--'จรัมพร' ปักธงดึงบริษัท Hi Growth เข้าตลาด --

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
ภาพประจำตัวสมาชิก
kakathi
Verified User
โพสต์: 186
ผู้ติดตาม: 0

--'จรัมพร' ปักธงดึงบริษัท Hi Growth เข้าตลาด --

โพสต์ที่ 1

โพสต์

'จรัมพร'ปักธงดึงบริษัทไฮโกรทเข้าตลาด
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ วันที่ 17 มิถุนายน 2553 01:09

รูปภาพ

ผู้จัดการตลาดตลาดหลักทรัพย์คนใหม่ ปักธงดึงบริษัทไฮส์โกรทซอฟแวร์สร้างมูลค่าเพิ่มตลาดหุ้นไทย กรุยทางปรับหลักเกณฑ์ควบรวมกิจการรองรับ
นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ให้สัมภาษณ์ "กรุงเทพธุรกิจ" หลังเข้ามารับตำแหน่งในวันที่ 1 มิ.ย.ที่ผ่านมา ว่า หลังจากที่เข้ามาทบทวนแผนระยะ3-5 ปีของตลาดหลักทรัพย์ในเบื้องต้นพบว่า ภาระกิจสำคัญในการพัฒนาตลาดทุนในช่วงที่เข้ามารับตำแหน่ง 4 ปีก็คือ การเพิ่มสภาพคล่องให้กับตลาดทุนไทย เพื่อดึงเงินลงทุนจากนักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศ โดยมองว่ากลุ่มที่น่าจะเป็นตัวขับเคลื่อนตลาดทุนไทยในอนาคตก็คือ ธุรกิจที่มีอัตราการเติบโตสูงทางด้านซอฟแวร์ ซึ่งปัจจุบันกลุ่มดังกล่าวเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทยน้อยมาก
"ปัญหาของตลาดหุ้นไทยคือพีอีต่ำ ไม่เป็นที่ดึงดูดใจของนักลงทุน ทำให้ต้องกลับมาทบทวนว่าการที่จะทำให้พีอีสูงจะต้องทำยังไงบ้าง ซึ่งก็พบว่าจะต้องหาบริษัทจดทะเบียนทีมีการเติบโตสูงเข้ามาระดมทุน ซึ่งเท่าที่ดูธุรกิจซอฟแวร์ ไอที มีความน่าสนใจ และเป็นที่สนใจของต่างชาติ แต่ต้องมีมาตรการสากลด้วย และบริษัทไอทีของเราส่วนใหญ่อยู่นอกตลาด ทำให้ความน่าสนน้อยลง"นายจรัมพร กล่าว
ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของตลาดหลักทรัพย์ที่จะต้องสร้างความเข้าใจกับผู้ประกอบการในอุตสหากรรมและอธิบายถึงข้อดีของการเข้ามาจดทะเบียน พร้อมทั้งแนะนำให้ผู้ประกอบการแต่งตัวรองรับการเข้ามาควบรวมกิจการหรือเอ็มแอนด์เอของทุนต่างชาติด้วย ซึ่งการเปิดทางให้กลุ่มทุนเข้ามาเทคโอเวอร์ไม่ใช่เป็นการทิ้งกิจการ แต่เป็นการเพิ่มขนาดของธุรกิจให้ใหญ่ขึ้นสามารถแข่งขันได่ ขณะเดียวกันก็ทำให้หุ้นมีสภาพคล่องเพิ่มตามไปด้วย
นายจรัมพร กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวอยู่ในแผนพัฒนาตลาดทุนอยู่แล้ว ซึ่งสะท้อนการแก้ไขหลักกเณฑ์การควบรวมกิจการเพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการควบรวมกิจ โดยทีมงานของตลาดหลักทรัพย์จะต้องเข้าไปให้ข้อมูลประเด็นดังกล่าวกับผู้ประกอบการเพื่อสร้างความชัดเจน และแนะแนวทางในการเตรียมความพร้อม และควรปรับทัศนคติของผู้ประกอบการว่า การเข้ามาจดทะเบียนและเปิดทางให้กลุ่มทุนใหม่เข้าเทคโอเวอร์เป็นเรื่องปกติ ไม่ได้เป็นการทิ้งการ ซึ่งคิดว่าคนรุ่นใหม่ที่เป็นเจ้าของกิจการก็เปิดรับแนวคิดนี้มากขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจซอฟแวร์
นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์จะต้องมีการจัดกลุ่มบริษัทจดทะเบียนเดิมทั้ง500 บริษัท เพื่อแยกให้ชัดเจนว่ากลุ่มธุรกิจใดบ้างที่มีโอกาสที่จะควบรวมกิจการในอนาคต และกลุ่มใดบ้างที่ไม่ต้องการขายกิจการให้กับกลุ่มทุนใหม่ เพื่อที่จะสามารถปรับแนวทางการให้คำปรึกษาบริษัทจดทะบียนให้ตรงกับความต้องการ
นายจรัมพร กล่าวว่า ในฝั่งของนักลงทุนสถาบันถือว่ามีความสำคัญต่อการพัฒนาตลาดทุน เราจะต้องจัดกลุ่มนักลงทุนสถาบันแต่ละประเภทเพื่อที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับความต้องของแต่ละกลุ่ม โดยหากเป็นนักลงทุนสถาบันต่างประเทศ เราจะต้องเพิ่มความคล่องตัวในการเข้ามาซื้อขายในตลาดหุ้นไทย ซึ่งจะต้องมีการพัฒนาระบบไอทีรองรับ โดยขณะนี้อยู่ในระหว่างการวาดภาพของการพัฒนาระบบทั้งหมด และทำความเข้าใจกับบรัทสมาชิกเพื่อให้ไปในทิศทางเดียวกัน คาดว่าภายใน 3 เดือนจะได้ข้อสรุป และภายใน 18 เดือนก็จะสามารถใช้ระบบไอทีใหม่ได้
นายจรัมพร กล่าวว่า ระบบไอทีถือว่ามีความสำคัญมาก เนื่องจากที่ผ่านมาตลาดหลักทรัพย์ไม่เคยมีการปรับปรุง ขณะที่กระแสการลงทุนของตลาดทุนโลกเปลี่ยนแปลงไป โดยกรณีล่าสุดที่เกิดขึ้นกับตลาดหุ้นแนสแด็กซ์ ที่มีนักลงทุนสถาบันประเภท Alternate Trading System ( ATS ) ซึ่งกลุ่มดังกล่าวจะมีการส่งคำสั่งซื้อขายหุ้นภายในกลุ่มสถาบันไม่ได้ส่งคำสั่งผ่านโบรกเกอร์ โดยมีการต่อท่อซื้อขายตรงจากตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งปัจจุบันตลาดหุ้นไทยส่งคำสั่งซื้อขายผ่านท่อโบรกเกอร์เท่านั้น ซึ่งหากเราจะต้องแข่งขันกับตลาดหุ้นต่างประเทศ เราจำเป็นต้องทำหรือไม่ จะต้องหารือร่วมกับบริษัทสมาชิก
อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันตลาดหุ้นสิงคโปร์ก็เปิดให้มีการซื้อขายในลักษณะดังกล่าวได้ ดังนั้นหากตลาดหุ้นไทยไม่เปิดท่อให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาซื้อขายตรงจะทำให้เราเสียโอกาสหรือไม่ ซึ่งจะต้องมีการศึกษาทั้งข้อดีและข้อเสีย ขณะเดียวกันเราก็ต้องมาทบทวนระบบการหยุดซื้อขายอัตรโนมัติ (เซอร์กิตเบรกเกอร์) ให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล เพราะเวลาที่เงินทุนนอกไหลเข้าออกตลาดหุ้นจะมีความผันผวนมาก
นายจรัมพร กล่าวว่า หากตลาดหุ้นไทยเปิดท่อให้นักลงทุนสถาบันต่างชาติเข้ามาซื้อขายตรงได้ ก้อาจะทำให้หุ้นบริษัทจดทะเบียน 30 อันดับแรกได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่นหุ้นแบงก์ขนาดใหญ่ของไทยก็จะติดกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจในกลุ่มอาเซี่ยน
"เราต้องศึกษาร่วมกับโบรกเกอร์ว่าจะมีผลกระทบอะไรตามมาหรือไม่ และต้องคิดร่วมกันว่าอนาคตเราจะเดินยังไง เพราะการลงทุนด้านไอทีนั้น จะต้องใช้ในอีก 5 ปีข้างหน้า ทุกฝ่ายจะต้องทำความเข้าใจร่วมกัน ตลาดหลักทรัพย์มีมาสเตอร์แพลนไอทีอยู่แล้ว แต่ยังไม่มีตัวเลขงบลงทุนที่ชัดเจน ขณะที่โบรกเกอร์เองก็ต้องมีการลงทุนรองรับระบบไอทีของตลาดเช่นกัน"

