ของขึ้น / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

บทความต่างๆ ที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม เพื่อการลงทุนแบบเน้นคุณค่า

โพสต์ โพสต์
ภาพประจำตัวสมาชิก
oatty
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2444
ผู้ติดตาม: 1

ของขึ้น / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 1

โพสต์

ในช่วงที่สินค้าโดยเฉพาะที่เป็นโภคภัณฑ์ต่าง ๆ  ทั้งที่เป็นสินค้า  “หนัก” เช่นน้ำมัน  ถ่านหิน   เหล็ก  และโลหะธาตุทั้งหลาย   และที่เป็นสินค้า  “เบา” เช่น  ข้าว  ถั่วเหลือง  มันสำปะหลัง   น้ำมันพืช   ต่างก็มีราคาเพิ่มขึ้นมากอย่างไม่เคยประสบมาก่อน   นักลงทุนแบบ Value Investor  หลายคนก็เริ่มมองว่านี่น่าจะทำให้เกิดโอกาสในการลงทุนที่อาจจะสามารถทำกำไรได้เร็วสำหรับหุ้นบางตัว   เราลองมาดูว่าหุ้นแบบไหนที่จะได้ประโยชน์

ประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับบริษัทในกรณีที่สินค้าโภคภัณฑ์มีราคาปรับตัวขึ้นเร็วและมากก็คือสิ่งที่เรียกกันว่า  Inventory Gain  หรือกำไรจากสต็อกวัตถุดิบหรือสินค้าที่บริษัทมีอยู่   เหตุผลของเรื่องนี้ก็คือ   ในการผลิตหรือขายสินค้านั้น   บริษัทจะต้องมีสินค้าคงคลังจำนวนหนึ่งที่บริษัทต้องซื้อมาเพื่อทำการผลิตเป็นสินค้าสำเร็จรูปหรือซื้อมาตุนเอาไว้เพื่อที่จะขายต่อให้ลูกค้า   ในระหว่างที่กำลังรอการผลิตหรือรอขายให้ลูกค้านั้น   สินค้าโภคภัณฑ์ดังกล่าวก็มีการปรับราคาเพิ่มขึ้นในขณะที่ราคาที่บริษัทซื้อมานั้นมีราคาต่ำกว่ามาก   ผลก็คือ   เมื่อบริษัทขายสินค้าก็จะขายไปในราคาใหม่ซึ่งทำให้บริษัทมีกำไรมากกว่าปกติ     ยิ่งบริษัทมีสินค้าคงคลังในราคาต่ำและมีปริมาณมากเท่าไร   กำไรของบริษัทที่จะออกมาก็จะมากขึ้นเท่านั้น

ช่วงเวลาที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวขึ้นไป    กับช่วงเวลาที่มีการประกาศงบการเงินนั้น  มักมีระยะห่างกันเป็นเดือนหรือหลายเดือน   ดังนั้น   ถ้าเราสามารถคาดการณ์ได้ว่าผลกระทบจาก  Inventory Gain  จะมีมากและกำไรของบริษัทในไตรมาศที่จะถึงนั้นจะเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด   เราก็สามารถเข้าไปเก็บหุ้นไว้ก่อน  และเมื่อผลประกอบการออกมาเติบโตแบบก้าวกระโดดจริง   ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น   เราก็สามารถขายหุ้นทำกำไรได้

ประเด็นที่ต้องระวังมากก็คือ   ไม่ใช่เราคนเดียวเท่านั้นที่อาจจะรู้หรือวิเคราะห์ได้   คนจำนวนมากหรือคนภายในบริษัทอาจจะรู้เรื่องนี้และอาจจะรู้ก่อนเราด้วยซ้ำ   ดังนั้น   พวกเขาก็อาจจะเข้ามาซื้อหุ้นก่อนและผลักดันราคาหุ้นขึ้นไปแล้ว   ถ้าเราเข้าไปซื้อหลังจากราคาหุ้นขึ้นไปแล้ว   เราก็อาจจะไม่ได้กำไรเมื่อมีการประกาศงบการเงินแม้ว่าผลประกอบการจะน่าประทับใจตามที่เราคาดแต่ราคาหุ้นกลับลดลง   และนี่ก็คือสิ่งที่นักเล่นหุ้นเรียกกันว่าเกิดการ  Sell On Fact  นั่นคือนักลงทุนได้มีการคาดกันอยู่แล้วว่ากำไรกำลังจะมาจึงเข้าไปซื้อหุ้น  และเมื่อกำไรมาจริง ๆ   ก็ถึงเวลาที่พวกเขาจะต้องขายเพราะข่าวดีเรื่องกำไรนั้นกำลังหมดแล้ว   หุ้นหลังจากนั้นจะตกลงมา   พวกเขาจึงต้องรีบขายก่อน

