บทความของดร.นิเวศน์ กันยายน 2554

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
ภาพประจำตัวสมาชิก
thaloengsak
Verified User
โพสต์: 2716
ผู้ติดตาม: 1

บทความของดร.นิเวศน์ กันยายน 2554

โพสต์ที่ 1

โพสต์

ข่าวร้าย


ผมไม่ทราบว่ามีใครเคยทำวิจัยหรือไม่ว่าข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์โดยเฉพาะแนวธุรกิจมีข่าวร้ายมากกว่าข่าวดีมากน้อยแค่ไหน แต่ผมพนันได้ว่า ข่าวร้าย มีมากกว่าหลายเท่า


คำว่า ข่าวร้าย นั้น ในความหมายของผมก็คือ ข่าวที่คนอ่านแล้วคิดว่ามันจะมีผลที่ทำให้ภาวะเศรษฐกิจถดถอยลง กำไรของธุรกิจต่าง ๆ ลดลง ตลาดหลักทรัพย์ตกต่ำลง และหุ้นบางตัวจะมีราคาลดลง ทำให้คนรู้สึกวิตกกังวล และอาจจะต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อคลายความวิตกกังวลนั้น เช่น ลดการบริโภค หรือขายหุ้นทิ้ง


แต่ในความเป็นจริง ข่าวร้าย ที่ปรากฏนั้นอาจจะไม่เป็นจริง หรือถ้าเป็นจริงก็อาจจะไม่มีผลต่อเศรษฐกิจ ต่อยอดขายหรือกำไรของกิจการต่าง ๆ ดังนั้นพื้นฐานของเศรษฐกิจและกิจการต่าง ๆ อาจไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แม้ว่าจิตใจของคนรับข่าวอาจเปลี่ยนและราคาหุ้นอาจปรับตัวลงเนื่องจากปฎิกริยาของคนอ่านที่บังเอิญซื้อขายหุ้นอยู่ในตลาดหลักทรัพย์
ลองมาดูสิครับว่ามันน่าเป็นอย่างนั้นไหม?


ก่อนหน้านี้เพียงปีสองปีเราวิตกกันว่าอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำติดดินจะทำให้เกิดภาวะเงินฝืด ราคาข้าวของไม่ขึ้นเลยเพราะเงินเฟ้อต่ำมาก เรากลัวว่าคนจะไม่ยอมใช้จ่ายเงินเพื่อการบริโภคและจะทำให้เกิดภาวะเงินฝืดซึ่งจะกระทบกับภาวะเศรษฐกิจอย่างรุนแรง


เดี๋ยวนี้อัตราดอกเบี้ยกำลังเพิ่มขึ้น ราคาสินค้ากำลังเริ่มปรับตัวขึ้น ราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ เงินเฟ้อกำลังมา นี่เป็นข่าวร้ายที่น่าวิตกว่าจะมีผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจอย่างรุนแรง


ผมไม่รู้ว่าข่าวดอกเบี้ยลง หรือข่าวดอกเบี้ยขึ้นเป็นข่าวร้ายที่แท้จริงกันแน่ หรือทั้งสองข่าวต่างก็ไม่ใช่ข่าวร้ายทั้งคู่ รู้แต่ว่าคนอ่านข่าวโดยเฉพาะที่เป็นนักเล่นหุ้นจำนวนมากต่างก็วิตกกังวลทั้ง 2 เรื่อง เห็นได้จากการซื้อขายหุ้นมหาศาลในแต่ละวันโดยเฉพาะในวันที่มีข่าวพาดหัวตัวใหญ่และดัชนีหุ้นวิ่งขึ้นลงเหมือนลูกดิ่ง


ค่าเงินบาทเทียบกับเงินสกุลดอลลาร์ก็เป็นสิ่งที่เข้าใจยากไม่แพ้กัน เพราะในช่วงเกิดวิกฤติใหม่ ๆ ที่ค่าเงินบาทอ่อนมาก คนต่างก็วิตกกันว่าเราคงต้องล้มละลายกันทั้งประเทศเพราะบริษัทต่างก็ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนมหาศาล นี่เป็นข่าวร้ายแน่นอนในช่วงนั้น แต่พอตอนหลัง ค่าเงินบาทแข็งขึ้นเรื่อย ๆ คนก็เริ่มบ่นและเริ่มวิตกกันว่าค่าเงินบาทที่แข็งเกินไปจะทำให้ธุรกิจไม่สามารถส่งออกสินค้าได้เนื่องจากสินค้าของเราจะแพงขึ้นเมื่อเทียบกับคู่แข่ง เพราะฉะนั้น ข่าวค่าเงินบาทก็สามารถเป็นข่าวร้ายได้ในทุกกรณี


บางช่วงที่ค่าเงินบาทนิ่งและอัตราดอกเบี้ยก็ไม่ขยับเราก็มีข่าวร้ายเรื่องสงครามและการก่อการร้ายในต่างประเทศ ไล่ตั้งแต่สงครามในตะวันออกกลางซึ่งที่จริงเกิดขึ้นเกือบทุกวันอยู่แล้ว ไปจนถึงการถล่มตึกเวิร์ลเทรดเซ็นเตอร์ การโจมตีในบาหลี ยุโรป และรัสเซีย และสุดท้ายก็คือการก่อการร้ายในภาคใต้ของเราเองซึ่งก็ยังไม่รู้ว่าจะพัฒนาไปอย่างไร แต่ก็เป็นความเสี่ยงที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้


แต่ถ้าถามว่าการก่อการร้ายกระทบอะไรกับเศรษฐกิจและตลาดหุ้น คำอธิบายอาจจะมีได้เป็นสิบ ๆ หน้า แต่เกือบทั้งหมดเป็นการกระทบ ทางอ้อม ที่ไม่รู้ว่าจะมีผลแค่ไหน แต่สำหรับธุรกิจการท่องเที่ยวและโรงแรมแล้วละก็ เขาบอกว่าน่าจะมีผลโดยตรง เพราะฉะนั้นหลีกเลี่ยงหุ้นเหล่านั้นจะดีกว่า แต่ผมก็ยังเห็นเครื่องบินมีผู้โดยสารเต็มแน่นกันทุกเที่ยว นักท่องเที่ยวก็ยังคงมากันตามปกติ แม้แต่บาหลีผมก็ได้ข่าวว่าคนกลับไปอย่างเดิมแล้ว ดูที่ผลการดำเนินงานของบริษัทที่เกี่ยวกับโรงแรมและการขนส่งก็ดูดีเป็นปกติ เพียงแต่หุ้นยังไม่ไปไหนเพราะคนอาจจะยังวิตกกับการก่อการร้ายอยู่


ข่าวร้ายที่เกี่ยวกับคนบางทีก็ยังพอคาดการณ์ได้บ้าง แต่เรื่องของธรรมชาตินั้นก็ทำให้คนช็อคได้ไม่แพ้กัน เริ่มตั้งแต่โรคซาร์เมื่อปีสองปีก่อนซึ่งช็อคคนทั้งโลกโดยเฉพาะคนที่ต้องเดินทางทำธุระหรือท่องเที่ยว คนต่างกลัวกันว่านี่อาจจะเป็นหายนะของมนุษย์ถ้าควบคุมไม่ได้ และก็จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างใหญ่หลวง และแน่นอน คนเล่นหุ้นก็ต้องทิ้งหุ้นก่อนเพื่อความปลอดภัย


เรื่องของโรคซาร์จบไปก็ตามด้วยโรคไข้หวัดนกซึ่งผลกระทบหรือเป็นข่าวร้ายน้อยกว่า แต่ก็กระทบโดยตรงกับผู้ผลิตไก่เต็ม ๆ และก็แน่นอน หุ้นในกลุ่มนี้ก็ถูกเทขายเพื่อความปลอดภัย


น้ำมันแพงดูเหมือนจะเป็นข่าวร้ายที่รุนแรงและอาจ ทำลายเศรษฐกิจโลก และโดยเฉพาะประเทศที่ต้องพึ่งพิงน้ำมันอย่างไทย เศรษฐกิจของประเทศจะถูกกระทบ ดุลการค้าอาจจะขาดดุล บริษัทที่ต้องใช้น้ำมันมากเช่น ซีเมนต์ การขนส่ง หรือแม้แต่ธุรกิจเกี่ยวกับรถยนต์ที่ใช้น้ำมันในการขับเคลื่อนจะถูกกระทบอย่างหนัก โดยรวมแล้ว นี่เป็นความเสี่ยงที่ยิ่งใหญ่ เพราะฉะนั้นการถือหุ้นยาวในช่วงนี้เป็นเรื่องที่อันตรายมาก


ข่าวร้าย ที่กระทบกับธุรกิจหรืออุตสาหกรรมเฉพาะอย่างนั้น ยิ่งมีมากจนนับไม่ถ้วน บางเรื่องก็เป็นจริง แต่ส่วนใหญ่แล้วก็เป็นเรื่องที่นักลงทุนปริวิตกกันเกินเหตุซึ่งเป็นผลจาก แนวโน้มเล็ก ๆ หรือ แฟชั่น ที่เกิดขึ้นและมี นักอนาคตศาสตร์ ช่วยรับรอง ว่าเป็นจริง


หลายปีก่อนที่วิดีโอกำลังเฟื่อง คนก็พูดกันว่าโรงภาพยนต์จะต้องเจ๊งกันหมดเพราะวิดีโอจะถูกกว่า สะดวกกว่า และมีประสิทธิภาพดีขึ้นเรื่อย ๆ จนไม่มีใครอยากเข้าโรงหนัง


หนังสือพิมพ์ นิตยสารเองก็จะต้องเจ๊งเพราะว่าอินเตอร์เน็ทจะเข้ามาแทนที่ คนไม่ต้องเสียเงินซื้อหนังสือพิมพ์เพราะสามารถอ่านได้จากคอมพิวเตอร์


เช่นเดียวกัน ธุรกิจเพลงจะตกต่ำลงเพราะวัยรุ่นหรือคนซื้อเทปเดี๋ยวนี้สามารถดาวโหลดเพลงเฉพาะที่ตนเองชอบทางอินเตอร์เน็ท เพราะฉะนั้นใครจะซื้อซีดีเพลง


คนรุ่นใหม่ดูแลรักษาสุขภาพกันมาก และนี่เป็นแนวโน้มใหญ่ เพราะฉะนั้นธุรกิจเหล้า บุหรี่ และแม้แต่น้ำอัดลมจะค่อย ๆ หดตัวลง และธุรกิจอย่างชาเขียวและน้ำผลไม้จะรุ่งเรือง เออ แต่เรื่องชีวจิตที่เคยดังระเบิดคงไม่เหมาะกับคนส่วนใหญ่กระมัง จึงเงียบ ๆ ไป


ไม่ว่า ข่าวร้าย จะเป็นจริงหรือไม่ หรือจะมีผลหรือไม่มีผล แต่ ข่าวร้าย ในอนาคตก็คงจะมีมากเหมือนเดิมถ้าไม่มากขึ้น นักเล่นหุ้นเองก็จะยังคงวิตกกังวลกันทุกวัน และก็ซื้อและเทขายหุ้นตามข่าวอย่างไร้เหตุผลเหมือนเดิม Value Investor ที่ดีนั้นต้องวิเคราะห์ข่าวอย่างใจเย็น ส่วนใหญ่แล้ว ข่าวร้าย ไม่ใช่เรื่องอันตรายที่จะต้องทำอะไร แต่มันคือโอกาสที่จะเก็บหุ้นดีที่มีราคาถูกลงมากเพราะข่าวร้ายที่ไม่ร้ายนักในระยะยาว
ลงทุนเพื่อชีวิต
ภาพประจำตัวสมาชิก
thaloengsak
Verified User
โพสต์: 2716
ผู้ติดตาม: 1

Re: บทความของดร.นิเวศน์ กันยายน 2554

โพสต์ที่ 2

โพสต์

จาก Bangkok Bizweek รายสัปดาห์ ฉบับวันที่ 20 สิงหาคม 2547
--------------------------------------------------------------------------------------

ชั่วโมงเซียน : ทางเดินความคิด...."Value Investor" หมายเลข 1 เฟ้นหุ้น "เฟิร์สคลาส"...ใช้ชีวิต "อีโคโนมี"

"แก่นแท้" แห่งวิถีการลงทุน ของ "ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร"

สูตรการลงทุนให้ประสบความสำเร็จสำหรับ "ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร" ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธ.นครหลวงไทย ไม่ได้แตกต่างไปจากวิถีทางเดินชีวิตของดอกเตอร์เลยแม้แต่น้อย

ทางเดินความคิดของ...."Value Investor" หมายเลข 1 ผู้นี้ทั้งเรียบง่าย และสมถะ

ดอกเตอร์ไม่ได้เสแสร้ง หรือสร้างภาพลักษณ์โดยปราศจาก "แก่นแท้" ของความปกติพอดี..."ชีวิตคนเราจะต้องการอะไรไปมากกว่านี้"

แก่นแท้อย่างหนึ่งที่สรุปได้ในความหมายของดอกเตอร์ ก็คือ ความสำเร็จมันซ่อนอยู่ในความ "พอเพียง" ของการใช้ชีวิต และรู้จัก "เพียงพอ" ต่อความโลภ

กว่าชั่วโมงที่นั่งคุยในช่วงเวลาอาหารมือกลางวัน เริ่มต้นจากเทคนิคการเล่นหุ้น ไปจบที่วิถีความคิด และเส้นทางการใช้ชีวิต ขณะที่ดอกเตอร์ก็นั่งกินแซนด์วิชที่ออกจะแข็งกระด้างไปพราง ตามด้วยน้ำเปล่าเป็นระยะๆ มันเป็นอาหารที่ออกจะวิเศษสุดในมื้อนั้นสำหรับ Value Investor พันธุ์แท้ที่เน้นความเรียบง่าย

วันนี้ต้องบอกว่า ดร.นิเวศน์ "รวย" แล้ว แม้จะยังมีเงินไม่ถึง 1,000 ล้านบาท ตามที่ตั้งใจ แต่ก็มีมากพอที่จะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายไปตลอดชั่วชีวิต แต่เปล่าเลยดอกเตอร์กลับไม่เคยใช้ชีวิตฟุ่มเฟือย

....ทุกสิ่งที่ ดร.นิเวศน์ จ่ายเงินออกไป จะต้องแลกกลับมาด้วยความ "คุ้มค่า" เสมอ

"คนชอบเข้าใจผิดว่า Value Investor ต้องใช้ของถูก จริงๆ แล้วเข้าใจผิด เรามองทุกอย่างที่ความคุ้มค่า "ดอกเตอร์บอกอีกว่า Value Investor จะไม่จ่ายอะไรที่แพงเกินความจำเป็น เพราะฉะนั้น "การใช้จ่าย" เพื่อซื้อความสุข สำหรับ Value Investor จึงไม่ใช่ความสุข"

"....ไม่มี Value Investor พันธุ์แท้คนไหน ใช้ชีวิตอย่างฟุ่มเฟือยแล้วประสบความสำเร็จในการเล่นหุ้น(ในระยะยาว) ทั้งหมดเป็นวิธีคิดที่อยู่ในห่วงโซ่เดียวกัน" ดอกเตอร์บอก ดูอย่าง "วอร์เรน บัฟเฟตต์" ซิ!!! พอเขาเป็น Value Investor ทั้งชีวิตและจิตใจ จะไม่มีความสุขกับการใช้เงิน

ความสุขทั้งหมดของเขาจะไปอยู่ที่การลงทุน เห็นราคาหุ้นเติบโตขึ้นอย่างมั่นคง เอาเงินไปซื้อบ้านราคาแพง ไปซื้อรถเบนซ์ ของพวกนี้ใช้แล้วมันหายไป Value Investor พันธุ์แท้จะไม่ชอบ"

การค้นหาหุ้นของ ดร.นิเวศน์ เรียบเรียงจากวิธีคิดพอจะสรุปได้ว่ามาจากขบวนการภายใต้ "จิตสำนึก" โดยมองสินค้าที่ผ่านเข้ามาในชีวิตประจำวัน และทำความเข้าใจกับมันทุกวันจนกลายเป็นความเคยชิน

"เราเห็นมันบ่อยๆ เนื่องจากการใช้ชีวิตของเรา ผมจะเลือกซื้อหุ้นพวกนี้ก่อน"

เคล็ดลับเช่นนี้เองที่กลายเป็นพฤติกรรมแทรกซึมเข้ามาอยู่ในจิตใต้สำนึกที่เฟ้นแต่หุ้น "Value" เข้าพอร์ต "ทุกครั้งที่เห็นสินค้า เราอ่านหนังสือเจอ ทุกอย่างมันจะลิ้งเข้ามาที่เรื่องของหุ้น มันเข้ามาเองอัตโนมัติ"

ดร.นิเวศน์ อธิบายว่า จริงๆ แล้ว Value Investor เวลาเลือกหุ้นก็แบบเดียวกัน หาหุ้นที่ "ดีมาก" แต่ใช้เงิน "นิดเดียว" (ซื้อตอนที่ราคายังไม่แพง หรือตอนที่หุ้นตกหนักๆ) เช่นเดียวกับการใช้ชีวิต ค้นหาสิ่งดีๆ ให้กับชีวิตได้มากมาย ด้วยเงินเพียงนิดเดียว

"ถ้าศึกษาวิธีคิดของ Value Investor มันเกี่ยวกับข้องกับชีวิตนะ ถ้าคุณจ่ายเงินซื้อรถเบนซ์โก้หรู ผมยังไม่ค่อยเห็น ถ้าคุณคิดแบบนั้นคุณก็ไม่ใช่ Value Investor พันธุ์แท้"

Value Investor พันธุ์แท้ในมุมมองของ ดร.นิเวศน์ จะต้องมองที่ "คุณค่า" ของเงินที่จ่าย คุณอย่าซื้อหุ้นเพราะเห็นว่าราคา "ถูก" แต่ต้องซื้อหุ้นเพราะว่ามัน "ดี" แล้วจ่ายเงินซื้อในราคา "ยุติธรรม"

"ผมไม่เคยซื้อหุ้นราคา 3 บาท 5 บาท ชอบซื้อหุ้นที่คนพูดว่า "แพง" ในด้านราคา แต่ "ถูก" ในแง่ของ "Value" ถ้าสังเกตุดูหุ้นในพอร์ตผมราคาเป็น 100 บาทขึ้นไปทั้งนั้น หรือราคาหลายสิบบาทที่พาร์บาทเดียว (เช่น STANLY SE-ED IRC APRINT SSC PR และ TMD) หุ้นของผมราคาสูงหมดนะ แต่มันคุ้มค่า มันสร้างผลตอบแทนให้เราดีมาก"

ดอกเตอร์พูดว่าการเล่นหุ้นขาดไม่ได้จะต้องมีความสุขกับมัน....เพราะความสุขจะเป็น "ทุน" สร้างผลตอบแทน มันเป็น "เหตุ" ที่สร้างผลลัพธ์ของ "กำไร"

"จริงๆ ผมมีความสุขกับการได้ซื้อหุ้นที่เราพอใจมากๆ ดีมากๆ น่าสนใจมากๆ แล้วเก็บมากขึ้นๆ จนวันหนึ่งเรากลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท"....ความสุขในที่นี้ของ ดร.นิเวศน์หมายถึงความ "ภาคภูมิใจ"

"ผมเชื่อมาตลอดว่า "การเดินทาง" สำคัญกว่า "เป้าหมาย" อยากบอกนักลงทุนทุกคนว่าอย่าไปกังวลกับเป้าหมาย แต่ควรใส่ใจใน "เส้นทาง" ที่เรากำลังเดิน ถ้าเราทำดีที่สุด และมีความสุขในเส้นทางของเราทุกวัน ในที่สุดเราก็จะไปถึงเป้าหมายนั้นเอง" ดร.นิเวศน์ เชื่อเช่นนี้ตลอด

".....เงิน 1,000 ล้าน สำหรับผมถ้าไม่ได้ ก็ไม่ใช่จะเป็นจะตาย เรามี "เป้าหมาย" เพื่อกำหนด "เส้นทาง" ไม่ให้เราไขว้เขว ถ้าเราแน่วแน่ ผลลัพธ์ที่ออกมามันจะสอดคล้องกันทั้งหมด"

ถามดอกเตอร์ว่าสมมติ ดร.นิเวศน์ ทำเงินถึง 1,000 ล้านบาท จริงๆ เป้าหมายต่อไปคืออะไร?

"ถ้าตัดเรื่องเงินออกไป เป้าหมายของผมก็ยังต้องการเป็น "นักลงทุน" และใช้ชีวิต "สมถะ" เช่นนี้ตลอดไป(จนตาย) คนเราอย่าไปคิดว่ามีเงิน 1,000 ล้าน แล้วจะใช้จ่ายฟุ่มเฟือย คนที่คิดก่อนแล้วว่า จะทิ้ง "วิถี" ชีวิตดั้งเดิมของตัวเองก่อนที่ตัวเองจะไปถึงเส้นชัย....ผมคิดว่าเขาคงจะไปไม่ถึงเป้าหมายที่แท้จริงหรอก"

ความเร้นลับของ "กำไร" และ "ความสุข" สำหรับ ดร.นิเวศน์ สะท้อนออกมาในแง่มุมของการเลือกหุ้น ก็เหมือนกับการเลือก "คู่แต่งงาน" คุณต้องคิดเสมอว่าต้องหาคู่ที่ดีที่สุด และเหมาะสมที่สุดกับคุณ เพื่อจะครองคู่กันไปจนแก่เฒ่า....โดยเน้นย้ำว่า Value Investor จะไม่เลือกหุ้น "ฉาบฉวย" หวังขายในอีก 1 สัปดาห์ หรือ 1 เดือนข้างหน้า แต่ต้องเลือกหุ้นที่ดีที่สุด และมีอนาคตในอีกหลายๆ ปีข้างหน้า

"ผมจะซื้อหุ้นที่ตัวเองรู้สึกพอใจมากๆ แล้วอยากจะเก็บมันไว้นานๆ" นี่คือปฐมบทของความสำเร็จที่ดอกเตอร์สรุปให้ฟัง

ดร.นิเวศน์ คิดถึงขนาดที่ว่าสักวันหนึ่งหุ้นที่ "พ่อ" ถือก็จะถูกส่งต่อไปให้กับ "ลูก" เพื่อเป็น "มรดก" ด้วยซ้ำ

"จริงๆ แล้วหุ้นที่ผมซื้อส่วนใหญ่ส่งต่อไปเป็นมรดกได้ แต่ไม่รู้ว่าถ้าเวลาผ่านไปนานๆ ปัจจัยบางอย่างเปลี่ยนไป เราอาจต้องเปลี่ยนหุ้นตัวอื่น แต่ทุกกิจการที่ลงทุนตั้งต้นจากวิธีคิดที่ว่าสามารถถือไปจนถึงลูกถึงหลานได้"

ดอกเตอร์ย้อนกลับมาที่คำพูดคำเดิม การเล่นหุ้นจะต้องเริ่มที่ "ความสุข" มันเป็นเหตุเป็นผลกัน

"ถ้าผมซื้อหุ้นของกิจการที่ดีเยี่ยม ในราคาที่ค่อนข้างต่ำ มีผู้บริหารดี ในที่สุดราคาหุ้นจะสูงขึ้นไปเรื่อยๆ เราก็มีความสุขกับ Score (ผลตอบแทน) ที่เพิ่มขึ้น แต่เป็นคนละส่วนกับการเอากำไรมาซื้อความสุขนะ"

ดร.นิเวศน์ อธิบาย Score แห่งความสุขเพิ่มเติมว่า เราซื้อไปแล้วราคาหุ้นเพิ่มขึ้น จ่ายปันผลมาเราก็ "ทบต้น" ขึ้นไป แล้วเห็นผลตอบแทนแต่ละปีที่ผ่านไปดีกว่าตลาดโดยรวม รู้สึกพอใจเมื่อเห็นมันเติบโตขึ้นเรื่อยๆ

"จนวันหนึ่งเราสามารถบอกได้ว่า ตอนนี้เราก็มีฐานะ มีความมั่นคง และเป็นอิสระพอที่จะไม่ต้องทำอะไรเลยก็ได้ สามารถมีปันผลที่เลี้ยงเราตลอดชีวิตไปจนถึงลูกถึงหลานได้ นี่คือ ความสุขของผม"

ถามว่า ดร.นิเวศน์ เคยรู้สึกว่าตัวเองผิดพลาดเรื่องการลงทุนบ้างหรือไม่!!!

ดร.นิเวศน์ เล่าให้ฟังว่า ผมเคยซื้อบ้านราคานับสิบล้านบาทด้วย "กิเลส" ที่มันซุกอยู่ภายในเหมือนกับคนทั่วๆ ไป แต่นั่นไม่ใช่การลงทุนที่คุ้มค่าเลย ท้ายที่สุดก็ขายบ้านหลังนั้นทิ้งไป

"ตอนที่ผมยังไม่มีความคิดแบบ Value Investor เคยสนใจซื้อที่ดิน เราเห็นเลยว่าที่ดินมันก็อยู่ที่เก่า มันไม่เคยจ่ายปันผลให้เรา ราคาก็ไม่ได้ไปไหน 10 ปีที่ผ่านมา ถ้าขายราคาเดิม...ผมขาย แต่มันขายไม่ได้ เพราะฉะนั้นผมรู้สึกว่าตัวเองไม่ชำนาญทางด้านนี้ ให้ซื้อเพื่อเก็งกำไรคงไม่ทำแน่"

ดร.นิเวศน์ เล่าว่า ทุกวันนี้ก็ยังไม่มีบ้านเป็นของตัวเอง เป็นแค่บ้านชั้นเดียวเล็กๆ บนเนื้อที่ไม่กี่ตารางวา ย่านอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิของแม่ยาย ทุกคนอยู่รวมกัน เห็นหน้ากันทุกวัน ไม่มีพื้นที่สำหรับความเป็นส่วนตัว ไม่มีคนรับใช้ แต่บ้านหลังนี้ไม่เคยปราศจากอบอุ่นเลย

"ความสะดวกสบายในบ้านจริงๆ มีน้อย บ้านหลังเล็กมาก แต่ผมก็ไม่ได้ต้องการมากกว่านี้ เพราะมาคิดดูอีกทีถามว่าไปอยู่บ้านหลังใหญ่ๆโตๆได้มั๊ย!!..."มันก็ได้" แต่บ้านใหญ่โตมันก็ไม่ได้ให้ความสุขกับเรามากไปกว่าบ้านหลังเล็ก ทุกคนใกล้ชิดกัน เจอหน้ากันทั้งวัน"

ส่วนรถยนต์ที่ใช้ในชีวิตประจำวันก็เป็นรถประจำตำแหน่ง(ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธ.นครหลวงไทย)ไม่มีเป็นของตัวเอง ถ้าออกจากงานวันไหน วันนั้นค่อยไปหาซื้อมาเป็นของตัวเอง

"ทุกวันนี้กิจกรรมที่ผมทำอยู่จริงๆ ชีวิตมันมีความสุขอยู่แล้ว การออกกำลังกายเป็นความสุขยิ่งใหญ่ ผมไม่ต้องใช้เงินเลย มีรองเท้าคู่เดียว ถามว่า "ฟิตเนส" มันดีกว่ามั๊ย!! สำหรับผมวิ่งในสวน (สาธารณะ) มันก็สดชื่นไปอีกแบบหนึ่ง...นี่คือสิ่งที่ผมกำลังจะบอกว่าพื้นฐานความคิดของ Value Investor "เงิน" มันไม่ใช่โจทย์ของ "ความสุข" ตรงกันข้ามกับการเลือกหุ้นคุณต้องเลือกหุ้นที่คิดว่าดีเยี่ยมที่สุด"

ดอกเตอร์ บอกว่า เกือบ 10 ปีที่ผมลงทุนในแนวทางนี้ พิสูจน์แล้วว่ามันประสบความสำเร็จ ยังจำได้ว่าวันแรกที่ลงทุนตามแนวคิด Value Investor หนี้สินผมมากกว่าสินทรัพย์สภาพคล่อง สมัยนั้นผมคิดว่าอยากจะมีบ้านหลังใหญ่ที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก็ไปก่อหนี้ขึ้นมา 10 กว่าล้านบาท แต่โชคดียังพอมีเงินสดเหลืออยู่ แม้จะน้อยกว่าตัวหนี้ ผมเอาเงินก้อนนั้นไปลงทุนจนถึงวันนี้เงินก้อนนั้นเติบโตขึ้นมาเกือบ 20 เท่าตัว"

แม้วันนี้ Score แห่งความสุขของดอกเตอร์จะทะยานผ่านพรมแดนแห่งคำว่า "อิสรภาพ" ทางการเงิน(รายรับจากเงินลงทุนมากกว่ารายจ่ายประจำ)ไปแล้ว แต่ ดร.นิเวศน์ ก็หาไม่ที่จะนำเงินเก็บส่วนของการลงทุนมาซื้อความสุข "กาย" ในชีวิต มากไปกว่าสิ่งที่มีอยู่

รางวัลในชีวิตของ ดร.นิเวศน์ จึงแตกต่างจากคนทั่วไป ดอกเตอร์พูดว่า "รางวัลของชีวิต ก็คือ สิ่งที่ทำอยู่ทุกวัน" คำๆ หนึ่งที่ ดร.นิเวศน์ เน้นย้ำน่าสนใจอย่างยิ่ง คำว่า "การเดินทาง" กับ "เป้าหมาย" ในชีวิตของคนทุกคน...นักเล่นหุ้นที่ประสบความสำเร็จที่แท้จริง เขาควรเฟ้นหาเฉพาะหุ้นระดับ "เฟิร์สคลาส"...มีวิถีชีวิตแบบ "อีโคโนมี"

ทั้งหมดคือ ทางเดินความคิดของ "Value Investor"หมายเลข 1 ที่ชื่อ"ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร"
ลงทุนเพื่อชีวิต
ภาพประจำตัวสมาชิก
thaloengsak
Verified User
โพสต์: 2716
ผู้ติดตาม: 1

Re: บทความของดร.นิเวศน์ กันยายน 2554

โพสต์ที่ 3

โพสต์

แก้ไขกระทู้แรก ไม่ใช่ปี 2554 แต่เป็น ปี 2004
ลงทุนเพื่อชีวิต
ภาพประจำตัวสมาชิก
thaloengsak
Verified User
โพสต์: 2716
ผู้ติดตาม: 1

Re: บทความของดร.นิเวศน์ กันยายน 2554

โพสต์ที่ 4

โพสต์

จากคอลัมน์ ชั่วโมงเซียน ในกรุงเทพธุรกิจ Bizweek รายสัปดาห์ ฉบับวันที่ 6 สิงหาคม 2547
---------------------------------------------------------------------------------------------------------
ชั่วโมงเซียน : เล่นหุ้นสูตร"ปลอดภัย" สไตล์ "โกศล ไกรฤกษ์"

นับวันที่ตลาดหุ้น "ซึม" กับ "ทรุด" ลงทุกวัน ภาวะจิตใจของนักลงทุนหลายคน "ห่อเหี่ยว" ทำให้รำลึกสไตล์การเล่นหุ้นสูตร "โกศล ไกรฤกษ์" ขึ้นมาทันใด จนต้องนำกลับมาถ่ายทอดอีกครั้ง ...เพื่อเตือนสติ ให้นักลงทุน ได้ทบทวนบทเรียนบทหนึ่ง ของชายคนหนึ่ง ที่เขาผ่านร้อนผ่านหนาว ในวงการหุ้นมาอย่างโชกโชน และรอดพ้นวิกฤติมาได้อย่างไร?

ตราบชีวิตยังดำรงอยู่ แสงเทียนแห่งชีวิตย่อมเปล่งประกายเจิดจ้า แต่การดำรงอยู่มิอาจยืนยง ดั่งคำกล่าวที่ว่า "ชีวิตควรมุ่งมั่น แต่ไม่ควรยึดมั่น" คำกล่าวนี้ไม่เคยเลือนหาย

....ชีวิตของคนทุกคนก็มิอาจฝืนกฎธรรมชาติ นั่นคือ "ความตาย"

"จิต" ของลุงโกศลโบกมือลาสังขารด้วยวัย 78 ปี ของคืนวันที่ 2 ก.ค.2547 ที่ รพ.พร้อมมิตร จากอาการโรคไตที่ลุงปลุกปล้ำกับมันมาอย่างยาวนานจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต

การจากไปของ "โกศล ไกรฤกษ์" สิ่งที่ทิ้งเอาไว้ก็คือ "แก่นคิด" การเล่นหุ้นที่ไม่เคยถูกกาลเวลากลืนหาย

*****************************

A12 หัวรับ..."ขายเอาทุนขึ้น....เหลือไว้แต่กำไร"

นอกตำราสูตร "โกศล ไกรฤกษ์"

ชื่อของ "โกศล ไกรฤกษ์" หายไปนาน หลังจาก บงล.ตะวันออกฟายแนนซ์(1991) ถูกแบงก์ชาติเข้าแทรกแซงกิจการ เมื่อกลางปี 2540 ทรัพย์สินชิ้นสุดท้ายมูลค่าหลายพันล้านบาทหายวับไปกับตา

สมการชีวิตของชายคนนี้ผ่านร้อนหนาวทางการเมืองมาอย่างโชกโชน เป็น ส.ส. พิษณุโลกหลายสมัย และเป็นรัฐมนตรีมาแล้วหลายกระทรวง เป็นผู้ที่ก่อตั้งพรรคกิจสังคมร่วมกับ ม.ร.ว.ศึกฤทธิ์ ปราโมช มีอุปนิสัยพูดจาโผงผางจนได้รับขนานนามว่า "นักเลงโบราณ"

แม้ว่าลุงโกศล จะลดบทบาทการเป็นนักลงทุนรายใหญ่ในตลาดหุ้นไปนานแล้ว แต่แนวทางการลงทุนที่เน้นความ "ปลอดภัย" ของลุงโกศลไม่เคยล้าสมัย

โดยเฉพาะคำพูดที่เคยกล่าวเอาไว้ว่า "ถ้าอยากสบายตอนแก่ต้องมีรายได้ประจำไว้กิน 3 อย่าง" แกบอกว่าได้ความรู้มาจากเจ๊ก (นักธุรกิจชาวจีน) สอนแกมาอีกทีหนึ่ง สมัยตอนเป็นรัฐมนตรี

เจ๊กมันบอกว่า....!!!

