modern trade and household

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

modern trade and household

โพสต์ที่ 1

โพสต์

ยักษ์ค้าปลีกเร่งปรับตัวรับแข่งขันดุ

โพสต์ทูเดย์ ค้าปลีกแข่งสนั่น เทสโก้ฯ ปรับภาพลักษณ์เสื้อผ้าแฟชั่น เฮาส์แบรนด์ ฝั่งซีอาร์ซี ขยับชั้นชู ซีอาร์เอ็ม ผ่านเดอะวัน การ์ด
นางอารียา รัตนาพิทักษ์เทพ รองประธานฝ่ายเสื้อผ้าสตรี บริษัท เอก-ชัย ดิสทริบิวชั่น ซิสเทม ผู้บริหารร้านค้าปลีก เทสโก้ โลตัส กล่าวว่า จะนำประสบการณ์จากการบริหารเครื่องแต่งกายแฟชั่นเสื้อผ้ายี่ห้อชั้นนำก่อนหน้านี้ อาทิ เอสปรี บอสสินี มาประยุกต์ใช้กับการทำตลาดเสื้อผ้าสตรีแบรนด์ต่างๆ ของบริษัท (เฮาส์แบรนด์) จำนวน 4 ยี่ห้อคือ เทรซี อเมเลีย แอซซายด์ และ เจมี สปอร์ต โดยวางตำแหน่งสินค้าตามกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกัน

เบื้องต้นจะให้ความสำคัญ 2 แบรนด์หลัก คือ เทรซี เสื้อผ้าผู้หญิงแนวลำลอง และอเมเลีย เสื้อผ้าผู้หญิงชุดทำงาน โดยบริษัทว่าจ้างโรงงานภายนอกเป็น ผู้ดำเนินการผลิตสินค้า ขณะเดียวกัน ได้จัดตั้งทีมงานใหม่ด้านการออกแบบสินค้าขึ้นมาโดยเฉพาะ เพื่อปรับภาพลักษณ์สินค้าเสื้อผ้าแฟชั่นสุภาพสตรี ให้ทันสมัย และเข้ากระแสความ นิยมในปัจจุบันเพื่อให้มีความแตกต่างไปจากผู้ให้บริการค้าปลีกขนาดใหญ่ หรือไฮเปอร์มาร์เก็ตในตลาดเดียวกัน โดยวางระดับราคาสินค้าเริ่มต้น 159-499 บาท

แนวทางดังกล่าวเป็นทิศทางเดียวกับห้างเทสโก้ โลตัส ในต่างประเทศ นอกจากนี้จะเร่งจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายแบรนด์เนม สินค้าเฮาส์แบรนด์ ของเทสโก้ฯ โดยโรดโชว์สินค้าตาม หัวเมืองสำคัญ โดยเฉพาะจังหวัดท่องเที่ยวเพื่อจับกลุ่มเป้าหมายนักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังประเทศไทย

ขณะเดียวกัน ยังได้ปรับภาพลักษณ์พื้นที่ขายสินค้ากลุ่มดังกล่าว ให้ทันสมัยยิ่งขึ้น เพื่อดึงดูดกลุ่มเป้าหมายหลักเดิมที่เข้ามาจับจ่ายซื้อสินค้าภายในห้างเทสโก้ฯ ที่เป็นกลุ่มระดับบีขึ้นไปด้วย

ทั้งนี้ หลังทดลองเปิดตัวสินค้าแฟชั่นเฮาส์แบรนด์ ตั้งแต่ 3-4 เดือนที่ผ่านมา สินค้ากลุ่มนี้มีอัตราเติบโตกว่า 15% เทียบกับช่วงเดียวกับปีที่ผ่านมา โดยสินค้ากลุ่มแฟชั่นมียอดขายสัดส่วน 10% ของรายได้รวมของบริษัท

นายอลัน นามชัยศิริ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส ฝ่ายการตลาด บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น หรือ ซีอาร์ซี กล่าวว่า มีแผนลงทุน 30 ล้านบาท เพื่อพัฒนาระบบไอทีรองรับการขยายเครือข่าย สมาชิกบัตรเดอะวัน การ์ด เพื่อดึงพันธมิตรร้านค้าที่อยู่ในศูนย์การค้าเซ็นทรัล เซน โรบินสัน เพาเวอร์บาย ซูเปอร์สปอร์ต บีทูเอส และโฮมเวิร์ค กว่า 230 สาขา

รวมทั้งทำให้สามารถออกไปรับสมัครสมาชิกบัตรเพิ่มเติมนอกศูนย์การค้าได้ จากเดิมที่ลูกค้าต้องมาสมัครภายในศูนย์การค้า ซึ่งคาดว่าจะสามารถ เพิ่มยอดสมาชิก เดอะวัน การ์ดภายในสิ้นปีนี้เพิ่มเป็น 1.8 ล้านราย และมีรายได้เพิ่มมากขึ้น จากปัจจุบันหลังจากดำเนินการมาครบ 1 ปี (มิ.ย. 49-มิ.ย.50) มีจำนวนสมาชิก 1.5 ล้านราย และมีรายได้จากการจำหน่ายผ่านบัตร 3.8 หมื่นล้านบาท จากรายได้รวมของซีอาร์ซีที่ทำได้ 5 หมื่นล้านบาท
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=176748
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news05/07/07

โพสต์ที่ 2

โพสต์

โรบิสสันเชียงใหม่ทุ่ม200ล้าน+รีโนเวตห้าง ขนแบรนด์เนมประเคนนักช็อปล้านนาคว้าเป้าโต 20%  
โดย ฐานเศรษฐกิจ วัน พฤหัสบดี ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 04:50 น.

โรบินสันเชียงใหม่ทุ่มงบกว่า 200 ล้านบาท รีโนเวท โรบินสัน ตันตราภัณฑ์เชียงใหม่ แหล่งรวมสินค้าแฟชั่นแบรนด์เนมที่ทันสมัยที่สุดในภาคเหนือ ขยายฐานกลุ่มคนรุ่นใหม่ประเภทนักเรียนนักศึกษา โดยตั้งเป้าเติบโต 20%
นายวรวัชร ตันตรานนท์ กรรมการบริหาร บริษัท ซีอาร์ เชียงใหม่(ประเทศไทย) จำกัด ผู้บริหารห้างสรรพสินค้าโรบินสัน ตันตราภัณฑ์เชียงใหม่ เปิดเผย ฐานเศรษฐกิจ ว่า ทางโรบินสัน ได้ทุ่มงบกว่า 200 ล้านบาท รีโนแวท โรบินสัน ตันตราภัณฑ์ เชียงใหม่ ด้วยคอนเซปท์ ไดนามิค ชิมพลิซิตี้ ( Dinamic Simplicity) เน้นการตกแต่งด้วยเทรนด์ที่เรียบง่ายแต่แฝงไว้ด้วยความทันสมัยสามารถปรับเปลี่ยนลุคได้ตลอดเวลาตามกระแสความนิยมซึ่งขณะนี้ได้ปรับปรุงไปคืบหน้าไปกว่า 95% แล้ว

ที่สำคัญ โรบินสัน ได้รวบรวมสินค้าแฟชั่นและสินค้าแบรนด์เนมชั้นนำมากมายเข้ามาเติมเต็มไว้อย่างครบครัน ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ เพื่อให้โรบินสัน ตันตราภัณฑ์ เชียงใหม่ เป็นห้างสรรพสินค้าของคนรุ่นใหม่ ไลฟ์สไตล์ ทันสมัย อย่างแท้จริง ซึ่งจากการปรับภาพใหม่ในครั้งนี้คาดว่าโรบินสัน ตันตราภัณฑ์ เชียงใหม่ จะเติบโตขึ้นจากเดิมถึง 20%

จากการสำรวจพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมาย พบว่า 50% ของฐานลูกค้าประจำและยอดขายมาจาก กลุ่มคนรุ่นใหม่ นักเรียน นักศึกษา และกลุ่มวัยรุ่น วัยเริ่มทำงาน และกลุ่มครอบครัวรุ่นใหม่ ซึ่งมีไลฟ์สไตล์ทันสมัย เป็นตัวของตัวเอง ติดตามกระแสของแฟชั่น รักความทันสมัย ไม่หยุดนิ่ง ดังนั้นในการปรับโฉม โรบินสัน ตันตราภัณฑ์ เชียงใหม่ ครั้งนี้เพื่อต้องการให้โรบินสัน กลายเป็นห้างในใจของผู้บริโภค เป็นศูนย์กลางการช้อปปิ้งที่ครบครันทันสมัยที่สุดในภาคเหนือและเป็นศูนย์รวมสินค้าแฟชั่นทันสมัยที่ครบครันทุกความต้องการช่วยเติมเต็มทุกไลฟ์สไตล์ได้อย่างลงตัว โดยเน้นกลุ่มคนรุ่นใหม่ ด้วยรูปแบบการออกแบบตกแต่งบรรยากาศให้ทันสมัย และนำเสนอสินค้าที่ตรงใจตรงกับความต้องการ

ด้านนายศิระ สันติตรานนท์ ผู้จัดการทั่วไปห้างสรรพสินค้า โรบันสัน ตันตราภัณฑ์ เชียงใหม่ กล่าวว่า การปรับโฉมใหม่ห้างฯเป็นความครบครัน ทันสมัย ในทุกชั้นทุกแผนก โดยได้ขยายพื้นที่ขายเพิ่มขึ้นจากเดิม ซึ่งมีเพียง 4 ชั้น เพิ่มเป็น 5 ชั้น เพิ่มพื้นที่ขายจาก 18,000 ตารางเมตร เป็น 22,000 ตารางเมตร และเพิ่มสินค้าแบรนด์เนมชั้นนำอีกมากกว่า 50% โดยมีลูกค้าเข้ามาให้บริการในห้างสรรพสินค้าโรบินสัน ตันตราภัณฑ์ เชียงใหม่วันละประมาณ 15,000-25,000 คนและเพิ่มเป็น 20,000-30,000 คน สำหรับในวันเสาร์และวันอาทิตย์

คาดว่าภายหลังจากงานฉลองภาพลักษณ์ใหม่ครั้งยิ่งใหญ่ที่จะมีขึ้นในเดือนกรกฎาคมนี้ จะมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการเพิ่มมากยิ่งขึ้น เนื่องจากเชียงใหม่ มีศักยภาพสูงและมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากการเปิดตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจโรงแรมและการค้าต่างๆในขณะนี้ที่มีมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
http://news.sanook.com/economic/economic_152593.php
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news05/07/07

โพสต์ที่ 3

โพสต์

ครม.จี้พาณิชย์อุ้มโชห่วย ห่วงยักษ์ค้าปลีกข้ามชาติรังแก  

นางเนตรปรียา ชุมไชโย ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)เมื่อวันที่3กรกฏาคม รับทราบตามข้อเสนอของ กระทรวงมหาดไทย เกี่ยวกับมาตรการเร่งด่วนในการแก้ปัญหาธุรกิจค้าปลีก ค้าส่ง ในระหว่างที่ร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจค้าปลีก ค้าส่ง พ.ศ... ยังไม่มีผลบังคับใช้

เนื่องจากขณะนี้กระทรวงมหาดไทยได้ใช้มาตรการด้านกฎหมายว่าด้วยการผังเมือง และกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคารในการดำเนินการ เพื่อชะลอการอนุญาตก่อสร้างหรือดัดแปลงอาคาร และเพื่อขยายสาขาธุรกิจของห้างค้าปลีกค้าส่งสมัยใหม่ ซึ่งได้ออกกฎกระทรวงห้ามการก่อสร้างอาคารพาณิชย์สำหรับการค้าปลีกค้าส่ง รวม 145 ฉบับ โดยแจ้งเวียนให้ผู้ว่าราชการจังหวัดกำชับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พิจารณาการก่อสร้างอาคารอย่างรอบคอบและถูกต้องตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด และควรจะมีการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนในท้องถิ่นด้วย รวมถึงการควบคุมการขยายสาขาของธุรกิจค้าปลีกขนาดพื้นที่ไม่น้อยกว่า 300 ตารางเมตร

"ครม.เห็นว่าแนวทางดังกล่าวเป็นการช่วยเหลือเพียงช่วงสั้นเท่านั้น จึงต้องการให้กระทรวงพาณิชย์ ประสานกับ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เร่งออกกฎหมายมาควบคุมดูแลร้านค้าปลีกรายย่อย และมีผลบังคับใช้โดยเร็ว"นางเนตรปรียา กล่าว  
http://www.naewna.com/news.asp?ID=66226
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news05/07/07

โพสต์ที่ 4

โพสต์

"โลตัส"ติดเครื่องแฟชั่นเฮาส์แบรนด์ ถูกสุดแค่199บ.ชนร้านค้า-แผงลอย

ยักษ์ค้าปลีก "เทสโก้ โลตัส" บูมตลาดเสื้อผ้าแฟชั่นเฮาส์แบรนด์ ยึดสยามเซ็นเตอร์เปิดแคต วอล์ก โชว์ดีไซน์เสื้อผ้าอินเทรนด์ เพิ่มทางเลือกคนรุ่นใหม่ ราคาเริ่มต้นแค่ชิ้นละ 199 บาท ประกบแฟชั่นแผงลอย-เปิดท้าย บิ๊กซีชี้ "คุณภาพ-ราคา" หัวใจสำคัญ ส่วนคาร์ฟูร์เล็งรีลอนช์ใหญ่ พร้อมขนสินค้าเฮาส์แบรนด์จาก ตปท.เสริมทัพอีกเพียบ

ชัดเจนว่าบรรดาผู้ประกอบการค้าปลีกยักษ์ใหญ่กำลังรุกคืบและให้ความสำคัญกับสินค้าในกลุ่มเฮาส์แบรนด์ (สินค้าที่ผู้ประกอบการค้าปลีกผลิตและจำหน่ายเอง) อย่างต่อเนื่อง สาเหตุหลักๆ นอกจากจะมีราคาประหยัด สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ สินค้ากลุ่มนี้ไม่ต้องมีค่าการตลาดมาก ล่าสุด เทสโก้ โลตัส ได้สร้างสีสันให้กับวงการ เปิดตัวด้วยแฟชั่นโชว์ Hot of the Catwalk โดยนายแบบ-นางแบบชื่อดัง กลางศูนย์ การค้าสยาม เซ็นเตอร์ ศูนย์รวมของแฟชั่นเมืองไทย

นายดามพ์ สุคนธทรัพย์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท เอกชัย-ดิสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า กิจกรรมที่จัดขึ้นดังกล่าว บริษัทต้องการสร้างการรับรู้ให้กับลูกค้าเป้าหมายถึงการทำตลาดแฟชั่นอย่างเป็นรูปแบบมากขึ้น การนำร่องจัดงานแฟชั่นโชว์ที่สยาม เซ็นเตอร์ครั้งนี้เป็นการเปิดตัวแคมเปญเครื่องแต่งกายผู้ชายและผู้หญิงคอลเล็กชั่นใหม่ล่าสุด เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่เป็นนักช็อปคนรุ่นใหม่ และแสดงให้เห็นว่าเทสโก้ โลตัส ให้ความสำคัญกับตลาดแฟชั่น

ที่ผ่านมา บริษัทได้สำรวจความต้องการ พบว่าลูกค้าจำนวนมากต้องการให้เทสโก้ โลตัส ให้ความสำคัญกับสินค้าแฟชั่นมากขึ้น มีรูปแบบ และดีไซน์ ที่ทันสมัยสอดคล้องกับความต้องการและกระแสของแฟชั่นในช่วงเวลานั้นๆ

"ที่ผ่านมาเรามีสินค้ากลุ่มเสื้อผ้าและแฟชั่นอยู่แล้ว แต่จากนี้ไปบริษัทจะหันมาให้ความสำคัญกับสินค้ากลุ่มนี้มากขึ้น ด้วยการเพิ่มในแง่ของความทันสมัยของแบบและดีไชน์ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดมากขึ้น"

ส่งแฟชั่น 199 บาทบุก

นายดามพ์กล่าวว่า ราคาเริ่มต้นของสินค้าแฟชั่นเฮาส์แบรนด์ของเทสโก้ โลตัส จะเริ่มต้นที่ชิ้นละ 199-249 บาท หรือหากเป็นกรณีของรองเท้าหรือกระเป๋าราคาเริ่มต้นจะอยู่ที่ 199 บาท

"ในช่วงครึ่งปีหลังเทสโก้ โลตัส จะมีการทำการตลาดที่มีความเข้มข้นมากขึ้น และจะมีกิจกรรมในรูปแบบต่างๆ ออกมากระตุ้นอย่างต่อเนื่อง"

ทั้งนี้ ในโบรชัวร์สินค้าเทสโก้ โลตัส ฉบับวันที่ 29 มิถุนายน-30 กรกฎาคม 2550 ได้แนะนำสินค้าเสื้อผ้าแฟชั่นดังกล่าวที่มีทั้งเสื้อผ้าสุภาพบุรุษและสตรี โดยสุภาพบุรุษนั้นเสื้อยืดมีราคาเริ่มต้นที่ 199 บาท เสื้อเชิ้ต 299 บาท กางเกง 359-499 บาท รองเท้า 265-399 บาท ส่วนสุภาพสตรี เสื้อราคาเริ่มต้น 199-249 บาท กางเกง 129-249 บาท กระเป๋า 199 บาท รองเท้า 199 บาท

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลาดสินค้าแฟชั่นที่เป็นแผงลอย และร้านค้าในสไตล์เปิดท้ายรถมักจะมีราคาเริ่มต้นที่ 199 บาท กลยุทธ์ราคาของเทสโก้ โลตัส ดังกล่าวจึงน่าจะมีกลุ่มเป้าหมายเดียวกัน
http://www.matichon.co.th/prachachat/pr ... ionid=0201
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news05/07/07

โพสต์ที่ 5

โพสต์

ก้าวสำคัญ "เดอะมอลล์ กรุ๊ป" เดินหน้าสร้าง alliance ธุรกิจ

ด้วยความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรเดอะมอลล์ กรุ๊ปที่มีศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ในมือถึง 3 ศูนย์หลัก ทั้งเดอะมอลล์ 6 สาขา ดิ เอ็มโพเรียม และสยามพารากอน ทำให้ผู้บริหารหญิงเก่งอย่าง "ศุภลักษณ์ อัมพุช" ต้องมองกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจทั้งแนวราบและแนวลึกอย่างรอบคอบและกว้างไกลให้มากที่สุด
สิ่งหนึ่งที่ "ศุภลักษณ์" มองเห็นและนำมาเป็นกลยุทธ์หลักในการบริหารงานมาเนิ่นนาน คือ ความแข็งแกร่งของธุรกิจที่ยืนอยู่ได้ด้วยการมีพันธมิตรทางการค้าที่เข้มแข็งในภาวะที่เศรษฐกิจเป็นเช่นนี้
เธอยอมรับว่าการทำอะไรต่อมิอะไรเพียงคนเดียวดูจะเป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคนี้ เพราะฉะนั้นเรื่อง alliance จึงเป็นสิ่งที่เครือ เดอะมอลล์ให้ความสำคัญ
ด้วยการมองว่าเดอะมอลล์ กรุ๊ปเป็นธุรกิจที่เกิดมาจากครอบครัว ไม่ใช่บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพราะฉะนั้นเครือนี้จำเป็นต้องมี "พันธมิตร" ต้องมีเพื่อนร่วมธุรกิจที่ดี
และสำคัญยิ่งในชั่วโมงนี้
เพราะการแข่งขันที่สูงลิ่ว
เพราะการสร้างสรรค์บริการที่ครบถ้วนให้กับ ผู้บริโภคเป็นสิ่งทำโดยลำพังได้ยาก

"การจัดงานแต่ละครั้งจำเป็นต้องมีเป้าหมาย จัดงานหนึ่งงานใช้เงินมหาศาล การทำแล้วได้ ฐานลูกค้าที่เยอะขึ้น แข็งแรงขึ้น ทำคนเดียวไม่ได้ โดยเฉพาะการที่คุณจัดงานต่อปีไม่รู้กี่ร้อยงาน พันธมิตรจึงเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ซึ่งพันธมิตรที่ทางเครือเดอะมอลล์เลือกก็ต้องเป็นพันธมิตรที่มีเป้าหมายเดียวกัน มีศักยภาพเหมือนกัน เพราะฉะนั้นการเลือกพันธมิตรแต่ละครั้งก็เป็นอะไรที่ยากพอสมควร"
http://www.matichon.co.th/prachachat/pr ... ionid=0207
BHT
Verified User
โพสต์: 1822
ผู้ติดตาม: 0

modern trade and household

โพสต์ที่ 6

โพสต์

เสียดายไม่มีเดอะมอลล์ในตลาดให้ซื้อ เค้าว่ารายได้กำไรดีมากๆ
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news06/07/07

โพสต์ที่ 7

โพสต์

แฟมิลี่มาร์ทเข้มโละ100สาขารายได้อืด

โพสต์ทูเดย์ แฟมิลี่มาร์ท โละทิ้ง 100 สาขายอดขายอืด เร่งปรับทัพองค์กร รุกหาพันธมิตรพร้อมอัดงบ 400 ล้านบาท ลุยสาขาใหม่

นายทาเกชิ ทากาสุงิ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท สยามแฟมิลี่มาร์ท กล่าวว่า ปีนี้บริษัทเตรียมปิดสาขาเดิมของร้านสะดวกซื้อ แฟมิลี่มาร์ท ที่ยอดขายไม่เป็นไปตามเป้าประมาณ 100 สาขา พร้อมลงทุนอีก 400 ล้านบาท เพื่อพัฒนาระบบการบริการสินค้า และขยายสาขาเพิ่มในปี 2550 อีก 60 แห่ง รวมถึงการปรับปรุงสาขาเดิมอีก 60 แห่ง

เบื้องต้นคาดว่าภายในสิ้นปีแฟมิลี่มาร์ทจะมีสาขาทั้งสิ้นประมาณ 500 แห่งทั่วประเทศ และภายในระยะเวลา 5 ปี บริษัทตั้งเป้าที่จะเพิ่มส่วนแบ่งตลาดของร้านสะดวกซื้อให้ได้ประมาณ 20% จากปัจจุบันมีส่วนแบ่งอยู่ประมาณ 10%

ทั้งนี้ แผนการดำเนินงานหลักๆ ในปี 2550 บริษัทจะเร่งปรับโครงสร้างภายในองค์กร ด้านบุคลากรสายปฏิบัติการ และสายการพัฒนาธุรกิจเพื่อให้รากฐานของบริษัทมีความแข็งแกร่ง รวมถึงการบริการสินค้าเพื่อช่วยกระตุ้นยอดขายให้สูงขึ้น พร้อมเดินหน้าหาพันธมิตรชาวไทย เพื่อเข้ามาช่วยในการเสริมธุรกิจให้มีความแข็งแกร่งมากขึ้น เพราะปัจจุบันต้องยอมรับว่า บริษัทยังมีจุดอ่อนจากจำนวนสาขาที่ยังน้อยอยู่

บริษัทยังเล็งขยายเพิ่มรายการสินค้าภายในร้านมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มอาหารพร้อมทาน และเครื่องดื่มให้มีสัดส่วนเพิ่มเป็น 70% จากปัจจุบัน มีอยู่ 45% เท่านั้น ซึ่งไม่รวมสินค้าในกลุ่มบุหรี่และแอลกอฮอล์ ซึ่งส่วนใหญ่ที่ผู้บริโภคเลือกใช้บริการร้านสะดวกซื้อ เพราะต้องการซื้อสินค้าและเครื่องดื่ม รวมถึงขนมขบเคี้ยวเป็นหลัก นาย ทาเกชิ กล่าว

นอกจากนี้ ยังปรับปรุงระบบเคาน์เตอร์ เซอร์วิส ด้วยการเปลี่ยนบัตรที่ใช้สำหรับชำระสินค้า และบริการจากเดิมที่ใช้บัตรยูดี เพย์ พอยต์ ซึ่งปิดตัวลงไป มาผ่อนชำระผ่านบัตรเจมาร์ท เพย์ พอยต์ แทน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างทดลองระบบ โดยปีนี้ ตั้งเป้ายอดขายเท่ากับปีก่อนคือ 6.2 พันล้านบาท
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=176956
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news07/07/07

โพสต์ที่ 8

โพสต์

ค้าปลีกครึ่งปีหลังเร่งปรับกลยุทธ์กระตุ้นยอดขาย

29 มิถุนายน พ.ศ. 2550 17:33:00

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : เศรษฐกิจไทยเผชิญกับปัจจัยลบหลายประการในช่วงครึ่งแรกปี 2550 ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ทางการเมือง ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนการปรับขึ้นของราคาน้ำมัน ที่มีส่วนกดดันให้สถานการณ์การธุรกิจค้าปลีกไทยในช่วงเวลาดังกล่าวเป็นไปในทิศทางที่ชะลอลง

