ข่าวสหรัฐและเฟด

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก
ภาพประจำตัวสมาชิก
บูรพาไม่แพ้
Verified User
โพสต์: 2533
ผู้ติดตาม: 1

ข่าวสหรัฐและเฟด

โพสต์ที่ 1

โพสต์

ยอดค้าปลีกสหรัฐวันแบล็คฟรายเดย์พุ่งทำลายสถิติ11,400 ล้านดอลลาร์

ช็อปเปอร์ แทร็ค บริษัทวิจัย มีฐานดำเนินงานอยู่ในนครชิคาโก ระบุว่า ยอดค้าปลีกในสหรัฐในวันแบล็ค ฟรายเดย์ เพิ่มขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ทำลายสถิติใหม่ในช่วงเริ่มต้นฤดูกาลจับจ่ายซื้อหาสิ่งของช่วงเทศกาลปลายปี ที่จะมีตามหลังเทศกาลขอบคุณพระเจ้า

ทั้งนี้ ยอดขายในอุตสาหกรรมค้าปลีกสหรัฐเพิ่มขึ้นถึง 11.4 พันล้านดอลลาร์ หรือเพิ่มขึ้น 6.6% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว และถือเป็นการจับจ่ายซื้อหาสินค้าของผู้บริโภคอมเริกันมากที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้นในช่วงแบล็ค ฟรายเดย์ นับตั้งแต่ยอดขายในธุรกิจค้าปลีกเคยทะยานขึ้นถึง 8.3%มาครั้งหนึ่งในช่วงปี 2549 และ 2550

ส่วนยอดค้าปลีกจากกลุ่มลูกค้าที่เดินเข้าไปซื้อหาสินค้าตามร้านต่างๆด้วยตัวเองก็ปรับตัวเพิ่มขึ้น 5.1% เมื่อเทียบกับช่วงแบล็ค ฟรายเดย์ ของเมื่อปี 2553

"แบล็ค ฟรายเดย์คือวันช็อปปิ้งใหญ่สุดของปีและเป็นวันเริ่มต้นฤดูกาลจับจ่ายซื้อหาสิ่งของของชาวอเมริกันจนยึดถือกันเป็นประเพณีไปแล้ว แม้ว่าเศรษฐกิจของเราจะชะงักงัน แต่บรรดานักช็อปทั้งหลายก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า พวกเขามองหาของที่ซื้อแล้วคุ้มค่าและพร้อมที่จะจ่ายเงินซื้อสินค้า ถ้าได้รับประสบการณ์ที่ดีจากร้านค้าต่างๆเหล่านั้น"นายบิลล์ มาร์ติน ผู้ก่อตั้งช็อปเปอร์ แทร็ค ให้ความเห็น

อย่างไรก็ตาม ช็อปเปอร์ แทร็ค เตือนว่า นี่เป็นแค่ยอดค้าปลีกเพียงวันเดียว คือวันศุกร์แบล็ค ฟรายเดย์เท่านั้น ยังมีเวลาอีกตลอดทั้งเดือนนี้ที่จะบ่งชี้ว่า ผู้บริโภคในสหรัฐจะยังคงจับจ่ายซื้อหาสินค้ากันชนิดมโหฬารตลอดฤดูกาลหรือไม่
http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... ดอลล์.html
ภาพประจำตัวสมาชิก
บูรพาไม่แพ้
Verified User
โพสต์: 2533
ผู้ติดตาม: 1

Re: ข่าวสหรัฐและเฟด

โพสต์ที่ 2

โพสต์

ข้อตกลงประวัติศาสตร์เอฟทีเอสหรัฐ-เกาหลีใต้ ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ของสหรัฐ ที่สามารถเจาะตลาดชาติที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่อันดับ4ของเอเชีย

เกาหลีใต้ ซึ่งเกือบจะลืมเลือนบรรยากาศการประท้วงของนักศึกษา ในสมัยที่ตกอยู่ภายใต้การปกครองของเผด็จการทหาร หลังจากได้สัมผัสกับประชาธิปไตยมายาวนาน กำลังหวนกลับไปสู่บรรยากาศของอดีตอีกครั้ง เมื่อมีการรวมตัวคนหลายพันคน ประท้วงต่อต้านการให้สัตยาบรรณรับรองข้อตกลงการค้าเสรีกับสหรัฐ (เอฟทีเอ)ที่พวกเขามองว่า เป็นทั้งการเสียหน้า เสียเปรียบและเสียหายต่อชาติบ้านเมืองอย่างใหญ่หลวง


แต่เป็นชัยชนะอย่างยิ่งใหญ่ของสหรัฐ ที่ต่อไปนี้จะสามารถเจาะตลาดของชาติ ที่ได้ชื่อว่ามีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 4 ของเอเชีย และเป็นข้อตกลงการค้าที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐ นับตั้งแต่มีการทำข้อตกลงเปิดเสรีการค้าอเมริกาเหนือ ( นาฟต้า) เมื่อปี 2537 กับแคนาดาและเม็กซิโก

เมื่อวันอังคาร (22พ.ย.) สภาผู้แทนราษฎรของเกาหลีใต้ ได้ผ่านความเห็นชอบเอฟทีเอกับสหรัฐ ที่ยืดเยื้อมานานด้วยมติ 151 ต่อ 7 เสียง ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในปีหน้า และเป็นเวลาไม่กี่นาที หลังจาก ส.ส.ฝ่ายค้านคนหนึ่ง ขว้างกระป๋องแก๊สน้ำตา ไปตกกลางสภาฯ เพื่อประท้วงการลงมติ

ส.ส.พรรครัฐบาล ได้ฉวยโอกาสเรียกประชุมสภาฯ กระทันหันโดยที่ ส.ส.พรรคฝ่ายค้านยังไม่ทันตั้งตัว พวก ส.ส.ในที่ประชุมต้องไอไปด้วยและเช็ดหน้าเช็ดตาไปด้วย เพราะกระป๋องแก๊สน้ำตาเกิดระเบิดใกล้แท่นอภิปรายของประธานสภาฯ ส่วนส.ส.มือขว้าง ถูกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยลากตัวออกไป โดยที่เจ้าตัวยังคงตะโกนประท้วงการลงมติ พวก ส.ส. ที่เหลือเร่งลงมติโดยเร็ว และให้สัตยาบรรณเอฟทีเอจนได้ ซึ่งที่จริงแล้วเอฟทีเอ ผ่านความเห็นชอบครั้งแรกเมื่อปี 2550 แต่ถูกเตะถ่วงมาหลายครั้งก่อนหน้านี้

ส.ส.พรรคแกรนด์ เนชั่นแนล ซึ่งครองเสียงข้างมากในสภาฯ จากทั้งหมด 295 ที่นั่ง ให้สัมภาษณ์สถานีโทรทัศน์ยอนฮัพว่า ที่ต้องตัดสินใจผลักดันเอฟทีเอกับสหรัฐ โดยผ่านการลงมติในสภาฯ ก็เพราะรู้ดีว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะบรรลุข้อตกลงกับฝ่ายค้าน และรัฐสภาของสหรัฐ ก็ให้สัตยาบรรณเอฟทีเอไปแล้วตั้งแต่เดือนตุลาคม

จุดเริ่มต้นของข้อตกลงเอฟทีเอระหว่างสหรัฐกับเกาหลีใต้ มีกำเนิดมาจากการที่สองชาติ ลงนามในข้อตกลงการค้าระหว่างสองชาติ อย่างเป็นทางการที่กรุงวอชิงตัน เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน ปี 2550 ท่ามกลางเสียงคัดค้านจากเกษตรกรและสหภาพแรงงานของเกาหลีใต้ รวมถึงแกนนำของสภาคองเกรสส์สหรัฐเอง ที่ขู่ว่าจะไม่ผ่านข้อตกลงเอฟทีเอนี้ แต่แล้วในที่สุด การลงนามก็สามารถมีขึ้นทันกำหนดเส้นตาย ในเที่ยงคืนวันเดียวกัน ก่อนที่อำนาจการให้สิทธิพิเศษทางการค้า( ฟาสต์แทร็ค)ของประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช จะหมดอายุ

อำนาจฟาสต์แทร็ค จะช่วยป้องกันไม่ให้สมาชิกสภาคองเกรสส์ แก้ไขเนื้อหาในข้อตกลงเอฟทีเอ ก่อนลงมติรับรอง ซึ่งการรับรองของรัฐสภาของสองฝ่าย ถือเป็นขั้นตอนสุดท้าย ก่อนสามารถบังคับใช้ข้อตกลงเอฟทีเอ

การลงนามครั้งนั้น มีขึ้นหลังจากสองฝ่ายบรรลุข้อตกลงกัน เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2550 ภายใต้ข้อกำหนดให้ยกเลิก หรือลดการจัดเก็บภาษีศุลกากรและอุปสรรคทางการค้าอื่น ๆ ในสินค้ากลุ่มอุตสาหกรรมและภาคบริการ ซึ่งครอบคลุมสินค้าหลายชนิด รวมทั้ง รถยนต์ สินค้าเกษตรและบริการทางการเงิน

เกาหลีใต้ ยินยอมเปลี่ยนระบบจัดเก็บภาษีสำหรับรถยนต์ขนาดใหญ่ขึ้น หลังจากสหรัฐมองว่า ระบบเดิมไม่เป็นธรรมกับค่ายรถยนต์ของสหรัฐ เนื่องจากที่ผ่านมา เกาหลีใต้ส่งออกรถยนต์ไปขายที่สหรัฐปีละกว่า 7 แสนคัน แต่สหรัฐ กลับส่งออกรถยนต์ไปจำหน่ายที่เกาหลีใต้ได้เพียง 5 พันคัน และในนาทีสุดท้ายของการเจรจาเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน เกาหลีใต้ ยอมอ่อนข้อด้วยการตกลงเพิ่มมาตรฐานด้านแรงงานและสิ่งแวดล้อม ตามข้อเรียกร้องของสมาชิกสภาคองเกรสส์สหรัฐ

หากดูจากภาพรวมแล้ว ข้อตกลงเอฟทีเอ ระหว่างสหรัฐกับเกาหลีใต้ ทำให้เกิดการยกเว้นภาษีเกือบ 90% ในสินค้าอุตสาหกรรม และสินค้าโภคภัณฑ์ของแต่ละฝ่าย ส่วนภาษีที่เหลือจะถูกยกเว้นจนหมด ภายใน 3-15 ปี แต่สินค้าเกษตรอย่าง " ข้าว " ไม่ได้อยู่ในข้อตกลงนี้ เนื่องจากรัฐบาลเกาหลีถูกต่อต้านอย่างหนักจากเกษตรกรในประเทศ

เกาหลีใต้ เป็นคู่ค้าอันดับ 7 ของสหรัฐ และมีมูลค่าการค้าระหว่างกันเมื่อปีที่แล้ว อยู่ที่ 78,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งคาดว่า ข้อตกลงเอฟทีเอ จะทำให้การส่งออกของสหรัฐไปยังเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 19,000 ล้านดอลลาร์ ขณะที่สินค้าส่งออกจากเกาหลีใต้ไปยังสหรัฐ ก็จะเพิ่มอีก 1 หมื่นล้านดอลลาร์