อย่างแรก "ต้องมีเงินฝากประจำเอาไว้กินดอกเบี้ย"

อย่างที่สอง "ต้องมีบ้านให้เขาเช่า เอาไว้เก็บค่าเช่ากินตอนแก่"

อย่างที่สาม "ต้องมีรายได้จากเงินปันผล"

นี่แหละรายได้ 3 อย่าง สูตรขนาดแท้ของลุงโกศลเลยล่ะ

ลุงโกศลเล่าให้ฟังว่า แกได้เงินปันผลจากตลาดหุ้นอย่างเดียวปีละเกือบ 2 ล้านบาท(เมื่อปี 2543) หุ้นจะขึ้นหรือจะลงแกก็ไม่เดือดร้อน คนส่วนใหญ่เจ๊งหุ้นกันหมด แต่ลุงโกศลกลับหัวเราะร่า หุ้นที่ลุงซื้อแต่ละตัว เป็นหุ้นที่ชาวบ้านชาวเมืองเขาไม่ค่อยเล่นกัน แกจะเลือกเฉพาะหุ้นปันงามๆ พื้นฐานแน่นๆ และผู้บริหารต้องโปร่งใสเท่านั้น

หุ้นปันผลที่ลุงโกศลเล่นส่วนใหญ่จะมีสภาพคล่องการซื้อขายน้อย เป็นหุ้นประเภท "เสือนอนกิน" เก่าเก็บไม่ค่อยมีใครอยากขาย หาซื้อก็ไม่ง่ายนัก

ลุงโกศลยกตัวอย่างให้ฟังว่า หุ้นในพอร์ตของแก(ตอนนั้น) ประกอบด้วย หุ้นห้องเย็นโชติวัฒน์(CHOTI) หุ้นไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์(TF) หรือหุ้น"มาม่า" หุ้นไทยยูเนี่ยนโฟรเซ่นส์(TUF) ขายปลาทูน่าส่งออกรายใหญ่ที่สุดของประเทศ หุ้นน้ำมันพืชไทย(TVO) หุ้นอาหารสยาม(SFP) และหุ้นไทยวาโก้(WACOAL)

ลุงโกศลแกเล่าให้ฟังว่า เคยไปฉะกับผู้บริหารบริษัทกู๊ดเยียร์(GYT) และบริษัทคาร์โนต์เมตัลบ๊อกซ์(CMBT)มาแล้ว เพราะบริษัทกำไรดีแต่จ่ายปันผลนิดเดียว เหมือนกับให้เงินขอทาน ตอนนั้นกู๊ดเยียร์ประกาศจ่ายปันผลหุ้นละ 2 บาท จากกำไรต่อหุ้น 52.03 บาท ส่วน คาร์โนต์เมตัลบ๊อกซ์(ออกจากตลาดหุ้นไปแล้ว) กำไรหุ้นละ 22.38 บาท ทีแรกประกาศจ่ายปันผลหุ้นละ 1 บาท แกไปต่อรองกับผู้บริหารหลายชั่วโมง จนต้องเพิ่มให้เป็นหุ้นละ 5 บาท

อีกตัวหนึ่งคือ หุ้นคาร์เปทอินเตอร์ฯ(CIT) ตอนนั้นประกาศคำเสนอซื้อหุ้นคืนจากนักลงทุนก่อนจะขอเพิกถอนออกจากตลาดหลักทรัพย์ ซื้อคืนในราคาหุ้นละ 45 บาท ต่ำกว่ามูลค่าหุ้นตามบัญชี(Book Value)ของบริษัทมาก ลุงโกศลประกาศเลยว่าใครมาเอาเปรียบกันอย่างนี้แกไม่ยอมเด็ดขาด แกบอกว่าจะถือหุ้นเอาไว้ไม่ยอมขาย เอาไว้สู้กับผู้บริหารให้รู้ดำรู้แดง ไม่ยอมทิ้งลายนักเลงโบราณให้ใครมาหยามเกียรติได้ง่ายๆ

"เงินแค่นี้กูไม่เอา แต่กูจะถือหุ้นไว้สู้กับมึง"

กฎการเล่นหุ้นของนักเลงโบราณท่านนี้นับว่าไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน

ข้อแรก...แกบอกว่าอย่าไปแตะต้องหุ้นสถาบันการเงิน เพราะไม่มีวันรวยได้นาน ประสบการณ์ที่ลุงโกศลเจอมากับตัวเอง โดยเฉพาะหุ้นบงล.ตะวันออกฟายแนนซ์ (DEFT) แกบอกว่าตัวเองเป็นทั้งเจ้าของ(ถือหุ้นใหญ่) เป็นเจ้ามือ(โบรกเกอร์) และเป็นคนแทง(เล่นหุ้นเอง) สุดท้ายเจ๊งหมด

ก่อนหน้าที่จะถูกทางการสั่งระงับการดำเนินกิจการเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2540 เพียงไม่กี่สัปดาห์ ลุงโกศลได้เจรจาลับๆ กับนักลงทุนต่างชาติ เพื่อขายหุ้นทั้งหมดในส่วนของตระกูลไกรฤกษ์ จำนวน 67 ล้านหุ้น ใน บงล.ตะวันออกฟายแนนซ์ โดยต้องการขายกิจการที่ 6.7 พันล้านบาท แต่การต่อรองราคายังไม่ทันคืบหน้าทุกอย่างก็ต้องปิดฉากลงโดยไม่เหลืออะไรเลย

ประสบการณ์กับหุ้นสถาบันการเงินอีกแห่งหนึ่งที่เจอมา ก็คือ หุ้นบงล.กรุงเทพธนาทร(BFIT) หุ้นที่ถืออยู่เคยมีมูลค่าสูงกว่า 300 ล้านบาท ถือเอาไว้ไม่ได้ขายราคามันร่วงลงมาเหลือแค่ 43 ล้านบาท "ผมอยากจะบอกว่าถ้าใครอยากฉิบหายเหมือนผมให้เล่นหุ้นสถาบันการเงิน" แกพูดประชด

ข้อสอง...ให้เน้นลงทุนในหุ้นที่จ่ายเงินปันผลดี เราจะรู้ได้ยังไงว่าจ่ายปันผลดี ก็ต้องไปค้นประวัติว่าบริษัทนี้มีกำไรดีต่อเนื่องมาแล้วกี่ปี เราจะได้รู้ว่าบริษัทนี้มีรายได้มั่นคงแค่ไหน มีประวัติการจ่ายปันผลสม่ำเสมอมาแล้วกี่ปี ควรเลือกหุ้นที่มีหนี้น้อยๆ หุ้นหลายบริษัทจ่ายเงินปันผลดีมาก ดีกว่าฝากเงินกินเยอะ หุ้นอย่างนี้แหละที่น่าซื้อ พอซื้อแล้วให้ถือยาวไปเลย

ข้อสาม...ต้องไปสืบดูประวัติผู้บริหารว่าซื่อสัตย์สุจริตหรือไม่ ข้อนี้สำคัญมากทุกอย่างดีหมดถ้าผู้บริหารเอาเปรียบผู้ถือหุ้น หรือไม่โปร่งใส หุ้นอย่างนี้อย่าไปซื้อมัน บางบริษัทมีผู้บริหารไม่กี่คนจ่ายเงินเดือน จ่ายโบนัสกันเองปีละ 30-40 ล้าน แต่จ่ายปันผลให้ผู้ถือหุ้นนิดเดียว พวกมันเล่นรวยกันเองคนเดียว อย่างนี้เขาเรียกว่าพวก "โจร" แฝงตัวมานั่งบริหาร ระยะยาวหุ้นอย่างนี้ฉิบหายแน่ๆ

ข้อสี่...ต้องลดต้นทุนให้ต่ำลงตลอดเวลา นั่นคือ ต้องรู้จักดึงเงินทุนออกเหลือเอาไว้แต่กำไร ลุงโกศลเล่าว่าถึงหุ้นจะตกหนักแค่ไหน สาเหตุที่แกไม่เจ๊งก็เพราะรู้จักดึงทุนเก่าออก หุ้นที่ถืออยู่ส่วนใหญ่แทบไม่มีต้นทุนเหลืออยู่แล้ว เพราะถือมานาน ตัวไหนมีกำไรก็ขายออกเอาเงินไปซื้อหุ้นตัวอื่น หรือเอาเงินปันผลของมันนั่นแหละซื้อหุ้นตัวเอง พอหุ้นลงก็ค่อยๆ ซื้อกลับ ต้นทุนของหุ้นก็จะค่อยๆ ต่ำลง

สมมุติว่าซื้อหุ้นไว้ที่ราคา 30 บาท ได้เงินปันผลปีละ 10% ก็เท่ากับปีละ 3 บาท เอา 3 บาทไปซื้อหุ้นตัวมันเอง ถ้าทำอย่างนี้ 3 ปี เราก็จะได้หุ้นมากขึ้น ต้นทุนถูกลง ถ้าถือมา 3 ปี ราคาหุ้นขึ้นไป 60 บาท เราก็ขายหุ้นออกไปครึ่งหนึ่ง เท่ากับว่าหุ้นที่เราถืออยู่เป็นกำไรทั้งหมด เราไม่ต้องขายถือต่อไปยาวเลย แล้วก็เอาปันผลของมันซื้อตัวมันเอง ส่วนทุนเดิมของเราก็เอาไปลงทุนซื้อหุ้นตัวอื่นอีก ถ้าราคาลงมาเราก็ค่อยๆ ซื้อกลับเข้าไปอีก ไม่ต้องรีบร้อนซื้อตอนราคาแพง

"ผมเข้าตลาดหุ้นเมื่อปี 2530 จากคนไม่มีประสบการณ์เลย ค่อยๆ ศึกษาเอา หุ้นที่ซื้อเอาไว้ขึ้นไปหลายร้อยเปอร์เซ็นต์ ผมก็ขายเอาทุนไปลงซื้อหุ้นตัวอื่น เหลือแต่กำไรเอาไว้ ผมบอกได้เลยว่าหุ้นส่วนใหญ่ที่ยังถืออยู่เหลือแต่กำไร อย่างหุ้นคาร์เปทอินเตอร์ฯ(เพิกถอนไปแล้ว) ที่ถือเป็นแสนหุ้นมีต้นทุนเหลือแค่หุ้นละ 7 บาท ทุนเก่าผมดึงขึ้นมาหมดแล้ว ขาย 45 บาทยังไงก็มีกำไร แต่ผมไม่ขายจะถือเอาไว้สู้กับมัน"

ในช่วงที่ตลาดหุ้นปรับตัวลดลงมามากๆ ลุงโกศลแนะนำว่า นี่แหละคือ ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการซื้อหุ้นดีราคาถูกเก็บเอาไว้ แกย้ำว่า "ถ้าไม่เล่นเก็งกำไรซะอย่าง ไม่ต้องไปกลัวเจ๊ง แต่ขอเตือนว่าอย่าไปเชื่อโบรกเกอร์มากไอ้พวกนี้มันหวังค่าต๋ง ใครเชื่อมันรับรองว่าเจ๊งหุ้นหมด"

แม้อายุจะมากแล้วแต่ลุงโกศล ยังทำการบ้านเรื่องหุ้นไม่เคยขาด แกจะเก็บสถิติหุ้นเอาไว้อย่างสม่ำเสมอ นอกจากเคล็ดไม่ลับที่เปิดเผยแล้ว ยังมีคติในการลงทุนที่เรียนรู้มาจากประสบการณ์ อีกหลายอย่าง

คติแรก...เสียดายดีกว่าเสียใจ การเล่นหุ้นเราต้องถือคติว่า ถ้าไม่แน่ใจก็อย่าลงทุน ถ้าหุ้นขึ้นไม่ได้ลงทุนก็ไม่เป็นไร อย่าเสียดาย ดีกว่าไปเชื่อคำโฆษณาชวนเชื่อแล้วมานั่งเสียใจทีหลัง เพราะถ้าพลาดท่าจะเสียใจ

คติที่สอง...อย่าโลภ สมมติว่าฝากแบงก์ได้ดอกเบี้ย 5% แต่ลงทุนในหุ้นเราตั้งเป้าหมายไว้ที่ 20% เราก็ต้องพอใจแค่นี้ บางคนพอได้ 20% ก็ขอ 30% พอได้ 30% ก็ขอ 40% ยังงี้ยังไงก็ไม่พอสักที ก็เลยไม่ได้ขาย รอจนหุ้นตกก็ยังหวังว่าหุ้นมันจะขึ้นมาถึงที่เดิมอีก

คติที่สาม...ต้องรู้ไส้รู้พุงหุ้น คนที่จะซื้อหุ้นตัวไหนต้องรู้จักสินค้าของบริษัทนั้นทุกแง่มุม หุ้นดีราคาหุ้นก็จะขึ้นไปเองตามธรรมชาติ เวลาหุ้นตกไปเจอหุ้นพื้นฐานไม่ดีก็ต้องกล้าตัดความเสี่ยงทิ้ง

คติที่สี่...หุ้นขึ้นให้ขายหุ้นลงให้ซื้อ พอหุ้นลงคนอื่นเขาเมินหน้า เราต้องติดตามความก้าวหน้าของบริษัท เมื่อมีความก้าวหน้าดีแต่ราคาต่ำ ไม่มีคนสนใจ เราก็ซื้อเอาไว้ พอหุ้นขึ้นคนแย่งกันซื้อเราก็ทยอยขาย ซื้อมาขายไปจะทำให้เราได้หุ้นมาเปล่า (ไม่มีต้นทุน) เก็บเอาไว้ ยกเว้นว่าหุ้นดีจริงๆ เราก็ถือยาวเอาไว้กินปันผล

คติที่ห้า...อย่าเล่นหุ้นแบบนักพนัน การเล่นหุ้นต้องเล่นแบบนักบริหาร ต้องมีความอดกลั้น อย่าเชื่อข่าวลือ

บทเรียนการเล่นหุ้นสไตล์ "ปลอดภัย" ของลุงโกศล คงไม่มีคำว่า "ล้าสมัย" สิ่งที่ลุงทิ้งเอาไว้ก็คือ "แก่นคิด" การลงทุนที่ไม่เคยถูกกาลเวลากลืนหาย แม้สังขารของลุงจะจากไปไม่มีวันกลับก็ตาม....นอนหลับให้สบายเถอะครับ!!!"คุณลุง"
ลงทุนเพื่อชีวิต
ภาพประจำตัวสมาชิก
thaloengsak
Verified User
โพสต์: 2716
ผู้ติดตาม: 1

Re: บทความของดร.นิเวศน์ กันยายน 2554

โพสต์ที่ 5

โพสต์

Trading System

โดย ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร



คนที่ศึกษาติดตามเกี่ยวกับกลยุทธ์หรือวิธีการลงทุนมักจะได้พบกับกลยุทธ์การซื้อขายหุ้นประเภทที่มีการกำหนดหลักเกณฑ์แน่นอนเป็นระบบ เช่น ซื้อหุ้นมาแล้วถ้าราคาลดลง 10% ก็ให้ขายตัดขาดทุน แต่ถ้าหุ้นขึ้นไป 20% ก็ Take Profit คือขายทำกำไร บางทีก็บอกว่า Let Profit Run คือปล่อยให้หุ้นขึ้นไปเรื่อย ๆ แต่ถ้าหุ้นกลับตกลงมาใหม่ก็ให้ขายเมื่อยังมีกำไรไม่ต่ำกว่า 10% ปัญหามักจะเกิดเวลาหุ้นอยู่เฉย ๆ หรือมีพฤติกรรมที่ไม่เป็นไปตามกฎที่กำหนดไว้
ยกตัวอย่างเช่นกลยุทธ์การซื้อขายหุ้นบอกว่าเมื่อซื้อหุ้น A มาจำนวนหนึ่งแล้ว พอมีกำไร 30% ก็ให้ขายส่วนหนึ่งเพื่อ ลดต้นทุน นั่นคือเอากำไรที่ได้จากการขายมาหักออกจากต้นทุนที่ซื้อหุ้น A มา พอหุ้นขึ้นไปอีกเป็นกำไร 50% ก็ให้ขายไปอีกส่วนหนึ่งเพื่อ ลดต้นทุน ลงไปอีก จนสุดท้าย เมื่อเงินที่ได้จากการขายหุ้นนั้นเท่ากับเงินลงทุนครั้งแรก ก็แปลว่าเราได้ทุนคืนหมด ไม่มีต้นทุนแล้ว หุ้น A ที่เหลืออยู่เป็น ของฟรี ซึ่งจะถือไว้นานเท่าไรก็ได้ เพราะขายได้เท่าไรก็กำไรเท่านั้น ปัญหาของกลยุทธ์หรือระบบการซื้อขายหุ้นแบบนี้ก็คือไม่ได้บอกว่าถ้าซื้อหุ้น A มาแล้วราคาเกิดตกลงไปจะทำอย่างไร
การซื้อขายหุ้นแบบ อัตโนมัติ ตามกฎเกณฑ์ที่กำหนดนี้ ในทางวิชาการเรียกว่า Mechanical Rule แต่เรียกให้เข้าใจกันง่าย ๆ ในที่นี้ว่า Trading System หรือระบบการซื้อขายหุ้นนี้ ใครจะกำหนดอย่างไรก็ได้ และจะเรียกชื่อให้เท่แค่ไหนก็ไม่มีใครว่า คนร้อยคนอาจจะมี Trading System 100 แบบ ตามความคิดของแต่ละคนที่อาจจะเคยลองใช้แล้วเห็นว่าดี บางทีก็มีการแนะนำต่อกันในอินเตอร์เน็ต หรือไม่ก็เขียนเป็นหนังสือขายก็มี แต่ส่วนใหญ่แล้วความนิยมใน Trading System แต่ละแบบก็จะหายไปเมื่อเวลาผ่านไปเหมือนแฟชั่น
Trading System ที่ดูเหมือนจะเป็น สุดยอด ของทั้งหมด เพราะได้รับความนิยมมานานและไม่เสื่อมหายไป รวมทั้งมักได้รับการบรรจุอยู่ในหนังสือแนะนำการลงทุนรวมทั้งตำราและแบบเรียนการลงทุนต่าง ๆ ก็คือระบบที่เรียกว่า Dollar Cost Average ซึ่งบอกให้ซื้อหุ้นด้วยเม็ดเงินเท่ากันทุกเดือนหรือทุกปี เช่น ต้องการลงทุนในหุ้น A 120,000 บาท ก็ให้ซื้อหุ้น A ทุกเดือน เดือนละ 10,000 บาท จนครบ 120,000 บาทในเวลาหนึ่งปี
ข้อดีของ Dollar Cost Average ก็คือมีการกระจายการซื้อหุ้นตลอดปีทั้งในยามที่ตลาดดีและตลาดไม่ดี เพราะฉะนั้นโอกาสที่เราจะซื้อที่ยอดดอยจะน้อยลง นอกจากนั้น การที่เราซื้อด้วยเม็ดเงินเท่ากันทุกเดือนจะช่วยให้เราซื้อหุ้น A ได้ในจำนวนที่มากขึ้นในยามที่ราคาหุ้น A ต่ำ เช่นถ้าหุ้น A มีราคาหุ้นละ 1 บาทเราซื้อได้ 10,000 หุ้น แต่ถ้าเดือนไหนหุ้นขึ้นไปเป็น 2 บาทต่อหุ้นเราก็ซื้อหุ้น A เพียง 5,000 หุ้น เรียกว่าถ้าหุ้นแพงเราซื้อน้อยลง ถ้าหุ้นถูกเราซื้อมากขึ้น ซึ่งจะสวนทางกับนักลงทุนทั่วไปที่ชอบเข้ามาซื้อเวลาหุ้นวิ่งขึ้นแต่ขายทิ้งเวลาหุ้นลง
Dollar Cost Average ไม่ได้พูดถึงเรื่องการขาย อาจจะเพราะว่านี่คือกลยุทธ์การลงทุนสำหรับคนที่มีรายได้ประจำที่อยากเก็บหุ้นลงทุนระยะยาว เผลอ ๆ จนเกษียณอายุ และถ้าหากมีการกำหนดตัวหุ้นที่จะซื้อว่าต้องเป็นผู้นำที่แข็งแกร่งในอุตสาหกรรมหลาย ๆ ตัวแล้วละก็ วิธีการลงทุนแบบนี้น่าจะเป็นระบบการซื้อขายหุ้นที่เหมาะสมที่สุดของคนที่มีความรู้และเวลาที่จำกัดในการลงทุน
สำหรับ Value Investor ที่มีความเชี่ยวชาญแล้ว Trading System เป็นเรื่องที่ไม่มีสาระอะไรนัก ส่วนใหญ่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อสร้างวินัยในการที่จะ ลดความเสี่ยง ให้กับคนที่ ไม่รู้อะไรมากนัก เพราะฉะนั้นจึงต้องอาศัยระบบที่จะมาช่วยในการตัดสินใจแทนการวิเคราะห์คุณค่าของหุ้นอย่างละเอียดรอบคอบ
ผมเองไม่ได้มีความรู้สึกต่อต้านการใช้ Trading System โดยเฉพาะสำหรับคนที่ยัง ทำใจ ไม่ค่อยได้เวลาหุ้นขึ้นหรือลงอย่างแรง หรือเวลาตลาดกำลังเฟื่องหรือเงียบเหงาหมดหวัง แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คือ การเลือกใช้ Trading System ที่ไม่เหมาะสมซึ่งอาจจะไปหักล้างวิจารณญาณในการลงทุนที่ดีของเรา คำแนะนำสุดท้ายของผมก็คือ เวลาเลือกตัวหุ้นนั้น เราควรใช้หลักการพิจารณาแบบ Value Investment ส่วนเรื่องของการซื้อขายนั้น ถ้าอยากจะใช้ Trading System ผมก็คิดว่าไม่มีอะไรเสียหายมากนักแม้ผมจะคิดว่าเป็นเรื่องที่ไม่มีประโยชน์
ลงทุนเพื่อชีวิต
ภาพประจำตัวสมาชิก
thaloengsak
Verified User
โพสต์: 2716
ผู้ติดตาม: 1

Re: บทความของดร.นิเวศน์ กันยายน 2554

โพสต์ที่ 6

โพสต์

ช้างเต้นระบำ
มีคนบอกว่าช้างเต้นระบำไม่ได้ เหตุผลก็คือช้างเป็นสัตว์ใหญ่อุ้ยอ้าย จะขยับเขยื้อนต้องไปอย่างช้า ๆ คนจึงมักจะเอาช้างไปเปรียบเทียบกับธุรกิจหรือบริษัทขนาดใหญ่มาก ๆ ว่าจะเคลื่อนไหวได้ช้า จะผลิตสินค้าใหม่ ๆ ออกมาก็ทำได้ช้าเพราะมีขั้นตอนแบบราชการ มองบริษัทโดยรวมยอดขายก็โตเร็วไม่ได้ เช่นเดียวกับกำไรที่ยากจะโตแบบก้าวกระโดด


เมื่อยอดขายและกำไรไม่สามารถโตได้อย่างรวดเร็ว โดยธรรมชาติ หุ้นของบริษัทขนาดใหญ่ซึ่งผมเรียกว่าหุ้นช้างนั้นก็น่าจะปรับตัวได้ช้าไม่หวือหวาเหมือนหุ้นตัวเล็ก ๆ นี่เป็นความเชื่อ แต่ในบางครั้งบางช่วงเวลา

หุ้นช้างก็เต้นระบำเป็นเหมือนกัน มาดูสิครับว่าเกิดอะไรกับหุ้นช้าง 12 เชือกที่ผมเคยเขียนไว้เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2546 ว่าน่าจะถือเป็นหุ้น Value ได้ และถ้าใครบังเอิญซื้อไว้แล้วถือจนครบปีถึงวันที่ 9 ธันวาคม 2547 ช้างแต่ละเชือก เต้นระบำ กันดังต่อไปนี้


ช้างเชือกแรกคือหุ้นของธนาคารกรุงเทพซึ่งซื้อขายอยู่ที่ 83 บาทในวันที่ 9 ธันวาคม ปีก่อน ปีนี้ในวันเดียวกันปรับตัวขึ้นมาเป็น 103 บาท หรือทำกำไรให้ผู้ถือหุ้น 24.1% เช่นเดียวกับหุ้น KBANK ซึ่งผู้บริหารเอารูปแกะสลักช้างไปตั้งอยู่หน้าสำนักงานใหญ่และเคยพูดทำนองว่าจะทำให้ธนาคารเป็น ช้างที่เต้นระบำได้ ก็ปรับตัวขึ้นจาก 42 บาท เป็น 52.5 บาท และให้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับ BBL ที่ 25% ช้างเชือกต่อมาคือหุ้นยอดนิยมในกลุ่มปิโตรเคมีคือหุ้นอะโรเมติคส์ หรือ ATC ที่ปรับตัวขึ้นจาก 53 บาท เป็น 64.5 บาท หรือให้ผลตอบแทน 21.7%


หุ้นตัวต่อมาคือหุ้นที่สัญญลักษณ์ของบริษัทคือช้าง นั่นคือหุ้นปูนซีเมนต์ไทยหรือ SCC ปรับตัวขึ้นจาก 210 บาทเป็น 234 บาท หรือให้ผลตอบแทน 11.4% แม้ว่าจะปรับตัวขึ้นมาแล้วอย่างมากมายก่อนหน้านั้น


หุ้นช้างที่ เต้นไม่ออก ก็คือหุ้นของแลนด์แอนด์เฮ้าส์ ยักษ์ใหญ่บ้านจัดสรรซึ่งต้องเผชิญกับความซบเซาของธุรกิจและการแข่งขันของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จำนวนมาก ทำให้ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ราคาหุ้นตกลงมาจาก 11 บาท เหลือเพียง 9.6 บาท หรือทำให้คนถือขาดทุนไป 12.7%


ซุปเปอร์ช้างที่สร้างผลตอบแทนที่โดดเด่นให้กับนักลงทุนจำนวนมาก แน่นอน ก็คือหุ้นของ ปตท. ซึ่งได้รับอานิสงค์จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้น รวมทั้งราคาปิโตรเคมีที่ปรับตัวขึ้นสูงอย่างไม่น่าเชื่อ ทำให้กำไรของบริษัทเติบโตอย่างโดดเด่นถึงเกือบ 50% ในช่วง 9 เดือนของปีนี้ และทำให้ราคาหุ้นดีดตัวขึ้นถึง 46% จากราคา 113 บาท เป็น 165 บาท


เช่นเดียวกับหุ้นซุปเปอร์ช้างก็คือหุ้นของลูกซุปเปอร์ช้างซึ่งเป็นผู้ผลิตพลังงานที่มีราคาปรับตัวสูงขึ้น นั่นก็คือหุ้นของ ปตท.สผ. (PTTEP) ซึ่งปรับตัวขึ้นมาจาก 204 บาท เป็น 280 บาท หรือเพิ่มขึ้นถึง 37.3% ในเวลาเพียง 1 ปี แม้ว่ากำไรของบริษัทในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาจะเพิ่มขึ้นเพียง 7% แต่นักลงทุนคงมองถึงก๊าซและนำมันที่อยู่ใต้ดินที่มีราคาเพิ่มขึ้น


ตรงกันข้าม หุ้นช้างที่เป็นผู้ใช้พลังงานในการผลิตไฟฟ้าขายให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิต คือหุ้นของบริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง (RATCH) และหุ้นบริษัทผลิตไฟฟ้าหรือ EGCOMP กลับมีราคาลดลงเล็กน้อย โดยหุ้นราชบุรีตกลงมา 7.2% จาก 41.75 บาท เหลือ 38.75 บาท และหุ้น EGCOMP ลดลงใกล้เคียงกันที่ 6.6% จากราคา 76 บาท เหลือ 71 บาท แต่ถ้าคิดถึงปันผลที่ได้รับ การลงทุนในหุ้นช้าง 2 เชือกนี้ก็น่าจะถือว่าไม่เลวร้ายนัก


หุ้นช้างตัวที่ 10 ซึ่งน่าจะเป็นช้างที่เจ็บหนัก เพราะในช่วง 1 ปีที่ผ่านมามีราคาลดลงจาก 22.6 บาท (ปรับการแตกพาร์แล้ว) เหลือเพียง 15 บาท หรือลดลงถึง 33.6% ก็คือหุ้นของบริษัท บีอีซีเวิลด์ (BEC) เจ้าของทีวีช่อง 3 ซึ่งประสบกับการแข่งขันจากทีวีช่องอื่น ๆ ที่ปรับปรุงตนเองขึ้นมาแข่งขันอย่างรุนแรงและทำให้กำไรของ BEC ถดถอยลง และเมื่อประกอบกับค่า PE และ PB ที่ค่อนข้างสูงของหุ้นช้างตัวนี้ ทำให้ BEC เป็นหุ้นช้างที่ลำบากในช่วงปีที่ผ่านมา


หุ้นช้างที่ บินได้ แต่ราคาหุ้นกลับไม่ไปไหนก็คือหุ้นของการบินไทย (THAI) ซึ่งบริษัทน่าจะไปได้ดีถ้าไม่ถูกน้ำมันแพงเล่นงาน ทำให้นักลงทุนหลีกเลี่ยงที่จะลงทุน และทำให้หุ้นค่อนข้างนิ่งจากราคา 49 บาทต่อหุ้นเป็น 49.25 บาท หรือให้ผลตอบแทนเพียง 0.5% อย่างไรก็ตาม นักลงทุนก็ได้ปันผลชดเชยที่ดีพอสมควร


และหุ้นช้างตัวสุดท้ายซึ่งสร้างผลงานโดดเด่นเป็นซุปเปอร์หุ้นแห่งปีอีกตัวหนึ่งก็คือหุ้นของบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือใหญ่ที่สุดของประเทศซึ่งก่อนหน้านี้หุ้นนิ่งอยู่พักใหญ่ ได้ปรับตัวขึ้นอย่างมหาศาลจากราคา 66 บาท เป็น 98 บาทต่อหุ้น และให้ผลตอบแทนถึง 48.5% และถือเป็นแชมป์หุ้นช้างที่ เต้นระบำ ได้สุดยอดในรอบปีนี้


เฉลี่ยแล้ว ถ้าลงทุนในหุ้นช้างทั้ง 12 เชือกด้วยเม็ดเงินเท่า ๆ กัน ภายในเวลาหนึ่งปีจะให้ผลตอบแทนโดยเฉลี่ยถึง 12.86% ไม่นับปันผลซึ่งน่าจะได้ประมาณ 3% ในขณะที่ผลตอบแทนจากตลาดหุ้นนั้น ดัชนีตลาดปรับตัวลดลงจาก 664.36 เป็น 648.78 หรือลดลง 2.35% ไม่นับรวมปันผลประมาณ 2-3% เช่นเดียวกัน ความแตกต่างของผลตอบแทนก็คือ 15.21% ผลตอบแทนของหุ้นช้าง 12 ตัว ซึ่งเป็นหุ้นขนาดใหญ่ที่สุดในตลาดหลักทรัพย์แต่สามารถเอาชนะตลาดได้ถึง 15.21% ในหนึ่งปีนั้น

ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจพอสมควร และผมคิดว่าไม่ใช่เป็นเรื่องง่ายที่จะเกิดขึ้นได้บ่อย ๆ เพราะการถือหุ้นขนาดใหญ่ 12 ตัว โดยทางทฤษฎีนั้นมักจะให้ผลตอบแทนเฉลี่ยกันไปและจะใกล้เคียงกับผลตอบแทนของตลาดอย่างที่เรามักเห็นจากผลตอบแทนของกองทุนรวมส่วนใหญ่
ลงทุนเพื่อชีวิต
ภาพประจำตัวสมาชิก
thaloengsak
Verified User
โพสต์: 2716
ผู้ติดตาม: 1

Re: บทความของดร.นิเวศน์ กันยายน 2554

โพสต์ที่ 7

โพสต์

นายรู้แล้ว!
ม้าเฉียว 16/02/2005

นายรู้แล้ว เป็นนักลงทุนหน้าใหม่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งสยามประเทศ เขาศึกษาเรื่องการลงทุนมาไม่น้อย และคิดว่าเขาพร้อมแล้วที่จะท่องยุทธภพ แม้หลายคนจะเตือนเสมอว่า สมรภูมิแห่งนี้มีเพียง 10%เท่านั้นที่เป็นผู้ชนะ ทั้งๆที่เขามีโอกาสที่ชนะเพียง 10% หรือน้อยกว่านั้น แต่เขาก็ไม่รู้สึกกลัวแม้แต่น้อย เขากลับยิ้ม และเฝ้าฝันว่าเขากำลังจะรวยแล้ว เพราะเขาแข็งแรงมากพอที่จะชนะตลาดได้ เขาศึกษามาดีแล้ว ไม่เช่นนั้นจะได้ชื่อว่า นายรู้แล้ว ได้อย่างไรกัน

นายรู้แล้ว เริ่มลงทุนอย่างสนุสนาน แต่เขาแพ้ เขาขาดทุนกว่าครึ่งพอร์ต แต่เขายังยิ้มอยู่ และบอกกับตัวเองว่า โอ่ย! มันเป็นต้นทุนของการเรียนรู้ เขาอาจจะศึกษามามาก แต่เพราะเขายังขาดประสบการณ์ไง ถึงได้ขาดทุน อย่าคิดมากMoney comes and money goes ต่อไปนี้เขาต้องชนะบ้างแล้วหละ เขาต้องหาอาวุธมาเพิ่มอีก เท่าที่มีอยู่ตอนนี้มันไม่พอ เขาฮึดสู้ใหม่ พร้อมทั้งเปลี่ยนชื่อเป็น นายเจ็บพอแล้ว เพื่อเอาฤกษ์เอาชัย

นายเจ็บพอแล้ว เริ่มลงทุนอีกครั้งด้วยแนวทางต่างๆเท่าที่มีการคิดค้นกันขึ้นมาได้ในโลก ลองใช้เทคนิคสารพัดของบรรดาเซียนต่างๆ เทคนิคหรือวิธีไหนไม่ได้ผลก็เปลี่ยน เปลี่ยนไปเรื่อยๆ พยายามพูดคุยกับเพื่อนนักลงทุนด้วยกัน ว่าวิธีหรือเทคนิคไหนที่ใช้แล้วสำเร็จบ้าง ก็ลองใช้ตามเค้าดู ไม่ว่าจะเป็นสายเพลงทวน หอก กระบองที่เก่งอาวุธยาว สายเพลงกระบี่ ดาบ มีดบิน ที่ชำนาญอาวุธสั้น รวมทั้งสายการต่อสู่ด้วยอาวุธลับต่างๆ เป็นเช่นนั้นอยู่นานหลายปี แต่สุดท้ายเขาก็ยังขาดทุนเหมือนเดิม ร่างกายบอบช้ำไปทั่ว เลือดลมแตกซ่าน เขาเริ่มโกรธ และหงุดหงิด ฉันทำบ้าอะไรอยู่นี่ มันผิดพลาดตรงไหน What the hell am I doing? นายเจ็บพอแล้ว สบถกับตัวเอง

นายเจ็บพอแล้ว ตัดสินใจขอเวลานอกจากผู้คุมกฎ (Mr. Market) เพื่อนั่งพินิจพิเคราะห์เรื่องราวต่างๆอยู่นานปี แล้วต่อมใต้สมองและไขสันหลังของเค้าก็กระซิบบอกว่า เทคนิควิธีการในการลงทุนต่างๆที่เจ้าลองใช้มาทั้งหมดนั้น มันไม่ได้ฆ่าเจ้าหรอก เจ้าต่างหากที่ฆ่าตัวเอง เจ้านะเหมือนนักรบที่เรียนรู้วิชาการต่อสู้มานับไม่ถ้วน แต่ละเลยที่จะเรียนรู้ตัวเอง ออกศึกด้วยอาวุธเป็นพันๆชิ้น แถมยังรู้ดีว่าควรใช้อาวุธชนิดไหนในสถานการณ์ใด เจ้าคิดว่าเจ้าไม่ใช่นายหมูที่จะให้ใครๆมาเชือดง่าย ไม่ใช่นายแมงเม่าที่จะให้ใครล่อลวงได้ แต่สิ่งที่ขาดหายไปคือ เจ้าไม่เคยเรียนรู้ตัวเอง มันทำให้เจ้าขาดเพลงดาบของตัวเอง เมื่อไม่มีเพลงดาบของตัวเอง เจ้าจะมีความเคารพนับถือในตัวเองได้อย่างไร เรียกร้องเท่าไหร่ ชัยชนะคงจะไม่มาหาหรอก ทันใดนั้น หลอดไฟก็ปรากฎอยู่เหนือหัวของเขา ตอนนี้ฉันคือ นายรู้แจ้ง ฮ่า ฮ่า ฮ่า
ลงทุนเพื่อชีวิต
ภาพประจำตัวสมาชิก
thaloengsak
Verified User
โพสต์: 2716
ผู้ติดตาม: 1

Re: บทความของดร.นิเวศน์ กันยายน 2554

โพสต์ที่ 8

โพสต์

จากหนังสือ : ถ้ามีเพียง ๑๐๐ คนบนโลกนี้ (If the world were a village of 100 people)

ถ้าวันนี้เป็นวันที่คุณรู้สึกแย่เอามากๆ
ลองอ่านเรื่องนี้ดูแล้วคุณอาจจะมองสภาพรอบตัวเปลี่ยนไป

ถ้าเอาข้อมูลของประชากรทั่วโลกมาย่อย่นลง
เปรียบโลกเป็นเหมือนหมู่บ้านของคน ๑๐๐ คน จะเป็นอย่างไร
ที่หมู่บ้านนี้จะมี
๕๗ คนเป็นคนเอเชีย
๒๑ คนเป็นคนยุโรป
๑๔ คนเป็นคนอเมริกาเหนือและใต้
๘ คนเป็นแอฟริกา

๕๒ คนเป็นผู้หญิง
๔๘ คนเป็นผู้ชาย

๗๐ คนไม่ใช่คนผิวขาว
๓๐ คนเป็นคนผิวขาว

๗๐ คนนับถือศาสนาอื่นนอกเหนือจากศาสนาคริสต์
๓๐ คนนับถือศาสนาคริสต์

๘๙ คนเป็นรักต่างเพศ
๑๑ คนเป็นรักร่วมเพศ

คน ๖ คนถือครองทรัพย์สิน ๕๙ เปอร์เซ็นต์ ของโลก
ทั้ง ๖ คนนั้นเป็นคนสัญชาติอเมริกา
๘๐ คนอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ต่ำกว่ามาตรฐาน
๗๐ คนอ่านหนังสือไม่ออก
๕๐ คนทุกข์ทรมานด้วยโรคขาดสารอาหาร
๑ คนอยู่ในสภาพร่อแร่ใกล้ตาย
ในขณะเดียวกัน อีก ๑ ชีวิตก็กำลังจะเกิดมา
มีเพียงคนเดียว (ใช่แล้ว คนเดียวเท่านั้น) ที่เรียนถึงระดับมหาวิทยาลัย
และมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่มีคอมพิวเตอร์ใช้

เมื่อได้มองโลกจากภาพย่อเช่นนี้
คงจะทำให้เรายอมรับคนอื่น
เข้าใจคนที่แตกต่างไปจากเรา
และคงตระหนักดีถึงความสำคัญของการศึกษา
ในการที่จะเรียนรู้และรับรู้ความเป็นจริง

หรือ มาลองคิดจากมุมมองอื่น

ถ้าเช้านี้คุณตื่นขึ้นมา และรู้สึกว่าตัวเองแข็งแรงดี
ก็เรียกได้ว่าคุณโชคดีกว่าคนอีก ๑ ล้านคน
ที่ภายในอาทิตย์นี้ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่รอดหรือไม่

ถ้าคุณไม่เคยรู้สึกถึงอันตรายจากการสู้รบ การสงคราม
ความทุกข์ทรมาน ความเปลี่ยวเปล่าจากการถูกกักขัง
ความทรมานจากความหิวโหย
ก็เรียกได้ว่า คุณยังดีกว่าคนอีก ๕๐๐ ล้านคน

ถ้าคุณไม่ตกอยู่ในความหวาดกลัวต่อความตาย
ไม่ถูกจับกุม หรือถูกทรมาน สามารถไปทำพิธีในโบสถ์ได้
ก็เรียกได้ว่า คุณยังดีกว่าคนอีก ๓,๐๐๐ ล้านคน

ถ้าคุณมีอาหารเก็บในตู้เย็น มีเสื้อผ้าใส่
มีหลังคาคุ้มหัว มีที่นอน
ก็เรียกได้ว่า คุณมีความเป็นอยู่สุขสบายกว่าคนอีก ๗๕ เปอร์เซ็นต์ ในโลก

ถ้าคุณมีเงินฝากในธนาคาร มีเงินเหลือในกระเป๋าสตางค์
มีเงินวางอยู่ในบ้านที่ไหนสักแห่ง
ก็เรียกได้ว่า คุณมีฐานะดี อยู่ในกลุ่ม ๘ เปอร์เซ็นต์
ของผู้ที่มั่งมีที่สุดในโลก

ถ้าพ่อแม่ของคุณยังแข็งแรง และทั้งสองยังอยู่ด้วยกัน
ต้องเรียกได้ว่าเป็นเรื่องหาได้ยากทีเดียว
ถ้าคุณได้อ่านเรื่องนี้ ต้องเรียกได้ว่า ณ ช่วงเวลานี้
คุณน่าจะเป็นผู้ที่มีความสุขสองเท่า
เพราะ มีคนคิดถึงคุณและส่งข้อความนี้มาให้คุณ
นอกจากนั้น คุณก็ยังดีกว่าคนอีก ๒,๐๐๐ ล้านคนในโลกที่อ่านหนังสือไม่ออก

คนโบราณเคยกล่าวไว้ว่า
คุณทำสิ่งใดก็จะได้รับสิ่ง นั้นตอบสนอง

เพราะฉะนั้น ...................

