Dollar Carry Trade แผลงฤทธิ์ !!!!!

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
ภาพประจำตัวสมาชิก
Rocker
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 4915
ผู้ติดตาม: 246

Dollar Carry Trade แผลงฤทธิ์ !!!!!

โพสต์ที่ 1

โพสต์

Dollar Carry Trade แผลงฤทธิ์ !!!!!

โลกาภิวัตน์ คือกระบวนการที่ประชากรของโลก ถูกหลอมรวมเป็นสังคมเดี่ยว(วิกิพีเดีย) มีการแลกเปลี่ยนเชื่อมโยงกันของระบบเศรษฐกิจ

การที่สินค้า บริการ แรงงาน เงินทุนและเทคโนโลยี สามารถเคลื่อนย้ายได้อย่างอิสระและรวดเร็ว นำมาซึ่งความสะดวกสบายมาให้ผู้คนทั่วทุกมุมโลก แต่เหรียญย่อมมีสองด้านเสมอ ผู้ที่รู้เท่าทันย่อมสามารถฉกฉวยจากประโยชน์จากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ผู้ที่ล้าหลังอาจตกเป็นเหยื่อ ดั่งเหตุการณ์ที่หุ้นไทยถูกถล่มขายเมื่อเร็วๆ นี้ จากการปิดสถานะ Dollar Carry Trade ของนักลงทุนต่างชาติ


Dollar Carry Trade หมายถึง การกู้ยืมเงินสกุลดอลลาร์ดอกเบี้ยต่ำ แล้วนำไปแลกเป็นเงินสกุลอื่นเพื่อลงทุนต่อในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า


การที่คนต่างชาติจะกู้จากธนาคารของประเทศเขา แล้วนำเงินดอลลาร์ที่ได้ มาแลกเป็นเงินบาทเพื่อซื้อหุ้น ซื้อพันธบัตรของไทย คงไม่ใช่เรื่องแปลกหรือผิดปกติแต่อย่างไร แต่ ที่ต้องถือว่าพิสดารคือการที่เขาสามารถใช้ช่องโหว่ของระบบโลกาภิวัตน์มาหาประโยชน์จำนวนมหาศาลให้กับตนเอง และทำได้อย่างง่ายดายนี่สิ คือ สิ่งที่เรากำลังสนใจ ซึ่งขออรรถาธิบายดังนี้


พวกเราคงทราบกันดีว่า เมื่อประเทศใดเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ แนวทางการแก้ปัญหาของธนาคารกลาง คือ การลดดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อกดให้ดอกเบี้ยในประเทศต่ำลง เป็นการช่วยเหลือผู้ประกอบการและกระตุ้นให้ผู้บริโภคจับจ่ายใช้สอยเพื่อให้เศรษฐกิจเกิดการหมุนเวียน ส่วนระยะเวลาที่ใช้ในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ อาจต้องใช้เวลา 5-20 ปี แล้วแต่ความรุนแรงของปัญหาและฝีมือของรัฐบาลประเทศนั้นๆ


ช่องโหว่ที่เกิดขึ้น คือ ถ้านักลงทุนรายใหญ่รู้ว่า ผลตอบแทนการลงทุนของประเทศอื่นๆ อย่างเช่น เกาหลี สิงคโปร์ มาเลเซีย หรือไทย ให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า เช่น หากลงทุนในพันธบัตรอาจให้ผลตอบแทนประมาณ 3-5% ลงทุนในหุ้นอาจให้ผลตอบแทน 20-50% แถมยังได้กำไรจากค่าเงินของประเทศที่เข้าไปลงทุนติดไม้ติดมือมาด้วย แล้วอย่างนี้จะไม่ให้เขาจะฉวยโอกาสกู้เงินจากประเทศที่มีต้นทุนต่ำ นำไปลงทุนในประเทศที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าได้อย่างไร นี่คือ สิ่งที่นักลงทุนสถาบันการเงินใหญ่ๆ ในโลกเขาทำกัน


