละ
ตอนนี้ธนาคารไม่ยึดบ้าน แต่ให้เช่าบ้านอยู่แทน ผมไม่แน่ใจว่า มาตราฐานบัญชีที่นั้น รับรู้มูลค่าของบ้านอย่างไง
แต่เทียบกับเมื่อไทยตอนเกิดวิกฤติคือ ไทยรับรู้มูลค่าที่ลดลงเมื่อ ราคาต่ำกว่าราคารับประกัน หรือ เมื่อเกิดการขายเท่านั้น
ตอนนั้นจึงไม่มีธนาคารไหน อยากขายอสังหาริมทรัพย์เลย เรียกร้องให้รัฐเป็นคนพยุง แต่สุดท้ายก็แตกล้มกันหมด

อีกประเด็นคือ ผู้ควบคุมกฏ คือ คนที่อยู่ที่แวดดวงการเงิน ดังนั้น คือ ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่นั้นเอง

ตอบคำถามคือ ถ้าเกิดฟองสบู่แตกอีกรอบ
ก็ถอยดูก่อนว่า เกิดที่ไหน กระทบกับเรามากแค่ไหน ถ้าเกิดที่ จีน ญี่ปุ่น อเมริกา อันนี้กระทบหนัก เพราะ เป็นประเทศคู่ค้าของเราเลย ส่งออกไปประเทศเหล่านั้นจำนวนมากๆ
เมื่อครั้นที่แล้วตอนเกิด แฮมเบอร์เกอร์นั้น ข่าวสารมาแบบกระจัดกระจายมากมาย กูรูแต่ละท่านบอกว่าไม่เหมือนกันเลย เรียกได้ว่า เป็นหมอดูภาวะเศรษฐกิจเลยล่ะ สุดท้ายคือ ทิศทางคือ ลงและลงหนักเสียด้วย เรียกได้ว่า ในเดือน กย ปีนั้น นับวันที่ตลาดขึ้นได้เลย ลงวันละ เป็นร้อยจุด ในตลาดที่โน้น
แต่อย่างไงก็ตาม หากเรารับรู้ข่าวและย่อยข่าวได้เร็วมาก ก็ช้อนซื้อในเวลาที่เหมาะสม
เพราะ คนอื่นกลัว เรากล้า
:)
ภาพประจำตัวสมาชิก
Croyoty
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 3661
ผู้ติดตาม: 29

Re: ถ้าวันหนึ่งฟองสบู่ของโลกแตก VI จะลงทุนแบบใด

โพสต์ที่ 21

โพสต์

ชื่นชมคุณ weraphat มากๆครับ
ขอแชร์ความคิดเห็นส่วนตัวของผมคับว่า

"เพราะมนุษย์ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ ล้วนไม่เป็นไปโดยธรรมชาติ"

"ทุกสิ่งทุกอย่างที่เห็น ที่เป็นไป ที่รับรู้ บนโลกใบนี้ ล้วนเป็นละครที่ถูกวางลำดับเหตุการณ์และความสัมพันธ์เป็นขั้นเป็นตอนทั้งในเชิงมหภาคและจุลภาค โดยจากคนกลุ่มคนกลุ่มใดหรือหลายๆกลุ่มซึ่งไมรู้ว่าเป็นใคร"

"เพราะความเป็นธรรมชาติของคนหรือมนุษย์บนโลกใบนี้ คือ ผลประโยชน์ จึงทำให้ทุกสิ่งอย่างล้วนไม่ดำเนินไปแบบธรรมชาตินั่นเอง"
สุขแบบเรียบง่าย สุขจากความสงบ
สู่วิถีธรรมชาติ ... วิถีแห่ง เซน

รูปภาพ
multipleceilings
Verified User
โพสต์: 2141
ผู้ติดตาม: 2

Re: ถ้าวันหนึ่งฟองสบู่ของโลกแตก VI จะลงทุนแบบใด

โพสต์ที่ 22

โพสต์

คำถามนี้ถูกถามมาเป็นร้อยล้านครั้ง

ben graham
warren buffet
peter lynch
phil fisher
etc etc

ได้ตอบไว้หมดแล้ว

value investing :D

"ถ้าวันหนึ่งฟองสบู่ของโลกแตก VI จะลงทุนแบบใด" --> คำตอบอยู่ในคำถามเรียบร้อย ไม่ต้องคิดให้ไกลให้ซับซ้อนกว่านั้น