จงทำงานโดยไม่คำนึงถึงแต่เงิน
จงรักผู้คนรอบตัว เสมือนหนึ่งไม่เคย
ลงทุนเพื่อชีวิต
ภาพประจำตัวสมาชิก
thaloengsak
Verified User
โพสต์: 2716
ผู้ติดตาม: 1

Re: บทความของดร.นิเวศน์ กันยายน 2554

โพสต์ที่ 9

โพสต์

เลียนแบบดารา โดย ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

ในฐานะของนักลงทุนโดยชีวิตจิตใจ ผมอ่านหนังสือและเรื่องราวที่เกี่ยวกับการลงทุนแบบ Value Investment ทุกชนิด ความรู้ที่ผมได้นอกจากเรื่องของหลักการและกลยุทธ์การลงทุนต่าง ๆ แล้ว สิ่งสำคัญไม่น้อยไปกว่ากันก็คือตัวหุ้นที่ปรากฎขึ้นมาซึ่งสำหรับผมมันเหมือนกับตัวละครที่แสดงบทบาทอย่างน้อยก็ฉากหนึ่งใน ละครโรงใหญ่ ที่เรียกว่าตลาดหุ้นนิวยอร์ค ซึ่งผมสามารถเรียนรู้และนำมาใช้กับการลงทุนของตนเองใน ละครโรงเล็ก ที่เรียกว่าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

หุ้นบางตัวปรากฎขึ้นมาในประวัติศาสตร์เสร็จแล้วก็หายไป ธุรกิจทั้งหมดเสื่อมลง ตัวอย่างที่โดดเด่นมากก็คือธุรกิจสิ่งทอในสหรัฐซึ่งละครตัวเอก แน่นอน คือหุ้นเบอร์กไชร์ของวอเร็นบัฟเฟตต์ ซึ่งเคยเป็นบริษัทสิ่งทอที่ยิ่งใหญ่แต่ในที่สุดก็ต้องเลิกธุรกิจ เหลือแต่กิจการอื่น ๆ ที่กลายเป็นดาราที่ยังโดดเด่นอยู่จนถึงทุกวันนี้

บทเรียนเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ธุรกิจ ตะวันตกดิน อย่างสิ่งทอนั้น ในระยะยาวแล้วเป็นเรื่องยากที่จะดำรงอยู่แม้ว่าบริษัทจะแข็งแกร่ง มีกำไรและมีเงินสดมากมาย ความหวังที่จะได้ผลตอบแทนดีเยี่ยมในระยะยาวนั้นอาจจะไม่ประสบผล ไม่ต้องคิดถึงว่าจะกลายเป็นซุปเปอร์สต็อค

หุ้นบางตัวทำกำไรให้กับนักลงทุนมหาศาลที่กล้าเข้าไปลงทุนในยามที่บริษัทมีปัญหาหนักและราคาตกต่ำลงไปมากแต่ในที่สุดบริษัทก็ฟื้นตัวกลับมาแข็งแรงอย่างเดิมได้ ตัวอย่างของกรณีนี้มีทั้งที่เป็นหุ้นวัฏจักร์และหุ้นสุดยอดแบบซุปเปอร์สต็อคที่ประสบปัญหาร้ายแรงครั้งเดียวที่แก้ไขได้

ตัวอย่างของหุ้นวัฏจักร์ที่โดดเด่นมากก็คือหุ้นของบริษัทไคลซเลอร์ที่ปีเตอร์ลินช์เข้าไปซื้อลงทุนในยามที่บริษัทขาดทุนอย่างหนักเนื่องจากเศรษฐกิจตกต่ำทำให้ยอดขายรถยนต์ลดลงและไคลซเลอร์มีปัญหาเกือบล้มละลายแต่ในที่สุดบริษัทก็รอดจากความช่วยเหลือจากรัฐบาลและการฟื้นตัวของอุตสาหกรรม ซึ่งทำให้ลินช์กำไรมหาศาลติดต่อกันหลายปีจากหุ้นตัวนี้ และน่าจะมีส่วนไม่น้อยที่ทำให้ปีเตอร์ลินช์กลายเป็นสุดยอดนักบริหารกองทุนของอเมริกา

เช่นเดียวกันกับหุ้นอเมริกันเอ็กซเพรส บริษัทบัตรเครดิตระดับโลกที่วอเร็นบัฟเฟตต์เข้าไปซื้อลงทุนในช่วงที่บริษัทมีปัญหาจากการฉ้อฉลที่ฉาวโฉ่เกี่ยวกับน้ำมันสลัดที่ไม่เกี่ยวกับธุรกิจหลักเลยแต่ทำให้บริษัทซวนเซและราคาหุ้นตกลงมามหาศาลและเป็นโอกาสทองของ Value Investor

ส่วนตัวผมเองนั้น ผมชอบหุ้นที่เป็นดาราระดับซุปเปอร์สตาร์ ซึ่งจะมีโอกาสเติบโตไปเรื่อยจนมีขนาดใหญ่โตและทำเงินให้กับผู้ถือหุ้นมหาศาลและหลายคนติดอันดับเป็นเศรษฐีระดับโลก

ตัวอย่างหุ้นเหล่านี้เช่น หุ้นไมโครซอฟท์หรือหุ้นอินเทล ซึ่งเป็นหุ้นของบริษัทไฮเท็คที่ผมได้แต่รับรู้แต่ยังหาธุรกิจในเมืองไทยที่มีคุณสมบัติแบบเดียวกันไม่ได้ แต่หุ้นอย่างวอลมาร์ทหรือโฮมดีโป ซึ่งเป็นหุ้นดิสเค้าท์สโตร์สินค้าของใช้ประจำวันและสินค้าเกี่ยวกับการซ่อมสร้างบ้านซึ่งเป็นหุ้นที่เติบโตมหาศาลจนกลายเป็นบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลกบริษัทหนึ่งนั้น ผมคิดว่าเราอาจจะมีโอกาสลงทุนในบริษัททำนองเดียวกันได้ในตลาดหุ้นไทย

หุ้นหลาย ๆ ตัวในพอร์ตที่บัฟเฟตต์และปีเตอร์ลินช์มีหรือเคยมีก็เป็นสิ่งที่ผมสนใจศึกษาและนำมาประยุกต์ใช้ในการหาหุ้นในตลาดไทยเช่นกันเพราะผมเชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นที่ ละครโรงใหญ่ หลายเรื่องน่าจะเกิดขึ้นได้เหมือนกันที่ ละครโรงเล็ก ในวันหลัง ไม่ช้าก็เร็ว

ตัวอย่างของหุ้นที่ปรากฎขึ้นในพอร์ตของเซียนทั้งคู่นั้น แน่นอน มีมากมายหลากหลาย และน่าทึ่งว่าจำนวนมากเป็นหุ้น ธรรมดา ที่ไม่ได้ร้อนแรง ไม่ได้โตเร็ว และหลายตัวก็เป็นบริษัทหรือกิจการ โลว์เท็ค ที่ดูเหมือนว่าจะไม่น่าสนใจเลย เช่น กิจการสิ่งพิมพ์และหนังสือพิมพ์ ร้านขายเฟอร์นิเจอร์และรองเท้า บริษัทขายอาหารฟาสต์ฟูดและน้ำอัดลม กิจการโรงแรมและรับจัดงานศพ

การหาหุ้นในตลาดไทยที่มีโอกาส เลียนแบบดารา นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะแม้ว่าบริษัทจะทำธุรกิจแบบเดียวกัน มีผลการดำเนินงานและประวัติในระยะสั้น ๆ ในช่วงต้นคล้ายคลึงกัน แต่สภาพแวดล้อมของอเมริกาก็แตกต่างกับของไทยมาก ดังนั้นการวิเคราะห์อย่างถี่ถ้วนจึงเป็นสิ่งจำเป็น และความหวังที่เริดหรูจะต้องถูกปรับลงให้ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากขึ้น ถึงอย่างไรน้องกบของเราก็ไม่มีทางทำรายได้ในการแสดงหนังเท่ากับจูเลียโรเบิร์ท เช่นเดียวกันอย่าหวังที่หุ้นในตลาดไทยจะทำเงินเหมือนกับหุ้นในอเมริกา
ลงทุนเพื่อชีวิต
ภาพประจำตัวสมาชิก
thaloengsak
Verified User
โพสต์: 2716
ผู้ติดตาม: 1

Re: บทความของดร.นิเวศน์ กันยายน 2554

โพสต์ที่ 10

โพสต์

ดัง 15 นาที

แอนดี้ วอร์ฮอล ศิลปินป็อปอาร์ตชื่อดังเคยพูดไว้ว่า ในช่วงชีวิตของคนเรานั้น ทุกคนมีโอกาสดังอย่างน้อย 15 นาที เขาพูดเรื่องนี้ในมุขตลก แต่ผมคิดว่าเป็นคำกล่าวที่คลาสสิคและมีความเป็นจริงอยู่มาก

ผู้หญิงคนหนึ่งทำธุรกิจค้าขายเล็ก ๆ ไม่มีคนรู้จัก วันหนึ่งก็ดังไปทั่วประเทศและออกไปทั่วโลกด้วยเมื่อเธอทุบรถที่เพิ่งซื้อมาแล้วมีปัญหาไม่สิ้นสุด เธอดังเกิน 15 นาที แต่ก็ไม่กี่วัน ตอนนี้ผมจำชื่อเธอไม่ได้แล้วและเธอก็คงจะกลับไปใช้ชีวิตปกติ โอกาสที่จะกลับมาดังต่อเนื่องนั้นไม่ต้องพูดถึง

นักร้อง นักแสดง เป็นร้อยเป็นพัน มีผลงานร้องเพลง 1-2 อัลบัม หรือแสดงหนังเพียงไม่กี่เรื่องแล้วก็หายหน้าหายตาไป นี่ก็บรรลุสิ่งที่แอนดี้ วอร์ฮอลพูดแล้ว คือดัง 15 นาที ประเด็นก็คือ เขาเหล่านั้นอาจจะยังไม่โดดเด่นจริง แต่ด้วยสถานการณ์และความนิยมบางอย่างมาประจวบกับความพร้อมและความเหมาะสมของเขาทำให้เขาดังขึ้นมาได้ในช่วงเวลาหนึ่ง

แต่สำหรับนักร้องหรือดาราอย่างเบิร์ดนั้น ความดังไม่ได้อยู่เพียง 15 นาที แต่เป็น 15 ปี และมากกว่านั้น และแม้ว่าในบางช่วงจะเงียบลงไปบ้างและบางคนเริ่มพูดว่าหมดสมัย แต่แล้วเบิร์ดก็กลับมาดังอีก เป็นอย่างนี้มาหลายครั้ง นี่คือคนที่มีความสามารถโดดเด่นจริง ๆ และความดังไม่ได้ขึ้นอยู่กับโชคหรือสถานการณ์เฉพาะบางอย่างที่ทำให้คนบางคนดังขึ้นมาได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ

มีอยู่ตลอดเวลาที่คนบางคนดังเป็นข่าวพาดหัวหน้าหนึ่งเพราะถูกล็อตเตอรี่ได้เงินเป็นสิบล้านบาทหรือจับฉลากเปิดฝาจุกชาเขียวได้เงินเป็นล้าน พวกเขาดังและได้เงินกลายเป็นเศรษฐีย่อย ๆ เป็นเวลา 15นาที หลังจากนั้นผมไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร รู้แต่ว่าหลายคนก็ใช้หมดไปและโอกาสที่จะหาเงินเป็นล้านได้อีกก็ไม่ต้องพูดถึง แต่สำหรับอาจารย์สุวรรณซึ่งเป็นนักกฎหมายภาษีชื่อดังจากฮาร์วาร์ดนั้น การทำเงินเป็นล้านเดือนแล้วเดือนเล่าปีแล้วปีเล่านั้นเป็นสิ่งที่แน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัย

เรื่องของความดัง 15 นาทีนี้ ผมคิดว่าไม่ใช่เฉพาะกับคนแต่เกิดขึ้นกับหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ด้วย ว่าที่จริงการที่หุ้นทุกตัวจะมีโอกาส ดัง15 นาที นั้น ผมคิดว่ามีสูงยิ่งกว่าคนเสียอีก เพียงแต่ว่านิยามของความดังนั้นผมอยากจะเปลี่ยนให้เป็นเรื่องของการทำเงินให้กับผู้ถือหุ้น พูดให้เข้าใจง่ายก็คือ หุ้นทุกตัวเมื่อเข้ามาจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์นั้น ไม่ว่าจะอยู่ในอุตสาหกรรมไหน บริษัทมีกำไรมากน้อยแค่ไหน ฐานะการเงินเป็นอย่างไร ผู้บริหารมีฝีมือหรือมีบรรษัทภิบาลเป็นอย่างไร ก็มีโอกาสที่คนบางคนที่เข้าไปซื้อหุ้นแล้วทำกำไรได้อย่างน่าประทับใจอย่างน้อยก็ช่วงหนึ่งหรือ 15 นาทีนั้นจะมีเสมอ

ในประสบการณ์ที่อยู่กับตลาดหุ้นมานาน ผมเจอหุ้นที่ราคาปรับตัวขึ้นโดดเด่นเพราะเหตุผลบางอย่าง ในบางช่วงเวลา บางทีก็สั้น ๆ เพียงไม่กี่วัน ส่วนใหญ่ก็ไม่กี่เดือน และบางตัวก็ไม่กี่ปีอยู่ตลอดเวลา ในช่วงที่กำลังดังนั้น บางตัวก็ดังหรือหุ้นปรับตัวขึ้นไม่มาก แต่บางตัวก็ดังระเบิด นักลงทุนกล่าวขวัญกันมาก นักวิเคราะห์ต่างก็ออกบทวิจัยแนะนำให้ซื้อกันทุกสำนัก หุ้นขึ้นไปเป็นสิบเท่าภายในเวลาไม่กี่เดือนก็มี นักเล่นหุ้นที่เข้าไปร่วม มหกรรม ต่างก็ร่ำรวยกันทั่วหน้า แต่แล้วเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป โชคชะตาแปรผัน หรือว่าที่จริงก็คือกลับมาอยู่ในสภาวะปกติ หุ้นเหล่านั้นก็มักจะถอยกลับไปที่เดิมซึ่งทำให้คนที่ มาสาย ขาดทุนเป็นจำนวนมาก ในไม่ช้าคนส่วนมากก็จะลืมว่าครั้งหนึ่งหุ้นตัวนั้นเคย ดังระเบิด มาแล้ว

ตรงกันข้าม หุ้นหลายตัว ซึ่งก็คงคล้าย ๆ กับคุณเบิร์ดหรืออาจารย์สุวรรณนั้นมีความสามารถหรือมีคุณสมบัติโดดเด่นในตัวเอง หุ้นเหล่านี้เป็นของบริษัทที่มีความสามารถในการทำกำไรสูง ฐานะการเงินเข้มแข็ง ผลิตภัณฑ์มีความเข้มแข็งทางการตลาดไม่ว่าจะโดยเครื่องหมายการค้าหรืออำนาจผูกขาดอย่างอื่น มีผู้บริหารที่มีความสามารถสูงและมีบรรษัทภิบาลที่ดี กิจการหลายอย่างมีการเติบโตสูงกว่าปกติมาก ทั้งหมดนี้ทำให้หุ้นเหล่านั้นโดดเด่นอยู่ได้ยาวนาน แม้ว่าบางช่วงบางเวลาอาจจะซบเซาลงบ้างด้วยเหตุผลหรือสภาพแวดล้อมบางอย่าง แต่ในระยะยาวแล้วพร้อมจะ ดัง ได้เสมอ

นักลงทุนที่จะประสบความสำเร็จได้นั้น ผมคิดว่าจำเป็นที่จะต้องรู้ว่าหุ้นตัวไหนเป็นประเภทหุ้นดัง 15 นาที และหุ้นตัวไหนเป็นหุ้นที่ดังเพราะเป็นกิจการที่โดดเด่น แน่นอน นักลงทุนมีโอกาสรวยได้ในหุ้นทั้งสองแบบ แต่สำหรับผมแล้ว ผมชอบ ถือหาง บริษัทที่ดังเพราะ เก่ง มากกว่าดังเพราะ เฮง ครับ
ลงทุนเพื่อชีวิต
ภาพประจำตัวสมาชิก
thaloengsak
Verified User
โพสต์: 2716
ผู้ติดตาม: 1

Re: บทความของดร.นิเวศน์ กันยายน 2554

โพสต์ที่ 11

โพสต์

รวบรวมบทความเก่าของดร.นิเวศน์ และท่านอื่นที่น่าสนใจ

การวิเคราะห์เลือกหุ้นที่จะลงทุนนั้นจำเป็นที่จะต้องดูอย่างถี่ถ้วนและมองยาวเป็นสิบปีขึ้นไป ว่าที่จริงควรดูตลอดชีวิตโดยเฉพาะในเรื่องใหญ่ที่จะมีผลกระทบทางลบต่อฐานะการเงินและผลการดำเนินงานของบริษัท

ผมเองไม่ใคร่ใส่ใจกับเรื่องที่ อาจ จะเกิดขึ้นหรือเป็นเรื่องที่ คาด ว่าจะเป็นไป เพราะสิ่งเหล่านั้นอาจจะไม่เกิดขึ้น และถ้าหากว่าเกิดขึ้นส่วนใหญ่ก็ไม่เหมือนอย่างที่คาด ผลกระทบก็ไม่แน่นอน ดังนั้นจะไปคิดทำไมให้ปวดหัว

สิ่งที่ต้องระวังมากที่สุดก็คือ เรื่องที่จะต้องเกิดขึ้น หรือมีโอกาสเกิดขึ้นสูง และเมื่อเกิดแล้วจะมีผลกระทบรุนแรงต่อบริษัทซึ่งบ่อยครั้งก็วัดเป็นเม็ดเงินได้แน่นอน สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่บริษัทรู้อยู่แล้ว หลาย ๆ เรื่องเป็นสิ่งที่บริษัททำขึ้นมาเอง เวลาที่จะเกิดเหตุการณ์นั้นก็มีการกำหนดหรือรู้กันเป็นที่แน่ชัด พูดไปแล้วก็เหมือนกับระเบิดเวลาที่ตั้งเวลากันไว้เรียบร้อยแล้ว เข็มนาฬิกาเดินถึงเมื่อไรก็จะระเบิดเมื่อนั้น

แต่เรื่องทั้งหมดนี้ นักลงทุนที่ไม่รอบคอบอาจจะไม่รู้ เพราะไม่มีใครติดป้ายบอกว่าหุ้นตัวนั้นมีระเบิดเวลาติดอยู่ นักวิเคราะห์เอง บ่อยครั้งก็ไม่สนใจที่จะเตือน เพราะเวลาที่ตั้งเอาไว้ยังอีกนานกว่าจะถึง หลายคนรู้ว่ามันเป็นระเบิดเวลาแต่เป็นสิ่งที่บริษัทรับได้ หรือบางคนก็ไม่คิดหรือไม่รู้ว่ามันเป็นระเบิด เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ไม่มีใครสนใจเรื่องที่ยังไม่เกิดในอีก 1-2 ไตรมาศหรือแม้แต่ในอีก 1 ปีข้างหน้า

ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร Value Investor ควรจะต้องรู้และตระหนักว่าบริษัทที่ตนเองสนใจนั้นมีระเบิดเวลาติดไว้หรือไม่ และผลกระทบเป็นอย่างไร เพื่อที่จะได้วิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างไม่ผิดพลาด และต่อไปนี้คือระเบิดเวลาที่จะต้องระวัง

ระเบิดเวลาชุดแรกที่ผมเห็นว่ามีพลังทำลายสูง เกิดขึ้นแน่นอน และบริษัทใหญ่ ๆ หลายแห่งในตลาดกำลังจะต้องเจอในเร็ว ๆ นี้ก็คือเรื่องภาษีนิติบุคคลหรือภาษีที่จะต้องจ่ายเมื่อบริษัทมีกำไร นี่คือบริษัทที่ได้รับการยกเว้นภาษีนิติบุคคลในปัจจุบันด้วยเหตุที่ว่าบริษัทมีขาดทุนสะสมที่เกิดตั้งแต่ช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ แต่ขณะนี้ขาดทุนสะสมใกล้หมดแล้ว และในไม่ช้าก็จะต้องกลับมาเสียภาษี 25-30% ตามปกติ

การที่กำไรจะถูกปรับลดลงถึง 30% จากการต้องเสียภาษีนั้น ผมเห็นว่าเป็นเรื่องรุนแรงมาก เพราะโดยเฉลี่ยถ้าสมมุติว่ากิจการเติบโตปีละประมาณ 10% ซึ่งเป็นอัตราเฉลี่ยของตลาด บริษัทก็จะต้องใช้เวลาถึง 3 ปีกว่าที่กำไรจะกลับมาเท่าเดิม เพราะฉะนั้น ถ้าคุณซื้อหุ้นวันนี้ในราคาที่คิดว่าเหมาะสมกับพื้นฐานของกิจการ แต่ลืมไปว่าตั้งแต่ปีหน้าบริษัทจะต้องจ่ายภาษีนิติบุคคล เวลาของการลงทุนอันมีค่าของคุณก็จะหายไป 3 ปี สำหรับนักลงทุนระยะยาวที่ลงทุนเพื่อหวังการเติบโตของบริษัท นี่เป็นความเจ็บปวดที่สาหัสมาก

ระเบิดเวลาที่ร้ายแรงไม่น้อยไปกว่าเรื่องของภาษีก็คือวอแรนต์ของบริษัทซึ่งออกกันมาแพร่หลายมากนับได้ถึง 70 กว่าแห่งจาก 400 กว่าแห่งที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ การที่วอแรนต์ถูกนับให้เป็นระเบิดเวลาก็เพราะว่าเมื่อวอแรนต์ถูกใช้สิทธิในอนาคตก็จะกลายเป็นหุ้นที่จะเข้ามาเฉลี่ยกำไรของบริษัท ทำให้กำไรต่อหุ้นลดลง และเนื่องจากวอแรนต์ที่ออกมาส่วนใหญ่จะออกกันมากคิดเป็น 25% หรือมากกว่าของหุ้นเดิมทั้งหมด เพราะฉะนั้นวันที่วอแรนต์หมดอายุและถูกใช้สิทธิ กำไรต่อหุ้นของบริษัทก็จะลดลงไปไม่น้อยกว่า 25-30% ดังนั้น ผลกระทบของระเบิดเวลาวอแรนต์จึงน่าจะรุนแรงไม่น้อยไปกว่าเรื่องของภาษีนิติบุคคล

ระเบิดเวลาอีกชุดหนึ่งที่มีผลรุนแรงแต่ระยะเวลาที่ตั้งไว้ค่อนข้างนานทำให้ผลกระทบในวันนี้อาจจะยังไม่ค่อยรู้สึกนัก และบางคนก็อาจจะมองว่าสถานการณ์อาจจะเปลี่ยนไปก่อนที่จะถึงเวลาระเบิดก็คือกิจการที่ได้รับสัมปทานทั้งหลาย เหตุผลก็คือ ประเทศไทยกำลังเปิดเสรีในกิจการควบคุมทั้งหลาย และสัมปทานหลาย ๆ เรื่องกำลังจะถูกเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ผู้ได้รับสัมปทานกำลังจะกลายเป็นผู้ประกอบการที่ได้รับใบอนุญาตเหมือนกับธุรกิจปกติ แต่การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นสิ่งที่เราไม่สามารถคาดได้ว่าภาพของบริษัทจะเป็นอย่างไร

ในความรู้สึกของผม การแปรสัญญาสัมปทานต่าง ๆ ก็เหมือนกับการร่นระยะเวลาของระเบิดที่ตั้งไว้ลงมาเร็วขึ้น ในเวลาเดียวกัน สิ่งที่ไม่รู้ก็คือ ไดนาไมต์ที่ใส่ไว้จะถูกลดลงมามากน้อยแค่ไหน นี่เป็นสิ่งที่คาดเดาได้ยาก และทำให้การลงทุนระยะยาวในหุ้นเหล่านี้เป็นความเสี่ยง

ระเบิดเวลาชุดที่เล็กลงมาหน่อยก็คือบริษัทเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ซึ่งรวมถึงโรงแรมที่เช่าที่ดิน และ/หรือ อาคารของคนอื่นในการทำธุรกิจ

เหตุที่การเช่าทรัพย์สินที่มีเวลาแน่นอนนี้เป็นระเบิดเวลาก็เพราะว่าหลาย ๆ บริษัทที่เช่านั้นได้ทำสัญญาเช่ามานานแล้วในอัตราค่าเช่าที่ต่ำมาก ทำให้กิจการมีกำไรค่อนข้างสูงจากทรัพย์สิน แต่ในวันที่หมดสัญญาเช่า ค่าเช่าก็จะถูกปรับขึ้นมาเป็นราคาตลาดซึ่งจะทำให้กำไรของบริษัทหดหายไปมาก

ระเบิดเวลาแบบอื่น ๆ ที่เจอบ่อยพอสมควรก็คือ กิจการที่ธุรกิจส่วนใหญ่ได้รับการยกเว้นภาษีนิติบุคคลจาก BOI ซึ่งจะมีระยะเวลายกเว้นภาษีแน่นอน เพราะฉะนั้นในวันที่บริษัทจะต้องจ่ายภาษีก็คือวันที่จะเกิดระเบิดและกำไรของกิจการลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

บริษัทที่ผ่านการปรับโครงสร้างหนี้ก็เป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่ต้องศึกษาอย่างรอบคอบ เพราะในกระบวนการปรับโครงสร้างหนี้นั้น อาจจะมีการติดระเบิดเวลาเอาไว้ได้หลายลูก เช่น มีการออกวอแรนต์จำนวนมากให้กับผู้ถือหุ้นหรือเจ้าของ หรืออาจมีการออกหุ้นกู้ที่ให้สิทธิคนถือแปลงสภาพเป็นหุ้นได้ในภายหลัง นอกจากนั้น บริษัทส่วนใหญ่ก็มีขาดทุนสะสมอยู่มากและไม่ต้องเสียภาษีนิติบุคคลซึ่งจะกลายเป็นระเบิดเวลาเมื่อบริษัทเริ่มฟื้นตัวและมีกำไร กระบวนการปรับโครงสร้างหนี้เอง บ่อยครั้งเจ้าหนี้ก็ลดดอกเบี้ยให้ในช่วงแรก ๆ แต่หลังจากถึงเวลาที่กำหนด บริษัทก็จะต้องจ่ายดอกเบี้ยปกติซึ่งก็จะกลายเป็นระเบิดเวลาอีกลูกหนึ่ง ว่าไปแล้ว บริษัทที่ผ่านการปรับโครงสร้างหนี้และกำลังฟื้นตัวและราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปสูงมากนั้น บางตัวอาจจะมีความเสี่ยงสูงมาก เพราะอาจจะพ่วงระเบิดเวลามาด้วยหลายลูก

และทั้งหมดนี้ก็คือระเบิดเวลาที่ Value Investor จะต้องรู้และคิดคำนวณเผื่อเอาไว้ด้วยเวลาจะลงทุนในหุ้นที่ พกระเบิดเวลามาด้วย
ลงทุนเพื่อชีวิต
ภาพประจำตัวสมาชิก
thaloengsak
Verified User
โพสต์: 2716
ผู้ติดตาม: 1

Re: บทความของดร.นิเวศน์ กันยายน 2554

โพสต์ที่ 12

โพสต์

เล่นกับวอแรนต์

Value Investor กับ วอแรนต์นั้นดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยถูกกัน เพราะวอแรนต์อาจจะกลายเป็นหุ้นซึ่งจะเข้าไปเฉลี่ยกำไรกับผู้ถือหุ้นเดิมโดยเฉพาะในยามที่บริษัทมีกำไรดีและราคาหุ้นเดิมขึ้นไปสูง เพราะฉะนั้นบริษัทที่มีวอแรนต์มาก ๆ จะโตช้าลงซึ่ง Value Investor ไม่ชอบ


Value Investor ไม่ชอบลงทุนในวอแรนต์ เพราะวอแรนต์นั้นมักมีอายุสั้น และถ้าถึงวันที่มันหมดอายุแล้วราคาแปลงสภาพยังสูงกว่าราคาหุ้นแม่ วอแรนต์ก็จะหมดค่าลง ราคากลายเป็นศูนย์ คนถือวอแรนต์ขาดทุน 100% เพราะฉะนั้น Value Investor ไม่ชอบถือวอแรนต์


แต่บริษัทจดทะเบียนในเมืองไทยนั้นมีการออกวอแรนต์กันมากมหาศาล โดยเฉพาะในช่วงหนึ่งซึ่งการออกวอแรนต์นั้นเหมือนการพิมพ์แบงค์ใช้เองได้ ซึ่งได้ล่อให้บริษัทต่าง ๆ รวมทั้งบริษัทที่มีคุณภาพดีเยี่ยมซึ่งไม่ควรออกวอแรนต์ก็ยังหันมาออกวอแรนต์กันเป็นว่าเล่น ดังนั้นเราจึงควรรู้จักวอแรนต์สักหน่อยและดูว่าจะมีโอกาสหาประโยชน์จากวอแรนต์ได้อย่างไร


โดยธรรมชาตินั้น ราคาวอแรนต์จะวิ่งขึ้นลงตามราคาหุ้นแม่ในอัตราที่ใกล้เคียงกัน เช่น ถ้าหุ้นแม่ขึ้นไปหนึ่งบาท วอแรนต์ก็ขึ้นไปประมาณหนึ่งบาทเหมือนกัน และถ้าหุ้นแม่ตกลงมา 1 บาท ราคาวอแรนต์ก็มักจะตกลงมาประมาณ 1 บาท ด้วยเช่นกัน แต่สิ่งที่แตกต่างกันก็คือ ราคาวอแรนต์มักจะต่ำกว่าหุ้นแม่มาก ส่วนใหญ่มักมีราคาไม่เกิน 30-40% ของหุ้นแม่ และวอแรนต์บางตัวมีราคาเพียง 10% ของหุ้นแม่ เช่น หุ้นแม่ราคา 20 บาท แต่วอแรนต์มีราคาเพียง 2 บาท เป็นต้น


ดังนั้น ด้วยเม็ดเงินจำนวนเท่ากัน เราสามารถซื้อวอแรนต์ได้มากกว่าหุ้นตัวแม่ บางทีหลายเท่า เช่น ถ้าหุ้นแม่เท่ากับ 20 บาท วอแรนต์เท่ากับ 2 บาท แปลว่าเราสามารถซื้อวอแรนต์ได้เป็น 10 เท่าของหุ้นแม่ อัตราส่วนระหว่างราคาหุ้นแม่กับวอแรนต์นี้ เรียกว่า Gearing Ratio ซึ่งอธิบายเป็นภาษาไทยง่าย ๆ ก็คือ อัตราส่วนขยายผล


หุ้นแม่ราคา 20 บาท ถ้ามีราคาเพิ่มขึ้น 1 บาท คนที่ถือหุ้นแม่ก็กำไรเพียง 5% แต่ถ้าคุณถือวอแรนต์ซึ่งมีราคาเพียง 2 บาท และราคาวอแรนต์ขึ้นไป 1 บาทตามหุ้นแม่คุณก็มีกำไรถึง 50% หรือมีกำไรเป็น 10 เท่าเมื่อเทียบกับการถือหุ้นแม่ และนี่คือผลของ Gearing ซึ่งขยายผลการลงทุนของคุณขึ้นไป 10 เท่า จากกำไร 5% เป็นกำไร 50%


นั่นก็พูดในแง่ที่ดี แต่ถ้าการณ์กลับเป็นตรงกันข้าม หุ้นแม่กลับลดลง 1 บาท ซึ่งเป็นการลดลงมาเพียง 5% และราคาวอแรนต์ตกลงมา 1 บาทเช่นเดียวกัน คุณก็ขาดทุนไป 50% หรือขาดทุนมากเป็น 10 เท่าของตัวแม่ และที่อาจเลวร้ายไปกว่านั้นก็คือ การขาดทุนของคุณอาจจะเกิดขึ้นในช่วงที่วอแรนต์จะหมดอายุซึ่งทำให้คุณต้องขาดทุนจริง ๆ ในขณะที่การขาดทุน 5% ของหุ้นแม่นั้น คุณสามารถที่จะถือต่อ และถ้าพื้นฐานของหุ้นดีจริง ในที่สุดราคาหุ้นก็จะกลับมา และคุณอาจจะไม่เดือดร้อนอะไรเลย


พูดโดยสรุปก็คือ การเล่นวอแรนต์นั้นมีโอกาสได้เสียสูงกว่าการเล่นหุ้นแม่ และจะมากน้อยขนาดไหนก็ขึ้นอยู่กับอัตราการขยายผลหรือ Gearing Ratio ของวอแรนต์ การเล่นหุ้นแม่นั้น คุณไม่ค่อยต้องห่วงเรื่องเวลา เพราะคุณสามารถถือหุ้นรอไปได้เรื่อย ๆ ถ้าคุณเห็นว่าพื้นฐานของบริษัทดี เวลาเป็นเพื่อนของคุณ แต่การเล่นวอแรนต์นั้น คุณต้องแข่งกับเวลา เวลาที่ผ่านไปแต่ละวันหมายความว่ามูลค่าของวอแรนต์จะค่อย ๆ ถดถอยลง และถ้าคุณโชคร้าย การถือวอแรนต์อาจทำให้คุณหมดตัวได้


คำถามสำคัญก็คือ ในฐานะ Value Investor เราควรซื้อวอแรนต์ไหม และเมื่อไร?


