พอดี เริ่ม สนใจหุ้น นะครับ เลยขอถามอะไรหน่อยครับ

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก
flukechan
Verified User
โพสต์: 7
ผู้ติดตาม: 0

พอดี เริ่ม สนใจหุ้น นะครับ เลยขอถามอะไรหน่อยครับ

โพสต์ที่ 1

โพสต์

พอดีเมื่อก่อน ลงทุน ในตราสาร หนี้ พันธบัตร และพวกเงินฝาก แล้วเห็นว่าดอกเบิ้ยมันน้อยเรื่อยๆ เลยเริ่มมาสนใจใน ตราสารทุน ตอนนี้ยังไม่ได้ลงทุนในพวกหุ้น ตั้งใจว่า ปลายปีนี้จะเริ่ม ลงทุนในพวกหุ้น ตอนนี้มาเริ่มศึกษา เลยอยากจะถามอะไรเกี่ยวกับรายละเอียดหน่อยครับ
1.เวลาหุ้นตก เพราะปัจจัยแวดล้อม ภายนอก เช่น การก่อม๊อบ หรือเรื่องการเมือง เราครวจะปล่อยหุ้นที่ถือไว้ก่อน แล้วรอให้เหตุการณ์สบงค่อยกลับมาซื้อดี หรือ ถือ หลัก VI เราไม่ครวสนใจปัจจัยพวกนั้น เพราะหุ้นมันกลับมาสู่ราคาที่แท้จริง ของมันเอง
2.เห็นบอกว่า ปัจจัยพื้นฐาน อันนี้คือ ดู งบการเงิน ดูหนี้สิน ทรัพย์สิน ดูเรโซ ดูกระแสเงินสด ดูผลประกอบการทำกำไร ดูผู้บริหาร ว่ามีความโปร่งใสแค่ไหน ประมาณนี้ใช่มั้ยครับ
3.เราจะรู้ได้ไง ว่าผู้บริหารมีความโปร่งใส มีคุณธรรม
4.ตอนที่ซ้อม ฝึกซื้อหุ้นด้วยเงินปลอม เราจะรู้ได้ไง ว่าหุ้นที่เราซื้อมันมาจากการวิเคราะห์ของเราที่ถูกต้อง เพราะ ตอนผมซ้อมด้วยเงินปลอม ซื้อหุ้น มา 5 ตัว วันแรก มีตัวเดิ๊ยวกำไร อีก 4 ตัว ขาดทุน แต่ผลรวมกำไรนิดหน่อย (ตอนนี้เขียวทุกตัว) มันให้ความรู้สึกว่า เหมือนเราที่กำไร มันไม่ใช่ฝีมือ แต่โชคดี เพราะ เศรษฐกิจ เริ่มฟื้นตัว มันก็เลย หุ้นขึ้น หุ้นที่ซื้อ มันมีเจ้าเข้ามา โบกเกอร์เชียร์ ทำให้ขึ้น ทั้งที่มันไม่น่าจะขึ้นเร็วขนาดนี้นะ แบบว่า อยากจะได้ฝืมือที่เก่งขึ้น ปลายปีจะได้ลงทุนของจริงได้นะครับ
o-bo-ja-ma
Verified User
โพสต์: 1601
ผู้ติดตาม: 0

Re: พอดี เริ่ม สนใจหุ้น นะครับ เลยขอถามอะไรหน่อยครับ

โพสต์ที่ 2

โพสต์

flukechan เขียน:พอดีเมื่อก่อน ลงทุน ในตราสาร หนี้ พันธบัตร และพวกเงินฝาก แล้วเห็นว่าดอกเบิ้ยมันน้อยเรื่อยๆ เลยเริ่มมาสนใจใน ตราสารทุน ตอนนี้ยังไม่ได้ลงทุนในพวกหุ้น ตั้งใจว่า ปลายปีนี้จะเริ่ม ลงทุนในพวกหุ้น ตอนนี้มาเริ่มศึกษา เลยอยากจะถามอะไรเกี่ยวกับรายละเอียดหน่อยครับ
1.เวลาหุ้นตก เพราะปัจจัยแวดล้อม ภายนอก เช่น การก่อม๊อบ หรือเรื่องการเมือง เราครวจะปล่อยหุ้นที่ถือไว้ก่อน แล้วรอให้เหตุการณ์สบงค่อยกลับมาซื้อดี หรือ ถือ หลัก VI เราไม่ครวสนใจปัจจัยพวกนั้น เพราะหุ้นมันกลับมาสู่ราคาที่แท้จริง ของมันเอง
1. การที่ปัจจัยแวดล้อมเปลี่ยน อย่างที่พี่กล่าวมาแล้ว พื้นฐานกับหุ้นเปลี่ยนไหมครับถ้าไม่เปลี่ยนอยู่เฉย ๆ ครับ
2.เห็นบอกว่า ปัจจัยพื้นฐาน อันนี้คือ ดู งบการเงิน ดูหนี้สิน ทรัพย์สิน ดูเรโซ ดูกระแสเงินสด ดูผลประกอบการทำกำไร ดูผู้บริหาร ว่ามีความโปร่งใสแค่ไหน ประมาณนี้ใช่มั้ยครับ
2. ใช่ครับ
3.เราจะรู้ได้ไง ว่าผู้บริหารมีความโปร่งใส มีคุณธรรม
3. อ่านให้มาก ๆ ครับใน web นี้ก็มีบอกไว้คร่าว ๆ
4.ตอนที่ซ้อม ฝึกซื้อหุ้นด้วยเงินปลอม เราจะรู้ได้ไง ว่าหุ้นที่เราซื้อมันมาจากการวิเคราะห์ของเราที่ถูกต้อง เพราะ ตอนผมซ้อมด้วยเงินปลอม ซื้อหุ้น มา 5 ตัว วันแรก มีตัวเดิ๊ยวกำไร อีก 4 ตัว ขาดทุน แต่ผลรวมกำไรนิดหน่อย (ตอนนี้เขียวทุกตัว) มันให้ความรู้สึกว่า เหมือนเราที่กำไร มันไม่ใช่ฝีมือ แต่โชคดี เพราะ เศรษฐกิจ เริ่มฟื้นตัว มันก็เลย หุ้นขึ้น หุ้นที่ซื้อ มันมีเจ้าเข้ามา โบกเกอร์เชียร์ ทำให้ขึ้น ทั้งที่มันไม่น่าจะขึ้นเร็วขนาดนี้นะ แบบว่า อยากจะได้ฝืมือที่เก่งขึ้น ปลายปีจะได้ลงทุนของจริงได้นะครับ
4.แล้วที่มันขึ้น ๆ ขึ้นด้วยเหตุผลที่เราคิดไว้ตอนแรกหรือเปล่าครับ ถ้าใช่ก็มาถูกทาง
Anti-Aircraft
Verified User
โพสต์: 807
ผู้ติดตาม: 0

Re: พอดี เริ่ม สนใจหุ้น นะครับ เลยขอถามอะไรหน่อยครับ

โพสต์ที่ 3

โพสต์

flukechan เขียน:4.ตอนที่ซ้อม ฝึกซื้อหุ้นด้วยเงินปลอม เราจะรู้ได้ไง ว่าหุ้นที่เราซื้อมันมาจากการวิเคราะห์ของเราที่ถูกต้อง เพราะ ตอนผมซ้อมด้วยเงินปลอม ซื้อหุ้น มา 5 ตัว วันแรก มีตัวเดิ๊ยวกำไร อีก 4 ตัว ขาดทุน แต่ผลรวมกำไรนิดหน่อย (ตอนนี้เขียวทุกตัว) มันให้ความรู้สึกว่า เหมือนเราที่กำไร มันไม่ใช่ฝีมือ แต่โชคดี เพราะ เศรษฐกิจ เริ่มฟื้นตัว มันก็เลย หุ้นขึ้น หุ้นที่ซื้อ มันมีเจ้าเข้ามา โบกเกอร์เชียร์ ทำให้ขึ้น ทั้งที่มันไม่น่าจะขึ้นเร็วขนาดนี้นะ แบบว่า อยากจะได้ฝืมือที่เก่งขึ้น ปลายปีจะได้ลงทุนของจริงได้นะครับ
1. การตัดสินผลใน 1 วันนั้นไม่ใช่การลงทุนแล้วล่ะครับ
2. ลองเล่าวิธีการวิเคราะห์ให้ฟังหน่อยได้ไหมครับ ไม่ต้องบอกชื่อหุ้นก็ได้

