มีบริษัทไหนไปลงทุนเวียตนามมั้งครับ

[nanchan]

ผมว่าตอนนี้เวียตนามน่าสนใจนะ

ไม่แพ้จีน หรืออาจจะดีกว่าจีนด้วย เพราะดูเหมือนการค้าที่เวียตนามจะได้กำไรมากกว่า

ที่เห็นๆก็มี TLUXE SSSCเพิ่งไปร่วมทุน

[ปรัชญา]

เดิมมีหลายบริษัท
อย่างสามารถ  ยูนิคแก๊สและอื่นๆที่ไปตั้งโรงงาน

[คลายเครียด]

AMATA ครับ
เข้าไปตั้งนิคมอุตสาหกรรมก่อนใครเพื่อน
แต่ไม่รู้ผลประกอบการจะเป็นอย่างไร

[hot]

บริษัทลูก sssc คับ

[007-s]

เห็นด้วยค่ะ เวียดนามจะมาแรง (จริงๆตอนนี้มันกำลังแรงอยู่แหละ :lol: )

และดูเหมือนตลาดจะให้ความหวังแบบนั้นด้วยสิ

ดูจากที่งวดนี้ อมตะทำผลงานออกมาไม่ดีเท่าไหร่เลย ยิ่งถ้าเทียบกับบมจ.อื่นในหมวดเดียวกัน แต่ราคาไม่ค่อยลง แถมวันนี้มีแรงซื้อสวนกลับขึ้นมาอีกด้วย

[Willpower]

L&E

[pipatc]

โป๊ะไฟรถ ครับ

[miracle]

GFM ไปสร้างโรงงานที่AMATAเวียดนาม
ตอนนี้ทำสัญญาไว้ 30 ปี
แต่ยังไม่ได้สร้างติดขอการสร้างกับทางการเวียดนาม
คาดว่าปีหน้าสร้างได้

ตอนนี้ใครๆๆก็จะไปเวียดนาม
ได้คุยกับผู้บริหารบอกว่า ทางการเวียดนามอนุมัติช้า
เนื่องจากทุกคนก็จะไปทำธุรกิจที่เวียดนาม

แล้วจีนอ่ะ
บอกว่าตอนนี้จีนไม่ค่อยดีแล้ว ทั้งหาแรงงานยากด้วย ค่าแรงสูง และไม่ค่อยเหมาะสมเนื่องจากcopyเก่งอีกต่างหาก

ต้องฟังหูไว้หูครับ

[สุมาอี้]

จริงครับ เดี๋ยวนี้จีนทำธุรกิจยากแล้วเพราะแข่งขันสูงมาก คนที่ได้ประโยชน์คือคนที่ไปจีนเมื่อสิบปีที่แล้ว

จะลงทุนทำธุรกิจตอนนี้ต้องไปเวียดนามครับ

[tanate]

TPC

[nanchan]

http://www.bangkokbiznews.com/2006/spec ... etnam.html

[nanchan]

AMATA ขยายธุรกิจในเวียดนามสู่นิคมฯเบียนหัว คาดเปิดได้ในปีนี้
Source - IQ Biz
Thursday, 25 May 2006 16:04