เงื่อนไขในการซื้อวอแรนต์สำหรับ Value Investor นั้น ผมคิดว่า ประการแรกก็คือ เราต้องพอใจและอยากที่จะลงทุนในหุ้นแม่เสียก่อน นั่นคือ เราต้องวิเคราะห์หุ้นแม่ในทุกด้านเหมือนกิจการปกติ รวมทั้งได้คำนึงถึงผลกระทบของวอแรนต์ที่จะมาลดกำไรต่อหุ้นของบริษัทในอนาคตด้วยแล้ว เมื่อเห็นว่าบริษัทน่าลงทุน เราจึงมาดูต่อว่าเราควรจะซื้อหุ้นแม่หรือซื้อวอแรนต์ที่บางทีเรียกว่าหุ้นลูก


การที่เราอาจจะซื้อหุ้นลูกแทนหุ้นแม่ก็เพราะว่า ถ้าเราคำนวณโดยการเอาราคาวอแรนต์บวกกับราคาใช้สิทธิแล้วมีราคาไม่ต่างจากการซื้อหุ้นแม่โดยตรง การซื้อวอแรนต์อาจจะดีกว่าในแง่ที่ว่า การซื้อวอแรนต์เราใช้เงินน้อยกว่าในการที่จะได้ควบคุมหุ้นจำนวนมากกว่า และเรายังมีโอกาสดูผลงานของบริษัทต่อไปจนถึงวันที่วอแรนต์หมดอายุ ถ้าในระหว่างนั้นเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันทำให้บริษัทเสียหายหนักหรือพื้นฐานเปลี่ยนไป เรายังมีสิทธิที่จะไม่ใช้สิทธิซื้อหุ้นตัวนั้นได้ และการขาดทุนของเราก็จะจำกัดอยู่แต่มูลค่าวอแรนต์ที่เราถืออยู่ แต่ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามที่คาด เราก็ใช้สิทธิซื้อหุ้นแม่ซึ่งมีต้นทุนเมื่อรวมกับราคาวอแรนต์ไม่ต่างจากที่เราจะซื้อหุ้นแม่ตั้งแต่ทีแรก


การเล่นกับวอแรนต์อีกแบบหนึ่งก็คือสิ่งที่เราเรียกว่า Arbitrage หรือการ ทำกำไรโดยไม่มีความเสี่ยง นี่คือกรณีที่เราถือหุ้นแม่เพื่อการลงทุนระยะยาวอยู่แล้วแต่พบว่าในบางช่วงราคาของวอแรนต์ตกต่ำกว่าความเป็นจริง นั่นคือ เมื่อเอาราคาวอแรนต์บวกกับราคาใช้สิทธิแล้วยังต่ำกว่าราคาหุ้นแม่ ถ้าเจอสถานการณ์แบบนี้ สิ่งที่เราควรทำก็คือ ให้ซื้อวอแรนต์แล้วขายหุ้นแม่พร้อมกันในจำนวนหุ้นที่เท่ากัน เสร็จแล้วก็เอาวอแรนต์นั้นไปใช้สิทธิแปลงเป็นหุ้น ผลลัพธ์ก็คือ เราจะมีหุ้นเท่าเดิมและมีเงินเหลือจากส่วนต่างของราคาหุ้นที่ขายกับราคาวอแรนต์บวกราคาใช้สิทธิ


การทำ Arbitrage หุ้นกับวอแรนต์นี้ ส่วนต่างกำไรมักจะไม่มากและคุณยังต้องคำนวณเผื่อค่าคอมมิชชั่นการซื้อขายทั้งหมดด้วย อย่างไรก็ตาม นี่เป็นของฟรีที่ควรทำนอกเหนือจาก 2 เรื่องดังกล่าวแล้ว ผมเองไม่แนะนำให้เล่นวอแรนต์ เพราะการซื้อขายวอแรนต์นั้น มีองค์ประกอบของการเก็งกำไรสูงมากและการคำนวณหามูลค่าที่แท้จริงของวอแรนต์อย่างที่ออกในตลาดหุ้นไทยนั้นก็ยังไม่มีใครทำได้ดีหรือมีทฤษฎีสนับสนุนเพียงพอ
ลงทุนเพื่อชีวิต
ภาพประจำตัวสมาชิก
thaloengsak
Verified User
โพสต์: 2716
ผู้ติดตาม: 1

Re: บทความของดร.นิเวศน์ กันยายน 2554

โพสต์ที่ 13

โพสต์

จัดอันดับหุ้น

สมัยนี้จะดูว่าอะไรดีหรือไม่จะต้องมีการทำ Rating หรือจัดอันดับกันว่าใครดีกว่าใคร เช่นมีการจัดอันดับกันว่าบริษัทไหนมีธรรมาภิบาลดีมากน้อยแค่ไหนเพื่อให้คนรู้ว่าบริษัทมีการบริหารที่โปร่งใสไว้ใจได้แค่ไหน อีกหน่อยก็จะมีการจัดอันดับว่ากองทุนรวมไหนมีผลงานโดดเด่นและกองทุนไหนไม่ได้ความ


เรื่องของหุ้นเองนั้น ในเมืองไทยยังไม่มีใครคิดหรือกล้าที่จะจัดอันดับ เหตุผลคงมีมากมาย แต่ข้อหนึ่งก็คือ ทำไปแล้วอาจจะถูกด่าว่าจากนักลงทุนเวลาจัดผิด และที่คงไม่พลาดก็คือ คงได้รับเชิญจาก กลต. ไป คุย อย่างเข้มข้น แม้ว่าในตลาดหุ้นอย่างของสหรัฐนั้น การจัดอันดับหุ้นน่าลงทุนมีมานานและบางบริษัทเช่น Value Line ได้สร้างผลงานที่น่าประทับใจมาช้านาน


ผมเองเวลาวิเคราะห์หุ้นเพื่อลงทุนนั้น ถึงจะไม่ได้จัดอันดับอย่างเป็นระบบเพราะไม่มีความจำเป็นแต่ก็ทำคล้าย ๆ กับการจัดอันดับเหมือนกันนั่นก็คือผมจะ ให้คะแนน องค์ประกอบต่าง ๆ ของหุ้นแต่ละตัว เสร็จแล้วก็เอาคะแนนของแต่ละข้อมารวมกัน หุ้นตัวที่ได้คะแนนมากก็จะเป็นหุ้นที่น่าสนใจมากและผมก็มักจะลงทุนมาก ส่วนหุ้นที่ได้คะแนนน้อยผมก็ลงทุนน้อย หุ้นจำนวนมากมีคะแนนไม่ถึงขั้นผมก็ไม่ลงทุน ว่าที่จริงหุ้นส่วนมากผมไม่ต้องเสียเวลาคิดเพราะผมรู้ว่าอย่างไรก็ได้คะแนนไม่ถึงขั้นที่ผมจะลงทุนอยู่แล้ว


องค์ประกอบของหุ้นที่ผมนำมาใช้ในการจัดอันดับนั้นมีหลายข้อ เรื่องใหญ่ ๆ ก็มีกลุ่มอุตสาหกรรมซึ่งผมจะดูเป็นอันดับแรก ตามด้วยฐานะทางการตลาดของกิจการ ผลการดำเนินงานและฐานะทางการเงิน การเจริญเติบโตของยอดขายและกำไร ความน่าเชื่อถือของผู้บริหาร และสุดท้ายก็คือราคาหุ้นว่าถูกหรือไม่ มีความปลอดภัยหรือ Margin of Safety เพียงพอไหม


อุตสาหกรรมที่ได้คะแนนน้อยหรืออาจจะติดลบก็คือ อุตสาหกรรม ตะวันตกดิน นั่นคืออุตสาหกรรมที่จะค่อย ๆ ตาย เพราะไม่สามารถแข่งขันกับประเทศอื่นได้อย่างการส่งออกสิ่งทอคุณภาพต่ำ แต่หุ้นของกิจการที่ผลิตเสื้อผ้าแบรนด์เนมขายในประเทศนั้น ถึงแม้ว่าจะอยู่ในอุตสาหกรรมสิ่งทอเหมือนกันแต่ไม่ใช่อุตสาหกรรมที่กำลังถดถอย เพราะฉะนั้น เวลาผมพูดว่าอุตสาหกรรมนั้น หลาย ๆ ครั้งไม่ได้เป็นกลุ่มตามที่ตลาดหลักทรัพย์กำหนดไว้


อุตสาหกรรมที่กำลังโตจะได้คะแนนมาก แต่นี่ก็ต้องดูว่าเป็นการโตของหน่วยการขายไม่ใช่โตเพราะราคาสินค้าปรับตัวขึ้นตามวัฏจักร ตัวอย่างอุตสาหกรรมที่โตอย่างเห็นได้ชัดก็คืออุตสาหกรรมโทรศัพท์มือถือในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา แต่เวลานี้ก็ไม่ใช่อุตสาหกรรมที่โตเร็วอีกต่อไปแล้วเพราะคนใช้เริ่มอิ่มตัว


ถัดจากเรื่องของอุตสาหกรรมผมก็จะดูฐานะทางการตลาดของบริษัทว่าแข็งแกร่งแค่ไหน ถ้าเป็นบริษัทที่มียอดขายอันดับหนึ่ง คะแนนที่ได้ก็จะสูง และจะสูงยิ่งขึ้นถ้าเป็นบริษัทที่ ครองตลาด มีส่วนแบ่งการตลาดมากกว่า 50% หรือสูงกว่าคู่แข่งอันดับสองมาก


มีอยู่บ้างเหมือนกันที่บริษัทที่มียอดขายอันดับหนึ่งกับอันดับสองหรือแม้แต่สามหรือสี่ไม่แตกต่างกันมาก และบริษัทอันดับหนึ่งก็ไม่ได้เปรียบอันดับสองหรือสามเท่าไร ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็อย่างกลุ่มธนาคารหรือธุรกิจหลักทรัพย์ ถ้าเป็นแบบนี้ผมก็จะไม่ให้คะแนนเพิ่มมากมายกับฐานะทางการตลาดของบริษัท


ผลการดำเนินงานและฐานะทางการเงินของกิจการที่ผมจะให้คะแนนสูงก็คือบริษัทที่มีกำไรดีเมื่อเทียบกับคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกัน แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ ผลการดำเนินงานจะต้องมีความสม่ำเสมอและค่อย ๆ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องยาวนานอย่างน้อยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา


กิจการที่มีกำไรน้อยเมื่อเทียบกับส่วนของผู้ถือหุ้นหรือเทียบกับยอดขายหรือทรัพย์สิน และกำไรเติบโตน้อยจะได้คะแนนต่ำ แต่ที่แย่ยิ่งกว่าก็คือบริษัทที่มีกำไรขึ้น ๆ ลง ๆ เอาแน่ไม่ได้ และบางครั้งถึงกับขาดทุน ถ้าเป็นแบบนี้คะแนนที่ได้จะน้อยมากแม้ว่ากำไรไตรมาศล่าสุดจะดูดีน่าประทับใจ


บริษัทที่มีเงินสดเหลือและไม่มีหนี้ที่กู้ยืมจากสถาบันการเงินจะได้คะแนนดีในขณะที่บริษัทที่มีหนี้เงินกู้ยืมมากถึง 4-5 เท่าของกำไรต่อปีขึ้นไปจะได้คะแนนต่ำ ยกเว้นกิจการสาธารณูปโภคบางอย่างที่ต้องลงทุนสูงและมีรายได้แน่นอน เช่นการผลิตไฟฟ้าที่จะยอมให้มีหนี้สูงได้พอสมควรโดยไม่เสียคะแนน


การเจริญเติบโตของยอดขายและกำไร ถ้าเพิ่มขึ้นเร็วน่าประทับใจ คะแนนที่ได้ก็รับไปเต็ม ๆ เพราะนี่คืออาการของ หุ้นโตเร็ว หรือ Growth Stock ซึ่งจะสร้างผลตอบแทนได้มหาศาลหากยังรักษาผลงานไว้ได้ ในขณะที่บริษัทที่มียอดขายคงที่มานานเช่นเดียวกับกำไรที่ไม่เพิ่มขึ้นจะได้คะแนนในส่วนนี้ต่ำ


ความน่าเชื่อถือของผู้บริหารทั้งในด้านของการดูแลกิจการและผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นรายย่อยเป็นคะแนนบวกถ้าดูแล้วเป็นคนไว้ใจได้ แต่จะเป็นคะแนนลบถ้าดูแล้วเป็นคน สีเทา นั่นคือไว้ใจไม่ค่อยได้นักแต่ไม่ถึงกับเลวร้ายจนรับไม่ได้ ส่วนผู้บริหารที่มีประวัติและพฤติกรรมที่เลวร้ายประเภทที่เรียกว่าเป็น แบล็คลิสต์ นั้น ผมมักจะขีดฆ่าหุ้นตัวนั้นออกจากสารบบเลยไม่ว่าคะแนนอย่างอื่นจะดีแค่ไหน


หลังจากให้คะแนนตัวธุรกิจของบริษัทแล้วก็จะมาถึงเรื่องของราคาหุ้นซึ่งเป็นคะแนนที่สูงมาก คิดแล้วไม่น่าจะน้อยกว่า 50% ของคะแนนรวม เพราะไม่ว่าบริษัทจะได้รับคะแนนดีแค่ไหนก็ตาม แต่ถ้าหุ้นมีราคาสูงเกินไป อย่างไรก็ไม่คุ้มค่ากับการลงทุน


หุ้นที่มีราคาถูกมาก นั่นคือมีค่า PE และ PB ต่ำมาก มีการจ่ายปันผลในอัตราที่เหมาะสม มูลค่าตลาดของหุ้นเทียบกับพื้นฐานของกิจการต่ำมาก จะได้คะแนนสูง ในขณะที่หุ้น PE และ PB สูงจะได้คะแนนต่ำลง และหุ้นที่มีมูลค่าตลาดของหุ้นสูงเกินพื้นฐานไปมากนั้นจะมีคะแนนติดลบ


พูดมาเสียยืดยาวแต่คนอาจจะรู้สึกว่าไม่เห็นมีสูตรการจัดสรรคะแนนของแต่ละองค์ประกอบเลย คนอื่นจะเอาไปใช้ได้อย่างไร?


คำตอบก็คือ ผมให้ได้แต่หลักการ แต่วิธีหรือรายละเอียดต่าง ๆ นักลงทุนแต่ละคนจะต้องไปคิดเอง เป็นศิลปของแต่ละคน สิ่งที่สำคัญของเรื่องนี้ก็คือ การวิเคราะห์หุ้นนั้น ไม่มีองค์ประกอบข้อใดเพียงข้อเดียวที่จะใช้ตัดสินใจได้ แต่จะต้องดูภาพรวมหลาย ๆ ด้านและนำมาประกอบกันเพื่อ จัดอันดับ ความน่าสนใจของหุ้นแต่ละตัว
ลงทุนเพื่อชีวิต
ภาพประจำตัวสมาชิก
thaloengsak
Verified User
โพสต์: 2716
ผู้ติดตาม: 1

Re: บทความของดร.นิเวศน์ กันยายน 2554

โพสต์ที่ 14

โพสต์

ตามรอยบัฟเฟตต์

นักลงทุนหลายท่านคงอยากจะรู้ว่า วอเร็น บัฟเฟตต์ ลงทุนในหุ้นประเภทไหนถึงได้กำไรมากมายมายาวนานทั้ง ๆ ที่ไม่ค่อยได้ขายหุ้นเลย ซื้อแล้วมักจะเก็บเอาไว้นานมาก


ผมลอง แกะรอย ดูย้อนหลังไปหลายสิบปีว่าบัฟเฟตต์ ลงทุนในหุ้นประเภทไหนก็พบว่า หุ้นหรือธุรกิจที่วอเร็น บัฟเฟตต์ ลงทุนมักจะอยู่ในอุตสาหกรรมหรือธุรกิจต่อไปนี้


กลุ่มแรกนั้น แน่นอนก็คือ ธุรกิจประกันภัย ซึ่งเป็นทั้งธุรกิจและแหล่งเงินที่บัฟเฟตต์ใช้ในการเอาไปลงทุนในธุรกิจอื่นต่อ ว่าที่จริงเวลามีการอ้างถึงบริษัทเบอร์กไชร์ ฮาธาเวย์ ซึ่งเป็นบริษัทแม่ที่ลงทุนในบริษัทอื่น ๆ ของบัฟเฟตต์ สื่อมวลชนจะบอกว่าเป็นบริษัทในกลุ่มประกันภัย บริษัทประกันภัยหลัก ๆ ที่บัฟเฟตต์ถือก็คือ General Reinsurance และ GEICO ซึ่งเขาถือมานานและสุดท้ายก็เป็นเจ้าของทั้งบริษัท

เหตุผลในการที่เขาชอบธุรกิจประกันนั้น ผมคิดว่าอยู่ที่เม็ดเงินที่ไม่มีต้นทุนที่เขาสามารถเอามา ต่อเงินได้มหาศาล


กลุ่มที่สอง ผมอยากเรียกว่าเป็นกลุ่มที่ ขายโฆษณา ซึ่งประกอบไปด้วย หนังสือพิมพ์ สิ่งพิมพ์ และ ทีวี หนังสือพิมพ์หลักที่บัฟเฟตต์ลงทุนก็คือ วอชิงตันโพสต์ ที่ทรงอิทธิพล นอกจากนั้นก็มีหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น เช่น Buffalo News ในเมืองบัฟฟาโล รัฐโอไฮโอ ในส่วนของสิ่งพิมพ์ก็มี Time Inc. เจ้าของนิตยสารไทม์ที่มีชื่อเสียงระดับโลก ด้านทีวีก็มีสถานีโทรทัศน์ ABC ซึ่งเป็นทีวีเน็ตเวิร์กระดับชาติ หนึ่งในสามของประเทศ


ธุรกิจ ขายโฆษณา เหล่านี้ ผมคิดว่าบัฟเฟตต์ชอบเพราะเป็นธุรกิจที่ไม่ต้องใช้เงินลงทุนมาก และลูกค้ามักจะติดที่จะอ่านหรือดูเป็นประจำ มาร์จินหรือกำไรเมื่อเทียบกับยอดขายค่อนข้างสูง ในขณะที่คู่แข่งเข้ามาแข่งยาก โดยเฉพาะหนังสือพิมพ์ที่เป็นเจ้าตลาดอยู่ในเมือง


ธุรกิจกลุ่มที่สามที่บัฟเฟตต์ลงทุนซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ของอเมริกาค่อนข้างมากก็คือ กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่มียี่ห้อแข็งแกร่งระดับโลก ซึ่งประกอบไปด้วยบริษัทอย่าง โคคา โคลา บริษัทยิลเล็ต และหุ้นของบริษัทแม็คโดนัลด์ ซึ่งสินค้าขายไปทั่วโลกและตลาดยังมีโอกาสเติบโตมหาศาล


แต่บัฟเฟตต์เองยังลงทุนซื้อธุรกิจหรือกิจการทั้งหมดที่ไม่ได้อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ที่ขายสินค้าอุปโภคบริโภคในประเทศ หรือในท้องถิ่นของอเมริกาเป็นหลัก เช่นธุรกิจขายเฟอร์นิเจอร์อย่าง Nebraska Furniture Mart ซึ่งอยู่ที่บ้านเกิดของบัฟเฟตต์เอง Jordan Furniture, Star Furniture และ R.C. Willy Home Furnishing เป็นต้น


ถัดจากธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ก็เป็นธุรกิจรองเท้าที่บัฟเฟตต์ซื้อเข้ามาทั้งบริษัทเหมือนกัน เช่น Dexter Shoe, H.H. Brown Shoe และ Lowell Shoe เป็นต้น นอกเหนือจากนี้ยังมีร้านขายเครื่องประดับและเพชรพลอยอย่าง Borsheims Fine Jewelry และ Helzberg Daimonds ถ้าจะว่าไป เขาซื้อบริษัทที่ขายสินค้าของกินของใช้หลากหลายมาก ซึ่งอาจจะเป็นผลต่อเนื่องจากการซื้อบริษัทขายช็อคโกแล็ต Sees Candiesในช่วงต้นที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง


ธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภคที่มียี่ห้อแข็งแกร่งนั้น ผมคิดว่าบัฟเฟตต์ชอบเพราะสินค้าเหล่านี้มีอำนาจทางการตลาดเหนือคู่แข่ง สามารถกำหนดราคาสูงกว่า หรือขายสินค้าได้มากกว่า และมีกำไรต่อยอดขายหรือมาร์จินสูง นอกจากนั้นยังเป็นธุรกิจที่เข้าใจง่ายและมีความมั่นคงสูง


กลุ่มที่สี่ที่ผมเห็นว่าบัฟเฟตต์มักลงทุนเป็นครั้งเป็นคราวก็คือ ธุรกิจประเภทโลหะหรือทรัพยากรธรรมชาติที่ไม่สามารถผลิตขึ้นได้เช่น อะลูมิเนียม โลหะเงิน หรือแม้แต่น้ำมัน เช่น ซื้อหุ้นในบริษัท Aluminum Company of America, Kaiser Aluminum and Chemical Corp, Handy & Harman เป็นต้น นอกจากนั้น เขายังเคยกวาดซื้อโลหะในตลาดล่วงหน้ามหาศาลเพื่อเก็งกำไรราคาโลหะที่จะขึ้นเพราะอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นในขณะที่อุปทานหยุดนิ่งมานาน


เหตุผลในการลงทุนในกิจการเหล่านี้ผมคิดว่าบัฟเฟตต์น่าจะต้องการเก็งกำไรเป็นหลัก โดยที่เขาอาจจะเห็นว่าทรัพย์สินสุทธิที่ประกอบด้วยโลหะที่บริษัทมีอยู่นั้นมีค่ามากกว่ามูลค่าของหุ้นของบริษัท


กลุ่มที่ห้าที่วอเร็นบัฟเฟตต์ซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ก็คือหุ้นของธุรกิจการเงิน ในกลุ่มนี้ดูเหมือนว่าบัฟเฟตต์จะเลือกเฉพาะบริษัทที่มีจุดเด่นหรือเก่งจริง ๆ อย่างอเมริกันเอ็กเพรสหรือแบงค์ระดับเซียนอย่าง Well Fargo หรือสถาบันรับซื้อพอร์ตสินเชื่อบ้านอย่าง Federal Home Loan Mortgage เป็นต้น


กลุ่มสุดท้ายก็คือกลุ่มที่บัฟเฟตต์เริ่มซื้อมากขึ้นก็คือบริษัทที่ขายบริการที่โดดเด่นและเป็นเจ้าตลาดที่คนอื่นสู้ไม่ได้ เช่น H&R Block ที่ให้คำแนะนำในการกรอกฟอร์มเสียภาษี Executive Jet ที่ให้เช่าเครื่องบินแก่ผู้บริหารของบริษัทต่าง ๆ และ Flight Safety ที่สอนขับเครื่องบินให้กับนักบินทั่วโลก และนี่ก็เป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่บัฟเฟตต์สนใจเพราะเป็นธุรกิจที่ผูกขาดและใช้ทุนไม่มากในขณะที่คนอื่นเข้ามาแข่งได้ยากมาก


ข้อสรุปของผมอย่างคร่าว ๆ ก็คือ บัฟเฟตต์ชอบการลงทุนในธุรกิจที่หาเงินสดได้มาก ใช้เงินลงทุนน้อย กิจการต้องมีอำนาจทางการตลาดสูงไม่ว่าจะในระดับโลกหรือในระดับท้องถิ่น เป็นกิจการที่ไม่ซับซ้อน เข้าใจง่าย มีความมั่นคงทางธุรกิจสูง มีผู้บริหารที่ดีไว้ใจได้ และเมื่อเขาลงทุนแล้วจะถือเก็บไว้ยาวมาก โดยหุ้นบางตัวเขาไม่ขายเลย กิจการจำนวนมากเขาซื้อหุ้นทั้ง 100% เป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียว และดูเหมือนว่าในระยะหลัง หุ้นที่เขาถือนั้น ส่วนใหญ่กลายเป็นหุ้นนอกตลาดหลักทรัพย์ที่เขาจะบริหารแบบบริษัทลูกที่เขาจะปล่อยให้ฝ่ายจัดการบริหารเองทุกอย่างยกเว้นการจัดสรรกำไรและการลงทุนใหญ่ ๆ ของบริษัท


และนี่ก็คือเส้นทางการลงทุนของวอเร็นบัฟเฟตต์ซึ่งนับวันคนจะไม่สามารถเลียนแบบได้ เพราะหุ้นที่เขาถืออยู่จำนวนมากนั้นหาซื้อไม่ได้ในท้องตลาด
ลงทุนเพื่อชีวิต
ภาพประจำตัวสมาชิก
thaloengsak
Verified User
โพสต์: 2716
ผู้ติดตาม: 1

Re: บทความของดร.นิเวศน์ กันยายน 2554

โพสต์ที่ 15

โพสต์

สถิติกับการลงทุน

นักลงทุนที่ดีจำเป็นที่จะต้องมีความรู้เกี่ยวกับสถิติบ้าง ไม่จำเป็นต้องรู้มากถึงขนาดไปออกแบบทำโพล แต่ควรจะมีความรู้พื้นฐานกว้าง ๆ เช่น รู้ว่าถ้าแทงหวยเลข 2 ตัว โอกาสที่จะถูกรางวัลนั้นเท่ากับ 1 ใน 100 นั่นคือ แทง 100 ครั้งจะมีโอกาสถูกรางวัลเฉลี่ยเพียง 1 ครั้ง และนี่ไม่เกี่ยวกับการใบ้หวยของอาจารย์ใด ๆ ทั้งสิ้น และไม่เกี่ยวกับเลขที่ออกในคราวที่แล้วหรือคราวไหน ๆ


แต่แน่นอน ในบางครั้ง สำหรับบางคน เขาก็อาจจะแทง 100 ครั้ง และถูก 2 ครั้ง หรือ 3 ครั้ง หรือแม้แต่ 5 ครั้ง แต่โอกาสที่จะมีคนถูกหลายครั้งมาก ๆ ก็จะมีน้อยลงไปเรื่อย ๆ พูดง่าย ๆ คน 1000 คน คนส่วนใหญ่จะถูกเพียงหนึ่งครั้ง คนที่ถูก 2 ครั้ง อาจจะมีเพียง 200 คน คนถูก 3 ครั้ง อาจจะมีเพียง 50 คน และคนถูก 5 ครั้งอาจจะมีเพียง 5 คน อย่างนี้เป็นต้น


มาดูกันว่าสถิติจะมาช่วยการลงทุนของเราได้อย่างไร?ผมคิดว่าสถิตินั้นช่วยให้เราสามารถคาดหวังผลตอบแทนการลงทุนของเราให้ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากขึ้น ช่วยให้เราวางกลยุทธ์การลงทุนได้อย่างถูกต้อง ไม่คิดอะไรเพ้อฝันเกินไปซึ่งจะทำให้เรากำหนดกลยุทธ์ผิดพลาดและนำเราไปสู่ความเสียหายอย่างไม่รู้ตัว


ลองมาดูกันที่ภาพใหญ่ของการลงทุนในตลาดการเงินซึ่งพบว่าในตลาดที่พัฒนาแล้วอย่างในตลาดหุ้นสหรัฐที่มีข้อมูลครบถ้วนยาวนาน สถิติบอกว่า การลงทุนในตลาดหุ้นจะให้ผลตอบแทนในระยะยาว (ลงทุนติดต่อกัน 30 ปี) ปีละประมาณ 10-11% รวมปันผลและกำไรจากราคาหุ้นที่ขึ้นไปแล้ว ในขณะที่การลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลที่ได้ดอกเบี้ยแน่นอนให้ผลตอบแทนประมาณ 5-6% ต่อปี เช่นเดียวกับการลงทุนระยะสั้นในตั๋วเงินคลังก็ให้ผลตอบแทนพอ ๆ กัน


แต่ก็แน่นอนว่าผลตอบแทนของหุ้นและพันธบัตรในแต่ละปีนั้นแตกต่างจากตัวเลข 11% และ 6% มาก บางปีหุ้นให้ผลตอบแทนถึง 40-50% ก็มี แต่ก็เป็นเรื่องที่นาน ๆ มากถึงจะเกิดขึ้นครั้งหนึ่ง เช่นเดียวกัน บางปีหุ้นก็ตกหนัก ให้ผลตอบแทนติดลบถึง 30-40% ก็มี แต่ก็เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก และทั้งหมดนี้ก็เกิดกับพันธบัตรเช่นเดียวกันที่บางปีอัตราดอกเบี้ยขึ้นสูงมาก และบางปีก็ตกต่ำสุด ๆ อย่างช่วงหลัง ๆ นี้


ผลตอบแทนของหุ้นนั้น บางทีก็แย่ติดต่อกันมาหลายปี ดัชนีหุ้นตกต่ำมานานทำให้ผลตอบแทนเฉลี่ยลดลงต่ำกว่า 11% แต่แล้วก็กลับมาบูม ดัชนีปรับขึ้นมามหาศาลในช่วงทศวรรษที่1980 จนถึงปัจจุบัน เพราะฉะนั้นนักลงทุนในสหรัฐที่กล้าซื้อลงทุนในหุ้นในช่วงทศวรรษหลัง ๆ นี้ ได้ผลตอบแทนมากกว่า 11% ต่อปีมาก ตลาดหุ้นที่อื่นในโลกส่วนใหญ่ให้ผลตอบแทนน้อยกว่าตลาดหุ้นอเมริกา ของไทยเราที่ผ่านมา 29 ปี ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณ 7-8% แต่ถ้ามองย้อนหลังไปเพียง 2 ปี ซึ่งดัชนีตลาดอยู่ที่ประมาณ 350 จุด ในช่วงนั้น ผลตอบแทนการลงทุนในระยะยาวของหุ้นไทยอยู่ที่ประมาณ 5-6%ต่อปีเท่านั้น


เพราะฉะนั้น คนที่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นแล้วหวังว่าจะได้ผลตอบแทนปีละ 20-30% ในระยะยาวจึงอาจเป็นเรื่องเพ้อฝัน หรือถ้าทำได้ก็จะต้องมีความสามารถพิเศษสุดยอด เรียกว่าทำลายสถิติ และอาจเป็น 1 ในหมื่นหรือแสน คนส่วนใหญ่ที่ลงทุนในตลาดหุ้นมาต่อเนื่องยาวนาน ถ้าไม่ซื้อขายหุ้นบ่อย (ปีละไม่เกิน 4-5 ครั้ง) และไม่ได้มีความสามารถพิเศษน่าจะได้ผลตอบแทนโดยเฉลี่ยไม่เกิน 10% และโอกาสที่จะขาดทุนก็น่าจะมีน้อย โอกาสที่จะได้ผลตอบแทน 5% ขึ้นไปน่าจะมีค่อนข้างสูง


พูดแบบสรุปรวบยอดก็คือ ถ้าลงทุนแบบถูกวิธี มีความเข้าใจการลงทุนในหุ้นพอสมควร มีความคาดหวังที่เป็นจริง ลงทุนระยะยาวโดยไม่สนใจภาวะตลาดหรือเศรษฐกิจ การลงทุนในหุ้นก็ไม่เสี่ยงนัก โอกาสที่จะได้ผลตอบแทนประมาณปีละ 6-7% เป็นไปได้สูง โอกาสได้ถึง 10% ก็มีพอสมควรโดยเฉพาะถ้าหมั่นศึกษาหาความรู้ โอกาสที่จะขาดทุนมีน้อยมาก และโอกาสที่จะได้ผลตอบแทนเหนือกว่าการฝากเงินกับแบงค์ก็น่าจะมีสูงมาก


แต่ถ้าไม่รู้สถิติของตลาดหุ้นและเข้ามาลงทุนเก็งกำไร ซื้อขายหุ้นรวดเร็วเป็นนิจสินโดยหวังว่าจะทำกำไรเดือนละเป็น 10-20% นั้น ถ้ามองจากหลักทางสถิติก็จะต้องบอกว่าผลตอบแทนที่จะได้จะเท่ากับ 7 หรือ 8% ลบด้วยค่าคอมมิชชั่นที่จะต้องจ่ายต่อปี ซึ่งถ้าเล่นหุ้นสัปดาห์ละรอบก็จะเสียค่าคอมมิชชั่นประมาณ 26% แน่นอน เพราะฉะนั้น ผลตอบแทนที่คาดหวังจะอยู่ที่ประมาณ ลบ 18-19% ต่อปี ซึ่งแปลว่าโอกาสขาดทุนมหาศาลมีมาก โอกาสกำไรก็น่าจะมีเหมือนกันแต่คงน้อยมากและเราคงต้องเก่งจริง ๆ


เขียนถึงตรงนี้ผมก็นึกถึงคำถามที่ผมเคยได้รับถามว่า ถ้ามีเงิน 200,000 บาท อยู่ตอนนี้จะทำให้เป็น 2 ล้านบาทใน 5 ปี โดยการลงทุนแบบ Value Investment จะทำได้ไหม? และถ้าทำไม่ได้ จะเล่นแบบเก็งกำไรจะมีโอกาสไหม? เพราะเขาอยากรวยเร็ว ไม่ชอบอะไรที่ช้า ๆ


คำตอบของผมก็คือ ถ้าเป็นการลงทุนแบบ Value Investment คงทำไม่ได้ หรือมีโอกาสน้อยมาก เพราะการจะได้ผลตอบแทนเป็น 10 เท่า ใน5ปี แปลว่าต้องมีผลตอบแทนทบต้นเฉลี่ยปีละประมาณ 58% ต่อปีซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของผลตอบแทนตามสถิติถึง 10 เท่า
แต่ถ้าเอาเงิน 200,000 บาทไปเก็งกำไร ผมคิดว่ามีโอกาสเป็น 2 ล้านบาทได้สูงกว่า เพราะอาจจะไปลงทุนในวอแรนต์และหุ้นเก็งกำไรมาก ๆ ที่ราคาหุ้นผันผวนสูงมาก ว่าที่จริงน่าจะมีคนทำได้บ้างในช่วงที่ผ่านมา แต่โอกาสที่เงิน 200,000 บาท จะเป็น 2 ล้านบาทใน 5 ปี อาจจะมีเพียง 1 ใน 1,000

แต่ปัญหาใหญ่ของกลยุทธ์นี้ก็คือ โอกาสที่พอถึง 5 ปี คุณจะเหลือเงินเพียง 4-50,000 บาทหรือต่ำกว่านั้นอาจจะมีสูงมากถึง 90% ในขณะที่การลงทุนแบบ Value Investment นั้น โอกาสที่คุณจะได้เห็นเงิน 2 ล้านบาทแทบไม่มี แต่โอกาสที่คุณจะมีเงินเกิน 2 แสนบาทในตอนสิ้นปีที่ 5 นั้นสูงลิ่ว ว่าที่จริงถ้าคุณเก่งหน่อย คุณอาจจะได้เห็นเงิน 400,000 บาทได้ไม่ยากนัก นั่นคือคุณทำได้ปีละ 15% การเล่นเก็งกำไรหุ้นเพื่อหวังรวยมหาศาลนั้น บางทีก็ไม่ต่างกับการซื้อล็อตเตอรี่มากนัก ถ้าคุณถามว่า มีเงิน 100 บาท จะทำให้เป็น 3 ล้านบาท มีทางไหนที่ทำได้?

คำตอบของผมก็คือ ซื้อล็อตเตอรี่ แต่โอกาสที่คุณจะได้จริง ๆ นั้นแทบจะ 1 ในล้าน และโอกาสที่เงิน 100 บาทของคุณจะกลายเป็นเศษกระดาษมีสูงถึง 98-99% Value Investment ไม่สามารถทำให้คุณเป็นเสี่ยในเวลาสั้น ๆ แต่เงินต้นมักไม่หาย และคุณได้ผลตอบแทนในระยะยาวดีกว่าวิธีการอื่น ๆ หลายวิธี เพราะสถิติมันบอกอย่างนั้น
ลงทุนเพื่อชีวิต
ภาพประจำตัวสมาชิก
thaloengsak
Verified User
โพสต์: 2716
ผู้ติดตาม: 1

Re: บทความของดร.นิเวศน์ กันยายน 2554

โพสต์ที่ 16

โพสต์

กำแพงแห่งความกังวล

นักวิเคราะห์และนักลงทุนบางคนมองว่าภาวะแวดล้อมของประเทศไทย ณ. วันนี้ดูไม่ดีต่อการลงทุนในตลาดหุ้นเลย ดังนั้นหลาย ๆ คนขายหุ้นล้างพอร์ต นั่งรอให้ตลาดหุ้นตกลงมาต่ำกว่าปัจจุบันก่อนที่จะเข้าลงทุนอีกครั้ง เหตุผลก็เพราะว่าปัจจัยต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นและกำลังจะเกิดขึ้นนั้นล้วนแต่เป็นภาพลบและเป็นปัจจัยที่อาจทำให้หุ้นตกได้มหาศาล


เรื่องที่น่าเป็นห่วงมากในขณะนี้ก็แน่นอนว่าเป็นเรื่องการก่อการร้ายใน 3 จังหวัดภาคใต้ซึ่งรุนแรงขึ้นมาต่อเนื่องและยังไม่เห็นทางแก้ไขที่ได้ผลจริง ๆ เท่าที่ผ่านมานั้น ปัญหานี้ขึ้นเป็นข่าวหน้าหนึ่งเกือบทุกวัน แต่ถ้าถามว่ากระทบอะไรกับเศรษฐกิจและผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนมากน้อยแค่ไหน คำตอบก็คือ น้อยมาก เพราะสัดส่วนของผลผลิตใน 3 จังหวัดนั้นมีน้อยเมื่อเทียบกับผลผลิตรวมของประเทศ เพราะฉะนั้น ว่าโดยพื้นฐานแล้ว ปัญหาภาคใต้ยังไม่ได้ส่งผลถึงเศรษฐกิจหรือตลาดหุ้นเลย


แต่ความกังวลก็คือ โอกาสที่ปัญหาการก่อการร้ายจะลุกลามไปยังเมืองใหญ่อื่น ๆ โดยเฉพาะที่เป็นเมืองท่องเที่ยวนอกเขต 3 จังหวัดนั้นน่าจะมีอยู่ และถ้าเกิดขึ้นก็จะกระทบต่อภาพของประเทศไทยอย่างใหญ่หลวง การท่องเที่ยวซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่สร้างรายได้มหาศาลของไทยจะเสียหายหนัก การลงทุนต่าง ๆ จะชะลอตัวลง ตลาดหุ้นอาจจะช็อค ดัชนีตลาดไหลลง เพราะนักลงทุนทั้งไทยและเทศอาจเทขายหุ้นด้วยความตกใจ ภาพแบบนี้สำหรับบางคนแค่คิดก็นอนไม่หลับแล้ว


ถัดจากเรื่องภาคใต้ก็มาถึงเรื่องที่น่ากลัวไม่แพ้กันเพราะเป็นสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้ก็คือ ราคาน้ำมันดีเซลซึ่งเป็นต้นทุนหลักของการขนส่งซึ่งก็เป็นต้นทุนของสินค้าเกือบทุกอย่างในประเทศ กำลังจะต้องถูกปรับราคาขึ้นมาหลายสิบเปอร์เซ็นต์หลังจากที่ถูก อั้น ไว้นาน


การปรับราคาน้ำมันดีเซลน่าจะมีผลให้สินค้าอีกหลายชนิดปรับตัวขึ้นและจะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น การบริโภคของประชาชนถดถอยลง ส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอตัวลง และที่สำคัญ ทำให้ธุรกิจต่าง ๆ ขายสินค้าได้น้อยลงและกำไรหดลง ทั้งหมดนี้อาจส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นและดัชนีตลาดหลักทรัพย์ได้อย่างรุนแรงและยาวนาน


อัตราดอกเบี้ยที่เคยต่ำเตี้ยติดดินก็กำลังทยอยปรับขึ้นทีละ 0.25% ตามแนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยของอเมริกาและดูเหมือนว่าจะยังไม่หยุดเพราะสภาพคล่องทางการเงินดูเหมือนว่าจะลดลงในขณะที่อัตราเงินเฟ้อกำลังปรับตัวขึ้น นี่ก็คือความกังวลที่รุนแรงอีกข้อหนึ่งโดยเฉพาะในสังคมไทยที่นับวันจะพึ่งพิงกับการซื้อสินค้าเงินผ่อนมากขึ้นเรื่อย ๆ


เรื่องของไข้หวัดนกที่เกิดขึ้นมาเกือบปีและยังไม่สามารถควบคุมได้อย่างเด็ดขาดนั้น ขณะนี้ก็เริ่มมีความกังวลว่าจะหวนกลับมาพร้อมกับฤดูที่อากาศเย็นลง และแม้ว่าคนจะเริ่มชินชากับปัญหานี้ ปัญหาไข้หวัดนกก็อาจจะก่อให้เกิดผลกระทบที่เลวร้ายได้เสมอโดยเฉพาะถ้ามีการกลายพันธุ์และติดต่อถึงคนได้ง่ายขึ้น


ข่าวร้ายนั้นดูเหมือนว่าเวลาเกิดขึ้นมักจะมาเป็นชุด ๆ เพราะเรื่องที่น่าห่วงกว่าหวัดนกในขณะนี้ดูเหมือนว่าจะเปลี่ยนมาเป็นเรื่องของภัยแล้งที่เกิดขึ้นในหลาย ๆ จังหวัด ข่าวที่ออกมาฟังดูอาจจะไม่ตื่นเต้นเพราะไม่มีคนเสียชีวิตจากภัยแล้ง แต่ผลกระทบทางเศรษฐกิจนั้นน่าจะรุนแรงกว่า เพราะผลผลิตทางการเกษตรเกือบทุกอย่างจะถูกกระทบ รายได้ของคนในชนบทซึ่งเป็นกำลังซื้อที่สำคัญจะถดถอยลงและนี่อาจทำให้เศรษฐกิจในปีหน้าซบเซากว่าที่ใครต่อใครคาดไว้ได้


ปัจจัยจากต่างประเทศเองก็มีเรื่องที่น่ากังวลอยู่ไม่น้อย ที่มองดูก็มีเรื่องเศรษฐกิจของจีนซึ่งอาจชะลอตัวลงซึ่งทำให้ความต้องการสินค้าหลาย ๆ อย่างโดยเฉพาะที่เป็นสินค้าโภคภัณฑ์และวัตถุดิบลดลง


สิ่งที่น่ากังวลสำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นไทยนั้นน่าจะอยู่ที่ราคาของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีทั้งหลายที่ได้ปรับตัวขึ้นมหาศาลเนื่องจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นมหาศาลของจีนในช่วงที่ผ่านมา อะไรจะเกิดขึ้นถ้าความต้องการปิโตรเคมีชะลอตัวลงและราคาร่วงลงมา?


