บริหารความมั่งคั่งด้วย 'ธรรมะ'

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
ภาพประจำตัวสมาชิก
path2544
Verified User
โพสต์: 543
ผู้ติดตาม: 0

บริหารความมั่งคั่งด้วย 'ธรรมะ'

โพสต์ที่ 1

โพสต์

อ่านแล้ว เห็นว่าดีเลยเอามาลงให้อ่านกันครับ

บริหารความมั่งคั่งด้วย 'ธรรมะ'

18 มกราคม พ.ศ. 2551 07:35:00


หลักธรรมะกับการลงทุน ย่อมเดินไปบนถนนสายเดียวกันอย่างแน่นอน ตามความเชื่อของ "ดร.สมจินต์ ศรไพศาล" กรรมการผู้จัดการ บลจ.วรรณ เพราะความมั่งคั่งไม่ใช่การมีเงินมาก แต่คือการคุมค่าใช้จ่ายให้เหมาะ

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : 'สร้างรายได้ คุมรายจ่าย'


ความมั่งคั่งจึงเริ่มต้นจากความสันโดษ การลดกิเลส มีความเพียรในการงาน ทำให้มีเงินเหลือเพื่อสร้างรายได้ต่อ

ดร.สมจินต์ ศรไพศาล บอกว่า การสร้างความมั่งคั่งไม่ใช่การทำให้ร่ำรวยเงินทอง แต่ความมั่งคั่งคือการเปรียบเทียบรายได้กับรายจ่ายของเรา หรือสิ่งที่มีกับสิ่งที่เราใช้ เช่น คนที่มีเงิน 10 ล้านบาท อาจไม่ได้มั่งคั่งเท่าคนที่มีเงินเพียงแค่ 2 ล้านบาทก็ได้ ถ้าหากเขาใช้จ่ายน้อยกว่า

โดยเป็นการเปรียบเทียบระดับ "เท่า" ไม่ใช่จำนวนเงิน

"เอารายได้ตั้งหารด้วยรายจ่าย ใครที่มีจำนวนเท่ามากกว่าก็จะมั่งคั่งมากกว่า ความมั่งคั่งจะนำมาซึ่งความสุขด้านจิตใจและความสามารถในการแบ่งปัน เพราะเรามีรายได้มากกว่ารายจ่าย"

สมจินต์เพิ่มเติมว่า ความมั่งคั่งนั้นมาจาก 2 ทาง คือ การเพิ่มรายได้และลดรายจ่าย ซึ่งการลดรายจ่ายจะสำคัญกว่าและต้องมาก่อน ความพอเพียงหรือสันโดษ จะทำให้เราสามารถควบคุมรายจ่ายให้เหมาะสมได้

"ถ้าหากรายจ่ายไม่ได้ถูกควบคุม ก็ออมไม่ได้ แต่ถ้าเรามีการออมพอเพียง เมื่อนั้นก็จะมีกำไร หรือมีเงินไปลงทุน ทรัพย์สินเราก็จะมากขึ้น และตราบใดที่กิเลสไม่ได้โตกว่ารายได้ เมื่อนั้นความมั่งคั่งก็จะเพิ่มขึ้น"

การควบคุมกิเลสได้ จึงเป็นปฐมบทแห่งการสร้างความมั่งคั่งตามความเชื่อของ ดร.สมจินต์

เขาบอกว่า ตามความเชื่อของชาวพุทธ การลดกิเลส ความเพียงพอ เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าสั่งสอนเสมอ หรือความเชื่อชาวคริสต์จะบอกว่าการไดร์ฟหรือขับเคลื่อนตัวเองด้วยความรักในการทำงานให้เต็มที่ ไม่ว่าจะมีอาชีพครู ตำรวจ ถ้าทำงานเต็มที่ก็จะมีเงินนำไปลงทุนได้

หลักความพอเพียงจึงมาอันดับแรก แล้วหลักความเพียร อิทธิบาท และพรหมวิหาร หรือการสร้างรายได้นั้น จะไม่ใช่เรื่องยาก

"เรื่องศาสนธรรมกับการลงทุน ไปด้วยกันอย่างแน่นอน พระพุทธเจ้าบอกว่า ถ้ามีเงิน 4 สตางค์ ให้แบ่งลงทุน 2 สตางค์ ฉะนั้นการสร้างความมั่งคั่ง ไม่ใช่เรื่องยากถ้ารู้วิธี"

ดร.สมจินต์ บอกว่า เขาเชื่อว่าใครที่ไม่มีความคิดในลักษณะนี้ แม้จะมีเงินในบัญชีมากกว่าคนอื่น ความสันติสุขจะไม่เกิดขึ้น ไม่ได้เป็นเศรษฐีที่น่ารัก

เขายกตัวอย่างของสามี ภรรยา "แมคอินไตย์" ที่สามีเป็นช่างซ่อมนั่นนี่ และภรรยาเป็นช่างทำผมธรรมดาๆ เวลาผ่านไป 30 ปี คู่สามีภรรยานี้มีเงิน 1 ล้านดอลลาร์ได้ นั่นเพราะว่าเขาตัดสินใจร่วมกันถูกต้อง ตกลงให้เจ้านายจ่ายเงินให้แค่ 90% ส่วนอีก 10% ให้หักไปลงทุนให้เขา ทั้งลงทุนในการฝากธนาคาร ซื้อพันธบัตร และกองทุนรวม

