ต่างชาติอัด3หมื่นล.หุ้นยังไม่วิ่ง ขาใหญ่รู้แกวทยอยปรับลดพอร์

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
ภาพประจำตัวสมาชิก
ply33
Verified User
โพสต์: 592
ผู้ติดตาม: 1

ต่างชาติอัด3หมื่นล.หุ้นยังไม่วิ่ง ขาใหญ่รู้แกวทยอยปรับลดพอร์

โพสต์ที่ 1

โพสต์

เซียนหุ้นเล็งปีนี้ปัจจัยโดยรวมไม่เอื้อตลาดหุ้น ขาใหญ่ลดพอร์ต-เจาะเก็บหุ้นเด่นๆ สอดรับตัวเลขนักลงทุนรายย่อยขายสุทธิกว่า 1.6 หมื่นล้านบาท แถมกลุ่มสถาบันเททิ้งอีก 1.2 หมื่นล้าน แต่นักเก็งกำไรต่างชาติดอดเก็บตลอดเกือบ 3 หมื่นล้านแล้ว ส่วนนักลงทุนระยะยาวเมินหนีไปมาเลย์-ฟิลิปินส์-อินโดฯ หุ้น "ภัทร-ปตท.สผ." กำไรกระโดด ส่วนแบงก์วูบ กลุ่มอสังหาฯแฮปปี้

ปี 2550 นักวิเคราะห์ได้ปรับลดการคาดการณ์เศรษฐกิจปีนี้ลดลง จากปัจจัยการเมืองที่ไม่ชัดเจนในเรื่องของการเลือกตั้ง และยังมีการลอบวางระเบิดเกิดขึ้นในกรุงเทพฯ ประกอบกับมาตรการ 30% ยังคงอยู่ จึงปรับประมาณการตัวเลขทางเศรษฐกิจและดัชนีตลาดหุ้น รวมถึงผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ลงอีก

ทั้งนี้สมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ฯระบุผลสำรวจนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ปรับลดคาดการณ์จีดีพีลงเป็น 4.2% เทียบกับการสำรวจครั้งก่อนที่ 4.5% ขณะที่ผลประกอบการของ บจ.เฉลี่ยก็ต่ำลงจากเดิม 4.4% เป็น 2.6% อีกทั้งยังคาดดัชนีเฉลี่ยอยู่ที่ 729 จุด ลดลงจากผลสำรวจปลายปี 2549 สูงสุดที่ 800 จุด ต่ำที่สุดที่ 680 จุด

อีกทั้งในส่วนของผลประกอบการ บจ.ปีนี้ พบว่ากลุ่มอสังหาริมทรัพย์จะเติบโตสูงสุดเฉลี่ย 18.7% อันดับสองคือธนาคารเติบโตเฉลี่ยที่ 10.2% อันดับต่อมาคือกลุ่มวัสดุก่อสร้างและปิโตรเคมีเติบโตเฉลี่ยที่ 2.8% และ 0.3% ตามลำดับ

ด้านสถานการณ์การลงทุนปี 2550 ล่าสุด (ณ 22 กุมภาพันธ์) นักลงทุนต่างชาติโชว์ยอดซื้อสุทธิ 28,961 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 16,026 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 12,935 ล้านบาท ดัชนีตลาดหุ้นฟื้นตัวขึ้นจากต้นปีมาเข้าใกล้ระดับ 700 จุด แต่บรรดานักลงทุนส่วนใหญ่ยังคงกังวลต่อสถานการณ์การเมือง ทำให้ไม่กล้าจะเข้าลงทุนอย่างจริงจัง โดยส่วนใหญ่จะเน้นเก็งกำไรระยะสั้น ยิ่งมีกระแสข่าวก่อการร้าย 3 จังหวัดใต้กลับมารุนแรง และมีโอกาสลุกลามในกรุงเทพฯได้อีก ทำให้นักลงทุนยิ่งระมัดระวังการลงทุน