คำตอบนั้นชัดเจนก็คือ บริษัทจดทะเบียนที่ผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีจะมีกำไรถดถอยลงและราคาหุ้นน่าจะต้องปรับตัวลง เรื่องนี้คงไม่หนักหนามากถ้ามีบริษัทจดทะเบียนขนาดเล็กเพียงไม่กี่แห่งที่หากินกับปิโตรเคมีอย่างในอดีต แต่ความเป็นจริงก็คือ ตลาดหุ้นไทยเวลานี้มีบริษัทที่อิงอยู่กับธุรกิจปิโตรเคมีคิดตามมูลค่าหุ้นแล้วสูงมาก บางคนบอกว่าสูงถึงเกือบ 30% ของตลาดหุ้นทั้งหมด


ผมเองไม่ยืนยันตัวเลขนี้ แต่ลองนั่งนึกว่าหุ้น ปตท. ซึ่งมีมูลค่าตลาดใหญ่ที่สุดประมาณ 470,000 ล้านบาทนี่คงเกี่ยวข้องกับปิโตรเคมีแม้ว่าจะถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มพลังงาน เช่นเดียวกับหุ้นปูนซิเมนต์ไทยซึ่งมีมูลค่าตลาดประมาณ 280,000 ล้านบาท รวมกับหุ้น TPI ประมาณ 56,000 ล้านบาท บวกกับหุ้นในกลุ่มเคมีภัณฑ์และพลาสติคซึ่งส่วนใหญ่ก็คือปิโตรเคมีอีกประมาณ 190,000 ล้านบาท รวมแล้วมีมูลค่าตลาดประมาณ 1 ล้านล้านบาท เทียบกับมูลค่าหุ้นทั้งตลาดที่ประมาณ 4.4 ล้านล้านบาทคิดเป็นประมาณ 23% แต่ถ้ารวมเอาธุรกิจที่เกี่ยวกับน้ำมันและเหล็กซึ่งมีคุณสมบัติและพฤติกรรมของราคาสินค้าคล้าย ๆ กันเข้าไปด้วยแล้ว ผมคิดว่าตัวเลข 30% นั้นไม่เกินความจริง


ฟังแล้วรู้สึกหนาวไหมครับว่า ตลาดหุ้นไทย ณ. วันนี้มีเรื่องต่าง ๆ ที่น่าวิตกกังวลเต็มไปหมด แล้วตลาดหุ้นจะไปได้อย่างไรสำหรับปีหน้า?


คำตอบของผมก็คือ อย่ากลัวจนทิ้งตลาดหุ้นครับ เพราะสุภาษิตที่โด่งดังในวงการหุ้นก็คือ หุ้นนั้น ปีนกำแพงแห่งความกังวล ความหมายก็คือ ถ้าคนยังวิตกกังวลอยู่หุ้นจะขึ้นไปได้ เมื่อใดที่คนลงทุนในหุ้นอย่าง ไร้กังวล อย่างที่เกิดขึ้นปลายปีที่แล้ว เมื่อนั้นหุ้นจะน่ากลัวที่สุดจริง ๆ
ลงทุนเพื่อชีวิต
ภาพประจำตัวสมาชิก
thaloengsak
Verified User
โพสต์: 2716
ผู้ติดตาม: 1

Re: บทความของดร.นิเวศน์ กันยายน 2554

โพสต์ที่ 17

โพสต์

วู๊ดสต็อคนายทุน

นักลงทุนที่ไปประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทจดทะเบียนในเมืองไทยดูเหมือนว่าจะมีน้อยมาก เท่าที่สังเกตดู ถ้าเป็นบริษัทเล็กที่เป็นที่สนใจของ Value Investor ก็มักจะมี Value Investor เข้าร่วมประชุมสักหยิบมือหนึ่ง คนเหล่านี้ตั้งใจมาฟังและถามคำถามกับผู้บริหารเพื่อนำไปวิเคราะห์ว่าสมควรจะถือหุ้นต่อไป ซื้อเพิ่ม หรือขายหุ้นทิ้ง หลายคนไปเพื่อทำความรู้จักกับผู้บริหาร ดูว่า น่าไว้วางใจ หรือไม่ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่สามารถหาข้อมูลนี้ได้จากรายงานต่าง ๆ ของบริษัท


ถ้าหุ้นของบริษัทเป็นหุ้น ยอดนิยม ที่นักเก็งกำไรทั้งหลายชอบ เป็นหุ้นที่นักลงทุนรายย่อยทุกคนรู้จักและ เล่น เป็นประจำ การประชุมผู้ถือหุ้นก็มักจะมีกลุ่ม คุณป้าและคุณเจ๊ เข้าร่วมประชุมมากหน้าหลายตานับได้หลายสิบหรืออาจเป็นร้อย แต่คนเหล่านี้ หลายคนไปเพื่อที่จะ บ่นและต่อว่าผู้บริหาร เวลาหุ้นตก แต่สิ่งที่สำคัญกว่าก็คือ ไปรับของชำร่วยและรับประทานอาหารหรือของว่างที่บริษัทจัดไว้ให้


บริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ก็มักจะดูแลต้อนรับผู้ถือหุ้นเป็นอย่างดี อาจจะเป็นเพราะว่ามีเพียงปีละครั้งหรือสองครั้งที่จะได้พบผู้ถือหุ้น ซึ่งมองทางนิตินัยก็คือจ้าวนาย หรืออาจจะรู้สึกว่าต้องเอาใจไม่ให้ผู้ถือหุ้น โวยมากนัก นอกจากนั้น หลาย ๆ บริษัทก็มักจะเกณฑ์พนักงานที่เป็นผู้ถือหุ้นหรือรับมอบฉันทะเข้ามาร่วมประชุมด้วยเพื่อเอาไว้ คาน หรือ ต้าน กับผู้ถือหุ้น แสบ ๆ ทั้งหลาย ถ้ามี


ไม่ว่าบรรยากาศของการประชุมผู้ถือหุ้นแต่ละบริษัทจะเป็นอย่างไร สิ่งที่ผมเห็นก็คือ การประชุมผู้ถือหุ้นมักจะตึงเครียด มีลักษณะของการ ประจันหน้า มากกว่าที่จะเป็นบรรยากาศของความผ่อนคลาย รื่นเริง เป็นมิตร ทั้ง ๆ ที่การประชุมผู้ถือหุ้นนั้น ถ้าจะว่าไปก็เหมือนกับที่หุ้นส่วนหรือเจ้าของบริษัทมาพบกันเพื่อปรึกษาพูดคุยถึงธุรกิจที่ได้ทำมาทั้งปีและมาตกลงกันว่าจะจ่ายปันผลกันเท่าไรจากผลการดำเนินงานที่ผ่านมา และถ้าบริษัททำได้ดีเยี่ยม ผู้บริหารได้สร้างคุณค่าให้กับผู้ถือหุ้นมหาศาล การประชุมผู้ถือหุ้นก็น่าจะเป็นมหกรรมแห่งความรื่นเริงไม่ใช่หรือ?


ใช่สิครับ! และนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในการประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทเบิร์กไชร์ ฮาธาเวย์ ของวอเร็น บัฟเฟตต์ ซึ่งเป็นมหกรรมที่ยิ่งใหญ่แห่งโลกทุนนิยมเหมือนกับมหกรรมเพลงวู๊ดสต็อคอย่างไรก็อย่างนั้น


การประชุมผู้ถือหุ้นของเบิร์กไชร์นั้น มีผู้ถือหุ้นมาร่วมประชุมกว่าหมื่นคน ต้องเปิดสนามแข่งม้าเป็นที่ประชุม ที่สำคัญ คนที่มาประชุมมาจากทั่วประเทศเกือบทุกรัฐของอเมริกาและจากอีกหลายประเทศทั่วโลก


ผู้ถือหุ้นจะทะยอยกันมาล่วงหน้าและถือโอกาสมาท่องเที่ยวเมืองโอมาฮา เยี่ยมเยียนสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับบริษัทและวอเร็น บัฟเฟตต์ เช่นไปเยี่ยมชมร้านเฟอร์นิเจอร์ในเมืองที่บริษัทเป็นเจ้าของ ไปกินสเต็คในร้านที่บัฟเฟตต์ชอบ และถือโอกาสกระทบไหล่เขาในโอกาสเดียวกัน


บริษัทที่อยู่ภายใต้ธงของเบิร์กไชร์ก็จะนำสินค้าของตนมาเสนอขายให้กับผู้ถือหุ้น ที่โดดเด่นก็มีสินค้าเครื่องประดับของ Borsheim s รองเท้าของ Dexter ช็อคโกแล็ต ของ See s และแน่นอนการเสิร์พน้ำอัดลมของโค๊ก ซึ่งสินค้าทั้งหมดนั้นขายระเบิด เพราะผู้ถือหุ้นของเบิร์กไชร์นั้นต่างก็เป็นเศรษฐีกันทั้งนั้น เพราะหุ้นเบิร์กไชร์แค่หุ้นเดียวก็มีค่าหลายล้านบาทแล้ว ดังนั้น การประชุมผู้ถือหุ้นนี้ก็น่าจะเป็นการชุมนุมเศรษฐีที่ใหญ่ที่สุดงานหนึ่งของโลก


ไม่เฉพาะผู้ถือหุ้นเท่านั้นที่มา ผู้สื่อข่าว ทีวี หนังสือพิมพ์ และอื่น ๆ ก็มักจะมาทำข่าวการประชุมผู้ถือหุ้น นี่ยังไม่นับดาราและคนมีชื่อเสียงที่มักมาปรากฎตัวเป็นครั้งคราว และที่ขาดไม่ได้ก็คือผู้บริหารบริษัทภายใต้สังกัดของเบิร์กไชร์ซึ่งหลายคนก็เป็นคนดังอยู่แล้ว


ในวันประชุมนั้นแม้ว่าจะเริ่มประชุมจริงในวันจันทร์เวลา 9.30 น. แต่ผู้ถือหุ้นก็จะเริ่มทะยอยเข้าที่ประชุมตั้งแต่ตีสามหรือตีสี่เพื่อจองที่นั่งข้างหน้าใกล้เวทีราวกับว่าจะเข้าฟังคอนเสิตนักร้องดังอย่างไรก็อย่างนั้น


การประชุมผู้ถือหุ้นซึ่งมีวอเร็นบัฟเฟตต์เป็นประธานและชาลี มังเจอร์เป็นรองประธานนั้นใช้เวลาประชุมที่เป็นทางการจริง ๆ แค่ 10-15 นาทีเท่านั้น หลังจากนั้นเวลาที่ทุกคนรอคอยจริง ๆ ก็จะเริ่มขึ้น นั่นคือรายการถามตอบซึ่งผู้ถือหุ้นจะเป็นคนถามและวอเร็นบัฟเฟตต์เป็นคนตอบโดยมีมังเจอร์เป็นลูกคู่


บรรยากาศของการประชุมเต็มไปด้วยความครึกครื้นเพราะบัฟเฟตต์เองนั้นเป็นคนที่มีอารมณ์ขันเหลือเฟือ มีลูกเล่นลูกฮาที่หาตัวจับได้ยาก และที่เหนือกว่าดาวตลกทั้งหลายก็คือ คำพูดของเขาเต็มไปด้วยสาระและหลักการของการลงทุนที่ถูกต้องเป็นประโยชน์ เปิดเผยตรงไปตรงมา รายการถามตอบอย่างไม่เป็นทางการนี้โดยปกติกินเวลาไม่น้อยกว่า 4-5 ชั่วโมงและกลายเป็นไฮไล้ท์ของงานที่พลาดไม่ได้ของผู้ถือหุ้น


ถ้าจะมีการประชุมผู้ถือหุ้นที่มีผู้เข้าร่วมไม่น้อยไปกว่างานของเบิร์กไชร์และครึกครื้นไม่แพ้กันแล้วก็คือการประชุมของอีกบริษัทหนึ่งซึ่งก็ประสบความสำเร็จสุดยอดเช่นเดียวกันนั่นก็คือการประชุมของบริษัทวอลมาร์ทบริษัทดิสเค้าท์สโตร์ยักษ์ใหญ่ของอเมริกาซึ่ง ณ. วันนี้คือบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลกด้วยยอดขายปีละ 220 พันล้านเหรียญ และเป็นบริษัทที่ได้รับการชื่นชมสูงสุดในอเมริกา


การประชุมผู้ถือหุ้นของวอลมาร์ทนั้นมีผู้เข้าร่วมประชุมถึง 20,000 คนและต้องเปิดสนามกีฬาประชุมเช่นเดียวกัน แต่งานของวอลมาร์ทนั้นจะออกแนวบันเทิงมากกว่า เพราะจะมีการเชิญซุปเปอร์สตาร์ทั้งทางด้านดนตรี ภาพยนตร์ นางแบบ และกีฬา มาแสดงและโชว์ตัวเคียงคู่กับผู้บริหารบริษัท


ยกเว้นเรื่องของสาระการประชุมซึ่งแตกต่างกันแล้ว ผมคิดว่า 2 บริษัทนี้มีสิ่งที่เหมือนกันในหลาย ๆ เรื่องนั่นคือ บรรยากาศการประชุมเป็นไปด้วยความครึกครื้น มองโลกในแง่ดี ผู้ถือหุ้นมีอารมณ์ร่วมและคิดว่านี่คือบริษัทของพวกเขาที่เขาจะมาฉลองในความสำเร็จปีละครั้ง และที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดก็คือ นี่คือบริษัทที่ได้สร้างความมั่งคั่งให้พวกเขาต่อเนื่องยาวนานและบริหารโดยคนที่มีความสามารถ มีความซื่อสัตย์น่านับถือ และดูแลผลประโยชน์ให้เขาเป็นอย่างดี


ในเมืองไทยนั้น ผมเองยังไม่เห็นการประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทไหนที่สามารถดึงดูดผู้ถือหุ้นให้มาร่วมประชุมและมีความรู้สึกทำนองเดียวกับผู้ถือหุ้นของเบิร์กไชร์หรือวอลมาร์ทแม้แต่เพียงเศษเสี้ยวเดียว แต่นี่ก็อาจจะเป็นภาพสะท้อนที่ว่า นักลงทุนของไทยยังไม่ค่อยมีใครคิดว่าตนเป็นเจ้าของบริษัท หรืออาจจะเป็นเพราะว่ายังไม่มีบริษัทไหนที่ได้สร้างความมั่งคั่งให้กับผู้ถือหุ้นจำนวนมากอย่างน่าประทับใจจริง ๆ
ลงทุนเพื่อชีวิต
ภาพประจำตัวสมาชิก
thaloengsak
Verified User
โพสต์: 2716
ผู้ติดตาม: 1

Re: บทความของดร.นิเวศน์ กันยายน 2554

โพสต์ที่ 18

โพสต์

Trading System โดย ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
12/4/05


คนที่ศึกษาติดตามเกี่ยวกับกลยุทธ์หรือวิธีการลงทุนมักจะได้พบกับกลยุทธ์การซื้อขายหุ้นประเภทที่มีการกำหนดหลักเกณฑ์แน่นอนเป็นระบบ เช่น ซื้อหุ้นมาแล้วถ้าราคาลดลง 10% ก็ให้ขายตัดขาดทุน แต่ถ้าหุ้นขึ้นไป 20% ก็ Take Profit คือขายทำกำไร บางทีก็บอกว่า Let Profit Run คือปล่อยให้หุ้นขึ้นไปเรื่อย ๆ แต่ถ้าหุ้นกลับตกลงมาใหม่ก็ให้ขายเมื่อยังมีกำไรไม่ต่ำกว่า 10% ปัญหามักจะเกิดเวลาหุ้นอยู่เฉย ๆ หรือมีพฤติกรรมที่ไม่เป็นไปตามกฎที่กำหนดไว้
ยกตัวอย่างเช่นกลยุทธ์การซื้อขายหุ้นบอกว่าเมื่อซื้อหุ้น A มาจำนวนหนึ่งแล้ว พอมีกำไร 30% ก็ให้ขายส่วนหนึ่งเพื่อ ลดต้นทุน นั่นคือเอากำไรที่ได้จากการขายมาหักออกจากต้นทุนที่ซื้อหุ้น A มา พอหุ้นขึ้นไปอีกเป็นกำไร 50% ก็ให้ขายไปอีกส่วนหนึ่งเพื่อ ลดต้นทุน ลงไปอีก จนสุดท้าย เมื่อเงินที่ได้จากการขายหุ้นนั้นเท่ากับเงินลงทุนครั้งแรก ก็แปลว่าเราได้ทุนคืนหมด ไม่มีต้นทุนแล้ว หุ้น A ที่เหลืออยู่เป็น ของฟรี ซึ่งจะถือไว้นานเท่าไรก็ได้ เพราะขายได้เท่าไรก็กำไรเท่านั้น ปัญหาของกลยุทธ์หรือระบบการซื้อขายหุ้นแบบนี้ก็คือไม่ได้บอกว่าถ้าซื้อหุ้น A มาแล้วราคาเกิดตกลงไปจะทำอย่างไร
การซื้อขายหุ้นแบบ อัตโนมัติ ตามกฎเกณฑ์ที่กำหนดนี้ ในทางวิชาการเรียกว่า Mechanical Rule แต่เรียกให้เข้าใจกันง่าย ๆ ในที่นี้ว่า Trading System หรือระบบการซื้อขายหุ้นนี้ ใครจะกำหนดอย่างไรก็ได้ และจะเรียกชื่อให้เท่แค่ไหนก็ไม่มีใครว่า คนร้อยคนอาจจะมี Trading System 100 แบบ ตามความคิดของแต่ละคนที่อาจจะเคยลองใช้แล้วเห็นว่าดี บางทีก็มีการแนะนำต่อกันในอินเตอร์เน็ต หรือไม่ก็เขียนเป็นหนังสือขายก็มี แต่ส่วนใหญ่แล้วความนิยมใน Trading System แต่ละแบบก็จะหายไปเมื่อเวลาผ่านไปเหมือนแฟชั่น
Trading System ที่ดูเหมือนจะเป็น สุดยอด ของทั้งหมด เพราะได้รับความนิยมมานานและไม่เสื่อมหายไป รวมทั้งมักได้รับการบรรจุอยู่ในหนังสือแนะนำการลงทุนรวมทั้งตำราและแบบเรียนการลงทุนต่าง ๆ ก็คือระบบที่เรียกว่า Dollar Cost Average ซึ่งบอกให้ซื้อหุ้นด้วยเม็ดเงินเท่ากันทุกเดือนหรือทุกปี เช่น ต้องการลงทุนในหุ้น A 120,000 บาท ก็ให้ซื้อหุ้น A ทุกเดือน เดือนละ 10,000 บาท จนครบ 120,000 บาทในเวลาหนึ่งปี
ข้อดีของ Dollar Cost Average ก็คือมีการกระจายการซื้อหุ้นตลอดปีทั้งในยามที่ตลาดดีและตลาดไม่ดี เพราะฉะนั้นโอกาสที่เราจะซื้อที่ยอดดอยจะน้อยลง นอกจากนั้น การที่เราซื้อด้วยเม็ดเงินเท่ากันทุกเดือนจะช่วยให้เราซื้อหุ้น A ได้ในจำนวนที่มากขึ้นในยามที่ราคาหุ้น A ต่ำ เช่นถ้าหุ้น A มีราคาหุ้นละ 1 บาทเราซื้อได้ 10,000 หุ้น แต่ถ้าเดือนไหนหุ้นขึ้นไปเป็น 2 บาทต่อหุ้นเราก็ซื้อหุ้น A เพียง 5,000 หุ้น เรียกว่าถ้าหุ้นแพงเราซื้อน้อยลง ถ้าหุ้นถูกเราซื้อมากขึ้น ซึ่งจะสวนทางกับนักลงทุนทั่วไปที่ชอบเข้ามาซื้อเวลาหุ้นวิ่งขึ้นแต่ขายทิ้งเวลาหุ้นลง
Dollar Cost Average ไม่ได้พูดถึงเรื่องการขาย อาจจะเพราะว่านี่คือกลยุทธ์การลงทุนสำหรับคนที่มีรายได้ประจำที่อยากเก็บหุ้นลงทุนระยะยาว เผลอ ๆ จนเกษียณอายุ และถ้าหากมีการกำหนดตัวหุ้นที่จะซื้อว่าต้องเป็นผู้นำที่แข็งแกร่งในอุตสาหกรรมหลาย ๆ ตัวแล้วละก็ วิธีการลงทุนแบบนี้น่าจะเป็นระบบการซื้อขายหุ้นที่เหมาะสมที่สุดของคนที่มีความรู้และเวลาที่จำกัดในการลงทุน
สำหรับ Value Investor ที่มีความเชี่ยวชาญแล้ว Trading System เป็นเรื่องที่ไม่มีสาระอะไรนัก ส่วนใหญ่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อสร้างวินัยในการที่จะ ลดความเสี่ยง ให้กับคนที่ ไม่รู้อะไรมากนัก เพราะฉะนั้นจึงต้องอาศัยระบบที่จะมาช่วยในการตัดสินใจแทนการวิเคราะห์คุณค่าของหุ้นอย่างละเอียดรอบคอบ
ผมเองไม่ได้มีความรู้สึกต่อต้านการใช้ Trading System โดยเฉพาะสำหรับคนที่ยัง ทำใจ ไม่ค่อยได้เวลาหุ้นขึ้นหรือลงอย่างแรง หรือเวลาตลาดกำลังเฟื่องหรือเงียบเหงาหมดหวัง แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คือ การเลือกใช้ Trading System ที่ไม่เหมาะสมซึ่งอาจจะไปหักล้างวิจารณญาณในการลงทุนที่ดีของเรา คำแนะนำสุดท้ายของผมก็คือ เวลาเลือกตัวหุ้นนั้น เราควรใช้หลักการพิจารณาแบบ Value Investment ส่วนเรื่องของการซื้อขายนั้น ถ้าอยากจะใช้ Trading System ผมก็คิดว่าไม่มีอะไรเสียหายมากนักแม้ผมจะคิดว่าเป็นเรื่องที่ไม่มีประโยชน์
ลงทุนเพื่อชีวิต
ภาพประจำตัวสมาชิก
thaloengsak
Verified User
โพสต์: 2716
ผู้ติดตาม: 1

Re: บทความของดร.นิเวศน์ กันยายน 2554

โพสต์ที่ 19

โพสต์

ฟ้าทับเหว

ม้าเฉียว 09/02/2005

ฟ้าทับเหว เป็นเครื่องมือจับตาย ที่ใช้จับ(ฆ่า) หนูตามบ้าน ใครที่อายุมากหน่อยน่าจะยังรู้จัก ฟ้าทับเหว มีไม้แผ่นบนรูปทรงสี่เหลี่ยมที่หนาและหนัก เหมือนเป็นฟ้า ส่วนไม้แผ่นล่างที่เป็นฐานรอง และมีฝาประกบ 2 ด้าน เหมือนเป็นเหว เมื่อหนูเข้าไปกินอาหารที่วางเสียบไว้ในเหว ฟ้าจะหล่นลงมาทับหนูจนแหลกเหลวทันที พร้อมๆ กับมีเสียงกระแทกดัง เสียงจะเป็นตัวบอกให้คนดักรู้ เพื่อเอาซากหนูไปฝังทำลาย

เสียงกระทบกระแทกที่ดังลั่น ยังมีผลให้หนูตัวอื่นๆ แตกตื่นจนวิ่งไปติดเครื่องมือดักหนูอันอื่นๆ ก็มี ซึ่งเป็นเทคนิคเสริมเพิ่มประสิทธิภาพการจับดักอีกทางหนึ่ง ฟ้าทับเหว เป็นฟ้าที่ลิขิตที่อยู่ (กิน) ที่ตายของหนู เป็นฟ้าที่คนจับต้องและควบคุมได้เต็มที่

ในตลาดหุ้นบ้านเรา มีฟ้าทับเหวอยู่หลายอัน บางอันก็วางอาหารที่หอมหวนเสียนี่กระไร บางอันก็เย้ายวนใจให้ทดสอบฝีไม้ลายมือและความเร็วของหนู และบางอันพินิจพิจารณาเท่าไหร่ก็มองไม่เห็นฟ้า ไม่เห็นเหว ผมก็เป็นหนูตัวหนึ่ง แต่ผมยินดีไปหากินตามท้องไร่ท้องนาห่างไกลผู้คนที่มีแต่ความสงบ ผมไม่กล้าที่จะไปหากินในบ้านคนที่ไม่รู้จะมีฟ้าทับเหวอยู่กี่อัน แม้บ้านบางหลังดูจะปลอดภัยดี เพราะมีหนูมากมายอาศัยอยู่
ผมอาจจะเป็นหนูที่ขี้ขลาด แต่ผมคิดว่า ไม่ว่าหนูจะฝึกพลังขาของตนให้สามารถวิ่งได้เร็วเท่าไหร่ก็ตาม ผมก็ไม่เคยเห็นหนูตัวไหนที่เมื่อเผลอไปกินอาหารในฟ้าทับเหว แล้วไม่ถูกฟ้าทับ และเป็นการทับที่ไม่ให้โอกาสแก้ตัวใหม่เลยแม้แต่น้อยซะด้วย หนูตัวไหนอาจหาญจะไปทำมาหากินในบ้านที่วางฟ้าทับเหวไว้หลายอันก็ไม่ว่า แต่ในร้อยครั้ง พันครั้งที่เราไปหากินในบ้านนั้น แล้วก็รอดมาซะทุกครั้งนั้น ไม่รู้เหมือนกันว่า ครั้งไหนจะเป็นครั้งที่เรา...จบเห่

หมายเหตุ: พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน
จบเห่ แปลว่า ยุติ, ตาย

ปล. ดีใจที่ได้กลับมาเล่าเรื่องอีกครั้ง หลังจากที่ยุ่งมานาน หลังประกาศผลประกอบการประจำปีที่รอคอย
ลงทุนเพื่อชีวิต
ภาพประจำตัวสมาชิก
thaloengsak
Verified User
โพสต์: 2716
ผู้ติดตาม: 1

Re: บทความของดร.นิเวศน์ กันยายน 2554

โพสต์ที่ 20

โพสต์

ทำไมเศรษฐีจึงหมดตัวได้

คนรวยมากๆ ไม่ใช่จะรวยได้ตลอดชีวิตเสมอไป ความพลิกผันในเรื่องเงินที่เกิดขึ้นกับคนเหล่านี้จนล้มละลายมีบทเรียนให้ศึกษา

George Foreman แชมป์มวยผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งในรุ่นเดียวกับ โมฮัมเหม็ด อาลี ต้องกลับมาชกมวยอีกครั้งตอนอายุ 45 ปี เพราะหมดตัวหลังจากได้เงินจากการชกมวยรวมนับร้อยล้านเหรียญสหรัฐ กลับมาคราวนี้ถึงแม้จะเจ็บตัวอยู่หลายไฟต์ แต่เขาก็พอมีเงินอีกครั้งและนำเงินไปลงทุนเปิดร้านขายแฮมเบอร์เกอร์จนไปได้ ดี

เศรษฐีอเมริกันหลายคนจบชีวิตลงอย่างยากไร้ ไม่ว่าจะเป็น Thomas Jefferson, Mark Twain, Debbie Reynolds, Mike Tyson, Michael Jackson ฯลฯ

Mike Tyson เคยชกครั้งหนึ่งได้ 30 ล้านเหรียญ เขารวยได้เงินมานับร้อยล้านเหรียญ แต่ในปี 2004 เขาล้มละลาย โดยแจ้งต่อศาลว่า มีหนี้ 27 ล้านเหรียญ ครึ่งหนึ่งของจำนวนนี้คือภาษีที่ค้างจ่าย เขาบอกว่าเดือนหนึ่งต้องใช้จ่ายเงินประมาณ 400,000 เหรียญ

Michael Jackson อีกรายที่กำลังมีปัญหาการเงิน ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมาเขามีหนี้ 270 ล้านเหรียญ โดยกู้มาเพื่อลงทุนซื้อลิขสิทธิ์เพลง ของ The Beatles และที่ดินนับพันเอเคอร์ที่เขาตั้งชื่อว่า Neverland ในปี 2005 เขาไม่ชำระหนี้จนจะถูกยึดที่ดินและกำลังเป็นปัญหากฎหมายกันอยู่

เรื่องเล่าเหล่านี้เล่ากันไม่จบ มีอีกมากมายทั้งไทยและเทศ คำถามก็คือเกิดอะไรขึ้นกับคนรวยเหล่านี้จนมีหนี้ท่วมตัว? ทำไมบางคนจึงจบลงด้วยความสิ้นเนื้อประดาตัว?

David Latko ให้คำตอบข้างต้นในหนังสือของเขาชื่อ "Every Body Wants Your Money" Latko บอกว่ามีอยู่ 5 หนทางที่ทำให้บุคคลหนึ่งร่ำรวยขึ้นมา คือ (1) รับมรดก (2) แต่งงานกับคนรวย (3) โกงเขามา (4) ถูกลอตเตอรี่ (5) ได้มาด้วยลำแข้ง

เขาบอกว่าเฉพาะรวยจากหนทางที่ (5) เท่านั้นที่ยั่งยืน คนที่รวยจากหนทาง (1) ถึง (4) มีทางโน้มที่จะผลาญเงินที่ได้มาหมด คนที่รวยด้วยตนเองมักจะดูแลเงินที่มีเป็นอย่างดี แต่มีอยู่เป็นจำนวนมากที่รักษาความร่ำรวยไว้ไม่อยู่ โดยเฉพาะพวกที่ได้เงินมามากๆ ในเวลาอันสั้น ดั่งเช่น ดาราภาพยนตร์ นักมวย นักกีฬา นักดนตรี คนถูกลอตเตอรี่ ฯลฯ

พวกนี้ถ้าไม่มีคนดูแลเรื่องเงินให้เป็นอย่างดีแล้ว มักไม่มีอะไรเหลือ ในปี 1991 Warren Buffet อภิมหาเศรษฐีอเมริกาผู้รวยจากหุ้นบอกว่า ตามที่เขาเห็นมา หนี้กับเหล้า เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เศรษฐีเหล่านี้สิ้นเนื้อประดาตัว เขาเห็นว่า "มนุษย์ไม่มีความจำเป็นต้องเป็นหนี้ก้อนใหญ่ ถ้าเก่งจริงก็จะหาเงินได้โดยไม่ต้องไปกู้ยืมเขามามากมาย ผมไม่กู้เด็ดขาด และไม่คิดว่าตนเองจะมีความสุขมากขึ้นเสมอไป ถ้าได้อะไรมากขึ้น"

ผู้เชี่ยวชาญบอกว่าสาเหตุแรกของการถังแตกของเศรษฐีก็คือ คนรวยนั้นมีความแตกต่างจากพวกเราตรงที่มี Egos (ความเห็นหรือความรู้สึกเกี่ยวกับความสามารถและความสำคัญของตนเอง) มากกว่า การมีจิตวิทยาเช่นนี้ทำให้คิดว่า ตัวเองรู้ทุกอย่าง แต่ความจริงก็คือไม่ได้รู้ทุกอย่าง หลายคนจึงลงทุนผิดพลาดซ้ำซาก เพราะสิ่งนี้สามารถเกิดขึ้นกับใครๆ ก็ได้ทั้งนั้น

สาเหตุที่สองก็คือความสำเร็จทางการเงินทำให้ตนเองเกิดความเชื่อว่าตนเอง ยากที่จะทำอะไรผิด (หรือเป็นไปไม่ได้เลย) ถึงแม้จะมีหลักฐานว่ากำลังจะตัดสินใจลงทุนผิดพลาด หรือสิ่งที่ได้ลงทุนไว้แล้วกำลังจะมีปัญหาก็จะไม่ยอมรับ เพราะความเชื่อมั่นในตัวเองทำให้ยอมรับไม่ได้

นอกจากนี้ ยังเชื่ออีกว่าจะมีเงินสดไหลเข้ามาเสมอ ดังนั้น จึงสามารถใช้จ่ายเงินได้มากมายไปก่อนด้วยการกู้ยืม เพราะตนเองมีหลักทรัพย์เพียงพอที่สามารถใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน หนี้ของคนรวยจึงเกิดขึ้นได้ง่ายๆ เช่นนี้ และหากเกิดข้อผิดพลาดขึ้นเพราะไม่มีเงินไหลเข้ามาเพื่อชำระหนี้ หรือถึงมีเงินไหลเข้ามาก็ถูกใช้จ่ายไปอีกจนหมด การชำระหนี้ก็เกิดขึ้นไม่ได้ ปัญหาการเงินจึงเกิดขึ้นทันที

นักจิตวิทยาบอกว่าเศรษฐีคนใดจะมีปัญหาหรือไม่ ให้มองย้อนไปในอดีตในตอนวัยเด็กและตอนเติบโตว่า "ข้อความ" ที่เขาได้รับเกี่ยวกับเงินแต่เยาวัยนั้นเป็นอย่างไร และให้พิจารณาประกอบกับลักษณะทางอารมณ์ของตัวเขา ทั้งหมดนี้พอบอกได้ว่าเขาจะจัดการเรื่องเงินได้ดีเพียงใดในตอนเป็นผู้ใหญ่

ถ้าในวัยเด็กถูกสอนให้รู้จักคุณค่าของเงิน ถูกสอนว่าเงินเป็นสิ่งหามาได้ยาก ก็จะมีทางโน้มสู่การหวงแหน และทนุถนอมเงินที่ตนเองได้รับ แต่ถ้าไม่ถูกสอนเลยหรือถูกสอนว่าเงินเป็นเรื่องง่ายๆ พ่อแม่มีมากมายให้ใช้ ดังนั้น จึงขอให้ใช้ได้อย่างสบายใจ หากเป็นเช่นนี้ เมื่อโตขึ้นก็จะไม่รู้จักคุณค่าของเงิน และมีทางโน้มที่จะรักษาเงินไว้ได้ยากเมื่อโตขึ้น

นักจิตวิทยาทางการเงินผู้ให้คำแนะนำแก่เศรษฐีบอกว่า ในสังคมที่บุคคลต้องใช้จ่าย เพื่อแสดงฐานะของความเป็นเศรษฐีของตนเอง ไม่ว่าในเรื่องการอยู่กินหรือมีบ้านมีรถยนต์เพื่อให้ได้รับการยอมรับ มีโอกาสที่เศรษฐีจะเกิดปัญหาการเงินได้ง่ายกว่าในสังคมที่การยอมรับอยู่บน พื้นฐานของคุณธรรม

ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าบุคคลที่มีหนี้สินล้นพ้นตัวหรือหมดตัวนั้นโดยแท้จริงแล้วก็คือบ

ุคคลที่ไม่รู้สึกลงตัวกับการมีเงิน

กล่าวโดยสรุปได้ว่าถึงแม้จะเป็นเศรษฐีแต่ก็สามารถล้มละลายได้เสมอหากไม่ ระวังตัวให้ดี สิ่งที่จะทำให้เป็นปัญหาก็คือ การก่อหนี้โดยเชื่อมั่นว่า มีหลักทรัพย์ค้ำประกันอยู่มากมาย จนถึงแม้จะกู้มาใช้จ่ายอย่างสนุกมือก็ไม่ต้องกังวลแต่อย่างใด อย่างไรก็ดี เมื่อเกิดปัญหาในองค์กรเองหรือจากภายนอก หลักทรัพย์นั้นอาจมีมูลค่าลดลง และ/หรือเงินสดที่ไหลเข้า อาจลดลงจนไม่พอชำระหนี้ หนี้ก็จะพอกพูนขึ้นจนในที่สุดก็ไม่สามารถชำระหนี้ได้

เศรษฐีจะรวยได้ยั่งยืนก็คือเศรษฐีหัวไม่โต รู้จักการให้ ไม่เชื่อในเรื่องเป็นหนี้ อยู่กินอย่างพอเหมาะ ไม่ลงทุนอย่างสุ่มเสี่ยงเกินไป เพราะความโลภบังตาและบังใจ ไม่เล่นการพนัน และสุดท้ายมีสติเสมอ นี่คือข้อสรุปของบรรดาผู้ไม่ได้เป็นเศรษฐีแต่เห็นชัดเพราะอยู่ข้างนอกว่า เศรษฐีหมดตัวเพราะเหตุใด


ว่าแต่เมื่อไรตูจะเป็น เศรษฐี กะเขามั่ง
.............................................................
คัดลอกมาจาก คุณbigshow กันยายน ปี 2007
ลงทุนเพื่อชีวิต
ภาพประจำตัวสมาชิก
thaloengsak
Verified User
โพสต์: 2716
ผู้ติดตาม: 1

Re: บทความของดร.นิเวศน์ กันยายน 2554

โพสต์ที่ 21

โพสต์

การค้นหาข้อมูลจากแผ่นกระดาษมีน้อยมากสำหรับประธานบริษัทไมโครซอฟท์ผู้ซึ่งใช้เครื่องมือดิจิตอลหลากชนิดในการดำเนินธุรกิจ

บิล เกทส์ ประธานและหัวหน้าสถาปนิกซอฟท์แวร์ บริษัทไมโครซอฟท์ สหรัฐอเมริกา
7 เมษายน 2549

