ถึงเวลาต้องปรับปรุงหลักสูตรหรือยัง

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
Oatarm
Verified User
โพสต์: 1266
ผู้ติดตาม: 0

ถึงเวลาต้องปรับปรุงหลักสูตรหรือยัง

โพสต์ที่ 1

โพสต์

เนื่องจากได้รับ อีเมล์  ของ Kimeng ให้ตอบแบบสอบถามเพื่อพัฒนาบทวิเคราะห์

ออกตัวก่อน   ไม่ได้เรียนมาทางการเงิน การลงทุน เคยได้แต่ใช้ผลงานของ
นักวิเคราะห์ที่เผยแพร่มาลงทุน  ปรากฏว่าไม่ค่อยประสบความสำเร็จ  มา
ศึกษาด้วยตนเอง อาศัยประสบการณ์อันน้อยนิด บวกกับเก็บเล็กผสมน้อยจากในเว็บนี้  ก็รู้สึกว่าดีขึ้น  

..ผมก็เลยสงสัย ว่าทำไม บทวิเคราะห์ที่ทำเผยแพร่ โดยเฉพาะ Fair Price มีความคลาดเคลื่อนจากราคาบนกระดานมาก  เข้าใจว่าราคา Fair Price เป็น มูลค่ายุติธรรม  ไม่จำเป็นที่ราคาหุ้นจะเป็นอย่างนั้น  

..แต่ก็มีคำถามต่อในใจว่า  ถ้าอย่างนั้นทำไมไม่ปรับหลักสูตร  หรือวิธีทำ Fair Price ใหม่  ให้ลดความคลาดเคลื่อนลงไปบ้าง  ให้เข้าใกล้ความเป็นไปได้ในตลาดหุ้นไทย  ไม่ใช่ลอกตำราฝรั่งมา  แล้วก็อ้างความมีประสิทธิภาพของตลาดที่แตกต่างกัน  ผมว่า หลักสูตรสอนในไทยควรจะต้องจูนอะไรสักอย่าง เพื่อใช้ได้  สามารถทำนายตัวธุรกิจได้ค่อนข้างมีประสิทธิภาพ และล่วงหน้าได้ประมาณ 6 เดือน เพื่อเป็นประโยชน์กับนักลงทุนไทย  โดยเฉพาะนักลงทุนใหม่ๆ ...  สิ่งที่แย่ๆ ของ บทวิเคราะห์ ทุกวันนี้ คือ  ราคาขึ้น  ปรับ Fair Price-ขึ้น  ราคาหุ้นตก  ปรับ Fair Price ลง  ซึ่งนักลงทุนหน้าใหม่เสียหายกันนักต่อนักแล้ว
kit556
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 274
ผู้ติดตาม: 0

ถึงเวลาต้องปรับปรุงหลักสูตรหรือยัง

โพสต์ที่ 2

โพสต์

ผมก็เริ่มลงทุนมาเกือบ 2 ปีครับเริ่มต้นก็โชคดีที่พบ Thaivi และ ได้แนวทางมาตลอด มาช่วง2-3 เดือนที่แล้วว่างงานมีเวลามากขึ้นเลยเกิดขยัน อยากรู้ว่าเดิมเราเป็นพยายามเป็น VI แต่ไม่ค่อยมีเวลาติดตามข้อมูลต่างๆ ถ้าลองขยันอ่านบทวิเคราะห์ ดูรายการวิเคราะห์หุ้น ติดตามข้อมูลทั้งค่าเงิน ตลาดไทย , Dow' และก็พวกนักวิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาค สุดท้ายความขยันก็ออกผลครับ ...

ขาดทุนเพียบ โดยเฉพาะการซื้อขายหลังจากพยายามทำตัวขยันมากขึ้น พอย้อนกลับมาดูก็พบว่ามันออกนอกแนวทาง VI แถมยังขาดผิดพลาดทั้งหมดเลย

ความเป็นมือใหม่ความรู้น้อย ประัสบการณ์ ควา่มสำเร็จก็ไม่มีมายืนยันความเห็นของตัวเอง แต่ผมพอจะแนะนำได้ว่า พวกบทวิเคราะห์ต่างๆ อย่าพยายามไปอ่านเลยครับ รวมถึงรายการวิเคราห์ต่างๆของ tv ทุกช่องด้วย (ล่าสุดเช้าๆ มีลามมาช่อง 3 ตอนเช้าแล้วทั้งๆที่เดิมช่องนี้ไม่เคยมีข่าวพวกตลาดทุนมาก่อน)