แม้จะลงนามกันไปแล้ว แต่การให้สัตยาบรรณของสองฝ่าย ก็ถูกเตะถ่วงเรื่อยมา เมื่อฝ่ายที่คัดค้านมองว่า ข้อตกลงนี้จะส่งผลต่อแรงงานของสองประเทศ ฝ่ายสหรัฐ วิตกว่า สินค้าราคาถูกจะหลั่งไหลเข้าสู่สหรัฐจนแรงงานในสหรัฐต้องตกงาน ส่วนของเกาหลีใต้ ดูเหมือนจะคัดค้านหัวชนฝารุนแรงกว่าสหรัฐ ถึงขั้นมีการผละงานประท้วงกันเป็นแสนคน รวมทั้งพนักงานบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง ฮุนได โดยมีนักศึกษาและเกษตรกรเข้าร่วมด้วย

สำหรับการให้สัตยาบรรณรับรองเอฟทีเอของพรรครัฐบาลเกาหลีใต้ เมื่อวันอังคารที่ผ่านมานั้น ถือเป็นความเสี่ยงทางการเมือง ในช่วงที่ประเทศ กำลังจะมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

และการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปีหน้า พวก ส.ส.ฝ่ายค้าน ต่างมองว่าเอฟทีเอ จะเอื้อประโยชน์ให้แก่แรงงานสหรัฐมากกว่าแรงงานเกาหลีใต้

ประธานาธิบดีลี เมียง บัก ได้กล่าวชี้แนะในระหว่างการเรียกประชุม ครม.ฉุกเฉินว่า ให้ใช้มาตรการติดตามตรวจสอบอย่างละเอียดต่อเอฟทีเอ ตามข้อเรียกร้องของบรรดา ส.ส.ที่ต้องการให้ปกป้องเกษตรกรและพ่อค้ารายย่อย ไม่ให้ได้รับความเสียหายจากข้อตกลงนี้ ขณะที่เจ้าหน้าที่รัฐบาลคนอื่นๆ พยายามโน้มน้าวให้เห็นผลดีของเอฟทีเอว่า จะช่วยขยายการส่งออก การจ้างงาน และกระชับความเป็นพันธมิตรระหว่างสหรัฐกับเกาหลีใต้ให้แข็งแกร่งขึ้น

ประธานาธิบดีลี บอกด้วยว่า ความสำเร็จในการทำข้อตกลงเอฟทีเอ ระหว่างเกาหลีใต้กับสหรัฐ จะให้ผลออกมาอย่างไร ขึ้นอยู่กับวิธีที่นำไปใช้ ถ้ารัฐบาล ผู้ประกอบธุรกิจ และแรงงาน มีความสามัคคีกัน ก็จะประสบความสำเร็จอย่างใหญ่หลวง
นอกจากสหรัฐแล้ว ประธานาธิบดีลียังมองไปถึงหนทางที่จะทำข้อตกลงการค้ากับอีกหลายประเทศ โดยระบุว่า การทำข้อตกลงใด ๆล้วนแต่จะขยายขอบเขตเศรษฐกิจให้กับเกาหลีใต้ ที่ตอนนี้ ครอบคลุมผลผลิตมวลรวมในประเทศ (จีดีพี)ถึง 61 % ของโลก ซึ่งถ้าสามารถทำข้อตกลงการค้ากับประเทศอื่น ขอบเขตก็จะขยายเพิ่มออกไป และถ้าสามารถฉวยโอกาสและสร้างความแข็งแกร่งให้กับชาติได้ ก็จะสามารถเอาชนะวิกฤติเศรษฐกิจ และก้าวข้ามมันไปได้
จากการประเมินของสถาบันเศรษฐกิจการเกษตรเกาหลี พบว่า ข้อตกลงการค้ากับสหรัฐ จะทำให้ตัวเลขจีดีพี ของเกาหลีใต้ เพิ่มอีก 5.6 % แต่ภาคเกษตรกรรม อาจต้องเผชิญความสูญเสียเป็นมูลค่า 2.28 ล้านล้านวอน หรือราว 6 หมื่นล้านบาท
คณะกรรมาธิการการค้าต่างประเทศของสหรัฐ ก็ประเมินเช่นกันว่า การลดกำแพงภาษีของเกาหลีใต้ เฉพาะแค่สินค้าหลายรายการนั้น จะทำให้จีดีพีของสหรัฐ เพิ่มขึ้น 10,000 - 12,000 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 3.6 แสนล้านบาท ขณะที่ตัวเลขการส่งออกไปยังเกาหลีแต่ละปีจะเพิ่มประมาณ 1 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือราว 3 แสนล้านบาท
http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... าสตร์.html
แนบไฟล์
news_img_421682_1.jpg

ภาพประจำตัวสมาชิก
บูรพาไม่แพ้
Verified User
โพสต์: 2533
ผู้ติดตาม: 1

Re: ข่าวสหรัฐและเฟด

โพสต์ที่ 3

โพสต์

ข่าวต่างประเทศ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- จันทร์ที่ 28 พฤศจิกายน 2554 20:07:21 น.
สหพันธ์ค้าปลีกแห่งชาติของสหรัฐ (NRF) เปิดเผยว่า ตัวเลขค้าปลีกในช่วงสุดสัปดาห์หลังวันขอบคุณพระเจ้าปีนี้ ปรับตัวขึ้น 16% เมื่อเทียบกับปีก่อน ทำสถิติสูงสุดที่ 5.24 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยเฉพาะยอดขายเสื้อผ้าและสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษ

ขณะที่ยอดใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนอยู่ที่ 398.62 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจาก 365.34 ดอลลาร์ในปีที่แล้ว NRF รายงานโดยอ้างอิงจากผลสำรวจที่จัดทำโดย BIGresearch

NRF ระบุว่า บรรดานักช็อปถือโอกาสจับจ่ายใช้สอยในช่วงเวลาที่ร้านค้าต่างๆ ซึ่งรวมถึง แก๊ป, วอลมาร์ท, ทอยส์ อาร์ อัส และเบสท์บาย ต่างพากันนำเสนอสินค้าราคาพิเศษและจัดโปรโมชั่นต่างๆเพื่อดึงดูดผู้ซื้อ โดยประมาณการว่า มีลูกค้า 86 ล้านรายซื้อสินค้าทั้งทางออนไลน์และที่ร้านในวัน Black Friday และ 26 ล้านรายในวันขอบคุณพระเจ้า

ด้านบริษัทวิจัย คอมสกอร์ เปิดเผยว่า ยอดขายทางออนไลน์ในวัน Black Friday หรือวันศุกร์หลังวันขอบคุณพระเจ้า ทะยานขึ้น 26% สู่ระดับ 816 ล้านดอลลาร์ และพุ่ง 18% แตะ 479 ล้านดอลลาร์ในวันขอบคุณพระเจ้า

ขณะที่ผลวิจัยซึ่งจัดทำโดย ShopperTrak ซึ่งเป็นผู้ให้บริการนับจำนวนคนเดินเข้า-ออกห้างสรรพสินค้าและร้านค้าปลีก ระบุว่า ยอดขายในวัน Black Friday ปีนี้ เพิ่มขึ้น 6.6% จากวันเดียวกันนี้ในปีที่แล้ว แตะ 1.14 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่จำนวนผู้ที่เดินเข้า-ออกร้านค้าปลีก เพิ่มขึ้น 5.1% เมื่อเทียบกับวัน Black Friday ในปี 2553

--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย ปนัยดา ปัทมโกวิท/รัตนา โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: [email protected]--
ภาพประจำตัวสมาชิก
บูรพาไม่แพ้
Verified User
โพสต์: 2533
ผู้ติดตาม: 1

Re: ข่าวสหรัฐและเฟด

โพสต์ที่ 4

โพสต์

ดาวโจนส์ฟิวเจอร์พุ่ง 2.2% หลังยอดค้าปลีกช่วงวันหยุดขอบคุณพระเจ้าทะยาน
ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- จันทร์ที่ 28 พฤศจิกายน 2554 19:41:03 น.
ดัชนีดาวโจนส์ล่วงหน้าพุ่งขึ้น 245 จุด หรือ 2.2% แตะที่ 11,432 จุด และดัชนี S&P ล่วงหน้าพุ่งขึ้น 2.8% แตะที่ 1,185.6 จุด ณ เวลา 10.42 น.ตามเวลาลอนดอนในวันนี้ เพราะได้แรงหนุนจากรายงานที่ว่ายอดค้าปลีกในช่วงหยุดสุดสัปดาห์เนื่องในวันขอบคุณพระเจ้าของสหรัฐ พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และจากข่าวที่ว่าผู้นำยูโรโซนเตรียมใช้มาตรการยับยั้งวิกฤตหนี้

สหพันธ์ค้าปลีกแห่งชาติของสหรัฐรายงานโดยอ้างผลสำรวจของ BIGresearch ว่า ยอดค้าปลีกในช่วงหยุดสุดสัปดาห์เนื่องในวันขอบคุณพระเจ้าของสหรัฐ พุ่งขึ้น 16% แตะระดับ 5.24 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยระบุว่าผู้บริโภคจับจ่ายใช้สอยโดยเฉลี่ยต่อคนที่ 398.62 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่ระดับ 365.34 ดอลลาร์

กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 70% ของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ขยายตัว 2.3% ในไตรมาส 3 ซึ่งเป็นสถิติที่ขยายตัวรวดเร็วที่สุดในปี 2554

ดัชนีดาวโจนส์ล่วงหน้าได้แรงหนุนมากขึ้นเมื่อนายวูล์ฟกัง ชูเบิล รมว.คลังเยอรมนีได้ออกมาเรียกร้องให้มีการปรับเปลี่ยนสนธิสัญญาเพื่อคุมเข้มวินัยด้านงบประมาณของสมาชิกยูโรโซน ขณะที่หนังสือพิมพ์ Welt am Sonntag ของเยอรมนีรายงานว่า นางอังเกลา แมร์เคล นายกรัฐมนตรีเยอรมี และนายนิโคลาส์ ซาร์โกซี ประธานาธิบดีฝรั่งเศส กำลังหารือกันเกี่ยวกับข้อตกลงซึ่งสมาชิกยูโรโซนจะต้องมีวินัยด้านงบประมาณมากขึ้น

นักลงทุนจับตาดูการรายงายยอดขายบ้านใหม่เดือนต.ค. ซึ่งกระทรวงพาณิชย์สหรัฐจะเปิดเผยในวันนี้ เวลา 22.00 น.ตามเวลาไทย

--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช/ปนัยดา โทร.02-2535000 ต่อ 323 อีเมล์: [email protected]--
ภาพประจำตัวสมาชิก
บูรพาไม่แพ้
Verified User
โพสต์: 2533
ผู้ติดตาม: 1

Re: ข่าวสหรัฐและเฟด

โพสต์ที่ 5

โพสต์

ฟิทช์ เรทติ้งส์ ประกาศปรับลดแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐลงสู่ระดับ "เชิงลบ"
ข่าวต่างประเทศ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- อังคารที่ 29 พฤศจิกายน 2554 07:25:24 น.
ฟิทช์ เรทติ้งส์ ประกาศปรับลดแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐลงสู่ระดับ "เชิงลบ" จากเดิม "มีเสถียรภาพ" พร้อมกับเตือนว่าอาจจะปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ AAA ของสหรัฐ หากสมาชิกสภานิติบัญญัติไม่สามารถตกลงกันได้เกี่ยวกับแผนการลดยอดขาดดุลงบประมาณในปี 2556