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า อัตราการขยายตัวของดัชนีมูลค่าค้าปลีกของไทยในไตรมาสแรกปี 2550 มีการปรับตัวในทิศทางที่ชะลอตัวลงอย่างชัดเจน โดยจากรายงานของธนาคารแห่งประเทศไทย พบว่าดัชนีมูลค่าค้าปลีกในช่วง 3 เดือนแรกปี 2550 ลดลงร้อยละ 2.4 ซึ่งนับเป็นอัตราการเติบโตที่ต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับช่วงไตรมาสแรกของแต่ละปีในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

อีกทั้งยังเป็นระดับการเติบโตที่ต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับอัตราการเติบโตของดัชนีมูลค่าค้าปลีกในปี 2548-2549 ที่เติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.1 และร้อยละ 0.3 ตามลำดับด้วย โดยหมวดหมู่สินค้าที่มีปรับลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนส่วนใหญ่เป็นกลุ่มสินค้าคงทน เช่น กลุ่มวัสดุก่อสร้าง สี และกระจก เครื่องใช้ในครัวเรือน รวมถึงเครื่องใช้ไฟฟ้า

ขณะที่ยอดขายห้างสรรพสินค้ายังมีการเติบโตบ้างตามการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย และกลุ่มสินค้าค้าปลีกทั่วไปที่จำเป็นต่อการครองชีพ เช่น ยา อาหารสด ผัก และผลไม้ ซึ่งการปรับตัวของภาพรวมธุรกิจค้าปลีกในช่วงไตรมาสแรกปี 2550 นั้นเป็นไปตามทิศทางการบริโภคภาคเอกชนโดยรวมของไทยที่หดตัวลงอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2549 โดยจากข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ระบุว่า ในปี 2550 การบริโภคภาคเอกชนที่แท้จริงชะลอตัวลงอย่างรวดเร็วจากอัตราการเติบโตร้อยละ 3.9 ต่อปี ในไตรมาสแรกปี 2549 และร้อยละ 2.5 ต่อปีในไตรมาสสี่ปี 2549 เหลือร้อยละ 1.3 ต่อปี ในไตรมาสแรกปี 2550

ภาพรวมของธุรกิจค้าปลีกในครึ่งแรกปี 2550 คาดว่าน่าจะเติบโตในอัตราที่ค่อนข้างต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับครึ่งแรกของปี 2546-2548 ที่มีอัตราการเติบโตของค่าเฉลี่ยดัชนีมูลค่าค้าปลีกถึงร้อยละ 15 โดยคาดว่าอัตราการขยายตัวในครึ่งแรกปี 2550 น่าจะเติบโตประมาณร้อยละ 1-3

โดยยอดใช้จ่ายที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นนั้นส่วนหนึ่งอาจจะเป็นผลมาจากการขยายสาขาที่เพิ่มขึ้นของบรรดาร้านค้าปลีกสมัยใหม่ โดยเฉพาะการขยายสาขาในรูปแบบที่มีขนาดเล็กลงที่กระจายตัวครอบคลุมพื้นที่ในวงกว้างมากขึ้น และราคาสินค้าที่แพงขึ้นตามต้นทุนที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากปีก่อน ซึ่งการที่ภาพรวมของสถานการณ์ธุรกิจค้าปลีกในช่วงครึ่งแรกปี 2550 มีแนวโน้มทรงตัวต่อเนื่องจากปีก่อน และชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับปี 2546-2548 นั้น เป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจไทยในปี 2550 ที่คาดว่าจะทรงตัวต่อเนื่องจากปี 2549 อันเป็นผลมาจากแนวโน้มการชะลอตัวลงของการบริโภคของภาคเอกชนและการลงทุนในประเทศ

ค้าปลีกครึ่งปีหลังมีหวังเห็นตัวเลขโต

สำหรับในด้านปัจจัยเสี่ยงของเศรษฐกิจไทยที่จะมีผลกระทบต่อการเติบโตของธุรกิจค้าปลีกในครึ่งหลังปี 2550 นั้น พบว่าสถานการณ์ด้านการเมืองในประเทศยังคงเป็นประเด็นหลักที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในการลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญในเดือนกันยายน และการเลือกตั้งทั่วไปที่จะเกิดขึ้นในเดือนธันวาคม 2550 ตามที่รัฐบาลได้ประกาศไว้ ต่อเนื่องไปจนถึงเสถียรภาพของรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง

ในขณะที่ทิศทางราคาน้ำมันก็อาจจะส่งผลต่อภาวะเงินเฟ้อและการดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยได้ สำหรับปัจจัยภายนอกประเทศที่อาจจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยก็ได้แก่ การชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯที่อาจกระทบโดยตรงต่อการส่งออกของไทย อันจะมีผลต่อเนื่องถึงกำลังซื้อของผู้บริโภคภายในประเทศในระดับหนึ่ง

อย่างไรก็ตามคาดว่าในช่วงครึ่งหลังปี 2550 น่าจะยังคงมีปัจจัยกระตุ้นการบริโภคภาคเอกชนอยู่บ้าง อันจะนำมาสู่การจับจ่ายใช้สอยที่เพิ่มขึ้นในธุรกิจค้าปลีกตามมา ได้แก่

ปัจจัยพื้นฐานระยะยาวของประเทศที่ยังอยู่ในเกณฑ์ดี ไม่ว่าจะเป็นเงินเฟ้อที่ค่อนข้างต่ำ การว่างงานมีไม่มากนัก การเกินดุลบัญชีเดินสะพัดที่ต่อเนื่อง อีกทั้งยังมีเงินสำรองระหว่างประเทศมาก และหนี้ภาครัฐก็ไม่มากนัก ซึ่งแม้ว่าสถานการณ์การเมืองจะยังคงเป็นตัวแปรสำคัญที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด แต่หากอุณหภูมิทางการเมืองลดลงภายในเร็ววัน ผลจากมาตรการภาครัฐที่ดำเนินการมาตั้งแต่ต้นปีก็น่าจะเห็นผลเร็วขึ้นตามไปด้วย จากการประมาณการของ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า มูลค่าค้าปลีกในครึ่งหลังปี 2550 น่าจะสามารถขยายตัวร้อยละ 2-5

?ตลาดหุ้นปรับตัวดีขึ้นตามลำดับ โดยสามารถผ่านระดับ 700 จุดได้นับตั้งแต่ต้นเดือนพฤษภาคม และล่าสุดเมื่อกลางเดือนมิถุนายนก็มาอยู่ที่ 750-760 จุด ขณะที่ ณ วันสิ้นปี 2549 ตลาดหุ้นปิดที่ 679.84 จุด ทำให้ความมั่งคั่งในกลุ่มผู้บริโภคระดับกลางขึ้นไปน่าจะกลับมาได้บ้างในครึ่งหลังปี 2550

ดอกเบี้ยปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี และเริ่มมีเสถียรภาพพอสมควร ก็น่าจะช่วยกระตุ้นการบริโภคได้มากขึ้นในครึ่งหลังปี 2550 โดยเฉพาะสินค้าที่อ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ย เช่นเครื่องใช้ไฟฟ้า รถจักรยานยนต์ รถยนต์ และอสังหาริมทรัพย์

มาตรการภาครัฐเพื่อกระตุ้นด้านการบริโภคภาคเอกชน เช่น 1.มาตรการคงภาษีมูลค่าเพิ่มที่ 7% จากเดิมที่จะมีการปรับขึ้นไปที่ 10% ก็น่าจะบรรเทาภาระการใช้จ่ายของผู้บริโภคได้ระดับหนึ่ง 2.การปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการในเดือนตุลาคมอีกร้อยละ 4 ที่น่าจะมีส่วนให้เม็ดเงินในระบบปรับเพิ่มขึ้น 3.การเพิ่มวงเงินลดหย่อนค่าดอกเบี้ยเงินกู้ซื้อบ้านไปหักลดหย่อนภาษีจากวงเงิน 50,000 บาท เป็น 100,000 บาท ที่หวังเพื่อกระตุ้นให้มีการซื้อบ้านและอสังหาริมทรัพย์เพิ่มมากขึ้น 4.มาตรการการเพิ่มค่าลดหย่อนในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากร้อยละ 40 ของเงินได้แต่ไม่เกิน 60,000 บาท เป็น ร้อยละ 60 ของเงินได้แต่ไม่เกิน 100,000 บาท เพื่อเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ประชาชน ที่อยู่ระหว่างการพิจารณา ซึ่งหากเป็นจริงก็น่าจะเป็นการเพิ่มกำลังซื้อแก่ผู้บริโภคได้บ้าง

นอกจากนี้รัฐบาลยังมีโครงการใช้จ่ายต่างๆเพื่อช่วยประชาชนในต่างจังหวัด เช่น โครงการยุทธศาสตร์อยู่ดีมีสุขระดับจังหวัด และโครงการพัฒนาหมู่บ้านและชุมชนตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง รวมถึงการเร่งรัดโครงการที่ก่อให้เกิดการจ้างงานในระดับรากหญ้า และให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐดำเนินโครงการปล่อยสินเชื่อสู่รากหญ้าในกลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ทั้งนี้เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจระดับรากหญ้าให้เกิดการจ้างงานและสร้างรายได้แก่ประชาชนทั่วไป
http://www.bangkokbiznews.com/2007/06/2 ... wsid=81688
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news07/07/07

โพสต์ที่ 9

โพสต์

เดอะมอลล์ ปะทะ เซ็นทรัล [ ฉบับที่ 808 ประจำวันที่ 7-7-2007 ถึง 10-7-2007]  
>>โหม CRM เพิ่มแต้มต่อลอยัลตี้แบรนด์เชิงลึก

ยักษ์ค้าปลีกถล่มสงคราม CRM เจาะตรงกลุ่มเป้าหมาย เดอะมอลล์ ชี้รายได้จากบัตรเครดิตมาแรง ควงพันธมิตร ออกบัตร Citi M Visa ทุ่ม 3 พันล้านบาท ดูดสมาชิกใหม่ 5 แสนราย ชูกลยุทธ์ One on One Marketing เอาใจกลุ่มซูเปอร์ไฮเอนด์ ไต่เป้า 4.3 หมื่นล้าน คาดมัดใจทัวริสต์ช่วงโอลิมปิก ส่งพารากอนบูมแน่ ด้าน เซ็นทรัล โต้ รูปแบบ Co-Brand มีนานแล้ว หันบุกบัตร The 1 Card หลัง 1 ปี ดันยอดขายทะลุ 3.8 หมื่นล้าน หว่านอีก 30 ล้าน ยกเครื่องระบบไอที บุกกลยุทธ์ Personalizaion โอ่พันธมิตรจ่อคิวเข้าร่วมเพียบ

ปัจจุบันรายได้ของห้างสรรพสินค้าทั่วไปในเขตเมือง มาจากการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตถึง 60% ส่วนห้างสรรพสินค้าชานเมือง มีการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต 50% ทั้งนี้แนวโน้มการใช้บัตรเครดิตในการจับจ่ายสินค้ามีจำนวนที่สูงขึ้น เนื่องจากมีความสะดวกและมีสิทธิพิเศษกว่าการใช้จ่ายเงินสด โดยเฉพาะรูปแบบการสะสมแต้มที่ส่งผลถึง Brand Loyalty ของบัตรเครดิตนั้นๆ

> เดอะมอลล์กอดคอซิตี้แบงก์วีซ่า

นางศุภลักษณ์ อัมพุช รองประธานกรรมการบริหารอาวุโส บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า ในปีที่ผ่านมา เดอะ มอลล์กรุ๊ปมีรายได้กว่า 3.8 หมื่นล้านบาท และคาดว่าจะเติบโตขึ้นเป็น 4.3 หมื่นล้านบาท คิดเป็นการเติบโต 8% โดยในครึ่งปีแรก เดอะมอลล์กรุ๊ปมีการเติบโต 7% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ในครึ่งปีหลังคาดว่า หากสถานการณ์ทางด้านการเมืองคลี่คลาย รวมทั้งมีการเลือกตั้งเกิดขึ้น จะส่งผลดีต่อตลาดค้าปลีก เนื่องจากผู้บริโภคจะหันมาให้ความสนใจกับการใช้จ่ายมากขึ้น ซึ่งกลยุทธ์หลักของเดอะมอลล์ กรุ๊ป ในครึ่งปีหลังนี้ จะให้ความ สำคัญกับกิจกรรมต่างๆ ของทั้ง 3 ห้าง ภายใต้งบประมาณการตลาด 5% ของยอดขาย รวมทั้งได้มีการเปิดตัว บัตร Citi M Visa การยกระดับบัตรสมาชิกของเดอะมอลล์ให้ก้าวสู่บัตรเครดิตที่สามารถใช้งานได้ในเครือข่ายของพันธมิตรทั่วโลก โดยคาดว่าหากมีการเลือกตั้งและหลังจากการเปิดตัวบัตรดังกล่าว จะส่งผลต่อการเติบโตของเดอะมอลล์ประมาณ 10-12% หากเดอะมอลล์ กรุ๊ป มีบัตรเครดิตที่นำเสนอสิทธิพิเศษให้กับลูกค้าได้ครอบ คลุมสิทธิประโยชน์ในโลกนี้ จะส่งผลต่อยอด ขายที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งการบริหาร Loyalty Program และ การทำ CRM : Customer Relationship Management เพื่อสร้างความผูกพันธ์ระหว่างแบรนด์เดอะมอลล์ทั้ง 3 แบรนด์กับลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย

ล่าสุด เดอะมอลล์ กรุ๊ป ร่วมกับ ธนา คารซิตี้แบงก์ และวีซ่า อินเตอร์เนชั่นแนล เปิดตัวบัตรเครดิต Citi M Visa บัตรเครดิตที่เพิ่มอภิสิทธิ์ในการใช้จ่ายระดับโลกให้กับลูกค้า ด้วยเครือข่ายที่แข็งแกร่งของทั้ง 3 บริษัท โดยแบ่งเป็น 3 รูปแบบตามกำลังการจ่าย คือ Classic, Platinum Rewards และ Platinum Select โดยคาดว่าจะมีผู้ถือบัตร 300,000 ราย ภายใน 2 ปี และ 500,000 รายภายใน 5 ปี โดยแบ่งเป็น บัตร Platinum Select 10% และ บัตร Classic และ Platinum Rewards 90% ทั้งนี้ได้ร่วมลงทุนอย่างน้อย 3 พันล้านบาท ในระยะเวลาสัญญาความร่วมมือ 5 ปี ในการพัฒนาบัตรดังกล่าว โดยค่าลงทุนหลักอยู่ที่การลงทุนทางด้านเทคโนโลยี เนื่องจากมีการฝังชิป ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดในวงการบัตรเครดิตเข้าไว้ในบัตรทุกบัตร เพื่อทำการบริหารข้อมูลลูกค้าได้อย่างตรงกลุ่มเป้าหมายและครอบคลุม ความต้องการที่แท้จริงได้ดียิ่งขึ้น ส่วนงบประมาณอื่นจะใช้ในการทำกิจกรรมกับลูกค้าตลอดทั้งปี รวมทั้งงบประมาณทางด้านการตลาดสำหรับการเปิดตัวในปีนี้กว่า 500 ล้านบาท และปีละ 200 ล้านบาทอีก 4 ปี

> ชู One on One Marketing

นางศุภลักษณ์ กล่าวว่า การลงทุนทางด้าน CRM เป็นสิ่งสำคัญมากของธุรกิจค้าปลีก โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าระดับไฮเอนด์ ที่ต้องใช้การตลาดแบบ One on One Marketing ที่ถึงตรงกลุ่มเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพและจะเป็นการตลาดที่ไม่เหมือนกับกลุ่มลูกค้าอื่น ทั้งนี้การให้ความสำคัญกับกลุ่มเป้าหมายระดับไฮเอนด์นี้ เนื่องจากมีกลุ่มสินค้าที่มีกลุ่มเป้าหมายกลุ่มนี้โดยตรง และสามารถสร้างยอดขาย ให้กับห้างเป็นจำนวนมากเมื่อเปรียบเทียบกับการจ่ายต่อครั้ง อาทิ นาฬิกา น้ำหอม เครื่องสำอาง ฯลฯ ดังนั้นการทำตลาดแบบ One on One Marketing คือกลยุทธ์หลักสำหรับกลุ่มเป้าหมายระดับไฮเอนด์ของกลุ่มเดอะมอลล์

One on One Marketing สำคัญมากกับตลาดไฮเอนด์ ยกตัวอย่างเช่น เมื่อมีนาฬิกา หรูราคาเป็นสิบล้านเข้ามาจำหน่ายเพียง 10 เรือนในประเทศไทย เราคงไม่ทำตลาดแบบทั่วไป แต่อาจมีไดเรกต์เมล์ไปยังกลุ่มเป้าหมาย โดยนำเสนอสิทธิพิเศษต่างๆ อาทิ การนำรถลีมูซีนไปรับถึงบ้าน รวมทั้งโปรแกรมสะสมแต้มหรือส่วนลดผ่านบัตรเครดิต ซึ่งบัตร Platinum Select ถือเป็นการสนับสนุนกลยุทธ์ CRM ของเดอะมอลล์กรุ๊ป โดยคาดว่าค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อเดือนของกลุ่มนี้จะไม่ต่ำกว่า 40,000 บาท โดยในช่วงแรกตั้งเป้าผู้สมัครแค่ 30,000 คน เนื่องจากเป็นกลุ่มเอ็กซ์คลูซีพที่ต้องมีความละเอียดอ่อนในการดูแลเป็นอย่างมาก ก่อนที่จะขยายต่อไปในอนาคต ทั้งนี้เชื่อมั่นว่ารายได้จากกลุ่มลูกค้าไฮเอนด์จะสูงขึ้น เนื่องจากจะหันมาซื้อสินค้าแบรนด์เนมในเมืองไทย แทนที่การซื้อจากเมืองนอก เนื่องจากมีสิทธิพิเศษมากกว่า ส่วนผู้ที่ใช้บัตรอีก 2 ประเภท คาดว่าจะใช้จ่ายมากขึ้น 10%
http://www.siamturakij.com/home/news/di ... ws_id=4608
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news08/07/07

โพสต์ที่ 10

โพสต์

การขยายสาขาไม่ใช่เรื่องยาก หากรากฐาน ''แฟมิลี่ มาร์ท''แข็งแกร่ง  

โดย ฐานเศรษฐกิจ วัน อาทิตย์ ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 04:50 น.

ร้านสะดวกซื้อ หรือ Convenice Store นับเป็นหนึ่งในบิสสิเนต โมเดล ของธุรกิจค้าปลีกที่ได้รับการตอบรับจากคนไทยเป็นอย่างดี ส่งผลให้มีการแข่งขันที่รุนแรงมากที่สุดในอุตสาหกรรมค้าปลีกเมืองไทย ด้วยวิถีการดำเนินธุรกิจที่ปรับตัวเองให้สอดรับกับพฤติกรรมความต้องการของผู้บริโภค ทำให้อุตสาหกรรมนี้มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และส่อแววสดใสท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซา
ปัจจัยดังกล่าว ทำให้ แฟมิลี่ มาร์ท ผู้รั้งตำแหน่งเบอร์ 2 ในธุรกิจนี้ ประกาศตัวที่จะลงทุนในอุตสาหกรรมนี้อีกครั้งอย่างไม่ย่อท้อ หลังจากที่เปิดให้บริการมาครบ 15 ปี และถูกผู้นำตลาดครองมาร์เก็ตแชร์ทิ้งห่างหลายช่วงตัว และเป็นครั้งแรกที่ ทาเกชิ ทากาสุงิ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท สยามแฟมิลี่มาร์ท จำกัด ยอมเปิดใจถึงเส้นทางการก้าวย่างสู่ปีที่ 16 กับการนำพา แฟมิลี่ มาร์ท โลดแล่นในสนามแข่งขันเมืองไทย

จุดแข็งของแฟมิลี่ มาร์ทในเมืองไทย

หากจะวิเคราะห์ถึงจุดแข็ง เราต้องรู้ถึงจุดอ่อนของแฟมิลี่ มาร์ทก่อน จุดอ่อนของแฟมิลี่ มาร์ท คือเรามีสาขาน้อย โดยในต้นปี 2550 ที่ผ่านมา เรามีสาขาทั้งสิ้น 550 สาขาซึ่งเทียบกับผู้นำแล้วยังห่างกันเยอะ และในปีนี้เรามีแผนที่จะปิดสาขาที่ไม่ทำเงินลงอย่างน้อย 100 สาขา ขณะเดียวกันเราจะเปิดสาขาใหม่ในทำเลที่ดี อีก 60 สาขา หรือคิดเป็นสัดส่วน 15% ของจำนวนสาขาทั้งหมด ส่งผลให้โดยเบ็ดเสร็จแล้วจนถึงสิ้นปีนี้ แฟมิลี่ มาร์ท จะมีสาขาทั้งหมด 500 สาขา นอกจากนี้ในปีนี้จะมีการรีโนเวตสาขาเดิมอีก 25 แห่ง เพื่อให้ทันสมัย ก่อนที่จะเดินหน้าขยายสาขาเพิ่มขึ้นในปีหน้า

โดยบริษัทมีเป้าหมายที่จะเน้นไปที่การปรับโครงสร้างบริษัทให้มีความแข็งแกร่ง โดยมีบริษัทแม่ ที่ประเทศญี่ปุ่นเป็นผู้ให้การสนับสนุน ซึ่งจะเป็นจุดแข็งที่สำคัญในการทำธุรกิจในเมืองไทย เพราะบริษัทแม่ของเรามีโนฮาว ที่ดีทั้งด้านการให้บริการ สินค้า ที่จะช่วยถ่ายทอดให้เรานำมาใช้ในเมืองไทย ส่วนจุดแข็งอีกข้อ คือการที่แฟมิลี่ มาร์ท มีพนักงานเก่าแก่อยู่จำนวนมาก ซึ่งบุคคลเหล่านี้มีความพยายามในการทำงานสูง แม้บริษัทจะมีอุปสรรคคือ การเติบโตที่ค่อนข้างช้า เพราะที่ผ่านมาพื้นฐานของบริษัท ไม่แข็งแรงพอ บริษัทต้องการให้พนักงานในระดับซูเปอร์ไวเซอร์ หรือผู้จัดการเขต มีความแข็งแกร่ง ส่วนการเปิดสาขาไม่ใช่เรื่องยาก

สาเหตุที่ต้องการหาผู้ร่วมทุนใหม่

ที่ผ่านมาบริษัทสนับสนุนให้มีผู้บริหารระดับสูง เป็นคนไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันใน 2 แผนกหลัก ได้แก่ ฝ่ายปฏิบัติการ และฝ่ายพัฒนาธุรกิจ ก็มีผู้บริหารเป็นคนไทย ซึ่งขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างปรับโครงสร้างการถือหุ้น โดยเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นให้คนไทยมากขึ้น ส่วนเหตุผลที่บริษัทต้องการหาผู้ร่วมทุนใหม่นั้น มองว่าเดิมผู้บริหารแฟมิลี่ มาร์ทส่วนใหญ่เป็นคนญี่ปุ่น ขณะที่การดำเนินธุรกิจค้าปลีกในเมืองไทยก็ต้องการพาร์ทเนอร์ที่มีความชำนาญ รู้เรื่องราว พฤติกรรมคนไทย จึงเกิดเป็นแนวคิดที่จะหาผู้ร่วมทุนเพิ่ม ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจา ยังไม่ได้ข้อสรุป และบริษัทก็ยังคงต้องการผู้ที่สนใจที่จะเข้ามาร่วมเป็นพาร์ทเนอร์กับแฟมิลี่ มาร์ทอยู่เช่นเดิม โดยคุณสมบัติสำคัญคือ ต้องทำงานร่วมกับแฟมิลี่ มาร์ทได้ และสนับสนุนให้แฟมิลี่ มาร์ทมีการเติบโตไปในทางที่ดีขึ้น