สุดท้าย ยินดีต้อนรับครับ :welcome:
อย่ายอมแพ้
flukechan
Verified User
โพสต์: 7
ผู้ติดตาม: 0

Flukechan

โพสต์ที่ 4

โพสต์

อืม ประมาณว่า ผมดูข่าว ก่อนในตอนแรก แล้วเห็นข่าวว่า รัฐบาลสนับสนุน โครงการอสังหาริทรัพย์ กับ รถยนต์ ไฮบรีด ผมก็เลือกกลุ่ม ธุรกิจ นี้ ว่ามันน่าจะเจริญเติบโต แล้วเลือกว่าในกลุ่มธุรกิจนี้ มีผลประกอบการเป็นอย่างไง มีกลยุทธ์ อย่างไงในธุรกิจ แล้วก็หุ้น ปตต มั้งครับ ที่มีข่าวลดเครคิต แต่เขาที่ดู มันผลประกอบการแย่กว่าปีที่แล้วหน่อย แต่ปัจจัยต่างๆไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง ผมก็เลยลองซื้อ ประมาณนี้แหละครับ วิเคราะห์ผิดพลาดยังไง ก็ขอคำชีแนะด้วยครับ
Anti-Aircraft
Verified User
โพสต์: 807
ผู้ติดตาม: 0

พอดี เริ่ม สนใจหุ้น นะครับ เลยขอถามอะไรหน่อยครับ

โพสต์ที่ 5

โพสต์

ผมเองยังใหม่เหมือนกัน คุยกันสนุกๆ แล้วกันนะครับ

การวิเคราะห์แนว VI

เริ่มจากนี่ครับ แบบ 56-1
http://capital.sec.or.th/webapp/corp_fi ... ntent_id=1
เป็นรายงานประจำปีของบริษัทตามฟอร์แมทที่ กลต. กำหนด
เนื้อหาภายในจะประกอบไปด้วยปัจจัยพื้นฐานคร่าวๆ ที่เราจำเป็นต้องรู้เกี่ยวกับการลงทุน บริษัทขายอะไร ขายให้ใคร มีความได้เปรียบเสียเปรียบอย่างไร มีปัจจัยเสี่ยงอะไรบ้าง ฯลฯ

ต่อไปก็งบการเงินครับ
http://capital.sec.or.th/webapp/corp_fi ... ntent_id=1
แสดงตัวเลขผลการดำเนินงานในอดีตของบริษัท ขาดทุนย่อยยับ, เติบโตอย่างต่อเนื่อง, จะเจ๊งไม่เจ๊งแหล่ ดูได้ที่นี่ครับ

หลังจากนั้นก็ทำการประเมินราคาที่เหมาะสม
...
เผอิญแหล่งข้อมูลถูกปิดใช้งานชั่วคราว ขออนุญาตด้นเองละกัน
http://www.thaivi.com/webboard/viewtopic.php?t=41963
ไว้คลังกระทู้คุณค่ากลับมาใช้ได้ ผมจะหาข้อมูลมาเพิ่มให้อีกนะครับ

การวิเคราะห์แนว VI ต้องผ่านขั้นตอนอย่างต่ำ 2 ขั้นดังนี้
1. ประเมินมูลค่า
2. ซื้อให้ได้ในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่า

ราคานั้นจะวิ่งเข้าหามูลค่าเสมอครับ เมื่อราคาวิ่งเข้าสู่มูลค่า เราจะขายทำกำไรหรือ ถือต่อเพื่อรับปันผลก็ได้ครับ

จุดชี้เป็นชี้ตายคือ หากเราไม่รู้ว่าหุ้นที่เราซื้อมีราคาเหมาะสมเท่าไร เราก็ไม่ควรซื้อครับ
อย่ายอมแพ้
flukechan
Verified User
โพสต์: 7
ผู้ติดตาม: 0

Flukechan

โพสต์ที่ 6

โพสต์

ขอบคุณ คุณ Anti-Aircraft สำหรับคำตอบครับแต่ขอถามอะไรโง่หน่อยนะครับ แบบยังไม่ค่อยเข้าใจ
1.เราจะประเมินมูลค่าทีแท้จริงของหุ้นได้ยังไงครับ
2.หุ้นในเมืองไทย มีต้ง 400 กว่าตัว เราจะคัดยังไงรึครับ ประมาณเลือกกลุ่มธุรกิจ ที่เราถนัดก่อน แล้วมาดู งบ อะไรประมาณนี้หรือเปล่าครับ
3.แล้วพวกข่าว เศรษฐกิจ การเมืองอะไรพวกนี้ เราดู(อ่าน) ไปทำไมรึครับ แบบว่า เห็นเท่าที่อ่านมา เขียนว่า VI จะไม่สนกระแสเงินสด หรือ สภาพเศรษฐกิจ เพราะ ราคามันจะวิ่งเข้าไปหามูลค่าที่แท้จริงเอง
Anti-Aircraft
Verified User
โพสต์: 807
ผู้ติดตาม: 0

พอดี เริ่ม สนใจหุ้น นะครับ เลยขอถามอะไรหน่อยครับ

โพสต์ที่ 7

โพสต์

เอิ๊กๆๆ ดีเลย พอดีวันนี้ผมว่างๆ (และแอบเซ็ง) กำลังหาเพื่อนคุยอยู่พอดี ขอด้นเองเลยละกัน

หุ้นและผลตอบแทน
• มีชาย 2 คน A, B ลงเงินคนละ 1,500 บาท ตั้งบริษัทแห่งหนึ่งชื่อ Some Company ใน วันที่ 1 ม.ค. 2552 เพื่อทำกิจการขายหนังสือ โดยซื้อสินค้าเป็นเงินสด และขายสินค้าเป็นเงินสด
• Some Company มีทุนจดทะเบียน 3,000 บาท โดย A, B ถือหุ้นคนละ 50 % นาย A จะเป็นผู้ทำงานในร้านขายหนังสือทุกอย่าง นาย B ลงเฉพาะเงิน งานไม่ต้องทำ นาย A ขอค่าแรงปีละ 300 บาท
• เงิน 3,000 บาทถูกนำไปใช้เช่าอาคาร 1,500 บาท โดยทำสัญญาเช่า 15 ปี ซื้อหนังสือมาขายใช้เงิน 1,000 บาท เหลือเงินสด 500 บาท
• ณ วันที่ 31 ธ.ค. 2552 บริษัททำยอดขายหนังสือได้ 1,500 บาท หักต้นทุนค่าหนังสือ 1,000 บาท และหักค่าแรงนาย A 300 บาท จะเหลือกำไรตกถึงผู้ถือหุ้น 200 บาท
• นาย A และ นาย B จึงได้รับเงินจำนวนดังกล่าวไปคนละ 50% ตามสัดส่วนการถือหุ้น เป็นจำนวนเงินคนละ 100 บาท เป็นเงินปันผล

ทำไมต้องมีการซื้อขายหุ้น
• วันดีคืนดีนาย B ก็ขอถอนทุนจากบริษัท
• นาย A เห็นว่า หากนาย B ถอนทุนออก บริษัทจะต้องปิด เพราะต้องขายสินทรัพย์ในการดำเนินธุรกิจ (ตอนนี้บริษัทเหลือเงินแค่ 500) จึงไม่ยอม และบอกให้นาย B หาผู้อื่นมาลงทุนแทน นาย B จึงประกาศขายหุ้น