นิวยอร์ค (ฟอร์จูน) ช่างเป็นสิ่งเหลือเชื่อเมื่อมองย้อนกลับไป 30 ปีเมื่อครั้งไมโครซอฟท์ก่อตั้งและเมื่อรับรู้ว่าการทำงานของบริษัทได้เปลี่ยนรูปแบบไปเพียงไร

ถ้าคุณมองที่สำนักงานนี้จะเห็นว่ามีการใช้งานกระดาษน้อยมาก บนโต๊ะทำงานของผมมีจอภาพอยู่ 3 จอซึ่งทำงานร่วมกัน ผมสามารถลากชิ้นงานจากหน้าจอหนึ่งไปสู่อีกหน้าจอหนึ่ง หลังจากที่คุณมีพื้นที่แสดงผลที่ใหญ่มากคุณจะไม่อยากกลับไปเป็นเหมือนเดิมอีกเพราะมันได้มีผลกระทบโดยตรงกับปริมาณงานที่ทำได้

จอภาพตัวซ้ายแสดงรายการของอีเม็ล (email) ทั้งหลายของผม บนจอภาพตัวกลางปรกติจะเป็นอีเม็ลสำคัญที่ผมกำลังอ่านหรือโต้ตอบอยู่ขณะนั้น และเว็บบราวเซอร์ (web browser) ของผมจะแสดงผลอยู่บนจอภาพด้านขวา การกำหนดรูปแบบนี้ทำให้ผมสามารถชำเลืองมองและดูว่ามีอะไรใหม่เข้ามาบ้างขณะที่ผมกำลังทำงานบางอย่างอยู่ และส่งลิ้งค์ (link) ซึ่งเกี่ยวข้องกับอีเม็ลนั้นไปยังบราวเซอร์ด้านขวาเพื่อดูในรายละเอียดขณะที่อีเม็ลนั้นยังแสดงอยู่ตรงหน้าผม

ที่ไมโครซอฟท์อีเม็ลถือว่าเป็นสื่อกลางทางเลือก ถูกใช้มากกว่าโทรศัพท์ เอกสาร บล็อก (blog) หรือการประชุม (วอยซ์เม็ล (voicemail) และแฟ็กซ์ (fax) ได้ถูกรวมเข้ากับกล่องรับอีเม็ลของเราเรียบร้อย)

ผมได้รับอีเม็ลประมาณ 100 อีเม็ลต่อวัน เรากลั่นกรองอีเม็ลทั้งหมดให้เหลืออยู่ในระดับนั้น ซึ่งเป็นอีเม็ลที่ส่งตรงถึงผมจากบุคคลที่เคยโต้ตอบด้วย เช่น พนักงานไมโครซอฟท์, Intel, HP, และบริษัทหุ้นส่วนอื่นๆ และคนอื่นที่ผมรู้จัก และผมยังได้รับอีเม็ลที่ถูกส่งขึ้นมาจากผู้ช่วยของผมจากอีเม็ลอื่นๆจากบริษัทหลายบริษัทซึ่งไม่ได้อยู่ในรายการอนุญาตของผมหรือจากผู้คนซึ่งผมไม่เคยรู้จัก ด้วยวิธีการนี้ทำให้เราทราบถึงสิ่งที่คนเยินยอเรา สิ่งที่คนไม่พอใจเรา และสิ่งที่คนร้องขอต่อเรา

ปัจจุบันเราอยู่ตรงจุดที่ความท้าทายไม่ใช่ทำอย่างไรให้การติดต่อทางอีเม็ลมีประสิทธิภาพ แต่มันคือการทำให้แน่ใจว่าคุณได้ใช้เวลากับอีเม็ลที่เป็นเรื่องสำคัญที่สุด ผมใช้เครื่องมือที่เรียกว่า กฏกล่องรับเม็ล (in-box rules) และค้นหาแฟ้มต่างๆเพื่อทำเครื่องหมายและจัดกลุ่มข่าวสารบนพื้นฐานของเนื้อหาและความสำคัญของพวกมัน

ผมไม่ได้ให้ความสำคัญกับรายการต้องทำ (to-do list) แต่ผมใช้อีเม็ลและแฟ้มบนพื้นที่เด็สท็อป (desktop) และปฏิทินออนไลน์ของผม ดังนั้นเมื่อผมเดินมาที่โต๊ะทำงานผมสามารถเพ่งความสนใจไปที่อีเม็ลที่ผมได้ทำเครื่องหมายไว้และตรวจสอบแฟ้มงานที่กำลังเฝ้ามองโครงการและบล็อกนั้นๆ

Outlook มีกล่องแจ้งเตือนเล็กๆที่จะแสดงขึ้นด้านล่างขวาของจอภาพเมื่อไหร่ก็ตามที่อีเม็ลใหม่ถูกส่งเข้ามา เรามักเรียกมันว่าขนมปังร้อน ผมเคร่งครัดที่จะไม่สนใจมันถึงแม้ผมรู้ว่ามันจะเป็นหัวข้อสำคัญมากก็ตาม

การอยู่ในประเด็นคือสิ่งสำคัญ นั่นคือปัญหาของการมีข้อมูลข่าวสารที่มากเกินไป อีกปัญหาก็คือมีข้อมูลข่าวสารน้อยเกินไป การมีข้อมูลข่าวสารท่วมล้นไม่ได้หมายความว่าเราได้ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องหรือเรากำลังสื่อสารกับบุคคลที่ควรสื่อสารด้วย

ผมรับมือกับปัญหาเหล่านี้โดยใช้ SharePoint ซึ่งเป็นเครื่องมือสร้างเว็บไซต์ (web site) สำหรับการร่วมงานกันในโครงการเฉพาะ บนเว็บไซต์ประกอบด้วยแผนงาน ตารางเวลา บอร์ดสนทนา และข้อมูลอื่นๆ ซึ่งสามารถถูกสร้างขึ้นโดยใครก็ได้ในบริษัทเพียงการคลิ้ก (click) ไม่กี่ครั้ง

ตอนนี้ผมพร้อมแล้วสำหรับสัปดาห์การคิด (Think Week) ในเดือนพฤษภาคมผมจะพักจากงานประจำซัก 1 สัปดาห์เพื่ออ่านเอกสารมากกว่า 100 ผลงานจากพนักงานไมโครซอฟท์ซึ่งพิจารณาว่าเป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับบริษัทและอนาคตของเทคโนโลยี ผมทำเช่นนี้มานานกว่า 12 ปีแล้ว มันเคยเป็นกระบวนการบนกระดาษทั้งหมดซึ่งผมเป็นคนเดียวที่อ่านและให้ความเห็น มาวันนี้กระบวนการทั้งหมดเป็นดิจิตอลและเปิดกว้างให้ทุกคนทั่วทั้งบริษัท

ปัจจุบันผมจึงทำงานอย่างมีประสิทธิภาพในการเลือกผลงานที่น่าอ่านและผมสามารถให้ความเห็นซึ่งคนอื่นๆสามารถมองเห็นได้ทันที

ไมโครซอฟท์ประกอบด้วยพนักงานมากกว่า 50,000 คน ดังนั้นเมื่อผมกำลังคิดว่า เฮ้ อนาคตของระบบชำระเงินแบบออนไลน์จะเป็นยังไง? หรือ วิธีการอะไรที่จะสามารถติดตามความทรงจำของคุณเกี่ยวกับลูกๆของคุณได้ดีที่สุด? หรือถ้ามีความคิดใหม่ๆดีๆผมรีบจะจดไว้ จากนั้นคนอื่นก็สามารถมองเห็นมันและอาจตอบกลับว่า ไม่ใช่ คุณคิดผิดแล้ว หรือ คุณไม่รู้หรือว่างานชิ้นนี้ทำเสร็จได้ด้วยวิธีการนั้นๆ

SharePoint ทำให้ผมได้ติดต่อกับผู้คนซึ่งอยู่ลึกลงไปในองค์กร มันเหมือนกับการมีเว็บไซต์ขนาดใหญ่แล้วทำให้ผู้คนจำนวนมากสามารถแก้ไขเอกสารและสนทนากันซึ่งห่างไกลกว่าวิธีปฏิบัติมาตรฐานของการส่งอีเม็ล ระบบจะแจ้งให้เราทราบถ้าข้อมูลใดๆเพิ่มเข้ามาใหม่และเกี่ยวข้องในขอบข่ายที่เราสนใจ

เครื่องมือดิจิตอลอื่นซึ่งมีผลกระทบมากต่อผลผลิตงานของผมคือการค้นหาข้อมูลบนเด็สท็อป มันได้เปลี่ยนแปลงรูปแบบการเข้าถึงข้อมูลบนเครื่องพีซีของผม บนเครื่องเซิร์ฟเวอร์ และบนอินเตอร์เน็ต ในเมื่อฮาร์ดดิสค์มีขนาดความจุใหญ่ขึ้นมาก แบนด์วิดธ์ (bandwidth) รับส่งข้อมูลได้มหาศาล ตอนนี้ผมมีข้อมูลขนาดหลายกิกะไบท์บนเครื่องพีซีของผมและเซิร์ฟเวอร์ในรูปแบบของอีเม็ล เอกสาร ไฟล์มัลติมีเดีย ฐานข้อมูลการติดต่อ และอื่นๆอีกมากมาย

แทนที่จะใช้วิธีการค่อยๆไล่ดูแต่ละแฟ้มข้อมูลเพื่อคนหาเอกสารชิ้นหนึ่งที่ผมคาดว่าชิ้นส่วนข้อมูลนั้นจะบรรจุอยู่ ผมเพียงแค่พิมพ์ข้อความลงไปในแถบเครื่องมือจากนั้นทุกอีเม็ลและเอกสารซึ่งบรรจุข้อมูลนั้นก็อยู่ใกล้เพียงแค่ปลายนิ้วมือของผม หมายเลขโทรศัพท์และอีเม็ลแอดเดร็สก็สามารถค้นหาได้อย่างง่ายดายเช่นกัน

กระดาษไม่ได้เป็นส่วนสำคัญในวันทำงานของผมอีกต่อไป 90% ของข่าวสารที่ผมได้รับเป็นแบบออนไลน์ เวลาผมเข้าประชุมและต้องการที่จะบันทึกอะไรเก็บไว้ผมจะนำเครื่องแท็บเล็ทพีซี (Tablet PC) เข้าไปด้วย ซึ่งมันจะบรรจุข้อมูลที่สอดคล้องกับข้อมูลบนเครื่องพีซีในสำนักงานของผมดังนั้นผมจึงมีไฟล์ทุกไฟล์ที่ผมต้องการ ผมยังมีซอฟท์แวร์ใช้สำหรับจดบันทึกข้อมูลที่มีชื่อว่า OneNote ดังนั้นข้อมูลจดบันทึกของผมจึงอยู่ในรูปแบบของดิจิตอล

ชิ้นส่วนอุปกรณ์ที่ไม่ค่อยทันสมัยนักอันหนึ่งในสำนักงานของผมคือกระดานไวท์บอร์ด (whiteboard) ผมใช้มันเสมอกับปากกาหลากสี และมันเยี่ยมยอดสำหรับการระดมสมองเมื่อผมอยู่กับบุคคลอื่นและบางครั้งเมื่ออยู่คนเดียว

กระดานไวท์บอร์ดในบางสำนักงานของไมโครซอฟท์มีความสามารถในการเก็บข้อมูลรูปภาพและส่งไปยังคอมพิวเตอร์ซึ่งเป็นเหมือนกับแท็บเล็ทพีซีขนาดใหญ่ ขณะนี้ผมยังไม่มีกระดานที่ว่านี้แต่ก็เป็นไปได้ที่ปีหน้าผมจะหาไว้ซักอัน วันนี้ถ้าเกิดไอเดียดีๆแว็บขึ้นมาผมจะรีบหยิบปากกาและแท็บเล็ตพีซีของผมขึ้นมาบันทึกมันไว้ทันที
เวลาในแต่ละวันของผมหมดไปกับการประชุม เป็นสิ่งที่ดีแต่ก็ใช้เวลามากพอสมควรในการจดบันทึกแนวความคิดต่างๆเก็บไว้หรือติดตามงานต่างๆในการประชุมระหว่างวัน แต่บางครั้งมันก็ไม่ได้เกิดขึ้น จึงเป็นเวลาที่ดีเมื่อเด็กๆเข้านอนกันหมดและสามารถนั่งที่บ้านแล้วได้ไล่อ่านอีเม็ลต่างๆที่ผมยังไม่ได้อ่าน แต่ถ้าทั้งสัปดาห์นั้นงานยุ่งจริงๆผมจะใช้เวลาช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์เพื่อส่งอีเม็ลที่ยาวและมีรายละเอียด เมื่อผู้คนเข้าทำงานในเช้าวันจันทร์พวกเขาจะเห็นได้ว่าผมค่อนข้างยุ่งและพวกเขาก็จะได้รับอีเม็ลจำนวนมากนั้น

ที่มา: How I Work: Bill Gates
URL: http://money.cnn.com/2006/03/30/news/ne ... k_fortune/
ผู้เขียน: Bill Gates
ผู้แปลและเรียบเรียง: roadtrip
ลงทุนเพื่อชีวิต
ภาพประจำตัวสมาชิก
thaloengsak
Verified User
โพสต์: 2716
ผู้ติดตาม: 1

Re: บทความของดร.นิเวศน์ กันยายน 2554

โพสต์ที่ 22

โพสต์

วิธีที่ท่านคัดท้ายซื้อหุ้น



จริงๆจะว่าไปก็ดีเหมือนกัน ผมเองก็ไม่ค่อยได้เรียบเรียงความคิดตัวเองเท่าไหร่ เวลาลงทุน เพิ่งรู้สึกเวลาโดนเฮียคลายเครียดให้ไปพูดงานสินธร ถึงได้รู้ว่าเวลาเรานั่งเรียบเรียงสิ่งที่เราทำเป็นข้อๆ มันก็ทำให้เราทบทวนตัวเองเหมือนกัน

ก่อนจะรู้ว่าคนๆนึงจะมีวิธียังไง ผมว่าควรจะต้องรู้ว่า เค้ามีความเชื่อยังไงก่อน .. ผมว่าอันนี้สำคัญมาก อย่างในกระทู้ที่ผมพูดเรื่องการลงทุนแบบบัฟเฟต จะเห็นว่ามีหลากหลายความเห็นและความเชื่อ ซึ่งในความเชื่อที่แตกต่าง วิธีการที่ออกมามันก็จะแตกต่างกันด้วย

ผมเริ่มด้วยความเชื่อของผมก่อนแล้วกันครับ ก็เขียนเท่าที่พอจะนึกออกนะครับ คงเขียนหมดไม่ไหว นึกไม่ออก

ความเชื่อส่วนตัวของผม อาจจะจริงหรือไม่จริงก็ได้ แต่ผมเชื่อแบบนี้

1. ผมมีความเชื่อที่สำคัญที่สุด ... และกฏทุกกฏของผมจะ Relate กับกฏทองข้อแรกนี้ คือ เงินมาจาก กระเป๋าคนอื่น

คนทั่วไปอาจจะบอกว่า เงินมาจากนักลงทุนคนอื่นๆที่เสียให้เรา แต่จริงๆ ผมรวมไปถึง คนซื้อของที่จ่ายเงินให้ธุรกิจที่เราเป็นเจ้าของด้วย

2. คนส่วนใหญ่ที่เล่นหุ้น จะเสียเงิน มากกว่าได้เงิน ... กฏนี้เป็นกฏทองข้อที่สองครับ

ถ้าเมื่อใด คนส่วนใหญ่คิดอะไรเหมือนกันหมด ... เห็นดีเห็นงามเหมือนกันหมด ... คิดว่าหุ้นจะขึ้นเหมือนกันหมด ... คิดว่าหุ้นจะลงเหมือนกันหมด ...

มันใกล้จะเป็นจุดหักเหแล้ว ... โดยเฉพาะในมุมมองในแง่ดี

3.เทคนิคอลกราฟ ... ก็ตำราเดียวกัน แตกต่างกันมีบ้าง ... อะไรที่คนรู้มากๆแล้วไม่ปลอดภัย ถ้าเรารู้ คนอื่นรู้ เจ้ามือก็รู้ ... สัญญาณก็จะกลายเป็นกับดัก จะเห็นได้ว่า ข้อนี้ก็เกี่ยวกับกฏทองข้อที่สอง

4. ข่าวดี ข่าวร้าย ส่วนใหญ่ในตลาด ใช้เป้นตัวสร้างโมเม็นตัมของทิศทางราคา ไม่ใช่ทำให้เกิดการไล่ราคา โดยเฉพาะหุ้นที่มีสภาพคล่องสูง

5. ไม่มีใครรู้จริงเรื่องราคาหุ้น แม้แต่เจ้ามือ ก็เจ๊งบ่อย การบริหารความเสี่ยงเป็นเรื่องสำคัญ

6. หาหุ้นที่มีความสามารถในการแข่งขันแบบยั่งยืนในตลาดหุ้นไทย เหมือนงมเข็ม ในมหาสมุทร ยิ่งถ้าหาโอกาสซื้อในราคาที่มีส่วนลด ยิ่งหนักเข้าไปอีก ...

7. ธุรกิจในเมืองไทย ไม่สามารถขยายตัวได้เท่ากับ ธุรกิจในอเมริกา ทำให้ตลาดไทยมี Cycle ที่สั้นกว่าตลาดอเมริกามาก และไม่ควรนำมาเปรียบเทียบกัน

เทียบกันง่ายๆ ส่วนใหญ่หุ้น IPO ที่เข้ามาในเมืองไทย มักขยายตัวไปเต็มพื้นที่ในประเทศ หรือ ใกล้ตันแล้ว (แต่มีบางอันที่ยังมีโอกาสขยายเช่น SE-ED BIGC OISHI ...) ไม่ได้มีพื้นที่ที่จะขยายตัวได้อย่างเหลือเฟือ ..

ถ้าเป็นธุรกิจในอเมริกา ธุรกิจนึงอาจขายดีในระดับรัฐ แล้วก็เข้าตลาดหุ้น เค้าก็สามารถขยายได้อีก 50 รัฐ ... แล้วเมื่อไปทั่วอเมริกา เค้าก็สามารถขยายไปทั่วโลกได้ มีความสามารถในการแข่งขัน

... หุ้นเมืองไทย ไม่ใช่แบบนั้น การจะเอามาเปรียบเทียบกัน ต้องทำด้วยความระมัดระวัง

8. การถือหุ้นของกิจการดี แต่ไม่เติบโตหรือเติบโตน้อย ในราคาที่ไม่มีส่วนลดที่เพียงพอ ไม่ใช่การลดความเสี่ยง เพราะวันใดวันหนึ่งความเสี่ยงก็ย่อมเกิดขึ้นได้

9. การถือหุ้นที่กิจการไม่ดี ในราคาที่ไม่มีส่วนลดที่มากเพียงพอ เป็นการกระทำที่โคตรเสี่ยง

10.การถือหุ้น ที่กิจการกำลังเติบโต ในราคาที่มีส่วนลด เป็นการลดความเสี่ยง

11.กลยุทธและแผนงาน เหนือกว่าความสามารถส่วนบุคคล

12.ผมไม่เคยเชื่อเรื่องธรรมาภิบาล แต่เชื่อว่าคนทุกคนทำเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง ซึ่งผมคิดว่าไม่ได้ผิดอะไร แต่ใส่ใจกับเจ้าของที่มีโอกาสทำเลวเกินพิกัด

เมืองไทย ไม่ใช่ประเทศธรรมาภิบาล ... ดูจากสังคม และการเมืองได้ .. ถ้าตลาดหุ้นมันก็น่าจะซึมซับพฤติกรรมมาไม่มากก็น้อย ... ทุกอย่างเกิดขึ้นได้ ...

เป็นคนไทยต้องไม่ประมาท ทุกอย่างเกิดขึ้นได้ เป็นคนไทยต้องดูแลตัวเอง ..
ลงทุนเพื่อชีวิต
ภาพประจำตัวสมาชิก
thaloengsak
Verified User
โพสต์: 2716
ผู้ติดตาม: 1

Re: บทความของดร.นิเวศน์ กันยายน 2554

โพสต์ที่ 23

โพสต์

Value Way ฉบับวันที่ 16 มีนาคม 2552
โดยวิบูลย์ พึงประเสริฐ
จอร์จ โซรอส.สารภาพ
จอร์จ โซรอสทำนายการเกิดวิกฤติเศรษฐกิจอเมริกาไว้ล่วงหน้า เขาเขียนหนังสือออกมาหนึ่งเล่มเมื่อเดือนมกราคม 2008 ชื่อ ยุคใหม่ของตลาดการเงิน (The New Paradigm for Financial Markets) กล่าวถึงสาเหตุของวิกฤติการเงินที่จะเกิดขึ้นและจะสามารถนำทฤษฏีของเขามาอธิบายปรากฏการณ์นี้ได้อย่างไร และแล้วถึงวันนี้ตลาดหุ้นและโลกการเงินได้พิสูจน์แล้วว่าโซรอสพูดถูก

ถึงแม้เขาจะพยากรณ์การเกิดวิกฤติการเงินครั้งใหญ่ได้ แต่ในเรื่องของการลงทุน กว่าที่โซรอสจะฝ่าพิษวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก เรามาดูกันว่าปีที่ผ่านมาเขาลงทุนในอะไรบ้าง และแต่ละอย่างนั้นให้ผลตอบแทนแก่เขาอย่างไร

โซรอสกล่าวว่าถึงแม้เขาจะตั้งรับวิกฤติการเงินครั้งนี้เป็นอย่างดี แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาขาดทุนมหาศาลก็คือ การที่ตลาดการเงินในประเทศที่พัฒนาแล้วและประเทศที่กำลังพัฒนาไม่ได้แยกออกจากกันอย่างชัดเจน (Decoupling)
ตลาดหุ้นในอินเดียและจีนต่างได้รับผลกระทบมากกว่าตลาดหุ้นในอเมริกาและยุโรปเสียอีก ที่สำคัญเขาไม่ได้ลดการลงทุนในตลาดหุ้นอินเดียเลย ทำให้ปีที่ผ่านมาเขาขาดทุนในอินเดียมากกว่ากำไรที่เคยได้ในปีก่อนหน้านี้ สำหรับการลงทุนในจีน โชคดีที่ผู้จัดการประจำเมืองจีนของเขาทำได้ดีในการเลือกหุ้น รวมทั้งการแข็งค่าของค่าเงินหยวนช่วยให้เขาเอาตัวรอดจากการลงทุนในจีนไปได้

การขาดทุนจากอินเดียและผลขาดทุนจากผู้จัดการกองทุนทำให้เขาต้องใช้การลงทุนแบบมาโคร (Macro Account) เป็นตัวช่วย ซึ่งเกิดผลเสียอย่างหนึ่งคือเขาเทรดมากเกินไป พอร์ตการลงทุนของเขามีขนาดใหญ่มากสำหรับตลาดในช่วงเวลานั้น ดังนั้นเพื่อลดความเสี่ยง เขาจึงไม่สามารถสวนตลาดมากๆได้ ทำให้เขาต้องคอยจับจังหวะทีละนิดละหน่อยแทน

โซรอสบอกว่าการเทรดเช่นนี้ทำให้เกิดความลำบากในการช๊อตหรือยืมหุ้นมาขาย (Short Position) ถึงแม้เขาจะมีประสบการณ์มากในการช็อตหุ้น แต่เขาก็ต้องยอมขาดทุนหลายๆครั้ง รวมทั้งตกขบวนรถในช่วงที่ตลาดตกต่ำมากที่สุดในช่วงตลุาคมและพฤศจิกายนในปีที่ผ่านมา

ขณะที่พอร์ตถือหุ้นของเขา (Long Position) เขาไม่ได้ลดจำนวนหุ้นลงทำให้ขาดทุนอย่างมหาศาล เขาบอกว่าเขาซื้อหุ้นจำนวนมากของบริษัทผลิตน้ำมันในบราซิลเพราะเชื่อมั่นในการค้นพบหลุมน้ำมันขนาดใหญ่นอกชายฝั่ง หลังจากนั้นราคาหุ้นบริษัทนี้ได้ลดลงถึง 75 เปอร์เซนต์ นอกเหนือจากนั้นเขายังขาดทุนจากการลงทุนในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีในตะวันออกกลางอีกด้วย
โชคยังดีที่เขาขายหุ้นบริษัทเหมืองแร่ในบราซิลออกไปก่อนที่ราคาสินค้าโภคภัณท์จะตกลง รวมทั้งยืมหุ้นบริษัทเหล็กมาขายทำกำไรได้ ถึงอย่างไรก็ตามเขาก็พลาดโอกาสที่จะลงทุนในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์โดยตรง เพราะประสบการณ์สอนเขาว่ามันยากที่จะซื้อขายในตลาดนี้

นอกจากนี้เขายังยอมรับว่าขาดทุนกำไรกับค่าเงินดอลล่าร์เพราะเขาปิดสถานะพอร์ตเงินดอลล่าร์ก่อนที่ดอลล่าร์จะแข็งค่าขึ้นอย่างมาก เขาทำกำไรได้ในการลงทุนในประเทศอังกฤษ เพราะคาดว่าดอกเบี้ยระยะสั้นจะลดลงรวมทั้งทำกำไรจากการขายช๊อตเงินยูโร เขายังทำกำไรจากตลาดเครดิตในช่วงที่ตลาดเงินกำลังล่มสลาย ในช่วงปลายปีที่ผ่านมาเขาคาดว่าเงินดอลล่าร์จะอ่อนค่าลง ทำให้เขาทำกำไรได้จากการขายช๊อตเงินดอลล่าร์ การลงทุนในดอลล่าร์ครั้งนี้ทำให้้ผลตอบแทนในปี 2008 กลับมาเป็นบวกที่ 10% หลังจากที่ขาดทุนมาตลอดหลายเดือนในช่วงที่ผ่านมา

จะเห็นว่าแม้แต่นักลงทุนระดับโลกอย่างจอร์จ โซรอส งแม้เขาจะทำนายการเกิดของวิกฤตินี้ได้ล่วงหน้า แต่ยังเกือบเอาตัวเองไม่รอดจากผลกระทบจากวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ครั้งนี้ ถือว่าปีที่ผ่านมาเป็นปีปราบเซียนอย่างแท้จริง
ลงทุนเพื่อชีวิต
ภาพประจำตัวสมาชิก
thaloengsak
Verified User
โพสต์: 2716
ผู้ติดตาม: 1

Re: บทความของดร.นิเวศน์ กันยายน 2554

โพสต์ที่ 24

โพสต์

Value Way ฉบับวันที่ 22 ธันวาคม 2551
โดยวิบูลย์ พึงประเสริฐ
เก่งหรือเฮง (2)

บทความฉบับที่แล้วกล่าวถึงหนังสือ Fooled by Ramdomness เขียนโดยนาซิม นิโคลัส ทาเล็บ (Nassim Nicholas Taleb) ในเรื่องของความบังเอิญในการทำกำไรจากการลงทุน มีนักลงทุนจำนวนมากประสบความสำเร็จจากการลงทุนในตลาดหุ้นมาเป็นเวลานานหลายปี จนคิดว่ามาจากฝีมือของตนเองล้วนๆ แต่ความจริงแล้วเขาเหล่านั้นอาจเพียงแค่โชคดีก็ได้

ในหนังสือดังกล่าวได้เขียนเอาไว้ถึงอุปนิสัยของนักลงทุนที่รวยด้วยโชคแต่ต้องหมดตัวในเวลาต่อมาไว้ดังนี้

ตั้งเป้าว่าความเชื่อของตนมีความถูกต้องมากเกินไป พวกเขาไม่เคยมองถึงข้อเท็จจริงที่ว่าการซื้อขายโดยการอิงจากตัวแปรทางเศรษฐกิจที่เคยใช้ได้ผลในอดีตอาจเป็นแค่เรื่องบังเอิญเท่านั้น ที่แย่กว่านั้นก็คือการวิเคราะห์ทางเศรษฐกิจอาจเป็นการปกปิดความบังเอิญที่ซ่อนอยู่ก็เป็นได้ เขาอาจเข้ามาในตลาดตอนที่วิธีการของเขาใช้ได้ผล แต่เขาไม่เคยทดสอบว่าจะเกิดอะไรขึ้นในทิศทางตรงกันข้าม บางช่วงเศรษฐกิจทำให้นักเล่นหุ้นผิดหวัง และในบางครั้งเศรษฐกิจกลับช่วยพวกเขาก็มี

ในช่วงต้นยุค 1980 เงินดอลลาร์มีมูลค่าสูงเกินจริง นักค้าเงินซึ่งใช้สัญชาตญานทางเศรษฐกิจเพื่อทำการซื้อขายเงินสกุลต่างประเทศล้วนแต่จบเห่ไปตามๆกัน แต่ต่อมาคนที่ทำแบบเดียวกันกลับรวยขึ้น (หลังจากที่กลุ่มแรกม้วนเสื่อไปแล้ว) นี่เป็นเรื่องของความบังเอิญ เหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกันก็คือ ใครที่พยายามช้อนซื้อหุ้นระยะสั้นของญี่ปุ่นในช่วงปลายทศวรรษที่ 1980 ก็เจอโชคร้ายแบบเดียวกัน ต่อมามีไม่กี่คนเท่านั้นที่เอาตัวรอดจนสามารถหักกลบลบหนี้ของตนได้กลังจากที่ต้องเจอกับสภาพตลาดพังในช่วงทศวรรษ 1990 อีกครั้ง ในช่วงที่เขียนหนังสือเล่มนี้ มีกลุ่มนักค้าหุ้นที่เรียกกันว่ามหภาคกำลังร่วงเหมือนแมลงวันอยู่ และมีนักลงทุนระดับตำนาน (ที่จริงต้องเรียกว่าโชคดีมากกว่า) อย่างจูเลียน โรเบิร์ตสันต้องพับฐานไปในปี 2000 หลังจากที่เป็นดาวดวงเด่นมานาน สิ่งที่เห็นได้ชัดก็คือไม่มีอะไรขาดความแม่ยำเกินไปกว่าการวิเคราะห์ทางเศรษฐกิจเพื่อซื้อขายหุ้นหรือพันธบัตรอีกแล้ว

มีแนวโน้มที่จะพยายามเปลี่ยนเรื่อง เมื่อนักเล่นหุ้นเริ่มขาดทุน พวกเขาจะกลายเป็นนักลงทุนระยะยาว จากนั้นก็มีการเปลี่ยนสภาพกลับไปกลับมาระหว่างนักเล่นหุ้นกับนักลงทุนเพื่อทำให้สอดคล้องกับชะตาที่พลิกผันของตนเอง การลงทุนในระยะาวไม่ใช่เรื่องที่ผิดที่อย่างใด แต่เราต้องไม่นำไปสับสนปนเปกับการซื้อขายในระยะสั้น ผู้คนจำนวนมากกลายเป็นนักลงทุนระยะยาวหลังจากที่เขาเริ่มขาดทุน พวกเขาพยายามผัดผ่อนการตัดสินใจขายหุ้นทิ้งออกไป ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิเสธความจริง

ไม่มีแผนงานล่วงหน้าว่าจะทำอะไรเมื่อเกิดขาดทุนขึ้นมา พวกเขาไม่ได้ตระหนักถึงความเป็นไปได้ดังกล่าว คนจำนวนมากซื้อหุ้นเพิ่มขึ้นหลังจากที่ตลาดตกลงอย่างหนัก แต่ไม่ใช่การซื้อที่สอดตล้องกับแผนงานที่วางเอาไว้ล่วงหน้า

ขาดการตัดสินใจที่เด็ดเดี่ยว ส่วนมากเนื่องมากจากขาดการทบทวนสภาพเพื่อหยุดยั้งภาวะขาดทุน นักเล่นหุ้นไม่ชอบขายในตอนที่เคยมีราคาดีกว่านี้ พวกเขาไม่เคยมองว่าบางทีวิธีการในการจำแนกมูลค่าของพวกเขาอาจจะผิดก็ได้ แต่พยายามมองว่าการที่ตลาดตกสอดคล้องกับวิธีการวัดมูลค่าของพวกเขาแล้ว พวกเขาอาจคิดถูกก็เป็นได้ แต่ทว่าพวกเขาไม่ได้เตรียมเงินส่วนหนึ่งเอาไว้รับมือกับความเป็นไปได้ที่วิธีการของพวกเขาอาจมีข้อบกพร่อง

ปฏิเสธความจริง เมื่อมีการขาดทุนเกิิดขึ้น พวกเขาไม่สามารถยอมรับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอย่างชัดเจน ราคาหุ้นที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอสูญเสียความเป็นจริงไปแล้วถูกแทนที่ด้วยมูลค่าที่เป็นนามธรรม นี่เป็นรูปแบบปฏิเสธความจริงปกติทั่วไป พวกเขาบอกตัวเองว่านี่เป็นผลมาจากการจ่ายชำระหนี้ปกติ หรือยอดขายลดลงชั่วคราวเท่านั้นเอง พวกเขาปฏิเสธข่าวสารที่มาจากข้อเท็จจริงอยู่ตลอดเวลา

ทำไมนักเล่นหุ้นที่ทำผิดพลาดจึงกลายมาเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จได้ สาเหตุมาจากหลักการง่ายๆของความบังเอิญนั่นเอง เรามองว่าพวกเขาเก่งเนื่องจากพวกเขาทำงเินได้ แต่ทว่าใครก็สามารถทำงเินจากตลาดการเงินอันเป็นผลมาจากความบังเอิญล้วนๆได้
ลงทุนเพื่อชีวิต
ภาพประจำตัวสมาชิก
thaloengsak
Verified User
โพสต์: 2716
ผู้ติดตาม: 1

Re: บทความของดร.นิเวศน์ กันยายน 2554

โพสต์ที่ 25

โพสต์

Value Way ฉบับวันที่ 12 มกราคม 2552
โดยวิบูลย์ พึงประเสริฐ
ไม่มีที่ไหนรอด

สำหรับตลาดหุ้นทั่วโลกแล้ว ปี 2551 ที่ผ่านมาถือว่าเป็นอีกปีหนึ่งที่นักลงทุนต้องจดจำกันไปอีกนาน ตลาดหุ้นทั่วโลกลดลงกันอย่างถ้วนหน้า ไม่ว่าจะเป็นในเอเซีย ยุโรป อเมริกาเหนือ หรืออเมริกาใต้ นักลงทุนไทยที่คิดว่าการกระจายความเสี่ยงด้วยการลงทุนในต่างประเทศ จะสามารถลดความเสี่ยงจากวิกกฤติการเมืองในประเทศไทยได้ แต่ในความเป็นจริงกลับพบว่าตลาดหุ้นต่างประเทศบางแห่งประสบภาวะขาดทุนมากกว่าตลาดหุ้นไทยเสียอีก เป็นอีกครั้งนับจากเหตุการณ์แบล็คมันเดย์ในปี 2530 ที่ตลาดหุ้นทั่วโลกลดลงอย่างรวดเร็วในเวลาพร้อมๆกัน โดยไม่มีตลาดหุ้นใดฝืนกระแสความตกต่ำครั้งนี้ไปได้

ตลาดหุ้นดาวน์โจนส์ของอเมริกาปิดตลาดวันสิ้นปีที่ี่ 8,776 จุด ลดลง 34% นับเป็นการลดลงมากที่สุดนับจากการเกิดเศรษฐกิจตกต่ำตั้งแต่ปี 1931 (พ.ศ.2474)

ตลาดหุ้นลอนดอน FTSE-100 ปิดที่ 4,434 จุด ลดลง 31.3% มากที่สุดในรอบ 24 ปี

เช่นเดียวกับที่แฟรงเฟริต ตลาดหุ้นเยอรมัน DAX-30 ลดลง 40% เป็นปีที่เลวร้ายที่สุดของตลาดหุ้นเยอรมันในรอบ 20 ปี

ตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้เป็นตลาดหุ้นที่มีผลขาดทุนมากที่สุดในโลกโดยลดลงถึง 65.2% ในปีที่ผ่านมา มูลค่าหุ้นหายไปถึง 3 ล้านล้านเหรียญ (12 ล้านล้านบาท)

ตลาดหุ้นญี่ปุ่นลดลง 42% เป็นปีที่ขาดทุนมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของตลาดหุ้นญี่ปุ่นนับตั้งแต่ก่อตั้ง

ตลาดหุ้นฮ่องกงลดลง 48% ในปีที่ผ่านมา นับเป็นการลดลงมากที่สุดนับตั้งแต่วิกกฤตนำ้มันช่วงปี 1970 (พ.ศ.2513) รวมทั้งตลาดหุ้นอินเดียที่ตกมากกว่า 50%

ตารางแสดงผลประกอบการปี 2551 ของตลาดหุ้นสำคัญๆทั่วโลก
นิวยอร์ค -33.84%
ลอนดอน -31.3%
ปารีส -42.7%
แฟรงเฟริต -40.4%
มุมไบ -51.9%
สิงคโปร์ -49.2%
ซิดนีย์ -41.3%
ฮ่องกง -48.3%
เซี่ยงไฮ้ -65.2%
โตเกียว -42.1%
ไทย -46.7%สาเหตุของความตกต่ำของตลาดหุ้นเอเซียทั้งๆที่วิกฤตการเงินและปัญหาฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์เกิดขึ้นในอเมริกาและยุโรปนั้น เนื่องมากจากภาวะเศรษฐกิจถอถอยที่เกิดขึ้นจากประเทศต้นตอของวิกฤตอย่างสหรัฐอเมริกา ทำให้บริษัทข้ามชาติต้องถอนการลงทุนจากตลาดหุ้นในเอเซียเพื่อนำเงินไปจ่ายหนี้ที่เกิดขึ้นในประเทศของตนเอง รวมทั้งสภาพความต้องการสินค้าที่ลดลงจากประเทศในอเมริกาและยุโรป ทำให้เศรษฐกิจของประเทศในเอเซียที่พึ่งพึงการส่งออกได้รับผลกระทบไปด้วย