นางสมหะทัย พานิชชีวะ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บมจ. อมตะ คอร์ปอเรชัน (AMATA) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 24 พ.ค.บริษัทฯได้ลงนามบันทึกความเข้าใจร่วมกับหน่วยงานพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งชาติของรัฐบาลเวียดนาม (Sonadezi) เพื่อจัดตั้ง อมตะ คอมเมอร์เชียล (Amata Commercial) เพื่อร่วมพัฒนาพื้นที่บริเวณหน้านิคมอุตสาหกรรมอมตะ  ซิตี้   (เบียนหัว)   (Amata City Bien Hoa Industrial Park) ประเทศเวียดนาม รวมประมาณ 125 ไร่ ด้วยการพัฒนาพื้นที่เพื่อก่อสร้างแหล่งบันเทิง ชอปปิ้งคอมเพล็กซ์ หมู่บ้าน คอนโดมิเนียม โรงแรมระดับ 4-5ดาว และอาคารสำนักงานพร้อมโชว์รูม
         โดยมีทุนจดทะเบียนประมาณ 8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แบ่งเป็นสัดส่วนการลงทุนจาก AMATA ร้อยละ 70 และการลงทุนจาก Sonadezi ร้อยละ 30 ทั้งนี้คาดว่าจะสามารถเปิดดำเนินการได้ภายในปี 2549 นี้
         การร่วมลงทุนกับรัฐบาลเวียดนามในครั้งนี้ บริษัทได้เล็งเห็นโอกาสและแนวโน้มการขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจของประเทศเวียดนามที่เพิ่มสูงขึ้นตามลำดับ เนื่องจากเขตพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะ ซิตี้ (เบียนหัว) ถูกจัดให้เป็นพื้นที่เขตอุตสาหกรรมที่มีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว แต่ยังไม่มีเขตพื้นที่สำหรับพักอาศัย และอำนวยความสะดวก ให้กับนักลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมดังกล่าว รวมทั้งนักลงทุนในพื้นที่ใกล้เคียง" นางสมหะทัย กล่าว
         นอกจากนั้นการลงทุนดำเนินกิจการทางธุรกิจในประเทศเวียดนาม ยังมีข้อได้เปรียบในเรื่องของอัตราค่าแรงงานขั้นต่ำ อยู่ที่ประมาณ 45 เหรียญสหรัฐฯต่อเดือน ในขณะที่มีจำนวนประชากรสูงถึง 80 ล้านคน
        สำหรับการร่วมลงทุนก่อสร้าง อมตะ คอมเมอร์เชียล นั้น บริษัทฯได้มีแผนที่จะใช้เงินลงทุนที่ได้จากการปันผลของอมตะเวียดนามของปี 2549 มาลงทุน ซึ่งในเบื้องต้นคาดว่าจะใช้งบประมาณในการก่อสร้าง อมตะ คอมเมอร์เชียล เฟสที่ 1 ประมาณ 2.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยได้เปิดโอกาสให้นักลงทุนที่สนใจร่วมดำเนินธุรกิจเข้ามาเจรจาร่วมลงทุนได้โดยจะมีการพิจารณาตามความเหมาะสม

[nanchan]

GC คาดรายได้ Q2/49 เพิ่มขึ้นพร้อมมั่นใจทั้งปี 49 ได้ 3.6 พันลบ.ตามเป้า
Source - IQ Biz
Thursday, 11 May 2006 12:26