หุ้นของนาย B ควรมีราคาเท่าไรได้บ้าง
ก. 1,000 บาท เพราะนาย B ลงเงินไป 1,000 บาท และบริษัทไม่มีกำไรสะสม ก็ควรขายได้แค่ 1,000 บาท
ข. มากกว่า 1,000 บาท เพราะหากกิจการดำเนินงานได้ดีเช่นเดิมทุกปี ผู้ถือหุ้นจะได้รับเงินปันผลปีละ 100 บาท ไปเรื่อยๆ จนกว่าบริษัทจะปิด
ค. น้อยกว่า 1,000 บาท เพราะกิจการอาจประสบปัญหา และมีการขาดทุน

ต่อรองกันด้วยวิจารณญาณ
• นาย C มาขอซื้อหุ้นนาย B 1,000 บาท (bid) ให้เหตุผลว่านาย B ลงทุนไปแค่ 1,000 บาท ก็ควรขายหุ้นในราคา 1,000 บาท
• นาย B ไม่ขาย ให้เหตุผลว่าร้านหนังสือจะยังทำกำไรปีละ 100 ได้อย่างน้อย 15 ปี (ตามสัญญาเช่า) ผู้ซื้อหุ้นจะได้รับเงินปันผลทั้งหมด 1,500 บาท จึงตั้งราคาขายไว้ที่ 1,500 บาท (offer)
• นาย D มาขอซื้อหุ้นนาย B เช่นกัน แต่ได้กล่าวว่าถ้าตนซื้อหุ้นที่ราคา 1,500 บาท พอผ่านไป 15 ปี  ตนจะแค่เท่าทุนเท่านั้น แล้วจะซื้อไปทำไม จึงขอซื้อในราคา 1,100 บาท เพื่อที่จะได้มีกำไร 400 บาท (UPSIDE) เมื่อกิจการดำเนินงานครบ 15 ปี
• ไม่มีใครเสนอราคาเพิ่ม นาย B จึงขายให้นาย D เพราะให้ราคามากกว่า
• ปัจจุบันหุ้นของ Some Company จึงมีราคาซื้อขายที่ 1,100 บาท โดยอ้างอิงจากราคาซื้อขายล่าสุด
อย่ายอมแพ้
Anti-Aircraft
Verified User
โพสต์: 807
ผู้ติดตาม: 0

พอดี เริ่ม สนใจหุ้น นะครับ เลยขอถามอะไรหน่อยครับ

โพสต์ที่ 8

โพสต์

การประเมินมูลค่าในทางปฏิบัติ
• วิธีในข้อ ก. เรียกว่ามูลค่าตามบัญชี คือนำส่วนทุนทั้งหมดหารด้วยจำนวนหุ้น ก็จะได้ราคาหุ้น แต่ทางปฏิบัติมักไม่ค่อยมีบริษัทดีๆ ซื้อขายกันที่ราคาตามบัญชี (ใครจะยอมขาย) หากพบบริษัทที่ดีขายในราคาต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี ก็เป็นโอกาสให้เราทำกำไร ซึ่งโอกาสเหล่านี้มักจะมาในช่วงที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ หรือตลาดร่วงหนักๆ เท่านั้น
• วิธีในข้อ ข. และ ค. เป็นวิธีในทางปฏิบัติ ก็คือ ราคาหุ้นควรจะมีค่าไม่เกิน ผลตอบแทนทั้งหมดที่บริษัททำได้จนกว่าบริษัทจะปิดตัวลง ซึ่งทั้งนี้ไม่มีใครรู้อนาคตที่แน่นอน จึงต้องมีการ วิเคราะห์ ซึ่งวิธีที่ง่ายสำหรับมือใหม่คือการหาระยะเวลาคืนทุนที่เหมาะสม

การหาระยะเวลาคืนทุน (P/E ratio)
• P คือ Price หรือราคาหุ้น
• E คือ Earning Per Share หรือกำไรต่อหุ้น
• จากตัวอย่าง หุ้น Some Company มีราคา 1,100 บาท ปีล่าสุดมีกำไรหุ้น ละ 100 บาท จึงมีค่า P/E = 1,100/100 = 11 เท่า หรือมีระยะเวลาคืนทุน 11 ปี
อย่ายอมแพ้
dipers
Verified User
โพสต์: 3
ผู้ติดตาม: 0

พอดี เริ่ม สนใจหุ้น นะครับ เลยขอถามอะไรหน่อยครับ

โพสต์ที่ 9

โพสต์

มือใหม่เหมือกันครับ ขอตามอ่านกระทู้เก่าๆ ก่อนครับ...รูปภาพ
Anti-Aircraft
Verified User
โพสต์: 807
ผู้ติดตาม: 0

พอดี เริ่ม สนใจหุ้น นะครับ เลยขอถามอะไรหน่อยครับ

โพสต์ที่ 10

โพสต์

ระยะเวลาคืนทุนเท่าไรถึงจะเหมาะสม
• ระยะเวลาคืนทุนที่เหมาะสม จะแตกต่างกันไปตามประเภทของธุรกิจและความเสี่ยง
• ธุรกิจที่เสี่ยงมาก มีความผันผวน หรือมีความไม่แน่นอนสูง ควรจะมีระยะเวลาคืนทุนที่น้อยเพื่อชดเชยความเสี่ยง หรือซื้อขายกันที่ PE ต่ำ
• ธุรกิจที่เสี่ยงมาก มีความผันผวน หรือมีความไม่แน่นอนสูง สามารถมีระยะเวลาคืนทุนที่มากได้ หรือซื้อขายกันที่ PE สูง

ตัวอย่าง PE เหมาะสม (สมมติแบบสุดโต่ง)
• เงินฝากที่มีอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1 ผลตอบแทนจะคืนทุนในเวลา 100 ปี แต่ก็ยังมีคนไปฝาก เพราะมีความปลอดภัยสูงมาก
• หวยใบละ 100 ถ้าถูกรางวัลจะได้เงิน 1 ล้าน ซึ่งจะคืนทุนและได้กำไรมหาศาลในชั่วพริบตา แต่มีความเสี่ยงต่อการสูญเสียเงินต้นสูงมากๆๆๆๆ ก็ยังมือคนซื้อ เพราะผลตอบแทนยั่วยวนมาก
อย่ายอมแพ้
nanajung99
Verified User
โพสต์: 60
ผู้ติดตาม: 0

พอดี เริ่ม สนใจหุ้น นะครับ เลยขอถามอะไรหน่อยครับ

โพสต์ที่ 11

โพสต์

ขอบคุณครับ ผมเด็กใหม่ขอเข้ามาศึกษาด้วยคน

ขอถามพี่ Anti-Aircraft ครับ
ผมงงเหมือนกันในตลาดหุ้นเรามีหุ้นมากกว่า 500 ตัว ผมอยากถามดังนี้ครับ

1. ผมควรเลือกหุ้นในอุตสาหกรรมที่ผมเข้าใจหรือ
2. เลือกหุ้น ตาม pe ตำกว่า 10 และp/bv ตำกว่า 2

พอดีผมยังจับทางไม่ถูกว่าจะเริ่มตรงไหนดีครับ
Anti-Aircraft
Verified User
โพสต์: 807
ผู้ติดตาม: 0

พอดี เริ่ม สนใจหุ้น นะครับ เลยขอถามอะไรหน่อยครับ

โพสต์ที่ 12

โพสต์

ธุรกิจที่คุณจะซื้อควรมี PE เหมาะสมเท่าไร
ขออัญเชิญความรู้จากท่านอาจารย์ นิเวศน์
วิเคราะห์หุ้นแบบ VI

โลกในมุมมองของ Value Investor : ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร กรุงเทพธุรกิจ วันอังคารที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2552

นักลงทุนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะคนที่บริหารกองทุนรวม ที่ต้องลงทุนซื้อหุ้นจำนวนมาก ต่างก็อาศัยบทวิเคราะห์หุ้นของนักวิเคราะห์หุ้นมืออาชีพ แต่ผมเองแทบไม่ดูบทวิเคราะห์เหล่านั้นเลย เหตุผลก็เพราะวิธีการลงทุนของผมนั้น เป็นการลงทุน "ซื้อธุรกิจ" ซึ่งเป็นการลงทุนระยะยาว อย่างน้อยก็ 3-5 ปี ขึ้นไป ซึ่งไม่มีบทวิเคราะห์ไหนทำ