และแล้ว โอกาสทองก็มาถึง เมื่อประเทศสหรัฐเกิดวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่ และธนาคารกลางสหรัฐได้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงมาต่ำสุดที่ 0-0.25% และเราก็สามารถคาดการณ์ได้ว่าการที่ประเทศยักษ์ใหญ่เทอะทะเกิดสะดุดล้มลง กว่าที่เขาจะลุกฟื้นขึ้นมาได้นั้นคงต้องใช้เวลานานนับสิบปี นักลงทุนรายใหญ่ที่มีเครดิตดี จึงฉวยโอกาสกู้ยืมเงินดอลลาร์จากธนาคารในสหรัฐนำไปแลกเป็นเงินสกุลเอเชีย และนำไปลงทุนต่อในพันธบัตร หุ้น หรือแม้แต่ฝากกินดอกเบี้ยในประเทศที่กำลังมีเศรษฐกิจเฟื่องฟู


การที่เงินดอลลาร์หลายหมื่นล้านดอลลาร์ถูกทยอยเทขายออกเพื่อแลกไปเป็นเงินสกุลอื่น ตั้งแต่เงินยูโร เงินหยวน เงินวอน เงินบาท และอื่นๆ ทำให้ค่าเงินดอลลาร์ค่อยๆ อ่อนค่าลง ผสมโรงด้วยตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐที่ออกมาย่ำแย่อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่ายอดขาดดุลการค้า อัตราการว่างงาน หรือยอดขายบ้านใหม่ ที่ช่วยซ้ำเติมค่าเงินดอลลาร์ให้ดำดิ่งลงไปเรื่อยๆ


ขณะที่อีกฟากฝั่งปลายทางที่เม็ดเงินถูกนำไปลงทุน เขาจะคัดเลือกประเทศที่มีแนวโน้มเศรษฐกิจดี ยกตัวอย่างเช่น ประเทศไทยที่มีหนี้ภาคเอกชนน้อย หนี้ภาครัฐต่ำ อัตราการว่างงานน้อยมากเพียง 1% ขณะที่ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนกำลังเติบโต ผลจึงออกมาตรงกันข้าม ค่าเงินบาทค่อยๆ แข็งขึ้น และเมื่อมีเงินไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นพร้อมๆ กันหลายหมื่นล้านบาท มันก็ช่วยผลักดันให้ดัชนีหุ้นพุ่งทะยานไม่ยาก


คำถาม คือ นักลงทุนเหล่านี้จะขายสินทรัพย์ที่ลงทุนเพื่อทำกำไรเมื่อไร กลยุทธ์ของเขา คือ ปล่อยให้กำไรวิ่งไปเรื่อยๆ คาดว่าจะใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 1 ปี การขายออกก่อนเวลาอันควร อาจได้กำไรไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่ในขณะเดียวกัน ต้องคอยระแวดระวังอยู่ตลอดเวลา หากไหวตัวไม่ทัน อาจตกขบวนรถไฟ ขายไม่ได้ราคา


แต่แล้ว เวลาที่ต้องลงมือปฏิบัติการก็มาเร็วกว่าที่คาด สมาชิกในกลุ่มประเทศยุโรปเกิดมีปัญหาเศรษฐกิจปะทุขึ้นมา ถึงขั้นว่าหนี้สาธารณะของกรีซอาจผิดนัดชำระหนี้ สื่อต่างประเทศอย่าง บลูมเบิร์ก บอกว่าพันธบัตรของกรีซมีโอกาสผิดนัดชำระหนี้ถึง 98% ใน 5 ปี ข้างหน้า ทั้งที่ล่าสุดอัตราผลตอบแทนของพันธบัตร 2 ปีของกรีซ ขยับขึ้นมาอยู่ที่ 76% ต่อปี แต่ก็ไม่สามารถดึงดูดนักลงทุนต่างประเทศให้เข้าไปลงทุนเพิ่มได้ เพราะมีข่าวว่า กรีซอาจต้องขอแยกตัวออกมาจากกลุ่มยูโรโซนเพื่อลดค่าเงินของตนให้สามารถแข่งขันได้มากขึ้น พร้อมกับอาจต้องเจรจาลดหนี้กับเจ้าหนี้ต่างประเทศให้ลดหนี้ลงมาเหลือ 50% ทำให้นักลงทุนต่างประเทศเกรงว่าผลตอบแทนที่ได้จะไม่คุ้มกับเงินต้นและค่าเงินที่เหลือ