ยิ่งอยากเป็น VI ให้พยายามอยู่ห่างๆตลาดไว้ครับ ไม่ว่าจะดูเหมือนโอกาสลอยผ่านไปมาอย่างไร สุดท้ายถ้าเราอดใจไว้ได้ ตลาดก็จะตามมาง้อเราเองครับ แต่ถ้าเราอยู่ใกล้กลับตลาดมากๆ สุดท้ายเราจะกลายเป็นทาสตลาดถูกดึงขึ้นๆลงๆไปตามกระแส  :D
Kritsada
Jangster
Verified User
โพสต์: 493
ผู้ติดตาม: 0

ถึงเวลาต้องปรับปรุงหลักสูตรหรือยัง

โพสต์ที่ 3

โพสต์

เห็นด้วยกับคุณ Oatram ครับ.... ผมเองก็เคยเป็น "เหยื่อบทวิเคราะห์" มาแล้วตอนผมลงทุน(และเก็งกำไร)ใหม่ๆ.....คนมากมาย รวมทั้งผมสมัยก่อน อ่านบทวิเคราะห์ไปก็ อืม จริงแฮะ... อันนี้ก็จริง... p/e p/b เหมาะสมเท่ากับเท่านี้ ปัจจุบันเท่านี้.... upside ++++ .... ซื้อ!    แต่ก่อนผมเคยดูแม้กระทั่งว่าตัวใหนคนเชียร์มากที่สุด มี upside มากสุดแล้วซื้อ แต่หารุ้ไม่ว่าเค้าแค่เปลี่ยน PE แต่กำไรน้อยลงด้วยซ้ำ

บทวิเคราะห์ส่วนมากจะเชียร์เกินความจริง เวลาตลาดขึ้น โดยที่คนส่วนมาก เน้นว่าส่วนมาก (head count) จะไม่รู้วิธีอ่านการเงินด้วยซ้ำ.... หากปรับปรุงให้เห็นพื้นฐานหน่อยก็ดี เช่น คนไม่เรียนด้านนี้มาจะไม่รู้หรอกว่า WACC คืออะไร DCF คืออะไร ต้อง compare กันกับมูลค่าตัวใหน.... D/E เท่าใหร่ถือว่าดีสำหรับอุตสาหกรรมต่างๆ etc
Jeng
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 14784
ผู้ติดตาม: 32

ถึงเวลาต้องปรับปรุงหลักสูตรหรือยัง

โพสต์ที่ 4

โพสต์

บทวิเคราะห์ดี ตรงที่ไปสัมภาษณ์ผู้บริหาร เราก็ได้รู้อะไรคร่าวๆ ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป

ที่เหลือไม่ต้องอ่านหรอก อ่านไปก็ไม่มีอะไร

สรุปว่า ดีครับ บทวิเคราะห์

ลองเลือกแต่สิ่งดีๆ ก็พอครับ

ส่วนเรื่องการเปลี่ยนแปลงอะไรนั่น ผมคิดว่า conflic of interest

การออกบทวิเคราะห์ให้นักลงทุนได้ประโยชน์ นักวิเคราะห์ไม่ได้อะไร

แต่การเขียนเชียร์ อะไรบางอย่าง นักวิเคราะห์อาจจะได้อะไรนะครับ ( เดา )
terati20
Verified User
โพสต์: 1104
ผู้ติดตาม: 0

ถึงเวลาต้องปรับปรุงหลักสูตรหรือยัง

โพสต์ที่ 5

โพสต์

เวลาอ่านบทวิเคราะห์ไม่เคยสนใจ  Fair value  เลย
สนใจการวิเคราะห์ธุรกิจดีกว่า ถ้าเป็นพวก  commodity ก็จะมีประโยชน์มาก
8)  8)
สิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นในเบื้องต้น ตั้งอยู่ เเละดับไปในที่สุด
artvr4
Verified User
โพสต์: 767
ผู้ติดตาม: 0

ถึงเวลาต้องปรับปรุงหลักสูตรหรือยัง

โพสต์ที่ 6

โพสต์

ผม อ่านบทวิเคราะห เฉพาะ ส่วน เนื้อหาว่า จะมี อะไรบ้างที่เป็นที่น่าสนใจเพราะว่า นักวิเคราะห์จะได้เปรียบ พวกเรา ตรงที่เข้าถึงผู้บริหารได้โดยตรง

  ลองใช้นักวิเคราะห์ดูสิครับ ผมเคย โทรบอกนักวิเคราะห์ให้ช่วยโทรไปคุยกับผู้บริหาร ถามเรื่อง ที่ผมสงสัย หน่อย สรุปว่า  ได้รับคำตอบ ได้ดีกว่า ที่ผมโทรเข้าไปเองซึ่งเข้าไม่ค่อยถึงระดับบริหาร หรือได้รับคำตอบแบบ พื้นๆ

