ตลท. ดีเดย์ SET High Dividend 4 ก.ค. นี้

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
ภาพประจำตัวสมาชิก
vichit
Verified User
โพสต์: 15833
ผู้ติดตาม: 14

ตลท. ดีเดย์ SET High Dividend 4 ก.ค. นี้

โพสต์ที่ 1

โพสต์

ตลท. ดีเดย์ SET High Dividend 4 ก.ค. นี้

ตลท. ดีเดย์เปิดตัวดัชนี SET High Dividend 30 Index (SETHD) 4 ก.ค. นี้ หวัง
สะท้อนภาพรวมความเคลื่อนไหวราคาหุ้นในกลุ่มที่มีการจ่ายเงินปันผลสูง เผย STPI-DTAC-
BECL-MCS-KKจ่ายปันผลสูงสุด ด้านนายกสมาคมโบรกฯ เชื่อ SETHD กระตุ้นการลงทุน

ตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดตัวดัชนี SET High Dividend 30 Index (SETHD) คำนวณ
จาก 30 หลักทรัพย์ ที่มีการจ่ายเงินปันผลสูงอย่างต่อเนื่อง เพื่อใช้เป็นดัชนีอ้างอิงการลงทุนและ
การออกผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ตอบสนองต่อความต้องการของผู้ลงทุน โดยกลุ่มหลักทรัพย์ทั้ง
30 บริษัท มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) รวมสูงถึง 3.66% (ข้อมูล ณ
31 พ.ค. 2554) และ SETHD จะเริ่มเผยแพร่ตั้งแต่ 4 ก.ค. 2554 นี้เป็นต้นไป

นางเกศรา มัญชุศรี ผู้ช่วยผู้จัดการ กลุ่มงานพัฒนาธุรกิจและผลิตภัณฑ์ ตลาดหลักทรัพย์
แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้จัดทำดัชนี SET High Dividend 30 Index
หรือ SETHD ดัชนีชุดใหม่ เพิ่มเติมจากดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในปัจจุบัน คือ SET Index,
SET50 Index, SET100 Index, mai Index และดัชนีกลุ่มอุตสาหกรรมและหมวดธุรกิจ
ต่างๆ เพื่อให้มีดัชนีที่สะท้อนภาพรวมความเคลื่อนไหวราคาของหลักทรัพย์ในกลุ่มที่มีการจ่ายเงิน
ปันผลสูงและต่อเนื่องใน
ตลาดหลักทรัพย์ไทย ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการนำไปใช้อ้างอิงกับผลตอบแทนการลงทุน
และยังสามารถใช้เพื่อออกผลิตภัณฑ์ทางการเงิน หรืออ้างอิงกับการออกกองทุน
“เกณฑ์การคัดเลือกบริษัทจดทะเบียนเพื่อคำนวณดัชนี SETHD นั้น คัดเลือกหลักทรัพย์จาก
ดัชนี SET100 ที่มีการจ่ายเงินปันผลอย่างต่อเนื่องตลอดช่วง 3 ปีที่ผ่านมา โดยมีอัตราส่วนการ
จ่ายปันผลต่อกำไรสุทธิ (Dividend Payout Ratio) ไม่เกิน 85 % ในแต่ละปีของช่วงดังกล่าว
ทั้งนี้ บริษัทที่มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูง 30 อันดับแรก จะถูกนำมาใช้เพื่อรวมคำนวณ
ในดัชนี” นางเกศรากล่าว
ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะเริ่มเผยแพร่ค่าดัชนี SETHD ตั้งแต่วันที่ 4 ก.ค. 2554 โดยใช้ราคา
หลักทรัพย์ในวันที่ 30 มิ.ย. 2554 เป็นวันฐานและดัชนีเริ่มต้นที่ 1,000 จุด การคัดเลือกและ
ทบทวนดัชนี SETHD นี้จะจัดทำปีละ 2 ครั้ง คือเดือนมิถุนายนจะประกาศใช้สำหรับรอบครึ่งหลัง
ของปี และธันวาคมสำหรับหลักทรัพย์ที่ใช้ในครึ่งแรกของของปีถัดไป ซึ่งเป็นไปตามรอบการคัด
เลือกและการทบทวนดัชนี SET50 และ SET100
สำหรับรายชื่อหลักทรัพย์ที่ใช้คำนวณดัชนี SETHD ในครั้งนี้ มีอัตราผลตอบแทนเงินปัน
ผลโดยเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 2.85% - 12.86% โดยหลักทรัพย์ที่มีอัตราการจ่ายปันผลสูงสุด 5 อันดับ
แรก คือ บมจ. เอสทีพี แอนด์ ไอ (STPI) บมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (DTAC) บมจ.
ทางด่วนกรุงเทพ (BECL) บมจ.เอ็ม.ซี.เอส.สตีล (MCS) ธนาคารเกียรตินาคิน (KK) ผู้ลงทุน
และผู้สนใจสามารถดูรายชื่อบริษัทที่รวมคำนวณในดัชนี SETHD ทั้งหมดหรือรายละเอียดเพิ่ม
เติมได้ที่ www.set.or.th/SETHD หรือ โทร. S-E-T Call Center 0-2229-2222