รายงานของฟิทช์ เรทติ้งส์ระบุว่า หนี้สินที่อยู่ในระดับสูงและแนวโน้มเศรษฐกิจที่ซบเซาอาจจะทำให้อันดับความน่าเชื่อถือที่ AAA ของสหรัฐตกอยู่ในความเสี่ยง และยังกล่าวด้วยว่า การที่คณะกรรมการร่วมระหว่างสองพรรคการเมืองของสหรัฐ หรือ Super Committee ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับการปรับลดยอดขาดดุลงบประมาณลงมูลค่า 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ในระยะเวลา 10 ปีข้างหน้าได้เมื่อสัปดาห์ที่แล้วนั้น จะทำให้สถานะความน่าเชื่อถือของสหรัฐมีความเสี่ยงด้วยเช่นกัน

นอกจากนี้ ฟิทช์ระบุว่า ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจสหรัฐได้ส่งผลบดบังแนวโน้มการคลังทั้งในระยกลางและระยะยาวของประเทศ และอาจจะส่งผลกระทบต่อความสามารถของรัฐบาลในการจัดการกับวิกฤตเศรษฐกิจและการเงินในอนาคตด้วย

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ฟิทช์ เรทติ้งส์ เป็นบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือรายสุดท้ายในจำนวนบริษัทจัดอันดับชั้นนำ 3 แห่งที่ปรับลดแนวโน้มความน่าเชื่อถือของสหรัฐ โดยก่อนหน้านี้ สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (เอสแอนด์พี) ได้ปรับลดแนวโน้มความน่าเชื่อถือของสหรัฐลงมาอยู่ที่ระดับ "เชิงลบ" พร้อมกับคงอันดับความน่าเชื่อถือไว้ที่ AA+ ขณะที่มูดีส์ อินเวสเตอร์ส เซอร์วิส ได้ปรับลดแนวโน้มความน่าเชื่อถือลงมาสู่ระดับ "เชิงลบ" และคงอันดับความน่าเชื่อถือที่ AAA

--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: [email protected]--
ภาพประจำตัวสมาชิก
บูรพาไม่แพ้
Verified User
โพสต์: 2533
ผู้ติดตาม: 1

Re: ข่าวสหรัฐและเฟด

โพสต์ที่ 6

โพสต์

สหรัฐเผยยอดขายบ้านใหม่เดือนต.ค.เพิ่มขึ้นรวดเร็วที่สุดในรอบ 5 เดือน
ข่าวต่างประเทศ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- จันทร์ที่ 28 พฤศจิกายน 2554 22:25:32 น.
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยในวันนี้ว่า ยอดขายบ้านใหม่เดือนต.ค.ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.3% สู่ระดับ 307,000 ยูนิตต่อปี ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นในอัตราที่รวดเร็วที่สุดในรอบ 5 เดือน

อย่างไรก็ตาม ราคากลางของบ้านใหม่ในเดือนต.ค.ปรับตัวลดลง 0.5% ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าแนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐยังคงซบเซา อันเนื่องมาจากการปรับตัวลดลงของราคาบ้าน

ก่อนหน้านี้สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) เปิดเผยว่า ยอดขายบ้านมือสองเดือนต.ค.เพิ่มขึ้น 1.4% สู่ระดับ 4.97 ล้านยูนิตต่อปี สวนทางกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะลดลงมาอยู่ที่ระดับ 4.8 ล้านยูนิตต่อปี จากเดือนก.ย.ที่ได้ปรับทบทวนแล้วที่ระดับ 4.90 ล้านยูนิต

อย่างไรก็ตาม แม้ยอดขายบ้านมือสองปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่ราคากลางของบ้านมือสองปรับตัวลดลง 4.7% จากปีที่แล้ว ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าตลาดที่อยู่อาศัยของสหรัฐยังคงอยู่ในภาวะที่เปราะบาง

ส่วนข้อมูลด้านอสังหาริมทรัพย์ที่สหรัฐจะเปิดเผยในสัปดาห์นี้ รวมถึงรายงานราคาบ้านเดือนก.ย.ซึ่งสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์/เคส ชิลเลอร์จะเปิดเผยในวันอังคาร และยอดทำสัญญาซื้อบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) เดือนต.ค.ซึ่งสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติจะเปิดเผยในวันพุธ

--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช/ปนัยดา โทร.02-2535000 ต่อ 323 อีเมล์: [email protected]--
ภาพประจำตัวสมาชิก
บูรพาไม่แพ้
Verified User
โพสต์: 2533
ผู้ติดตาม: 1

Re: ข่าวสหรัฐและเฟด

โพสต์ที่ 7

โพสต์

สหรัฐ-อียูประกาศเจตนารมณ์ร่วมสนับสนุนการสร้างงานและการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ข่าวต่างประเทศ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- อังคารที่ 29 พฤศจิกายน 2554 10:09:01 น.
สหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป (อียู) ได้ให้คำมั่นสัญญาร่วมกันภายหลังการประชุมสุดยอดอียู-สหรัฐซึ่งมีขึ้นที่กรุงวอชิงตันเมื่อช่วงค่ำวานนี้ตามเวลาไทยว่า ทั้งสองฝ่ายจะร่วมมือกันในการกระตุ้นการสร้างงานและการเติบโตทางเศรษฐกิจ ด้วยการจัดตั้งคณะทำงานในระดับสูงซึ่งประกอบไปด้วยเจ้าหน้าที่จากทั้งสหรัฐและอียู

"สหรัฐและอียูให้คำมั่นสัญญาร่วมกันว่าจะกำหนดแนวทางใหม่ๆที่ชัดเจนในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจของเราให้แข็งแกร่งขึ้น และพัฒนาศักยภาพของทั้งสองฝ่ายอย่างเต็มรูปแบบ" ทำเนียบขาวออกแถลงการณ์ภายหลังการประชุมอียู-สหรัฐเสร็จสิ้นลง

ทั้งนี้ ผู้นำอียูและสหรัฐได้ประกาศจัดตั้งคณะทำงานระดับสูงเพื่อรับผิดชอบในการกระตุ้นการจ้างงานและการเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งนำโดยนายรอน เคิร์ก ผู้แทนการค้าของสหรัฐ และนายคาเรล เดอ กุชท์ กรรมาธิการการค้าของอียู

ทำเนียบขาวเปิดเผยว่า คณะทำงานชุดนี้จะทำหน้าที่กำหนดนนโยบายและมาตรการต่างๆ เพื่อเพิ่มมูลค่าการทางการและการลงทุนระหว่างสหรัฐและอียู โดยมีเป้าหมายที่จะสนับสนุนการสร้างงาน การเติบโตทางเศรษฐกิจ และเพิ่มศักยภาพด้านการแข่งขันในตลาดต่างประเทศ เพื่อให้เกิดประโยชน์ร่วมกันทั้ง 2 ฝ่าย

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ประธานาธิบดีบารัค โอบามาแห่งสหรัฐ ยังได้แสดงความพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือยูโรโซนในการจัดการกับวิกฤตหนี้ โดยโอบามากล่าวว่า การแก้ไขวิกฤตหนี้ถือเป็น "สิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง" ต่อสหรัฐ พร้อมกับย้ำถึงความสำคัญด้านความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐและอียู

--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช/ปนัยดา โทร.02-2535000 ต่อ 323 อีเมล์: [email protected]--
ภาพประจำตัวสมาชิก
บูรพาไม่แพ้
Verified User
โพสต์: 2533
ผู้ติดตาม: 1

Re: ข่าวสหรัฐและเฟด

โพสต์ที่ 8

โพสต์

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐพุ่งขึ้นเกินคาดในเดือนพ.ย.ข่าวต่างประเทศ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- อังคารที่ 29 พฤศจิกายน 2554 22:43:36 น.
คอนเฟอเรนซ์ บอร์ด ซึ่งเป็นองค์กรวิจัยชั้นนำระดับโลกเปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐ พุ่งขึ้นสู่ระดับ 56 จุดในเดือนพ.ย. จากเดือนต.ค.ที่ระดับ 40.9 จุด มากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะอยู่ที่ 44.0 ในเดือนพ.ย.

ลินน์ ฟรังโก ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยผู้บริโภคของคอนเฟอเรนซ์ บอร์ด กล่าวว่า "ผู้บริโภคมีมุมมองที่ดีขึ้นต่อสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน หลังจากที่ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา มุมมองในด้านบวกดังกล่าวทำให้ผู้บริโภคเริ่มจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งยอดค้าปลีกพุ่งขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์"

นอกจากนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐดีดตัวขึ้นจากระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปีครึ่ง เนื่องจากผู้บริโภคเริ่มคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มการจ้างงาน โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนพ.ย.ในวันศุกร์นี้ ซึ่งนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า ตัวเลขจ้างงานจะเพิ่มขึ้น 122,000 ตำแหน่งในเดือนต.ค. และคาดว่าอัตราว่างงานจะทรงตัวที่ 9.0% ในเดือน พ.ย.

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐเป็นหนึ่งในข้อมูลที่นักวิเคราะห์และนักลงทุนในตลาดการเงินจับตาดูมากที่สุด เพราะสะท้อนถึงตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคที่มีสัดส่วนสูงถึง 70% ของกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวมของสหรัฐ

--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย ปาริชาติ ชื่นชม/รัตนา โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: [email protected]--
ภาพประจำตัวสมาชิก
บูรพาไม่แพ้
Verified User
โพสต์: 2533
ผู้ติดตาม: 1

Re: ข่าวสหรัฐและเฟด

โพสต์ที่ 9

โพสต์

บริษัทแม่ อเมริกัน แอร์ไลน์ส ยื่นขอพิทักษ์ทรัพย์สินจากการล้มละลายข่าวต่างประเทศ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- อังคารที่ 29 พฤศจิกายน 2554 21:15:02 น.
บริษัท เอเอ็มอาร์ คอร์ป ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของสายการบินอเมริกัน แอร์ไลน์ส ได้ยื่นขอพิทักษ์ทรัพย์สินจากการล้มละลาย ตามกฎหมายมาตรา 11 แห่งราชอาณาจักรสหรัฐในวันนี้ หลังจากที่บริษัทไม่สามารถบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับการลดต้นทุนแรงงานร่วมกับกลุ่มนักบินในช่วงต้นเดือนที่ผ่านมาได้

การยื่นขอพิทักษ์ทรัพย์สินจากการล้มละลายจะช่วยให้เอเอ็มอาร์ยังคงดำเนินธุรกิจได้ตามปกติ นอกจากนี้ เอเอ็มอาร์ยืนยันว่า สายการบินอเมริกัน แอร์ไลน์ส และอเมริกัน อีเกิล จะยังคงให้บริการเที่ยวบินตามปกติ ในระหว่างที่เรื่องอยู่ในกระบวนการชั้นศาล

เอเอ็มอาร์ ซึ่งเป็นสายการบินขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของสหรัฐ รองจากยูไนเต็ด คอนทิเนนทอล โฮลดิงส์ และเดลตา แอร์ไลน์ส รายงานต่อศาลรัฐนิวยอร์กว่า บริษัทมีทรัพย์สินมีมูลค่ารวม 2.472 หมื่นล้านดอลลาร์ หนี้สิน 2.955 หมื่นล้านดอลลาร์ และมีเงินสดหมุนเวียนมูลค่า 4.1 พันล้านดอลลาร์

นอกจากนี้ เอเอ็มอาร์ยังได้ประกาศแต่งตั้งนายโทมัส ฮอร์ตัน ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานและประธานบริหาร แทนนายเจราร์ด อาร์พีย์ ที่เกษียณอายุงาน