แต่ว่าเรื่อง ราคาfair price ผมว่าไม่ต้องสนใจมากหรอกคับ ตรงนี้ ขึ้นกับสมมติฐาน ของแต่ละบุคคล  บางที ผมให้  fair price สูงกว่านักวิเคราะห์ซะอีก :)
หุ้นนี่ เรียนรู้ได้ทั้งชีวิต จริงๆ
ภาพประจำตัวสมาชิก
krisy
Verified User
โพสต์: 736
ผู้ติดตาม: 2

ถึงเวลาต้องปรับปรุงหลักสูตรหรือยัง

โพสต์ที่ 7

โพสต์

เราอ่านบทวิเคราะห์เอาข้อมูลดิบเหมือนกัน ที่เหลือ follow my heart
.....Give Everything but not Give Up.....
ภาพประจำตัวสมาชิก
akkhapon
Verified User
โพสต์: 212
ผู้ติดตาม: 0

ถึงเวลาต้องปรับปรุงหลักสูตรหรือยัง

โพสต์ที่ 8

โพสต์

krisy เขียน:เราอ่านบทวิเคราะห์เอาข้อมูลดิบเหมือนกัน ที่เหลือ follow my heart
เห็นด้วยครับ

เพราะอย่างไรก็ตาม สุดท้ายแล้วก็ต้องขึ้นอยู่กับหัวใจเราเองทั้งนั้น
rungtiwa
Verified User
โพสต์: 98
ผู้ติดตาม: 0

ถึงเวลาต้องปรับปรุงหลักสูตรหรือยัง

โพสต์ที่ 9

โพสต์

บทวิเคราะห์ดี ตรงที่ไปสัมภาษณ์ผู้บริหาร เราก็ได้รู้อะไรคร่าวๆ ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป

ที่เหลือไม่ต้องอ่านหรอก อ่านไปก็ไม่มีอะไร
เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งเลย หุ้นแต่ละตัว กำหนด Fair Price ต่างกันก็แค่ ค่า PE, P/BV ถ้าตลาดขึ้นก็ให้ PE สูงหน่อย Fair Price ก็จะสูงขึ้น แต่ถ้าตลาดขาลง ก็จะกำหนดให้ PE ต่ำลง Fair Price ก็จะถูกลง เท่านั้นเอง
ยกตัวอย่างเช่น ตอน ปตท.ราคา 400 ก็บอก Fair Price อยู่ที่ 500 โดยขยับ PE สูงขึ้นไป เนื่องจากมี Fund Flow เข้ามา แล้วตอนนี้ละ อีกสักพักก็คงจะขยับ Fair Price ลงมาเอง เนื่องจาก Fund Flow ไหลออก
อย่างนี้มันเกี่ยวกับพื้นฐานอย่างไร
ภาพประจำตัวสมาชิก
Mon money
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 3134
ผู้ติดตาม: 28

ถึงเวลาต้องปรับปรุงหลักสูตรหรือยัง

โพสต์ที่ 10

โพสต์

Fair Price, Target Price ราคาเป้าหมาย ราคายุติธรรม ถ้าผมเข้าใจไม่ผิดมันคือ Fair Valueของหุ้นที่นักวิเคราะห์คำนวณได้ ตามแต่วิธีการที่เขาเลือกใช้ ส่วนที่จะให้มันคลับคล้ายคลับครากับราคาบนกระดานนั้นเห็นที่จะยากครับ เพราะที่ซื้อขายกันในกระดานนั้นมันเกิดจากอารมณ์บ้าง เหตุผลบ้างปนๆกันไป ส่วนไอ้ที่คำนวณได้นั้นเกิดจากสมมุติฐานที่แต่ละคนเลือกซึ่งเชื่อว่าพยายามเลือกให้ใกล้เคียงกับความเป้นจริงที่สุดแล้ว แต่ถ้าเทียบกับการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ของคนละก็ อารมณ์มันเปลี่ยนเร็วกว่าแยอะครับ ดังนั้นการจะใช้ข้อมูลใดๆก็ควรจะเข้าใจข้อมูลนั้นๆด้วยว่า ตัวแปรใดเปลี่ยน ทางใด ค่าที่คำนวณมานั้นจะออกหัวหรือก้อย ซึ่งนักวิเคราะห์ฝรั่งมันเขียนบอกครับ นักวิเคราะห์ไทยไม่ทำ ไม่รู้ว่าไม่รู้จริงหรือขี้เกียจเขียน หรือเขียนไปแล้วคนอ่านก็ไม่เข้าใจก็สุดจะทราบได้