นายกสมาคมโบรกฯ หนุน SETHD เชื่อ กระตุ้นการลงทุน
นางภัทธีรา ดิลกรุ่งธีระภพประธานเจ้าหน้าที่บริหารบล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย)
จำกัดและนายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ เปิดเผยกับ eFinanceThai.com.com ว่าจากกรณีที่
ตลาดหลักทรัพย์ได้จัดทำดัชนี SET High Dividend 30 Index เพิ่มเติมหรือ SETHD ดัชนี
ชุดใหม่ดังกล่าวถือเป็นประเด็นบวกที่จะเพิ่มความน่าสนใจการลงทุนในตลาดทุน เนื่องจากดัชนีฯ
ชุดใหม่ดังกล่าวสามารถที่จะนำไปใช้อ้างอิงในการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ได้ ในขณะนี้เห็นมีโอกาสที่
จะใช้ดัชนี SETHD นำไปใช้อ้างอิงเพื่อออก ETF หรือ กองทุน Equity ETF (Exchange
Traded Fund) โดยให้บริษัทหลักทรัพย& 63246;จัดการกองทุน(บลจ.)เป็นผู้ออกหน่วยลงทุน ขณะที่
โบรกเกอร์มีหน้าในการสร้างหน่วยลงทุนและเป็นตัวกลางในการซื้อหน่วยลงทุน ทั้งนี้หากมีการอ
อก ETF ที่อ้างอิงดัชนี SETHD จะช่วยสร้างความน่าสนใจต่อนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในหุ้นที่มี
อัตราการจ่ายปันผลสูงโดยสามารถเลือกลงทุนซื้อดัชนีฯได้โดยไม่ต้องลงทุนในหุ้นรายตัว
นอกจากนี้ดัชนี SETHD ดังกล่าวสามารถที่ตลาดหลักทรัพย์จะใช้อ้างอิงในการออก
ผลิตภัณฑ์ในตลาดล่วงหน้าเพิ่มเติมซึ่งเป็นสินค้าที่จะช่วยเพิ่มความน่าสนใจในตลาด Futuers
'การทำดัชนี SET High Dividend 30 Index ที่คัดเลือกหุ้น 30 ตัวที่จ่ายปันผลสูงมาถือ
เป็นการก้าวไปอีกขั้นของตลาดหลักทรัพย์ไทยที่จะสามารถนำไปใช้อ้างอิงในการออก Product
ใหม่ๆในรูปแบบอื่นๆที่จะเปลี่ยนแปลงได้ในอนาคตหากมีคนนำไปใช้อ้างอิง'นางภัทธีรา กล่าว