นายสมชาย คุลีเมฆิน กรรมการผู้จัดการ บมจ. โกลบอล คอนเน็คชั่นส์ (GC) คาดรายได้ไตรมาส 2/49 มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากบริษัทมีการเพิ่มประเภทสินค้ามากขึ้นและต่อเนื่อง แม้ราคาน้ำมันจะปรับเพิ่มขึ้น แต่ทางฝ่ายบริหารของบริษัทได้ดูแลอย่างใกล้ชิด ตลอดจนพิจารณาหาแนวทางในการลดค่าใช้จ่าย และความเสี่ยงอย่างสม่ำเสมอ
         "บริษัทยังมั่นใจรายได้ปีนี้จะเติบโตได้ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ประมาณ 3,600 ล้านบาท ขยายตัว 12-15% จากปี 2548 ที่บริษัทฯ มียอดขายอยู่ที่ 3,250  ล้านบาท และคาดว่าในปี 2552 ยอดขายจะไต่ระดับขึ้นไปแตะที่ 5,000 ล้านบาท ได้ตามแผน และกลยุทธ์ที่ได้กำหนดไว้" นายสมชายกล่าว
         ทิศทางราคาสินค้าพลาสติก และปิโตรเคมีในช่วงครึ่งปีหลั นายสมชายกล่าวว่า ราคามีแนวโน้มทรง และอ่อนตัวลง ซึ่งส่งผลดีต่อการดำเนินงานของบริษัท ทั้งด้านราคาวัตถุดิบ และความต้องการใช้เงินทุนหมุนเวียนของบริษัทที่ปรับลดลง และไม่เพียงแต่จะส่งผลดีกับบริษัทเท่านั้น แต่ยังส่งผลดีต่อลูกค้าของบริษัทด้วย
         สำหรับแผนรุกธุรกิจในปีนี้ บริษัทฯจะดำเนินนโยบายเชิงรุก โดยเฉพาะการเพิ่มการขายในสินค้าเกรดพิเศษ ซึ่งมีอัตรากำไรที่ดีกว่า ในขณะเดียวกันบริษัทยังให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยงของบริษัทอย่างใกล้ชิด ทั้งในเรื่องของการรักษาคุณภาพลูกค้า การดูแลความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน และยังมีแผนที่จะเพิ่มลูกค้าต่างประเทศในลักษณะพันธมิตรทางการค้า ในกลุ่มประเทศอาเซียน เช่นอินโดนีเซีย และเวียดนาม เป็นต้น ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษาโครงการดังกล่าว ทั้งนี้ซัพพลายเออร์บางกลุ่มก็มีความสนใจที่จะเปิดโอกาสให้บริษัทเข้าไปเปิดตลาดให้ด้วย
         นอกจากนี้ในช่วงไตรมาส1 ที่ผ่านมา บริษัทมีลูกค้ารายใหม่เพิ่มมากขึ้น โดยทั้งหมดเป็นลูกค้าในประเทศ ในขณะเดียวกันก็มีแผนที่จะลดจำนวนลูกค้าที่ไม่มีคุณภาพลง เพื่อจัดการและควบคุมความเสี่ยงให้ดีขึ้น และ ปัจจุบันบริษัทมีนโยบายที่จะรักษาฐานลูกค้าให้มีคุณภาพดีที่สุด ที่สามารถสร้างกำไรได้ ซึ่งนโยบายดังกล่าว คาดว่าจะส่งผลดีต่อการดำเนินงานของบริษัทโดยรวม เนื่องจากมีเวลาที่เพิ่มขึ้นในการดูแลและให้บริการลูกค้าที่มีคุณภาพได้มากขึ้น
         ส่วนภาวะเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ยังส่งผลในเชิงบวกกับธุรกิจบริษัทโดยรวมเช่นกัน โดยทำให้ต้นทุนทางการเงินของบริษัทลดลง
ส่วนภาวะอัตราดอกเบี้ยที่ปรับเพิ่มขึ้นนั้น บริษัทฯไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เนื่องจากบริษัทได้รับเงินจากการขายหุ้นเพิ่มทุน IPO ปลายปีที่แล้วมา 100 ล้านบาท บวกกับการถอนเงินสดที่เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันมูลค่า 129.2 ล้านบาทจากสถาบันการเงินที่เป็นเจ้าหนี้ทุกแห่ง รวมเป็นเงินทุนหมุนเวียนใหม่ที่ปลอดดอกเบี้ย 229.2 ล้านบาท ซึ่งมีส่วนช่วยลดภาระดอกเบี้ยให้บริษัทได้มากในภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น
         ทั้งนี้ในไตรมาส 1/49 บริษัทมีรายได้รวม 965.12 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.84% เมื่อเทียบกับไตรมาส1/48 ขึ้น เนื่องจากบริษัทมีฐานรายได้ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการเพิ่มขึ้นของยอดขายในกลุ่มสินค้า Commodity และกลุ่ม Specialty ซึ่งมีการขายสินค้าประเภทใหม่เพิ่มขึ้นในส่วนของ Butyle Rubber และEPDM  ขณะที่มีกำไรสุทธิ 16.52 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.83% จากไตรมาส 1/48