ขาใหญ่ลดพอร์ต-เจาะหุ้นเจ๋งๆ

นายสมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล (เสี่ยปู่) นักลงทุนรายใหญ่ที่ลงทุนระยะยาว กล่าวว่า จากดัชนีที่ปรับขึ้นมาจากต้นปีกว่า 10% ทำให้ต้องมีการขายทำกำไรบ้างเป็นปกติ ส่วนทิศทางการลงทุนในตลาดหุ้นไทยจากนี้ไปนั้น

ปัจจัยต่างประเทศที่มีการจับตามอง คือเหตุการณ์ในตะวันออกกลาง ซึ่งหากมีปัญหาจะส่งผลกระทบต่อซัพพลายน้ำมัน แต่โดยส่วนตัวมองว่าไม่น่าจะมีปัญหามากกว่านี้

ขณะที่ปัจจัยในประเทศมองว่าสถานการณ์ใกล้เลือกตั้งจะดี ดังนั้นจึงยังคงเลือกลงทุน แต่จะเข้าซื้อหุ้นเมื่อราคาหุ้นนั้นปรับลดลง โดยปัจจุบันพอร์ตการลงทุนยังอยู่ในระดับ 80-90% ในระหว่างนี้จะมีการปรับหุ้นขายออกเพื่อทำกำไรไปพร้อมกับซื้อหุ้นที่ราคาตกลงมา ส่วนหุ้นที่มีผลกำไรเติบโตดีตลอดจะเลือกถือลงทุนระยะยาว ซึ่งกลุ่มอาหารยังเป็นกลุ่มที่ชอบเป็นพิเศษ อาทิ หุ้น MINT

นายธนกฤต เลิศผาติ (ไฮ้ส้มตำ) นักลงทุน รายใหญ่ซึ่งลดพอร์ตเกือบเหลือศูนย์ตั้งแต่ปลาย ปี 2549 ยังคงยืนยันว่า จะยังไม่เพิ่มพอร์ตลงทุน ในปีนี้มากนัก จากความไม่มั่นใจสถานการณ์การเมือง เศรษฐกิจ ประกอบกับยังมีเหตุก่อการร้ายรุนแรงอีกครั้ง ทำให้ยิ่งต้องระมัดระวังเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ที่ผ่านมามีการซื้อขายหุ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ขณะที่นายยรรยง พันธุ์วงศ์กล่อม (หมอยง) ก่อนที่เหตุการณ์ 3 จังหวัดชายแดนใต้กลับมารุนแรงอีกครั้ง ได้เพิ่มน้ำหนักพอร์ตการลงทุนมากกว่านักลงทุนรายใหญ่คนอื่น โดยยังมุ่งเน้นไปที่หุ้นกลุ่มแบงก์เป็นสำคัญ และมีกลุ่มพลังงานบ้าง เนื่องจากเป็นหุ้นพื้นฐานและมีสภาพคล่องสูง

แหล่งข่าวจากฟันด์แมเนเจอร์ต่างประเทศมองตลาดหุ้นไทยว่าไม่แอ็กทีฟ เพราะปีนี้กำไรจะไม่โตและการลงทุนใหม่จะน้อย จึงให้ความสนใจกับตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย มาเลเซียมากกว่า เนื่องจากรัฐบาลมีทิศทางการพัฒนาประเทศที่ชัดเจน ขณะที่ของไทยกำลังไร้ทิศทาง

กำไรแบงก์วูบ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัทจดทะเบียนได้ทยอยประกาศผลการดำเนินงานประจำปี 2549 ซึ่งยังไม่ครบทุกบริษัท แต่หุ้นกลุ่มนำตลาด อาทิ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ 8 แห่ง ผลการดำเนินงานลดลงเป็นส่วนใหญ่ ยกเว้น ธ.กรุงไทยที่มีกำไร 14,078 ล้านบาท หรือ 1.26 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น ขณะที่ธนาคารไทยธนาคารขาดทุน 4,423 ล้านบาท หรือ 3.32 บาทต่อหุ้น และธนาคารทหารไทยขาดทุน 12,283 ล้านบาท หรือ 0.86 บาทต่อหุ้น

บทวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์กรุงศรีอยุธยาระบุว่า การตั้งสำรองหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดดเพื่อรองรับมาตรฐานบัญชีเกณฑ์ IAS 39 เป็นปัจจัยกดดันผลการดำเนินงานของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ในงวดไตรมาสสุดท้าย ปี 2549 ทำให้แสดงผลขาดทุนสุทธิถึง 10,200 ล้านบาท

และส่งผลให้กำไรสุทธิรวมในปี 2549 ของกลุ่มปรับลดลง 42% จากไตรมาสเดียวกันของ ปีก่อน

กลุ่มพลังงาน 6 บริษัท มี 2 บริษัทที่กำไรเพิ่มขึ้น ได้แก่ ปตท. สำรวจฯ (PTTEP) กำไรสุทธิ 28,047 ล้านบาท หรือ 8.55 บาทต่อหุ้น และผลิตไฟฟ้า (EGCOMP) กำไรสุทธิ 6,035 ล้านบาท หรือ 11.46 บาทต่อหุ้น

ภัทรกำไรโดดเด่น

กลุ่มหลักทรัพย์ส่วนใหญ่กำไรลดลงจากภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทยที่ซบเซา ยกเว้น บล. ยูโอบีเคย์เฮียน (ประเทศไทย) (UOBKH) ที่มีกำไรสุทธิ 203 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปีก่อน ส่วน บล.ภัทร (PHATRA) มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นโดดเด่นเป็น 721 ล้านบาท หรือ 3.37 บาทต่อหุ้น จากปีก่อนที่มี 418 ล้านบาท หรือ 2.16 บาทต่อหุ้น เนื่องจากปีก่อนงบการเงินรวมได้รวมผลการดำเนินงานของ บลจ.ฮันเตอร์สก่อนจะขายหุ้นบริษัทดังกล่าว

กลุ่มสื่อสาร หุ้นแอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) กำไรสุทธิ 16,256 ล้านบาท คิดเป็น 5.50 บาทต่อหุ้น ลดลงจากปีก่อน 18,725 ล้านบาท คิดเป็น 6.36 บาทต่อหุ้น ส่วนยูไนเต็ดคอมมูนิเกชั่น (UCOM) กำไรสุทธิ 1,610 ล้านบาท คิดเป็น 3.71 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มี 991 ล้านบาท คิดเป็น 2.28 บาทต่อหุ้น

อสังหาฯแฮปปี้รายได้ปี"49

กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และวัสดุก่อสร้างประกาศ 6 บริษัท ส่วนใหญ่เป็นบริษัทวัสดุก่อสร้างและกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ โดยบริษัทขนาดเล็กยังสามารถโชว์ผลกำไรได้เป็นส่วนใหญ่ ยกเว้นบริษัทขนาดใหญ่ที่กำไรลดลง อาทิ ปูนซิเมนต์ไทยกำไรสุทธิ 29,451 ล้านบาท หรือ 24.54 บาทต่อหุ้น ลดลงจากปีก่อนที่มี 32,236 ล้านบาท หรือ 26.86 บาทต่อหุ้น และปูนซีเมนต์นครหลวงมีกำไรสุทธิ 3,855 ล้านบาท หรือ 16.43 บาทต่อหุ้น ลดลงจากปีก่อน 4,072 ล้านบาท หรือ 17.15 บาทต่อหุ้น

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมในส่วนของธุรกิจอสังหาฯว่า บริษัทพัฒนาที่ดินหลายรายยังมีผลประกอบการดี แม้ปีที่ผ่านมาตลาดอสังหาฯจะได้รับผลกระทบจากปัญหาการเมือง ราคาน้ำมัน และอัตราดอกเบี้ย โดยบางส่วนมีผลกำไรลดลง เช่น บมจ.เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น มีรายได้จากการขายบ้าน 1,175 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก ปี 2548 ที่ 406 ล้านบาท 52% แต่มีกำไรสุทธิ 333.60 ล้านบาท ซึ่งลดลงจากปีก่อน บมจ.ควอลิตี้ เฮ้าส์ มีรายได้รวม 15,000 ล้านบาท เป็นรายได้จากการขายประมาณ 9,000 ล้านบาท อีก 6,000-7,000 ล้านบาท มาจากการขายทรัพย์สิน

บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท มีรายได้รวม 8,204 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีรายได้ 7,635 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1,303 ล้านบาท โดยปี 2548 มีกำไรสุทธิ 1,272 ล้านบาท บมจ.มั่นคงเคหะการมียอดขาย 1,750 ล้านบาท ยอดรับรู้รายได้ 1,850 ล้านบาท ลดลงกว่า 10% เมื่อเทียบกับยอดรับรู้รายได้ปี 2548 แต่ปี 2550 วางเป้าหมายยอดขายไว้ที่ 2,300-2,500 ล้านบาท เติบโตขึ้นประมาณ 20%

ธุรกิจแห่ปันผล

กลุ่มพลังงาน บริษัทบ้านปูปันผล 4.25 บาท/หุ้น รวมงวดปันผลระหว่างกาลทำให้ทั้งปี"49 จ่ายปันผล 7.50 บาท/หุ้น บริษัทบริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพปันผล 0.42 บาท/หุ้น รวมงวดปันผลระหว่างกาลทำให้ทั้งปี"49 จ่ายปันผล 7.50 บาท/หุ้น บริษัทเอกรัฐวิศวกรรมปันผล 0.10 บาท/หุ้น หุ้นโรงกลั่นน้ำมันระยองปันผลหุ้นละ 1 บาท หุ้นผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้งปันผลงวดครึ่งปีหลังอีก 1.10 บาท หุ้นไออาร์พีซี (ทีพีไอ) ปันผล 0.12 บาท

กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนาปันผล 0.31 บาท บริษัทเอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่นปันผล 0.45 บาท/หุ้น บริษัทแอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ปันผล 0.18 บาท/หุ้น รวมงวดปันผลระหว่างกาลทำให้ทั้งปี"49 จ่ายปันผล 0.26 บาท/หุ้น บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตทปันผล 0.20 บาท/หุ้น

กลุ่มวัสดุก่อสร้าง บริษัทวิค แอนด์ ฮุคลันด์ปันผล 0.036 บาท/หุ้น บริษัท ดีคอนโปรดักส์ปันผล 0.05 บาท รวมงวดปันผลระหว่างกาลทำให้ทั้งปี"49 จ่ายปันผล 0.15 บาท/หุ้น บริษัทปูนซิเมนต์ไทยปันผลครึ่งปีหลัง 7.50 บาท รวมทั้งปี 14 บาท

กลุ่มสินค้าเกษตร บริษัทไทย อกริ ฟู้ดส์ปันผล 6 บาท/หุ้น รวมงวดปันผลระหว่างกาลทำให้ทั้งปี"49 จ่ายปันผล 10 บาท/หุ้น กลุ่มปิโตรเคมี บริษัท ไทยคาร์บอนแบล็คปันผล 0.70 บาท/หุ้น บริษัทอะโรเมติกส์ (ประเทศไทย) ปันผล 2.25 บาท/หุ้น บริษัท วีนิไทยปันผล 0.12 บาท/หุ้น

กลุ่มประกันภัย บริษัทไทยรับประกันภัยต่อปันผล 0.18 บาท/หุ้น รวมงวดปันผลระหว่างกาลทำให้ทั้งปี"49 จ่ายปันผล 0.36 บาท/หุ้น บริษัท ประกันคุ้มภัยปันผล 2.70 บาท/หุ้น กลุ่มเงินทุนหลักทรัพย์ บริษัทไทยพาณิชย์ลีสซิ่งปันผล 0.12 บาท/หุ้น บริษัท นวลิสซิ่งปันผล 0.012 บาท บริษัทบัตรกรุงไทยปันผล 1 บาท/หุ้น บล.ภัทรปันผล 2 บาท บล.บีฟิทปันผล 0.15 บาท และ บล.บัวหลวงปันผล 0.80 บาท กลุ่มธนาคาร ธนาคารกสิกรไทยปันผล 1.25 บาท/หุ้น รวมงวดปันผลระหว่างกาลทำให้ทั้งปี"49 จ่ายปันผล 1.75 บาท/หุ้น