บล.เอเซียพลัส คาด DTAC จะจ่ายปันผลปี 54 หุ้นละ 3.39 บาท คิดเป็น Div. Yield 5.8%


บทวิเคราะห์ บล.เอเซียพลัส ระบุว่า การเปิดตัว iPHONE 4 ตัวเครื่องสีขาวในงวด
2Q54 ส่งผลให้ทั้งยอดขายโทรศัพท์ และรายได้บริการ Non-Voice เติบโตจากงวด 1Q54
อย่างไรก็ตามเนื่องจากในงวด 2Q54 เป็นช่วง Low Season ของธุรกิจ” ส่งผลให้คาดยอด
สมาชิกใหม่สุทธิในงวด 2Q54 จะเหลือเพียง 3 แสนราย และคาดว่ารายได้เฉลี่ยต่อเลขหมายต่อ
เดือน (ARPU) มีแนวโน้มอ่อนตัวเล็กน้อยจากงวด 1Q54 ซึ่งอยู่ที่ 211 บาท ส่งผลให้คาดรายได้
จากการขายและบริการ (ไม่รวมค่า IC) จะลดลงจากงวด 1Q54 ราว 0.7% ขณะที่ต้นทุนบริการ
และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1.3% qoq และ 3.7% qoq จากการทยอย
ปรับเปลี่ยนเน็ตเวิร์ค และค่าใช้จ่ายการตลาดที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้คาดว่ากำไรสุทธิในงวด 2Q54
จะลดลงจากงวด 1Q53 ราว 9.9% มาอยู่ที่ 3,005 ล้านบาท อย่างไรก็ตามหากเปรียบเทียบกับ
ช่วงเดียวกันของปีก่อน คาดกำไรสุทธิจะเพิ่มขึ้นราว 23.4%
ปีนี้ DTAC มีงบลงทุนราว 6 พันล้านบาท โดยใช้สำหรับติดตั้งสถานีฐานสำหรับโครงข่าย
3G บนคลื่นความถี่ 850 ภายใต้สัมปทานเดิม 400 สถานีฐานภายในกรุงเทพและปริมณฑลด้วย
งบลงทุนเพียง 350 ล้านบาท คาดจะแล้วเสร็จในกลางเดือนก.ค. นี้ และพร้อมให้บริการแบบเชิง
ทดสอบ แม้ยังไม่ได้รับอนุญาตให้บริการ 3G ในเชิงพาณิชย์ (สามารถเรียกเก็บค่าบริการเฉพาะ
กรณีขายพ่วงกับบริการอื่น แต่ไม่สามารถเรียกเก็บเงินจากการขายบริการ 3G ได้โดยตรง) และ
มีแผนขยายสถานีฐานเพิ่มเป็น 1,220 สถานีฐาน ภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งจะใช้งบลงทุนเพิ่มอีกราว
800 ล้านบาท เพื่อรองรับการให้บริการในอนาคต และเตรียมพร้อมรับรอบการได้รับใบอนุญาตให้
บริการ 3G เชิงพาณิชย์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต นอกจากนี้ DTAC มีแผนที่จะติดตั้งระบบ WiFi
ราว 40-50 จุดด้วยตนเองในอาคารย่านการค้าที่สำคัญในกรุงเทพฯ เพื่อเปิดให้บริการภายในสิ้น
ปีนี้ด้วย ขณะเดียวกัน DTAC ยังเพิ่มประสิทธิภาพของบริการ Non-Voice โดยทยอยเปลี่ยน