[nanchan]

*(UPDATE) กลุ่ม SAMART คาดรายได้ Q1/49 โตกว่า Q1/48
Source - IQ Biz
Tuesday, 28 February 2006 16:12

นายวัฒน์ชัย  วิไลลักษณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. สามารถ คอร์ปอเรชั่น (SAMART) เปิดเผยว่า ในไตรมาส 1 ปี 2549 คาดว่า รายได้ของกลุ่ม SAMART จะเติบโตกว่าไตรมาส 1 ปี 48
         "โดยปกติช่วงไตรมาสแรกจะเป็นช่วงของการชะลอตัว ขณะที่ไตรมาส 4 เป็นช่วงที่มีอัตราการเติบโตของกำลังซื้อมากที่สุด แต่เวลาล่วงมาถึงขณะนี้ก็ยังมียอดขายดีต่อเนื่อง" นายวัฒน์ชัย กล่าว  
         พร้อมทั้งมั่นใจว่าสถานการณ์การเมืองจะไม่มีผลกระทบกับการยื่นประมูลงานโครงการของกลุ่มบริษัท แต่อาจจะส่งผลให้ล่าช้าออกไปเล็กน้อย
        ขณะที่ตั้งเป้ารายได้รวมในปี 49 ไว้ประมาณ 23,300 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการเพิ่มขึ้นประมาณ 24% จากปี 2548 โดยเน้นการเติบโตของทุกสายธุรกิจ พร้อมวางบทบาทเป็น บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของไทย ในต่างประเทศ
         "เรามีความพร้อมที่จะบุกตลาดใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ทั้งบรูไน อินเดีย อินโดนีเซีย ปากีสถาน และเวียดนาม โดยบริษัทฯ จะนำสินค้าโทรศัพท์มือถือ ทั้งที่เป็นท็อปแบรนด์ และ  แบรนด์ ไอ-โมบาย เข้าไปขายในตลาดใหม่เหล่านี้ พร้อมเพิ่มมูลค่าด้วยแอพพลิเคชั่นบนมือถือ นายวัฒน์ชัยกล่าว
         สำหรับในปี 2549 คาดว่าจะมียอดขายโทรศัพท์มือถือของ ไอ-โมบาย ซึ่งเป็น House brand ของบมจ.สามารถ ไอ-
โมบาย  (SIM) ที่ 1 ล้านเครื่อง เพิ่มขึ้นจากปี 2548 ที่มีประมาณ 8 แสนเครื่อง ซึ่งส่งผลดีต่ออัตรากำไรขั้นต้นของบริษัท โดยมือถือ House-brand มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงถึง 21-22% เมื่อเทียบกับ มือถือยี่ห้ออื่นที่บริษัทขายให้ ที่มีกำไรแค่ 1-2%
         ในส่วนของ SIM สร้างรายได้ให้กับบริษัทคิดเป็น 70%ของรายได้รวมในปีนี้ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่อยู่ในระดับ 60%ของรายได้รวมทั้งยังมีสัดส่วนรายได้ของ ไอ-โมบาย ที่ไปลงทุนในต่างประเทศยังคงมีอัตราการเติบโตทั้งในประเทศมาเลเซีย บังคลาเทศ ลาว และล่าสุดได้เซ็นสัญญาจัดตั้งสามารถไอ-โมบายที่ประเทศอินโดนีเซีย โดยคาดว่าจะสร้างรายได้ให้กับบริษัทประมาณ 300-400 ล้านบาทในปีนี้
         "อีก 3-5 ปีข้างหน้า เชื่อว่ายอดขายของมือถือไอ-โมบายในต่างประเทศจะแซงหน้ายอดขายในประเทศ เนื่องจากในหลายประเทศ อาทิ บังคลาเทศยังมีสัดส่วนการใช้โทรศัพท์มือถือเพียง 10%ของประชากร จึงยังช่องทางเติบโตอีกมาก" นายวัฒน์ชัย กล่าว
         สำหรับนโยบายการจ่ายปันผลบริษัทจะจ่ายปันผลทั้งกลุ่มบริษัท จะเสนอเข้าที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทในวันที่ 10 มี.ค.นี้ โดยนโยบายการจ่ายปันผลของกลุ่มไม่น้อยกว่า 50%ของกำไรสุทธิ