เมื่อมีข่าวออกมาว่า แผนที่จะช่วยอุ้มประเทศกรีซดูท่าจะพังพาบ เพราะยังมีประเทศที่มีปัญหาเศรษฐกิจอีกหลายประเทศ เช่น โปรตุเกส อิตาลี ไอร์แลนด์ และสเปน รอขอความช่วยเหลืออยู่ ทำให้ค่าเงินยูโรเริ่มเซซวน นักลงทุนรายใหญ่เริ่มไหวตัวทยอยขายเงินยูโร กลับไปซื้อเงินดอลลาร์ราคาถูกคืน ทำกำไรเอาไว้ก่อน


การขายเงินสกุลปลายทางแล้วกลับมาซื้อเงินดอลลาร์คืน เพื่อไปไถ่ถอนสัญญาเงินกู้ที่เคยยืมมาตอนทำธุรกรรม Dollar Carry Trade ถือเป็นการปิด (ย้อนคืน) สถานะสัญญาเงินกู้ หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Dollar Carry Trade Unwinding


ลองนึกภาพดูว่า เงินยูโรจำนวนมหาศาลถูกเทขายเพื่อนำมาแลกซื้อเงินดอลลาร์คืน ทำให้เงินดอลลาร์แข็งค่าทันที มันเป็นเหมือนสัญญาณนกหวีดในเกมเก้าอี้ดนตรี เมื่อทุกคนที่ตื่นตัวอยู่แล้วได้ยินสัญญาณนี้ ประกอบกับทุกคนได้กำไรกันพอสมควรแล้ว ไม่ว่าราคาหุ้น ราคาพันธบัตร รวมถึงค่าเงินสกุลปลายทาง สิ่งที่ต้องทำตอนนี้ คือ แย่งชิงกันขายทรัพย์สินปลายทางเพื่อนำไปแลกเงินดอลลาร์คืนให้ได้มากที่สุดและเร็วที่สุด


เมื่อทุกคนทำพร้อมกัน มันก็เปรียบดั่งคลื่นสึนามิที่ถาโถมเข้าใส่ตลาดหุ้น ทำให้ตลาดหุ้นถล่มทลาย ราคาพันธบัตรทรุดฮวบและค่าเงินสกุลท้องถิ่นอ่อนค่าอย่างรวดเร็ว ใครไหวตัวช้า ก็ขายไม่ได้ราคา แถมขาดทุนกำไรในค่าเงิน


ทองคำเป็นทรัพย์สินหนึ่งที่นักลงทุนกลุ่มนี้นำเงินจาก Dollar Carry Trade ไปลงทุนด้วย ราคาทองคำก็ต้องพบชะตากรรมเดียวกัน ยิ่งทองคำไม่มีเงินปันผลให้ชื่นใจ ไม่มีผลประกอบการให้ดู ราคาทองคำขึ้นด้วยเหตุผลเดียว คือ เป็นแหล่งพักเงิน (Safe Haven) ในช่วงที่เงินดอลลาร์ยังคงตกต่ำ เมื่อเงินดอลลาร์มีแนวโน้มแข็งค่า คนจึงขายทองคำทำกำไร และกลับไปซื้อเงินดอลลาร์ราคาถูกกลับคืน


แล้วทำไมตลาดหุ้นจึงตกแรงมากๆ เฉพาะวันจันทร์ที่ 26 กันยายน 2554 วันเดียว ดัชนีลดไปถึง 90 จุด หรือ 9.4% ก่อนจะดีดตัวขึ้นมาติดลบ 54 จุด หรือ 5.6% รุนแรงกว่าภูมิภาคเดียวกันที่ลดลงประมาณ 2-3% คำตอบ คือ จังหวะของคนไทยไม่ดี เราเพิ่งได้รัฐบาลใหม่ในช่วงนี้พอดี เป็นธรรมดาที่รัฐบาลใหม่จะประโคมโหมข่าวนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งการลดภาษีนิติบุคคล ลดราคาน้ำมัน ลดภาษีบ้าน ภาษีรถยนต์ รวมถึงการที่มีข่าวระบบ 3 G มากระตุ้นราคาหุ้นกลุ่มต่างๆ ทำให้ตลาดหุ้นไทยคึกคักและให้ผลตอบแทนสูงที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคนี้