ระบบเน็ตเวิร์คใหม่ทั้งหมด ซึ่งจะใช้งบลงทุนอีกราว 2-3 พันล้านบาท เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและ
ความเร็วในการให้บริการ Non-Voice และงบที่เหลืออีกราว 2 พันล้านบาทใช้สำหรับเพิ่ม
Capacity ของการรับส่งในเขตกรุงเทพฯ เพื่อเป็นการช่วงชิงตลาดสมาร์ทโฟนที่ยังมีแนวโน้ม
เติบโตแบบก้าวกระโดด ด้วยแผนดังกล่าว คาดว่ากำไรปกติปี 2554 ของ DTAC จะ เพิ่มขึ้น
10.5% yoy แม้ฐานภาษีปีนี้จะขยับขึ้นจากปีก่อนหน้าราว 5% และ DTAC จะจ่ายส่วนแบ่งรายได้
ให้กสท.เพิ่มขึ้น 25% เป็น 30% ตั้งแต่วันที่ 16 ก.ย. 2554 เป็นต้นไป
DTAC มีจุดแข็งเหนือคู่แข่งคืออายุสัมปทานเหลือมากสุดคือ 7 ปี 3 เดือน และมีความ
พร้อมด้านคลื่นความถี่ปัจจุบันที่มีทั้งคลื่นความถี่ 1800 ความจุ 50 MHZ รองรับบริการ 2G และ
มีคลื่นความถี่ 850 ความจุ 12.5 MHZ ซึ่งเดิมเคยใช้สำหรับมือถือระบบอนาล็อค แต่ปัจจุบันไม่
มีการใช้งานแล้ว และจะนำคลื่นดังกล่าวมาใช้ให้บริการ 3G ภายใต้สัมปทานปัจจุบัน บวกกับแผน
เดินหน้ารุกขยายโครงข่าย 3G เพื่อรองรับความต้องการบริการ Non-Voice ที่มีแนวโน้มเติบโต
ต่อเนื่อง เป็นปัจจัยสำคัญในการผลักดันการเติบโตในอนาคต นอกจากนี้ข้อจำกัดในการจ่ายเงิน
ปันผลของ DTAC จะหมดลง หลัง DTAC ชำระคืนหุ้นกู้วงเงิน 3 พันล้านบาท ที่จะครบกำหนด
24 ส.ค. 2554 เนื่องจากหุ้นกู้ดังกล่าวมีเงื่อนไขไม่ให้ DTAC จ่ายเงินปันผลเกิน 70% ของกำไร
สุทธิ บวกกับ DTAC มีกำไรสะสมสูงถึง 4 หมื่นล้านบาท และมีสถานะเงินสดสุทธิสูงถึง 1.2 หมื่น
ล้านบาท จึงเป็นไปได้สูงมากที่ DTAC จะจ่ายเงินปันผลพิเศษปี 2554 โดยในประมาณการ
ปัจจุบัน ฝ่ายวิจัยยังอนุรักษ์นิยมกำหนดให้ DTAC จ่ายเงินปันผลปี 2554 ที่อัตรา 70% คาด
DTAC จะเงินปันผลปี 2554 ที่หุ้นละ 3.39 บาท คิดเป็น Div. Yield 5.8% จึงคงคำแนะ
นำ “ซื้อ” และเลือกเป็น Top Pick กลุ่ม โดยกำหนดมูลค่าพื้นฐานหุ้นใหม่ปี 2554 ภายใต้
สัมปทานเดิมที่ 56.50 บาท และเมื่อรวมกับมูลค่าเพิ่มอีก 16.30 บาท ภายหลังให้บริการ 3G
ภายใต้ใบอนุญาตใหม่ Fair value จะเพิ่มขึ้นเป็น 72.80 บาท Upside 23.9%