สำหรับในส่วนของนักลงทุนรายย่อยนั้น การที่จะดึงเข้ามาช่วยพัฒนาตลาดทุนได้นั้น จะต้องหาผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายรองรับความต้องการของนักลงทุนให้มากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ผลิตภัณฑ์ที่เป็นคอมมูนิตี้ ทองคำ น้ำมัน เป็นต้น
ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ กล่าวถึงแผนการเดินทางไปนำเสนอข้อมูลการลงทุน(โรดโชว์)ที่ประเทศอังกฤษในวันที่ 13-15 กรกฎาคม 2553 ว่า จะเดินทางร่วมกับโบรกเกอร์และบริษัทจดทะเบียน โดยจะโฟกัสที่ความแข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งสะท้อนจากการเติบโตของผลประกอบการอย่างมีเสถียรภาพ ไม่ว่าจะเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจหรือวิกฤตการเมือง แต่ก็สามารถปรับตัวรองรับกับวิฤตได้
"โฟกัสของการโรดโชว์ครั้งนี้ อยู่ที่ความแข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียน ไม่ว่าจะเผชิญมรสุมยังไง บริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่ของไทยก็ยังเติบโตได้อย่างมีเสถียรภาพ มีภูมิคุ้มกันที่ดี สะท้อนได้จากผลประกอบการไตรมาส1/53 ที่กำไรเติบโต85 % จ่ายปันผลเฉลี่ย4 % โดย 70 % ของบริษัทในกลุ่ม SET 100 มีการจ่ายปันผลติดต่อกัน 3 ปี"นายจรัมพร กล่าว

http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... าตลาด.html
" "
ภาพประจำตัวสมาชิก
กล้วยไม้ขาว
Verified User
โพสต์: 1074
ผู้ติดตาม: 0

--'จรัมพร' ปักธงดึงบริษัท Hi Growth เข้าตลาด --

โพสต์ที่ 2

โพสต์

ถ้าเอาด้าน IT เข้าตลาดได้เยอะ ๆ นี่ผมตีแตกได้เลยนะ ทำงานอยู่ในอุตสาหกรรมนี้  :8)
โพสต์โพสต์