เนื้อหาที่ผมอ่านๆมาทั้งหมด no disrespect นะครับ

ผมว่ามันก็แค่ good dinner table subject

low involvement - nice to know

ด้วยความเคารพครับ
M aterial catalyst
A ttitude & Perception
D isclipine
ภาพประจำตัวสมาชิก
chukieat30
Verified User
โพสต์: 3531
ผู้ติดตาม: 4

Re: ถ้าวันหนึ่งฟองสบู่ของโลกแตก VI จะลงทุนแบบใด

โพสต์ที่ 23

โพสต์

ถ้าวันหนึ่งฟองสบู่ของโลกแตก VI จะลงทุนแบบใด

ผมยกจากโหมโรงมาให้

ไอ้ศรทางใครก้ทางมันสิวะ คนเรามันเชี่ยวผิดกัน

ใครเป็น vi ก้คงลงทุนแบบ vi

ใครเป็น ไวไว ก้คงลงทุนแบบ ไวไว

ใครเป็น ไวตามิลค์ ก้ยังคงลงทุนแบบไวตามิลค์

ผมถามหน่อย เวลาเจอสไตล์แล้ว เปลี่ยนกันได้ไหม

คนตีระนาดเก่ง ก้อาจจะจับปลาไม่เก่งครับ ต่างคนก้ต่างสไตล์ ทุกคนย่อม

จะมีวงสวิงของตัวเอง

ก้อย่างที่ในหนังเค้าว่า ทางใครก้ทางมันสิวะ
ถ้าคุณตีลูกตามไทเกอร์ คุณก้ไม่มีทางจะเหนือกว่า ไทเกอร์ จงนำวงสวิงของไทเกอร์มาปรับใช้ให้เหมาะกับคุณ

หวิ่งชุนหวอซาน หวิ่งชุนยิปมันจีทคุดโด้ พื้นฐานก้มาจากหวิ่งชุน แม้ชื่อจะต่าง
แต่หวิ่งชุนก้คือ หวิ่งชุน
ทำวันนี้ให้ดี ทำพรุ่งนี้ให้ดีกว่า และทำวันข้างหน้าให้ดีที่สุด
thammachat
Verified User
โพสต์: 32
ผู้ติดตาม: 0

Re: ถ้าวันหนึ่งฟองสบู่ของโลกแตก VI จะลงทุนแบบใด

โพสต์ที่ 24

โพสต์

ความคิดเยี่ยมครับ
ซากคน
Verified User
โพสต์: 1400
ผู้ติดตาม: 0

Re: ถ้าวันหนึ่งฟองสบู่ของโลกแตก VI จะลงทุนแบบใด

โพสต์ที่ 25

โพสต์

ถ้าวันหนึ่งฟองสบู่ของโลกแตก VI จะลงทุนแบบใด

ตอบ ทำเหมือนเดิม ด้วยสาเหตุที่ทำแล้วไม่เจ๊ง และ มีกำไร :8)
เราต่างตื่นขึ้นมาทุกวัน เพื่อสร้างผลงานให้ได้ เราควรรู้ว่า ในทุกวันมีอะไรที่ต้องทำเพื่อให้เกิดผลงาน หากการตื่นขึ้นมา ไม่ได้เป็นไปเพื่อผลงาน เราก็ไม่สมควรที่จะตื่นขึ้นมาให้รกหูรกตาคนรอบข้าง
ลูกหิน
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1217
ผู้ติดตาม: 1

Re: ถ้าวันหนึ่งฟองสบู่ของโลกแตก VI จะลงทุนแบบใด

โพสต์ที่ 26

โพสต์

:)
ReRedrum
Verified User
โพสต์: 198
ผู้ติดตาม: 0

Re: ถ้าวันหนึ่งฟองสบู่ของโลกแตก VI จะลงทุนแบบใด

โพสต์ที่ 27

โพสต์

ซากคน เขียน:ถ้าวันหนึ่งฟองสบู่ของโลกแตก VI จะลงทุนแบบใด

ตอบ ทำเหมือนเดิม ด้วยสาเหตุที่ทำแล้วไม่เจ๊ง และ มีกำไร :8)
ของผมก็คงตอบแบบเดียวกันละครับ ว่า ลงทุนแบบเดิม
"ผมไม่ได้ลงทุนในหุ้นเพียงเพราะว่าผมต้องการเงินมากมาย
แต่มันเป็นความสนุกในการค้นหาบริษัทชั้นเยี่ยม
เฝ้าดูมันเติบโต และทำเงินให้เรา"