บทวิเคราะห์ของนักวิเคราะห์นั้น ส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมด มองไปที่ผลประกอบการอย่างมากก็ 1-2 ปีข้างหน้า ดังนั้น พวกเขาก็มักจะดูว่าบริษัทจะมีกำไรเท่าไรอิงจากผลประกอบการในปีปัจจุบัน โดยนำเอาภาวะของเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมมาเป็นตัวประกอบ

ส่วนผมเอง ผมจะสนใจในด้านของ "โครงสร้าง" ซึ่งเป็นเรื่องที่ถาวรกว่าและไม่ค่อยจะขึ้นกับภาวะแวดล้อมที่จะปรับเปลี่ยน ไปเรื่อยๆ ซึ่งโดยนัยนี้ ผมจึงไม่ค่อยสนใจภาวะเศรษฐกิจที่มีขึ้นมีลง แต่ผมจะสนใจโครงสร้างของอุตสาหกรรมว่า ในธุรกิจมีการแข่งขันกันอย่างไร สนใจว่าบริษัทมีจุดเด่นหรือจุดอ่อนอย่างไร ใครคือ "ผู้ชนะ" หรือจะเป็นผู้ชนะในการแข่งขัน

การวิเคราะห์หุ้นแต่ละตัวนั้น แน่นอน จะต้องดูรายละเอียดของแต่ละบริษัท ซึ่งมี "โครงสร้าง" และข้อมูลของธุรกิจบางอย่าง ที่เป็นตัวบอกว่า เรากำลังเจอธุรกิจที่ดีหรือไม่ดีได้ ข้อมูลเหล่านี้ เราสามารถนำมาให้คะแนน เพื่อที่จะสรุปว่าบริษัทที่เราดูอยู่เป็นอย่างไร ลองมาดูรายการที่สำคัญๆ

ข้อมูลตัวแรก คือ กำไรต่อส่วนของผู้ถือหุ้นหรือ ROE นี่คือข้อมูลที่ดูง่ายและมีประสิทธิภาพสูง บริษัทที่มี ROE สูงคือบริษัทที่ดี ยิ่งสูงก็ยิ่งดี แต่ต้องดูว่าสูงต่อเนื่องยาวนานเป็นปกติ ไม่ใช่สูงแค่ปีสองปี หรือในยามที่อุตสาหกรรมกำลังเป็นขาขึ้น หลักเกณฑ์ง่ายๆ ในการให้คะแนน ก็คือ ถ้าบริษัทมี ROE ตั้งแต่ 15% ขึ้นไป เราก็ให้คะแนน บวกหนึ่ง ถ้า ROE ตั้งแต่ 10-15 ให้คะแนนเท่ากับศูนย์ ถ้า ROE ต่ำกว่า 10% ลงมาให้คะแนนติดลบหนึ่ง คะแนนที่ได้นี้ จะเก็บไว้รวมกับคะแนนของข้อมูลตัวต่อไป เพื่อหาคะแนนรวมของบริษัท

ข้อมูลตัวที่สอง คือ กระแสเงินสดของกิจการ ถ้ากิจการขายสินค้าแล้ว ได้เป็นเงินสดในขณะที่เวลาซื้อสินค้าจ่ายเป็นเงินเชื่อ กระแสเงินสดของกิจการก็จะดี ความจำเป็นต้องระดมเงินมาใช้จากภายนอก เช่น การกู้เงิน หรือออกหุ้น ก็จะน้อย และจะเป็นผลดีต่อบริษัท

เกณฑ์แบบง่ายๆ ก็คือ ถ้าบริษัทมีเจ้าหนี้การค้ามากกว่าลูกหนี้การค้ามาก เช่น ในกรณีของผู้ค้าปลีก หรือบริษัทที่ขายให้กับผู้บริโภคโดยตรง ซึ่งทำให้กระแสเงินสดของบริษัทดี ให้คะแนน บวกหนึ่ง ถ้าเจ้าหนี้และลูกหนี้พอๆ กันเช่น ในกรณีของโรงงานผู้ผลิตจำนวนมาก แบบนี้ให้คะแนนศูนย์ ในกรณีของบริษัทที่มีลูกหนี้การค้ามาก แต่มีเจ้าหนี้การค้าน้อย นั่นคือคนที่ขายสินค้าเป็นเงินเชื่อแต่ต้องจ่ายค่าสินค้าหรือวัตถุดิบในการ ผลิตเป็นเงินสด เช่น ผู้ค้าส่งที่นำสินค้ามาจากต่างประเทศ แบบนี้ก็ให้คะแนน ลบหนึ่ง

ข้อมูลตัวที่สาม ซึ่งผมคิดว่าค่อนข้างสำคัญ ก็คือ ความสามารถในการปรับราคาสินค้าตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ถ้าบริษัทสามารถปรับราคาได้ค่อนข้างจะเร็วหรือทันที ความเสี่ยงที่บริษัทอาจจะขาดทุนจากสต็อกสินค้าก็ไม่มี และจะทำให้สามารถรักษาระดับของกำไรได้ค่อนข้างแน่นอน บริษัทที่มีลักษณะของธุรกิจแบบนี้ มักจะมีอำนาจทางการตลาดสูง เราให้คะแนน บวกหนึ่ง

บริษัทที่สามารถปรับราคาได้แต่ต้องใช้เวลาพอสมควร เช่น ภายใน 3 เดือน แบบนี้ให้คะแนนศูนย์ นี่คือบริษัททั่วๆ ไป ที่มักไม่สามารถส่งผ่านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นให้แก่ผู้ซื้อได้ทันที เพราะมีการแข่งขันทางธุรกิจสูง บริษัทที่ไม่มีอำนาจทางการตลาดเลย และเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ ที่บริษัทไม่สามารถกำหนดราคาได้เลย เช่น ราคาน้ำมัน ถ่านหิน เหล็ก และผลิตผลทางการเกษตรต่างๆ แบบนี้เราให้คะแนน ติดลบหนึ่ง

ข้อมูลตัวที่สี่ บริษัทที่เป็น Dominant Firm คือมีขนาดใหญ่กว่าอันดับสองมาก มักจะมีความได้เปรียบในหลายๆ ด้าน เฉพาะอย่างยิ่งทางด้านของต้นทุน ดังนั้น เราให้คะแนน บวกหนึ่ง บริษัทตั้งแต่อันดับหนึ่งแต่ไม่ใช่ Dominant Firm จนถึงอันดับประมาณ 3 ของอุตสาหกรรม ให้คะแนนศูนย์ บริษัทที่มีอันดับหลังจากนั้นให้คะแนน ติดลบหนึ่ง ถ้าเราพิสูจน์หรือเชื่อได้ว่าขนาดของกิจการไม่ได้มีผลต่อต้นทุน หรือความได้เปรียบอย่างอื่นในการแข่งขัน เราก็ให้คะแนนศูนย์กับทุกบริษัท

ข้อมูลตัวที่ห้า คือข้อมูลเกี่ยวกับการลงทุนของบริษัท กิจการบางแห่งเป็นกิจการที่ขยายงานได้โดย "ไม่ต้องลงทุน" นี่คือกิจการที่ใช้หรือต้องลงทุนใน อาคาร อุปกรณ์ เครื่องจักร และเงินทุนหมุนเวียนของตนเองน้อย และภายในเวลาเพียง 2-3 ปี ก็ได้เงินคืนมาหมด เช่น กิจการค้าปลีกที่อาศัยการเช่าสถานที่เปิดร้านค้าเป็นหลัก