[nanchan]

*(UPDATE) CPN เจรจาศูนย์การค้าในอินโดฯ-เวียดนามสรุปปีนี้/เล็งเพิ่มสภาพคล่องหุ้น
Source - IQ Biz
Tuesday, 28 March 2006 09:34

นายนริศ เชยกลิ่น รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงินและบัญชี บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา(CPN) เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างเจรจาเข้าดำเนินการศูนย์การค้าในเวียดนามและอินโดนีเซีย ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในปีนี้ โดยบริษัทได้วางแผนลงทุนในปี 2549 ไว้ประมาณ 7 พันล้านบาท ซึ่งจะใช้เพื่อปรับปรุงห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ และเปิดศูนย์การค้าใหม่ 2 แห่งที่พัทยาและแจ้งวัฒนะ  
         บริษัทมีแผนเพิ่มสภาพคล่องหุ้น เนื่องจากปัจจุบันบริษัทมีฟรีโฟลทในระดับ 38% ของทุนจดทะเบียน โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษา 2 แนวทาง คือ ให้ต่างชาติลดสัดส่วนหุ้นลงจากที่ถืออยู่ในเพดาน 30% หรือ การเพิ่มทุนจดทะเบียน ซึ่งหากเป็นแนวทางเพิ่มทุนก็จะเห็นในปี 2551 อาจเพิ่มทุนประมาณ 1 พันล้านบาท โดยขณะนี้บริษัทยังไม่จำเป็นต้องเพิ่มทุนมาใช้ในการลงทุน แต่จะดำเนินการเพื่อวัตถุประสงค์เพิ่มสภาพคล่องเท่านั้น
         นอกจากนั้น บริษัทยังเตรียมออกกองทุนอสังหาริมทรัพย์ขนาด 6-7 พันล้านบาท โดยคาดว่าจะสรุปในไตรมาส 3 ปีนี้ว่าจะเป็นการแยกเป็นกองทุนใหม่ หรือ อยู่ภายใต้กองทุน CPNRF
         นายนริศ คาดว่าปีนี้บริษัทจะมีรายได้เติบโต 12% จากปีก่อน โดยจะรับรายได้เต็มที่จากศูนย์การค้ารัตนาธิเบศน์ที่เปิดดำเนินการในช่วงปลายปีก่อน และเซ็นทรัลเวิลด์พลาซ่าที่จะปรับปรุงและเปิดดำเนินการอีกครั้งในเดือนก.ย.-ต.ค.49

[nanchan]

SATTEL เปิดตลาดอุปกรณ์ iCON consumer series ดาวน์โหลดข้อมูล 1 Mbps
Source - IQ Biz
Wednesday, 21 June 2006 17:57