ถ้าย้อนดูผลตอบแทนของตลาดหุ้นอเมริกาในรอบ 80 ปีที่ผ่านมา ให้ผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นเล็กราว 12-13% ต่อปี ขณะที่หุ้นใหญ่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 10% ส่วนตลาดหุ้นไทยรอบ 32 ปีให้ผลตอบแทน 12% ต่อปี

เทียบกับการลงทุนในพันธบัตรสหรัฐ ช่วง 70 ปีที่ผ่านมา ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 5.8% ส่วนพันธบัตรของไทยเฉลี่ย 8 ปี 5.6% ต่อปี

การจะได้ผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหุ้น 8-10% ต่อปี และตลาดพันธบัตร 5-6% จึงเป็นเรื่องที่สามารถทำได้

ดร.สมจินต์บอกว่า หากเราออมเงินต่อเนื่อง 1,000 บาทต่อเดือน เป็นเวลา 30 ปี ได้ผลตอบแทน 10% ต่อปี จะได้เงินก้อนเป็น 2 ล้านบาท หรือกรณีสามี-ภรรยาแมคอินไตย์ ออมเงินคนละ 5,000 บาทต่อเดือน หรือรวมกันเป็น 1 หมื่นบาทต่อเดือน ได้ผลตอบแทน 10% จะมีเงินก้อนเป็น 20 ล้านบาท หรือถ้าผลตอบแทนเพิ่มเป็น 12% จะได้เงินเป็น 30 ล้านบาท ทีเดียว

สามี-ภรรยาคู่นี้เป็นคนธรรมดาๆ ไม่จำเป็นต้องวิเคราะห์หุ้นอย่างลึกซึ้ง แต่สามารถสร้างความมั่งคั่งได้ นั่นเป็นเพราะเขามีวินัยการลงทุนแบบอัตโนมัติ ทำให้มีสุขภาพการเงินที่ดีแบบนักกีฬา

"การที่เขารู้จักตัวเองว่า ถ้ารับเงินมา 100 บาท จะใช้หมด เขาจึงเลือกรับมาเพียง 90 บาท และเอาอีก 10 บาท ไปลงทุน จึงทำให้มีเงินออมแน่ๆ ขณะเดียวกันก็ไม่แช่เงินอยู่ในบัญชีออมทรัพย์ที่จะได้ดอกเบี้ยเพียง 0.75% ซึ่งจะทำให้เงินไม่เติบโต

การลงทุนแบบอัตโนมัติ จึงเปรียบได้กับกระบวนการผลิตของเครื่องจักร ซึ่งจะทำให้ได้ทั้งปริมาณและคุณภาพของสินค้า โดยไม่มีผลเสียหายจากการทำงานของมนุษย์ เมื่อนำมาใช้กับการลงทุนสม่ำเสมอทุกเดือน ทำให้เกิดความมั่งคั่ง มีเงินล้านได้ไม่ยาก

"ถ้าเรามีเงินลงทุน 25% ของรายได้ต่อเดือน เช่น เงินเดือน 2 หมื่นบาท หักลงทุน 5,000 บาททุกเดือน หรือเป็นหลักการลงทุนของฝรั่งที่เรียกว่าการเฉลี่ยต้นทุน เปรียบเทียบเหมือนกับการซื้อสินค้าช่วงลดราคา ทุกครั้งที่ลงทุนก็จะทำให้ได้จำนวนหุ้นมาก

อย่างการลงทุนจริงในโครงการ "Automatic Millionaire Program" ของ บลจ.วรรณ ในช่วง 1 ปี 6 เดือนของปี 2550 ผู้ลงทุนตามโปรแกรมนี้จะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนจริงถึง 42%

หรือหากย้อนกลับไปดูระยะยาวตั้งแต่ปี 2538 ดัชนีหุ้นไทยอยู่ 1,275 จุด ถึงสิ้นตุลาคม 2550 ดัชนีลงมาอยู่ที่ 845 จุด แต่ถ้าเราลงทุนสม่ำเสมอ ก็จะได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 12%

"ถ้าเราดูเผินๆ ผลตอบแทนไม่น่าเพิ่มขึ้น แต่การลงทุนอย่างต่อเนื่องจะทำให้ได้รับผลตอบแทนที่ดีได้"

ฉะนั้น การลงทุนจึงควรเฝ้ามองดู และปรับการลงทุนอยู่เสมอ เนื่องจากมีทางเลือกลงทุนทั้งในหุ้น พันธบัตร อย่างในปี 2543 ถ้าลงทุนในตลาดหุ้นจะขาดทุน 43% ถ้าหากซื้อพันธบัตรจะได้ผลตอบแทน 8%

ในแต่ละสถานการณ์ลงทุนจะมีสินค้าลงทุนให้เลือกแตกต่างกันไป แต่ที่สำคัญคือจะต้องลงทุนอย่างมีวินัย สม่ำเสมอ การสร้างความมั่งคั่งก็จะไม่ใช่เรื่องยากลำบาก

"ตามหลักพุทธศาสนาในเรื่องการสร้างความมั่งคั่ง ถ้าหากสร้างรายได้ คุมรายจ่ายได้ ก็จะทำให้มีเงินลงทุน หรือถ้าเราทำงานด้วยความรัก รายได้ของเราก็จะมากขึ้น" ดร.สมจินต์เชื่อมโยงหลักธรรมะกับการบริหารเงินให้เห็น
ไม่เก่งทั้งวิเคราะห์เทคนิค ปัจจัยพื้นฐาน แต่เราก็ยังรั้นที่จะรวยเพราะหุ้น
โพสต์โพสต์