กิจการแบบนี้ เป็นกิจการที่ดีเพราะจะสามารถขยายงานไปได้เรื่อยๆ โดยไม่ต้องกู้หรือเพิ่มทุน ทำให้สามารถจ่ายปันผลได้สูง แบบนี้ให้คะแนน บวกหนึ่ง กิจการที่เวลาขยายงานต้องลงทุนสูงพอสมควร เช่น โรงงานที่ผลิตสินค้าธรรมดาๆ ที่ไม่ต้องอาศัยเทคโนโลยีมากนัก เช่น ผลิตอาหารหรือเครื่องดื่ม หรือผลิตไฟฟ้าหรือน้ำประปา แบบนี้ให้คะแนน ศูนย์ กิจการที่เป็นโรงงานที่ซับซ้อนและเทคโนโลยี มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปเร็ว ทำให้ต้องอัพเกรดโดยการลงทุนอุปกรณ์ใหม่ๆ อยู่เรื่อยๆ แบบนี้ให้คะแนน ลบหนึ่ง

ข้อมูลตัวสุดท้ายที่ผมจะพูดถึงที่เป็นข้อมูลสำคัญ ก็คือ การเจริญเติบโต กิจการที่โตเร็ว นั่นคือ ในระยะยาวโตเร็วกว่าการเติบโตของเศรษฐกิจ หรือ GDP ตั้งแต่ 3 เท่าขึ้นไป นั่นคือยอดขายโตประมาณปีละ 15% ให้คะแนน บวกหนึ่ง ยอดขายโตตั้งแต่ 5-15% ต่อปีโดยเฉลี่ยให้คะแนน ศูนย์ ยอดขายโตต่ำกว่า 5% ต่อปีในระยะยาวให้คะแนน ลบหนึ่ง การเติบโตของยอดขายที่ว่านี้ ต้องเป็นการเติบโตแบบทบต้นและระยะยาวตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป ซึ่งทำได้ไม่ง่ายนัก

รวมคะแนนทั้งหมดของบริษัท ที่เราวิเคราะห์ก็จะได้คะแนนที่อาจจะเป็นบวก ลบ หรือเป็น ศูนย์ บริษัทที่ได้คะแนนสูงสุดจะได้ บวก 6 คะแนน ต่ำสุดก็จะได้ ลบ 6 คะแนน ซึ่งคงหาได้ยากพอควร เอาตัวเลขที่ได้บวกด้วย 10 ก็จะได้ค่า PE สูงสุดที่เราจะซื้อหุ้นตัวนั้น

นั่นแปลว่า บริษัทที่ดีที่สุดได้คะแนนสูงสุดเราจะซื้อต่อเมื่อ PE ไม่เกิน 16 เท่า บริษัทธรรมดาๆ ที่คะแนนไม่บวกหรือลบเราก็จะซื้อต่อเมื่อ PE ไม่เกิน 10 เท่า และบริษัทที่แย่มากที่สุดนั้น เราไม่ควรซื้อที่ PE เกิน 4 เท่า และทั้งหมดนี้ก็คือวิธีวิเคราะห์และซื้อหุ้นแบบ VI เวอร์ชั่นหนึ่ง ที่หยาบๆ และคิดในใจได้
อย่ายอมแพ้
nanajung99
Verified User
โพสต์: 60
ผู้ติดตาม: 0

พอดี เริ่ม สนใจหุ้น นะครับ เลยขอถามอะไรหน่อยครับ

โพสต์ที่ 13

โพสต์

ขอบคุณครับ
พี่ Anti-Aircraft ช่วยแนะหนังสือที่ใช้อ่านเพื่อหามุลค่าที่แท้จริง
ของหุ้นให้หน่อยได้ไหมครับ

ผมได้อ่าน ตีแตก การลงทุนเพื่อชิวิต การเล่นหุ้นในภาวะวิกฤต
แล้วยังหามุลค่าที่แท้จริงของหุ้นไม่เป็นเลยครับ
Anti-Aircraft
Verified User
โพสต์: 807
ผู้ติดตาม: 0

พอดี เริ่ม สนใจหุ้น นะครับ เลยขอถามอะไรหน่อยครับ

โพสต์ที่ 14

โพสต์

ประมาณกำไรในอนาคตของบริษัท
• การซื้อกิจการเราต้องการซื้อผลตอบแทนในอนาคต ไม่ใช่อดีต
• บริษัทที่เราคาดเดาอนาคตไม่ได้อย่าไปซื้อ
• เราไม่จำเป็นต้องคาดเดากำไรให้ได้เป๊ะๆ แค่ประมาณคร่าวเป็นช่วงก็พอใช้ได้
• ประมาณบนหลักเหตุผล มีหลักฐาน และสมมติฐานรองรับ อย่ามั่ว
• ประมาณเท่าที่ข้อมูลเรามี จะ 1 ปี 2 ปี หรือ 20 ปีก็ได้ ถ้าเรามีเหตุผลที่ดี

จะคาดเดาอนาคตได้อย่างไร
• ถ้ามั่นใจว่าบริษัทมีคุณภาพที่ดีพอก็ใช้กำไรในปัจจุบัน หรือค่าเฉลี่ยผลกำไรในอดีตซัก 4-5 ปี ก็ได้ เบน เกรแฮม ก็ใช้วิธีนี้บ้าง เพราะเขาเกลียดการคาดเดาอนาคต (แต่ปกติแกจะใช้วิธีมูลค่าทางบัญชี)  แต่วิธีนี้ปกติจะไม่ค่อยได้ผล เพราะราคาหุ้นมักสะท้อนกำไรในอดีตไปหมดแล้ว แต่หากไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง ก็ใช้แบบนี้ไปก่อน
• ประมาณการจากการให้ข่าวของผู้บริหาร แนวโน้มเศรษฐกิจ  ข่าวธุรกิจ หรือแบบ 56-1
• ข่าวต้องเชื่อถือได้ มีแหล่งข่าว มีเหตุผล มีความเป็นไปได้ พอสมควร
• การวิเคราะห์ความน่าเชื่อถือของข่าว ต้องพอมีความรู้เข้าใจธุรกิจที่ลงทุนพอสมควร ยิ่งศึกษาเยอะ ก็ยิ่งแม่นยำ
• ราคาเป้าหมา่ยในบทวิเคราะห์ ไม่จัดเป็นข่าว เชื่อถือไม่ได้ เพราะเปลี่ยนแปลงบ่อยเกินไป
• คำว่า "จ้าวจะลากไปที่..." ไม่ใช่ข่าว อยากเป็นเหยื่อก็ลองดู

หาราคาเป้าหมาย
• PE ที่เหมาะสม x กำไรคาดการณ์ในอนาคต สามารถใช้เป็นราคาเป้าหมายคร่าวๆ ได้
• ไม่มีทางที่ทุกคนจะคิดราคาเป้าหมายได้เท่ากัน ใครมีความรู้มากกว่า เข้าใจธุรกิจได้ดีกว่า ก็จะคาดการณ์ได้แม่นยำกว่า
• ซื้อในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าเหมาะสมให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะส่วนต่างนั้นแหละจะเป็นกำไรของเรา
• เบน เกรแฮม เรียกหลักการนี้ว่า Margin of safety หรือ "ส่วนเผื่อความปลอดภัย"
• ท่องเอาไว้ว่า "Margin of safety ทำให้การคาดเดาอนาคตอย่างแม่นยำเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น"
อย่ายอมแพ้
Anti-Aircraft
Verified User
โพสต์: 807
ผู้ติดตาม: 0

พอดี เริ่ม สนใจหุ้น นะครับ เลยขอถามอะไรหน่อยครับ

โพสต์ที่ 15

โพสต์

หนังสือเกี่ยวกับการประเมินมูลค่าที่น่าสนใจ
http://www.thaivi.com/webboard/viewtopi ... sc&start=0
http://www.thaivi.com/webboard/viewtopic.php?t=18988

พอดีเมื่อเช้าห้องนี้มันปิด ผมเบื่อๆ เลยมาคุยเล่นแก้เซ็ง สำหรับใครที่ยังไม่เบื่อ เชิญหาความรู้จากเซียนตัวจริงได้ที่นี่
http://www.thaivi.com/webboard/viewforum.php?f=35