นายอภิสิทธิ์ ลิมป์ธำรงกุล ผู้ช่วยผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เกียรตินาคิน กล่าวว่า โดยภาพรวมแล้วอัตราการจ่ายปันผลของบริษัทจดทะเบียนปี49 ยังอยู่ในอัตราที่สูง เฉลี่ยทั้งตลาดประมาณ 4-5% ซึ่งเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่นถือว่าสูงเป็นอันดับ 2 ของโลก เนื่องจากตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดมาตั้งแต่เดือนตุลาคม ดัชนีแกว่งตัวอยู่ระหว่าง 600-700 จุด จึงทำให้เมื่อเทียบกับการจ่ายปันผลตัวเลขจึงสูง

ขณะเดียวกันเมื่อดูที่ค่าอัตราส่วนกำไรต่อราคาปิดต่อหุ้น (P/E) ที่ถูกจนมาอยู่ในอันดับ 5 เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่น ก็ทำให้ยิ่งส่งผลต่อตัวเลขการจ่ายปันผลจูงใจในการลงทุนในช่วงที่ผ่านมาด้วย อย่างไรก็ตามสำหรับแนวโน้มผลประกอบการปี"50 ก็เชื่อว่าอัตราการจ่ายปันผลจะยังเฉลี่ยเท่าเดิม เพราะตลาดหุ้นในปีนี้คงจะไม่ปรับตัวขึ้นอย่างรุนแรงจนกว่าจะมีการเลือกตั้งที่ชัดเจนเสียก่อน

source ประชาชาติธุรกิจ
0--- ฉลามเสือดาว ล่องลอยไปในทะเลกว้างใหญ่ ---0
Jeng
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 14784
ผู้ติดตาม: 30

ต่างชาติอัด3หมื่นล.หุ้นยังไม่วิ่ง ขาใหญ่รู้แกวทยอยปรับลดพอร์

โพสต์ที่ 2

โพสต์

นายอภิสิทธิ์ ลิมป์ธำรงกุล ผู้ช่วยผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เกียรตินาคิน กล่าวว่า โดยภาพรวมแล้วอัตราการจ่ายปันผลของบริษัทจดทะเบียนปี49 ยังอยู่ในอัตราที่สูง เฉลี่ยทั้งตลาดประมาณ 4-5% ซึ่งเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่นถือว่าสูงเป็นอันดับ 2 ของโลก เนื่องจากตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดมาตั้งแต่เดือนตุลาคม ดัชนีแกว่งตัวอยู่ระหว่าง 600-700 จุด จึงทำให้เมื่อเทียบกับการจ่ายปันผลตัวเลขจึงสูง

ขณะเดียวกันเมื่อดูที่ค่าอัตราส่วนกำไรต่อราคาปิดต่อหุ้น (P/E) ที่ถูกจนมาอยู่ในอันดับ 5 เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่น ก็ทำให้ยิ่งส่งผลต่อตัวเลขการจ่ายปันผลจูงใจในการลงทุนในช่วงที่ผ่านมาด้วย อย่างไรก็ตามสำหรับแนวโน้มผลประกอบการปี"50 ก็เชื่อว่าอัตราการจ่ายปันผลจะยังเฉลี่ยเท่าเดิม เพราะตลาดหุ้นในปีนี้คงจะไม่ปรับตัวขึ้นอย่างรุนแรงจนกว่าจะมีการเลือกตั้งที่ชัดเจนเสียก่อน
โพสต์โพสต์