Inventory Gain นั้นเป็นเรื่องที่มักเกิดขึ้นครั้งเดียว  นั่นก็คือ  เมื่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์เริ่มนิ่งและบริษัทได้ใช้หรือขายสินค้าที่มีต้นทุนต่ำหมด   บริษัทก็ต้องซื้อสต็อกสินค้าใหม่ในราคาที่สูงและเป็นราคาตลาด   การขายสินค้าในรอบใหม่บริษัทก็จะไม่ได้กำไรมากกว่าปกติแล้ว   ดังนั้นกำไรของบริษัทก็มักจะกลับมาสู่ระดับปกติ    ราคาหุ้นหลังจากรายการ Inventory Gain  อาจจะกลับมาอยู่ที่เดิมหรือดีขึ้นบ้างเนื่องจากบริษัทอาจจะมีกำไรมากจนทำให้ฐานะทางการเงินดีขึ้น   อย่างไรก็ตาม  พื้นฐานของบริษัทในด้านอื่น ๆ  มักจะไม่เปลี่ยนแปลง   ข้อสรุปก็คือ  มูลค่าหุ้นของบริษัทในระยะยาวไม่ควรจะเพิ่มมาก   ถ้าจะคิดแบบอนุรักษ์นิยม  มูลค่าหุ้นของบริษัทน่าจะเพิ่มเท่ากับกำไรที่เกิดจากสต็อกสินค้าที่มีอยู่ในขณะนั้น  ดังนั้น   สำหรับผมแล้ว   หุ้นที่มี  Inventory Gain  โดยทั่วไป  น่าจะมีราคาหุ้นเพิ่มขึ้นไม่มาก   เพราะกำไรนั้นเกิดขึ้นครั้งเดียวและไม่ต่อเนื่อง
 
แต่ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในตลาดหุ้นนั้น   บ่อยครั้ง  ราคาหุ้นของบริษัทที่มีกำไรจากสต็อกสินค้ากลับปรับตัวขึ้นไปมากมาย     เหตุผลอาจจะเป็นว่า   นักลงทุนหรือแม้แต่นักวิเคราะห์จำนวนมากไม่เข้าใจหรือพยายามที่จะไม่เข้าใจว่านี่เป็นกำไรที่จะเกิดขึ้นครั้งเดียว    พวกเขาคิดว่ากำไรนี้จะเกิดขึ้นต่อเนื่อง   เหนือสิ่งอื่นใด   เวลารายงานผลประกอบการประจำปีหรือประจำไตรมาศ   ผู้สอบบัญชีรายงานว่านี่เป็น   “กำไรที่เกิดจากการดำเนินงานปกติ”   ดังนั้น  พวกเขาจึงคิดว่ามันเป็นกำไรปกติของบริษัทที่อาจจะต่อเนื่องและสามารถนำมาคิดค่า  PE  ของหุ้นได้    ด้วยเหตุดังกล่าว  กำไรครั้งเดียวที่เกิดจาก  Inventory Gain  จึงถูกขยายไปด้วยค่า  PE  ที่ 8-10 เท่า  และเป็นเหตุผลที่ทำให้  “ราคาหุ้นที่เหมาะสม”  ปรับตัวขึ้นไปหลายเท่าและทำกำไรให้กับคนที่ถือหุ้นก่อนที่ราคาจะปรับตัวขึ้นมหาศาล

ในระยะยาว   ซึ่งอาจจะเพียงปีเดียว  หรือบางบริษัทอาจจะไม่กี่ไตรมาศ  เมื่อการปรับตัวของราคาโภคภัณฑ์หยุดนิ่งหรือในบางกรณีกลับลดลง   กำไรของบริษัทก็จะปรับตัวลดลงเนื่องจากไม่มี  Inventory Gain แล้วและในบางกรณีกลายเป็น  Inventory Loss  ภาพของบริษัทเหล่านี้ก็จะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง   ราคาหุ้นที่เคยปรับตัวอย่างโดดเด่นก็มักจะปรับตัวลดลงและกลับไปสู่สิ่งที่บริษัทเคยเป็น   นักลงทุนที่เคยสนใจก็จะเลิกสนใจและไปหาหุ้นตัวอื่นที่จะมีเรื่องราวหรือ  Story ใหม่ให้เล่น   คนที่เสียหายมากที่สุดคือคนที่ไม่รู้และไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับบริษัทและเข้าไปซื้อหุ้นที่มีราคาขึ้นไปมากมายเพราะคิดว่านี่คือหุ้นที่ดีและยังมีราคาถูกมากเมื่อคิดจากค่า  PE
 