ฟินันเซีย ไซรัส เชียร์ถือลงทุน BECL รับเงินปันผล ราคาเหมาะสมที่ 18.70 บาท

บทวิเคราะห์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุว่า ปริมาณการใช้ทางด่วนใน 2Q11 คาดว่าจะเติบ
โตอย่างแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับปีก่อน เราคาดว่าปริมาณการใช้ทางด่วนใน 2Q11 จะเติบโตอย่าง
แข็งแกร่งเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีเหตุการณ์ชุมนุมประท้วง โดยในเดือน เม.
ย.11 มีปริมาณการใช้ทางด่วนเฉลี่ยที่ 9.6 แสนคัน/วัน เพิ่มขึ้น 10% Y-Y สำหรับเดือน พ.ค.11
คาดว่าปริมาณการใช้ทางด่วนจะเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่นเช่นกัน ทั้งนี้ เราคาดว่าปริมาณการใช้ทาง
ด่วนเฉลี่ยทั้ง 2Q11 จะเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งราว 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ผลประกอบการ 2Q11 จะเริ่มได้รับผลกระทบอย่างเต็มที่จากการปรับลดส่วนแบ่งรายได้
แม้เราคาดว่าปริมาณการใช้ทางด่วนใน 2Q11 จะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม ในด้าน
ของกำไรสุทธิคาดว่าจะลดลงค่อนข้างมาก เนื่องจากได้มีการปรับส่วนแบ่งรายได้ระหว่าง BECL
กับ กทพ. จากเดิม 50% ต่อ 50% เป็น 40% ต่อ 60% ตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค.11 ดังนั้น ใน 2Q11
BECL จะเริ่มได้รับผลกระทบอย่างเต็มที่ นอกจากนั้น ยังไม่มีรายได้พิเศษอื่นๆ โดยเงินปันผลรับ
จาก TTW รับรู้ไปแล้วใน 1Q11 ขณะที่ปีก่อนรับรู้ใน 2Q10 ทั้งนี้ เบื้องต้นเราประเมินกำไรสุทธิ
ใน 2Q11 ราว 230-270 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไร 432 ล้านบาท และ
ไตรมาสก่อนที่มีกำไร 539 ล้านบาท
คาดกำไรปี 2011 ลดลง 21.5% Y-Y แม้กำไรสุทธิใน 1Q11 จะออกมาค่อนข้างดี อย่าง
ไรก็ตาม คาดว่าผลการดำเนินงานในช่วงที่เหลือของปีที่จะอ่อนตัวลง ปัจจัยหลักจากการปรับลด
ส่วนแบ่งรายได้ ส่งผลให้รายได้จากค่าผ่านทางด่วนลดลง ทั้งนี้ เราประเมินกำไรสุทธิในปี 2011
ที่ 1,415 ล้านบาท ลดลง 21.5% Y-Yคาดจะทราบผลการประมูลทางพิเศษสาย “ศรีรัช-วงแหวน
รอบนอก” ภายใน 3-5 เดือน BECL ได้มีการยื่นซองประมูลโครงการทางพิเศษสายศรีรัช-วง
แหวนรอบนอกฝั่งตะวันตก ระยะทาง 16.7 กม. ซึ่งโครงการนี้มีเอกชนยื่นประมูล 2 ราย ได้แก่
(1) BECL และ (2) บมจ. ทางยกระดับดอนเมือง+STEC โดยกรอบวงเงินลงทุนประมาณ
27,022 ล้านบาท ประกอบด้วยวงเงินลงทุนของภาคเอกชน 17,458 ล้านบาท แยกเป็นค่าก่อ
สร้าง 17,137 ล้านบาท ค่าทบทวนแบบและควบคุมงาน 321 ล้านบาท ขณะที่วงเงินลงทุนของ
ภาครัฐจำนวน 9,564 ล้านบาท เป็นค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินของโครงการ ทั้งนี้ คาดว่าจะทราบผล
การประมูลภายใน 3-5 เดือน และคาดจะเริ่มก่อสร้างต้นปี 55 ระยะเวลาการก่อสร้างประมาณ 4
ปี หาก BECL ชนะจะใช้แหล่งเงินทุนจากการกู้ยืมทั้งหมด
BECL จะพยายามคงระดับการจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่าปีก่อน BECL ระบุว่าแม้แนว
โน้มผลกำไรในปี 2011 จะลดลง อย่างไรก็ตาม BECL จะพยายามยังคงรักษาระดับการจ่ายเงิน
ปันผลไม่น้อยกว่าปีก่อนที่ 1.30 บาท/หุ้น คิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลในระดับที่ค่อน
ข้างดีราว 7.2% ต่อปี
แนะนำ ถือลงทุน รับเงินปันผล แม้คาดว่ากำไรสุทธิในปี 2011 จะปรับตัวลดลงค่อนข้าง
มาก อย่างไรก็ตาม ด้านกระแสเงินสดยังคงแข็งแกร่ง ส่งผลให้สามารถจ่ายเงินปันผลได้เท่ากับปี
ที่ผ่านมาคิดเป็นผลตอบแทนจากเงินปันผล 7.2% ต่อปี โดยคาดจะจ่ายเงินปันผลงวด 1H11 ที่
0.55 บาท/หุ้น และคาดทั้งปี 2011 จะจ่าย 1.30 บาท/หุ้น ดังนั้น แนะนำ ถือลงทุนเพื่อรับเงินปัน
ผล โดยประเมินมูลค่าด้วยเงินปันผลตอบแทนราว 7% ได้ราคาเหมาะสมที่ 18.70 บาท