ส่วนตลาดหุ้นไทยในปี 2551 ดัชนีเมื่อต้นปีอยู่ที่ 842 ปิดตลาดสิ้นปีที่ 449 จุดลดลง 46.7% นับว่าเป็นวิกฤติของตลาดหุ้นไทยอีกครั้งนับจากการลดค่าเงินบาทในปี 2540 นอกเหนือจากปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำจากภายนอกแล้ว ตลาดหุ้นไทยยังได้รับผลกระทบจากปัญหาความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในประเทศอีกด้วย

สำหรับปี 2552 นี้ยังไม่มีนักวิเคราะห์ทั้งในและต่างประเทศกล้าฟันธงว่าตลาดหุ้นทั่วโลกจะเป็นไปในทิศทางใด แต่อย่างน้อยเราจะพบว่าในวิกฤติมักจะมีโอกาสเสมอ
ลงทุนเพื่อชีวิต
ภาพประจำตัวสมาชิก
thaloengsak
Verified User
โพสต์: 2716
ผู้ติดตาม: 1

Re: บทความของดร.นิเวศน์ กันยายน 2554

โพสต์ที่ 26

โพสต์

กำไรเริ่มต้นตั้งแต่ตอนซื้อ 2 : แพงวันนี้ พรุ่งนี้ไม่แพง

สิ่งที่ผมจะเขียนในบทความนี้อาจดูค้านกับบทความแรกที่ผมเขียนไป เนื่องจากบทความแรกผมกล่าวถึงการซื้อให้ถูก (ทั้งราคาถูก และ สินค้าถูกชนิด) (พี่ปรัชญาแถมให้ด้วยว่าถูกใจ) แต่บทความนี้กลับมีชื่อบทความเกี่ยวกับความแพง แต่จริงๆแล้ว สองบทความนี้เกี่ยวข้องกับวลี กำไรเริ่มต้นตั้งแต่ตอนซื้อ ทั้งคู่
เมื่อประมาณปี 2541 ได้เกิดเหตุการณ์ทางการลงทุนเหตุการณ์หนึ่งที่ผมยังจำได้ถึงทุกวันนี้ สถานที่ที่ผมอยู่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวโดยมีชายทะเลเป็นจุดขาย และหาดที่ผมอยู่ก็เป็นหาดที่มีชื่อเสียงที่สุด และแน่นอน ย่อมเป็นหาดที่เหมาะแก่การค้าขายที่สุดด้วย ในปีนั้น มีการเปิดตัวโครงการอาคารพาณิชย์โครงการหนึ่ง ซึ่งถ้าผมจำไม่ผิด เป็นโครงการแรกที่มีการสร้างขาย ก่อนหน้านี้มีแต่เพียงโครงการที่สร้างให้เช่า ผมไม่ได้ลงทุนในโครงการนี้ เนื่องจากตอนนั้นผมกลัวการเป็นหนี้ แต่ผมได้ประสบการณ์อันมีค่าจากโครงการนี้ โดยเริ่มจากบทสนทนาของเพื่อนผมสองคน (หลังจากปรับให้เป็นคำสุภาพแล้ว)

เพื่อนคนแรก : คุณได้ลงทุนในโครงการนี้หรือเปล่า
เพื่อนคนที่สอง : ผมกำลังคิดดูอยู่ แต่ผมว่ามันแพงไปนิดนะ ผมอาจต่อราคาเขาดูสักหน่อย
เพื่อนคนแรก : จริงอยู่ มันอาจแพงไปหน่อย แต่ผมคิดว่า แพงวันนี้ พรุ่งนี้ไม่แพงนะ

สรุปแล้วเพื่อนผมคนที่สองไม่ได้ซื้อ เพราะเกี่ยงราคา ส่วนเพื่อนคนแรกซื้อไปสองยูนิต โดยใช้เงินกู้จากธนาคารเป็นส่วนใหญ่ ซื้อเสร็จได้ไม่นานก็มีคนมาขอเช่า และยังเช่ามาจนถึงปัจจุบันนี้ วันก่อนเพื่อนคนนี้เล่าให้ฟังว่า เขาผ่อนกับธนาคารเสร็จเมื่อประมาณสองปีที่แล้ว (เท่าที่ผมทราบ ธนาคารมักกำหนดระยะเวลาของสินเชื่ออาคารพาณิชย์ไว้ที่ไม่เกิน 7 ปี) ราคา ณ วันนี้อยู่ที่ไม่ต่ำกว่า 5 เท่าของราคาที่เขาซื้อในวันนั้น ซ้ำดี (ตรงกันข้ามกับซ้ำร้าย) ค่าเช่าที่เขาได้มา พอๆกับราคาต้นทุนของเขา บวกดอกเบี้ยทั้งหมดที่เขาจ่ายไปให้ธนาคารด้วย ! อะไรจะโชคดีขนาดนั้น ! เขาบอกว่าเสียดายแทนเพื่อนคนที่สอง และแทนผมด้วย ผมก็ปากแข็งตอบไปว่าผมไม่เสียดายหรอกเพราะถือว่าผมไม่มีโชค (แต่จริงๆแล้วผมอยากเตะตัวเองมาก และผมก็รู้ดีว่า มันไม่น่าจะเกี่ยวอะไรกับโชคเลย)
ผมมาคิดย้อนถึงคำพูดของเขา แพงวันนี้ พรุ่งนี้ไม่แพง ว่าเป็นจริงแค่ไหน และปัจจัยอะไรที่ทำให้คำพูดนี้เป็นจริง การลงทุนในสิ่งใดก็ตาม ไม่ได้รับรองว่าผู้ลงทุนจะได้กำไรเสมอไป มีคนขาดทุนจากอสังหาริมทรัพย์ถึงขั้นสาปส่งมากมาย และแน่นอน มีผู้ที่กำไรมหาศาลมากมายเช่นกัน สิ่งที่สำคัญที่สุดในอสังหาริมทรัพย์ก็คือทำเล ไม่ว่าทำเลในปัจจุบัน หรือโอกาสที่จะเป็นทำเลในอนาคต เพื่อนผมคนนั้นวิเคราะห์ถึงสาเหตุที่เขาซื้อให้ฟังว่า เขาถือว่าทำเลบนหาดนี้เป็นทำเลเกรดเอเกือบทั้งหมด (แน่นอนว่าไม่ใช่ทั้งหมด) มีแต่ผู้ที่ต้องการมาจับจองค้าขาย และเนื่องจากที่ดินมันไม่สามารถงอกได้ นับวันมันก็จะเหลือให้จับจองเป็นเจ้าของน้อยลง (นอกจากจะต้องจ่ายแพงขึ้นมากตอนหลัง) และประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่าเขาไม่รู้ว่าในอนาคต(ของตอนนั้น)จะมีโครงการที่จะสร้างขายเกิดขึ้นอีกหรือเปล่า เพราะว่าไม่ใช่เขาคนเดียวที่มองออก เจ้าของที่ดินหรือตึกแถวก็ต้องมองออกถึงแนวโน้มที่ราคาจะขึ้นไปมากในอนาคต ซึ่งจะทำให้เจ้าของเหล่านั้นต้องการที่จะให้เช่ามากกว่าขายขาดเป็นแน่แท้ เขาจึงตัดสินใจซื้อไว้โดยไม่ลังเล เพราะคิดว่า ราคาใดก็ไม่แพง สำหรับของดีที่มีน้อย
เมื่อผมผันตัวเองมาเป็นนักลงทุน มีบางสถานการณ์ที่ผมต้องงัดวลีเด็ดนี้ออกมาใช้ ในเมื่อผมยังไม่สามารถที่จะหาบริษัทดีก่อนคนอื่นได้(หุ้นยังราคาถูกถึงถูกมากอยู่เพราะยังไม่มีใครสนใจ) ผมก็ต้องยอมซื้อแพงหน่อย ดังนั้นเมื่อผมเจอหุ้นดีที่เริ่มเป็นที่สนใจและราคาขึ้นมาพอสมควรแล้ว (แพงวันนี้) แต่ผมมองว่าบริษัทยังมีศักยภาพที่จะเติบโตอีกมาก(ผมต้องศึกษาข้อมูลของบริษัทดีพอที่จะแน่ใจในจุดนี้) ผมก็จะเคาะซื้อทันที* เพราะผมมั่นใจว่าราคาที่ผมเข้าซื้อวันนี้จะถูกกว่าราคาที่มันมีโอกาสจะขึ้นไปในอนาคตอย่างมาก (ไม่แพงเมื่อเทียบกับพรุ่งนี้)
ผมจะไม่สรุปอะไร นอกจากจะขอให้ท่านผู้อ่านใช้วิจารณญาณให้ดีเมื่ออ่านบทความนี้ เพราะกำไรจะเริ่มต้นตั้งแต่ตอนซื้อ[แพงในวันนี้]ได้เฉพาะต่อเมื่อคุณมองเห็นโอกาสที่ราคาหุ้นจะขึ้นไปอย่างมาก(ขอเน้นว่าราคาของหุ้นจะเติบโตตามกำไรของบริษัท) ดังนั้นถ้าคุณซื้อแพงในวันนี้โดยเป็นราคาที่แพงกว่าความเป็นไปได้ของวันพรุ่งนี้ คุณก็คงไม่ได้อะไรนอกจากขาดทุน
ป.ล. สิ่งที่สำคัญที่สุดของอสังหาริมทรัพย์คือทำเล สิ่งที่สำคัญที่สุดของหุ้นคือความสามารถที่ทำกำไร รักษากำไร และเพิ่มกำไรของบริษัท** (ผมว่าจะไม่สรุปแล้วนะ)
* ผมได้แนวคิดการเคาะซื้อจาก บทความ เคาะ ใน Blog ของคุณ yoyo ลองคลิกเข้าไปอ่านดูนะครับ http://thai-value-investor.blogspot.com/ (wednesday, september 27, 2006)
** บทความอีกบทความหนึ่งที่น่าอ่านคือ คุณภาพของกำไร โดยคุณ Invisible hand ครับ หาอ่านได้ที่ http://www.thaivi.com/webboard/viewtopic.php?t=16119 ครับ

โดย คุณ Raphin Phraiwal
ลงทุนเพื่อชีวิต
ภาพประจำตัวสมาชิก
thaloengsak
Verified User
โพสต์: 2716
ผู้ติดตาม: 1

Re: บทความของดร.นิเวศน์ กันยายน 2554

โพสต์ที่ 27

โพสต์

จะมีวิกฤตซ้อนวิกฤตมั้ย? : by สุมาีอี้


เวลานี้ดูเหมือนว่า วิกฤตซับไพรม์ซึ่งได้พัฒนาจนกลายเป็นวิกฤตโลกเมื่อปีที่แล้วจะอยู่ในขั้นที่ควบคุมได้แล้ว เพราะถึงตอนนี้ไม่น่าจะมีสถาบันการเงินขนาดใหญ่แห่งไหนล้มเพิ่มเติมอีก ส่วนเศรษฐกิจโลกที่แม้ว่าจะยังไม่ฟื้นแต่ก็เริ่มหาที่ยืนได้ วิกฤตครั้งนี้ดูจะไม่ได้เลวร้ายขนาดที่กูรูหลายท่านคาดการณ์ไว้เมื่อปลายปีที่แล้ว

เมื่อมองย้อนกลับไปจะเห็นได้ว่า สหรัฐฯ แก้ปัญหาวิกฤตครั้งนี้ด้วยการให้ภาครัฐฯ เข้าไปแบกรับความเสียหายทั้งหมดของภาคเอกชนเอาไว้แทน ตลาดจึงไม่ต้องเข้าสู่ภาวะล่มสลาย นับเป็นการดับเครื่องชนของพญาอินทรี เพราะทั้งเฟดและกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ ต่างแบกหนี้ไว้จนหลังแอ่น งานนี้เจ๊งเป็นเจ๊ง ถ้าทำไม่สำเร็จ ลุงแซมยอมตายไปเลย

แต่ก็ดูเหมือนเดิมพันครั้งนี้จะได้ผลเสียด้วย ทุกอย่างเดินไปได้ตามแผนที่ลุงแซมวางเอาไว้ แม้เครดิตของลุงแซมลดลงไปมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ปรากฏว่าก็ยังมีเหลือพอที่จะก่อหนี้จำนวนมหาศาลเพื่อมาแก้ปัญหาในครั้งนี้อยู่

ดังนั้น ถ้าหากเวลานี้ใครยังกลัวว่าจะยังมีวิกฤตซ้อนวิกฤตหรือไม่ สิ่งที่ต้องควรจับตามองมากที่สุดน่าจะเป็น ภาครัฐฯ ของสหรัฐฯ แล้ว ซึ่งได้แก่ กระทรวงการคลังและเฟด ว่าจะสามารถประคองตัวเองต่อไปได้อย่างราบรื่นหรือไม่

เมื่อปีที่แล้ว เฟดเปิดโอกาสให้สถาบันการเงินที่มีปัญหาสามารถกู้เงินจากเฟดได้โดยไม่จำกัด เฟดอุดหนุนเงินกู้เหล่านั้นการสร้าง Reserve ใหม่เข้าไปในระบบธนาคารพาณิชย์ จากเดิมที่เคยมีอยู่ในระบบประมาณ $11 billions กลายเป็น $900 billions ภายในเวลาอันสั้น!!!!! เทียบเท่ากับการพิมพ์เงินขึ้นมา Reserve ที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลให้ความสามารถในการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลตามไปด้วย เรื่องนี้จึงได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากว่า จะทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อขั้นรุนแรง เมื่อใดก็ตามที่เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวและทำให้ธนาคารพาณิชย์กลับมาปล่อยสินเชื่ออีกครั้ง

เกี่ยวกับเรื่องนี้ เฟดบอกว่าไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดกัน เพราะเมื่อตลาดเงินเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ สถาบันการเงินที่กู้เงินด่วนไปก็จะพากันมาใช้คืนหนี้ทำให้ Reserve ลดลงไปเอง ก่อนที่เศรษฐกิจจะฟื้นตัว ซึ่งก็ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ ตามที่เฟดพูด เพราะ ถึงเวลานี้ Reserve ที่เพิ่มขึ้นมา $900 billions ลดลงไปครึ่งหนึ่งแล้ว ภายในเวลาแค่ไม่ถึงครึ่งปี นอกจากนี้ ถ้าหาก Reserve เกิดไม่ลดลงต่อหลังจากนี้ เฟดก็ได้เตรียมรับมือไว้แล้ว ด้วยการขออนุมัติที่จะจ่ายดอกเบี้ยให้กับ Reserve ที่ขอกู้มา อัตราดอกเบี้ยที่เฟดกำหนดจะจ่ายให้จะเป็นตัวกำหนดเพดานขั้นต่ำของ fed fund rate ซึ่งจะทำให้เฟดสามารถควบคุมการปล่อยกู้ของธนาคารพาณิชย์จาก Reserve ส่วนเกินนี้ได้ จึงไม่ต้องเป็นห่วงว่า เฟดจะควบคุมการปล่อยสินเชื่อของธนาคารไม่ได้

อย่างไรก็ตาม แม้ Reserve จะมีแนวโน้มลดลง แต่เมื่อต้นปี เฟดก็ได้สร้างความกังวลใหม่ให้กับตลาดอีก ด้วยการประกาศจะเข้าแทรกแซงตลาดเงินโดยตรง (Quantitative Easing) ซึ่งเทียบเท่ากับการพิมพ์เงิน โดยการซื้อพันธบัตร $300 billions เพื่ดกดดอกเบี้ยระยะยาวลง ซื้อบอนด์ของเฟดดี้และแฟนนี่ $200 billions และซื้อ MBS อีก $1.25 Trillions เพื่อพยุงตลาดอสังหาฯ ตลาดกังวลว่า เมื่อโปรแกรมนี้จบลงแล้ว เฟดจะขายตราสารเหล่านี้ออกมาอย่างไร

เกี่ยวกับเรื่องนี้ เฟดบอกว่าสำหรับพันธบัตรนั้นไม่น่าห่วงเพราะเป็นจำนวนที่น้อยเมื่อเทียบกับตลาดทั้งตลาด การขายออกมาคงไม่มีผลกระทบอะไร แต่สำหรับบอนด์หรือ MBS นั้น เกือบจะเรียกได้ว่าเฟดกลายเป็นตลาดไปแล้ว ถ้าหากขายออกมาทันทีจะเป็นปรากฏการณ์ที่ใหญ่มากแน่นอน ถ้าดูจากพฤติกรรมในอดีตของเฟด เชื่อว่า เฟดน่าจะถือตราสารเหล่านี้จนครบอายุแทน

เนื่องจากอายุเฉลี่ยของตราสารเหล่านี้เท่ากับ 5-10 ปี ดังนั้นเฟดจะต้องหาทางค่อยๆ ดูดซับสภาพคล่องส่วนเกินที่เกิดขึ้นมาก่อนระหว่างทาง ซึ่งเชื่อกันว่า เฟดจะใช้วิธีออกตั๋วเงินระยะสั้นๆ ของตัวเองหมุนไปเรื่อยๆ เพื่อมิให้กระทบตลาด ซึ่งเฟดก็ได้ขออนุมัติเตรียมเอาไว้แล้ว

สรุปแล้ว แม้ตัวเลขจะดูใหญ่ แต่ไม่น่าเป็นห่วงเท่าไรสำหรับเฟด เพราะเตรียมอาวุธไว้เยอะ ลุงเบนน่าจะเอาอยู่ ถ้าจะห่วง กระทรวงการคลังของสหรัฐฯ น่าจะมีอะไรให้ห่วงมากกว่าเฟด ไว้จะมาเล่าให้ฟังครับ

http://api.settrade.com/blog/1001ii/2009/06/14/560
ลงทุนเพื่อชีวิต
ภาพประจำตัวสมาชิก
thaloengsak
Verified User
โพสต์: 2716
ผู้ติดตาม: 1

Re: บทความของดร.นิเวศน์ กันยายน 2554

โพสต์ที่ 28

โพสต์

เรื่องของฝรั่งคนหนึ่งที่คนไทยเรียกเขาว่าฝรั่งขี้นก
credit : bigshow

ชื่อ Martin Wheeler อายุ ๔๒ ปี เป็นชาวอังกฤษ เมือง Bllackpool
ปริญญาตรีเกียรตินิยม ภาษาละติน จาก London University
ภรรยา นางรจนา วีลเลอร์ ชาวขอนแก่น บุตร ๓ คน
๑. ด.ช.อิริค วีลเลอร์ (Eric Wheeler) อายุ ๘ ขวบ
๒. ด.ญ.แอนนี่ วีลเลอร์ (Anne Wheeler) อายุ ๖ ขวบ
๓. ด.ช.ดิเรก วีลเลอร์ (Derek Wheeler) อายุ ๖ เดือน
------------------------------------------------------------------------
ผมเป็นชาวอังกฤษ
เกิดในครอบครัวที่ฐานะดีพอสมควร พ่อจบปริญญาเอก
เป็นผู้จัดการบริษัทเกี่ยวกับสารเคมี ยาฆ่าแมลง มีลูกน้อง ๒๐,๐๐๐กว่าคน
แม่จบปริญญาตรี เป็นครูสอนเปียโนกับไวโอลิน
ผมจบปริญญาตรี เกียรตินิยมอันดับหนึ่งภาษาละติน
ครั้งแรกเรียนที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์
ปีที่ ๓ ผมย้ายไปเรียน มหาวิทยาลัยลอนดอน และจบที่นั่น
ผมไม่ชอบเคมบริดจ์ เพราะเป็น แบบโบราณ
อังกฤษเป็นประเทศเก่าแก่มาก สมัยโบราณเป็นระบบศักดินา มีขุนนาง
และ ชาวบ้านเป็นขี้ข้า ทุกวันนี้แม้ยกเลิกระบบนั้นแล้ว
แต่ที่เคมบริดจ์ยังเจอวัฒนธรรม แบบขุนนาง เป็นสังคมเล็กๆ
ผ่านมา ๒๐๐-๓๐๐ ปีแล้ว แต่ไม่รับรู้อะไร ไม่เข้าใจชาวบ้าน
เขาคิดแต่เรื่อง สังคมเล็กๆ ของเขาในกลุ่มคนชั้นสูง
เป็นพวกหอคอยงาช้าง ที่ผมเรียนได้คะแนนดี
เพราะพ่อแม่ของผม บังคับให้เรียนหนังสือ
ส่งเสริมให้เรียนตั้งแต่อายุ ๒ ขวบครึ่ง
สอบไปเรื่อยๆ เพิ่มไอ.คิว. ให้สูงที่สุด เท่าที่จะทำได้
ผมเรียนสูงจนได้เกียรตินิยม เพราะพ่อแม่มีเงินช่วย
ไม่เกี่ยวกับความฉลาดเฉพาะตัว

ปฏิวัติค่านิยมเก่า
ผมไม่ค่อยสนใจเรื่องเงิน ไม่อยากมีรถยนต์ ไม่อยากมีบ้านใหญ่
อยากมีบ้านเล็กๆ อยากมี ครอบครัวเล็กๆ ที่มีความสุข
ไม่สนใจเรื่องวัตถุ ผมอยากอยู่แบบง่ายๆ
เมื่อก่อน ไม่รู้เขาเรียกว่าอะไร แต่ตอนนี้รู้ว่า เขาเรียกมักน้อย สันโดษ
ที่อังกฤษเขาว่าผมบ้า เป็นเด็กนิสัยเสีย เพราะพ่อแม่ส่งให้เรียนหนังสือ
แต่ไม่เอาความรู้ไปหาเงิน เขาหาว่า เด็กที่ไม่คิดทำงานนั้น นิสัยเสีย

หลังจากเรียนจบแล้ว ผมก็เอาปริญญาให้พ่อแม่ตามที่ท่านอยากได้
แล้วผมก็ไปทำงานก่อสร้างแบกอิฐแบกปูนอยู่ ๑๐ ปี
ช่วงนั้นชาวบ้านบอกว่า ผมบ้าแน่ครับ
แต่เป็นเรื่องที่ผมอยากเรียนรู้ชีวิต อยากรู้จักตัวเอง
ว่ามีความสามารถมากน้อยเพียงใด มีความอดทนมั้ย
ทำในสิ่งที่เราไม่น่าจะทำได้มั้ย
ท้าทายตัวเองบ้าง อยากผ่านชีวิตที่ลำบากบ้าง

ผมอยู่ในสังคมของคนมีเงิน เขาจะพูดถึงแต่เรื่องเงิน
คุณมีรถยี่ห้ออะไรบ้าง? มี่กี่คัน? คุณมีบ้านใหญ่ขนาดไหน? ลูกของคุณเรียนที่ไหน?
เอาลูกมาแข่งขันกัน จบจากที่ไหนบ้าง? จบจากเคมบริดจ์ดีกว่าจบจากมหาวิทยาลัยลอนดอน
แต่ผมกลับคิดว่า ชีวิตน่าจะมีอะไร มากกว่านั้น ช่วงนั้นผมไม่รู้ว่าชีวิตคืออะไร
แต่ที่รู้แน่ๆ คือไม่ใช่เงิน ไม่ใช่บ้าน ไม่ใช่ปริญญา ต้องมีสิ่งอื่น
ซึ่งผมไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน ผมก็เลยมาลองแบกอิฐ แบกของหนักไว้ก่อน
เดินแบกอิฐไปมา วันละสาม-สี่พันเที่ยว มันอิสระ เรามีเวลาคิด
ได้รู้จักคนอื่น และได้สร้างความเข้มแข็ง ให้ร่างกาย
แล้วจิตใจเราก็เข้มแข็งขึ้นด้วย

ชาวบ้านธรรมดาที่อังกฤษนั้น จริงๆ เขาลำบากกว่าคนไทยมาก
เป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่ผมได้เห็น ชีวิตของชาวบ้านที่อังกฤษแย่มาก
คนที่นั่น ๖๐% ไม่มีบ้าน
ถ้าเป็นชาวบ้านธรรมดา จะไม่ได้เป็นเจ้าของบ้าน
ต้องไปเช่าบ้านจากเจ้านายตลอดชีวิต
๙๘%ไม่มีใครมีที่ทำกิน แล้วก็อยู่ในเมือง
เป็นขี้ข้าเขาหมด แม้แต่เป็นผู้จัดการก็เป็นขี้ข้าด้วย
เพราะไม่มีใครพึ่งตนเอง ไม่มีใครมีที่ทำกิน
จะไปทำอะไร ช่วยตัวเองก็ไม่ได้ จะไปสุขอะไรก็ไม่ได้
ต้องไปหาเงิน ชีวิตอยู่กับเงินอย่างเดียว เงินเยอะ ก็มีคุณภาพชีวิตที่ดี
ได้เงินน้อยคุณภาพชีวิตก็ไม่ค่อยสูงเท่าไหร่

พ่อแม่และผม
ถามว่าชีวิตของพ่อมีความสุขมั้ย? ผมคิดว่าไม่
ผมคิดว่าพ่ออยากได้บางสิ่งบางอย่าง
เขาได้เงินเดือน เยอะมาก ได้รับบำเหน็จบำนาญ
เป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้านในชุมชน มีตำแหน่ง
มีเกียรติยศอะไรอีกเยอะแยะ
แต่ผมคิดว่าพ่อไม่มีความสุข เพราะว่าวันจันทร์ ถึงวันศุกร์ไปทำงานที่โรงงาน
ตกเย็นไปประชุมอีก กลับบ้านสามทุ่มสี่ทุ่ม ไม่ได้เจอเมียเจอลูก
วันเสาร์อาทิตย์พ่อก็ปวดหัว อยากพักผ่อน พ่ออยากอยู่คนเดียว
ไม่ให้ใครรบกวน
พ่อมีเมีย และลูกสามคน แต่พ่อไม่ค่อยได้เห็นลูกเห็นเมีย
สมัยที่ผมอายุสิบสามขวบ
ผมไม่ได้คุยกับพ่อ แม้แต่คำเดียวเกือบปีครึ่ง
เห็นเมื่อไหร่ก็เจอพ่อปวดหัวตลอด
คิดหนัก อาชีพของพ่อ ต้องใช้สมองมาก ผมว่ามันเป็นกรรมพันธุ์ด้วย
ผมก็ปวดหัวบ่อยเหมือนกัน (หัวเราะ) ชอบคิดมาก ตอนนี้หายแล้ว
แม่เข้าใจผม แต่ไม่เห็นด้วยที่ผมมาเมืองไทย

แม่เสียชีวิต ผมได้มรดกนิดๆ หน่อยๆ มีเวลาที่จะไปเที่ยว
ผมเคยวางแผนไว้ในใจว่าจะเที่ยว ๑ ปี จะไปในประเทศ ที่ผมไม่เคยไปมาก่อน
เช่น ไทย ลาว เขมร พม่า มาเลย์ เวียดนาม อินโด ออสเตรเลีย
คิดว่าจะไปออสเตรเลียเพราะเป็นประเทศเปิด ไม่ค่อยมีกฎระเบียบ เหมือนอังกฤษ
แต่ก็ยังไม่ได้ไปตามแผนที่วางไว้ ประเทศแรกที่ผมมาคือประเทศไทย

ผมไม่ใช่ครูฝรั่ง
สมัยก่อนผมนิสัยเสีย ชอบกินเหล้า ชอบเที่ยว ชอบสนุก เงินที่ผมเก็บไว้
๑ ปี ภายใน ๒ เดือนใช้หมดเลย ไม่มีเงินกลับบ้าน ผมอยู่ประเทศไทย ตั้งแต่ปี ๒๕๓๕
ผมอยู่กรุงเทพฯ ไม่มีเงิน แม้แต่บาทเดียว ไปหางานทำ
อาชีพอย่างเดียวที่เราทำได้ คือเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ จริงๆแล้ว
ผมไม่ได้เป็นครูหรอก ผมสอนไม่เป็น แต่คนไทยเห็นฝรั่ง จะบอกว่าฝรั่งทุกคน
เป็นครูสอนภาษา ซึ่งมันไม่จริง
ฝรั่งส่วนมากไม่ได้เป็นครู ที่กรุงเทพฯ เขาจ้างผมให้เป็นครู
เอาเสื้อผ้าดีๆ เนคไทดีๆให้ใส่ เขาบอกว่า คุณเป็นครูนะ
แล้วเขาก็ส่งผมเข้าห้องเรียนเลย
ความจริงฝรั่งที่เขาเรียกครูนั้น ไม่มีใครเคยสอนหนังสือ แม้แต่คนเดียว
และบางครั้ง ก็ไม่ใช่คนอังกฤษด้วย มีคนหนึ่งเป็นชาวฝรั่งเศส
พูดภาษาอังกฤษผมฟังไม่รู้เรื่อง แม้แต่คำเดียว คนไทยก็แปลกดีเหมือนกัน
เขาให้เงินเดือนผมเดือนละ ๓ หมื่นบาท ไปนั่งเฉยๆ ผมก็ละอายใจ
ไม่อยากรับ ผมคิดมาก ปวดหัวทั้งวันทั้งคืน เพราะถ้าเราทำงานอะไรในชีวิต
เราต้องได้ผล สมมุติมีคนมาจ้างเรา ๑๐๐ บาทแบกอิฐ ผมจะรับแน่เพราะว่า
ผมแบกอิฐแผ่นนั้น จากโน่นไปที่นู่น ผมทำได้แน่ครับ แล้วผมก็จะเอาเงินของคุณไป
แต่เวลาผมเป็นครูสอนภาษา มันไม่ได้ผลหรอก ผมสอนไม่เป็นเอาเงินให้ผมเฉยๆ
ผมก็รู้สึกว่า ไม่น่าจะเอา ผมไม่ได้ทำ ประโยชน์อะไร คุ้มค่าเงินนะ
เงินไม่ทำให้ผมมีความสุข
ผมมีอุดมการณ์เล็กๆ ตั้งแต่อายุยังน้อยๆ
๑. ถ้าเราทำงานอะไร ต้องทำในสิ่งที่เรามีความสุข
๒.จะไม่ทำงานที่ต้องผูกเนคไท
๓.จะไม่มีกระเป๋าเอกสารเพราะว่าเหมือนสังคมของพ่อแม่ผม เขาจะทำงานแบบนั้น
ทุกคนมีเสื้อนอก มีรถยนต์ มีเอกสาร แต่เขาไม่ค่อยมีความสุขหรอก
ผมเอาสิ่งนี้ มาเป็นสัญลักษณ์ แห่งการทำงานที่ไม่มีความสุข
มีช่วงเดียวเท่านั้นที่ผมทรยศต่อชีวิตตัวเองคือ
ช่วงที่ผมเป็นครูอยู่ที่กรุงเทพฯ ผมต้องผูกเนคไท
ผมทำในสิ่งที่ผมเกลียดที่สุดเลย เพื่อเงินอย่างเดียว
ทำอยู่ประมาณ ๑๑ เดือน
ชีวิตไม่มีความสุข เหมือนอยู่ที่อังกฤษ คือทำงานอะไรก็ได้ ขอให้มีเงิน
แต่ไม่มีความสุข แล้วก็เอาเงินไปใช้ในสิ่งที่ไม่ถูกต้องไปเที่ยว ไปกินเหล้า
ไปสูบบุหรี่ ยาเสพติดทุกชนิดผมเอาหมด ตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม
แม้แต่อยู่กรุงเทพฯ ก็ยังทำอยู่ ถึงได้เงินเยอะ แต่ไม่รู้ว่า จะเอาไปทำอะไร
เพราะเงินไม่ช่วยให้เรามีความสุข

หันเหชีวิตสู่แนวทางที่วาดหวังไว้
ผมเจอภรรยา เธอมาจากจังหวัดขอนแก่นอยู่กรุงเทพฯ ไม่นานก็มีลูก
ผมเริ่มคิดหนัก แต่ก่อน อยู่คนเดียวไม่มีปัญหา
มีความสุขหรือไม่มีก็คนเดียว ไม่ยากหรอก
เมื่อมีเมียมีลูก มันต้อง รับผิดชอบผู้อื่นด้วยจะไปนั่งกินเหล้าเฉยๆ
ไม่ได้หรอก คิดว่าทำอย่างไร ให้เมียกับลูกอยู่ได้ ผมรู้แน่ๆ
ถ้าผมอยู่ในสังคมเมือง และทำงานแบบนี้ ผมจะเป็นคนแย่มาก
จะกินเหล้า สูบบุหรี่ ติดยา เที่ยวอย่างเดียว
จึงตัดสินใจตัดตัวเองออกจากสังคมเมืองไปอยู่บ้านนอก
แฟนผม มาจากหมู่บ้านเล็กๆ ในจังหวัดขอนแก่น
ช่วงปีใหม่ผมไปเที่ยวบ้านของแม่ยายเห็นว่า เป็นธรรมชาติดี

ต้องเข้าใจว่าคนอังกฤษอยู่บ้านนอกไม่ได้เพราะชนบทมีพื้นที่นิดเดียว
พวกขุนนางยึดหมด คนยากจน จึงอยู่ชนบทไม่ได้ ต้องไปอยู่ในเมืองที่สกปรก
แออัด คนอังกฤษที่ยังรวยไม่ถึงขั้น เช่นพ่อของผม มีเงินเยอะ
แต่ก็ยังรวยไม่ถึงขั้น เพราะยังอยู่ในเมือง วัดจากคนที่อยู่
กลางเมืองใหญ่ๆ จะเป็นคนจนที่สุด
ที่อยู่ชานเมือง จะเป็นพวกครู ข้าราชการ อะไรแบบนั้น เป็นผู้จัดการ
ก็ยังอยู่ในเมือง ส่วนคนที่จะได้อยู่บ้านนอก จะต้องเป็นคนรวยถึงขั้นจริงๆ
เป็นพวกขุนนางใหญ่โต
มันเป็นเรื่องแปลก ผมมาอยู่ที่ขอนแก่น เห็นแต่ละคน
มีที่ดินเยอะมาก ชาวบ้านธรรมดา คนเดียวมีถึง ๕๐ ไร่ ๒๐๐ กว่าไร่ก็มี
พ่อแม่ผมมีแค่ ครึ่งไร่เท่านั้นเอง แต่อยู่บ้านนอกที่นี่ โอ้โฮ..มีเยอะมาก
สะอาดด้วย อากาศก็ดี ตอนแรกได้กลิ่น ผมก็ว่ากลิ่นอะไร อ๋อ
มันกลิ่นธรรมชาติ ผมไม่เคยดมมาก่อน โอ้สุดยอดเลยบ้านนอก
คนอื่นว่าฝรั่งมันบ้า เพราะเขาไม่คิดว่า ทำไมฝรั่งอยากไปอยู่บ้านนอก
เขาคิดว่าฝรั่งมีแต่คนรวย ฝรั่งไม่มีคนยากจน เขาไม่รู้จริงๆ ว่าฝรั่งส่วนมากลำบาก
บ้านก็ไม่มี ที่ดินก็ไม่มี เป็นขี้ข้าเขาหมด ลูกก็ไม่มีอนาคต

ปัญหาของระบบทุนนิยมคือเรื่องเงิน เงินถูกจำกัดเป็นก้อนเล็กๆ
คนรวยกวาดเงินไปเยอะ จนเหลือนิดเดียว มันแบ่งกันไม่ลงตัว
ทำให้มีคนจนเยอะ
ถ้ามีคนรวย ๑ คน จะมีคนจน เป็นร้อยเลย ระบบทุนนิยมจึงอยู่ได้
ปัญหาของคนยากจนคือ ทำยังไง จะมีชีวิตที่ดี เราจะหลุดพ้น
จากความยากจนได้ ต้องหาสิ่งที่ไม่ใช่เงิน อันนี้เป็นจุดเด่นของประเทศไทย
ชาวบ้านธรรมดา อาจจะไม่มีเงินเยอะ แต่เขาสามารถจะหาหลายสิ่งหลายอย่าง
ที่มีคุณค่า มากกว่าเงินตั้งเยอะ

แค่อยากหาคำตอบให้ชีวิต
ผมตกลงกับแฟนว่าเราจะไปอยู่บ้านนอก ผมจะไม่รับจ้างสอนภาษาอังกฤษ
เขาก็ตกลง แต่ปัญหาคือ ผมทำเกษตรไม่เป็น ช่วงแรกก็ลำบาก
ต้องกลับมาแบกอิฐเหมือนเดิม
วันละร้อยยี่สิบบาท โอ้โฮ...เหนื่อย เพราะที่อังกฤษ ถึงจะแดดร้อน
แต่อากาศเย็น เดินไม่ได้ ต้องวิ่ง ก็อุ่นได้
แต่ขอนแก่นช่วงนั้น เป็นเดือน ๔ อากาศร้อนมาก
๔๐ กว่าองศา บางครั้ง ผมเป็นลม เขาเอาน้ำมาสาด โอ๊ย.! ฝรั่งมันบ้า
ทำไม ไม่กลับบ้าน คิดผิดหรือเปล่า ทำไมต้อง มาลำบากขนาดนี้
เขาคิดว่า ผมเป็นฆาตกร
ไปฆ่าคนที่อังกฤษ แล้วกลับบ้านไม่ได้ หนีคดีมา ความจริงไม่ใช่
ผมก็แค่อยากหาคำตอบในชีวิต บางเรื่องเท่านั้น อยากหาความสุข
ที่เป็นแบบ ยั่งยืนสักหน่อย

บางครั้งก็คิดหนีไปที่อื่นเหมือนกัน แต่ผมไม่รู้ว่า
ถ้าอยู่ที่นี่ไม่ได้จะไปอยู่ที่ไหน คิดว่า เราต้องหาคำตอบให้ได้
ปัญหาอาจจะอยู่ที่ตัวของผมเอง แต่ในภาพรวมที่นี่ดี สิ่งแวดล้อมดี สะอาด
ถ้าเรามีลูก เราอยากให้ลูกของเราอยู่ในที่สะอาด อาหารธรรมชาติฟรีๆ
ก็มีเยอะมาก ในภาคอีสาน เห็ดแดง หน่อไม้ ไข่มดแดง ดอกกระเจียว ผักอีหรอก
แมงคับแมงคาม ขี้กะปอมเยอะ แต่บางคนก็ไม่กินนะ บางคนก็กิน ซึ่งมันดีมากเพราะว่า
๑.สะอาด อาหารธรรมชาติ ไม่มีใครไปใส่ปุ๋ยเคมี
๒.ไม่ได้ซื้อ ไม่ได้ใช้เงิน
ขอให้ขยันเดินไปเก็บ สมัยก่อน ที่อังกฤษ ผมจะเดินแบกอิฐทั้งวัน
เมื่อได้เงินแล้ว ก็เอาเงินเกือบทั้งหมดไปซื้ออาหารในร้าน
ฝรั่งส่วนมาก ทำงานหนักทุกวัน แต่เงินที่เขาได้
มันเพียงพอที่จะซื้ออาหารกินเท่านั้น ไม่มีเงินเหลือ ฝากธนาคาร

นิยามความรวยกับความจน
มันเป็นเรื่องแปลกนะที่ประเทศไทย คนยากจนมีหนี้สินเยอะ
ที่อังกฤษมีแต่คนรวย ที่มีหนี้สิน
คนจนไม่มีหนี้ เพราะเขาไม่ให้คนจนยืมเงิน
เนื่องจากกลัวจะไม่มีปัญญาใช้คืน จึงไม่มีสิทธิ์ มีหนี้สิน
แต่คนรวยยืมเงินได้
คำว่ารวยกับคำว่าจน มันคืออะไรกันแน่ ?

