บริษัทขนาดเล็ก กลาง ใหญ่ ดูอย่างไรครับ

[Guiman]

คร่าวๆครับ
ว่ามีมาเกตแคป เท่าไหร่บ้าง

ปล.มือใหม่ ปัญหาเยอะครับ ตั้งหลายทู้หน่อยนะครับ - -"

ขอบคุณครับ

[Ii'8N]

แล้วแต่ว่า ใช้อะไรแบ่ง

1. ถ้าแบ่งวิธี Market Cap อย่้างที่คิดว่าน่าจะเป็น
คำตอบคือแทบจะเป็นที่คุณรู้สึกอยู่แล้ว หลัง IPO พอมันโตขึ้น ราคาหุ้นสูง Market Cap ใหญ่ขึ้นอย่างที่ว่า หรือบางทีกิจการมันด๋อยไปจนราคาต่ำกว่า
ไม่มีเป็นทางการ ไม่มีใครแบ่งจริงจัง จึงต้องสังเกตเอง แบ่งประเภทเองตามใจชอบเลย ขึ้นกับว่าแบ่งไปทำอะไร

งงไหมครับ ...ถ้างง เหมือนกับจะถามว่า คุณคิดว่า port ขนาดไหน จึงจะถือว่าเล็ก กลาง ใหญ่
ทำนองเดียวกันเลย บางคนบอก 100 ล้านจึงจะถือว่าใหญ่ แต่บางคนบอก 100 ล้านแค่กลาง 1000 ล้านจึงจะถือว่้าใหญ่
ไม่เห็นมีใครแบ่งให้เป็นทางการนั่นเอง


ลองไปดู
http://www.richerstock.net/stock/stocks ... prank=DESC

จะเห็นว่าตอนนี้
ใหญ่สุด PTT Market Cap 831,183.2 ล้าน (เปลี่ยนรายวันตามราคา)
เล็กสุด TRS 10.9 ล้าน (มันแขวนอยู่ ราคา/Market Cap เลยค้างอยู่เท่านี้นาน 3 ปีแล้ว Book ติดลบ ราคามันร่วง แต่ทุนจดทะเบียน TRS ตั้ง 60 ล้านนะ)

copy หน้า่นี้ไปลง excel ตัด column อื่นออก แล้วลองจับแยก แบ่งดูเลย
เห็นความแตกต่างในกลุ่มเดียวกันมากๆ อาจเปลี่ยนใจ ย่อยกว่านี้ ไม่ใช่แค่ 3 ขนาดนี้ก็ได้



2. โดยทั่วไป เกณฑ์กลางๆ ดูขนาดบริษัทเริ่มต้น ดูที่ทุนจดทะเบียน
ที่เป็นทางการ ในตลาดหุ้นไทย แบ่งได้แค่ 2 อย่าง

ง่ายๆ รู้กันว่า "เล็กไป mai ใหญ่ไป SET" (SET ทุน> 300 ล้านขึ้น ยกเว้นก่อนมี mai มียังอยู่ใน SET)

http://www.set.or.th/th/faqs/listing_p1.html#1

โค้ด: เลือกทั้งหมด

ความแตกต่างระหว่างตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) คืออะไร
	
SET ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นแหล่งระดมทุนระยะยาวของบริษัทที่มีขนาดใหญ่ ซึ่งมีทุนชำระแล้วหลัง IPO ตั้งแต่ 300 ล้านบาทขึ้นไป ในขณะที่ mai เป็นแหล่งระดมทุนของธุรกิจที่มีศักยภาพขนาดกลางและเล็ก ซึ่งมีทุนชำระแล้วหลัง IPO ตั้งแต่ 20 ล้านขึ้นไป โดยเน้นธุรกิจที่มีการเติบโตสูง และมีแนวโน้มการเติบโตดีในอนาคต อย่างไรก็ตามแนวทางการพิจารณาคำขอรับอนุญาต IPO จากสำนักงาน กลต. ตลอดจนแนวทางการปฏิบัติภายหลังการเข้าจดทะเบียนแล้วจะไม่มีความแตกต่างกัน

ขนาดที่เล็กจริงๆ และนอกตลาด คือ SME วัดกันที่ fixed asset และจำนวนการจ้างงาน ถ้าจะได้รับการส่งเสริม ทุนจดทะเบียนไม่เกิน 5 ล้านเท่านั้น


แต่ความเห็นส่วนตัวของผม ถ้ามองในแง่ลงทุนแบบในตลาดหุ้น ซื้อบางส่วนของหุ้น ไม่ได้เข้าไป take over
market cap น่าสนใจน้อยกว่าคุณภาพและความสม่ำเสมอในการทำกำไรและสุขภาพกิจการจริงๆ ... ผมว่าไปนั่งจัดกลุ่มโดยใช้พวก กำไร / ROI / อัตราส่วน ต่่างๆ มากกว่า

[Ii'8N]

อ้อ...มีอีกอย่าง มาเพิ่ม จากปรฃะสบการณ์ที่ผมเรียนรู้มา


การแบ่งอะไรที่มีความแตกต่างขั้นในการเปลี่ยนแปลงกันมากๆ ซึ่ง อย่างราคาหุ้น หรือขนาด turn over
คือคุณอาจตั้ง scale เป็น log จะลำบากใจน้อยกว่าในการดูความแตกต่าง

กรณีคล้ายๆ กันนี้ คือขนาด market cap บริษัท
อย่างแบ่งขั้น 10ล้าน ถึง 100ล้าน, 101 ถึงพันล้าน, พันหนึ่งถึงหมื่นล้าน, .... แบบนี้เป็น log ฐานสิบ