กลยุทธ์ในการทำตลาดในปีที่ 16

แผนการดำเนินธุรกิจของแฟมิลี่ มาร์ท จะเน้นสร้างความสัมพันธ์กับทุกฝ่าย เติบโตไปพร้อมๆกับทุกฟังก์ชั่น ทั้งผู้บริโภค แฟรนไชซี ซัพไลเซ่นท์ และซัพพลายเออร์ โดยในปีนี้บริษัทจะใช้งบลงทุนประมาณ 400 ล้านบาท สำหรับการเปิดสาขาใหม่ การจัดวางระบบ จัดซื้ออุปกรณ์ต่างๆในร้านสาขา รวมไปถึงการรีโนเวตสาขาด้วย โดยเป้าหมายหลักคือเพื่อวางพื้นฐานของแฟมิลี่ มาร์ทให้มีความแข็งแกร่ง ซึ่งจะส่งผลให้โครงสร้างด้านการบริหารจัดการ รวมไปถึงการให้บริการที่ดี สำหรับลูกค้า นอกจากนี้ยังมีการคัดสรรสินค้าให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภค โดยเฉพาะในกลุ่มอาหาร ซึ่งบริษัทมีแผนที่จะเพิ่มสัดส่วนและพื้นที่การจำหน่ายสินค้ากลุ่มฟู้ด โฟรเซ่นท์ และอาหารพร้อมรับประทาน (Ready to eat) ให้มากขึ้นในสัดส่วน 70% จากปัจจุบันที่มีสินค้ากลุ่ม food 45% และ non " food 55%

พฤติกรรมคนไทยนิยมรับประทานอาหารนอกบ้าน ทำให้แฟมิลี่ มาร์ทต้องเพิ่มสินค้ากลุ่มอาหาร ให้มีความหลากหลาย รองรับกับความต้องการของลูกค้า ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทได้ทดลองพัฒนาสินค้าประเภทฟู้ด ออกวางจำหน่าย อาทิ โอเด้ง (อาหารญี่ปุ่นประเภทย่าง เช่น ลูกชิ้น เนื้อปลาแปรรูป) ซึ่งปรากฏว่าได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ติดอันดับสินค้าขายดีของร้าน นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนที่จะพัฒนาสินค้าใหม่ๆ โดยมีบริษัทแม่เป็นผู้สนับสนุนมาวางจำหน่ายในร้านเพิ่มขึ้นในครึ่งปีหลัง รวมไปถึงการเปิดโอกาสให้ซัพพลายเออร์ ซึ่งเป็นพันธมิตรสำคัญพัฒนาสินค้าและวางจำหน่ายเป็นสินค้าเอ็กซ์คูลซีฟ เฉพาะในแฟมิลี่ มาร์ทเท่านั้นด้วย เช่นเดียวกับ น้ำผลไม้แบร์รี่ ซันเบลส์ท ของบริษัท ซาน มิเกล มาร์เก็ตติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด

ทั้งนี้กลุ่มสินค้าเอ็กซ์คูลซีฟ ส่วนใหญ่เป็นสินค้าในไลน์อาหารและเครื่องดื่ม เพราะลูกค้าต้องการความหลากหลายในการเลือกซื้อ ขณะเดียวกันพฤติกรรมลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการในร้านสะดวกซื้อส่วนใหญ่เลือกซื้อ อาหาร เครื่องดื่ม และขนมขบเคี้ยวเป็นหลัก ทำให้สามารถเข้ามาใช้บริการได้ทุกวัน แตกต่างไปจากซูเปอร์มาร์เก็ต หรือไฮเปอร์มาร์เก็ต อีกทั้งสินค้าในกลุ่มอาหาร-เครื่องดื่ม มีมาร์จิ้นค่อนข้างดีเมื่อเทียบกับกลุ่มสินค้าอื่นๆ อาทิ ของใช้ส่วนตัว นอกจากนี้ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการภายในร้าน ให้ความสำคัญและใส่ใจในการเลือกซื้อสินค้าเกี่ยวกับสุขภาพมากขึ้น ทำให้ยอดขายน้ำผลไม้ประเภท 40% มีอัตราการเติบโตถึง 51%

เป้าหมายของแฟมิลี่ มาร์ท ในอนาคต
ปี 2549 ที่ผ่านมาบริษัทมียอดขายรวม 6,200 ล้านบาท ส่วนในปีนี้บริษัทตั้งเป้าที่จะมียอดขายเท่าเดิม ด้วยเหตุผลที่มาจากเรื่องของการปิดสาขาที่ไม่ทำเงินทั้ง 100 สาขาลง แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาของแฟมิลี่ มาร์ท เพราะเป้าหมายของแฟมิลี่ มาร์ทคือการครองส่วนแบ่งตลาดในอุตสาหกรรมค้าปลีก ประเภทคอนวีเนียน สโตร์ ให้ได้มากกว่า 20% ภายในระยะเวลา 5 ปี โดยในระยะเวลาอันใกล้นี้บริษัทจะมุ่งเน้นไปตามแผนงานที่กล่าวมาข้างต้น โดยยังไม่มีโมเดลธุรกิจใหม่ๆออกมา

อย่างไรก็ดีในปีนี้ ที่แฟมิลี่ มาร์ท ครบรอบ 15 ปีบริษัทเตรียมที่จะจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายเพื่อเป็นการขอบคุณลูกค้า โดยบริษัทจะล้อนซ์แคมเปญชิงโชคใหญ่ พร้อมคูปองแลกซื้อ สินค้าในราคาพิเศษให้กับลูกค้า ในเดือนสิงหาคมนี้อีกด้วย
http://news.sanook.com/economic/economic_153214.php
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news09/07/07

โพสต์ที่ 11

โพสต์

โรบินสัน กระตุ้นนักช้อป อัดแคมเปญไตรมาส 3

9 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 16:25:00

โรบินสัน เดินเกมรุก กระตุ้นอารมณ์นักช้อป ด้วยเกมล่าแต้ม สร้างปรากฎการณ์ใหม่ เสริมกลยุทธ์ไตรมาส 3 ด้วยแคมเปญ โรบินสัน แฟชั่น แรลลี่ ชูอีโมชั่นนอลมาร์เก็ตติ้ง ตั้งเป้าโกย 1,500 ล้าน ภายใน 40 วัน

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : นางอุสรา ยงปิยะกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายการตลาด บมจ.ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน เปิดเผยถึงกลยุทธ์ทางการตลาดไตรมาส 3 ของโรบินสัน ว่า บริษัทมีแผนการทำกิจกรรมการตลาดอย่างต่อเนื่อง สร้างสีสันความสุขให้ นักช้อปและกระตุ้นอารมณ์การจับจ่ายให้ตื่นตัวตลอดเวลา ทั้งกลุ่มลูกค้าทั่วไปและลูกค้าสมาชิก โดยเฉพะกลุ่มหลังนี้จะได้รับสิทธิประโยชน์พิเศษอย่างต่อเนื่อง

ล่าสุด ไตรมาส 3 ด้วยการออกแบบโปรแกรมมัดใจ ชูคอนเซ็ปต์ อีโมชั่นนอล มาร์เก็ตติ้ง ซึ่งโรบินสัน พัฒนาโปรแกรมนี้ขึ้นเองจากการเรียนรู้พฤติกรรมการจับจ่ายของลูกค้า เนื่องจากยอดนักช้อปรุ่นใหม่ รู้จักคุณค่าของเงิน และมองหาทางเลือกในการจับจ่ายมากขึ้น สนุกที่จะเลือกช้อปอย่างคุ้มค่า มีไลฟ์สไตล์ที่ชัดเจน อินเทรนด์ตามกระแสแฟชั่น วางแผนการจับจ่ายอย่างรอบครอบ

ดังนั้น เพื่อสอดรับกับความต้องการของผู้บริโภค โรบินสันจึงออกแบบแคมเปญ โรบินสัน แฟชั่น แรลลี่ ขึ้นมา โดยทำรูปแบบกิจกรรมส่งเสริมการตลาดให้มีสีสันแปลกใหม่ สะดุดตา ก็สามารถกระตุ้นลูกค้าให้เกิดการบริโภคได้อย่างต่อเนื่อง เน้นความแปลกใหม่กว่าใคร และสอดแทรกการนำเสนอความเป็นแฟชั่นอย่างต่อเนื่อง และที่สำคัญเน้นความพึงพอใจของลูกค้าเป็นหลัก ตั้งแต่รายการส่งเสริมการขาย, กิจกรรมส่งเสริมการตลาด รวมถึงสิทธิประโยชน์ต่างๆ

แคมเปญนี้ มุ่งเน้นให้ลูกค้าได้รับประโยชน์สูงสุด และสร้างความแปลกใหม่มากขึ้น ใช้คอนเซ็ปท์ที่ชัดเจน คือ เน้นแฟชั่น ที่แสดงถึงสิ่งที่ต้องการสื่อว่า โรบินสัน มีความเป็นแฟชั่น ทุกแผนก โดดเด่นตรงที่ยังไม่เคยมีห้างไหน ใช้กลยุทธการช้อปอย่างต่อเนื่อง โดยผูกโยงกับการทำกิจกรรมแบบแรลลี่ เพื่อสีสันการช้อปอย่างแท้จริง

นอกจากนี้ นักช้อปจะสนุกสนานกับการจับจ่ายด้วยการบริหารความคุ้มค่าด้วย ตัวเอง คือ เมื่อช้อปครบทุก 800 บาท จะได้รับ สติ๊กเกอร์ แฟชั่นแรลลี่ 1 ดวง เพื่อสะสมเป็นส่วนลด 10-30% นอกจากนี้ นักช้อปมีโอกาสเดินทางลัด เพิ่มส่วนลดให้เพิ่มมากขึ้นด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าประจำ ที่เป็นสมาชิก บัตรเดอะ วัน การ์ด และ บัตรเครดิตโรบินสัน วีซ่า คือ ช้อปตรงวันตรงแผนก จะมีสิทธิสะสมสติกเกอร์ แฟชั่นวีค อีก 4 แบบ 4 ลาย (สะสมไม่ซ้ำกัน) จะได้รับส่วนลดเพิ่มขึ้นอีก 10 %

แคมเปญ จะเริ่ม ตั้งแต่วันที่ 10 กรกฎาคม - 19 สิงหาคม 2550 ที่โรบินสัน ทุกสาขา ทั่วไทย และด้วยกลยุทธ์ทั้งสิ้น ที่กล่าวมา โรบินสัน ตั้งเป้ายอดขายสำหรับ แคมเปญนี้ไว้ที่ 1,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมาถึง 15 เปอร์เซ็นต์
http://www.bangkokbiznews.com/2007/07/0 ... wsid=83069
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news10/07/07

โพสต์ที่ 12

โพสต์

หุ้นค้าปลีกคึกรับกำลังซื้อครึ่งปีหลังฟื้น
โบรกส่งสัญญาณหากรัฐประกาศหนุนเงินชุมชนกระตุ้นการบริโภคได้เพียบ ชี้ปัจจุบันผลประกอบการกลุ่มค้าปลีกยังแรงสวนทิศทางตลาดหลังผู้ประกอบการเน้นขยายสาขาเข้าถึงลูกค้าอย่างใกล้ชิด ชู HMPRO เด่นสุดในกลุ่มเพราะโตตามกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ประเมินกรอบลงทุน 5.40-6.00 บาท

นายกวี  ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการบริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า หากรัฐบาลเพิ่มงบประมาณเพื่อกระตุ้นการบริโภคในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าจะส่งผลดีทำให้หุ้นในกลุ่มค้าปลีกมีความน่าสนใจมากขึ้น เนื่องจากหุ้นในกลุ่มดังกล่าวมีผลการดำเนินงานที่สอดคล้องกับความมั่นใจผู้บริโภค 18% ถือว่าอยู่ในอัตราที่สูง ถึงแม้ครึ่งปีแรกความเชื่อมั่นของผู้บริโภคจะถดถอยทำสถิติต่ำสุด
แต่ผลการดำเนินงานของกลุ่มค้าปลีกยังคงเติบโต เนื่องจากบริษัทค้าปลีกต่างๆได้ปรับกลยุทธ์ในการขยายสาขาเพื่อให้เข้าถึงลูกค้าในเขตชุมชนได้มากขึ้น
   
ดังนั้นจึงเชื่อว่าในครึ่งปีหลังหากเศรษฐกิจฟื้นตัว ความมั่นใจของผู้บริโภคกลับคืนมา ผลการดำเนินงานของกลุ่มค้าปลีกจะปรับดีขึ้น นอกจากนี้ราคาหุ้นในกลุ่มค้าปลีกปัจจุบันถือว่ายังไม่แพงเกินไป ยังคงเป็นไปตามตลาด และคาดว่าจะในช่วงครึ่งปีหลังจะมีโอกาสฟื้นตัวได้อีก โดยมองว่าบริษัทที่มีแนวโน้มผลการดำเนินการที่ดี คือ บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) MAKRO บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) HMPRO และบริษัท ซี.พี.เซเว่นอีเลฟเว่น จำกัด (มหาชน) CP7-11

ฝ่ายวิจัยให้ราคาเป้าหมาย MAKRO ที่ 101.00 บาท และ CP7-11 ที่ราคาเป้าหมายที่ 12.00 บาท ส่วน HMPRO ยังไม่มีราคาเป้าหมาย แต่ถือเป็นบริษัทที่มีแนวโน้มการเติบโตดีเพราะยอดขายสินค้าวิ่งไปตามยอดการขายบ้านที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งบริษัทได้ขยายสาขาไปอยู่ในเขตที่ใกล้คอนโดมิเนียมมากขึ้น ซึ่งในครึ่งปีหลังแม้เศรษฐกิจไม่เติบโตแต่ยอดขายก็ยังคงเติบโตได้ นายกวี กล่าว
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคิน จำกัด กล่าวว่ากลุ่มค้าปลีกจะได้รับผลดีจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะกรณีที่รัฐบาลจะมีการเพิ่มงบประมาณกระตุ้นการใช้จ่ายไปยังชุมชนทั่วประเทศ โดยฝ่ายวิจัยมองว่าบริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) BIGC   CP7-11 และ HMPRO จะได้รับผลดี โดยเฉพาะ HMPRO เพราะสินค้าที่จำหน่ายเป็นสินค้าที่อิงกับการเติบโตของกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตดีในครึ่งปีหลัง ฝ่ายวิจัยแนะนำซื้อเมื่ออ่อนตัว โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 5.80 บาท

นักวิเคราะห์ทางเทคนิคบริษัทหลักทรัพย์กรุงศรีอยุธยา จำกัด กล่าวว่า HMPRO มีสัญญาณปรับขึ้นได้ แต่ในระยะสั้นราคาหุ้นได้ปรับขึ้นมาระดับหนึ่งแล้ว จึงอาจจะมีแรงขายทำกำไร โดยประเมินแนวรับไว้ที่ 5.40 บาท ส่วนแนวต้านมองที่ 5.74 บาท และ5.80 บาท และหากวิ่งผ่านระดับดังกล่าวขึ้นไปได้จะมีโอกาสเด้งทดสอบแนวต้านหลักที่ 6.00 บาท

http://www.msnth.com/msn/money2/content ... 427&ch=229
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news10/07/07

โพสต์ที่ 13

โพสต์

สมาพันธ์ต้านค้าปลีกชี้ 7 จังหวัดไม่จริงไม่แก้ไข  
โดย เดลินิวส์
วัน อังคาร ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 12:40 น.

นายนิรุตน์ วัชราภิชาติ ผู้ประสานงานสมาพันธ์คนไทยต้านค้าปลีกต่างชาติ เปิดเผยว่า ได้ติดตามการออกประกาศกำหนดเกณฑ์พิจารณาขออนุญาตก่อสร้างอาคารค้าส่งค้าปลีกในเขตผังเมืออย่างเคร่งครัด เพื่อควบคุมการขยายสาขาห้างค้าปลีกสมัยใหม่ ระหว่างรอ พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจค้าส่งค้าปลีก พ.ศ. .... ประกาศใช้ เช่น กำหนดระยะห่างการก่อสร้างอาคาร ประเภทค้าปลีกค้าส่งกับเขตเทศบาล หลังกระทรวงมหาดไทยส่งหนังสือขอความร่วมมือผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด ตั้งแต่วันที่ 19 ม.ค., 7 ก.พ. และ 20 มี.ค. 50 พบว่า มี 7 จังหวัดที่ไม่ส่งร่างประกาศกำหนด หลักเกณฑ์ ให้กรมโยธาธิการ และผังเมือง คือ ลำพูน นครศรีธรรมราช พระนครศรีอยุธยา สระแก้ว ระยอง นครพนม และพัทลุง
ทำไมกระทรวงมหาดไทย ส่งหนังสือไปให้กำหนดหลักเกณฑ์ ตั้งนานแล้ว แต่ทางจังหวัดยังเพิกเฉยอยู่ อย่างนี้ เขาเรียกจริงใจในการแก้ปัญหาหรือเปล่า ส่วนจังหวัดที่ประกาศราชกิจจาแล้วมีเพียง 20 จังหวัด และอยู่ระหว่างรอลงประกาศอีก 19 จังหวัด ซึ่งจังหวัดที่ประกาศฯ แล้ว ก็มีหลักเกณฑ์ที่ไม่เหมือนกัน บางจังหวัดกำหนดระยะห่างตัวเมืองแค่ 5 กม. บ้าง 10 กม. ทั้งที่ตามกฎหมายแล้ว ต้องห่างตัวเมือง 15 กม.

ว่าที่ ร.อ.จิตร์ ศิรธรานนท์ โฆษกคณะกรรมาธิการพาณิชย์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กล่าวว่า ช่วงที่กฎหมายค้าปลีกค้าส่งยังไม่ออกมาบังคับใช้ คาดว่าการขยายสาขาในปี 50 นี้ จะเพิ่มอย่างรวดเร็วและมากกว่าทุกปีที่เฉลี่ยมีอัตราการเติบโตของการขยายสาขาประมาณ 28%.
http://news.sanook.com/economic/economic_154788.php
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news10/07/07

โพสต์ที่ 14

โพสต์

ปรับใหญ่ร้านค้าปลีกรถไฟใต้ดิน  

โดย มติชน วัน อังคาร ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 11:38 น.

วางคอนเซ็ปท์ใหม่หนีห้างยักษ์ผุดตามสถานี หลังชิมลางเปิด2แห่งมีคนเดินช้อปแค่หลักพัน
เมโทรมอลล์ปรับใหญ่ร้านค้าปลีกในรถไฟใต้ดิน วางคอนเซ็ปท์ตามไลฟ์สไตล์ผู้โดยสารแต่ละสถานี สร้างความต่างหนีห้างยักษ์ผุดตามรถไฟใต้ดิน หลังเปิดดำเนินการตั้งแต่ปี 2548 จำนวนคนเดินช็อปยังต่ำเป้า ส่งผลบริษัทยังขาดทุนต่อเนื่อง ไม่ท้อเดินหน้าเปิดร้านค้าปลีกตามสถานีต่างๆ ตามนโยบาย แม้จะช้ากว่าแผน มั่นใจอีก 2-3 ปี ผลประกอบการดี

นายพงษ์สฤษดิ์ ตันติสุวนิชย์กุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมโทร มอลล์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ผู้บริหารพื้นที่ค้าปลีกในรถไฟฟ้าใต้ดิน เปิดเผยว่า บริษัทได้ปรับกลยุทธ์การดำเนินงานครั้งใหญ่ โดยใช้กลยุทธ์ ไลฟ์ สไตล์ เมโทรมอลล์ หรือเปิดร้านตามไลฟ์สไตล์ของกลุ่มเป้าหมาย หลังจากร้านค้าสถานีสุขุมวิท และพหลโยธิน ซึ่งเปิดบริการปี 2548 และ 2549 ตามลำดับมีคนเข้ามาใช้บริการต่ำกว่าที่ควรจะเป็น โดยสุขุมวิทมีผู้ใช้บริการประมาณ 3,000 คน หรือ 8% ของผู้ใช้บริการในสถานี 38,000-40,000 คนต่อวัน สถานีพหลโยธินมีผู้ใช้บริการ 1,000-2,000 คนหรือ 5% ของจำนวนผู้ใช้บริการ 20,000 คนต่อวัน ซึ่งผลการศึกษาของบริษัทพบว่าพื้นที่นอกรอบของสถานีมีห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่เป็นทางเลือกหลายแห่ง มีข้อจำกัดด้านความปลอดภัยทำให้ร้านค้าไม่ดึงดูดคน อีกทั้งค้าปลีกใต้ดินยังเป็นเรื่องใหม่ของคนไทย

นายพงษ์สฤษดิ์กล่าวว่า แนวทางปรับร้านค้าสถานีพหลโยธินใช้คอนเซ็ปท์ใหม่จับกลุ่มเป้าหมายเยาวชน เน้นร้านค้าจำหน่ายอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต ร้านหนังสือ โรงเรียนกวดวิชาสัดส่วน 60-70% อีก 20-30% เป็นร้านกลุ่มบริการ เช่น ธนาคารพาณิชย์เพื่อสร้างจุดขายให้ต่างจากห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล และยูเนียน มอลล์ ส่วนสถานีสุขุมวิทมีแผนปรับปรุงร้านให้มีแบรนด์เพิ่มขึ้นเพื่อดึงดูดกลุ่มคนทำงานออฟฟิศในบริเวณใกล้เคียงสถานีเข้ามาใช้บริการ จะปรับปรงุทั้งสองแห่งได้แล้วเสร็จภายในปีนี้

นายพงษ์สฤษดิ์กล่าวว่า บริษัทยังมีแผนร่วมกับพันธมิตรผู้เชี่ยวชาญค้าปลีก พัฒนาสถานีจตุจักร กำแพงเพชร เป็นร้านค้าปลีกสำหรับวัยรุ่นโดยให้พันธมิตรดูแลเรื่องด้านการตลาด และประชาสัมพันธ์ เปิดดำเนินการไตรมาส 4 ปีนี้ หลังจากนั้นจะทยอยเปิดร้านสถานีพระรามเก้า ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เพชรบุรี ซึ่งอยู่ระหว่างวางคอนเซ็ปต์ที่เหมาะสมต่อไป

นายพงษ์สฤษดิ์ ล่าวว่า บริษัทใช้เงินลงทุนสำหรับพัฒนาพื้นที่ค้าปลีก 22,000 ตารางเมตร รวม 330 ล้านบาท ซึ่งเดิมมีแผนจะเปิดร้านให้ได้ครบ 11 สถานีภายในสิ้นปี 2549 แต่การเปิดร้านค้าต้องล่าช้ากว่าแผนเนื่องจากมีข้อจำกัดเรื่องจำนวนผู้โดยสาร ทำให้ปีที่ผ่านมาบริษัทมีรายได้รวม 25 ล้านบาท คิดเป็นขาดทุนสุทธิ 32 ล้านบาท แต่หลังจากมีการปรับคอนเซ็ปท์ และบริษัทรถไฟฟ้ากรุงเทพ (บีเอ็มซีแอล) มีแผนจะเพิ่มจำนวนผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าซึ่งปัจจุบันมีผู้ใช้บริการเฉลี่ย 190,000 คนต่อวัน รวมถึงรัฐบาลมีแผนจะสร้างจุดต่อขยายรถไฟฟ้าใต้ดิน เชื่อว่าเมโทรมอลล์น่าจะปรับตัวดีขึ้นได้ในอีก 2-3 ปี
http://news.sanook.com/economic/economic_154759.php
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news10/07/07

โพสต์ที่ 15

โพสต์

ผ่าทางตันพรบ.ค้าปลีก คุมราคาดีกว่าการกีดกัน  

"กิตติ ลิ่มสกุล"อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีและนักวิชาการแนะกฎหมายค้าปลีกไม่ควรควบคุมจนเกินไป แต่ควรคิดถึงผู้บริโภคเป็นหลัก แนะบอร์ดควรมาจากทุกภาคส่วนและพัฒนาโชวห่วยมากกว่ากีดกั

นายกิตติ ลิ่มสกุล ผู้อำนวยการโครงการพัฒนาศาสตร์ด้านแบบจำลองและพยากรณ์เศรษฐกิจ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และอดีตกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีศึกษาธิการ ให้ความเห็นเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติค้าปลีกค้าส่งว่ามีสิ่งที่ต้องพิจารณาคือ 1. หลักสวัสดิการของผู้บริโภค หรือการคำนึงถึงสิ่งที่จะทำให้ผู้บริโภคได้รับประโยชน์และมีความสุขในระยะยาว 2. การปรับตัวของผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก 3.ผู้บริโภคและผู้ผลิต

ดังนั้นการออกพระราชบัญญัติค้าปลีกค้าส่งควรนำเสนอออกมาในเชิงการส่งเสริมพัฒนาธุรกิจค้าปลีกค้าส่งมากกว่าการควบคุม และหากจะมีข้อกำหนดในการควบคุมก็ควรจะเลือกควบคุมในเรื่องที่มีผลกระทบต่อผู้บริโภคเป็นสำคัญ เช่น เรื่องของการควบคุมราคาขายไม่ให้แพงจนเกินไป มากกว่าการควบคุมขนาด สถานที่ และวันเวลาเปิด-ปิดของห้างร้าน ซึ่งถือเป็นการริดรอนสิทธิผู้ประกอบการ