ผมไปล่ะ ฟิ้ววว...
อย่ายอมแพ้
Mondsea
Verified User
โพสต์: 3
ผู้ติดตาม: 0

พอดี เริ่ม สนใจหุ้น นะครับ เลยขอถามอะไรหน่อยครับ

โพสต์ที่ 16

โพสต์

พี่ Anti-Aircraft อุตส่าห์ใจดี  ตอบกระจ่างมาก  คนเข้ามาอ่านใหม่อย่างผมได้อานิสงค์ไปด้วยเลย

ขอบคุณครับ  :P
~~Small bee in big world~~
noooon010
Verified User
โพสต์: 2712
ผู้ติดตาม: 2

Re: พอดี เริ่ม สนใจหุ้น นะครับ เลยขอถามอะไรหน่อยครับ

โพสต์ที่ 17

โพสต์

มาช่วยแจมจ้า ^^
flukechan เขียน:พอดีเมื่อก่อน ลงทุน ในตราสาร หนี้ พันธบัตร และพวกเงินฝาก แล้วเห็นว่าดอกเบิ้ยมันน้อยเรื่อยๆ เลยเริ่มมาสนใจใน ตราสารทุน ตอนนี้ยังไม่ได้ลงทุนในพวกหุ้น ตั้งใจว่า ปลายปีนี้จะเริ่ม ลงทุนในพวกหุ้น ตอนนี้มาเริ่มศึกษา เลยอยากจะถามอะไรเกี่ยวกับรายละเอียดหน่อยครับ
1.เวลาหุ้นตก เพราะปัจจัยแวดล้อม ภายนอก เช่น การก่อม๊อบ หรือเรื่องการเมือง เราครวจะปล่อยหุ้นที่ถือไว้ก่อน แล้วรอให้เหตุการณ์สบงค่อยกลับมาซื้อดี หรือ ถือ หลัก VI เราไม่ครวสนใจปัจจัยพวกนั้น เพราะหุ้นมันกลับมาสู่ราคาที่แท้จริง ของมันเอง

บางครั้งเราไม่ทราบว่า เหตุการณ์เหล่านั้นจะเป็นเช่นไร
ส่วนใหญ่ เหตุการณ์ทางการเมือง พอจบแล้วหุ้นมักจะฟื้นขึ้นมา แต่ก็ไม่แน่เสมอไปครับ

จริงๆเราก็ไม่ทราบว่าเมื่อไหร่เหตุวุ่นวายเหล่านั้นจะหยุด

ส่วนใหญ่ก็อยากขายก่อน(ให้ได้ราคา)
แล้วกลับไปซื้อต่ำๆ

แต่จริงๆ ไม่มีใครทราบได้ว่า จุดสิ้นสุดนั้นเมื่อไหร่

และหลายครั้งที่เราพร้อมใจกันหลายๆท่าน ขาย ณ จุดใกล้ ต่ำสุด ครับ

ถ้ามีเงินสดมากพอ
และพื้นฐานกิจการไม่เปลี่ยนแปลงไปอย่างถาวร

ผมว่า เรารอให้มี Margin of safety ที่เราพอใจ
แล้วจะซื้อทีเดียว

หรือซื้อแบบโยนหินถามทาง (ซื้อทีละหน่อย) ก็ได้นะครับผม


2.เห็นบอกว่า ปัจจัยพื้นฐาน อันนี้คือ ดู งบการเงิน ดูหนี้สิน ทรัพย์สิน ดูเรโซ ดูกระแสเงินสด ดูผลประกอบการทำกำไร ดูผู้บริหาร ว่ามีความโปร่งใสแค่ไหน ประมาณนี้ใช่มั้ยครับ

อย่าลืมทำความเข้าใจกับบริษัท และอัตราการทำกำไรในอนาคตด้วยนะครับ
เพราะหลายครั้ง สิ่งที่เรากำลังดูอยู่
ไม่ได้แสดงถึงสิ่งที่จะเกิดในอนาคตครับ


3.เราจะรู้ได้ไง ว่าผู้บริหารมีความโปร่งใส มีคุณธรรม

มองคนนั้นมองยาก
ส่วนใหญ่ ตัวผมเองก็สังเกตจากการให้สัมภาษณ์ ให้ข่าว
ถ้าเค้าเคยทำอะไรไม่น่าไว้วางใจ
เราก็จดจำไว้

แล้วไปตรองดูว่าจะให้เค้ากู้เงินเราไหม

ผมหมายถึงการซื้อหุ้นเค้านะครับ
ถ้าคิดเป็น เราให้เค้ากู้เงินลงทุน แทนที่จะคิดว่า เราไปซื้อหุ้นเค้า

เราจะยอมให้เค้ากู้เงินเราไปทำกิจการ+ ลงทุนไหมครับ

ตัวเราเองครับ ที่พอจะตอบได้

ผมว่า โอกาสยากเหมือนกันในการเจอ ผู้บริหาร
และเวลาเจอ ก็มีหลายครั้งที่เราไม่สามารถทราบได้ว่า เค้าเป็นอย่างไรครับ


4.ตอนที่ซ้อม ฝึกซื้อหุ้นด้วยเงินปลอม เราจะรู้ได้ไง ว่าหุ้นที่เราซื้อมันมาจากการวิเคราะห์ของเราที่ถูกต้อง เพราะ ตอนผมซ้อมด้วยเงินปลอม ซื้อหุ้น มา 5 ตัว วันแรก มีตัวเดิ๊ยวกำไร อีก 4 ตัว ขาดทุน แต่ผลรวมกำไรนิดหน่อย (ตอนนี้เขียวทุกตัว) มันให้ความรู้สึกว่า เหมือนเราที่กำไร มันไม่ใช่ฝีมือ แต่โชคดี เพราะ เศรษฐกิจ เริ่มฟื้นตัว มันก็เลย หุ้นขึ้น หุ้นที่ซื้อ มันมีเจ้าเข้ามา โบกเกอร์เชียร์ ทำให้ขึ้น ทั้งที่มันไม่น่าจะขึ้นเร็วขนาดนี้นะ แบบว่า อยากจะได้ฝืมือที่เก่งขึ้น ปลายปีจะได้ลงทุนของจริงได้นะครับ
การซื้อในใจนั้น ถ้าเราเรียนรู้สิ่งที่เกิดขึ้นกับจิตใจเรา เช่นเวลาเราโลภ
เรากลัว เรารู้สึกแบบนั้น เราทำอย่างไร

หุ้นตกมา มีคนให้ข่าวร้ายๆ (เหมือนหาเหตุ มาใส่ผลที่เกิด)
เราจะทำอย่างไร

ผมว่า ไม่ว่าเป็นการใช้เงินจริง หรือลงทุนในใจ
ถ้าเราอยากศึกษาการลงทุนขณะนั้น
เราสามารถทำได้ครับ

อย่าลืมจดบันทึกไว้ด้วยนะครับว่า ตอนนั้นเราซื้อ เราขาย เราอยู่เฉยๆ
เพราะเหตุใด

แล้วเราจะรู้จักตัวของเรามากขึ้นครับ

ราคาหุ้นต้องใช้เวลาสักระยะ กว่าจะแสดงมูลค่าที่แท้จริงครับ
กำหนดระยะเวลาลงทุนให้ยาวสักนิด (อย่างน้อยก็สัก 2 - 3 เดือน)

peter lynch ยังบอกว่า ต้องรอเป็น 1 - 2 ปี เลยครับ กว่าราคาหุ้นจะสะท้อนความเป็นจริง

ระยะสั้นๆ ไม่มีใครเดาตลอดได้ถูกต้อง 100% ครับ

มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
 :D
อย่าลืมให้เวลากับครอบครัว และสังคมรอบๆข้างของคุณนะครับ

มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม


นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
noooon010
Verified User
โพสต์: 2712
ผู้ติดตาม: 2