หลักการด้านการValuation ข้อหนึ่งคือ สมมุติฐานที่ว่าตลาดหุ้นไม่มีประสิทธิภาพในบางช่วงเวลาครับ การValuationจึงมีประโยชน์ ถ้าตลาดมีประสิทธิภาพ วิเคราะห์แบบไหนก็ไม่มีประโยชน์ ทุกคนได้ผลตอบแทนเท่าๆกันหมด
เป็นบุญหนักหนาเหลือเกินที่ได้เกิดมาเป็นคนไทย เป็นคนไทยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ
กาละมัง
Verified User
โพสต์: 1230
ผู้ติดตาม: 3

ถึงเวลาต้องปรับปรุงหลักสูตรหรือยัง

โพสต์ที่ 11

โพสต์

เมื่อนักวิเคราะห์เขียนบทความ หรือ ให้ความเห็น  เราต้องใช้ดุลพินิจในการฟัง หรือ อ่าน   มิฉะนั้นอาจต้องเสียค่าโง่ได้ (ดังเช่นผมในอดีต) เพราะเพียง ที่เขาเรียกตนเอง ว่า เป็นนักวิเคราะห์  แต่อาจหาใช่นักวิเคราะห์มืออาชีพ ไม่  ส่วนตัวเชื่อว่า ณ.วันนี้ นักวิเคราะห์มืออาชีพ จริง ๆ มีจำนวนน้อยมาก ครับ
chatchai
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 11444
ผู้ติดตาม: 87

ถึงเวลาต้องปรับปรุงหลักสูตรหรือยัง

โพสต์ที่ 12

โพสต์

คุณมนตรี  ผมคิดว่า Fair Value ในบทวิเคราะห์ก็มีส่วนจากอารมณ์ของนักวิเคราะห์เหมือนกันนะ  ประเภทอารมณ์ดีเพราะบรรยากาศตลาดคึกคัก  ก็ให้สูงหน่อย

ส่วนสมมติฐานและวิธีคำนวณ  ผมคิดว่านักวิเคราะห์คงคิดว่าไม่ใส่ดีกว่า  เดี๋ยวตอบไม่ได้ว่า  ทำไมถึงตั้งค่าสมมติฐานไว้เท่านั้นเท่านี้

แต่อาชีพนักวิเคราะห์ก็เป็นอาชีพที่น่าเห็นใจครับ  หุ้นขึ้นหุ้นลงก็ต้องหาเหตุผลมาตอบนักเก็งกำไรให้ได้  ถึงแม้คำตอบบางทีก็ดูไม่สมเหตุสมผลซักเท่าไร  ไม่งั้นอาจตกงาน
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
ภาพประจำตัวสมาชิก
Mon money
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 3134
ผู้ติดตาม: 28

ถึงเวลาต้องปรับปรุงหลักสูตรหรือยัง

โพสต์ที่ 13

โพสต์

พี่ฉัตร ส่วนบทวิเคราะห์ที่ผมมักจะยอมเสียเวลาอ่านนี้ส่วนมากจะมีสมมุติฐานมาให้ เช่น WACCเท่าไร Growth เท่าไร กี่ปี Terminal Growthเท่าไร แต่ถ้าเขียนลอยๆว่าประเมินแบบ DCF แล้วได้Fair priceเท่านั้นเท่านี้ อ่านแล้วเสียเวลา เพราะไม่รู้ว่ามั่วมาเปล่า

นักวิเคราะห์ก็คนนะพี่นะ อารมณ์ความรู้สึกก็มี อย่างเช่นงานของที่หนึ่งประเมิน WACCซะสูงลิบเลย เช่น WACC = 12% แต่พอคำนวณ ROAออกมาได้แค่ 9.xx % แสดงว่าเอาเงินที่มีต้นทุน 12%มาลงทุนแล้วได้แค่ 9.xx% แล้วบริษัทมันจะมีมูลค่าเพิ่มได้ไงเนี่ย พอถามไปที่นักวิเคราะห์ที่ทำวิเคราะห์นั้น ก็บอกว่า

"อ๋อ...เพิ่มdiscount ที่สภาพคล่องของหุ้นไปด้วยค่ะ"

ผมก็เลยบอกไปว่า

"ถ้างั้นไม่ใช่ WACC แล้วล่ะ มันน่าจะเป็น Expected Return หรือ Cost of equity ของผู้ลงทุนแล้วมั่ง  แล้วถ้าใช้WACC จะต้องหัก NPV ด้วย หนี้ทั้งหมดด้วยนะถึงจะได้ มูลค่าหุ้น"

"เหรอค่ะ"

จากนั้นผมก็ไม่ได้ตอกย้ำอะไรอีก เพราะน้องเขาน่ารักมาก :B อันนี้อาจจะเป็นอารมณ์ความรู้สึกของผมเอง อิ อิ
เป็นบุญหนักหนาเหลือเกินที่ได้เกิดมาเป็นคนไทย เป็นคนไทยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ
โพสต์โพสต์