"แนวทางแก้ไขควรจะให้คณะกรรมการที่ดูแลกฎหมายนี้มาจากตัวแทนทุกภาคส่วนในสัดส่วนที่เท่าเทียมกันเพื่อความเป็นกลางและยุติธรรม โดยภาครัฐควรมีนโยบายสนับสนุนผู้ค้าระดับกลางและระดับย่อยให้มีการพัฒนาด้วยตัวเอง และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันกับคู่แข่งในตลาดได้ มากกว่าการออกนโยบายควบคุมหรือกีดกันธุรกิจโมเดิร์นเทรดที่สำคัญควรมีข้อกำหนดในการนำภาษีที่ได้จากห้างร้านธุรกิจสมัยใหม่ มาช่วยพัฒนาธุรกิจรายย่อย หรือโชห่วยในด้านต่างๆ"

นอกจากนี้ ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ได้นำถูกนำไปแปลเป็นภาษาญี่ปุ่น และนักวิชาการชาวญี่ปุ่นได้แสดงความคิดเห็นต่อร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ว่าเป็นการออกกฎหมายที่ขัดต่อ Civil Society หรือการพัฒนาทางสังคมอย่างรุนแรง ดังนั้นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับปัญหานี้คือภาครัฐจำเป็นที่จะต้องส่งเสริมและวางนโยบายให้ธุรกิจสมัยใหม่ และธุรกิจแบบดั้งเดิมสามารถอยู่ร่วมกันได้ในสังคม

ขณะที่นายเฉลิมชาติ นครังกุล รองประธานหอการค้า จังหวัดเชียงใหม่ ให้ความเห็นในเรื่องเดียวกันว่าธุรกิจการค้าสมัยใหม่หรือโมเดิร์นเทรดเริ่มเข้ามาในเชียงใหม่ตั้งแต่เมื่อ 10 ปีที่แล้ว และได้รับการวิพากษ์วิจารณ์เป็นอย่างมาก สำหรับหอการค้าเชียงใหม่เองมีนโยบายเปิดกว้างให้กับการค้าเสรี จึงไม่ปิดกั้นที่จะมีการเปิดห้างร้านธุรกิจสมัยใหม่ เพียงแต่ต้องการให้ภาครัฐมีนโยบายควบคุมคู่กันไปด้วย เพื่อให้ผู้ประกอบการท้องถิ่นสามารถยังคงอยู่ได้

"ในหอการค้ามีความเห็นว่าแต่ละพื้นที่ไม่ควรมีห้างขนาดใหญ่เพียงรายเดียว เนื่องจากจะเกิดการผูกขาดด้านราคาได้ แต่ทั้งนี้แต่ละห้างจะต้องไม่มีการขยายสาขาในพื้นที่เดียวกัน เพื่อปกป้องผู้ประกอบการท้องถิ่น"

นายเฉลิมชาติเสนอความคิดเห็นต่อร่างพระราชบัญญัติค้าปลีกค้าส่งว่า ก่อนที่จะนำออกมาใช้จริงควรมีการพิจารณาอย่างรอบคอบ ถี่ถ้วนเสียก่อน โดยเสนอให้ในคณะกรรมการที่ดูแลร่างกฎหมายนี้ มีผู้ความรู้เกี่ยวกับการค้าปลีกและส่งเป็นอย่างดี และควรมีกรรมการที่มีความรู้เกี่ยวกับเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่นด้วย อีกทั้งหลักเกณฑ์ต่างๆที่ระบุในร่างพระราชบัญญัติก็ไม่ควรที่จะกำหนดตายตัว ควรมีการปรับใช้ให้เหมาะสมในแต่ละพื้นที่มากกว่า เช่น เรื่องกำหนดหลักเกณฑ์การตั้งห้างโมเดิร์นเทรดตามจำนวนประชากรและพื้นที่ เนื่องจากในแต่ละพื้นที่หรือแต่ละจังหวัดมีข้อจำกัดที่แตกต่างกัน

นายกุลฉัตร ฉัตรกุล ณ อยุธยา อาจารย์ประจำสาขาวิชาการตลาด คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยพายัพ กล่าวว่า ร่างพรบ.นี้ควรคำนึงถึงผู้บริโภค และผู้ผลิตระดับเกษตรกรด้วย การออกกฎหมายต้องสามารถดูแลผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างทั่วถึงขณะที่ผู้ประกอบการธุรกิจค้าปลีกค้าส่งก็ต้องมีการพัฒนาตนเองด้วย

"ผู้ประกอบการควรศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคสมัยใหม่ และปรับตัวให้ทัน คือ ผู้บริโภคในปัจจุบันเป็นลูกค้ากลุ่มที่ต้องการความสะดวกเป็นสำคัญจำเป็นที่จะต้องปรับปรุงร้านให้ทันสมัยอยู่เสมอ มีสินค้าครบตามต้องการ และเมื่อเข้าร้านสามารถหาซื้อได้ทันที พร้อมกันนั้นก็ควรใช้จุดแข็งของตนเองให้เป็นประโยชน์ ซึ่งร้านค้าปลีกขนาดย่อยจะมีข้อดีในความเป็นไทย สามารถสร้างความคุ้นเคย ความเป็นเพื่อนให้แก่ลูกค้าได้ ทำให้มีโอกาสซื้อมากกว่าเนื่องจากอยู่ใกล้ อีกทั้งร้านค้าปลีกระดับย่อยยังมีต้นทุนต่ำด้วย ที่สำคัญควรจะทำบันทึกข้อมูล ของลูกค้าในชุมชน เพื่อสร้างความประทับใจในการขายและเป็นแนวทางในการปรับปรุงร้านต่อไป"นายกุลฉัตรกล่าว
http://www.naewna.com/news.asp?ID=66993
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news10/07/07

โพสต์ที่ 16

โพสต์

จุดเปลี่ยนค้าปลีกไทยทุนข้ามชาติกินรวบตลาด"ดิสเคาท์สโตร์"

            วิกฤติต้มยำกุ้งเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา เปิดโอกาสให้ทุนค้าปลีก "ดิสเคาท์สโตร์" ต่างชาติเข้ามาครอบครอง กิจการค้าปลีกของคนไทยได้อย่างง่ายดาย ไม่เพียงเท่านั้นแต่ยังกระทบถึงโชห่วยและค้าปลีกขนาดกลางของคนไทยจวบจนถึงทุกวันนี้

ช่วงฟองสบู่แตกในครั้งวิกฤติเศรษฐกิจประเทศไทย ปี 2540 ...ผู้ประกอบการไทย ต้องสูญเสียความเป็นเจ้าของธุรกิจ ที่ปลุกปั้นมากับมือ หลายธุรกิจกลับไปเป็นของต่างชาติ หลายธุรกิจจำต้องเลือกตัดสินใจ... ยอมเฉือนเนื้อเพียงส่วนหนึ่ง เพื่อรักษาชีวิตเอาไว้

นับเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ...เมื่อแต่ละค่ายเลือกเก็บเฉพาะธุรกิจ "เรือธง" แห่งอนาคตไว้เท่านั้น ...

เมื่อ "บิ๊กล็อต" ธุรกิจค้าปลีกประเภทดิสเคาท์สโตร์ ซึ่งทุนไทยกำลังก่อร่างสร้างขึ้นถึง "ทางตัน" เพราะจำกัดด้วยพลังทุน เทคโนโลยี และโนว์ฮาว จำต้องเปิดทางให้ยักษ์ใหญ่เทสโก้ แห่งประเทศอังกฤษ และกาสิโน ประเทศฝรั่งเศส ก้าวสู่เส้นทางค้าปลีกประเทศไทยได้อย่างสดใส ขณะที่คาร์ฟูร์ ค้าปลีกอันดับ 2 ของโลก ที่เข้าร่วมทุนเซ็นทรัล ขยายกิจการ คาร์ฟูร์ ไฮเปอร์มาร์เก็ต เวลานั้น กลายเป็นเจ้าของกิจการ 100%

ท่ามกลางวิกฤตการณ์ ...ด้วยนโยบายที่ชัดเจนของ "ธนินท์ เจียรวนนท์" ประธานเจ้าหน้าที่บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ ที่มุ่งรักษา Core Business เท่านั้น ในธุรกิจค้าปลีกกลุ่มซีพีจึงเลือกเก็บเพียง "เซเว่นอีเลฟเว่น" เรียกได้ว่า...ไหวตัวเร็วกว่าใครหลังลอยตัวค่าเงินบาทไม่ถึงปี ซีพีตัดสินใจ "ขายหุ้น" ส่วนใหญ่ในโลตัสให้ เทสโก้ จากประเทศอังกฤษ ในเดือน พ.ค.2541 โดยพันธมิตรต่างชาติรายนี้จ่ายเงินสดมูลค่า 7,000 ล้านบาท พร้อมชำระหนี้ 5,700 ล้านบาท และให้เงินกู้อีก 1,000 ล้านบาท กับซีพี และได้จัดตั้งบริษัท เทสโก้ สโตร์ อิงค์ (ประเทศไทย) จำกัด มีเทสโก้ถือหุ้น 49% ซีพี 51%

จากนั้นบริษัทดังกล่าวเข้าถือหุ้น 75% ในบริษัท เอก-ชัย ดีสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด ผู้บริหารโลตัส ซูเปอร์เซ็นเตอร์ ทำให้ซีพี และกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมเหลือหุ้นอยู่ 25% อย่างไรก็ตาม โลตัส มีการ "เพิ่มทุน" อย่างต่อเนื่อง ขณะที่กลุ่มซีพีไม่เพิ่มทุนตาม ทำให้ทยอยลดสัดส่วนการถือครองหุ้นลง ขณะที่การขยายธุรกิจได้เพิ่มชื่อ "เทสโก้" ขึ้นนำหน้า โลตัส ปักธง "เทสโก้ โลตัส" ทั่วไทย

ครั้งนั้น ซีพี ยังขายกิจการ "ซันนี่ส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต" ให้กับกลุ่มเดลเลซ์ ผู้บริหารฟู้ด ไลอ้อน ซูเปอร์มาร์เก็ต เชนสโตร์จากเบลเยียม อย่างไรก็ตาม หลังจากกลุ่มผู้ร่วมทุนไทยในฟู้ดไลอ้อนทั้งเดอะมอลล์และสหพัฒน์ทยอยถอนหุ้นออกไป เพราะไม่สามารถรับมือกับภาวะการแข่งขันที่ "ดิสเคาท์สโตร์" สยายปีก เกิด "สงครามราคา" ในตลาดค้าปลีกอย่างหนัก ท้ายที่สุด เมื่อฟู้ด ไลอ้อน ไม่สามารถต้านทานแรงแข่งขันจากค้าปลีกข้ามชาติด้วยกันเองจำต้องปล่อยมือ ...

เช่นเดียวกับค้าปลีกกลุ่มเซ็นทรัลที่เร่งขยาย "บิ๊กซี" นำโด่งคู่แข่ง...กำลังตกที่นั่งลำบากเมื่อโลตัสได้พันธมิตรยักษ์ใหญ่กอบกู้กิจการไล่ตีตื้น...จึงต้องเร่งพันธกิจผลักดันกิจการออกจากห้วงวิกฤติ เริ่มจากการจำนำหุ้น "ท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต" 51% กับ รอยัล เอโฮลด์ แลกเงินทุนก้อนใหญ่ พร้อมกับลดสัดส่วนในออฟฟิศ ดีโป้ เหลือแค่ 20%

ต่อมาในเดือน มิ.ย.2541 ได้ถอนหุ้นทั้งหมดออกจากคาร์ฟูร์ ไฮเปอร์มาร์เก็ต และประกาศขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับกลุ่มกาสิโนยักษ์ใหญ่แห่งฝรั่งเศสขึ้นเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ส่วนเซ็นทรัลถือหุ้นในบิ๊กซีเพียง 13% มาจนถึงปัจจุบัน

อำนาจเครือข่ายค้าปลีก สะเทือนรายย่อย

จากข้อมูลของกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า การเติบโตธุรกิจค้าปลีกค้าส่งสมัยใหม่ทุกประเภทในปี 2544 มีสาขาทั้งสิ้น 1,821 แห่ง โดยที่อัตราส่วนระหว่างค้าปลีกดั้งเดิมต่อธุรกิจค้าปลีกค้าส่งสมัยใหม่จาก 60:40 ปรับเปลี่ยนเป็น 40:60 ในปี 2548 และจำนวนสาขาค้าปลีกค้าส่งสมัยใหม่เพิ่มขึ้นเป็น 3,709 แห่ง คาดว่าในปี 2550 จะเพิ่มเป็น 5,408 แห่ง ขณะที่สัดส่วนค้าปลีกดั้งเดิมลดลงเหลือ 30% ส่วนค้าปลีกสมัยใหม่พุ่งขึ้นเป็น 70%

การขยายตัว "ร้านค้าปลีกขนาดใหญ่" ไม่เพียงกระทบต่อกิจการร้านค้าปลีกขนาดเล็กกว่า แต่ยักษ์ใหญ่ค้าปลีกยังสั่งสม "อำนาจทางการค้า" ก่อเกิดปัญหาจริยธรรมทางการค้า หรือระบบการค้าไม่เป็นธรรมต่อผู้ผลิตซัพพลายเออร์ ทำให้ฝ่ายเสียประโยชน์ทั้งผู้ค้ารายย่อยและซัพพลายเออร์ ต่างเรียกร้องให้ภาครัฐ หาแนวมาตรการกำกับดูแลให้ผู้ประกอบการทุกฝ่ายสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสมดุลบนระบบการค้าที่เป็นธรรม นำสู่แนวทางใช้ "กฎหมายค้าปลีก" ฉบับแรกขึ้นในประเทศไทย ซึ่งขณะนี้ อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา

ทั้งนี้ เครือข่ายค้าปลีกที่เพิ่มขึ้นไม่เพียงกระทบต่อคู่แข่งในธุรกิจเดียวกัน แต่ปริมาณการเติบโตของพื้นที่ขาย ทำให้ขั้วอำนาจแปรจากยุคผู้ผลิต-ซัพพลายเออร์ มีพลังในการต่อรองสูงมาอยู่ยุคของอำนาจทางการตลาดเป็นของผู้ค้าปลีก จากความเป็นเจ้าของช่องทางกระจายสินค้าสมัยใหม่ ซึ่งเป็นที่นิยมของผู้บริโภคตามยุคสมัยลดทอนบทบาทของร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิม รวมถึงยี่ปั๊ว ซาปั๊ว ที่เป็นช่องทางหลักของซัพพลายเออร์ในการกระจายสินค้า

"กลายพันธุ์" ก้าวสู่จุดเปลี่ยนทศวรรษหน้า

ยุทธศาสตร์ทางธุรกิจของกลุ่มผู้ประกอบการจะถูกปรับไปตามภาวการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา เมื่อกฎหมายผังเมืองจะเป็นข้อจำกัดสำหรับการขยายร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ แต่ไม่เป็นอุปสรรคสำหรับความพรักพร้อมของรูปแบบร้านค้าปลีกที่หลากหลายในเครือข่าย ประกอบกับทำเลที่หายากขึ้น การเปิดตลาดครอบคลุมพื้นที่การค้าขนาดใหญ่ไปเรียบร้อยแล้วในช่วงเกือบ 10 ปีที่ผ่านมา จำเป็นต้องมองหาโอกาสทางการตลาดใหม่

โมเดลธุรกิจร้านขนาดย่อมจะเป็นจุดเปลี่ยนของธุรกิจค้าปลีกไทยในทศวรรษต่อไปอีกด้วย ด้วยการเติบโตของชุมชน ฐานประชากรในพื้นที่ การขยายตัวของเมืองเป็นโอกาสทางการตลาดที่สำคัญแม้ว่าภาวะการแข่งขัน รวมถึงกำลังซื้อในสภาพเศรษฐกิจชะลอตัวในขณะนี้ จะยังไม่เอื้ออำนวยมากนักก็ตาม แต่ความพรักพร้อมของทุนต่างชาติ โดยไม่ต้องกังวลถึงภาวะเสี่ยงหรือสภาพคล่องทางการเงิน จึงสามารถใช้เม็ดเงินที่มีอยู่หว่านไว้รอเก็บเกี่ยวประโยชน์อย่างเต็มที่ในเบื้องหน้า

เพราะหากไม่ทำ หรือช้าเพียงก้าวเดียวโอกาสสูญเสียส่วนแบ่งทางการตลาดเกิดขึ้นได้ในพริบตาขณะที่ความเป็นเจ้าของช่องทางจำหน่ายสามารถเอื้อประโยชน์ให้ "ต่อยอด" ธุรกิจได้มากมาย อย่างเช่น "เซเว่นอีเลฟเว่น" ในปัจจุบันที่ต่อจิ๊กซอว์แตกไลน์ธุรกิจออกไปหลายแขนง

กระแสบริโภคนิยมหนุนคนเข้าโมเดิร์นเทรด

การเปลี่ยนแปลงของ "พฤติกรรมการบริโภค" ยังเป็นอีกหนึ่งจุดเปลี่ยนให้ร้านค้าปลีกสมัยใหม่เติบโตอย่างก้าวกระโดด... ด้วยค่านิยมของประชาชน พัฒนาการทางสังคม ก่อให้เกิดวัฒนธรรมการบริโภคตามยุคตามสมัย จากสมัยก่อนผู้บริโภคนิยมเข้าห้างสรรพสินค้า ปัจจุบันกลายเป็นสิ่งธรรมดาไปแล้ว หรือแม้แต่การแบ่งตามชนชั้นการบริโภค ที่คนมีเงินต้องไปห้างสรรพสินค้า ผู้ที่มีรายได้น้อยจะใช้บริการโชห่วยนั้น

แต่ขณะนี้ มีร้านคอนวีเนียนสโตร์เข้ามาเป็นทางเลือกเพิ่มขึ้น หรือหากต้องการสินค้าแบบเฉพาะเจาะจง ก็สามารถไปร้านสเปเชี่ยลตี้สโตร์หรือแคธิกอรี่คิลเลอร์ ที่จำหน่ายเฉพาะไลน์สินค้านั้นๆ ได้เช่นกัน

กระแสบริโภคนิยมใช้บริการร้านค้าปลีกทันสมัยมากขึ้น เพราะสามารถจอดรถได้โดยสะดวก ซื้อสินค้าและบริการได้อย่างครบวงจรในแห่งเดียว ที่สำคัญ บริการรับบัตรเครดิตรองรับสภาพเศรษฐกิจ และกำลังซื้อของผู้ใช้บริการตลอดเวลา นอกจากนี้ สินค้าอาหารสด อุปโภคบริโภคที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตมีการคัดสรร จำหน่ายราคาถูกเมื่อเปรียบเทียบกับต้องไปเดินซื้อที่ตลาดสด

นอกจากความเพลี่ยงพลํ้าของนักธุรกิจไทย ในช่วงวิกฤติต้มยำกุ้ง สายป่านทางการเงินที่ยาวไกล เทคโนโลยีโนว์ฮาวที่ก้าวหน้า ทดลองใช้ได้ผลมาแล้วในหลายประเทศ ประกอบกับ การเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคคนไทย มีส่วนทำให้ "ดิสเคาท์สโตร์" ประสบผลสำเร็จอย่างล้นหลามอยู่ในขณะนี้ และยากที่คนไทยจะเรียกกลับคืน
http://www.bangkokbiznews.com/2007/spec ... l/p16.html
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news11/07/07

โพสต์ที่ 17

โพสต์

คาร์ฟูร์ฮึดปรับสินค้า ยกชั้นขึ้นไฮเปอร์ฯหรู

โพสต์ทูเดย์ คาร์ฟูร์ ลุยขึ้นชั้นไฮเปอร์มาร์เก็ตหรู ยกเครื่องสินค้าเฮาส์แบรนด์พร้อมขนแบรนด์เนมขึ้นห้าง


นายฟิลิปป์ โบรยานิโก กรรมการผู้จัดการ บริษัท เซ็นคาร์ ผู้บริหารไฮเปอร์มาร์เก็ตภายใต้ชื่อ คาร์ฟูร์ กล่าวว่า อีกหนึ่งนโยบายในการบริหารของบริษัท จะมุ่งให้ความสำคัญกับการพัฒนาสินค้าอุปโภค-บริโภคที่เป็นยี่ห้อของตัวเอง หรือเฮาส์แบรนด์ โดยอยู่ระหว่างพัฒนาคุณภาพสินค้าแต่ละหมวด รวมถึงเปิดตัวสินค้าเฮาส์แบรนด์ในกลุ่มสินค้าเบ็ดเตล็ดเป็นครั้งแรกและรายแรก คาดเปิดตัวพร้อมทำตลาดอย่างเป็นทางการเดือน ต.ค.นี้
ทั้งนี้ เพื่อยกระดับสินค้าเฮาส์แบรนด์ต่างๆ ของบริษัทให้ได้รับการยอมรับจากผู้บริโภค โดยตั้งราคาสินค้าเฮาส์แบรนด์ให้สมเหตุสมผลกับคุณภาพ ซึ่งปัจจุบันบริษัทแบ่งสินค้าเฮาส์แบรนด์เป็น 2 กลุ่มหลัก คือ 1.ยี่ห้อคาร์ฟูร์ เพื่อแข่งขันกับสินค้าแบรนด์เนมต่างๆ และ 2.หมวดสินค้ามาตรฐานทั่วไป เช่น ยี่ห้อบิ๊กเซฟเวอร์ วางตำแหน่งเป็นสินค้าราคาประหยัด แต่มีคุณภาพแข่งขันกับเฮาส์แบรนด์ยี่ห้ออื่นๆ และยังมีสินค้าเฮาส์แบรนด์กลุ่มแฟชั่นเสื้อผ้าด้วย ปัจจุบันเฮาส์แบรนด์มีสัดส่วนราว 2% ของรายการสินค้าทั้งหมด
พร้อมกันนี้จะปรับปรุงรายการสินค้าภายในห้างใหม่ ด้วยการเพิ่มไลน์สินค้าแบรนด์เนมในทุกหมวด/แผนก อาทิ แผนกเฟอร์นิเจอร์ เสื้อผ้าเด็ก รวมทั้งให้ความสำคัญกับแผนกสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ เพื่อเป็นทางเลือกให้ผู้บริโภคภายใต้ภาพลักษณ์ใหม่ของคาร์ฟูร์ ที่เป็นไฮเปอร์มาร์เก็ตระดับบนเพื่อสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งค้าปลีกประเภทเดียวกัน
ล่าสุดบริษัทได้นำร่องเปิดตัวห้างคาร์ฟูร์ภายใต้แนวคิดใหม่ซึ่งเป็นสาขาต้นแบบแห่งแรกที่ จ.ชลบุรี ซึ่งเป็นสาขาที่ 25 บนพื้นที่ 6 พัน ตร.ม. จากสาขาปกติมีพื้นที่เฉลี่ย 8 พัน-1 หมื่น ตร.ม. แต่มีสินค้าเพิ่มมากกว่าจาก 4 หมื่นรายการของสาขาปกติ เป็น 5 หมื่นรายการ
นอกจากนี้ ยังเตรียมเปิดคาร์ฟูร์แนวคิดใหม่สาขาลำดับที่ 26 บนทำเลถนนพระราม 2 กรุงเทพฯ ซึ่งมีพื้นที่ 4 พัน ตร.ม. เป็นสาขาแรก ในเดือน พ.ย.ปีนี้ และในปี 2551 จะเปิดอีก 2 สาขาใหม่ รวมเป็น 28 สาขา พร้อมเร่งปรับปรุงสาขาเดิมภายใต้แนวคิดใหม่ โดยวางงบราว 15 ล้านบาทต่อสาขา คาดว่าจนถึงปีหน้าจะปรับโฉมของสาขาเดิมได้อีก 6-7 สาขา
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=177974
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news11/07/07

โพสต์ที่ 18

โพสต์

แฟมิลี่มาร์ท กัดฟันเท400ล. [ ฉบับที่ 809 ประจำวันที่ 11-7-2007 ถึง 13-7-2007]  
> ปูพรมสาขา-รีโนเวต 120 แห่ง

แฟมิลี่มาร์ททุ่มงบ 400 ล้านสู้ หลังเจอพิษการเมือง-เศรษฐกิจกระหน่ำสาขาเจ๊งปิดตัว 100 แห่ง ขณะเดียวกันเตรียมผุดสาขาใหม่ทั่วประเทศ 60 แห่งและรีโนเวตสาขาเดิม 60 แห่ง พร้อมเดิน หน้าบุกตลาดน้ำผลไม้ 40% จับมือซาน มิเกล ออกรสชาติใหม่ แบร์รี่ ซันเบลสท์ หลังตลาดน้ำผลไม้โต 51% คาดสิ้นปียอดขายทรงตัว 6.2 พันล้าน