Re: พอดี เริ่ม สนใจหุ้น นะครับ เลยขอถามอะไรหน่อยครับ

โพสต์ที่ 18

โพสต์

flukechan เขียน:3.เราจะรู้ได้ไง ว่าผู้บริหารมีความโปร่งใส มีคุณธรรม
วันนี้ผมอ่านข่าว ไปเจอว่า ผู้บริหารบอกว่ากำไรจะพุ่ง
แล้วไปๆมาๆ ผ่านมา 2 ปี
กำไรพุ่งลง บางปีขาดทุน
แต่ยังโม้ บอกอนาคตมาแน่ๆ

แบบนี้ ผมไม่ให้เค้ายืมเงินครับ

โดยความเห็นส่วนตัว ผมชอบผู้บริหารที่ไม่ค่อยให้ข่าว
แต่ตอบคำถามตามความเป็นจริง ไม่โม้จนเกินไปครับ

ผมว่า ผู้บริหารที่มีธรรมาภิบาล เราสามารถหาได้นะครับ :D
อย่าลืมให้เวลากับครอบครัว และสังคมรอบๆข้างของคุณนะครับ

มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม


นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
Warantact
Verified User
โพสต์: 1160
ผู้ติดตาม: 0

พอดี เริ่ม สนใจหุ้น นะครับ เลยขอถามอะไรหน่อยครับ

โพสต์ที่ 19

โพสต์

ท่าน anti aircraft ตอบได้ดีมากเลยครับ
มือใหม่ให้อ่านหนังสือหาความรู้ก่อนนะครับ


คิดว่ามันเป็นธุรกิจครับ อย่าไปสนว่าจะมีคนมาขอซื้อแพงขึ้นหรือไม่ ลองคิดดูนะครับว่าถ้าเราซื้อบริษัทหนึ่งแล้ว ตลาดหุ้นปิดไปสิบปี ขายเท่าไรก็ขายไม่ได้

คุณจะซื้อบริษัทนี้เท่าไร

ลองดูบริษัทนึง ดูของจริงเลยละกัน ให้ดูการลงทุนที่ดูไม่ค่อยดีนะครับ จะได้พอนึกออกว่าการลงทุนที่ดีเป็นไง

บริษัทขายชั้นใน ชื่อ SABENA
http://www.set.or.th/set/companyhighlig ... country=TH

เอ้า ลิงค์เทพ เปิดแล้วดูตาม ผม

ไปดูที่หนี้สิน ดูสิ เทียบกับทรัพย์สินแล้ว มันน้อยใช่ไหม แค่หนึ่งในสาม
อันนี้เป็นข้อดี ชอบๆ

บริษัทมีกำไรปีนี้น่าจะประมาณ 70 ล้าน

ธรรมชาติของธุรกิจชั้นในจะไม่โตแบบจรวดทะยานฟ้า ใครก็เข้ามาแข่งได้ มีเจ้าใหญ่ในตลาดที่มีต้นทุนต่ำอยู่แล้วคือวาโก้

ต่อให้ซาบิน่าคิดชั้นในขั้นเทพ ใส่แล้ว สวย อวบ ดูมดูมดูม ขึ้นมาได้

ถามว่า วาโก้ เลียนแบบง่ายไหม ขอบอกว่าโคตรง่าย ไปซื้อมาตัว เอามาเย็บตาม ก็ได้แล้ว บริษัทนี้มีกำไรที่ 70 ล้าน(ประมาณ) ผมว่าราคาที่น่าซื้อทั้งบริษัทที่เหมาะสมจะอยู่แถวๆ 500-1000 ล้าน

แต่ธุรกิจนี้มันขายที่ 8000 ล้าน!

กำไรปีละ 70 ล้าน ต้องใช้เวลาถึงร้อยกว่าปีถึงคืนทุน!


ถ้าเพื่อนบ้านมากระซิบกับคุณว่า เขามีธุรกิจที่จะคืนทุนภายในร้อยปีมาขายให้ คุณจะว่าไง คุณคงคิดว่าเขาบ้า เพราะร้อยละหนึ่งต่อปี ฝากแบงค์เอาก็ได้

สรุปคือ ราคานี้เป็นราคาที่เฮงซวยมาก ถึงอย่างนั้นก็มีเม่าเข้าไปซื้อขายหุ้นซาบีน่า แม้กระทั่งคนที่อ้างตัวว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญบางคนก็ยังเชียร์ตัวนี้

การจะทำให้ธุรกิจนี้ทำกำไรจนตามราคาขายทันมีได้สามอย่าง

ชั้นในต้องเป็นแบบใช้แล้วทิ้ง

หรือ ผู้ชายต้องหันมาใส่ยกทรง 5555

ลองเอาไปเทียบกับวาโก้ครับ จะเห็นว่า เป็นราคาที่ไร้สาระมาก
ภาพประจำตัวสมาชิก
murder_doll
Verified User
โพสต์: 1644
ผู้ติดตาม: 2

พอดี เริ่ม สนใจหุ้น นะครับ เลยขอถามอะไรหน่อยครับ

โพสต์ที่ 20

โพสต์

ขอบคุณครับ  :lol:
เงินทองเป็นของมายา
ข้าวปลาคือของจริง
flukechan
Verified User
โพสต์: 7
ผู้ติดตาม: 0

Flukechan

โพสต์ที่ 21

โพสต์

ขอบคุณครับ อธิบาย จนเห็นภาพเลย
ภาพประจำตัวสมาชิก
picklife
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2567
ผู้ติดตาม: 0