เอเอ็มอาร์ยอมรับเมื่อเดือนที่ผ่านมาว่า บริษัทได้รับผลกระทบจากต้นทุนเชื้อเพลิงที่สูงขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนค่าใช้จ่ายในไตรมาสที่ 3 สูงกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วถึง 40% ขณะเดียวกัน เอเอ็มอาร์ยังได้เจรจาเรื่องแรงงานกับกลุ่มนักบินมาเป็นระยะเวลา 5 ปี ก่อนที่นักบินหลายรายจะพร้อมใจลาออกจากงานในเดือนต.ค. ซึ่งทำให้เกิดกระแสข่าวลือว่า เอเอ็มอาร์อาจจะต้องยื่นขอพิทักษ์ทรัพ์สินจากการล้มละลาย

ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เอเอ็มอาร์เป็นสายการบินรายใหญ่เพียงแห่งเดียวในสหรัฐที่รอดพ้นจากการยื่นขอพิทักษ์ทรัพย์สินจากการล้มละลาย ในขณะที่สายการบินคู่แข่งหลายแห่งสามารถปรับโครงสร้างข้อตกลงด้านแรงงานและการลดต้นทุน ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวทำให้เอเอ็มอาร์กลายเป็นสายการบินที่มีต้นทุนสูงที่สุดในอุตสาหกรรมการเบิน และเป็นสายการบินรายใหญ่เพียงแห่งเดียวในสหรัฐที่ยังคงต้องจ่ายเงินบำเน็จบำนาญให้กับพนักงาน

--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย ปาริชาติ ชื่นชม/รัตนา โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: [email protected]--
ภาพประจำตัวสมาชิก
บูรพาไม่แพ้
Verified User
โพสต์: 2533
ผู้ติดตาม: 1

Re: ข่าวสหรัฐและเฟด

โพสต์ที่ 10

โพสต์

เอส แอนด์ พีลดอันดับความน่าเชื่อถือธนาคารชั้นนำสหรัฐ ตามการปรับเงื่อนไขใหม่ในการพิจารณาความน่าเชื่อถือภาคธนาคาร

สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (เอส แอนด์ พี) เผยวานนี้ (29 พ.ย.) ว่า ได้ปรับทบทวนอันดับความน่าเชื่อถือของธนาคารรายใหญ่สุดของโลก 37 แห่ง และได้ลดอันดับความน่าเชื่อถือของธนาคารขนาดใหญ่สหรัฐจำนวนหนึ่ง รวมถึง ซิตี้กรุ๊ป โกลด์แมน แซคส์ เวลส์ ฟาร์โก เจพีมอร์แกน เชส มอร์แกน สแตนเลย์ และแบงก์ ออฟ อเมริกา

การปรับลดอันดับดังกล่าว ส่วนหนึ่งเพื่อให้สอดคล้องกับเงื่อนไขในการพิจารณาใหม่สำหรับอุตสาหกรรมธนาคาร ที่เอส แอนด์ พี ประกาศออกมาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หลังจากใช้เวลาศึกษามานานกว่า 1 ปี

เงื่อนไขที่นำเข้ามาใช้ใหม่นี้ รวมถึง วิธีการหาเงินทุน สภาพคล่อง และมาตรฐานด้านเงินทุนของธนาคารแต่ละราย นอกเหนือจากการเปิดช่องให้สถาบันการเงินเหล่านี้ สามารถพัฒนาอันดับความน่าเชื่อถือของตัวเองได้ง่ายขึ้น หากสถานะการเงินมีความมั่นคงขึ้น

แม้การเคลื่อนไหวครั้งนี้ จะเป็นไปตามความคาดหมายในวงกว้าง แต่ก็สร้างแรงกดดันทำให้ราคาหุ้นของแต่ละธนาคารร่วงลง ในการซื้อขายหลังปิดตลาด หุ้นโกลด์แมน แซคส์ ร่วงลง 1% แบงก์ ออฟ อเมริกา และซิตี้แบงก์ ลดลง 0.6% ส่วนเวลส์ ฟาร์โก ลดลง 0.8% และเจพี มอร์แกนที่ 0.4%
แนบไฟล์
news_img_422113_1.jpg

ภาพประจำตัวสมาชิก
บูรพาไม่แพ้
Verified User
โพสต์: 2533
ผู้ติดตาม: 1

Re: ข่าวสหรัฐและเฟด

โพสต์ที่ 11

โพสต์

ผู้โดยสาร-ลูกเรือป่วนหลังรู้ข่าวอเมริกัน แอร์ไลน์ล้ม-หวั่นกระทบเศรษฐกิจในท้องถิ่น

ผู้โดยสารและลูกเรือระส่ำระสายเมื่อรู้ข่าวว่า สายการบินอเมริกัน แอร์ไลน์ ยื่นขอพิทักษ์ทรัพย์สิน ภายใต้กฏหมายล้มละลายมาตราที่ 11 แต่ก็หวังว่าสายการบินชั้นนำของสหรัฐแห่งนี้จะอยู่รอดปลอดภัย

ขณะที่ สายการบินยืนยันว่า จะยังคงให้บริการตามปกติและส่งอี-เมลแจ้งเรื่องนี้ให้บรรดลูกค้าทุกคนรับรู้ พร้อมทั้งสัญญาว่าจะไม่ทำให้การเคลื่อนไหวครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อโครงการสะสมไมล์ของลูกค้า แต่ลูกค้าก็ยอมรับว่า พวกเขาไม่ค่อยมั่นใจการเปลี่ยนแปลงที่จะกำลังจะเกิดขึ้น

"ผมวิตกเกี่ยวกับสถานภาพตั๋วโดยสารที่ยังไม่ได้ใช้ และกังวลเรื่องผลกระทบเชิงลบและจะทำให้คนไม่มาซื้อตั๋วโดยสารจากเราอีกแล้ว คุณก็รู้ว่าผู้คนมักรับรู้ข่าวร้ายได้เร็วเสมอ"นายพอล ฟอร์ด เจ้าหน้าที่บริหารคนหนึ่งของสายการบิน กล่าว

ส่วนอีแวน เชโนวิธ ซึ่งให้คำจำกัดความว่าเป็นลูกค้าผู้ภักดีต่อสายการบินแห่งนี้ บอกว่า ข่าวการยื่นล้มละลาย ตอกย้ำว่าประเทศมีปัญหาทางเศรษฐกิจจริงๆ

ทั้งนี้ ผู้คนส่วนใหญ่ มีความเห็นตรงกันว่า การล้มละลายของอเมริกัน แอร์ไลน์จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจระดับท้องถิ่น เพราะนับตั้งแต่อเมริกัน แอร์ไลน์ เข้ามาตั้งฐานดำเนินงานในฟอร์ทเวิร์ธ เศรษฐกิจของเมืองก็เติบโตอย่างต่อเนื่อง เกิดการจ้างงานจำนวนมาก และอเมริกัน แอร์ไลน์ยังเป็นบริษัทผู้สนับสนุนหลักในโครงการต่างๆ อีกทั้ง เมืองฟอร์ธ เวิร์ธ ยังเป็นที่ตั้งของทีมดัลลัส มาเวอริคส์ด้วย
http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... ละลาย.html
แนบไฟล์
news_img_422118_1.jpg

ภาพประจำตัวสมาชิก
บูรพาไม่แพ้
Verified User
โพสต์: 2533
ผู้ติดตาม: 1

Re: ข่าวสหรัฐและเฟด

โพสต์ที่ 12

โพสต์

รองปธ.เฟดชี้ศก.สหรัฐเผชิญแรงต้านหนัก-คาดอัตราว่างงานสูงอีกหลายปี
ข่าวต่างประเทศ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พุธที่ 30 พฤศจิกายน 2554 11:51:51 น.
เจเน็ต แอล เยลเลน รองประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวว่า เศรษฐกิจสหรัฐกำลังเผชิญแรงต้านอย่างหนัก และอัตราว่างงานในประเทศจะอยู่ในระดับสูงต่อไปอีกหลายปี

"ภาคครัวเรือนยังซบเซา ภาคเอกชนยังลังเลที่จะลงทุน และจำเป็นต้องมีการปรับสมดุลการคลังเพื่อให้การเงินสาธารณะมีความยั่งยืน" เธอกล่าว "แม้เศรษฐกิจสหรัฐจะฟื้นตัวเล็กน้อยในช่วงครึ่งหลังของปี แต่อัตราว่างงานแทบไม่ลดลง และมีแนวโน้มว่าจะอยู่ในระดับสูงต่อไปอีกหลายปี"

รองประธานเฟดกล่าวว่า เศรษฐกิจโลกเผชิญความเสี่ยงขาลงมากกว่าเดิม เพราะตลาดการเงินได้รับแรงกดดันมากขึ้น สะท้อนให้เห็นถึงความตึงเครียดในตลาดการธนาคารยุโรป รวมถึงความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจโดยรวม

เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการจ้างงาน เฟดได้ตรึงดอกเบี้ยไว้ที่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์มานานเกือบ 3 ปีแล้ว นอกจากนั้นยังดำเนินโครงการซื้อพันธบัตรรัฐบาล 2 รอบ หรือที่เรียกว่านโยบาย QE อย่างไรก็ดี นางเยลเลนกล่าวว่า นโยบายการเงินไม่ใช่ "ยาครอบจักรวาล" ดังนั้นหน่วยงานอื่นที่มีหน้าที่กำหนดนโยบายจึงจำเป็นต้องทำหน้าที่ของตนเองด้วย สำนักข่าวซินหัวรายงาน

--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย ปรียพรรณ มีสุข/สุนิตา โทร.02-2535000 ต่อ 315 อีเมล์: [email protected]--
ภาพประจำตัวสมาชิก
บูรพาไม่แพ้
Verified User
โพสต์: 2533
ผู้ติดตาม: 1

Re: ข่าวสหรัฐและเฟด

โพสต์ที่ 13

โพสต์

FED และ 5 แบงก์ชั้นนำของโลกใช้มาตรการสวอปดอลล์ หวังบรรเทาภาวะตึงตัวในตลาดการเงิน
ข่าวต่างประเทศ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พุธที่ 30 พฤศจิกายน 2554 21:53:15 น.
ธนาคารกลางยุโรป ธนาคารกลางสหรัฐ ธนาคารกลางอังกฤษ ธนาคารกลางแคนาดา ธนาคารกลางญี่ปุ่น และธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ ร่วมมือกันบรรเทาภาวะตึงตัวในระบบการเงินโลก

ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยว่า ธนาคารทั้ง 6 แห่งเห็นพ้องต้องกันว่า จะลดอัตราดอกเบี้ยในการสวอปเงินดอลลาร์ลง 0.5% ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 5 ธ.ค.นี้ และได้มีการตกลงกันว่า จะขยายระยะเวลาบังคับใช้ไปจนถึงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2556

เฟดระบุว่า ความเคลื่อนไหวครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อบรรเทาภาวะตึงตัวในตลาดการเงิน และบรรเทาผลกระทบของภาวะดังกล่าวที่มีต่อการปล่อยสินเชื่อให้แก่ภาคครัวเรือนและภาคเอกชน ดังนั้น การดำเนินการดังกล่าวจึงเป็นการกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดี

ทั้งนี้ ธนาคารกลางชั้นนำได้ดำเนินมาตรการในลักษณะที่ใกล้เคียงกันร่วมกันมาแล้ว เพื่อส่งเสริมสภาพคล่อง นับตั้งแต่ช่วงแรกของวิกฤตการเงินโลกเมื่อปี 2551

--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย ปรียพรรณ มีสุข/สุนิตา โทร.02-2535000 ต่อ 315 อีเมล์: [email protected]--
ภาพประจำตัวสมาชิก
บูรพาไม่แพ้
Verified User
โพสต์: 2533
ผู้ติดตาม: 1

Re: ข่าวสหรัฐและเฟด

โพสต์ที่ 14

โพสต์

ADP เผยภาคเอกชนสหรัฐจ้างงานเพิ่ม 206,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ย.
ข่าวต่างประเทศ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พุธที่ 30 พฤศจิกายน 2554 22:33:39 น.
ADP Employer Services ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยด้านตลาดแรงงานในสหรัฐ เปิดเผยว่า ภาคเอกชนมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 206,000 ตำแหน่งในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งถือว่ามากที่สุดในปีนี้

ตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนที่เพิ่มขึ้นจะช่วยพยุงการใช้จ่ายผู้บริโภคที่เริ่มปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งการใช้จ่ายผู้บริโภคมีสัดส่วนถึง 70% ของเศรษฐกิจ

อุตสาหกรรมการผลิตสินค้าซึ่งรวมถึงโรงงานและบริษัทก่อสร้างจ้างงานเพิ่มขึ้น 28,000 ตำแหน่ง โดยการจ้างงานของบริษัทก่อสร้างเพิ่มขึ้น 16,000 ตำแหน่ง ซึ่งมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปี 2549 ขณะที่โรงงานจ้างงานเพิ่ม 7,000 ตำแหน่ง

อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่า อัตราการจ้างงานโดยรวมจะเพิ่มขึ้นแค่ 122,000 ตำแหน่ง ซึ่งยังไม่พอที่จะฉุดอัตราว่างงานให้ลดลงจากระดับ 9%

สำหรับเดือนตุลาคมนั้น ADP คาดว่า ตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนจะเพิ่มขึ้น 110,000 ตำแหน่งในเบื้องต้น แต่สองวันให้หลังกระทรวงแรงงานรายงานว่าเพิ่มขึ้นเพียง 104,000 ตำแหน่ง

--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย ปรียพรรณ มีสุข/สุนิตา โทร.02-2535000 ต่อ 315 อีเมล์: [email protected]--
ภาพประจำตัวสมาชิก
บูรพาไม่แพ้
Verified User
โพสต์: 2533
ผู้ติดตาม: 1

Re: ข่าวสหรัฐและเฟด

โพสต์ที่ 15

โพสต์

FED ออกรายงาน Beige Book ชี้เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัวปานกลางเกือบทุกเขต
ข่าวต่างประเทศ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม 2554 10:56:25 น.
ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยรายงาน Beige Book ซึ่งเป็นรายงานสำรวจภาวะเศรษฐกิจจากเฟดทั้ง 12 เขตในสหรัฐ ครั้งล่าสุดเมื่อคืนนี้ (30 พ.ย.) ตามเวลาไทย โดยระบุว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจในเกือบทุกเขต "มีอัตราการขยายตัวปานกลาง" ซึ่งมีเพียงเขตเซนต์หลุยส์เพียงเขตเดียวเท่านั้นที่รายงาว่า "กิจกรรมทางเศรษฐกิจชะลอตัวลง"

รายงานของเฟดระบุว่า ตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจสหรัฐนั้น "ปรับตัวเพิ่มขึ้นปานกลาง" ในช่วงเวลา 40 วัน จนถึงวันที่ 17 พ.ย. ขณะที่ยอดขายยานยนต์และธุรกิจการท่องเที่ยวในหลายเขต ส่งสัญญาณการขยายตัวที่แข็งแกร่ง

ส่วนกิจกรรมด้านการผลิต "ขยายตัวในอัตราที่ทรงตัว" เกือบทั่วทุกเขตของประเทศ ขณะที่ภาคอสังหาริมทรัพย์ยังคงซบเซา นอกจากนี้ รายงานระบุว่า การจ้างงานในทุกเขตทั่วประเทศ "อ่อนตัวลง" ขณะที่อัตราค่าแรงและเงินเดือน "ยังคงทรงตัว"

สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า Beige Book เป็นรายงานที่จัดเตรียมไว้เพื่อช่วยประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการกำหนดนโยบายของเฟดในการประชุมครั้งต่อไปซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 13 ธ.ค.นี้ โดยเฟดจะเปิดเผยรายงาน Beige Book ปีละ 8 ครั้ง

--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช/สุนิตา โทร.02-2535000 ต่อ 315 อีเมล์: [email protected]--
ภาพประจำตัวสมาชิก
บูรพาไม่แพ้
Verified User
โพสต์: 2533
ผู้ติดตาม: 1

Re: ข่าวสหรัฐและเฟด

โพสต์ที่ 16

โพสต์

สหรัฐเผยดัชนีภาคการผลิตเดือนพ.ย.พุ่งเกินคาด หนุนน้ำมัน NYMEX บวกทันที 56 เซนต์
ข่าวต่างประเทศ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม 2554 22:23:30 น.
สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีภาคการผลิตเดือนพ.ย.ขยายตัวขึ้นสู่ระดับ 52.7 จุด จากเดือนต.ค.ที่ระดับ 50.8 จุด และมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาะดว่าจะอยู่ที่ 51.5 จุด โดยดัชนีภาคการผลิตเดือนพ.ย.ขยายตัวแข็งแกร่งสุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย.ปีนี้

ดัชนีที่เคลื่อนไหวเหนือระดับ 50 จุดบ่งชี้ว่า ภาคการผลิตมีการขยายตัว และดัชนีที่เคลื่อนไหวต่ำกว่าระดับ 50 จุดบ่งชี้ว่าภาคการผลิตหดตัวลง

รายงานของ ISM ระบุว่า ดัชนียอดสั่งซื้อใหม่ในภาคการผลิต พุ่งขึ้นสู่ระดับ 56.7 จุด ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย.ปีนี้ จากเดือนต.ค.ที่ระดับ 52.4 จุด แต่ดัชนีการจ้างงานในภาคการผลิตปรับตัวลงมาอยู่ที่ระดับ 51.8 จุดในเดือนพ.ย. จากเดือนต.ค.ที่ระดับ 53.5 จุด

หลังจาก ISM เปิดเผยดัชนีภาคการผลิตของสหรัฐได้ไม่นาน สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX เดือนม.ค.ก็ดีดตัวขึ้น 56 เซนต์ แตะที่ 100.92 ดอลลาร์/บาร์เรล ณ เวลา 10:10 น.ตามเวลา EST (22.10 น.ตามเวลาไทย) ในวันนี้ เนื่องจากดัชนีภาคการผลิตของสหรัฐขยายตัวขึ้นสวนทางกับดัชนีภาคการผลิตของจีนและยูโรโซนที่หดตัวลง

สหพันธ์พลาธิการและการจัดซื้อของจีน (CFLP) เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเดือนพ.ย.ของจีน ร่วงลง 1.4 จุด มาอยู่ที่ระดับ 49 จุด จากเดือนต.ค.ที่ระดับ 50.4 จุด ซึ่งบ่งชี้ว่าภาคการผลิตของจีนหดตัวลงเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 2 ปี

ขณะที่มาร์กิตเปิดเผยว่า ดัชนี PMI ภาคการผลิตของยูโรโซน ร่วงลงสู่ระดับ 46.4 ในเดือนพ.ย. จาก 47.1 ในเดือนต.ค. ซึ่งตัวเลขที่อยู่ต่ำกว่าระดับ 50 บ่งชี้ถึงภาวะหดตัว

--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช/ปนัยดา โทร.02-2535000 ต่อ 323 อีเมล์: [email protected]--
ภาพประจำตัวสมาชิก
บูรพาไม่แพ้
Verified User
โพสต์: 2533
ผู้ติดตาม: 1

Re: ข่าวสหรัฐและเฟด

โพสต์ที่ 17

โพสต์

สหรัฐเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานสัปดาห์ที่แล้วพุ่งแตะ 402,000 ราย
ข่าวต่างประเทศ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม 2554 21:04:06 น.
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 26 พ.ย.เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 402,000 ราย จากสัปดาห์ก่อนหน้านั้นที่ระดับ 396,000 ราย ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 1 เดือนที่จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกของสหรัฐพุ่งขึ้นมายืนเหนือระดับ 400,000 ราย และสะท้อนให้เห็นว่าตลาดแรงงานของสหรัฐยังคงอ่อนแอ

ส่วนจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานโดยเฉลี่ย 4 สัปดาห์ ซึ่งเป็นมาตรวัดแนวโน้มตลาดแรงงานนั้น เพิ่มขึ้น 500 ราย สู่ระดับ 395,750 ราย

การเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐยังคงชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง โดยในการประเมินผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาส 3 ครั้งที่ 2 ซึ่งมีขึ้นไม่นานมานี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐระบุว่า จีดีพีไตรมาส 3 ขยายตัวในอัตรา 2% ต่อปี ซึ่งต่ำกว่าการประมาณการครั้งแรกที่ 2.5% โดยส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการที่ภาคเอกชนปรับลดสต็อกสินค้าคงคลัง

นักเศรษฐศาสตร์บางคนกล่าวว่า เศรษฐกิจสหรัฐมีความเสี่ยงที่จะถดถอยในปีหน้า โดยเฉพาะหากสมาชิกสภานิติบัญญัติของสหรัฐปล่อยให้โครงการให้สวัสดิการแก่ผู้ว่างงานและการลดภาษีการจ้างงานหมดอายุลงในช่วงปลายปีนี้

การเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานทำให้นักลงทุนในตลาดการเงินจับตาดูตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรเดือนพ.ย. ซึ่งกระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยในคืนวันศุกร์ตามเวลาไทย อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า ตัวเลขจ้างงานจะเพิ่มขึ้น 122,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ย. และคาดว่าอัตราว่างงานจะทรงตัวที่ 9.0% ในเดือนพ.ย.