โบรกฯ แนะซื้อ KK ระบุ Div yield ปี 2554 กลับมาจูงใจอีกครั้งถึง 6.3% p.a. (จ่ายปีละ 2
ครั้ง)

บทวิเคราะห์ บล.เอเซียพลัส ระบุว่า ราคาหุ้น KK ปรับตัวลดลงมากในช่วงที่ผ่านมา จนมี
PER ปี 2554 เหลือเพียง 6.3 เท่า (ต่ำสุดในรอบ 11 ปีที่ผ่านมา) และ PBV ที่ 0.9 เท่า อีกทั้ง
คาดการณ์ Div yield ปี 2554 ที่กลับมาจูงใจอีกครั้งถึง 6.3% p.a. (จ่ายปีละ 2 ครั้ง) โดยได้รับ
ผลกระทบจากปัจจัยลบของอุตสาหกรรมเช่าซื้อรถยนต์โดยรวมที่ชะลอตัว ทั้งที่ KK ถือเป็นผู้
ประกอบการในกลุ่มเช่าซื้อรถยนต์ที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบค่อนข้างต่ำกว่าคู่แข่งจากความได้
เปรียบดังกล่าวในข้างต้น ฝ่ายวิจัยจึงมีความเห็นว่าเป็นโอกาสที่ดีให้เข้าสะสมหุ้นอีกครั้งเพื่อรับผล
ประกอบการในช่วง 2H54 ที่คาดว่าจะกลับมาเติบโตอย่างโดดเด่นอีกครั้งตามการฟื้นตัวของ
อุตสาหกรรมเช่าซื้อรถยนต์ โดย Fair value ปี 2554 คือ 43.71 บาท (อิง PBV 1.26 เท่า คาด
การณ์ ROE ระยะยาวที่ 14%) ภายใต้คาดแนวโน้ม EPS ปี 2554-55 ที่ 10.7% yoy และ
11% yoy ตามลำดับ

ตารางรายชื่อหลักทรัพย์ที่นำมาใช้ในการคำนวณดัชนี SET High Dividend 30 Index
สำหรับการคำนวณดัชนี ระหว่าง 1 ก.ค. 2554 ถึง 31 ธ.ค. 2554

No. Sector Securities Name
1 ธุรกิจการเกษตร บริษัท จีเอฟพีที จำกัด (มหาชน)GFPT
2 ธุรกิจการเกษตร บริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน)STA
3 ธนาคาร ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) BBL
4 ธนาคาร ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน)KK
5 ธนาคาร บริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน)TCAP
6 ธนาคาร บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน)TISCO
7 วัสดุก่อสร้าง บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน)SCC
8 วัสดุก่อสร้าง บริษัท วนชัย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)VNG
9 ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ บริษัท ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส จำกัด (มหาชน)HANA
10 พลังงานและสาธารณูปโภค บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน)EGCO
11 พลังงานและสาธารณูปโภค บริษัท โกลว์ พลังงาน จำกัด (มหาชน)GLOW
12 พลังงานและสาธารณูปโภค บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)PTT
13 พลังงานและสาธารณูปโภค บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน)RATCH
14 พลังงานและสาธารณูปโภค บริษัท น้ำประปาไทย จำกัด (มหาชน)TTW
15 พลังงานและสาธารณูปโภค บริษัท ลานนารีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน)LANNA
16 อาหารและเครื่องดื่ม บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน)CPF
17 อาหารและเครื่องดื่ม บริษัท ไทยยูเนียน โฟรเซ่น โปรดักส์ จำกัด (มหาชน)
TUF
18 เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร บริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
SAMART
19 เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร บริษัท สามารถเทลคอม จำกัด (มหาชน)SAMTEL
20 เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด
(มหาชน)DTAC
21 เหมืองแร่ บริษัท ผาแดงอินดัสทรี จำกัด (มหาชน)PDI
22 บรรจุภัณฑ์ บริษัท เอ.เจ.พลาสท์ จำกัด (มหาชน) AJ
23 พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ บริษัท เอเชี่ยนพร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด
(มหาชน)AP
24 พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน)LPN
25 พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ บริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน)QH
26 พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ บริษัท เอสทีพี แอนด์ ไอ จำกัด (มหาชน)STPI
27 พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) SPALI
28 เหล็ก บริษัท เอ็ม.ซี.เอส.สตีล จำกัด (มหาชน)MCS
29 ขนส่งและโลจิสติกส์ บริษัท ทางด่วนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)BECL
30 ขนส่งและโลจิสติกส์ บริษัท พรีเชียส ชิพปิ้ง จำกัด (มหาชน)PSL