Re: พอดี เริ่ม สนใจหุ้น นะครับ เลยขอถามอะไรหน่อยครับ

โพสต์ที่ 22

โพสต์

ช่วยแชร์ความคิดครับ
flukechan เขียน:พอดีเมื่อก่อน ลงทุน ในตราสาร หนี้ พันธบัตร และพวกเงินฝาก แล้วเห็นว่าดอกเบิ้ยมันน้อยเรื่อยๆ เลยเริ่มมาสนใจใน ตราสารทุน ตอนนี้ยังไม่ได้ลงทุนในพวกหุ้น ตั้งใจว่า ปลายปีนี้จะเริ่ม ลงทุนในพวกหุ้น ตอนนี้มาเริ่มศึกษา เลยอยากจะถามอะไรเกี่ยวกับรายละเอียดหน่อยครับ
1.เวลาหุ้นตก เพราะปัจจัยแวดล้อม ภายนอก เช่น การก่อม๊อบ หรือเรื่องการเมือง เราครวจะปล่อยหุ้นที่ถือไว้ก่อน แล้วรอให้เหตุการณ์สบงค่อยกลับมาซื้อดี หรือ ถือ หลัก VI เราไม่ครวสนใจปัจจัยพวกนั้น เพราะหุ้นมันกลับมาสู่ราคาที่แท้จริง ของมันเอง
ผมว่าไม่ใช่ไม่สนนะครับ ต้องสนด้วยครับ แต่สนว่ามันจะมีผลกับธุรกิจเราหรือไม่ โดยส่วนตัวผมตามภาวะศก.โลกเสมอนะครับ ตามแต่ไม่ได้เทรดเพราะมันแต่ตามว่าโอกาสเกิดpanicครั้งใหญ่ไหม?ถ้าดูแล้วไม่เกิดผมก็นิ่งครับ ผมคิดว่าต้องคิดว่าเกิดpanic-50%ประมานนี้นะครับแรงๆแบบนี้ถึงขยับ เล่นรอบใหญ่ๆ5-10ปีครั้งครับ รอบสั้นๆคงไม่ครับ
2.เห็นบอกว่า ปัจจัยพื้นฐาน อันนี้คือ ดู งบการเงิน ดูหนี้สิน ทรัพย์สิน ดูเรโซ ดูกระแสเงินสด ดูผลประกอบการทำกำไร ดูผู้บริหาร ว่ามีความโปร่งใสแค่ไหน ประมาณนี้ใช่มั้ยครับ
ขั้นต้นผมดูรายได้ หากำไรหาepsประเมินpeได้ออกมาเป็นupsideก่อนเสมอ ถ้าน่าสนใจแล้วค่อยเข้าไปดูปัจจัยพื้นฐานทุกๆอย่างว่าepsที่ได้มานั้นมีความสเถียรแค่ไหนครับ แล้วก็...เคาะครับ :D
3.เราจะรู้ได้ไง ว่าผู้บริหารมีความโปร่งใส มีคุณธรรม
ดูข่าวเก่าๆใน100คน100หุ้นครับ แล้วมาดูงบที่ผ่านมาเทียบกับข่าว หรือถามพี่TVIครับกรณีต้องการความไว แล้วค่อยมาหาข้อมูลเพิ่มครับ
4.ตอนที่ซ้อม ฝึกซื้อหุ้นด้วยเงินปลอม เราจะรู้ได้ไง ว่าหุ้นที่เราซื้อมันมาจากการวิเคราะห์ของเราที่ถูกต้อง เพราะ ตอนผมซ้อมด้วยเงินปลอม ซื้อหุ้น มา 5 ตัว วันแรก มีตัวเดิ๊ยวกำไร อีก 4 ตัว ขาดทุน แต่ผลรวมกำไรนิดหน่อย (ตอนนี้เขียวทุกตัว) มันให้ความรู้สึกว่าเรา เหมือนที่กำไร มันไม่ใช่ฝีมือ แต่โชคดี เพราะ เศรษฐกิจ เริ่มฟื้นตัว มันก็เลย หุ้นขึ้น หุ้นที่ซื้อ มันมีเจ้าเข้ามา โบกเกอร์เชียร์ ทำให้ขึ้น ทั้งที่มันไม่น่าจะขึ้นเร็วขนาดนี้นะ แบบว่า อยากจะได้ฝืมือที่เก่งขึ้น ปลายปีจะได้ลงทุนของจริงได้นะครับ
โดยส่วนตัวผมไม่แนะนำให้ลงทุนแบบเงินปลอมนะครับ เพราะศักยะภาพในการติดตามข่าว ความสนใจ และอีกหลายๆอย่างมันต่างกันมากครับ ผมแนะนำว่าถ้าจอลองก็เงินจริงครับขั้นต่ำ5พันก็ได้ครับ ซึ่งแม้นพลาดก็เจ็บตัวน้อยมากครับ ซึ่งเงินปลอม2-3ล้านกับเงินจริง5พัน ผมว่าคนละฟิวกันเลยครับ
ส่วนในเรื่องจะรู้ได้ไงว่าเราเก่งแล้ว ก็เมื่อคุณรู้ทุกเรื่องของธุรกิจที่ลงทุนและสามารถประเมินผลกำไรได้ใกล้เคียง ซึ่งสามารถประเมินและวัดผลได้ทุกๆ3เดือนครับเพราะงบการเงินออกทุก3เดือน ถ้ายิ่งใกล้เคียงเท่าไหร่แสดงว่าคุณเทพพ(ถึงเวลานั้นสอนผมบ้างนะ :oops: ) ส่วนราคานั้นไม่ควรไปจ่อรายวันนะครับเดี่ยวจิตรฟุ้งซ่าน ระยะเวลามันสั้นเกิดไปวัดอะไรไม่ได้เลยครับ
เม่าน้อยคลำทางหาแสงไฟ
chowbe76
Verified User
โพสต์: 1980
ผู้ติดตาม: 1

พอดี เริ่ม สนใจหุ้น นะครับ เลยขอถามอะไรหน่อยครับ

โพสต์ที่ 23

โพสต์

พี่ปตอ.อธิบายละเอียดยิบจนมือใหม่อย่างผมกระจ่างเลยครับ
The mother of all evils is speculation, leverage debt. Bottom line, is borrowing to the hilt. And I hate to tell you this, but it's a bankrupt business model. It won't work. It's systemic, malignant, and it's global, like cancer.
TPH
Verified User
โพสต์: 347
ผู้ติดตาม: 0

พอดี เริ่ม สนใจหุ้น นะครับ เลยขอถามอะไรหน่อยครับ

โพสต์ที่ 24

โพสต์

chowbe76 เขียน:พี่ปตอ.อธิบายละเอียดยิบจนมือใหม่อย่างผมกระจ่างเลยครับ
เหมือนของพี่ chowbe76 เลยครับ  :)
chowbe76
Verified User
โพสต์: 1980
ผู้ติดตาม: 1

พอดี เริ่ม สนใจหุ้น นะครับ เลยขอถามอะไรหน่อยครับ

โพสต์ที่ 25

โพสต์

TPH เขียน:
เหมือนของพี่ chowbe76 เลยครับ
The mother of all evils is speculation, leverage debt. Bottom line, is borrowing to the hilt. And I hate to tell you this, but it's a bankrupt business model. It won't work. It's systemic, malignant, and it's global, like cancer.
TPH
Verified User
โพสต์: 347
ผู้ติดตาม: 0

พอดี เริ่ม สนใจหุ้น นะครับ เลยขอถามอะไรหน่อยครับ

โพสต์ที่ 26

โพสต์

chowbe76 เขียน:
เหมือนของพี่ chowbe76 เลยครับ
Warantact
Verified User
โพสต์: 1160
ผู้ติดตาม: 0

พอดี เริ่ม สนใจหุ้น นะครับ เลยขอถามอะไรหน่อยครับ

โพสต์ที่ 27

โพสต์

ใครคือ ปตอ ครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
ayethebing
Verified User
โพสต์: 2125
ผู้ติดตาม: 3

พอดี เริ่ม สนใจหุ้น นะครับ เลยขอถามอะไรหน่อยครับ

โพสต์ที่ 28

โพสต์

ก่อนจะไปหามูลค่าหุ้น อย่าลืม ขั้นตอนที่สำคัญคือการเขียน ประโยคสั้นๆ ว่าทำไมเราจึงจะถือหุ้นตัวนี้ นะครับ เช่น

อยากถือหุ้น A เพราะ PE ต่ำ หนี้น้อย ปันผลสูง
           หุ้น B เพราะเติบโตดี อนาคตสดใส

สำคัญมากตอนขายครับ เพราะ ถ้า หุ้น A PE สูง หรือมีหนี้ หรือไม่ปันผล หรือ หุ้น B อนาคตแผ่วแป็ก  แล้วเราจะเก็บไว้ทำ spear อะไรครับ

คำเซียน (ทั่นอื่นๆ) ว่าไว้ ซื้อเพราะอะไรก็ขายเพราะอย่างนั้น

ส่วนการหามูลค่าหุ้น เซียน ปตอ (ปืนต่อสู้อากาศยาน - anti-aircraft) ทั่นว่าไว้ดีแล้น  :lol:
ขอนไม้อันนิ่งสงบ
Anti-Aircraft
Verified User
โพสต์: 807
ผู้ติดตาม: 0

พอดี เริ่ม สนใจหุ้น นะครับ เลยขอถามอะไรหน่อยครับ

โพสต์ที่ 29

โพสต์

[quote="ayethebing"]ก่อนจะไปหามูลค่าหุ้น อย่าลืม ขั้นตอนที่สำคัญคือการเขียน ประโยคสั้นๆ ว่าทำไมเราจึงจะถือหุ้นตัวนี้ นะครับ เช่น

อยากถือหุ้น A เพราะ PE ต่ำ หนี้น้อย ปันผลสูง
อย่ายอมแพ้
ภาพประจำตัวสมาชิก
kurapica
Verified User
โพสต์: 587
ผู้ติดตาม: 0

พอดี เริ่ม สนใจหุ้น นะครับ เลยขอถามอะไรหน่อยครับ

โพสต์ที่ 30

โพสต์

Warantact เขียน:ใครคือ ปตอ ครับ
ปตอ. = ปืนต่อสู้อากาศยาน
น่าจะเดาได้นะว่าเป็นใคร
ยอดดอยอยู่ไหนจ๊ะ ขึ้นมามากแล้วนะ
โพสต์โพสต์