--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช/ปนัยดา โทร.02-2535000 ต่อ 323 อีเมล์: [email protected]--
ภาพประจำตัวสมาชิก
บูรพาไม่แพ้
Verified User
โพสต์: 2533
ผู้ติดตาม: 1

Re: ข่าวสหรัฐและเฟด

โพสต์ที่ 18

โพสต์

ยอดขายรถยนต์ในสหรัฐเดือนพ.ย.พุ่งขึ้น 13.9% จีเอ็มรั้งแชมป์ยอดขายอันดับ 1
ข่าวต่างประเทศ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- ศุกร์ที่ 2 ธันวาคม 2554 08:03:52 น.
ออโต้ดาต้า คอร์ป ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยด้านอุตสาหกรรมรถยนต์ในสหรัฐเปิดเผยว่า ยอดขายรถใหม่ในตลาดสหรัฐประจำเดือนพ.ย.พุ่งขึ้น 13.9% จากปีที่แล้ว สู่ระดับ 994,721 คัน เพราะได้แรงหนุนจากตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคของสหรัฐที่ฟื้นตัวขึ้น และแคมเปญส่งเสริมการขายของบริษัทรถยนต์หลายแห่ง

เจนเนอรัล มอเตอร์ส (จีเอ็ม) ยังสามารถรั้งตำแหน่งผู้ผลิตรถยนต์สหรัฐที่ทำยอดขายสูงสุดเป็นอันดับ 1 ที่ 180,402 คัน เพิ่มขึ้น 7% ด้วยส่วนแบ่งตลาด 18.1% ส่วนอันดับ 2 ยังคงเป็นของฟอร์ด มอเตอร์ ที่ทำยอดขายเพิ่มขึ้น 13.3% แตะที่ 166,441 คัน ด้วยส่วนแบ่งตลาด 16.7%

โตโยต้า มอเตอร์ ยังคงรั้งตำแหน่งผู้ทำยอดขายมากเป็นอันดับ 3 ในตลาดสหรัฐที่ 137,960 คัน เพิ่มขึ้น 6.7% ด้วยส่วนแบ่งตลาด 13.9% ขณะที่ไครส์เลอร์ กรุ๊ป แอลแอลซี ทำยอดขายได้เป็นอันดับ 4 ที่ 105,554 คัน เพิ่มขึ้น 42.3% ด้วยส่วนแบ่งตลาด 10.6% และอันดับ 5 เป็นของนิสสัน มอเตอร์ ที่ทำยอดขายได้ 85,182 คัน เพิ่มขึ้น 19.4% ด้วยส่วนแบ่งตลาด 8.6%

ยอดขายโดยรวมของผู้ผลิตรถยนต์กลุ่ม "บิ๊กทรี" ของสหรัฐ (จีเอ็ม ฟอร์ด และไครสเลอร์) เพิ่มขึ้น 16.1% แตะระดับ 452,397 คัน ด้วยส่วนแบ่งตลาดรวมกันที่ 45.5% ลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเดือนต.ค.ที่ 45.7%

สำหรับยอดขายรถยนต์ของบริษัทอื่นๆในญี่ปุ่นนั้น ยอดขายของมาสด้า มอเตอร์ พุ่งขึ้น 20.4% แตะที่ 18,432 คัน ยอดขายของฟูจิ เฮฟวี่ อินดัสทรี ผู้ผลิตรถแบรนด์ "ซูบารุ" ลดลง 15.1% แตะที่ 17,657 คัน ยอดขายของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ร่วงลง 13.3% แตะที่ 3,735 คัน ยอดขายของซูซูกิ มอเตอร์ ร่วงลง 21.9% แตะที่ 1,822 คัน และยอดขายของฮอนด้า มอเตอร์ ลดลง 6.4% มาอยู่ที่ระดับ 83,295 คัน

สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า โตโยต้า มอเตอร์ สามารถทำยอดขายเพิ่มขึ้นได้เป็นเดือนแรกในรอบ 7 เดือน หลังจากที่บริษัทได้รับผลกระทบอย่างหนักในช่วงก่อนหน้านี้ อันเนื่องมาจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในเดือนมี.ค. ขณะที่บริษัทผลิตรถยนต์รายอื่นๆในญี่ปุ่นมียอดขายที่ดีขึ้น หลังจากการผลิตในอเมริกาเหนือเริ่มกลับสู่ระดับปกติในเดือนส.ค.

--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: [email protected]--
ภาพประจำตัวสมาชิก
บูรพาไม่แพ้
Verified User
โพสต์: 2533
ผู้ติดตาม: 1

Re: ข่าวสหรัฐและเฟด

โพสต์ที่ 19

โพสต์

สหรัฐเผยอัตราว่างงานเดือนพ.ย.ร่วงต่ำสุดในรอบ 32 เดือน ส่วนตัวเลขจ้างงานเพิ่ม 120,000
ข่าวต่างประเทศ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- ศุกร์ที่ 2 ธันวาคม 2554 21:20:00 น.
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า อัตราว่างงานดือนพ.ย.ลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบกว่าสองปีครึ่งที่ 8.6% จากระดับ 9% ในเดือนก.ย. ขณะที่ตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรเดือนพ.ย.ปรับตัวเพิ่มขึ้น 120,000 ตำแหน่ง หลังจากที่เพิ่มขึ้น 100,000 ตำแหน่งในเดือนต.ค. ซึ่งข้อมูลล่าสุดนี้บ่งชี้ว่า เศรษฐกิจสหรัฐกำลังค่อยๆปรับตัวขึ้นอย่างช้าๆ

ทั้งนี้ อัตราว่างงานเดือนพ.ย.ถือเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค. 2552 ซึ่งเป็นช่วงที่วิกฤตการเงินทวีความรุนแรงสูงสุด และดีกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ว่าอัตราว่างงานจะทรงตัวที่ 9%

สำหรับตัวเลขจ้างงานในเดือนที่แล้วนั้น ส่วนใหญ่มาจากภาคค้าปลีก และการจ้างงานชั่วคราว ขณะที่ตัวเลขจ้างงานเดือนต.ค.ได้รับการปรับทบทวนเพิ่มขึ้นจากตัวเลขประเมินเบื้องต้นที่ 80,000 ตำแหน่ง

โดยในเดือนพ.ย. ภาคเอกชนของสหรัฐเพิ่มการจ้างงาน 140,000 ตำแหน่ง ขณะที่การจ้างงานในภาคการผลิตเพิ่มขึ้น 2,000 ตำแหน่ง การจ้างงานในภาคบริการเพิ่มขึ้น 126,000 ตำแหน่ง ซึ่ง 50,000 ตำแหน่งในจำนวนนี้มาจากผู้ค้าปลีกที่จ้างงานพนักงานเพิ่มเพื่อรองรับฤดูจับจ่ายใช้สอยสำหรับเทศกาลวันหยุด ส่วนการจ้างงานพนักงานชั่วคราวเพิ่มขึ้น 22,300 ตำแหน่ง ขณะที่การจ้างงานในภาครัฐบาลลดลง 20,000 ตำแหน่ง

--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย ปนัยดา ปัทมโกวิท/สุนิตา โทร.02-2535000 ต่อ 315 อีเมล์: [email protected]--
ภาพประจำตัวสมาชิก
บูรพาไม่แพ้
Verified User
โพสต์: 2533
ผู้ติดตาม: 1

Re: ข่าวสหรัฐและเฟด

โพสต์ที่ 20

โพสต์

รมว.คลังสหรัฐเยือนยุโรปสัปดาห์หน้าเพื่อหารือวิกฤตหนี้
ข่าวต่างประเทศ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- เสาร์ที่ 3 ธันวาคม 2554 09:45:00 น.
กระทรวงการคลังสหรัฐเปิดเผยว่า นายทิโมธี ไกธ์เนอร์ จะเดินทางเยือนยุโรปในสัปดาห์หน้า เพื่อหารือถึงความร่วมมือของทางการของยุโรปในการจัดการกับวิกฤตหนี้ยูโรโซนที่อยู่ในสถานการณ์ย่ำแย่


แถลงการณ์ของกระทรวงฯ ระบุว่า รมว.คลังสหรัฐจะเดินทางเยือนยุโรปในวันที่ 6-8 ธันวาคม 2554 เพื่อหารือกับรมว.คลังประเทศต่างๆ เกี่ยวกับความพยายามในการสนับสนุนสถาบันต่างๆในยูโรโซน

การเดินทางของไกธ์เนอร์มีขึ้นในขณะที่ยุโรปกำลังพยายามควบคุมวิกฤตหนี้ไม่ให้ลุกลาม และมีขึ้นก่อนการประชุมสุดยอดสหภาพยุโรปเป็นเวลาสองวัน ซึ่งจะเริ่มขึ้นในวันที่ 8 ธันวาคม

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ประธานาธิบดีบารัค โอบามา กล่าวเมื่อช่วงต้นสัปดาห์ว่า วิกฤตหนี้ในยุโรปเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ

--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย ปนัยดา ปัทมโกวิท โทร.02-2535000 ต่อ 323 อีเมล์: [email protected]--
ภาพประจำตัวสมาชิก
บูรพาไม่แพ้
Verified User
โพสต์: 2533
ผู้ติดตาม: 1

Re: ข่าวสหรัฐและเฟด

โพสต์ที่ 21

โพสต์

โอบามาชี้ถึงเวลาที่ต้องเร่งดำเนินการหนุนเศรษฐกิจสหรัฐ
ข่าวต่างประเทศ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- อาทิตย์ที่ 4 ธันวาคม 2554 09:50:53 น.
ประธานาธิบดีบารัค โอบามาของสหรัฐกล่าวเมื่อวานนี้ว่า สหรัฐควรเพิ่มความพยายามในการฟื้นเศรษฐกิจสหรัฐ แม้แต่หลังจากที่ภาคเอกชนสร้างงานติดต่อกันในช่วง 21 เดือนที่ผ่านมา

ปธน.โอบามาระบุในการกล่าวแถลงรายสัปดาห์หลังการเปิดเผยรายงานตลาดแรงงานล่าสุดว่า สหรัฐจำเป็นต้องรักษาแรงผลักดันด้านการจ้างงาน และเพิ่มแรงผลักดันดังกล่าวด้วยความพยายามซึ่งรวมถึงการผ่านร่างกฎหมายสร้างงานโดยสภาคองเกรส เพื่อทำให้เศรษฐกิจขยายตัวเร็วขึ้น

"ขณะนี้เป็นช่วงเวลาที่จะต้องเร่งเครื่อง ไม่ใช่แตะเบรค" ปธน.โอบามาย้ำ
กระทรวงแรงงานเปิดเผยเมื่อวันศุกร์ว่า อัตราว่างงานของสหรัฐลดลงสู่ 8.6% ในเดือนพ.ย.ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.2552 ในขณะที่ภาคเอกชนเพิ่มการจ้างงาน 140,000 ตำแหน่ง และหน่วยงานรัฐบาลในทุกระดับลดการจ้างงาน 20,000 ตำแหน่ง อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอของคณะบริหารในการผ่านร่างกฎหมายจ้างงานและขยายการลดภาษีจ้างงานที่จะหมดอายุลงสิ้นปีนี้ ได้ถูกสกัดกั้นโดยสมาชิกสภานิติบัญญัติพรรครีพับลิกัน

ปธน.โอบามากล่าวว่า สมาชิกสภานิติบัญญัติสหรัฐควรจะทำหน้าที่ต่อไปในช่วงคริสต์มาสจนกว่าพวกเขาจะผ่านการขยายการลดภาษี เพื่อทำให้ชาวอเมริกันที่ทำงานได้รับเงินคืนมากขึ้น

ทำเนียบขาวเปิดเผยว่า ครอบครัวชาวสหรัฐตามปกติที่มีรายได้ 50,000 ดอลลาร์ต่อปี จะจ่ายเงินเพิ่ม 1,000 ดอลลาร์ในภาษีจ้างงาน ถ้าสภาคองเกรสไม่ดำเนินการภายในสิ้นปีนี้เพื่อขยายการลดภาษีดังกล่าว

--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย สุนีย์พร เหลือทรัพย์ โทร.02-2535000 อีเมล์: [email protected]--
ภาพประจำตัวสมาชิก
บูรพาไม่แพ้
Verified User
โพสต์: 2533
ผู้ติดตาม: 1