Replacement list for SETHD Index (Ranked Alphabetically by Sector)
1 ธนาคาร ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)SCB
2 พลังงานและสาธารณูปโภค บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน)BANPU
3 พลังงานและสาธารณูปโภค บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน)PTTEP
4 พลังงานและสาธารณูปโภค บริษัท สยามแก๊ส แอนด์ ปิโตรเคมีคัลส์ จำกัด (มหาชน)SGP
5 พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ บริษัท เหมราชพัฒนาที่ดิน จำกัด (มหาชน)HEMRAJ




เรียบเรียง โดย กานต์ธิดา หวานฉ่ำ
อีเมล์แสดงความคิดเห็น [email protected]




ที่มา อีไฟแนนซ์ไทย วันที่ 16/06/11 เวลา 7:39:01
รูปภาพ

SNC Former Club คลับสำหรับคนรัก SNC

http://www.facebook.com/#!/groups/392250234142165/
ภาพประจำตัวสมาชิก
1154
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 894
ผู้ติดตาม: 1

Re: ตลท. ดีเดย์ SET High Dividend 4 ก.ค. นี้

โพสต์ที่ 2

โพสต์

หลักเกณฑ์การคัดเลือกหลักทรัพย์ใน SET High Dividend 30 Index

(1) หลักเกณฑ์การคัดเลือกหลักทรัพย์ตามรอบการทบทวนรายชื่อ
(Periodic Review of Constituent Companies)
1. เป็นหลักทรัพย์ในกลุ่ม SET100 Index ที่ได้รับการคัดเลือกในรอบการทบทวนรายชื่อเดียวกัน

2. เป็นหลักทรัพย์ที่มีการจ่ายเงินปันผลอย่างต่อเนื่อง โดยพิจารณาจาก
2.1. มีการจ่ายปันผล (Cash Dividend) ต่อเนื่องกันอย่างน้อย 3 ปี
ในฐานะเป็นบริษัทจดทะเบียน
2.2. มีอัตราส่วนการจ่ายปันผลต่อกำไรสุทธิ (Dividend Payout Ratio)
ไม่เกินร้อยละ 85 ในแต่ละปี ย้อนหลัง 3 ปี

3. นำหลักทรัพย์ที่ผ่านการคัดเลือกมาจัดลำดับตามค่าเฉลี่ยอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล
(Dividend Yield) โดยหลักทรัพย์ในอันดับที่1 - 30 จะใช้ในการคำนวณดัชนีหุ้นปันผล (SET
High Dividend 30 Index) โดยมีอันดับที่ 31 - 35 เป็นรายชื่อหลักทรัพย์สำรอง

4. หากมีหลักทรัพย์ที่ผ่านเกณฑ์การคัดเลือกข้างต้นน้อยกว่า 35 หลักทรัพย์ ให้ดำเนินการตาม
ขั้นตอนตามลำดับ ต่อไปนี้
4.1. เพิ่มค่าอัตราส่วนการจ่ายปันผลต่อกำไรสุทธิ (Dividend Payout Ratio) จากเดิม
ไม่เกินร้อยละ 85 ของกำไรสุทธิ ขึ้น ครั้งละร้อยละ 5 แต่ไม่เกินร้อยละ 100
4.2. ลดจำนวนปีที่พิจารณาการจ่ายปันผลต่อเนื่อง จากเดิม 3 ปีย้อนหลัง ลดลงครั้งละ 1 ปี
ทั้งนี้ต้องไม่ต่ำกว่า 1 ปี
อนึ่ง เพื่อให้ได้หลักทรัพย์ครบตามจำนวนที่กำหนด ตลาดหลักทรัพย์ฯ อาจพิจารณาตาม
หลักเกณฑ์อื่นใด ที่คณะทำงานด้านดัชนีราคาหลักทรัพย์ฯ ตลาดหลักทรัพย์ฯ เห็นว่าเหมาะสม