ประกอบกับก่อนหน้านั้นไม่นาน นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน ได้เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างประเทศว่าตนมีแนวความคิดที่จะทำให้เงินบาทแข็งค่าเพื่อใช้ต่อสู้กับเงินเฟ้อ ข่าวนี้กระตุ้นให้เงินบาทแข็งค่าแซงหน้าสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาค พร้อมกับได้สร้างความฮึกเหิมให้นักลงทุนไทย เพราะทุกครั้งที่ค่าเงินบาทแข็งขึ้น เรามักเห็นเงินลงทุนต่างประเทศไหลเข้าตลาดหุ้นเพิ่มขึ้นเสมอ


แต่งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา ทั้งราคาหุ้นและค่าเงินบาทได้ก้าวขึ้นมาอยู่ในจุดที่หอมหวานที่สุด เมื่อมีสัญญาณการถอยทัพมาจากต่างแดน นักลงทุนต่างประเทศจึงพร้อมใจกันเทขายหนักๆ เพราะมีกำไรทุกราคา


จากต้นปี พ.ศ. 2552 ตอนที่เริ่มมีการทยอยทำ Dollar Carry Trade ค่าเงินบาทอยู่ที่ 35.50 บาทต่อดอลลาร์ พอถึงต้นเดือนกันยายน พ.ศ. 2554 เงินบาทได้แข็งค่าขึ้นมาอยู่ที่ 30 บาทต่อดอลลาร์ แข็งขึ้นมาราว 15% ดัชนีหุ้นไทย ณ ต้นปี 2552 อยู่ที่ประมาณ 450 จุด เพิ่มมาเป็น 1,050 จุด ณ ต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นถึง 130% ไม่ขายตอนนี้ ไม่รู้จะไปขายตอนไหน

โดย : บรรยง วิทยวีรศักดิ์
ภาพประจำตัวสมาชิก
บูรพาไม่แพ้
Verified User
โพสต์: 2533
ผู้ติดตาม: 1

Re: Dollar Carry Trade แผลงฤทธิ์ !!!!!

โพสต์ที่ 2

โพสต์

อ่านแล้วการทำกำไรของสหรัฐชั่งง่ายดายเสียจริง :oops:
ภาพประจำตัวสมาชิก
Rocker
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 4915
ผู้ติดตาม: 246

Re: Dollar Carry Trade แผลงฤทธิ์ !!!!!

โพสต์ที่ 3

โพสต์

เป็นปกติ นะครับ การไหลเข้า ของ Fund flow จะทําให้ ค่าเงินแข็งขึ้น และ ตลาดหุ้นขึ้น
เพราะ Demand มากกว่า Supply พอดัน ค่าเงิน และ หุ้นไปถึงจุด 1 ก็ขายทํากําไร

กําไร 2 เด้ง หุ้นขึ้นหรือลง เพราะ แรงของ เม็ดเงินที่อัดเข้าไปครับ แม้ พื้นฐานหุ้นบางตัวจะไม่ดีแต่ถ้ามีเหตุ จาก ปัจจัยภายนอกประเทศ หุ้นก็ขึ้นได้ เพราะ ต่างชาติ คํานึง ถึง สภาพคล่องของหุ้น และ ขนาด มาก่อนผลประกอบการ
เชื่อว่า รอบนี้ ถ้าผ่านCrisis แล้ว แม้ ราคานํ้ามัน ยังไม่ดีดตัว กลับ หุ้นกลุ่มพลังงาน Bank ก็จะ วิ่งขึ้นกลุ่มแรกๆครับ
โพสต์โพสต์