Re: ข่าวสหรัฐและเฟด

โพสต์ที่ 22

โพสต์

นักวิเคราะห์คาดภาคบริการเดือนพ.ย.สหรัฐอาจขยายตัวรวดเร็วสุดในรอบ 6 เดือน
ข่าวต่างประเทศ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- จันทร์ที่ 5 ธันวาคม 2554 15:01:00 น.
นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการเดือนพ.ย.ของสหรัฐ จะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 53.8 จุด จากระดับ 52.9 จุดของเดือนต.ค. โดยคาดว่าดัชนี PMI ภาคบริการเดือนพ.ย.จะขยายตัวในอัตราที่รวดเร็วที่สุดในรอบ 6 เดือน ซึ่งบ่งชี้ว่าภาคบริการจะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ผลักดันเศรษฐกิจสหรัฐให้ขยายตัวได้ดีในช่วงปลายปี 2554

รายงานของกระทรวงแรงงานสหรัฐระบุว่า การจ้างงานในภาคบริการปรับตัวเพิ่มขึ้น 126,000 ตำแหน่ง ซึ่งรวมถึงการจ้างงานในธุรกิจค้าปลีกที่เพิ่มขึ้น 50,000 ตำแหน่ง เพราะได้แรงหนุนจากการเพิ่มขึ้นของยอดค้าปลีกในช่วงเทศกาลวันหยุด

นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคช่วงต้นเดือนธ.ค.จะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 65.8 จุด จากเดือนต.ค.ที่ระดับ 64.1 จุด

สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐจะเปิดเผยดัชนีภาคบริการเดือนพ.ย. ในนี้ เวลา 22.00 น.ตามเวลาไทย ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคต้นเดือนธ.ค.จะมีการเปิดเผยในคืนวันศุกร์

ก่อนหน้านี้สหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนี PMI ภาคการผลิตเดือนพ.ย.ขยายตัวขึ้นสู่ระดับ 52.7 จุด จากเดือนต.ค.ที่ระดับ 50.8 จุด และมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาะดว่าจะอยู่ที่ 51.5 จุด โดยดัชนีภาคการผลิตเดือนพ.ย.ขยายตัวแข็งแกร่งสุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย.ปีนี้

รายงานระบุว่า ดัชนียอดสั่งซื้อใหม่ในภาคการผลิต พุ่งขึ้นสู่ระดับ 56.7 จุด ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย.ปีนี้ จากเดือนต.ค.ที่ระดับ 52.4 จุด แต่ดัชนีการจ้างงานในภาคการผลิตปรับตัวลงมาอยู่ที่ระดับ 51.8 จุดในเดือนพ.ย. จากเดือนต.ค.ที่ระดับ 53.5 จุด

--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: [email protected]--
ภาพประจำตัวสมาชิก
บูรพาไม่แพ้
Verified User
โพสต์: 2533
ผู้ติดตาม: 1

Re: ข่าวสหรัฐและเฟด

โพสต์ที่ 23

โพสต์

เฟดมีมติคงดอกเบี้ย 0-0.25% ย้ำเดินหน้าตรึงดอกเบี้ยต่ำจนถึงกลางปี 2556
ข่าวต่างประเทศ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พุธที่ 14 ธันวาคม 2554 06:01:15 น.
ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น (fed funds rate) ที่ระดับ 0 - 0.25 % ในการประชุมเมื่อวานนี้ (13 ธ.ค.) พร้อมกับย้ำว่า เฟดจะยังคงรักษาอัตราดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับต่ำเป็นพิเศษต่อไปอย่างน้อยจนถึงกลางปี 2556

แถลงการณ์ภายหลังการประชุมของคณะกรรมการกำหนดนโยบายของเฟด (เอฟโอเอ็มซี) ระบุว่า คณะกรรมการเอฟโอเอ็มซีมีมติด้วยคะแนนเสียง 9 ต่อ 1 ให้คงเป้าหมายอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นไว้ที่ระดับ 0-0.25% พร้อมกับเปิดเผยรายงานการประเมินเศรษฐกิจว่า เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัวปานกลาง แม้เศรษฐกิจทั่วโลกชะลอตัวลงก็ตาม

"แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ภาวะตึงตัวในตลาดการเงินทั่วโลกยังคงเป็นปัจจัยที่ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มที่จะเผชิญกับภาวะขาลง และเมื่อพิจารณาจากสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันของสหรัฐแล้ว เฟดเล็งเห็นว่าควรจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำเป็นพิเศษไปจนถึงกลางปี 2556" แถลงการณ์ของเฟดระบุ

นอกจากนี้ แถลงการณ์ของเฟดระบุว่า "แม้มีข้อมูลบ่งชี้ว่าสภาวะตลาดแรงงานฟื้นตัวขึ้นในภาพรวม แต่อัตราว่างงานก็ยังคงอยู่ในระดับที่สูงมาก เฟดคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะขยายตัวปานกลางในช่วงหลายไตรมาสข้างหน้า และอัตราว่างงานจะขยับลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ส่วนตัวเลขการใช้จ่ายของผู้บริโภคยังคงขยายตัวต่อเนื่อง ขณะที่การลงทุนในสินทรัพย์ถาวรของภาคธุรกิจปรับตัวเพิ่มขึ้นในอัตราที่ไม่รวดเร็วนัก และภาคครัวเรือนยังคงซบเซา"

ทั้งนี้ เฟดยืนยันว่า คณะกรรมการเฟดจะยังคงประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจจากข้อมูลที่ได้รับมาเป็นระยะๆ และเฟดพร้อมที่จะใช้เครื่องมือต่างๆเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง ควบคู่ไปกับการรักษาเสถียรภาพด้านราคา

สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า การประชุมในครั้งนี้นับเป็นการประชุมครั้งสุดท้ายสำหรับปี 2554 ของเฟด ส่วนการประชุมเฟดครั้งต่อไปจะมีขึ้นในวันที่ 24-25 ม.ค.ปีหน้า

--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: [email protected]--
ภาพประจำตัวสมาชิก
บูรพาไม่แพ้
Verified User
โพสต์: 2533
ผู้ติดตาม: 1

Re: ข่าวสหรัฐและเฟด

โพสต์ที่ 24

โพสต์

สหรัฐเผยสต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนต.ค.พุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์
ข่าวต่างประเทศ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- อังคารที่ 13 ธันวาคม 2554 22:20:49 น.
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนต.ค.ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.8% สู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1.55 ล้านล้านดอลลาร์ หลังจากตัวเลขดังกล่าวทรงตัวในเดือนก.ย. ซึ่งถือเป็นการย้ำมุมมองของนักวิเคราะห์ที่ว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะขยายตัวในไตรมาส 4 ปีนี้ เพราะได้แรงหนุนจากการที่ภาคเอกชนมีความเชื่อมั่นและปรับเพิ่มสต็อกสินค้า


ตัวเลขสต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเป็นองค์ประกอบสำคัญในการคำนวณผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) นอกจากนี้ ข้อมูลดังกล่าวมีอิทธิพลต่อการประเมินวงจรทางธุรกิจและการขยายตัวของเศรษฐกิจ

รายงานของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐระบุว่า สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจด้านการผลิต ขยายตัว 0.9% ขณะที่สต็อกสินค้าคงคลังของธุรกิจค้าปลีกทรงตัว และสต็อกสินค้าคงคลังของธุรกิจค้าส่งปรับตัวขึ้น 1.6%

ส่วนยอดขายของภาคธุรกิจขยายตัว 0.7% ในเดือนต.ค. สู่ระดับ 1.22 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นแข็งแกร่งสุดนับตั้งแต่เดือนก.ค. ขณะที่สัดส่วนสต็อกสินค้าคงคลังต่อยอดขาย ซึ่งเป็นมาตรวัดระยะเวลาที่สินค้าถูกระบายออกจากสต็อก ทรงตัวอยู่ที่ 1.27 เดือน

ทั้งนี้ โดยปกติแล้วเมื่อมูลค่าสต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจปรับตัวสูงขึ้น ก็ถือเป็นการส่งสัญญาณถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แต่นักเศรษฐศาสตร์บางรายคาดว่า ภาคธุรกิจอาจจะปรับลดสต็อกสินค้าคงคลังในอนาคตอันใกล้นี้ หากเศรษฐกิจสหรัฐยังคงชะลอตัว

--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช/ปนัยดา โทร.02-2535000 ต่อ 323 อีเมล์: [email protected]
ภาพประจำตัวสมาชิก
บูรพาไม่แพ้
Verified User
โพสต์: 2533
ผู้ติดตาม: 1

Re: ข่าวสหรัฐและเฟด

โพสต์ที่ 25

โพสต์

สหรัฐเผยดัชนีกิจกรรมการผลิตเขตมิดแอตแลนติก,ภาวะธุรกิจรัฐนิวยอร์กฟื้นตัว
ข่าวต่างประเทศ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- ศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2554 07:44:15 น.
สหรัฐเปิดเผยดัชนีกิจกรรมการผลิตและภาวะธุรกิจในภูมิภาคบางแห่งที่ขยายตัวได้ดีเกินคาด ซึ่งบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวดีขึ้นในระยะใกล้นี้ โดยธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาฟิลาเดลเฟียเปิดเผยว่า ดัชนีกิจกรรมการผลิตในเขตมิด-แอตแลนติกประจำเดือนธ.ค.ทะยานขึ้นแตะระดับ 10.3 จุด จากระดับ 3.6 จุดของเดือนพ.ย. ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะอยู่ที่ 5 จุด

นอกจากนี้ เฟดสาขานิวยอร์กเปิดเผยว่า ดัชนีภาวะธุรกิจโดยรวม (Empire State Index) เพิ่มขึ้นแตะระดับ 9.53 ในเดือนธ.ค. จากระดับ 0.61 จุดของเดือนพ.ย. ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะอยู่ที่ 3.00 จุด
ภาพประจำตัวสมาชิก
บูรพาไม่แพ้
Verified User
โพสต์: 2533
ผู้ติดตาม: 1

Re: ข่าวสหรัฐและเฟด

โพสต์ที่ 26

โพสต์

ฟิทช์ลดเครดิต 7 แบงก์ชั้นนำสหรัฐ,ยุโรป ระบุภาคธนาคารเผชิญความเสี่ยง
ข่าวต่างประเทศ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- ศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2554 08:26:45 น.
ฟิทช์ เรทติงส์ ประกาศลดอันดับเครดิตระยะยาวของธนาคารรายใหญ่ 7 แห่งของสหรัฐและยุโรป โดยระบุว่าภาคธนาคารกำลังเผชิญกับความเสี่ยงมากขึ้น อันเนื่องมาจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจและการใช้กฎข้อบังคับที่เข้มงวด

ทั้งนี้ ฟิทช์ปรับลดอันดับเครดิตระยะยาวของธนาคารบาร์เคลย์ และธนาคารเครดิต สวิส ลง 2 ขั้น สู่ระดับ A จากระดับ AA- พร้อมกับปรับลดอันดับเครดิตระยะยาวของแบงก์ ออฟ อเมริกา, บีเอ็นพี พาริบาส์, ซิตี้กรุ๊ป, ดอยช์ แบงก์ และโกลด์แมน แซคส์ ลง 1 ขั้น

อย่างไรก็ตาม ฟิทช์ยังคงอันดับเครดิตระยะยาวของ เจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค, มอร์แกน สแตนเลย์ และยูบีเอส เอจี ไว้ที่ระดับ A และคงอันดับเครดิตระยะยาวของ โซซิเอเต เจเนอราล (ซอคเจน) ไว้ที่ A+