5. หลักทรัพย์นั้นๆ จะต้องไม่มีเหตุใดเหตุหนึ่งดังต่อไปนี้
5.1. เป็นหลักทรัพย์ที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอนตามข้อกำหนดของตลาดหลักทรัพย์
5.2. เป็นหลักทรัพย์ที่จะเพิกถอนตัวเองออกในระยะเวลาอันใกล้
5.3. อยู่ในระหว่างถูกสั่งพักการซื้อขาย (SP) เป็นระยะเวลานาน
5.4. มีแนวโน้มที่จะถูกพักการซื้อขายเป็นระยะเวลานาน (เช่น 3 เดือน เนื่องจากไม่สามารถ
นำส่งงบการเงินได้ เป็นต้น)
SET High Dividend 30 Index (SETHD): Last update 14/06/2554 4 ของ 4

6. การทบทวนหลักทรัพย์จะกระทำทุก 6 เดือน ในช่วงเดือนมิถุนายน (สำหรับรายชื่อในครึ่งหลัง
ของปี) และช่วงเดือนธันวาคม (สำหรับรายชื่อในครึ่งแรกของปีถัดไป) โดยใช้ข้อมูลการจ่าย
เงินปันผลตามรอบบัญชีย้อนหลัง 3 ปี

(2) หลักเกณฑ์การพิจารณาการเปลี่ยนแปลงรายชื่อหลักทรัพย์ระหว่างรอบ
Ongoing Maintenance (between periodic review)

1. หลักทรัพย์เข้าจดทะเบียนใหม่ (New Issue) ไม่ถูกนำมาพิจารณาระหว่างรอบ

2. การควบรวมหรือการซื้อ-ขายกิจการ (Merger & Acquisition) การครอบงำกิจการ (Takeover)
หรือการปรับโครงสร้างการถือหลักทรัพย์ที่มีผลให้มีการเปลี่ยนโครงสร้างกิจการอย่างมี
นัยสำคัญ ให้ใช้หลักเกณฑ์เดียวกันกับการพิจารณาการเปลี่ยนแปลงรายชื่อหลักทรัพย์ของ
ดัชนี SET100

3. การนำหลักทรัพย์จากกลุ่มหลักทรัพย์สำรองมารวมคำนวณ SET High Dividend 30 Index
เมื่อมีการนำหลักทรัพย์ออกจากการคำนวณดัชนี ให้นำหลักทรัพย์ที่อยู่ในรายชื่อหลักทรัพย์
สำรองเข้าไปรวมในการคำนวณแทน โดยให้นำหลักทรัพย์สำรองอันดับที่สูงสุดที่ประกาศใน
รอบนั้นๆ มาแทนที่ และใช้ค่า Dividend Yield ที่กำหนดแล้วมาใช้คำนวณดัชนี
กรณีมีจำนวนหลักทรัพย์สำรองไม่เพียงพอในการนำเข้าไปรวมคำนวณแทน ให้เป็นดุลพินิจ
ของคณะทำงานด้านดัชนีราคาหลักทรัพย์ในการพิจารณาเพิ่มจำนวนหลักทรัพย์ให้ครบใน
กลุ่ม SET High Dividend 30 Index

4. หลักทรัพย์ที่ถูกห้ามการซื้อขายเป็นระยะเวลานาน
กรณีหลักทรัพย์ถูกสั่งห้ามการซื้อขาย (SP) ติดต่อกันเป็นระยะเวลาตั้งแต่ 20 วันทำการขึ้นไป
ตลาดหลักทรัพย์อาจพิจารณานำหลักทรัพย์ดังกล่าวออกจากการคำนวณ

http://www.set.or.th/th/products/index/ ... ule_Th.pdf
โพสต์โพสต์