ที่ขอนแก่นเขาว่าผมบ้าบ้าง ฝรั่งยากจนบ้าง ฝรั่งตกอับบ้าง ฝรั่งขี้นก
ฝรั่งไม่มีเงิน แต่ผมบอกว่า ไม่ใช่ ผมรวยนะ เขาถามว่ารวยได้ยังไง
ผมบอกว่า
๑. ผมมีบ้าน ผมทำบ้านเล็กๆ เป็นกระท่อมน้อยๆ เอาหญ้ามามุงหลังคา
ชาวบ้านเรียกว่า เถียงนา ไม่ใช่บ้านหรอก ผมบอกว่าใช่ มันบ้านของผม
ไม่ใช่บ้านเจ้านาย ราคาหนึ่งหมื่นสองพันบาท อยู่ได้ครับ
มันกันแดดกันฝนได้ แค่นั้นผมก็รวยแล้ว

๒. มีที่ดิน แค่ ๖ ไร่เท่านั้นเอง ที่นั่นเขาบอกว่ากระจอก มีนิดเดียว
แต่สำหรับฝรั่ง มันเยอะมาก จริงๆ ผมคิดว่า มันเป็นเรื่องสำคัญ
เป็นพื้นฐานของชีวิต เราต้องมีที่อยู่อาศัยเป็นของเรา ไม่ใช่ของเจ้านาย
เพราะว่าถ้ามันเป็นของเจ้านาย เราต้องไปหาเงินให้เขา ถ้าเราไม่มีเงิน
เขาก็ไล่เราออก เราไม่มีที่อยู่นะ เพราะฉะนั้น
ต้องมีบ้านเป็นของตัวเองไว้ก่อน
ซึ่งผมก็มีบ้าน คิดว่าลูกของผม จะต้องมีบ้านแน่ๆ ด้วย
เรื่องเกษตรผมทำไม่เก่ง
แต่ที่ทำได้ง่ายคือ ปลูกต้นไม้ ไม้ประดู่ ไม้สะเดา ไม้ยาง
ปลูกไว้ให้ลูกสร้างบ้าน ประเทศไทยอุดมสมบูรณ์ ต้นไม้โตเร็วมาก แค่ ๒๕-๓๐ ปี
ตัดได้แล้ว ไม่เหมือนอังกฤษ ๒๐๐ ปีได้เท่านี้เอง เพราะอากาศเย็น
เป็นเรื่องแปลก ที่คนไทยจะบ่น โอ๊ย..มันร้อนๆ ผมว่ากลับเป็นเรื่องดี
แสงแดดเยอะ จะทำการเกษตรได้ ตลอดเวลา ๑ ปี ทำได้ทุกวัน
แต่คนไทยจะบ่นร้อนๆ ไม่เอาๆ
อยากเป็นคนผิวขาวดีกว่า แต่คนอังกฤษ เขาถือคนผิวขาวเป็นคนจน
เพราะว่าไม่มีปัญญา จะไปเมืองนอก ซึ่งกลับกันเลย แม้แต่พ่อของผม
เขาก็ยังมีเครื่องอาบแดดเพื่อให้ผิวเป็นสีแทน ให้ดูเป็นแบบคนมีสตางค์
แต่คนไทย กลับอยากมีผิวขาว

วิธีคิดไม่ธรรมดาของมาร์ติน วีลเลอร์
ผมมีลูก ๓ คน ชาย ๒ หญิง ๑ สิ่งสำคัญที่สุด ๒ เรื่องในชีวิตของเราคือ
๑.ต้องมีบ้าน เป็นของตัวเองให้ได้ จึงจะถือว่า ชีวิตประสบความสำเร็จ
๒.ต้องมีงานทำทุกวัน ไม่ได้จำกัดว่า ต้องเป็นงานอะไร แต่ขอให้ มีงานทำทุกวัน
ชีวิตจึงจะไม่สูญเปล่า วิธีเดียวที่รับประกันได้ว่า ลูกมีงานทำ
คือการมีที่ทำกินให้เขา และเราต้องช่วยให้เขาทำเป็น
ผมคิดว่าคนชนบทจริงๆใครมีที่ดินทำกินแล้วจะไม่ตกงาน เว้นแต่คนขี้เกียจ
ซึ่งบางคนมีที่ดินเยอะ
แต่ไม่ยอมทำ ถ้าเราสั่งสอน ให้ลูกรู้จักทำมาหากิน เขาก็ไม่ตกงาน
ผมถือว่างานที่อิสระ และมีประโยชน์ มากที่สุด
คืองานเกษตรซึ่งช่วยให้เรากินอิ่มทุกวัน คนอังกฤษกินไม่อิ่มเยอะมากนะ
ผมไม่อยากให้ลูกของผมอดอาหาร อยากให้ลูกกินอิ่มในลักษณะที่ส่งเสริมสุขภาพด้วย
กินอาหาร ที่ไม่มีสารพิษ กินอาหารแบบเรียบง่ายก็ได้ แต่อิ่มทุกวัน
เมื่อมีบ้าน มีงาน มีอาหาร ลูกของผม ก็จะรวยที่สุด ผมอยากให้ลูกอยู่บ้านนอก
เพราะว่าสะอาด
จ้างเท่าไหร่ ก็ไม่อยาก ให้ไปอยู่ ในเมืองหรอกเพราะสกปรก แออัด
สำคัญที่สุดคือเรื่องของสังคม ผมไม่อยากให้ลูกไปอยู่ในเมือง เพราะว่า
คนเมืองเห็นแก่ตัว วิ่งไปหาเงินอย่างเดียว แข่งขันกันเยอะ
เดี๋ยวก็ฆ่ากัน ด่ากันทุกวัน ไม่สงบ อยากให้ลูกอยู่บ้านนอก
เขาจะได้สิ่งที่หายากที่สุดในโลก

คนอีสานบ้านนอกเป็นคนดีมากนะ มีน้ำใจ รู้จักช่วยเหลือคนอื่น
เอื้ออาทรกัน เกื้อกูลกัน แบ่งปันกัน ไม่แข่งขันกัน
ความเป็นชุมชนเป็นสิ่งที่หายากนะ
ถ้าเราไปอยู่ในเมือง จะอยู่แบบ ของใครของมัน บ้านคนละหลัง
ครอบครัวคนละหลัง
ไม่รู้จักกัน ถ้าเราอยู่ในชุมชนเล็กๆ เราก็ช่วยเหลือกันได้
คุยกันได้ แบ่งปันกันได้ ในที่สุดเราก็จะเป็นคนมีน้ำใจได้

ลูกของผมเขาเป็นคนมีน้ำใจ เขาอาจจะไม่มีเงิน
ไม่ได้เรียนหนังสือสูงๆ
แต่เขาจะมีสิ่งที่ดีกว่านั้นเยอะ คือเขาจะมีที่อยู่อาศัย มีชุมชนที่ดี
ไม่มียาเสพติดไม่มีการพนัน ไม่มีอาชญากรรม มันน่าอยู่
ขอให้เราอยู่ในชุมชนที่เป็นแบบนั้น
มันก็ดีนะ ไม่ต้องคิดมาก ไม่ต้องเป็นห่วง ลูกก็จะเป็นคนดี ไม่ติดยา
ไม่ขี้ขโมย ไม่เล่นไพ่ มีน้ำใจและรู้จักช่วยเหลือคนอื่นลูกผมเรียน
หนังสือไม่เก่ง ปีนี้เขาได้คะแนนเป็นอันดับที่ ๑๙ ในห้องของเขา
มีนักเรียน ๓๙ คน มันเดินสายกลาง พอดีเลย (หัวเราะ)

แต่ผมไม่ได้สนใจเรื่องอันดับคะแนนหรอก
ครูเขาเขียนถึงอุปนิสัยของลูกว่า
เป็นคนที่มีน้ำใจ ชอบช่วยเหลือคนอื่น ซึ่งผมไม่ได้สอนแบบนั้น
ฝรั่งส่วนมากจะเห็นแก่ตัว ผมเคยอยู่ ในสังคม อย่างนั้นมาก่อน
มันเปลี่ยนยากครับ ผมจึงไม่ได้สอนให้ลูกเป็นคนมีน้ำใจ
แต่มันเป็นที่ชุมชน เป็นวิถีชีวิต
ของคนอีสาน ที่เริ่มซึมเข้าไปในกระดูกของเขา ทำให้ลูกอายุแค่ ๘ ขวบเป็น
คนมีน้ำใจ ผมถือว่าสุดยอดแล้ว ผมภูมิใจในตัวของลูกมากๆ
เรื่องเรียนไม่สำคัญหรอก
สำคัญที่สุดนั้น เป็นความมีน้ำใจถ้าเขาสามารถรักษาสิ่งนี้ไว้ตลอดชีวิต
ผมคิดว่า เขาคงมีความสุขแน่


วิเคราะห์เจาะลึกอีสานบ้านเฮา
ผมเคยบังคับลูกชายคนแรก ตอนอายุประมาณ ๓ ขวบ จับมานั่ง
สอนภาษาอังกฤษ
เขาก็ร้องไห้ ๆ ไม่เอาๆๆ ผมก็คิดว่า เอ๊ะ..เราน่าจะเลิกทรมานเด็ก
ปล่อยให้เขามีความสุข ตั้งแต่วันนั้น ผมบอก จะไม่สอนเขาอีก
แต่ถ้าอยากเรียนมาบอกผม จะสอนให้ ตั้งแต่วันนั้น จนถึงวันนี้
เขายังไม่บอกผมเลย
ผมก็มาคิดว่า จะให้ลูกเรียนภาษาอังกฤษเพื่ออะไร ในหมู่บ้าน ของผมมี ๕๐ ครอบครัว
ทุกคนพูดอีสานอย่างเดียว แม้แต่ผมก็ยังพูด แล้วจะให้เขาเรียนภาษาอังกฤษ
เพื่ออะไร?

สมมุติว่าลูกของผมอยากอยู่ในหมู่บ้านนี้ตลอดชีวิต
ภาษาอังกฤษก็จะเป็นความรู้
ที่ไม่เป็น ประโยชน์อะไรทั้งสิ้น ผมเคยเรียกว่า มันเป็นวิชาขี้ข้า
เอาไว้รับจ้างเฉยๆ เอาไปหาเงิน คนที่มีความรู้ ภาษาอังกฤษ
จะเอาอันนี้แลกกับเงินอย่างเดียว เขาไม่ได้เรียนเพื่อชีวิตของเขา
เขาอยากเอาเงิน ไปทำงานสูงๆ หน่อย

ปัญหาของคนอีสานมีมากในเรื่องของการศึกษา
คนอีสานส่วนมากไม่อยากให้ลูกเป็นคนอีสาน
ไม่อยากให้ลูกเป็นคนบ้านนอก
ไม่อยากให้ลูกพูดภาษาอีสาน อยากให้พูดไทย ชาวบ้านส่วนมาก
คิดอยากให้ลูกได้ดีในชีวิต คิดว่าสิ่งที่ดีในชีวิตของลูกคือ
๑.ไม่ได้พูดอีสาน พูดแต่ภาษาไทย
๒. พูดภาษาอังกฤษด้วย
๓. เล่นคอมพิวเตอร์ได้
๔.ไปอยู่ในเมือง
๕.ไปรับจ้างเขา
๖. ไปสร้าง หนี้สิน ไปซื้อบ้านหลังเล็กๆ ราคา ๒ ล้าน ๓ ล้านบาท

เขาคิดว่า อย่างนี้ลูกของเขาได้ดี ซึ่งผมไม่เห็นด้วย
ผมก็อยากให้ลูกของผมได้ดีเหมือนกัน แต่ภาษาอังกฤษ ไม่ใช่ปัจจัย
ที่จะช่วยให้เขาได้ชีวิตที่ดี อาจจะเอาไปแลกเงินในบางช่วงได้ แต่ผมหวังว่า
ลูกของผม จะมีความคิด สูงกว่านั้น ชีวิตน่าจะมีไว้เพื่อหาสิ่งที่ไม่ใช่เงิน
ถ้าเขาเรียนรู้ เพื่ออยาก จะหาเงิน อย่างเดียวก็น่าเสียใจนะ
เพราะความรู้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด แต่การเรียนรู้
เป็นสิ่งที่เราต้องทำ
ทุกวันตลอดชีวิต เราหยุดเรียนรู้ไม่ได้ แต่เราไม่น่าจะเรียน
เพื่อเอาความรู้ เอาปริญญา ไปแลกกับเงิน ทำให้ความรู้ไม่มีคุณค่า

จุดอ่อนจุดแข็งของคนไทย
ผมคิดว่าคนไทยส่วนมากยังไม่เข้าใจระบบทุนนิยม เห็นฝรั่งที่ไหน
ก็คิดว่ารวยหมด คิดว่าการพัฒนา ในระบบทุนนิยมจะทำให้ทุกคนมีเงิน
ไม่เข้าใจว่าประเทศที่พัฒนา
ระบบทุนนิยม นานแล้ว เช่น อังกฤษ สหรัฐ มีปัญหาเยอะมาก
แต่คนไทยก็คิดว่า เมืองนอก ดีกว่า อันนี้จุดอ่อนครับ คือคนไทยสนใจ
เมืองนอก ไม่ได้สนใจ ประเทศไทย

ผมเป็นฝรั่ง คุณเลยนั่งฟังผม ถ้าผมเป็นชาวบ้าน คุณจะไม่สนใจผม
อันนี้เป็นจุดอ่อนนะ แต่จุดแข็งคือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
แผ่นดินประเทศไทย อุดมสมบูรณ์มากๆ ที่ดินเยอะมาก น้ำเยอะมาก
แสงแดดเยอะมาก ทำเกษตรอยู่รอดแน่ เป็นพลังแผ่นดิน
ใครๆ ก็อยากได้ประเทศไทย ผมก็ได้ถึง ๖ ไร่

คนไทยโชคดีมากๆ
ที่ได้ในหลวง เป็นผู้นำ พระองค์ท่านเป็นคนที่ทำงาน หนักมาก
เพื่อช่วยให้คนคิดได้ ช่วยให้คนอยู่ได้ จะหากษัตริย์ ในประเทศอื่น
ไม่ค่อยมีแบบนี้ ปัญหาคือคนไทยส่วนมากนับถือในหลวง
แต่ไม่ยอมปฏิบัติตามคำสอนของในหลวง
พระองค์ท่าน บอกมา ๒๗ ปีถึงเศรษฐกิจพอเพียง
แต่คนไทย ก็ไม่รู้จักพอเพียง เอาอย่างเดียว ถึงยกมือไหว้ในหลวง
แต่เวลาดำรงชีวิต ไม่ได้ทำตามในหลวง ก็ในหลวงบอกไว้แล้วว่า
ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นเสือ
ขอให้มีอยู่มีกินไว้ก่อน ถ้าทุกคนเริ่มคิดจริงๆ ถึงสิ่งที่ในหลวงพูด
เราน่าจะช่วยให้ประเทศไทยอยู่ได้ เพราะความคิด ของในหลวง
เรื่องเศรษฐกิจพอเพียง
ต้องอาศัย พลังแผ่นดิน ทำได้เฉพาะประเทศไทยนะ เศรษฐกิจพอเพียง
ที่อื่นทำไม่ได้หรอก เพราะเขาไม่มีที่ดิน ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติเยอะ
เหมือนประเทศไทย
พวกคุณโชคดีที่ได้แผ่นดินดีๆ ได้ผู้นำที่ดีด้วย
และเรื่องที่ ๓
เรื่องศาสนา ผมคิดว่าศาสนาพุทธ มีความสำคัญมากๆ สำหรับคนไทย
ไม่ใช่แค่นับถือไหว้พระ
แค่นั้นไม่พอ แต่อยู่ที่การปฏิบัติด้วยนะ มักน้อย สันโดษ พอเพียง
ธรรมะคือธรรมชาติ เป็นเรื่องง่ายๆ พึ่งตนเองก็ได้ ปรัชญาของ
ศาสนาพุทธ ทำได้นะ แต่คนไทยจำนวนน้อยที่เข้าใจ จริงๆ แล้วศาสนาพุทธ
เป็นศาสนาที่ออกแบบให้เหมาะสม สำหรับคนบ้านนอก ให้ใช้ชีวิตร่วมกับ ธรรมชาติ
โดยไม่ทำลาย ไม่เอาเปรียบ แต่ให้เราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ

อยากบอกอะไรคนไทย
คุณโชคดีมากๆ ที่เกิดในประเทศไทยที่อุดมสมบูรณ์ ไม่ต้องไปรบกับใคร
ไม่ต้องไปเอาน้ำมัน จากใคร ไม่ต้องไปเบียดเบียนคนอื่น ประเทศไทยอยู่ได้
กินอิ่ม มีเหลือแจกด้วย อย่าไปคิดเรื่องเงินอะไรมาก
อย่าลดคุณค่าความเป็นไทยของตัวเองลง คนไทยส่วนมาก นิสัยดีจริงๆ
คนไทยมีน้ำใจ หายากนะ คนไทยมีพระเจ้าอยู่หัวมีแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์
มีศาสนาพุทธ ที่ดีมาก
ทั้ง ๓ อย่างนี้พยายามรักษาเอาไว้ให้ได้ ชีวิตที่ไม่ทะเยอทะยานเกินไป
คือชีวิต ที่มีคุณภาพ ชาวบ้านทุกคนทำได้ ผมเองถึงยังทำไม่สำเร็จ
แต่มั่นใจว่าจะทำได้แน่ในอนาคต ถ้าผมทำได้
คนอื่นก็คงทำได้ง่ายกว่าผมเยอะ
ทุกอย่างอยู่ที่เรา ถ้าเราไม่อยากได้อะไร มากเกินไป ในชีวิต
ชีวิตมันก็ง่าย
พยายามทำให้ชีวิตมันง่ายขึ้น
อย่าให้มันสับสน อย่าให้มันลำบาก
พยายามรักษา สิ่งแบบนี้ให้ดี และอย่าเชื่อฝรั่งมากเกินไป..........
ลงทุนเพื่อชีวิต
ภาพประจำตัวสมาชิก
thaloengsak
Verified User
โพสต์: 2716
ผู้ติดตาม: 1

Re: บทความของดร.นิเวศน์ กันยายน 2554

โพสต์ที่ 29

โพสต์

นักลงทุนรายใหญ่ "รังแก" แมงเม่าอย่างไร ?




เมื่อเร็วๆ นี้ ผมได้ฟังการบรรยายสาธารณะของสุทธิพิทักษ์ศาสตราภิชาน ดร.ภาพร เอกอรรถพร แห่งมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ เรื่อง "กลบัญชี การโยกเงินจากนักลงทุนรายย่อยไปสู่นักลงทุนรายใหญ่" ที่น่าสนใจ จึงขอนำมาเล่าสู่กันฟังเพื่อจะได้ไม่ต้องกินน้ำใบบัวบกวันหลัง

"สุทธิพิทักษ์" คือนามสกุลของ ดร.ไสว สุทธิพิทักษ์ หนึ่งในผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ส่วน "ศาสตราภิชาน" คือตำแหน่งอาจารย์รับเชิญ ตำแหน่งนี้ก็คือ Chair-Professor ของมหาวิทยาลัยในต่างประเทศนั่นเอง คือ เชิญมาสอน บรรยาย วิจัย ชั่วระยะเวลาหนึ่ง

ธุรกิจบัณฑิตย์เป็นมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งแรกที่มีตำแหน่งเช่นนี้ (ที่จุฬาฯ มี ชิน โสภณพนิช ศาสตราภิชาน) มหาวิทยาลัยยังมีอีกสองตำแหน่ง คือ ปรีดี พนมยงค์ ศาสตราภิชาน (คนปัจจุบันที่เป็น คือ ศ.ดร.อัมมาร สยามวาลา) และเกตุทัตศาสตราภิชาน (คนปัจจุบันที่เป็น คือ ศ. ดร.อิสสระ นิติทัณฑ์ประภาศ อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ)

ดร.ภาพร บอกว่า ในการลงทุนต้องรู้จักกลโกงที่มีอยู่ดาษดื่นในประเทศไทยให้ดี การโยกเงินเกิดขึ้นก่อนกลบัญชี เพราะกลบัญชีคือการแต่งตัวเลขอย่างจงใจให้ดูดี เป็นวิธีการที่จะทำให้การฉ้อฉลดูดเอาเงินออกจากบริษัท (siphon) ดูไม่น่าเกลียด และทำให้นักลงทุนไม่เห็นในสิ่งที่ควรเห็น

สิ่งที่พูดนี้จะเกี่ยวเฉพาะการโยกเงินสดของบริษัทจากนักลงทุนรายย่อยสู่นักลงทุนรายใหญ่ หรือการเสกเงินในกระป๋องที่เป็นสมบัติรวมของนักลงทุนทุกคนมาอยู่ในกระเป๋าของผู้ถือหุ้นรายใหญ่

ขอเริ่มต้นจากการที่ผู้ก่อการทำธุรกิจ (ครอบครัวหรือคนกลุ่มหนึ่ง) ใช้ทุนของตนเองตั้งบริษัทประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จากนั้นมีการขายหุ้นหรือระดมทุนให้ประชาชนคนอื่นๆ มาร่วมลงทุนในกิจการนั้นด้วย ซึ่งกลุ่มผู้ก่อการก็จะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ เมื่อประชุมผู้ถือหุ้นกันผู้ก่อการก็จะกลายเป็น CEO ไป (สมมติว่าเป็นทุนของกลุ่มใหญ่ 60 ล้านบาท ของนักลงทุนรายย่อย 40 ล้านบาท รวมเป็น 100 ล้านบาท)

ดร.ภาพร บอกว่าให้ระวังการ "รังแก" จากผู้ถือหุ้นรายใหญ่ให้ดี เพราะมีวิธีการผ่องถ่ายหรือดูดเงินของกองกลางมาเข้ากระป๋องตนเองหรือพรรคพวกอยู่ 3 วิธีหลักคือ (1) เอาเงินที่ลงทุนไปคืนมาก่อน (2) หักกำไรเอาไว้ก่อน และ (3) กู้เงินไม่มีดอกเบี้ยหรือไม่จ่ายหนี้

วิธีแรก ของการโกงก็คือ กลุ่มผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทซึ่งขอเรียกว่าบริษัท ก.ไปแอบเปิดบริษัท ข.และคณะกรรมการบริษัท ก. (ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนของกลุ่มลงทุนใหญ่ เพราะผู้มีเสียงข้างมากย่อมแต่งตั้งกรรมการบริษัทข้างมากได้เป็นธรรมดา) มีมติให้ไปลงทุนในบริษัท ข. ซึ่งมักเป็นบริษัทลี้ลับนอกตลาดหลักทรัพยฺ์ สมมติเป็นเงิน 60 ล้านบาท บริษัท ข.ซึ่งไม่ได้น่าลงทุนอะไรเลยก็ได้เงินไป 60 ล้านบาท และบริษัท ก.ก็ได้ใบหุ้นแสดงการร่วมทุนกับบริษัท ข.ไป แต่บริษัท ข.จริงๆ เป็นของกลุ่มผู้ถือหุ้นรายใหญ่

ดังนั้น กลุ่มนี้จึงได้เงินจำนวนนี้สบายแฮไป เรียกว่าได้เงินที่ลงทุนไปแต่แรกกลับคืนแล้ว ต่อไปจะเจ๊งก็ไม่กลัว

ในทางบัญชี บริษัท ก.ก็ยังเข้มแข็งอยู่เพราะเงินสด 60 ล้านบาท นั้นก็แค่แปรรูปเป็นหุ้นแสดงการลงทุนในบริษัท ข. เพียงแต่ว่าในความเป็นจริงผู้ถือหุ้นรายใหญ่เขาเล่นกลสูบเงินออกไปแล้ว แต่แมงเม่าทั้งหลายที่แห่ซื้อหุ้นบริษัท ก.ไว้ หารู้ไม่ว่าบัดนี้ตนเองได้ขยับเข้าใกล้กองไฟไปอีกหนึ่งขั้นแล้ว

วิธีการนี้แพร่หลายในบ้านเรามาก และทำกันมานานอย่างสนุกสนาน ที่รวยๆ กันจนซื้อบ้าน 50-60 ล้านบาท ก็มาจากวิธีนี้ไม่น้อย การสูบเงินแบบนี้ก็ทำกันมากในบริษัทหรือคนที่ร่วมหุ้นกันธรรมดาๆ โดยไม่จำเป็นต้องเป็นบริษัทใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ แค่หน้าด้านและจิตใจชั่วร้ายเสียอย่างก็ทำได้อย่างสบายใจ

วิธีที่สอง คือ แอบดูดเอากำไรไว้ก่อนอย่างนอกเหนือจากเงินปันผล สมมติว่านาย ฮ.(ตั้งชื่อเพื่อให้ห่างไกลนาย ก. เพราะกลัวเผลออ่านไม่มีวรรค) เป็นผู้ก่อการธุรกิจและเป็น CEO ของบริษัท ก. วิธีที่ทำก็คือ นาย ฮ.มีเงินเดือนสูงมาก บวกรถประจำตำแหน่ง ค่ารับรอง ค่าคอนโด ค่าประกันชีวิต ค่าสันทนาการ ค่าประกันสุขภาพ ค่าเป็นสมาชิก Golf เรียกว่าสารพัดสิ่งที่เรียกว่า perks และสิทธิพิเศษในการซื้อหุ้นที่ต่ำกว่าราคาตลาด ฯลฯ

โดยผู้ถือหุ้นรายย่อยไม่มีทางรู้ได้เลย อย่างดีก็แค่รู้เงินเดือนจากการถามในที่ประชุมผู้ถือหุ้น ซึ่งอาจเป็นเพียง 1 ใน 4 ของรายได้ทั้งที่เป็นตัวเงินและไม่เป็นตัวเงินที่รับจริงรวมกันก็ได้

แค่นี้ยังพอทน แต่ที่มันหนักหนาก็คือ นาย ฮ.หรือกลุ่มพรรคพวกมักมีบริษัทส่วนตัวจำนวนมากที่มาทำธุรกิจวนเวียนอยู่กับบริษัท ก. และเรียกเก็บค่าบริการไม่ว่าจากการทำงานให้จริงหรือปลอม (คือมีแต่ลม แต่บริษัท ก.ต้องจ่ายเงินให้) หรือในราคาแพงสุดสุด หรือประมูลงานของ ก.ได้ทุกที ในราคาสุดแสบ โดยผู้ถือหุ้นรายย่อยไม่มีทางห้ามปรามได้

นอกจากนี้บริษัท ก.มีลูกบริษัทในเครือมากมาย (พนันได้ว่ากลุ่มนาย ฮ.ลงทุนร่วมทั้งเปิดเผยและแอบแฝง) นาย ฮ.และพรรคพวกบริหารงานหลายบริษัทจนได้เบี้ยประชุมมากมาย และบริษัทแม่คือ ก.จ่ายค่าบริหารจัดการ ค่าเดินทางไปเจรจาต่างประเทศ ค่าบริหารการตลาด ค่ารับรอง ฯลฯ ให้แก่บริษัทลูกเหล่านี้และคนเหล่านี้อย่างหน้าชื่น

ดร.ภาพร บอกว่า ที่มักทำกันก็คือ บริษัทส่วนตัวของ นาย ฮ.และพรรคพวก ซื้อขายสินค้ากับบริษัท ก.อย่างสนุกโดยใช้ราคาเป็นเครื่องมือ "สูบ" ถ้าซื้อทรัพย์สินจาก ก.ก็จะเป็นราคาต่ำมาก แต่ถ้าขายทรัพย์สินให้ ก.ก็จะเป็นราคาสูงมาก ถ้าขายสินค้าให้ ก.ราคาก็จะสูงปรี๊ด แต่ถ้าซื้อจาก ก.มาราคาก็ทิ่มดิน

อย่างนี้ถ้านาย ฮ.และพรรคพวกไม่รวยก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้ว แต่คนที่จนลงก็คือแมงเม่าผู้ถือหุ้นรายย่อยทั้งหลาย ควรจะได้รับเงินปันผลมากกว่าเดิม และบริษัทมั่นคงกว่าเดิมแต่ก็ไม่เกิดขึ้น จะแก้ไขข้อเสียเปรียบได้ก็คงต้องแต่งงานร่วมวงศ์อสัญแดหวา (โจร) กับนาย ฮ.กระมัง

วิธีที่สาม ก็คือ นาย ฮ.และผู้บริหารกู้เงินไม่มีดอกเบี้ยจากบริษัท ก. และบ่อยครั้งก็ชักดาบ แต่ก็ไม่มีปัญหาเพราะต่อมายกหนี้ให้โดยถือว่าเป็นโบนัส (ดร.ภาพร บอกว่า ไปดูงบการเงินของบริษัทใหญ่ที่ปรับโครงสร้างหนี้หลังวิกฤตเศรษฐกิจแล้ว จะเห็นชัดเจนว่า ผู้บริหารเหล่านี้เกิดมามีบุญวาสนามากเพราะหนี้ส่วนตัวจำนวนมาก ในที่สุดคนทั้งประเทศจะเป็นผู้รับภาระแทนด้วยเงินภาษีอากร)

บ่อยครั้ง บริษัท ก.กู้เงินจากธนาคาร และนำมาให้นาย ฮ.หรือบริษัทส่วนตัวของนาย ฮ.กู้ยืมเงินต่อด้วยอัตราดอกเบี้ยและมักแทงเป็นหนี้สูญเมื่อผ่านไปสักระยะหนึ่ง

นี่เป็นเพียงตัวอย่างส่วนน้อย ที่พิสดารมีมากกว่านี้อีก เช่น บริษ้ท ก.เช่าอาคารที่เป็นสมบัติส่วนตัวของนาย ฮ.สัญญา 50 ปี และจ่ายค่าเช่าล่วงหน้า 50 ปีให้นาย ฮ.ด้วย !

เงินเดือนของ นาย ฮ.และญาติพี่น้องของนาย ฮ.ในบริษัทนั้นรวมกันแล้วในแต่ละเดือนสูงนับเป็นร้อยเป็นพันเท่าของเงินเดือนของพนักงานในบริษัททุกคนรวมกัน

ถามว่าทางการตรวจสอบไม่ได้หรือด้วยวิธีการบัญชี คำตอบคือ ยากมาก เพราะเขาโยกกันไปก่อนแต่งบัญชี แต่จริงๆ ก็ทำได้ด้วยวิชา Forensic Accounting (ทำแบบหมอพรทิพย์ทำกับศพ แต่นี่คือ การ "แกะรอย" เส้นทางเดินของเงินสด การลงบัญชี ข้อมูลรอบข้าง ฯลฯ) แต่เสียเวลามาก และไม่มีใครอยากทำ

วิธีการเหล่านี้ ดร.ภาพร ซึ่งมีประสบการณ์ทำงานในด้านตรวจสอบบัญชีในภาคเอกชนและทำให้ภาครัฐมานานพอควร ตลอดจนสอนหนังสือในมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกาหลายปี บอกว่าปัจจุบันก็ยังคงทำกันอยู่อย่างสนุกสนาน

จำเป็นหรือไม่ว่าวิธีการเหล่านี้จะเกิดเฉพาะในบริษัทใหญ่ในตลาดที่ผู้ก่อการและครอบครัวถือหุ้นเกินกว่าร้อยละ 50 คำตอบคือไม่จำเป็น แค่ถือหุ้นรวมกันร้อยละ 30 ก็สามารถทำให้นาย ฮ.เป็น CEO และแต่งตั้งพรรคพวกเป็นกรรมการเพื่อร่วมกันปู้ยี่ปู้ยำบริษัทในระดับที่พอทำให้บริษัทอยู่ได้ มีกำไร และผู้ถือหุ้นพอใจ

ทั้งนี้ เพราะผู้ถือหุ้นไทยมักไม่ไปประชุมผู้ถือหุ้นกัน และไม่มอบฉันทะให้ใครลงคะแนนแทนด้วย

ดร.ภาพร บอกว่าไม่ใช่ทุกบริษัทในตลาดที่ "สูบ" บริษัทไทยที่มีธรรมาภิบาลก็มีอยู่เหมือนกัน มีคุณธรรมและจริยธรรมพอที่จะไม่ "รังแก" ผู้ถือหุ้นรายย่อยท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่การควบคุม ติดตาม ตรวจจับ กลโกงเหล่านี้เป็นไปได้ยากเย็น และยังไม่เห็นวี่แววว่าจะมีการออกกฎหมายลงโทษหนัก และเอาคนทำผิดติดคุกจริงๆ สักที

กลโกงเหล่านี้ ในบริษัทเล็กๆ ที่ท่านร่วมหุ้นกับเพื่อนก็เกิดขึ้นได้ หากท่านไม่สร้างกติกาป้องกันให้ดี ท่านอาจเสียทั้งเงินและเพื่อนด้วย



http://nidambe11.net/ekonomiz/2004q3/ar ... ug27p1.htm
ลงทุนเพื่อชีวิต
ภาพประจำตัวสมาชิก
thaloengsak
Verified User
โพสต์: 2716
ผู้ติดตาม: 1

Re: บทความของดร.นิเวศน์ กันยายน 2554

โพสต์ที่ 30

โพสต์

ทำไมจึงควรเล่นหุ้น โดยคุณ aot


หากจะถามว่าทำไมจึงควรเล่นหุ้น ชาว vi ส่วนใหญ่คงตอบว่าเพราะ return จากการเล่นหุ้นให้ผลตอบแทนในระยะยาวมากกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก
บางท่านบอกว่าเป็นการเล่นเพี่อเอาชนะตลาด ได้ใช้ความคิด บางท่านบอกว่าเป็นการออมอย่างหนึ่ง บางคนบอกเป็นอาชีพ แต่บางคนที่เคยขาดทุนจากการซื้อหุ้นก็จะบอกว่าตลาดหุ้นเป็นบ่อนการพนัน ส่วนใหญ่ขาดทุนเจ้ามีอกินเลียบ บางคน(เจ้าของหุ้น)บอกว่ามันเป็นแหล่งหาเงินเข้าบรืษัท หรือ อาจเป็นแหล่ง cash out หาเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง
สรุปแล้วคนส่วนใหญ่เข้ามายังตลาดหุ้นเพื่อหาเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง
จากพ่อรวยสอนลูกวิธีการจะรวยมีอยู่ 3 ทางจากง่ายไปหายาก
1 ทำกำไรจากหุ้นหรือพันธบัตร วิธีนี้เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดใน 3 วิธีและเปรียบการเล่นหุ้นเป็นเหมือนการออกเดท หากซื้อแล้วเข้ากันไม่ได้ก็ขายทิ้งเลิกลากันไป
2 ทำกำไรจากการซื้อขายที่ดิน วิธีนี้หากสำเร็จจะมีรายได้ดีกว่าวิธีแรก เปรียบการซื้อที่ดินกับการแต่งงาน ต้องดูให้ดีก่อนแต่ง แต่งแล้วเลิกยากหย่ายาก(ขายยาก) แต่หากทำสำเร็จจะรวยกว่าวิธีแรก
3 รวยจากการทำธุรกิจ อันนี้ต้องใช้เวลานาน เปรียบได้กับการแต่งงานเล้วมีลูกต้องเลี้ยงดูประคบประหงม จะหย่าก็ยากเพราะมีลูกกันแล้ว แต่ถ้าทำสำเร็จจะรวยสุด ๆ

ผู้ประสพความสำเร็จมักเอาทั้ง 3 วิธีมารวมกันคือ ทำธุรกิจแล้วเอาเข้าตลาด เช่น บิลเกต หรือซื้อหุ้นแบบแต่งงานเลย เช่น ดร.นืเวศ(บอกว่าเลี้ยงหุ้นเหมือนเลี้ยงลูก) บัฟเฟท (ซื้อหุ้นจนมีส่วนในการบรีหาร)

ทีเขียนมาทั้งหมดนี้เพียงเพื่อจะบอกว่า การมาเล่นหุ้น เป็นการเดินมาถูกทางแล้ว ไม่ใช่เพราะจะรวยเร็วสุด (vi จะรวยเขาถือกันหลาย ๆ ปี) แต่เป็นเพราะว่าการเล่นหุ้นเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด(เมื่อเทียบกับวิธีอื่น)ในการหาเงินตังหาก
แต่ในวิธีที่ง่าย ก็ยังต้องใช้ความรู้อีกมากมาย และมีทางเดินหลายทางในการบรรลุจุดหมาย คราวหน้าจะแจกแจงวิธีการต่าง ๆ ให้ฟัง(ตามความคิดผม)

ป.ล. ข้อความทั้งหมดเป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน ควรใช้วิจารณยานในการอ่าน
ลงทุนเพื่อชีวิต
โพสต์โพสต์