นายทาเกชิ ทากาสุง ประธานกรรม การบริหาร บริษัท สยามแฟมิลี่มาร์ท จำกัด เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทได้เตรียมงบลงทุนประมาณ 400 ล้านบาท เพื่อใช้ในการพัฒนาศักยภาพของร้านสะดวกซื้อ แฟมิลี่มาร์ท โดยแบ่งเป็น การขยายสาขา, การรีโนเวต, การเพิ่มอุปกรณ์ในสาขาใหม่ และการพัฒนาระบบการให้บริการทั้งในตัวบุคลากร และไอที

ทั้งนี้ ในส่วนของการขยายสาขาบริษัทได้เตรียมขยายสาขาเพิ่มอีก 60 สาขาโดยเป็นนโยบายของบริษัทที่จะต้องทำการขยายสาขาเพิ่มทุกปีประมาณ 15% ของสาขาที่เปิดให้บริการทั้งหมด จากเดิมที่มีการเปิดให้บริการแล้วประมาณ 550 สาขา แต่อย่างไรก็ตาม ในปีนี้บริษัทได้มีแผนที่
จะทำการปิดให้บริการสาขาเดิมจำนวน 100 สาขาทั่วประเทศ เหตุเพราะสาขาเหล่านั้นเป็นสาขาที่มีปัญหาในเรื่องของยอดขาย ทำให้ขณะนี้แฟมิลี่มาร์ทมีสาขาที่เปิดให้บริการเพียง 450 สาขา โดยเป็นสาขาแฟรน ไชส์ประมาณ 20% ของสาขาทั้งหมดที่เปิดให้บริการ

โดยในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาแฟมิลี่มาร์ทได้ทำการขยายสาขาใหม่ไปแล้วประมาณ 30 แห่ง โดยคาดว่าครึ่งปีที่เหลือบริษัทจะทำการขยายสาขาอีก 30 แห่ง โดยทั้งปีคาดว่าจะมีสาขาแฟมิลี่มาร์ทให้บริการประมาณ 500 สาขา

ขณะเดียวกันในปีนี้บริษัทมีแผนการ รีโนเวตสาขาเดิมจำนวน 60 สาขาให้มีความ ทันสมัยขึ้น เพื่อรองรับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป โดยขณะนี้ได้ทำ การรีโนเวตสาขาไปแล้วจำนวน 25 สาขามีทั้งในต่างจังหวัด และกรุงเทพฯ

สำหรับกลยุทธ์ในการเพิ่มยอดขายของบริษัทในปีนี้จะเน้นให้ความสำคัญในเรื่องของการบริการ และการพัฒนาสินค้า เพื่อเป็นการสร้างความประทับใจให้กับลูกค้า ในการเข้ามาใช้บริการ ขณะเดียวกันบริษัทได้เตรียมเพิ่มรายการสินค้าในกลุ่มอาหารมากขึ้น ทั้งในกลุ่มอาหาร

ฟาสต์ฟู้ด และอาหารพร้อมทาน เนื่องจากเห็นว่าสินค้าในกลุ่มนี้ยังมีจำหน่ายน้อยอยู่ในแฟมิลี่มาร์ท รวมไปถึงกลุ่มผู้บริโภคยังนิยมเข้ามาซื้อสินค้าในกลุ่มนี้มากกว่าสินค้าในกลุ่มนอน-ฟู้ด แม้ว่าผู้บริโภคคนไทยจะยังคงนิยมรับประทานอาหารตามร้านอาหารมากกว่าก็ตาม

ทั้งนี้ ในกลุ่มสินค้าประเภทเครื่องดื่มสุขภาพแฟมิลี่มาร์ทมีแผนที่จะนำเข้ามาจำหน่ายมากขึ้น โดยเฉพาะเครื่องดื่มในกลุ่มสุขภาพ เนื่องจากในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมายอดขายในกลุ่มสินค้าดังกล่าวมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 51% ล่าสุดบริษัทได้จับมือร่วมกับบริษัทซาน มิเกล มาร์เก็ตติ้ง เปิดตัวน้ำผลไม้พร้อมดื่ม 40% ใหม่ แบร์รี่ ซันเบลสท์ ซึ่งเป็นการวางจำหน่ายเฉพาะในร้านค้าสะดวกซื้อแฟมิลี่มาร์ทเพียงที่เดียวเท่านั้น จากเดิมที่ได้มีการนำสินค้าในกลุ่มน้ำดื่มเพื่อสุขภาพของบริษัทอื่นเข้ามาจำหน่ายในรูปแบบเดียวกัน โดยสาเหตุที่นำสินค้าในกลุ่มนี้เข้ามาวางจำหน่ายเพิ่มเพราะปัจจุบันผู้บริโภคคนไทยหันมาใส่ใจในเรื่องสุขภาพกันมากขึ้น เป็นเหตุให้ผลิตภัณฑ์ ในกลุ่มนี้ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น

นายทาเกชิ กล่าวว่า ส่วนในเรื่องของการ ร่วมทุนในขณะนี้ยังเป็นเพียงแนวคิดเท่านั้น ซึ่งปัจจุบันก็ยังไม่สามารถหาผู้ร่วมทุนได้ โดยแนวคิดที่จะร่วมทุนในครั้งนี้จะเป็นการทำงานในลักษณะของการช่วยกันทำ และเป็นเพียงต้องการให้ผู้ร่วมทุนดังกล่าวมาเป็นที่ปรึกษาด้านการลงทุนในประเทศไทย เพียงเท่านั้น ทั้งนี้เพื่อเป็นการเสริมสร้างจุดแข็งให้แข็งแกร่งขึ้นกับแฟมิลี่มาร์ทที่มีจุดเด่นในเรื่องของพนักงานเก่าจำนวนมาก และเป้นบุคคลที่มีความตั้งใจ ขณะเดียวกันก็ยังเป็นการแก้ไขจุดอ่อนในเรื่องของการให้บริการ และมีสาขาที่จำนวนน้อยเพียง 500 สาขาให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้บริษัทได้ทำการปรับเปลี่ยนจุดชำระค่าบริการ และสาธารณูปโภคจากเดิมที่ใช้ ยูดี เพพอยท์ ที่ได้ปิดตัวลงไป กลายมาเป็น เจมาร์ท เพพอยท์ ซึ่งขณะนี้ก็ได้เริ่มเปิดให้บริการแล้ว ขณะเดียวกันในปีนี้แฟมิลี่มาร์ทก็จะได้มีการจัดแคมเปญใหญ่ เนื่องในโอกาสครบ รอบ 15 ปีที่เปิดให้บริการในประเทศไทย โดยแคมเปญดังกล่าวจะมีการจัดรายการพิเศษให้กับลูกค้ามากมาย ทั้งนี้เพื่อเป็นการขอบคุณลูก ค้าที่เข้ามาใช้บริการแฟมิลี่มาร์ทมาโดยตลอด

ปัจจุบันสัดส่วนรายได้ของสินค้าในร้านค้าสะดวกซื้อแฟมิลี่มาร์ท แบ่งเป็นฟู้ด 45% และนอน-ฟู้ด 55% ไม่นับรวมสินค้าประเภทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และบุหรี่ แต่อย่างไรก็ตามบริษัทต้องการเพิ่มสัดส่วนรายได้ในกลุ่มฟู้ดให้เป็น 70% ทั้งนี้ในส่วนของมาร์เก็ตแชร์แฟมิลี่มาร์ทปัจจุบันมีประมาณ 10% โดยตั้งเป้ามาร์เก็ตแชร์ให้เพิ่มเป็น 20% ในอีก 5 ปีข้างหน้า สำหรับยอดขายในปีที่ผ่านมาแฟมิลี่มาร์ทมีประมาณ 6.2 พันล้านบาท และสำหรับในปีนี้บริษัทตั้งเป้ายอดขายเท่าจากปี 2549 เนื่องจากแฟมิลี่มาร์ทมีการปิดสาขาให้บริการไปประมาณ 100 แห่งทั่วประเทศ
http://www.siamturakij.com/home/news/di ... ws_id=4687
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news12/07/07

โพสต์ที่ 19

โพสต์

เทสโก้ลงใต้ ซื้อผลไม้4จ. ช่วยเกษตรกร
โพสต์ทูเดย์ เทสโก้รับซื้อผลไม้ 4 จังหวัดภาคใต้ 4 พันตัน รวมมูลค่า 74 ล้านบาทไม่ผ่านคนกลาง หวังช่วยแก้ปัญหาราคาตก

นายดามพ์ สุคนธทรัพย์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส เทสโก้ โลตัส กล่าวว่า เทสโก้ โลตัสได้ลงนาม ในบันทึกข้อตกลงเพื่อซื้อขายผลไม้ จากสหกรณ์ใน 4 จังหวัดภาคใต้ คือ จ.สุราษฎร์ธานี พังงา นครศรีธรรมราช และชุมพร โดยเทสโก้ โลตัสจะรับ ซื้อผลไม้จำนวนเกือบ 4 พันตันคิดเป็นมูลค่ากว่า 74 ล้านบาท ซึ่งจะเป็น การซื้อขายโดยตรงกับเกษตรกรโดย ไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง เพื่อให้เกษตรกรได้รับผลประโยชน์เต็มที่

โครงการดังกล่าวถือเป็นส่วนหนึ่งในยุทธศาสตร์ระยะยาวของเทสโก้ โลตัส ในการที่จะร่วมมือกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกลุ่มเกษตรกร ในการพัฒนาและควบคุมคุณภาพของผลผลิต หาตลาดรองรับการจำหน่ายผลผลิต และให้ความมั่นใจว่าผู้บริโภคจะได้ซื้อผลผลิตทางการเกษตรที่มีคุณภาพ ปลอดภัย ในราคายุติธรรม

ที่ผ่านมา เทสโก้ โลตัสได้ร่วมมือกับเกษตรกรในลักษณะนี้แล้วในหลายจังหวัด โดยที่ผ่านมาได้รับซื้อพืชผักผลไม้โดยตรงจากเกษตรกรและบริษัทคู่ค้า เป็นปริมาณทั้งสิ้นเกือบ 2.5 แสนตัน คิดเป็นมูลค่ากว่า 1 พันล้านบาท

ทั้งนี้ เมื่อต้นเดือน พ.ค.เทสโก้ โลตัสได้ร่วมลงนามในบันทึกความตกลงกับสหกรณ์การเกษตรในเขตพื้นที่ภาคตะวันออกเพิ่มเติม โดยเทสโก้ โลตัสจะรับซื้อผลไม้โดยตรงจากเกษตรกรในภาคตะวันออกและบริษัทคู่ค้าจำนวน 4.2 พันตัน มูลค่า 80 ล้านบาท
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=178185
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news13/07/07

โพสต์ที่ 20

โพสต์

ขุมข่าย อินเด็กซ์  - 13/7/2550

เทรนด์ดีไซน์ ตลาดบนสุด เน้นการเป็นสินค้าภาพพจน์องค์กร ไม่เน้นขยายตัวอินเด็กซ์ ตลาดกลางขึ้นบน เป็นธงนำทั้งปัจจุบัน อนาคต ทั้งในประเทศและส่งออก ยอดขายกว่า 50% เมื่อเทียบในกลุ่มวินเนอร์ ตลาดกลางลงล่าง แบรนด์เริ่มต้น และจุดประกาย แต่ปัจจุบัน ขยับลงมา เป็นตัวรองรับ ทั้งผู้ร่วมค้าและสถานการณ์ตลาด ยอดขายอยู่ประมาณ 30% ลอจิก้า เฟอร์นิเจอร์ สำนักงาน ที่อัตราเติบโตพ่วงไปกับเครือข่ายหลัก เธอราเฟล็กซ์ และเซอร์ต้า ชุดเตียงนอนและเครื่องนอน กลุ่มสินค้าล่าสุด ที่หวังครองตลาด ใน 3 ปีจากนี้มูลค่าตลาดรวม ประมาณการณ์ปี 2550 ไว้ที่ 7,000 ล้านบาท เติบโต 15% จากปีก่อน สัดส่วนตลาด ส่งออก 45% และ ในประเทศ 55% แนวโน้มตลาดในประเทศ จะเพิ่มสัดส่วนมากขึ้นช่องทางตลาดในประเทศ จากลิฟวิ่งมอลล์ และโชว์รูม ดีลเลอร์ รวมกว่า 200,000 ตารางเมตร และขายยกโปรเจก โครงการในไทย 400 ล้านบาท ต่อปีตลาดส่งออก ส่งไปยังตลาดทั่วโลกกว่า 100 ประเทศ ภายใต้แบรนด์อินเด็กซ์ และ วินเนอร์ ราว 60% ,ส่งตรงเข้าโรงงาน ในลักษณะรับจ้างผลิต ประมาณ 30% และที่เหลือ 10% ส่งลักษณะ โปรเจกเฉพาะ
http://www.siamrath.co.th/Economic.asp?ReviewID=177338
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news13/07/07

โพสต์ที่ 21

โพสต์

'อิเกีย'ระเบิดศึกราคาในจีน - 13/7/2550

คลื่นตะวันตกถาโถมเอเซีย ฤ จะปิดตำนาน'อินเด็กซ์'ความเคลื่อนไหว ในช่วง 1 ปี ของอิเกีย จากสวีเดน ในตลาดแดนมังกร ตลาดที่ใหญ่ที่สุดของเอเซีย และอาจจะที่สุดของโลก ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ได้สะท้อนภาพบางอย่างอิเกีย ผู้ผลิตและจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ ของแต่งบ้าน รายใหญ่ของโลก ได้เข้าสู่ตลาดประเทศจีน เมื่อราว 5 ปีก่อน ในช่วงบุกเบิก 3-4 ปีแรก กิจกรรมต่างๆ ยังคงเน้นไปที่การสร้างภาพลักษณ์ แต่ช่วงเวลา 1 ปีล่าสุด บ่งบอกถึงทิศทางชัดเจนว่า เมื่อเจ้าตลาดระดับโลก ขยับไปที่ใดก็ตาม ย่อมเล็งผลเลิศ เป็นที่สุดอิเกีย ได้ตัดสินใจ ระเบิดกลยุทธ์ราคา ซึ่งบางรายการ หั่นราคาเหลือแค่ 30% ของราคาขายจริง

สาเหตุที่อิเกีย ตัดสินใจ ใช้กลยุทธ์ราคา จนทำให้ปัจจุบัน สามารถครองส่วนแบ่งทางการตลาดในจีน ได้ถึง 43% นั้น ก็เพราะ การปูรากฐาน ในช่วงบุกเบิก 3-4 ปีก่อนปัจจุบัน แม้จะไม่มีตัวเลขการลงทุน ที่เปิดเผยอย่างชัดเจน แต่เป็นที่ทราบกันดีว่า โรงงานผลิตของอิเกีย ในจีนนั้น ได้ผลิตป้อนตลาดถึงครึ่งหนึ่งต่อปี ที่น่าติดตามต่อไป ก็คือ อิเกีย ยังไม่หยุดแค่นี้ ยังคงวางนโยบาย ด้านการผลิต เพื่อมุ่งไปข้างหน้า มีแผนเพิ่มกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด โรงงานในมณฑลต้าเหลียน เข้าใจว่าอีกไม่นาน ก็จะเริ่มป้อนสินค้าออกสู่ตลาดได้ด้านช่องทางตลาด อิเกีย ลงหลักกับ สาขาที่กรุงปักกิ่ง ด้วยพื้นที่ถึง 42,000 ตารางเมตร ซึ่งถือเป็นสาขาที่ใหญ่ที่สุด รองเพียงสาขาหลักที่กรุงสต็อกโฮล์ม ประเทศสวีเดนเท่านั้นนอกจากนี้ ยังวางแผนที่จะขยายสาขาในจีนให้ได้ปีละ 2 สาขา เป็นอย่างน้อย

การลงทุนฐานการผลิต และการขยายสาขาด้านการตลาด ของอิเกีย ในจีนนั้น นอกจากประเด็นเรื่องการบุกตลาด อย่างเต็มที่แล้ว
ยังเป็นการสะท้อนถึงความมั่นใจของอิเกีย ในการบุกตลาดเอเซีย ด้วย เนื่องจากการเข้าไปในจีนนั้น ไม่มีพันธมิตรท้องถิ่นในการร่วมลงทุน แม้แต่น้อยไม่เพียงตลาดนับแสนล้านบาทต่อปีในจีน ทั่วทั้งภูมิภาคเอเซีย ก็ถือเป็นตลาดใหม่ ที่หอมหวน สำหรับยักษ์ใหญ่รายนี้ แม้กระทั่งญี่ปุ่น ก็ไม่เว้น อิเกีย ได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ๆ สำหรับวงการค้าเฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้าน ในแดนปลาดิบสำหรับญี่ปุ่น ดูจะเกิดความเปลี่ยนแปลงในทันทีที่อิเกีย ฟูนาบาชิ ในเมืองไซบะ ความตื่นตาตื่นใจ กับสินค้าหลากหลาย มากมาย ที่ไม่เคยเกิดขึ้นในญี่ปุ่น ได้สร้างความประหลาดใจ จนกลายเป็นปรากฏการณ์ใหม่ของคนรักบ้านผู้คนเนื่องแน่น ถึงขนาดต่อคิว ยิ่งวันหยุดด้วยแล้ว ต้องใช้คำว่าล้นทะลักหรือที่ อิเกีย โกโฮกุ ชานเมืองโยโกฮาม่า กับพื้นที่ถึง 40,000 ตารางเมตร ที่เดินกันได้เป็นวันแค่สองสาขา ทำให้ผู้ค้าหน้าเก่าๆในญี่ปุ่น ต้องรีบปรับกระบวน เพราะมีกระแสว่า อิเกีย กำลังจะลงหลักทางซีกตะวันตกในปลายปีนี้ ที่เมืองโกเบ และยังจะมีตามมาอีกหลายระลอก

นี่ขนาด ยักษ์ใหญ่ ตัวหลักของเอเชีย ยังไม่อาจหลีกพ้น กระแสอันเชี่ยวกราก ของทุนตะวันตก "ผมต้องการ เปลี่ยนแปลง มุมมองของชาวจีน ที่คิดว่าสินค้า จากโลกตะวันตกมีราคาแพง"คำกล่าวของ นายเอียน ดัฟฟี่ ผู้บริหารสูงสุด ของอิเกีย ประเทศจีน เมื่อครั้งเปิดศึกราคา ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้น ของสมรภูมิรบ ที่สะท้อนความพร้อมของอิเกียคำกล่าวนั้น ไม่อาจเฉพาะ เพียงชาวจีนเท่านั้น

คนเอเซีย ทั่วทั้งภูมิภาคกระมัง ที่อยู่ในความต้องการของอิเกียแล้ว สำหรับประเทศไทย เจาะจงไปที่ อินเด็กซ์ หมายเลขหนึ่งของท้องถิ่นไทยจะบังอาจหลีกพ้น เงาทมึนที่กำลังจะบดบังท้องฟ้าที่แจ่มใสไปได้ หรือไม่ เป็นเรื่องที่น่าติดตามหรือ ตำนานความสำเร็จ อาจจะเหลือเพียงแค่ เศษเสี้ยวหนึ่ง ของกลุ่มทุนตะวันตก
http://www.siamrath.co.th/Economic.asp?ReviewID=177341
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news13/07/07

โพสต์ที่ 22

โพสต์

'อินเด็กซ์'แบรนด์แกร่ง-คนกล้า - 13/7/2550

'อินเด็กซ์'แบรนด์แกร่ง-คนกล้า
ฝ่าพันธนาการฉุดรั้ง


ว่ากันว่า การขยายสาขาแบบบุกตะลุยด้วยเม็ดเงินราว 5,000 ล้าน ในช่วงเวลาไม่ถึง 5 ปี นับเป็นความกล้าของ อินเด็กซ์ แต่แท้จริง อินเด็กซ์ ต้องการยึดหัวหาด ให้ครอบคลุม ทั่วประเทศ พร้อมกับสร้างแบรนด์ ให้แข็งแกร่งที่สุด เพื่อรองรับอนาคต ในอีก 5 ปีข้างหน้า ที่คาดหมายว่า สมรภูมิการแข่งขันจะร้อนระอุ อีกเท่าทวีคูณ เมื่อผู้มาใหม่โดยเฉพาะจากซีกโลกตะวันตก จะเดินทางมาถึง และลงมืออย่างเป็นจริงเป็นจังเมื่อถึงตอนนั้น อินเด็กซ์ ก็อาจจะอุ่นใจได้บ้าง เพราะมั่นใจได้ว่า คงไม่ใช่เรื่องง่ายเสียแล้ว สำหรับ 'อิเกีย'"ผมเปรียบเหมือนช้าง ซึ่งตัวมันใหญ่ ถ้ามีแค่ สองขา ก็คงจะล้ม คงรับน้ำหนักไม่ไหว ถ้ามี สี่ขา ก็จะมั่นคง ยิ่งถ้ามี ห้าขาได้ ก็จะยิ่งมั่นคง"

คำเปรียบเปรย ของ นายกิจจา ปัทมสัตยาสนธิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเด็กซ์ลิฟวิ่งมอลล์ จำกัด เป็นคำกล่าว ที่สะท้อน ความพยายาม ที่จะสร้างความยั่งยืนให้กับองค์กร ภายใต้เงื่อนไขที่ยากลำบาก นายกิจจา ยอมรับว่า สถานการณ์ของอุตหสากรรมเฟอร์นิเจอร์ของไทย ณ เวลานี้ และอนาคตอันใกล้ มีเรื่องที่น่าวิตกกังวลอยู่หลายด้าน และแม้ว่า ในส่วนของ อินเด็กซ์ เองยังดูสดใส มีอัตราเติบโต ที่เรียกว่าสวนกระแส สภาพเศรษฐกิจ ที่ซบเซาก็ตามจะว่าไปแล้ว ความวิตกกังวล ไม่ได้เพียงเกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ ในมุมของอินเด็กซ์ ความกังวลใจ ที่เป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ ได้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว เมื่อราว 10 ปีก่อน และอีกครั้ง กับ ความกังวลใจที่ อาจแปรความหมาย ไม่ต่างจากคำว่า วิสัยทัศน์ ซึ่งเป็นที่มาหรือเบื้องลึกของการตัดสินใจเมื่อ 5 ปีที่แล้ว

จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญเมื่อ19ปีก่อนนายกิจจา เล่าถึงจุดเปลี่ยนครั้งแรกของ เครือข่ายอินเด็กซ์ ว่า เกิดขึ้นเมื่อราว 19 ปีก่อน ซึ่งก่อนหน้านั้น บริษัท ก็ยังเป็นเพียงโรงงานผลิตเฟอร์นิเจอร์เล็กๆ ยอดขายต่อปีไม่มากนัก ไม่กี่ล้านบาท "สิบแปดสิบเก้าปีที่แล้ว ที่เราเริ่มส่งออก ก็เพราะเทรดดิ้งจากสิงคโปร์ กำลังต้องการสินค้าเฟอร์นิเจอร์ เพื่อส่งต่อไปยังตลาดตะวันออกกลาง เขาเข้ามาที่เมืองไทย เห็นสินค้าของเรา ก็เลยเจรจากัน จากจุดนั้น ก็เริ่มทำให้เราได้ผลิตและพัฒนาสินค้า ตอนนั้นยังมีแค่แบรนด์วินเนอร์ พอเราส่งออกได้ระยะหนึ่ง ทางตะวันออกกลาง ก็เข้ามาเจรจากับเราโดยตรง ก็เป็นจุดเปลี่ยนอีกครั้งหนึ่ง คือทำให้เรามองถึง การส่งออกโดยตรง"