บมจ.ชินแซทเทลไลท์(SATTEL) ผู้ให้บริการระบบอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงผ่านดาวเทียมไอพีสตาร์ ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ผลิตขึ้นมาโดยเฉพาะสำหรับผู้ใช้ทั่วไป ในงาน CommunicAsia 2006 ประเทศสิงคโปร์ iCON consumer series เป็นโมเด็มรูปทรงสวยงาม กะทัดรัด ซึ่งสามารถดาวน์โหลดข้อมูลได้ถึง 1 เมกะบิตต่อวินาที (1Mbps) และอัพโหลดได้ 512 กิโลบิตต่อวินาที (512 Kbps)
         โมเด็มรุ่น iCON นี้ ประกอบไปด้วย CPU ในตัว และใช้เทคโนโลยีล้ำสมัย เช่น Adaptive Coding and Modulation (ACM) และ Turbo Product Coding ที่ทำให้อุปกรณ์มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
         ชุดอุปกรณ์รับส่งสัญญาณปลายทาง iCON consumer series ประกอบด้วยตัวโมเด็ม และจานดาวเทียมขนาด 84 ซม. พร้อม BUC ที่ใช้พลังงานน้อย และด้วยประสิทธิภาพยอดเยี่ยมของเทคโนโลยีไอพีสตาร์ ที่มีระบบรับส่งสัญญาณอัพลิงค์ซึ่งใช้พลังงานเพียง 0.25 วัตต์ จึงทำให้ชุดอุปกรณ์นี้มีต้นทุนลดลง
         นายปฐมภพ สุวรรณศิริ ผู้อำนวยการสำนักการตลาดกล่าวว่า ความต้องการใช้ไอพีสตาร์ได้เพิ่มขึ้นอย่างมากนับตั้งแต่ช่วงต้นปี คาดว่าผลิตภัณฑ์ของเราจะออกสู่ตลาดออสเตรเลียซึ่งเป็นตลาดที่มีการให้บริการอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงมานานและำได้ัรับความนิยมอย่างสูง โดยมีราคาค่าบริการรายเดือนที่ย่อมเยาเหมาะสำหรับผู้ใช้ทั่วไปที่อาศัยอยู่นอกเมือง
         ทั้งนี้ เชื่อว่าความเร็วในการดาวน์โหลด 1 เมกะบิตต่อวินาที (1 Mbps) จะเป็นที่นิยมอย่างมากสำหรับผู้ใช้อินเตอร์เน็ต และดาวน์โหลดไฟล์ขนาดใหญ่ หรือชมความบันเทิงในแบบออนไลน์ เพราะผู้ใช้ระบบอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงผ่านดาวเทียมไม่ต้องประสบปัญหาในการใช้แบนด์วิดธ์ร่วมกับผู้ใช้จำนวนมากเหมือนกับเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตภาคพื้นดิน
         SATTEL จะวางตลาดชุดอุปกรณ์ iCON consumer series ในประเทศไทย จีน เวียดนาม เมียนมาร์ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2549

[nanchan]

PTTEP คาด Q1/49 ยอดขายน้ำมัน-ก๊าซ 1.7 แสนบาร์เรล/วัน สูงขึ้นจาก Q1/48
Source - IQ Biz
Wednesday, 05 April 2006 19:07