สำหรับ  Value Investor  ที่ยังไม่เชี่ยวชาญ  ผมไม่แนะนำให้ลงทุนในหุ้นเหล่านี้เพราะความเสี่ยงค่อนข้างสูง   เหตุก็คือ   เราไม่รู้สถานะของสต็อกสินค้าในบริษัทมากนัก   สำหรับ  Value  Investor  ที่มุ่งมั่นและเชี่ยวชาญ  การลงทุนในหุ้นเหล่านี้หลายครั้งสามารถทำกำไรมหาศาลในเวลาอันสั้น   คำเตือนของผมก็คือ  ถ้าจะซื้อหุ้นเหล่านี้   เราควรซื้อก่อนที่ราคาหุ้นจะขึ้นไปหรือขึ้นไปยังไม่มาก    ราคาหุ้นที่ขึ้นไปที่ยังพอซื้อได้นั้น   ถ้าจะให้มี  Margin Of Safety  ผมคิดว่าไม่ควรจะเกินกำไรครั้งเดียวที่เกิดจากสต็อกสินค้าที่มีอยู่   อย่าใช้ค่า PE  เป็นตัวกำหนดราคาซื้อ   เพราะนี่คือกำไรครั้งเดียวที่จะไม่เกิดต่อเนื่อง   ข้อเท็จจริงก็คือ  มันคือกำไรพิเศษเหมือนกับกำไรจากการขายทรัพย์สินหรือกำไรพิเศษอย่างอื่น
"ผู้ทรงธรรมนั่นแหละคือผู้ทรงเกียรติ ผู้มีความดีนั่นแหละคือผู้มีทรัพย์ ผู้รู้จักพอนั่นแหละคือมหาเศรษฐี" ว.วชิรเมธี
ภาพประจำตัวสมาชิก
crazyrisk
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 4562
ผู้ติดตาม: 40

ของขึ้น / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 2

โพสต์

สงสัยจังว่า  curse ครั้งนี้ จะออกมา กับ หุ้นตัวไหนใน Q 2 นี้บ้างคับ


:twisted:
"Champions aren't made in gyms. Champions are made from something they have deep inside them: A desire, a dream, a vision.
i_sarut
Verified User
โพสต์: 1808
ผู้ติดตาม: 1

ของขึ้น / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 3

โพสต์

ขอบคุณครับ  :lol:
"Risk comes from not knowing what you're doing" - Warren Buffet

สุดยอดของความซับซ้อนคือความเรียบง่าย

http://www.sarut-homesite.net/
phemstap
Verified User
โพสต์: 1273
ผู้ติดตาม: 0

ของขึ้น / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 4

โพสต์

BAT-3K เป็นกรณีศึกษาที่ดีสำหรับ Case นี้ นอกจากจะมียอดการส่งออกที่เติบโตมาตลอดอย่างโดดเด่นในหลายปีที่ผ่านมา

ทางบริษัทยังมีการ Stock วัตถุดิบ-ตะกั่ว ไว้จำนวนมากกว่าปกติในช่วงปลายปี 2550 และราคาตะกั่วก็ลดลงหลัง เมษา 2551 เป็นต้นมา

อันนี้ก่อให้ EPS ของ BAT-3K ที่ปกติอยู่ประมาณ 9.x บาท แทนที่ปี 2550 จะไปอยู่ที่ 12-13 บาทอย่างเก่ง ก็ก้าวกระโดดไป 14.x บาท

และเนื่องจาก ปลาย 2551Q1 ยัง Stock ตะกั่วจำนวนมากเหมือนเดิม Q2 จึงยังมี Stock ที่ต้นทุนสูงค้างอยู่ที่ต้องระบายออก
เป็นบทเรียนสำหรับผู้บริหารหนุ่มไฟแรง Generation ที่ 2 ของบริษัทฯ  และก็ผู้ลงทุนรายย่อยอย่างเราๆ :cry:

ส่วนตัวผม ลงทุนบริษัทฯนี้มานาน มองอุตสหกรรมนี้ยังดีอยู่ บริหารผิดก็คงมีบ้าง ขอให้อย่าเกิดขึ้นอีก
ปันผลยังไม่น่ามีปัญหา จะติดตามใกล้ชิด รอดูฝีมือการฟื้นตัวของหุ้นตัวนี้จากผู้บริหารต่อไป คราวนี้จะติดตามใกล้ชิดมากขึ้นครับ  :)
noooon010
Verified User
โพสต์: 2712
ผู้ติดตาม: 2

ของขึ้น / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 5

โพสต์

ขอบคุณสำหรับบทความเตือนสตินะครับผม :D
อย่าลืมให้เวลากับครอบครัว และสังคมรอบๆข้างของคุณนะครับ

มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม


นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
sattaya
Verified User
โพสต์: 1372
ผู้ติดตาม: 3

ของขึ้น / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 6

โพสต์

[quote="crazyrisk"]สงสัยจังว่า
สติมา ปัญญาเกิด
ภาพประจำตัวสมาชิก
sorawut
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2502
ผู้ติดตาม: 9

ของขึ้น / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 7

โพสต์

ข้าวกับน้ำมันปาล์มครับ ยกเว้นบริษัทปลูกเอง  :lol:
ตัดสินใจว่า ธุรกิจไหนที่คุณต้องการจะเป็นเจ้าของ
และซื้อเมื่อราคาสามารถให้ผลตอบแทนจากการลงทุน ในอัตราที่เข้าท่าสำหรับการร่วมทำธุรกิจเท่านั้น
Quattro
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 87
ผู้ติดตาม: 0

ของขึ้น / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 8

โพสต์

[quote="sattaya"][quote="crazyrisk"]สงสัยจังว่า
ภาพประจำตัวสมาชิก
เด้งดึ๋ง เด้งดึ๋ง
Verified User
โพสต์: 45
ผู้ติดตาม: 0

ของขึ้น / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 9

โพสต์

http://finance.google.com/finance?catid=59337585

อันนี้คงพอจะใกล้เคียงนะคะ
โพสต์โพสต์