จากสิงคโปร์ สู่คู่ค้าโดยตรงจากตะวันออกกลาง ในที่สุด อินเด็กซ์ ก็ตัดสินใจ เปิดตลาดสู่โลกภายนอกเข้าไปเจาะตลาดฮ่องกง และญี่ปุ่น ซึ่งที่ประเทศญี่ปุ่น นี่เอง ที่นายกิจจา บอกว่า มีส่วนอย่างมากที่ทำให้บริษัท พัฒนาการผลิตที่เรียกว่าถึงขั้นสูงสุด เพราะตลาดญี่ปุ่นนั้นเน้นคุณภาพมาก "มีการถ่ายทอดเทคโนโลยี ให้กับเราเยอะมาก เพราะเขาต้องการสินค้าที่คุณภาพสูงสุด"จากญี่ปุ่น ด้วยความพร้อมรอบด้าน อินเด็กซ์เริ่มเจาะตลาดในยุโรป ที่อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี ข้ามไปยังตลาดใหญ่สุด คือที่อเมริกา จนถึงปัจจุบัน อินเด็กซ์ มีตลาดกว่า 100ประเทศทั่วโลกผ่านมาไม่ถึง 10 ปี ตลาดส่งออกของอินเด็กซ์ จากจุดเริ่มต้น ปีละ ไม่ถึง 50 ล้านบาท เป็นหลายร้อยล้านบาทต่อปี โดยกำลังการผลิตถึง 80% ได้มุ่งเน้นไปที่ตลาดส่งออก เหลือขายในประเทศเพียง 20% เท่านั้น"ตลาดส่งออก ก็ยังไปได้ดีอยู่ แต่ตอนนั้น เราก็กลับมามองตัวเลข ของเรา ซึ่งสัดส่วน ในประเทศมีแค่ 20% เท่านั้น ก็เลยคิดกันว่า ถ้าวันหนึ่งตลาดต่างประเทศเกิดมีปัญหาขึ้นมา ขณะที่ตลาดในประเทศ มีเพียงนิดเดียว อาจจะเกิดปัญหาได้ ในปี 2539 เราก็เลยคิดจะเปิดตลาดในประเทศให้มากขึ้น และการขยายช่องทางตลาดใหม่ ด้วยแบรนด์วินเนอร์ ซึ่งกลุ่มลูกค้ายึดติดกับลักษณะผลิตภัณฑ์ ที่เป็นงานโลหะ งานเหล็กไปแล้ว การที่สร้างความเข้าใจใหม่ กับผลิตภัณฑ์ใหม่ เราคิดว่าเป็นเรื่องยาก ตอนนั้น ก็เลย สร้างแบรนด์ใหม่ขึ้นมา"

ปี 2539 แบรนด์อินเด็กซ์ จึงถือกำเนิดขึ้นในตอนนั้นแต่เหมือน ช่วงเวลา ไม่สัมพันธ์ กับวิธีคิด แต่นั่นก็เป็นเฉพาะความรู้สึกแรก
"พอเราคิดเสร็จ เปิดแบรนด์ใหม่ ตอนนั้นเกิดอะไรขึ้น วิกฤตเศรษฐกิจ ฟองสบู่แตก ทุกอย่างพังหมด หยุดชะงักหมด แต่เราก็ต้องเดินหน้าต่อ ถามว่าเรากลัวไหม ตอนนั้น แรกๆ เราก็กลัวนะ แต่ที่สุดเราก็มองว่า นี่เป็นโอกาส"ช่วงปี 2540 คาบเกี่ยวถึงปี 2541 อินเด็กซ์ มีอัตราเติบโตถึงกว่า 30% นายกิจจา กล่าวย้ำ ซึ่งเป็นผลมาจาก การตัดสินใจเดินหน้าต่อแต่จะว่าไปแล้ว วิกฤตเศรษฐกิจ ณ ขณะนั้น มีผลสะท้อนที่ทำให้อินเด็กซ์ มีทุนก้อนมหาศาล เพราะช่วงขณะนั้น อินเด็กซ์ ยังเน้นการส่งออกเป็นหลัก และการส่งออกได้ขยับไปถึงปีละเกือบพันล้านบาท ด้วยการซื้อขายโดยดอลลาร์ เงินได้เปล่าจากอัตราแลกเปลี่ยน ที่เปลี่ยนแปลงในทันที ในช่วงปีสองปีนั้น นายกิจจา เลี่ยงไม่พูดถึงตัวเลขที่แท้จริง แต่ก็ยอมรับว่า เป็นมูลค่าที่สูงมาก แต่ปีต่อๆมา ลูกค้าในต่างประเทศ ก็เริ่มขอลดราคาเพราะรู้ว่าอินเด็กซ์ได้ส่วนต่างมาก เม็ดเงินจากการส่งออก จึงเริ่มสู่ภาวะปกติ

ช่วงเวลานั้น หรือแม้ในปัจจุบัน อินเด็กซ์ เป็นผู้ผลิตรายเดียวของไทยที่ผลิตเพื่อส่งออก อย่างเป็นจริงเป็นจัง เมื่อมีทุนที่เหมือนได้เปล่า ความกล้าที่จะเสี่ยงกับสถานการณ์ จึงเกิดขึ้นช่วงปี 2540 ตลาดที่ดูซบเซา แต่แท้จริง ความต้องการเฟอร์นิเจอร์ ก็ยังดำรงอยู่
การโหมโปรโมท กับ แบรนด์อินเด็กซ์ แบรนด์ที่เปิดใหม่ ได้กระทำอย่างต่อเนื่อง โชว์รูมเฟอร์นิเจอร์ ภายใต้แบรนด์นี้ โดดเด่นเหนือคู่แข่ง ในยุคนั้น ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ เจ้าตลาดในไทย ที่เด่นไม่แพ้กัน หรืออาจดูเหนือกว่าด้วยซ้ำ ในนาม"เอส.บี."กลับดูเหนือยๆลงไปนายกิจจา กล่าวว่า ตอนนั้น บริษัทได้เชิญดีลเลอร์มาประชุมร่วมกัน และกำหนดทิศทาง ซึ่งบริษัทรับผิดชอบเรื่องการออกแบบ ปรับปรุงโชว์รูม ส่งสินค้าไปโชว์ แต่เรื่องการลงทุนสถานที่เป็นของดีลเลอร์ ซึ่งตอนนั้นดีลเลอร์ส่วนใหญ่ก็เอาด้วย

"ตอนนั้นก็ต้องใช้ทุนมากพอสมควร เพราะจัดโชว์สินค้า แบบใหม่เลย จัดเป็นเซท เหมือนโชว์ห้องจริง ใช้พื้นที่มาก จากแต่ก่อนจะขายสินค้าแบบวางซ้อนๆกัน พอเราปรับปรุงแบบนี้ ภาพลักษณ์ความเป็นผู้นำตลาด ในแบรนด์อินเด็กซ์เกิดเลย"ช่วง 5 ปี นับจากครั้งนั้น ดูเหมือนอินเด็กซ์ จะเติบโตและกล้าแข็งมากขึ้น ทิ้งห่างคู่แข่ง ไว้ข้างหลัง และกว่าที่คู่แข่งจะปรับตัวได้ อินเด็กซ์ ก็ผงาด ขึ้นเป็นผู้นำตลาดอย่างเต็มตัว"เราใหญ่กว่าเป็นเท่าตัว ยอดขายเขาแค่ สองพันล้าน แต่เรามีถึงหกพันล้าน"นายกิจจา กล่าวด้วยความเชื่อมั่น เมื่อเปรียบเทียบ กับ "เอส.บี."

ความสำเร็จแบบสวนกระแส ในช่วง 5 ปี ทำให้อินเด็กซ์ มองไปข้างหน้า วาดแผนงานล่วงหน้าถึง 10 ปีพื้นที่ขายมากที่สุดถึง2แสนตร.ม.ปี 2546 อภิมหาโปรเจก สำหรับวงการเฟอร์นิเจอร์เมืองไทย จึงเริ่มก่อร่างสร้างเค้าโครงขึ้นจาก อินเด็กซ์ลิฟวิ่งมอลล์ สาขาแรก ที่ฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต ที่เปิดอย่างเป็นทางการเมื่อต้นปี 2547 จนถึงการเปิดอินเด็กซ์ลิฟวิ่งมอลล์ สาขาที่ 14 ที่จังหวัดพิษณุโลก เมื่อ 4 พฤษภาคม 2550 ที่ผ่านมา เป็นการตอกย้ำ ถึงความยิ่งใหญ่ของช่องทางจำหน่าย ที่ทำให้อินเด็กซ์ โดดเด่น และกล้าแกร่งยิ่งขึ้นและเมื่อรวมถึงแผนงานที่เตรียมจะเปิด สาขาที่ 15 ที่จังหวัดอุดรธานี ปลายปีนี้ เปิดสาขาที่ 16 ที่จังหวัดชลบุรี และสาขาที่ 17 ที่จังหวัดขอนแก่น ภายในปี 2551 ยิ่งจะทำให้อินเด็กซ์ มีช่องทางจำหน่ายที่สมบูรณ์พร้อม อย่างที่สุดจากพื้นที่ขายเฉลี่ยกว่า 10,000 ตารางเมตร ในแต่ละสาขา และเมื่อแผนงานที่กล่าวถึงสำเร็จ จะทำให้อินเด็กซ์ มีพื้นที่ขายรวมถึง 2 แสนตารางเมตร ซึ่งเรียกได้ว่า ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ

แต่การลงทุนสร้างความแข็งแกร่งทางช่องทางจำหน่าย เช่นนี้ ก็ต้องใช้เงินทุนจำนวนมหาศาล เข้าแลก อินเด็กซ์ ใช้เงินจำนวนไม่น้อยกว่า 3,000 ล้านบาท กับ 14 สาขา และอีกกว่า 1,500 ล้านบาท กับอีก 3 สาขาที่ยังไม่เปิดตัวจากฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต จนถึงสาขาที่ 17 ตามแผนงาน เบ็ดเสร็จ รวมแล้ว อินเด็กซ์ ใช้เงินลงทุนไปราว 5,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่ถือว่าสูงมาก กับช่วงเวลาไม่ถึง 5 ปี
ประเด็น ความแข็งแกร่ง ของช่องทางจำหน่าย เมื่อเทียบกับความเสี่ยงด้วยเม็ดเงินจำนวนมหาศาลนี้ ผลลัพธ์ ออกมา เป็นอย่างไร ยังคงต้องรอคำตอบ

"เรายอมรับ การทำธุรกิจเช่นนี้ เหนื่อยทีเดียว เพราะไม่ใช่ว่าเปิดมาแล้ว ทุกสาขาจะประสบความสำเร็จทันที แต่ถ้าสาขาไหนมีปัญหา เราก็คงไม่ตัดขาย แต่คงเข้าไปดูว่ามีปัญหาจากตรงไหน แล้วหาทางแก้ไข มากกว่า แต่ถึงขณะนี้ ทุกสาขาก็เป็นไปตามเป้าหมาย มีเพียงสาขาที่อุบลราชธานีเท่านั้น ที่ยอดขายน้อยไปหน่อย เพราะว่าพื้นที่มีจำกัด เล็กเกินไป"นายกิจจา กล่าวการใช้เงินลงทุน กับช่องทางตลาด มากถึงขนาดนี้ ที่แม้แต่คู่แข่งสำคัญ อย่าง "เอส.บี." ก็ยังเอ่ยปากว่า การลงทุนเช่นนี้ นับเป็นความกล้าอย่างมาก

แต่เบื้องลึกแล้ว กลุ่มทุนอินเด็กซ์ มีเหตุผล และเป็นเหตุผลที่ใครได้ยินแล้ว จะต้อง ยอมรับในวิสัยทัศน์ ไม่เพียง ช่องทางตลาดเท่านั้น นายกิจจา กล่าวว่า ในช่วง 10 ปีมานี้ ในภาคการผลิต บริษัท ได้ลงทุนไปแล้ว เป็นมูลค่ากว่าหมื่นล้านบาท ซึ่งปัจจุบัน กำลังการผลิตเต็มที่ ถ้าตีเป็นมูลค่าสินค้าก็คงอยู่ที่ประมาณ 7,000-8,000 ล้านบาท ต่อปี และถ้ามองจากรูปการณ์ที่เป็นอยู่ ภายในไม่กี่ปีข้างหน้า การขยายกำลังการผลิตคงต้องเกิดขึ้นตามไปด้วย"เราใช้แบงก์หลายแห่ง แต่ในประเทศเป็นหลัก และเราก็ได้เครดิตเอ มาตลอด เงินกู้กับทุนเราเอง ก็ ห้าสิบห้าสิบ ซึ่งทุกโปรเจกที่เราคุย แบงก์ก็เข้าใจ เขาเชื่อมั่นกับสิ่งที่เราทำ ตรงนี้ก็การันตี ได้ว่า เราคิดถูกพอสมควร" นายกิจจา ชี้ให้เห็นว่า สถาบันการเงิน ก็ยังเข้าใจและเชื่อมั่น ถึงการกล้าตัดสินใจ ของบริษัท กับการลงโปรเจกขนาดใหญ่ ในไทยแผนรองรับอีก5ปีข้างหน้า

"ค่าเงินบาทแข็งในตอนนี้ เป็นตัวอย่างปัญหาที่ชัดเจน และเป็นเหตุผลหนึ่ง คือ ธุรกิจนี้ ส่งออก มันมีมาร์จินนิดเดียว สิบกว่าเปอร์เซ็นต์ แล้วค่าเงินบาทแข็งขึ้นกว่าสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว เรียกว่า ส่งออกไปก็ไม่มีกำไร แต่เราก็ต้องพยายามทำต่อ เพื่อรักษาฐานลูกค้า และให้คนงานมีงานทำ จะขอขึ้นราคาก็ไม่ได้ ลูกค้าหนีหมด เพราะจีนกับเวียดนาม ก็กำลังตามจี้เรามาติดๆ เราถึงบอกว่า ต้องหันมามองตลาดในประเทศมากขึ้น การสร้างช่องทางจำหน่ายที่แข็งแกร่งและเสริมภาพพจน์ของแบรนด์ จึงจำเป็น"อีกเหตุผลหนึ่งซึ่งดูจะหนักหนากว่า หลายเท่าตัวนัก ซึ่งอินเด็กซ์ ตระหนักดี และกังวลมาตลอดก็คือ การขยับขยายของกลุ่มทุนที่ใหญ่กว่า และตลาดไทย ก็เริ่มน่าสนใจขึ้นเรื่อยๆ"ผมว่า ใน 5 ปีนี้ เขามาแน่""เขา"ที่นายกิจจา พูดถึง ก็คือ "อิเกีย"ผู้ค้ารายใหญ่ของวงการเฟอร์นิเจอร์โลก

ถ้าพูดถึงขนาดแล้ว อิเกียยังนับว่า ใหญ่กว่า อินเด็กซ์ หลายเท่าตัวนัก และเมื่อถึงสายสัมพันธ์แล้ว อินเด็กซ์ ก็คือ ซัพพลายเออร์รายหนึ่งเท่านั้นนายกิจจา กล่าวว่า บริษัท ได้ผลิตชิ้นส่วนเฟอร์นิเจอร์ ส่งให้กับอิเกีย มาประมาณ 15 ปีแล้ว โดยแต่ละปีส่งให้ประมาณ 100 ตู้คอนเทรนเนอร์ และก็ไม่อาจปฏิเสธว่า ไอเดีย อินเด็กซ์ลิฟวิ่งมอลล์ ส่วนหนึ่งก็มาจาก สิ่งที่ได้เห็นเมื่อครั้งเดินทางไปชมงานของ อิเกีย

"ถึงแม้เขามา ก็ยังคงเป็นแบรนด์ต่างชาติ ส่วนสินค้า ก็เป็นของแต่งบ้านชิ้นเล็กๆ ในด้านเฟอร์นิเจอร์ ผมคิดว่า คุณภาพและดีไซน์ เราน่าจะยังได้เปรียบ แต่ในทางกลับกัน ผมมองว่า ตลาดน่าจะโตขึ้นอีกมาก เพราะการเข้ามา ก็น่าจะกระตุ้นและเกิดตลาดใหม่ๆ เพราะดูจากที่เขาเข้าไปเซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง หรือกวางเจา ตลาดคนหนุ่มสาวของจีนเกิดขึ้นอย่างมาก"แต่ถ้าการเข้ามาของอิเกีย ไม่เพียงไม่สร้างตลาดใหม่แล้ว กลับเข้ามาแย่งแชร์ตลาดเท่าที่มีอยู่ นายกิจจา ก็ยืนยันว่าอินเด็กซ์ พร้อมที่จะต่อสู้ เพราะการลงทุนในทุกวันนี้ ก็คือแผนงานรองรับในช่วง 5-10 ปีข้างหน้า"สำหรับเรา คิดว่าไม่น่าจะกระเทือน ผมยังมั่นใจว่าเราพร้อม เพราะสิ่งที่เราทำไปในช่วงสิบปีมานี้ ผมว่าเราแข็งแกร่งพอ ห่วงก็แต่รายเล็กๆ ที่น่าจะล้มหายไปจากตลาด"
http://www.siamrath.co.th/Economic.asp?ReviewID=177342
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news13/07/07

โพสต์ที่ 23

โพสต์

ค้าปลีกยักษ์ระเบิดศึกลดราคา  

โดย มติชน วัน ศุกร์ ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 09:53 น.

- โลตัสส่งโรลแบ๊คหั่นลง50% - บิ๊กซีจัดแคมเปญรอบ14ปีรับ

ค้าปลีกยักษ์ใหญ่ประกาศสงครามลดราคา โลตัสปรับระบบซัพพลาย เชน ส่งผลต้นทุนลด อัดแคมเปญโรลแบ๊คเข็นสินค้าผัก-ผลไม้กว่า 1,000 รายการ ขายต่ำกว่าปกติ 30-50% ด้านบิ๊กซีจัดแคมเปญใหม่รอบ 14 ปี ขนทัพสินค้า 100 รายการ ลด 50%
นายสุนทร อรุณานนท์ชัย ประธานกรรมการบริษัท เอก-ชัย ดิสทริบิวชั่น ซิสเท็ม จำกัด ผู้บริหารค้าปลีกสมัยใหม่เทสโก้ โลตัส เปิดเผยว่า บริษัทได้ปรับปรุงประสิทธิภาพด้านโครงสร้างระบบจัดการลำเลียงสินค้า หรือซัพพลาย เชน เริ่มต้นกับหมวดสินค้าอาหารสด เช่น ผัก ผลไม้ ด้วยมูลค่าการลงทุนกว่า 40 ล้านบาท ตลอดช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ปัจจุบันประสิทธิภาพด้านการกระจายสินค้า การจัดการ การลดต้นทุนของบริษัทเพิ่มขึ้นถึง 33% และบริษัทสามารถจำหน่ายสินค้ากลุ่มดังกล่าวที่มีอยู่กว่า 1,000 รายการ ได้ถูกลงจากเดิม 30-50% เมื่อเทียบกับราคาขายปลีกปกติ และเป็นราคาจำหน่ายระยะยาวทุกวันไม่มีกำหนดเวลา

นอกจากนี้ ในอนาคตบริษัทยังจะพัฒนาประสิทธิภาพด้านซัพพลาย เชน ให้ครอบคลุมทุกกลุ่มสินค้ากว่า 30,000 รายการด้วย แนวทางดังกล่าวคาดว่าจะส่งผลให้มีลูกค้าหมุนเวียนเพิ่มขึ้น จากปัจจุบันรวมทุกสาขาบริษัทมีลูกค้าที่ 2.2 ล้านคนต่อเดือน

นายสุนทรกล่าวว่า ทิศทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทยังคงเน้นการลดใช้พลังงาน และทำกิจกรรมเพื่อตอบแทนสังคมเพื่อความอยู่รอดทางธุรกิจ ในภาวะเศรษฐกิจที่มีปัจจัยลบค่อนข้างมาก ประกอบกับการแข่งขันของธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ที่รุนแรงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่บริษัทมีพนักงานที่อยู่ในองค์กรกว่า 30,000 คน สำหรับสถานการณ์ค่าเงินบาทที่แข็งค่าต่อเนื่องนั้น ในฐานะผู้ประกอบการมองว่าผู้ประกอบการโดยเฉพาะกลุ่มผู้ส่งออกต้องปรับตัวให้สอดรับกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป โดยการหันมาส่งออกและผลิตวัตถุดิบเพื่อป้อนให้กับประเทศที่ได้เปรียบด้านแรงงานแทน เนื่องจากสถานการณ์ดังกล่าวมีความน่าเป็นห่วงอย่างมาก ค่าเงินบาทแข็งค่าเพิ่มขึ้นถึง 22% เริ่มใกล้เคียงกับช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ อยู่ที่ระดับเพิ่มขึ้น 26% ขณะที่ภาครัฐต้องเร่งพัฒนาประชากรให้มีรายได้สูงขึ้น เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยในประเทศ เนื่องจากปัจจุบันไทยพึ่งพาการส่งออกในสัดส่วนที่มากเกินไป

ด้านนางสาวจริยา จิราธิวัฒน์ รองประธานฝ่ายการตลาดและการสื่อสาร บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด กล่าวว่า บริษัทจะมุ่งจัดแคมเปญสินค้าราคาถูก เพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้บิ๊กซีเป็นผู้นำในด้านราคา โดยล่าสุดได้จัดแคมเปญในรายการ ตัดคูปองครึ่งราคา ท้านักช็อป นำสินค้าอุปโภคบริโภคกว่า 100 รายการ มาลดราคา 50% ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 18 ก.ค. และซื้อ 1 แถม 1 จนถึง 26 ก.ค. แคมเปญนี้ถือเป็นแคมเปญใหญ่ในรอบ 14 ปี
นอกจากนี้ ยังจัดแคมเปญร่วมกับบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค จัดแคมเปญ ช็อปโทรฟรี แฮปปี้เพิ่มให้ ใช้งบฯลงทุน 20 ล้านบาท บริษัทตั้งเป้าหมายจะมีลูกค้าของแฮปปี้ดีแทคสมัครเข้าร่วมรายการกว่า 5 แสนเลขหมายภายในสิ้นปีนี้ และมียอดขายสินค้าที่ร่วมรายการเพิ่มขึ้นอีก 30% (กรอบบ่าย)
http://news.sanook.com/economic/economic_156228.php
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news15/07/07

โพสต์ที่ 24

โพสต์

พ.ร.บ.ค้าปลีกค้าส่งไม่คืบ?  

โดย ฐานเศรษฐกิจ วัน อาทิตย์ ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 04:48 น.
นับตั้งแต่ 29 พฤศจิกายน 2549 จนถึงปัจจุบัน รวมเวลากว่า 7 เดือนที่รมต.เกริกไกร จีระแพทย์ ในฐานะเจ้ากระทรวงพาณิชย์ ประกาศว่าจะต้องแก้ปัญหาค้าปลีก ระหว่างโชวห่วยกับยักษ์ค้าปลีกข้ามชาติที่เข้ามารุกแย่งทำเลค้าขายของคนท้องถิ่นให้ได้ โดยเป้าหมายหลักคือการทำให้ทั้งสองฝ่ายอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ ซึ่งก็หมายถึงการแบ่งพื้นที่กันทำมาค้าขายอย่างชัดเจน
ขณะที่ พ.รบ.ค้าปลีกค้าส่ง ซึ่งเป็นกฏหมายที่จะออกมากำกับดูแลผู้ประกอบการให้อยู่ในกรอบก็ยังคงต้องเดินหน้าจัดทำต่อไปให้แล้วเสร็จ แต่จนแล้วจนรอด พ.ร.บ. ค้าปลีกค้าส่ง ที่อยู่ในมือของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะแล้วเสร็จเมื่อใด แม้แต่สัญญาณบ่งชี้สักนิ๊ดดด... ก็ไม่มี

แต่อย่างว่า... พ.ร.บ. ฉบับนี้รอมาได้เกือบ 8 ปี จะรออีกสักปี สองปี.. ก็ต้องรอต่อไป!

เสียงประสานจากโชวห่วยที่เคยดัง เคยแกร่ง ก็เริ่มแผ่วลงอีกครั้ง จะด้วยเพราะหมดแรง... หรือเพราะไร้ความหวัง แบบลมๆ แล้งๆ ที่หน่วยงานรัฐทิ้งไว้ให้ก็ยากที่จะบอก...