นายมารุต มฤคทัต กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) เปิดเผยว่า บริษัทฯ คาดว่าปริมาณการขายผลิตภัณฑ์เทียบเท่าน้ำมันดิบในไตรมาส 1 ปี 2549 จะอยู่ที่ 1.7 แสนบาเรล/วัน สูงกว่าไตรมาสเดียวกันของปี 2548 ที่อยู่ที่ 1.4 แสนบาเรล/วัน
         บริษัทฯยังคาดการณ์ปริมาณการขายทั้งปี เพิ่มขึ้น 14-15% จากปี 2548 ด้วย
         นอกจากนี้ บริษัทฯ คาดว่าจะมีแหล่งน้ำมันดิบใหม่ที่บริเวณ Block 16-1 และ Block 9-2 ที่ประเทศเวียดนาม ซึ่งคาดว่าจะมีการผลิตปลายปี 50 ถึงต้นปี 51
         ส่วนแหล่งนากูน่า ที่ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งยังติดปัญหาที่มีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เจือปนอยู่ในระดับสูง ทำให้ต้องกลับมาทบทวนผลดีผลเสียว่าจะคุ้มกับการผลิตก๊าซ LNG หรือไม่
         นอกจากนี้ บริษัทฯยังสนใจสำรวจแหล่งปิโตรเลี่ยมที่บังคลาเทศ ซึ่งเพิ่งจะเริ่มทำเจรจากับรัฐบาลบังคลาเทศไปบ้างแล้ว
         ส่วนโครงการผลิตปิโตรเลียมจากแหล่งอาทิตย์ ซึ่งจะเป็นแหล่งผลิตก๊าซของบริษัทฯ ขณะนี้มีปัญหาเรื่องการจัดส่งเครื่องจักรอุปกรณ์ อาจทำให้งานล่าช้าออกไปบ้าง
         "ได้มีการพูดคุยลูกค้า คือ EGAT แล้ว อย่างไรก็ตามคาดว่าจะเริ่มสำรวจขุดเจาะได้ประมาณเดือน ก.ค.50" นายมารุต กล่าว
         สำหรับการมอบส่วนลดให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) นั้น ขณะนี้เหลืออีกเพียง 300 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะตัดส่วนลดให้หมดภายในไตรมาส 1 ปีนี้ หลังจากที่เคยให้ส่วนลดไปแล้วในปี 2548 จำนวน 1,500 ล้านบาท และ 1,100 ล้านบาท

[nanchan]

บอร์ด SSSC ไฟเขียวลงทุนใน 'สยามสตีล เวียดนาม' สัดส่วน 90% มูลค่า 25.20 ลบ.