"เบื้องหลังของด้านหลัง ก็คือ ด้านหน้า"
ภาพประจำตัวสมาชิก
Golden Stock
Verified User
โพสต์: 615
ผู้ติดตาม: 0

Re: ถ้าวันหนึ่งฟองสบู่ของโลกแตก VI จะลงทุนแบบใด

โพสต์ที่ 28

โพสต์

ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ตกต่ำอย่างหนักที่เกิดขึ้นล่าสุด ไม่ใช่เกิดขึ้นเมื่อหลายสิบปีก่อน แต่เพิ่งจะเกิดเมื่อปี 2551 นี่เองครับ

อย่างราคาน้ำมันดิบจาก 15x USD/barrel ลงมาเหลือ 3x USD/barrel

ราคาน้ำมันดิบ ทุกวันนี้ยังห่างจากจุดสูงสุดเดิมมาก

เศรษฐกิจอเมริกาเพิ่งจะเริ่มฟื้น เศรษฐกิจจีนเพิ่งจะผ่านจุดต่ำสุด และเศรษฐกิจยูโรโซนยังไม่ฟื้นดี จะเกิดวิกฤตอีกรอบแล้วเหรอครับ ?

การตกต่ำของสินค้าโภคภัณฑ์หลักๆ ก็มาจากวิกฤตเศรษฐกิจ และวิกฤตการเงินของกลุ่มประเทศมหาอำนาจ หรือกลุ่มประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่

ถ้ามองไทย นับจากฟื้นจากวิกฤตต้มยำกุ้ง เมื่อปี 2540 นี่ก็นับเวลาได้ประมาณ 15 - 16 ปีแล้ว ในอนาคตไทยก็อาจจะเจอกับวิกฤตเศรษฐกิจอีกรอบ หรือเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะตกต่ำได้ครับ เพราะเศรษฐกิจมันเป็นวัฏจักร ซึ่งมีรุ่งเรือง ถดถอย ตกต่ำ และฟื้นตัว

ผมคิดว่าหลายคนอาจจะมองตลาดหุ้นไทยคึกคักในช่วงนี้ เลยทำให้เกิดความกลัววิกฤตระดับโลกขึ้นมามั้งครับ
pakakal
Verified User
โพสต์: 82
ผู้ติดตาม: 0

Re: ถ้าวันหนึ่งฟองสบู่ของโลกแตก VI จะลงทุนแบบใด

โพสต์ที่ 29

โพสต์

ผมว่า เหตุการณ์ตอนนี้ อาจจะยากหน่อยน่ะครับ ถ้าตลาดหุ้นร่วงจริง ก็อาจจะไม่ส่งผลกระทบกับวิถีชีวิตคนโดยทั่วไปเท่าไหร่หรอกมั้งครับ ผมว่า สมัยนี้ คนไทยไม่ยอมจนครับ
got it.
ศิษย์เซียน007
Verified User
โพสต์: 1252
ผู้ติดตาม: 0

Re: ถ้าวันหนึ่งฟองสบู่ของโลกแตก VI จะลงทุนแบบใด

โพสต์ที่ 30

โพสต์

ผมได้ข้อมูลมาจากท่านมนตรีในงานสัมมนาของอ.ไพบลูย์ที่นำมาออกรายการ money talkว่า ช่วงก่อนเกิดวิกฤตต้มยำกุ้งในวงการหลักทรัพย์มีการปล่อยมาร์จิ้นทั้งระบบอยู่ที่ตัวเลขระหว่าง1.2-1.8แสนล้านบาทและ ในตอนนั้นmaketcapของทั้งตลาดตอนช่วงนี้มีขนาดประมาณ3.5ล้านๆบาท ขณะที่DEของบริษัทจดทะเบียนของที่ประมาณ2.1เท่า แต่ตอนนี้maketcapของทั้งตลาดอยู่ที่ประมาณ11ล้านๆและมีการปล่อยมาร์จินอยู่ไม่กี่หมือนล้านบาท จากตัวเลขผมคำนวณคร่าวๆได้ว่าถ้าวงการหลักทรัพย์มีการปล่อยมาร์จิ้นทั้งระบบเกิน3.6แสนล้านบาทขึ้นถึงจะน่ากังวลเรื่องภาวะฟองสบู่มากกว่านะครับ :D
สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดบนโลกใบนี้คือความว่างเปล่า สูงจากว่างเปล่าคือก่อเกิดเปลี่ยนแปลง

http://www.fungdham.com/sound/popup-sou ... up-75.html



http://goo.gl/VjQ4cG
โพสต์โพสต์