(ถ้าเป็น 1...10, 11...20, 21...30,...,10010...10020 ถือเป็น linear ซึ่งดูแล้วรู้สึกแปลกๆ)



แม้แต่โวลลุ่มเครื่องเสียงที่เราเร่ง-ลดเพลงทุกวันนี้ เราใช้ log อยู่นะครับ ไม่ใช่ linear เพราะธรรมชาติการรับรู้การเปลี่ยนแปลงความแตกต่างของหูเราต่อเสียงเป็น log ที่เราใช้หน่วยวัดเป็น decibel

[Guiman]

อ๋อ เข้าใจครับ คุณ Ii'8N

แล้วขนาดบริษัท มันวัดกันที่สินทรัพย์ หรืออย่างอื่นได้หรือไม่ครับ

ขอบคุณครับคุณ Ii'8N รวมถึงตอนนู้นที่ช่วยตอบกระทู้ ebook reader ด้วย

[Ii'8N]

ผมเห็นสรรพากรแบ่งขนาด SME แยก ระหว่าง S และ M ด้วยทั้งขนาดของการจ้างงาน และสินทรัพย์ถาวร ไปพร้อมๆ กัน
http://www.rd.go.th/publish/38056.0.htmlฃ
บริษัทใหญ่ทั่วไปไม่เห็นมีแบ่งให้ดู (หรือมีผมยังหาไม่เจอก็ไม่รู้สิ) แต่อาจเพราะภาษีนิติบุคคลเหมือนกันไม่เกี่ยวกับขนาด แต่ SME มีส่งเสริมภาษีอีกแบบ กำไรมีเป็นขั้นๆด้วย

แต่เราเอาการแบ่งข้างต้นดูเป็นแนวตัวอย่างมาเลียนแบบได้อย่างดีถ้าจะจัดกลุ่มขนาดบริษัทด้วยวิธีนี้
ถ้าให้เราจัดเองโดยไม่มีแนวคิดแบบข้างต้น คงเหมือนเอา apple ไปเทียบกับส้ม อาจเพี้ยนไปได้

สังเกตให้ดี เขาจะแยกประเภทลักษณะธุรกิจด้วยในการเปรียบเทียบ
จะเห็นว่าที่บีริษัทขนาดเท่ากัน ธุรกิจค้าปลีกสินทรัพย์ถาวรและการจ้างงานน้อยกว่าธรรมดา ธุรกิจค้าส่งยิ่งเล็กลงไปอีก เพราะซื้อมาขายไป ไม่ได้ผลิตเองหรือไม่ได้ต้องใช้เครื่องมือและกำลังคนในการบริการชาวบ้านมากมายนั่นเอง

นึกภาพห้าง BigC, MAKRO, Lotus, .... ที่มีแค่ cashier บรรจุถุงให้ตอนคิดเงินเท่านั้น คนบริการอื่นๆ มีอีกเล็กน้อยเป็นตัวประกอบ
เปรียบเทียบกับ line ผลิตอุปกรณ์อิล็คทรอนิคส์ในโรงงานแถวนิคม หรือโรงงานบรรจุอาหารกระป๋อง จะต้องใช้คนและเครื่องจักรใหญ่น้อยเรียงรายเป็นแถว (ราคาเครื่องจักรไม่ว่าใหญ่หรือน้อย เป็น fixed asset ที่ดุทั้งนั้น)






ของอเมริกา ที่เป็นแบบสำรวจ
แต่เป็นสำรวจทำนองสำมะโนประชากร ต้องการเก็บสถิติ เลยขั้นเยอะหน่อย แต่ก็ดูเป็นแนวทางได้ ว่าเขามองอย่างไร ใช้อะไรเป็นเกณฑ์
สรุปง่ายๆ คือจัดกลุ่ม ตามยอดขายทั้งปีและขนาดของการจ้างงาน (มีสำรวจการจ่ายเงินเดือนด้วย)
แต่บริษัทใหญ่ ยังสอบถามจำนวน BU ด้วย (อย่าง PTT, CPF, IVL, INTUCH, .... )

http://www.census.gov/econ/census/guide/g07psize.htm

[Ii'8N]

เขียนตก

"แต่บริษัทใหญ่ ยังสอบถามจำนวน BU ด้วย (อย่าง PTT, CPF, IVL, INTUCH, .... ) มี BU ย่อยเยอะมาก เป็นต้น "

[กาละมัง]

เล็ก กลาง ใหญ่ เป็นคำเปรียบเทียบ จึงขึ้นกับกว่าต้องการเปรียบเทียบอะไร ก็จะมีเกณฑ์วัดโดยประมาณ
เช่น ธุรกิจขนาด 3000 ล้านบาท
ถ้าเทียบกับบริษัทต่าง ๆในตลาดน่าจะถือว่าเป็นขนาดเล็ก หรืออย่างมากก็ไม่เกินกลาง
แต่หากเป็นธุรกิจโรงพิมพ์ในไทย คงต้องถือว่าเป็นบริษัทใหญ่ในอุตสาหกรรมการพิมพ์
ถ้าเป็นโรงพยาบาลก็ถือว่าเป็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่ เป็นต้น
ถ้าเป็นโรงกลั่นน้ำมัน ธนาคาร ถือว่าเป็นขนาดจิ๋ว (จริง ๆ คือ คงไม่มีจริง เพราะว่าไม่ได้ economy of scales)