ส่วนฟากนายทุน ก็ใช้โอกาสที่กฏหมายยังมีช่องโหว่ แห่ผุดสาขายังกะดอกเห็ด ไม่เชื่อตอนนี้ไปทิศไหน ทางไหน แหล่งที่ถูกยกให้เป็นหัวเมืองใหญ่ๆ ทั้ง จ.นครปฐม ชุมพร ลพบุรี จะเห็นการก่อสร้างเป็นจุดๆ ย่อมๆ ก็ล้วนเป็นสาขาของไฮเปอร์มาร์เก็ตเจ้าปัญหาทั้งนั้น

แม้ล่าสุดจะมีหลายฝ่าย ที่พยายามกดดันให้ คณะกรรมการกฏษฏีกา สนช. เร่งพิจารณาร่าง พ.ร.บ. ค้าปลีกค้าส่งให้มีผลบังคับใช้อย่างปัจจุบันทันด่วน แต่ด้วยความละเอียดอ่อน และผลกระทบที่อาจส่งผลรายล้อม ทำให้ต้องพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วน และจนปัจจุบันพิจารณาได้เพียงประเด็นเดียวคือมาตรา 4 ที่ระบุถึงคำนิยามธุรกิจ ค้าปลีก และ ค้าส่ง

เชื่อว่ากฏหมายค้าปลีกค้าส่ง ไม่สามารถแก้ไขปัญหาค้าปลีกค้าส่งได้ทั้งระบบ ต้องมีกฏหมายตัวอื่นเข้ามาช่วย เพราะกฏหมายค้าปลีกสามารถชะลอการขยายสาขาได้ แต่ไม่ใช่การห้ามลงทุน ตอนนี้คงต้องจับตาการทำงานของกฤษฏีกา ว่าจะพิจารณาได้รวดเร็วแค่ไหน หนึ่งในคำกล่าวของร.อ.จิตร์ ศิรธรานนท์ โฆษกคณะกรรมาธิการพาณิชย์ สนช. ผู้เกาะติดและศึกษาพ.ร.บ.ค้าปลีกค้าส่งตั้งแต่ปี พ.ศ. 2542

อีกความเห็นหนึ่งที่น่าสนใจ และออกมานำเสนอต่อสาธารณะชนไม่นานมานี้ เป็นความคิดเห็นของรศ.ดร.กิตติ ลิ่มสกุล อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีศึกษาธิการและนักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ ซึ่งกล่าวว่า พ.ร.บ.ค้าปลีกค้าส่ง ควรนำเสนอออกมาในเชิงการส่งเสริมพัฒนาธุรกิจค้าปลีกค้าส่งมากกว่าการควบคุม และหากจะมีข้อกำหนดในการควบคุม ก็ควรจะเลือกควบคุมในเรื่องที่มีผลกระทบต่อผู้บริโภคเป็นสำคัญ เช่น ควบคุมราคาขายไม่ให้แพงเกินไป มากกว่าควบคุมขนาด สถานที่ วันเวลาเปิด-ปิดของห้าง ซึ่งถือเป็นการริดรอนสิทธิผู้ประกอบการ

2 ความคิดเห็นในเรื่องเดียวกัน และมีเป้าหมายเดียวกัน คือ คลี่คลายปัญหาค้าปลีกค้าส่ง ที่ยังคงมีอีกหลายชีวิตเฝ้ารอ บทสรุป ว่าจะออกมาเป็นอย่างไร...
http://news.sanook.com/economic/economic_156683.php
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news17/07/07

โพสต์ที่ 25

โพสต์

เดอะมอลล์รับอานิสงส์บาทแข็งค่า  

โดย เดลินิวส์ วัน อังคาร ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 08:52 น.

ไฮโซแห่ซื้อสินค้าแบรนด์ราคาถูก นางณัฐศมน วงศ์กิตติพัฒน์ ผู้จัดการใหญ่สายการตลาด บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด ผู้บริหารห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ ดิ เอ็มโพเรียม และสยามพารากอน เปิดเผยว่า หากค่าเงินบาทยังมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องจนถึงช่วงปลายปี มีความเป็นไปได้ที่บริษัทจะลดราคาสินค้ายี่ห้อ ดังชั้นนำ (ซูเปอร์แบรนด์) เนื่องจากเงินบาทแข็งค่าทำให้บริษัทสามารถซื้อสินค้าได้ราคาถูกลง แต่ปัจจุบันยังลดราคาไม่ได้ เพราะจำหน่ายสินค้าในสต๊อกเก่า ส่วนกำลังซื้อของลูกค้าในครึ่งปีหลังคาดเติบโตดีขึ้น เป็นผลจากเริ่มมีความชัดเจนด้านการเมือง ทำให้ลูกค้ามั่นใจใช้จ่าย
สำหรับครึ่งปีแรกที่ผ่านมา บริษัทมียอดขายจากห้างสรรพสินค้าทั้ง 3 แห่ง รวม 21,000-22,000 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้ โดยส่วนใหญ่นิยมใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต ซึ่งดิ เอ็มโพเรียม และสยามพารากอนมีสัดส่วนใช้จ่ายผ่านบัตรเพิ่มเป็น 60% และเงินสดเหลือ 40% จากเดิมที่มีสัดส่วน 50% เท่ากัน ส่วนเดอะมอลล์ มียอดใช้ผ่านบัตรเป็น 50% จากเดิม 30% เนื่องจากลูกค้าส่วนใหญ่ไม่ต้องการพกเงินสด อีกทั้งบริษัทมีพันธมิตรบัตรเครดิตหลายรายที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้า โดยให้ส่วนลดเพิ่ม หรือชิงรางวัลต่าง ๆ เมื่อใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต ขณะที่ยอดขายในสิ้นปีนี้คาดเติบโตตามเป้าหมาย 43,000 ล้านบาท

ดิ เอ็มโพเรียม มียอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตสูงสุด เฉลี่ยคนละ 3,500-4,000 บาทต่อครั้ง เพราะเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อในระดับบน ส่วนสยามพารากอน มียอดใช้จ่ายน้อยกว่าเฉลี่ยคนละ 3,000 บาทต่อครั้ง เนื่องจากเป็นลูกค้าหลากหลายกลุ่ม ขณะที่เดอะมอลล์ มียอดใช้ผ่านบัตร คนละ 2,000 บาทต่อครั้ง ซึ่งคาดว่าแนวโน้มการใช้จ่ายผ่านบัตรจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพราะสะดวกในการใช้ ไม่ใช่ลูกค้าไม่มีเงินแต่อย่างใด.
http://news.sanook.com/economic/economic_157544.php
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news18/07/07

โพสต์ที่ 26

โพสต์

โลตัส ชน เซเว่น ฯ รากหญ้า...สะเทือน ! - 18/7/2550

วันที่ 7 มีนาคม ผู้ประกอบการโชวห่วย กว่า 100 ราย ยกขบวนร้องเมืองพัทยาต้าน "โลตัส เอ็กซ์เพรส" เปิดในแหล่งท่องเที่ยว หวั่นโชวห่วยท้องถิ่นสูญพันธุ์.....วันที่ 28 เมษายน กลุ่มพ่อค้าแม่ค้าเจ้าของร้านโชวห่วยจากจังหวัดต่างๆ ได้แก่ บุรีรัมย์ ขอนแก่น อ่างทอง ชลบุรี เชียงราย และพะเยา รวมตัวกันต่อต้านแผนการก่อสร้างห้างเทสโก้ ที่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา มีผู้ประท้วงประมาณ 3,000 คน.....

วันที่ 20 พฤษภาคม ค้าปลีกรายย่อยทั่วเมืองกันตัง จังหวัดตรัง เตรียมผนึกกำลัง ต้าน "เทสโก้ โลตัส" ที่ยื่นขออนุญาตเตรียมสร้าง เทสโก้ โลตัส ที่นั่น..... ความกลัวการรุกของโมเดิร์นเทรด ของค้ากลีกท้องถิ่น สะท้อนจากคำพูดของ นิรุต วัชราภิชาติ ผู้ประสานงานสมาพันธ์การค้าไทยต้านค้าปลีกต่างชาติ เคยพูดไว้ว่า "ห้างโลตัส ได้รุกคืบพยายามเข้ายึดเขตหัวเมืองใหญ่ แล้วคนไทยจะไปค้าขายที่ไหน....."
นี่เป็นส่วนหนึ่งของการรวมตัวประท้วงของธุรกิจค้าปลีกท้องถิ่นที่เกิดขึ้นหลายครั้ง แม้จะดำเนินการต่อเนื่องมามากกว่าสองปี แต่จนถึงวันนี้ ยังไม่เกิดผลดีที่เป็นรูปธรรม เพราะมีปัจจัยหลายประการทั้งด้านการเมืองและการค้าเป็นอุปสรรค และที่สำคัญ ผู้บริโภคไม่ได้มีส่วนร่วมด้วย เพราะผู้บริโภคเองนั้น ได้รับผลประโยชน์โดยตรง เนื่องจากสามารถหาซื้อสินค้าจากโมเดิร์นเทรดเหล่านี้ได้สะดวกและราคาถูก
ยักษ์โมเดิร์นเทรดหลายราย อาทิ เทสโก้ โลตัส ,บิ๊กซี ,คาร์ฟู และแม็คโคร จึงยังรุกต่อเนื่องในตลาดค้าปลีกไทย โดยพยายามปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ใหม่ๆสอดคล้องกับสถานการณ์เสมอ อาทิ เช่น เทสโก้ ประกาศล่าสุดเตรียมการรุกในค้าปลีกประเภทแนวใหม่ คอมมูนิตี้ มอลล์ อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์ใหม่ๆที่เกิดขึ้นแต่ละครั้งของโมเดิร์นเทรด นั่นหมายถึงว่า การครอบคลุมและเข้าถึงผู้บริโภคทุกกลุ่มแบบลงลึกในพฤติกรรมมากขึ้น คอนวีเนียนสโตร์ 9 หมื่นล้าน แข่งเดือด

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย วิเคราะห์ว่า สมรภูมิคอนวีเนี่ยนสโตร์ในปี 2550 คาดว่าแข่งขันกันรุนแรงมากกว่าปีที่ผ่านมา และมีแนวโน้มทวีความเข้มข้นมากขึ้นตามลำดับ ทั้งจากคอนวีเนี่ยนสโตร์หรือร้านสะดวกซื้อรายเดิมด้วยกันเอง และซูเปอร์มาร์เก็ตที่ต่างเร่งขยายสาขากันอย่างต่อเนื่อง รวมถึงบรรดาดิสเคานท์สโตร์ที่มีการปรับขนาดให้เล็กลง เพื่อรองรับมาตรการควบคุมผังเมือง อีกทั้งยังเป็นการขยายเครือข่ายร้านสาขาให้สามารถครอบคลุม และเข้าถึงความต้องการของผู้บริโภคได้มากยิ่งขึ้นด้วย
นอกจากนี้ในส่วนของร้านค้าปลีกรายย่อยหรือกลุ่มธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมเองหลายรายก็ได้มีการปรับปรุงกิจการเพื่อรองรับวิถีการดำเนินชีวิตทีเปลี่ยนแปลงไปของผู้บริโภคในยุคปัจจุบันที่มีแนวโน้มจะลดความถี่ในการซื้อลง และหันมาซื้อสินค้าจากร้านค้าปลีกใกล้บ้านหรือที่ทำงานเพิ่มมากขึ้นในปี 2550 ธุรกิจคอนวีเนี่ยนสโตร์น่าจะมีเม็ดเงินหมุนเวียนไม่ต่ำกว่า 90,000 ล้านบาท หรือเติบโตเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 10 ทั้งนี้นับเป็นอัตราการเติบโตที่ค่อนข้างแตกต่างจากภาพรวมของธุรกิจค้าปลีกโดยรวมในปี 2550 ที่เป็นไปได้ว่าจะเติบโตไม่ถึงร้อยละ 10 ภายใต้สมมติฐานที่อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2550 อยู่ที่ระดับร้อยละ 3.5-4.5

นอกจากนี้ตลาดคอนวีเนี่ยนสโตร์ในเมืองไทยยังเป็นรูปแบบที่มีจำนวนสาขาสูงสุดในกลุ่มธุรกิจค้าปลีกอีกด้วย โดยคาดว่าในปี 2550 น่าจะมีจำนวนสาขาคอนวีเนี่ยนสโตร์รายใหญ่ในลักษณะ Chain Store ภายในประเทศประมาณ 8,000 แห่ง หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตประมาณร้อยละ 15

โลตัส เอ็กเพรส แนวรุกบุกรากหญ้า

นอกเหนือจากค้าปลีกโมเดิร์นเทรดขนาดใหญ่ แบบดิสเคาน์สโตร์ ซูเปอร์เซ็นเตอร์ ที่ค่ายยักษ์ต้องแข่งขันกันเองอย่างดุเดือดและต่อเนื่องแล้ว ค้าปลีกแนว คอนวีเนียน สโตร์ หรือร้านสะดวกซื้อ ก็เป็นอีกสมรภูมิหนึ่งที่น่าจับตามองมากที่สุด เพราะนอกจากขยายสาขาได้อย่างง่ายกว่า ค้าปลีกขนาดใหญ่ ทั้งยังเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายลูกค้าได้สะดวกกว่า รวดเร็วกกว่าอีกด้วย
ในปีนี้ ค่ายเทสโก้ โลตัส ประกาศรุกตลาดค้าปลีกอย่างต่อเนื่อง โดยอาศัย โลตัส เอ็กซเพรส ซึ่งเป็น 1 ในรูปแบบค้าปลีกที่มีขนาดเล็ก ที่เป็นรูปแบบร้านสะดวกซื้อที่เข้าไปอยู่ในตัวเมือง เช่นเดียวกับ เซเว่น อีเลฟเว่น โดย คาดว่าจะมีขยายสาขาเพิ่มอีก 60 สาขา รวมเป็น 320 สาขา แม้จะยังไม่มีจำนวนมากร่วม 4,000 สาขา เท่ากับ เซเว่น อีเลฟเว่น แต่การลงในพื้นที่เดียวกัน และการเพิ่มจำนวนสาขาอย่างต่อเนื่อง ก็จะมีการแข่งขันกันรุนแรงขึ้น
การลงลึกเข้าหาผู้บริโภคเป้าหมายในแต่ละพื้นที่มากขึ้นของยักษ์เหล่านี้ นอกจากกระทบต่อค้าปลีกท้องถิ่นอย่างต่อเนื่อง และกระจายไปสู่ค้าปลีกรายย่อยท้องถิ่นประเภทอื่นด้วย ไม่จำกัดแต่โชวห่วยเท่านั้น ยังเกิดอำนาจต่อรองกับซัพพลายเออร์ เพื่อให้ได้สินค้าที่ราคาซื้อต่ำที่สุด และสามารถนำเสนอต่อผู้บริโภคในราคาที่ต่ำที่สุด โดยค้าปลีกโมเดิร์นเทรดเหล่านี้ ก็แข่งขันกันด้านราคาด้วย เช่นมีโฆษณารับประกันว่าซื้อสินค้าในห้างของตนจะถูกกว่าที่อื่น ถ้าไม่ถูกจริงคืนเงิน...

เหตุสำคัญที่ทำให้ค้าปลีกโมเดิร์นเทรดเหล่านี้มีอำนาจต่อรองกับซัพพลายเออร์สูง เพราะการสร้างกลยุทธ์รูปแบบค้าปลีกใหม่ๆเหล่านี้นี่เอง

จากการเป็นซูเปอร์เซ็นเตอร์ขนาดใหญ่ ผู้บริโภคอาจจะเข้ามาซื้อสินค้าอาทิตย์ละครั้งหรือ 2 อาทิตย์ต่อครั้ง แต่เมื่อเป็นร้านสะดวกซื้อ หรือซูเปอร์มาร์เก็ต ความถี่ในการซื้อสินค้าของผู้บริโภคเพิ่มขึ้น อาจจะเป็นทุกวันและเมื่อประกอบกับจำนวนสาขาที่มากขึ้นด้วยปริมาณการสั่งซื้อสินค้าจากซัพพลายเออร์ยิ่งมากขึ้นตามเป็นผลกระทบต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ไม่รู้จบเช่นนี้

สายโซ่ยุทธศาสตร์ เทสโก้ โลดัส

ปัจจจุบันเทสโก้ โลตัส มีสาขาที่เป็นไฮเปอร์มาร์เก็ตมากกว่า 60 สาขา ส่วนร้านสะดวกซื้อ เทสโก้ โลตัส เอ็กซ์เพรส ที่มีการปรับวิธีการนำเสนอสินค้าให้เข้ากับพฤติกรรมของผู้บริโภคในแต่ละพื้นที่ เป็นเทเลอร์เมดนั้น ปีนี้จะมีรวม 320 สาขา

เทสโก้ โลตัส เอ็กซ์เพรส มีจุดขายต่างจากร้านสะดวกซื้อทั่วไปอย่างชัดเจน เริ่มจากการเป็นร้านค้าปลีกขนาดเล็กที่การผสมผสานความเป็นร้านสะดวกซื้อกับซูเปอร์มาร์เก็ตเข้าด้วยกัน โดยมีพื้นที่ขายประมาณ 300 - 500 ตารางเมตร มีขนาดใหญ่กว่าสะดวกซื้อทั่วไปที่มีขนาดประมาณ 300 ตารางเมตร

สินค้าที่นำขายก็มีความแตกต่างเช่นกัน โดยนอกจากสินค้าอุปโภคแล้ว ยังเน้นที่การทำตลาดอาหารสด อาหารแช่แข็ง ยา เบเกอรี่ และสินค้าเฮ้าส์แบรนด์ ของเทสโก้ โลตัส โดยมีจำนวนสินค้าประมาณ 2,000 - 3,000 รายการเทสโก้ โลตัส เอ็กซ์เพรส มีการปรับธุรกิจให้ยืดหยุ่น เป็น " เทเลอร์เมด" อันเป็นการขายสินค้าที่ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคในแต่ละท้องถิ่น

ที่น่าสนใจคือ ปัจจุบันการขยายธุรกิจของ เทสโก้ โลตัส ใช่เพียงแต่จะมีการคัดค้านจากค้าปลีกท้องถิ่นด้านเดียว การสนับสนุนก็มี ที่ผ่านมามีการเจรจาเช่าพื้นที่จากค้าปลีกในท้องถิ่นทั้งในส่วนกลางและต่างจังหวัดประสบความสำเร็จหลายแห่ง โดยมีการให้ผลประโยชน์มากกว่าการทำซูเปอร์มาร์เก็ตเอง ทำให้ค้าปลีกท้องถิ่นหลายรายพร้อมที่เปิดทางให้เทสโก้ โลตัส เข้ามาทำแทน เช่น ที่ห้างพาต้า ปิ่นเกล้า แฟรี่แลนด์ นครสวรรค์ ที่ เดอะเกรท ชัยภูมิ ที่ร้าน "มีฟ้า" ยี่ปั๊วเก่าแก่ของเชียงใหม่ที่ตั้งร้านอยู่แถวย่านตลาดต้นพยอม ที่ให้เทสโก้เช่าพื้นที่เปิดเป็นร้านเอ็กเพรส แล้วหันไปประกอบธุรกิจอื่นแทนธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง เป็นต้น

เทสโก้ โลตัส มีรูปแบบค้าปลีกในเมืองไทยทั้งหมด 4 รูปแบบ คือ ซูเปอร์เซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นค้าปลีกขนาดใหญ่ที่ขายสินค้าราคาถูก "เทสโก้ โลตัส แวลู" หรือร้าน "คุ้มค่า" ซึ่งเป็นค้าปลีกขนาดเล็กลงมาหน่อย เพื่อเข้าไปยังพื้นที่หรือจังหวัดที่มีกำลังซื้อที่ไม่พอเพียงกับการเปิดซูเปอร์เซ็นเตอร์ ส่วนรูปแบบที่ 3 คือ ซูเปอร์มาร์เก็ต และรูปแบบสุดท้าย คือ เทสโก้ โลตัสเอ็กซ์เพรส ที่เป็นคอนวีเนียนสโตร์

เซเว่น อีเลฟเว่น จะมี 5.000 สาขา

เซเว่น อีเลฟเว่น สาขาแรกในประเทศไทยคือ สาขาตรงหัวมุมถนนพัฒนพงษ์ เปิดให้บริการ เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2532 ปัจจุบันมีประมาณ 3,987 สาขา (ข้อมูล ณ 30 พฤษภาคม 2550) เฉพาะในกรุงเทพมีมากกว่า 1,500 สาขา ทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่มี เซเว่น อีเลฟเว่น มากที่สุดเป็นอันดับที่4 รองจากญี่ปุ่น อเมริกา และ ไต้หวัน ตามลำดับ เซเว่น อีเลฟเว่นในประเทศไทยยังนับว่าเป็นร้านค้าปลีกที่มีเครือข่ายมากที่สุดและมียอดขายเฉลี่ย 65,019 บาท/สาขา/วันเซเว่นอีเลฟเว่น เองก็มีการปรับตัวเพื่อรับมือกับการแข่งขันกับบรรดายักษ์ใหญ่ที่เข้ามาชิงส่วนแบ่งตลาด เช่น การปรับจุดขายตัวเองให้เป็นคอนวีเนียนฟู้ด เน้นขายอาหารที่กินด่วนทั้งหลาย โดยมีสัดส่วนสูงถึงกว่า 70% พร้อมกันนี้ก็มีการลดสินค้าในส่วนที่ได้รับผลกระทบจากสงครามราคาของซูเปอร์เซ็นเตอร์

การที่มีเป้าหมายที่จะเพิ่มเป็น 5,000 สาขา ในปี 2550 นี้ทำให้คู่แข่งยากที่จะตามทัน และก็มียุทธวิธีในการป้องกันการรุกจากคู่แข่ง คู่แข่ง เช่น การเปิดสาขาในพื้นที่เดียวกัน 2 - 3 สาขา โดยมองว่า ในสาขาแรกมีอัตราการเติบโต 100% เมื่อเปิดสาขาที่ 2 ขึ้นมา อัตราการเติบโตของสาขาแรกแม้จะลดลงเหลือ 80% แต่ยอดการเติบโตก็ไปเพิ่มที่สาขาที่ 2 และเมื่อเปิดสาขาที่ 3 ขึ้นมา 2 สาขาแรก การเติบโตลดลง แต่ก็ไปเพิ่มในสาขาที่ 3

เซเว่น อีเลฟเว่น มีอัตราการขยายสาขาใหม่เฉลี่ย 3 วันต่อ 4 สาขา และมีลูกค้าเข้าร้านเฉลี่ยวันละ 3.3 ล้านคนต่อวัน หรือ 1,000 คนต่อสาขา โดยเฉลี่ยลูกค้าเข้าร้าน 5 วันต่อครั้ง ทำให้เซเว่น - อีเลฟเว่น ไม่ใช่เป็นเพียงร้านค้าปลีกในสายตาของนักการตลาด แต่ยังเป็นเครือข่ายที่ทรงพลังในการเข้าถึงผู้บริโภค ความใกล้ชิดนี้ยังไม่นับรวม

เซเว่น อีเลฟเว่น มีพัฒนาการในด้านธุรกิจต่อเนื่อง เช่น เพิ่มร้านหนังสือในชื่อบุ๊คสไมล์ ธุรกิจรับชำระค่าสินค้าและบริการ การออกบัตรสมาร์ทเพิร์ส ที่ได้ทั้งส่วนลดและการสะสมแต้ม ทั้งยังมีการทำร่วมกับพันธมิตรอื่นๆที่ไม่ใช่สินค้าคอนซูเมอร์แต่เพียงอย่างเดียว เพื่อให้ได้ส่วนลดจากการใช้บัตรซื้อสินค้านั้นๆ เช่น มอเตอร์ไซค์ ทำให้ จำนวนผู้ใช้บริการ ซื้อสินค้าใน เซเว่น อีเลฟเว่น ยิ่งเพิ่มจำนวนขึ้นทั้งจำนวนคน และมูลค่าใช้จ่ายต่อคนการรักษาการเติบโตของยอดขายที่ทำอีกอย่างก็คือ การปรับเปลี่ยนประเภทสินค้ารวมถึงการเพิ่มสินค้าใหม่ๆหมุนเวียนเข้ามาในร้านอย่างต่อเนื่อง เซเว่น - อีเลฟเว่น มีจำนวนสินค้าที่หมุนเวียนเข้ามาวางขายในร้านเฉลี่ยปีละ 2,500 - 5,000 รายการ
กระบวนยุทธ์การแข่งขันระหว่างยักษ์โมเดิร์นเทรดทั้งสอง ประกอบกับยักษ์โมเดิร์นเทรดค้าปลีกค่ายอื่น คือ บิ๊กซี และคาร์ฟูร์ รวมทั้ง แฟมิลี่มาร์ท ที่เป็นร้านสะดวกซื้อยักษ์ข้ามชาติอีกค่ายหนึ่ง ที่หลังจากเป็นฝ่ายรับมานาน ก็เริ่มปรับกลยุทธ์ขอกลับมารุกบ้างตั้งเป้าจะมี 500 สาขาในปีนี้ จะรวมเป็นผลกระทบมหาศาลเปรียบเสมือน ช้างสารชนกัน หญ้าแพรกที่เป็นค้าปลีกท้องถิ่น ร้านโชวห่วยทั้งหลายต่างก็ได้รับผลกระทบรุนแรง และอาจต้องล้มหายตายจากกันไปมากขึ้น ในอนาคตอันใกล้
http://www.siamrath.co.th/Economic.asp?ReviewID=177679
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news18/07/07

โพสต์ที่ 27

โพสต์

ดิสเคาน์สโตร์ฉีกภาพลักษณ์ - 18/7/2550
ดิสเคาน์สโตร์ฉีกภาพลักษณ์
สร้างแบรนด์เนม เพื่อสร้างคุณค่า