ฟิทช์เปิดเผยในรายงานซึ่งมีขึ้นหลังจากที่ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดทำการได้ไม่นานว่า สิ่งท้าทายในตลาดการเงินที่ภาคธนาคารเผชิญ"เป็นผลมาจากความอ่อนแอของเศรษฐกิจ และการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบครั้งใหญ่ในการกำกับดูแลภาคธนาคาร

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้นเพียงวันเดียวหลังจากที่ฟิทช์ประกาศลดอันดับเครดิตระยะยาวของธนาคารชั้นนำ 5 แห่งของยุโรป ซึ่งได้แก่ ของธนาคาร Banque Federative du Credit Mutuel และธนาคาร Credit Agricole ฝรั่งเศส , ธนาคาร OP Pohjola Group ของฟินแลนด์, ธนาคาร Danske Bank ของเดนมาร์ค และธนาคาร Rabobank Group ของเนเธอร์แลนด์ อันเนื่องมาจากผลกระทบของวิกฤตหนี้ยุโรป

--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช/สุนีย์พร โทร.02-2535000 อีเมล์: [email protected]--
ภาพประจำตัวสมาชิก
บูรพาไม่แพ้
Verified User
โพสต์: 2533
ผู้ติดตาม: 1

Re: ข่าวสหรัฐและเฟด

โพสต์ที่ 27

โพสต์

สหรัฐเผยต่างชาติลดการถือครองพันธบัตรสหรัฐลง 0.1% ในเดือนต.ค.
ข่าวต่างประเทศ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 15 ธันวาคม 2554 22:35:39 น.
กระทรวงการคลังสหรัฐเปิดเผยว่า นักลงทุนต่างชาติถือครองพันธบัตรของรัฐบาลสหรัฐทั้งสิ้น 4.66 ล้านล้านดอลลาร์ในเดือนต.ค. ลดลง 0.1% ซึ่งเป็นการปรับตัวลงครั้งแรกในรอบ 6 เดือน

รายงานของกระทรวงการคลังสหรัฐระบุว่า จีนถือครองพันธบัตรของรัฐบาลสหรัฐในเดือนต.ค.ทั้งสิ้น 1.13 ล้านล้านดอลลาร์ ลดลง 1.2% อย่างไรก็ตาม จีนยังคงเป็นผู้ถือครองพันธบัตรรายใหญ่สุดของสหรัฐ รองลงมาคือญี่ปุ่น ซึ่งถือครองพันธบัตรสหรัฐมูลค่า 9.79 แสนล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 2.3% และอันดับ 3 คืออังกฤษ ซึ่งถือครองพันธบัตรสหรัฐมูลค่า 4.084 แสนล้านดอลลาร์ ลดลง 3.1%

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่า นักลงทุนต่างชาติลดการถือครองพันธบัตรลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้นในเดือนต.ค. ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ความต้องการถือครองพันธบัตรสหรัฐจากนักลงทุนต่างชาติยังคงแข็งแกร่ง แม้สมาชิกสภานิติบัญญัติของสหรัฐถกเถียงกันเรื่องการปรับเพิ่มเพดานหนี้ จนเป็นเหตุให้สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (เอสแอนด์พี) ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐก็ตาม

ในช่วงต้นเดือนต.ค.ที่ผ่านมา เอสแอนด์พีได้ปรับลดอันดับเครดิตตราสารหนี้ระยะยาวของรัฐบาลสหรัฐลง 1 ขั้นจากระดับ AAA สู่ระดับ AA+ พร้อมให้แนวโน้มเชิงลบ เนื่องจากปัจจัยเสี่ยงทางการเมืองและปัญหาหนี้สินที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่สหรัฐถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ

--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย ปาริชาติ ชื่นชม/รัตนา โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: [email protected]--
ภาพประจำตัวสมาชิก
บูรพาไม่แพ้
Verified User
โพสต์: 2533
ผู้ติดตาม: 1

Re: ข่าวสหรัฐและเฟด

โพสต์ที่ 28

โพสต์

โอบามาขานรับวุฒิสภาสหรัฐไฟเขียวขยายการลดภาษีจ้างงาน
ข่าวต่างประเทศ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- อาทิตย์ที่ 18 ธันวาคม 2554 15:00:43 น.
เมื่อวานนี้ประธานาธิบดีบารัค โอบามาของสหรัฐกล่าวว่า เขาพอใจที่วุฒิสภาอนุมัติการขยายการลดภาษีจ้างงาน แต่คาดว่าสภาคองเกรสจะขยายการลดภาษีต่อไปสำหรับทั้งปี

นอกจากนี้ ปธน.โอบามายังระบุในแถลงการณ์ที่ทำเนียบขาวว่า เขาคาดว่าสภาคองเกรสจะขยายการลดภาษีจ้างงานในปีหน้า และจะเป็น"เรื่องแย่เกินกว่าที่จะยอมรับได้"หากสภาคองเกรสไม่ขยายการลดภาษีจ้างงานสำหรับช่วงที่เหลือของปี 2555 เมื่อวุฒิสมาชิกกลับจากช่วงวันหยุด

ก่อนหน้านี้วุฒิสภาลงมติและอนุมัติการขยายการลดภาษีจ้างงานเป็นเวลา 2 เดือน และตกลงที่จะดำเนินแผนสวัสดิการว่างงานสำหรับผู้ว่างงานระยะยาวต่อไปซึ่งทำให้มีแนวโน้มที่จะต้องมีการโต้แย้งกันในเดือนก.พ.

การขยายการลดภาษีจ้างงานสำหรับชนชั้นกลางเป็นประเด็นสำคัญของกฎหมายจ้างงานของปธน.โอบามาที่ประกาศเมื่อต้นเดือนก.ย. โดยพรรคเดโมแครตต้องการให้ครอบครัวชนชั้นกลางมีรายได้มากขึ้นและต้องการเก็บภาษีมากขึ้นจากคนร่ำรวย อย่างไรก็ตาม พรรครีพับลิกันคัดค้านการขึ้นภาษีคนรวย

การลดภาษีจ้างงานที่ต่ออายุใหม่นั้นให้การลดหย่อนภาษี 2% แก่ผู้จ่ายภาษี 160 ล้านคน และให้สวัสดิการว่างงานเฉลี่ยราว 300 ดอลลาร์/สัปดาห์สำหรับประชาชนอีกหลายล้านคนที่ว่างงานเป็นเวลา 6 เดือนหรือมากกว่านั้น

สภาผู้แทนราษฎรจะลงมติร่างกฎหมายดังกล่าวในสัปดาห์นี้
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย สุนีย์พร เหลือทรัพย์ โทร.02-2535000 อีเมล์: [email protected]--
ภาพประจำตัวสมาชิก
บูรพาไม่แพ้
Verified User
โพสต์: 2533
ผู้ติดตาม: 1

Re: ข่าวสหรัฐและเฟด

โพสต์ที่ 29

โพสต์

นักวิเคราะห์คาด GDP Q3 สหรัฐโต 2%,ยอดใช้จ่ายผู้บริโภคเดือนพ.ย.เพิ่ม 0.3%
ข่าวต่างประเทศ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- จันทร์ที่ 19 ธันวาคม 2554 06:58:55 น.
นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ที่แท้จริงประจำไตรมาส 3/2554 ของสหรัฐ จะขยายตัว 2.0% ซึ่งทรงตัวจากการประมาณการครั้งก่อน และคาดว่าตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคเดือนพ.ย.จะปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.3% หลังจากที่ขยับขึ้นเพียง 0.1% ในเดือนต.ค. เนื่องจากชาวอเมริกันเริ่มกลับมาจับจ่ายใช้สอยกันมากขึ้นในช่วงเทศกาลวันหยุด


กระทรวงพาณิชย์สหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งสุดท้ายของจีดีพีที่แท้จริงประจำไตรมาส 3/2554 และตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคในวันพฤหัสบดีที่ 22 ธ.ค.เวลา 20.30 น.ตามเวลาไทย

ตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคของสหรัฐเริ่มฟื้นตัวขึ้นตั้งแต่ช่วงเทศกาลวันขอบคุณพระเจ้า โดยสหพันธ์ค้าปลีกแห่งชาติของสหรัฐ (NRF) เปิดเผยว่า ตัวเลขค้าปลีกในช่วงสุดสัปดาห์หลังวันขอบคุณพระเจ้าปีนี้ ปรับตัวขึ้น 16% เมื่อเทียบกับปีก่อน ทำสถิติสูงสุดที่ 5.24 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยเฉพาะยอดขายเสื้อผ้าและสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษ ขณะที่ยอดใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนอยู่ที่ 398.62 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจาก 365.34 ดอลลาร์ในปีที่แล้ว

NRF ระบุว่า ผู้บริโภคออกมาจับจ่ายใช้สอยในช่วงเวลาที่ร้านค้าต่างๆ ซึ่งรวมถึง แก๊ป, วอลมาร์ท, ทอยส์ อาร์ อัส และเบสท์บาย ต่างพากันนำเสนอสินค้าราคาพิเศษและจัดโปรโมชั่นต่างๆเพื่อดึงดูดผู้ซื้อ โดยประมาณการว่า มีลูกค้า 86 ล้านรายซื้อสินค้าทั้งทางออนไลน์และที่ร้านในวัน Black Friday และ 26 ล้านรายในวันขอบคุณพระเจ้า

--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: [email protected]--
ภาพประจำตัวสมาชิก
บูรพาไม่แพ้
Verified User
โพสต์: 2533
ผู้ติดตาม: 1

Re: ข่าวสหรัฐและเฟด

โพสต์ที่ 30

โพสต์

สหรัฐเผยดัชนีภาคบริการเดือนธ.ค.ขยายตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 25ข่าวต่างประเทศ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- ศุกร์ที่ 6 มกราคม 2555 08:04:06 น.
สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีภาคบริการเดือนธ.ค.ของสหรัฐขยายตัวขึ้นสู่ระดับ 52.6 จุด จากระดับ 52.0 จุดของเดือนพ.ย. ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 25 และบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐยังคงมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้น

ทั้งนี้ ดัชนีที่เคลื่อนไหวอยู่เหนือระดับบ่งชี้ว่า ภาคบริการมีการขยายตัว และดัชนีที่เคลื่อนไหวต่ำกว่าระดับ 50 จุดบ่งชี้ว่า ภาคบริการหดตัวลง

รายงานของ ISM ระบุว่า ดัชนียอดสั่งซื้อใหม่ในภาคบริการขยายตัวที่ระดับ 53.2 จุดในเดือนธ.ค. จากระดับ 53.0 จุดของเดือนพ.ย. ขณะที่ดัชนีการจ้างงานในภาคบริการเพิ่มขึ้นแตะระดับ 49.4 จุด จากระดับ 48.9 จุดของเดือนพ.ย.

นอกจากนี้ รายงานของ ISM เปิดเผยว่า ธุรกิจบริการที่มีการรายงานว่าขยายตัวในเดือนธ.ค.มีอยู่ทั้งสิ้น 11 ประเภท ซึ่งรวมถึงธุรกิจบริการด้านค้าปลีก การเงิน และประกัน ส่วนธุรกิจบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ หดตัวลงในเดือนธ.ค.

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า นักลงทุนในตลาดการเงินจับตาดูดัชนีภาคบริการของสหรัฐอย่างใกล้ชิด เนื่องจากภาคบริการมีการจ้างงานจำนวนมาก และเป็นหนึ่งในดัชนีที่บ่งชี้ถึงสภาวะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโดยรวมในสหรัฐด้วย

--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: [email protected]--
โพสต์โพสต์