สงครามค้าปลีกยังไม่สงบ หลังดิสเคาน์สโตร์ปรับภาพลักษณ์เน้นสร้างคุณค่าให้กับตัวห้างด้วยการส่งสินค้าแบรนด์เนมที่หลากหลายเข้าสู่ห้าง พร้อมสร้างความหลากหลายใช้คุณภาพสินค้าเป็นคีย์หลัก แต่ยังคงคอร์โปรดักส์ในเรื่องราคาถูกไว้ สร้างภาพลักษณ์ที่แตกต่างจากคอนวิเนี่ยนอย่างชัดเจน

หลังจากที่การเข้ามาของคอนวิเนี่ยนระดับยักษ์ใหญ่อย่าง เซเว่นอีเลฟเว่น ส่งผลกระทบต่อวงการค้าปลีกในบ้านเราครั้งใหญ่ จนสงครามค้าปลีกระลอกที่สองโจมตีอีกครั้งเมื่อห้างดิสเคาน์สโตร์ขนาดใหญ่แห่เข้ามาในไทย จนทำให้ร้านโชว์ห่วยต้องล้มหายตายจากไปโดยเฉพาะกลุ่มยี่ปั๊วและซาปั๊วทั้งหลาย จนภาครัฐต้องยื่นมือเข้ามาแก้ไขด้วยการจัดโซนนิ่ง

แต่ดูเหมือนจะไม่ช่วยอะไรเพราะกว่ากฎเกณฑ์จะออกมา กลุ่มดิสเคาน์สโตร์ก็เหมือนเป็นนกรู้ยิ่งโหมกระพือในการทำธุรกิจ จนกระทั่งถึงสงครามโลกค้าปลีกครั้งที่สามก็อุบัติขึ้น เมื่อกลุ่มห้างดิสเคาน์สโตร์เริ่มแตกตัวออกเป็นห้างคอนวิเนี่ยนเล็กๆ กระจายไปตามแหล่งชุมชน ส่งผลกระทบกับวงการค้าปลีกระดับรากหญ้าอย่างชัดเจน

แต่เหนือสิ่งอื่นใด การปรับตัวห้างดิสเคาน์สโตร์ให้แตกต่างจากคอนวีเนี่ยนที่ตัวเองสร้างมาและการสร้างความแตกต่างให้เหนือกว่าคู่แข่งเป็นสิ่งที่กลุ่มห้างดิสเคาน์สโตร์ต้องเร่งสร้าง

เทสโก้โลตัสส่งเสื้อผ้ามีแบรนด์รุกตลาด

เทสโก้ โลตัสเริ่มปรับตัวเพื่อสร้างความแตกต่างจากการนำสินค้าเฮาส์แบรนด์เข้ามาจำหน่ายเพื่อเป็นตัวเลือกให้กับผู้บริโภค นอกจากนี้เทสโก้โลตัสยังเริ่มรุกตลาดแฟชั่นจากเดิมที่เน้นสินค้าไปที่กลุ่มสินค้าอุปโภค-บริโภคเป็นหลัก ด้วยการจัดแคมเปญ "Rock Lover รวมพลคนรักยีนส์" ซึ่งเป็นการนำเสนอเสื้อผ้ายีนส์คอลเลคชั่นใหม่ที่สามารถเข้าได้กับกลุ่มผู้บริโภคทุกกลุ่ม

นายดามพ์ สุคนธทรัพย์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท เอก-ชัย ดิสทรีบิวชั่น ซิสเทม จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า "เราเชื่อว่าสินค้าในกลุ่มแฟชั่นเสื้อผ้าจะมีการเติบโต 15%-20% ต่อปี ซึ่งสินค้าแฟชั่นเสื้อผ้าของเราจะมีราคาต่ำกว่าสินค้าแบรนด์เนม 10%-20% โดยที่มีคุณภาพและวัตถุดิบใกล้เคียงกันกับสินค้าแบรนด์เนม และยังมีราคาที่ต่ำกว่าท้องตลาดกว่า 50%-60%"

นอกจากนี้เทสโก้โลตัสยังได้ทำการจัดโปรโมชั่นครั้งใหญ่ในช่วงกลางปีที่ผ่านมาภายใต้ชื่อ "Tesco June Carnival" ซึ่งเป็นหนึ่งในแผนการตอกย้ำภาพลักษณ์ที่แตกต่างของห้างเทสโก้โลตัส

คาร์ฟูร์ประเดิมรูปแบบห้างใหม่

ห้างดิสเคาน์สโตร์ที่เรียกได้ว่ายิ่งใหญ่ไม่เป็นรองใครเห็นจะหนีไม่พ้นคาร์ฟูร์ ล่าสุดมีแผนปรับโฉมห้างให้เป็นภาพลักษณ์ของพรีเมี่ยมดิสเคาน์สโตร์ ซึ่งนอกจากจะพัฒนาห้างให้มีรูปแบบที่ทันสมัยสวยงามแล้ว ยังมีการนำสินค้าที่เป็นเฉพาะทางอย่างเช่น สินค้าตกแต่งบ้าน สินค้ากลุ่มเครื่องสำอาง เป็นต้น โดยคาร์ฟูร์สาขาชลบุรีถือเป็นสาขาแรกที่เป็นรูปแบบ Global Type และจะเป็นสาขาต้นแบบให้คาร์ฟูร์ที่เกิดขึ้นมาใหม่ในอนาคตอีกด้วย นอกจากนี้จะมีการเพิ่มสินค้าขึ้นจากเดิมอีกกว่า 10,000 SKU เพื่อสร้างความหลากหลาย

นายฟิลิปป์ โบรยานิโกร กรรมการผู้จัดการ ห้างคาร์ฟูร์ กล่าวว่า "เราเชื่อมั่นในศักยภาพของประเทศไทย เนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป จากเดิมที่เน้นซื้อสินค้าจำเป็นในชีวิตประจำวัน โดยมีราคาเป็นปัจัยหลักในการตัดสินใจ แต่ปัจจุบันเราพบว่าลูกค้าให้ความสำคัญเรื่องความสะดวกสบายทั้งกับตัวเองและสมาชิกในครอบครัว ซึ่งการให้บริการแบบ One Stop Service จะกลายเป็นเทรนด์ของห้างกลุ่มนี้ในอนาคต

ดังนั้นเราจึงมีแผนที่จะลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่องนับจากนี้ไป คาดว่าในอีก 3 ปีข้างหน้าจะสามารถขยายสาขาเพิ่มขึ้นได้อีกไม่ต่ำกว่า 15 แห่งหรือประมาณ 4-5 สาขาต่อปี โดยเราวางงบประมาณในการลงทุนไว้ไม่ต่ำกว่า 5 พันล้านบาท"

นอกจากนี้คาร์ฟูร์ยังมีแผนในการให้ความรู้และสนับสนุนเทคโนโลยีในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรให้กับกลุ่มเกษตรกรรายย่อย เพื่อคัดสรรผลิตภัณฑ์อาหารสดที่มีคุณภาพผ่านการควบคุมดูแลจากทางคาร์ฟูร์ตั้งแต่เริ่มต้น ที่สำคัญคาร์ฟูร์ยังจัดบริการ Carefour Hot Line เพื่ออำนวยความสะดวกสบายให้กับลูกค้าในด้านข้อมูลสินค้า ราคาและบริการ รวมถึงปัญหาอื่นๆ ข้อคิดเห็นและข้อร้องเรียนอีกด้วย

บิ๊กซีส่งเสื้อผ้าเฮาส์แบรนด์เน้นหลากหลาย

นอกจากบิ๊กซีจะเน้นในเรื่องของสินค้าถูกกว่าที่อื่นแล้ว ยังมีการสร้างความแตกต่างด้วยการส่งเสื้อผ้าที่เน้นความหลากหลายถึง 6 แบรนด์ ซึ่งเป็นสินค้าเฮาส์แบรนด์ภายใต้คอนเซ็ป Only @BigC โดยทั้ง 6 แบรนด์จะแบ่งเซ็กเม้นต์ทั้งกลุ่มผู้ชายและกลุ่มผู้หญิงอย่างชัดเจนไม่ว่าจะเป็นแบรนด์เดอะโคฟที่เน้นเสื้อผ้าแบบยีนส์เหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัย

ตามมาด้วยแบรนด์เอฟเอฟดับบลิวดี ซึ่งเป็นเสื้อผ้าสำหรับผู้ชายวัยรุ่น, แบรนด์ซี-โซนเสื้อผ้าสำหรับผู้หญิงวัยรุ่น, แบรนด์เอมิลี่เสื้อผ้าสำหรับเด็กผู้หญิงอายุ 4-14 ปี, แบรนด์ดอนโดลิโอเสื้อผ้าสำหรับเด็กผู้ชายอายุ 4-14 ปีและแบรนด์โมดาบิมบิเสื้อผ้าสำหรับเด็กเล็กอายุไม่เกิน 1-3 ปี

นางสาวจริยา จิราธิวัฒน์ รองประธานฝ่ายการตลาดและการสื่อสาร บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า "สินค้าเฮาส์แบรนด์เป็นกลยุทธ์หนึ่งที่บิ๊กซีนำมาใช้เพื่อต่อกรกับคู่แข่งในเรื่องราคาและจะเป็นสินค้าที่สร้างความแตกต่างได้อย่างชัดเจน โดยเราจะคัดสรรจากโรงงานผู้ผลิตชาวไทยที่มีคุณภาพใกล้เคียงกับแบรนด์ชั้นนำ และนำมาจำหน่ายในราคาที่ถูกกว่า 15%-20% ซึ่งจะช่วยเพิ่มความหลากหลาย นอกจากนี้ยังช่วยตอกย้ำกลุ่มลูกค้าเดิมและสร้างกลุ่มลูกค้าใหม่เพื่อก่อให้เกิดลูกค้าที่ซื้อประจำขึ้น"

จะเห็นได้ว่าการปรับตัวของห้างดิสเคาน์สโตร์ในครั้งนี้ เป็นการสร้างความหลากหลายของสินค้าและสร้างความแตกต่างให้เห็นได้อย่างชัดเจน ซึ่งแน่นอนว่าสินค้าแบรนด์เนมเริ่มเล็งเห็นถึงศักยภาพของการกระจายสินค้าผ่านช่องทางนี้ ซึ่งหน้าที่ของเหล่าดิสเคาน์สโตร์ทั้งหลายคือการปรับภาพลักษณ์ให้เป็นห้างไฮเปอร์มาร์เก็ตอย่างชัดเจน แต่ถึงอย่างไรราคาก็ยังเป็นยุทธศาสตร์หลักของธุรกิจนี้

http://www.siamrath.co.th/Economic.asp?ReviewID=177676
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news18/07/07

โพสต์ที่ 28

โพสต์

เจมาร์ทสร้างห้างขายมือถือ
โพสต์ทูเดย์ เจ มาร์ท ขยับขึ้นชั้นธุรกิจค้าปลีก ปั้น เจ-เวนิว ศูนย์การค้าในนิคมอุตฯ ต่อยอดมือถือ วาดเป้าขยายครบ 5 แห่งในปีหน้า

นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ มาร์ท ผู้บริหารร้านค้าจำหน่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่และอุปกรณ์เสริม เจ มาร์ท กล่าวว่า ได้เจรจาเช่าพื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรม 2 แห่งคือ อมตะนคร และนวนคร สำหรับพัฒนาเป็นศูนย์การค้าภายใต้ชื่อ เจ-เวนิว ช้อปปิ้ง เซ็นเตอร์
ทั้งนี้ สาขาแรกทดลองเปิดให้บริการที่นิคมอุตสาหกรรมนวนคร จ.ปทุมธานี บนพื้นที่ 7 พัน ตร.ม. และจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 27 ก.ค.นี้ โดยใช้งบลงทุน 70 ล้านบาท ดำเนินการเช่าเป็นระยะเวลา 12 ปี คิดเป็นมูลค่าราว 300 ล้านบาท
เบื้องต้นบริษัทใช้งบราว 30 ล้านบาท สำหรับดำเนินการตลาดโครงการเจ-เวนิว โดยชูจุดเด่นในการเป็นผู้นำการทำตลาดและจำหน่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่รายใหญ่ ซึ่งในศูนย์การค้าดังกล่าว จะเปิดให้บริการร้านค้ามือถือกว่า 100 ราย โดยใช้ชื่อโซนจำหน่ายสินค้ามือถือและไอทีว่า ศูนย์ไอที จังค์ชั่น ที่จะเป็นแม่เหล็กสำคัญในศูนย์การค้า เจ-เวนิว นอกเหนือจากบริการร้านอาหาร ธนาคาร และสินค้าอื่นๆ อยู่ในโซนช็อปปิ้ง เซ็นเตอร์ และในปีหน้าบริษัทคาดสามารถขยายสาขาได้ครบ 5 แห่ง
สำหรับสาขาที่ 2 อยู่ระหว่างการดำเนินการก่อสร้างและตกแต่งพื้นที่ ที่นิคมอุสาหกรรมอมตะ จ.ชลบุรี และอยู่ระหว่างการเจรจารายละเอียดเพิ่ม เติมที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะ จ.ระยองส่วนที่เหลืออยู่ระหว่างมองหาทำเลที่เหมาะสม ซึ่งไม่จำเป็นจะต้องเป็นนิคมอุตสาหกรรม แต่บริษัทจะมุ่งขยาย สาขาในทำเลรอบนอกเขตกรุงเทพฯ เพื่อ หลีกหนีการแข่งขันธุรกิจศูนย์การค้าและค้าปลีกจำหน่ายมือถือที่รุนแรง
ขณะเดียวกันยังคงให้ความสำคัญในการขยายสาขาร้าน เจ มาร์ท โดยปีนี้บริษัทตั้งเป้าขยายสาขาครบ 230 แห่ง แบ่งเป็น 40 สาขาใหม่ จากปัจจุบันเปิดให้บริการราว 190 สาขา
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้ารายได้จากธุรกิจค้าปลีกศูนย์การค้าดังกล่าวอยู่ที่ 40 ล้านบาทต่อปี และคาดถึงจุดคุ้มทุนภายใน 3 ปี โดยในครึ่งปีแรกที่ผ่านมาบริษัทมีกำไรราว 60 ล้านบาท และ สิ้นปีคาดมีกำไรไม่ต่ำกว่า 100-150 ล้านบาท
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=179388
Linsu_th
Verified User
โพสต์: 497
ผู้ติดตาม: 1

modern trade and household

โพสต์ที่ 29

โพสต์

ค้าปลีกรายย่อยทั่วประเทศนัดฮือต้านโลตัส-คาร์ฟูร์ 24 ก.ค.นี้
ประมวล นำผู้ค้ารายย่อยร้องนายกฯสั่งระงับทุนค้าปลีกข้ามชาติขยายสาขาไปทั่วประเทศ ชี้ทำให้คนไทยตายสนิท จี้หากไม่ดำเนินวันที่ 24 ก.ค.นี้กลุ่มค้าปลีกทั่วประเทศลุกฮือแน่      
      วันนี้ (19 ก.ค.) นายประมวล รุจนเสรี แกนนำเครือข่ายธรรมรัฐ เปิดเผยภายหลังเข้าพบ พล.อ.วัฒนชัย ฉายเหมือนวงศ์ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ว่า ได้พาสมาคมผู้ค้าปลีกรายย่อยแห่งประเทศไทย มาพบ พล.อ.วัฒนชัย เพื่อชี้แจงถึงปัญหาการที่รัฐบาลสั่งระงับไม่ให้มีการขยายตัวของบริษัทข้ามชาติโดยใช้กฎหมายควบคุมอาคารไม่ได้ผล ซึ่งการให้บริษัทข้ามชาติเข้ามาลงทุนในประเทศ เป็นนโยบายของรัฐบาลนายชวน หลีกภัย เมื่อปี 2541 ที่ต้องการขยายร้านค้าปลีก ค้าส่งให้กับคนต่างชาติ โดยให้ผู้ลงทุนต่างชาติสามารถมาลงทุนในสัดส่วนที่จากเดิมคนต่างชาติลงทุนร้อยละ 40 คนไทยร้อยละ 60 และได้แก้ไขมาตลอดจนปีนี้ ผู้ลงทุนต่างชาติสามารถลงทุนได้ร้อยละ 65 ขณะที่คนไทยลงทุนเพียงแค่ร้อยละ 35 ทำให้ห้างเทสโก้โลตัส และคาร์ฟูร์ ขยายสาขาไปทั่ว โดยผู้ที่อนุมัติ คือ อธิบดีกรมทะเบียนการค้าในขณะนั้น หรืออธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้าในปัจจุบัน      
      การอนุมัติเป็นเรื่องตลกมาก เพราะอนุมัติที่เดียวเป็นพวง สามารถจะสร้างกี่แห่งก็ได้ ตรงไหนก็ได้ และตั้งแต่ปี 2544 เป็นต้นมา จนถึงปัจจุบัน มีการขยายตัวของร้านค้าเหล่านี้ 4,800 กว่าแห่ง และมีแนวโน้มขยายตัวไปเรื่อยๆ วันนี้ จึงทำให้ร้านค้าปลีกรายย่อยของเราตายสนิท โดยเป็นผลมาจากนโยบายของพรรคประชาธิปัตย์เมื่อปี 2541 การใช้กฎหมายควบคุมอาคารและกฎหมายผังเมืองไม่เป็นผล แต่ผู้ที่รับผิดชอบอ้างว่าเป็นนโยบายการค้าเสรี จึงไม่แก้อะไร วันนี้ความเสียหายเกิดขึ้นมาก ซึ่งธุรกิจค้าปลีก ค้าส่งอยู่ที่ประมาณ 4-5 แสนล้านบาท ทำให้กำไรไปตกอยู่กับต่างชาติหมด นายประมวล กล่าว      
      นายประมวล กล่าวด้วยว่า อยากถามรัฐบาลว่าจะเปลี่ยนนโยบายนี้ได้หรือยัง เพราะผู้มีอำนาจตัวจริง คือ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ที่สามารถสั่งระงับไม่ต่อทะเบียน หรือไม่อนุญาตเพิ่มเติมได้ ไม่จำเป็นต้องให้กระทรวงมหาดไทยไปยับยั้งอะไร เพราะเป็นการแก้ปัญหาทางอ้อม จึงขอให้ พล.อ.วัฒนชัย ไปเรียนให้นายกรัฐมนตรีทราบ และในวันที่ 24 ก.ค.นี้ทางสมาคมผู้ค้าปลีกทั่วประเทศจะมาชุมนุม เพื่อคัดค้านธุรกิจค้าปลีกที่ทำเนียบรัฐบาล
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news20/07/07

โพสต์ที่ 30

โพสต์

ท็อปฯปฏิเสธข่าวลดพนักงานลง ยันธุรกิจไปดี-เปิดอีก4-5สาขา  
โดย คม ชัด ลึก วัน ศุกร์ ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 09:51 น.
ท็อปซุปเปอร์มาเก็ต ปฏิเสธข่าวลดพนักงานลง ระบุ ธุรกิจกำลังไปด้วยดี พร้อมจะเปิดอีก 4 - 5 สาขา ภายในปีนี้ ด้านกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เรียกพนักงานและเจ้าของบริษัทไทยศิลป์ มาเจรจาต่อช่วงบ่ายวันนี้ (20กค.)
(20กค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงบ่ายวันนี้(20กค.) นายอนุวัฒน์ เมธีวิบูลวุฒิ ผู้ว่าฯสมุทรปราการและนายสุเทพ อุ่นสมัย รองอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จะเชิญตัวแทนพนักงานบริษัทไทยศิลป์อาคเนย์ อิมปอร์ต เอ็กซ์ปอร์ต 15 คน พร้อมทั้งนางเยาวลักษณ์ และนายพิพรรษ อุนโอภาส เจ้าของบริษัท มาร่วมหารือภายในห้องประชุมสำนักงานภายในโรงงาน เพื่อหาข้อยุติเรื่องค่าจ้างที่ทางโรงงานมีเงินจ่ายให้พนังงาน 9 ล้านบาท จากที่โรงงานจะต้องจ่ายค่าแรงทั้งหมดเป็นเงิน 14 ล้านบาท

ด้านนายภัทราพร เพ็ญประพัฒน์ ผช.กก.ผจก.ใหญ่ ฝ่ายการตลาดและประชาสัมพันธ์ ท็อป ซุปเปรอ์มาเก็ต กล่าวถึงข่าวท็อปจะลดพนักงาน ว่า ไม่ทราบข่าวมาอย่างไร เพราะไม่เป็นความจริงธุรกิจยังดำเนินไปด้วยดี การเจริญเติบโตเป็นไปตามที่วางเป้าไว้ ยอดขายเป็นไปได้ด้วยดีและมีการเปิดสาขาใหม่วันนี้ที่เชียงราย ตอนนี้มีสาขา 97 สาขา ยังสงสัยข่าวนี้ออกมาได้อย่างไร และธุรกิจเราไม่เกี่ยวค่าเงินบาท เพราะธุรกิจเราเป็นแบบซื้อมาขายไป และยังจะมีการเปิดสาขา อีก 4-5 สาขา ภายในปีนี้

ทางเราได้ชี้แจงให้พนักงานหน้าร้านรับทราบ เพื่อไม่ให้เกิดความตระหนกตกใจ ธุรกิจอย่างเราไม่ได้รับผลกระทบ ไม่มีเหตุอะไรที่จะลดจำนวนพนักงาน และยังมีการเทรนนิ่งพนักงานเพิ่มเติม แผนงานยังดำเนินไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ยอดขายก็ไม่ลดลง ยังมีการเจริญเติบโต เพราะเป็นสินค้าที่ต้องทาน ต้องใช้ เป็นปัจจัยพื้นฐานของประเทศ-->

ท็อปซุปเปอร์มาเก็ต ปฏิเสธข่าวลดพนักงานลง ระบุ ธุรกิจกำลังไปด้วยดี พร้อมจะเปิดอีก 4 - 5 สาขา ภายในปีนี้ ด้านกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เรียกพนักงานและเจ้าของบริษัทไทยศิลป์ มาเจรจาต่อช่วงบ่ายวันนี้ (20กค.)

(20กค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงบ่ายวันนี้(20กค.) นายอนุวัฒน์ เมธีวิบูลวุฒิ ผู้ว่าฯสมุทรปราการและนายสุเทพ อุ่นสมัย รองอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จะเชิญตัวแทนพนักงานบริษัทไทยศิลป์อาคเนย์ อิมปอร์ต เอ็กซ์ปอร์ต 15 คน พร้อมทั้งนางเยาวลักษณ์ และนายพิพรรษ อุนโอภาส เจ้าของบริษัท มาร่วมหารือภายในห้องประชุมสำนักงานภายในโรงงาน เพื่อหาข้อยุติเรื่องค่าจ้างที่ทางโรงงานมีเงินจ่ายให้พนังงาน 9 ล้านบาท จากที่โรงงานจะต้องจ่ายค่าแรงทั้งหมดเป็นเงิน 14 ล้านบาท

ด้านนายภัทราพร เพ็ญประพัฒน์ ผช.กก.ผจก.ใหญ่ ฝ่ายการตลาดและประชาสัมพันธ์ ท็อป ซุปเปรอ์มาเก็ต กล่าวถึงข่าวท็อปจะลดพนักงาน ว่า ไม่ทราบข่าวมาอย่างไร เพราะไม่เป็นความจริงธุรกิจยังดำเนินไปด้วยดี การเจริญเติบโตเป็นไปตามที่วางเป้าไว้ ยอดขายเป็นไปได้ด้วยดีและมีการเปิดสาขาใหม่วันนี้ที่เชียงราย ตอนนี้มีสาขา 97 สาขา ยังสงสัยข่าวนี้ออกมาได้อย่างไร และธุรกิจเราไม่เกี่ยวค่าเงินบาท เพราะธุรกิจเราเป็นแบบซื้อมาขายไป และยังจะมีการเปิดสาขา อีก 4-5 สาขา ภายในปีนี้

ทางเราได้ชี้แจงให้พนักงานหน้าร้านรับทราบ เพื่อไม่ให้เกิดความตระหนกตกใจ ธุรกิจอย่างเราไม่ได้รับผลกระทบ ไม่มีเหตุอะไรที่จะลดจำนวนพนักงาน และยังมีการเทรนนิ่งพนักงานเพิ่มเติม แผนงานยังดำเนินไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ยอดขายก็ไม่ลดลง ยังมีการเจริญเติบโต เพราะเป็นสินค้าที่ต้องทาน ต้องใช้ เป็นปัจจัยพื้นฐานของประเทศ
http://news.sanook.com/economic/economic_158945.php
โพสต์โพสต์