                 บริษัท ศูนย์บริการเหล็กสยาม จำกัด (มหาชน) หรือ SSSC แจ้งผลการประชุมคณะ
กรรมการ ครั้งที่ 2/2549 ซึ่งประชุมเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2549 ว่า ที่ประชุมได้มีมติเป็น
เอกฉันท์อนุมัติให้ดำเนินการขยายการลงทุน โดยก่อตั้งเป็นนิติบุคคลใหม่และสร้างโรงงานขึ้นใน
ประเทศสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามได้ ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
                ชื่อบริษัทใหม่  คือ บริษัท สยามสตีล เวียดนาม จำกัด (SIAM STEEL VIETNAM
CO., LTD.) หรือ  SSVN ประเภทการประกอบธุรกิจ งานผลิตหลังคาเหล็ก ผนังฝ้าเพดาน แผ่น
ปูพื้น และอุปกรณ์การติดตั้ง งานปั้ม งานขึ้นรูป งานพับชิ้นส่วนโลหะ เพื่อใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ
เช่น ก่อสร้าง  เฟอร์นิเจอร์ ยานยนต์เครื่องใช้ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์ งานแปรรูปเหล็กม้วนและ
เหล็กแผ่น
               คาดว่าจะเริ่มดำเนินการจดทะเบียนจัดตั้ง ได้ภายใน 120 วันนับแต่วันที่ 23 มิถุนายน
2549 เป็นต้นไป  โดยสถานที่ตั้ง ในเขตอุตสาหกรรม ฟุเดียน (Phuc Dien Industrial Zone)
จังหวัดไฮดวง (Hai Duong Province)โดยลงทุนเช่าที่ดิน เพื่อก่อสร้างโรงงานประมาณ
5,000 ตารางเมตร ระยะเวลาเช่า 46 ปี มูลค่าการลงทุนทั้งโครงการ 1,200,000 เหรียญสหรัฐ
หรือ 48,000,000.- บาท (โดยประมาณ)  (ใช้อัตราแลกเปลี่ยน 1เหรียญสหรัฐต่อ 40.- บาท)
                ทุนจดทะเบียน 700,000 เหรียญสหรัฐ หรือ 28,000,000.-บาท (ใช้อัตราแลก
เปลี่ยน 1เหรียญสหรัฐต่อ 40.- บาท)  โดยเป็นเงินกู้จากธนาคารหรือสถาบันการเงิน        
500,000 เหรียญสหรัฐ หรือ 20,000,000 บาทในประเทศเวียดนาม  (ใช้อัตราแลกเปลี่ยน 1
เหรียญสหรัฐต่อ40 บาท)
                สัดส่วนการเข้าลงทุน บริษัท ศูนย์บริการเหล็กสยาม จำกัด(มหาชน)ลงทุนร้อยละ 90
คิดเป็นเงิน 630,000  เหรียญสหรัฐอเมริกา หรือประมาณ 25,200,000  บาท บริษัท โอกายา
แอนด์ คอมปานี จำกัด(OKAYA & CO., LTD) ลงทุนร้อยละ 10 คิดเป็น 70,000 เหรียญสหรัฐ
อเมริกา หรือประมาณ 2,800,000 บาท
             ทั้งนี้ การที่บริษัท โอกายา แอนด์ คอมปานี จำกัด เข้าลงทุนในสัดส่วนร้อยละ 10 นั้น
เนื่องจากเป้าหมายหลักเบื้องต้นคือ ลูกค้าก่อสร้าง ซึ่งลูกค้าก่อสร้างหลักในประเทศสาธารณรัฐ
สังคมนิยมเวียดนาม ซึ่งบริษัทฯ จะรับงานนั้น จะเป็นลูกค้าญี่ปุ่นที่เข้าไปลงทุนหรือขยายการลงทุน
ในประเทศสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามและบริษัทโอกายา แอนด์ คอมปานี จำกัด จะช่วยเหลือ
ในการติดต่อหากลุ่มลูกค้าดังกล่าวจากประเทศญี่ปุ่นให้ ซึ่งจะสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน
ญี่ปุ่นที่จะไปลงทุนเพิ่มหรือขยายการลงทุนในประเทศสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามในการสั่ง
ซื้อหรือให้งานก่อสร้างโรงงานกับบริษัทที่จัดตั้งใหม่ ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากในการไปลงทุนดัง
กล่าว
           ขนาดรายการมูลค่าการลงทุนทั้งโครงการ 1,200,000 เหรียญสหรัฐ  บริษัทฯ ลงทุนร้อย
ละ 90 คิดเป็นเงิน  1,080,000 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ  43,200,000 บาท เมื่อเทียบกับ
สินทรัพย์รวมของบริษัทฯ  ณ วันที่ 31 มีนาคม 2549  แล้วคิดเป็นร้อยละ 0.88 ซึ่งฝ่ายจัดการ
สามารถดำเนินการได้เลย โดยแหล่งเงินที่ใช้ในการลงทุนบริษัทฯ ใช้ทุนหมุนเวียนของบริษัทฯ
และเงินกู้จากสถาบันการเงิน
            ประโยชน์ที่บริษัทคาดว่าจะได้รับจากการเข้าไปลงทุนสามารถขยายธุรกิจใน
อุตสาหกรรมต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมก่อสร้างไปในประเทศสาธารณรัฐสังคมนิยม
เวียดนามได้เพิ่มขึ้น
           เนื่องจากการลงทุนในประเทศสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามดังกล่าว เป็นการขยาย
ธุรกิจเพิ่มขึ้นโดยลูกค้าเป็นคนละกลุ่มกับลูกค้าเดิมในประเทศไทย การดำเนินงานจึงเป็นไปอย่าง
อิสระ บริษัทฯจึงส่งทีมผู้บริหารร่วมระหว่างไทยกับญี่ปุ่น ที่จะเข้าไปดูแลความขัดแย้งและคุ้มครอง
ผลประโยชน์ให้กับผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ หรือนักลงทุน

[007-s]

เพื่อจัดตั้ง อมตะ คอมเมอร์เชียล (Amata Commercial) เพื่อร่วมพัฒนาพื้นที่บริเวณหน้านิคมอุตสาหกรรมอมตะ  ซิตี้   (เบียนหัว)   (Amata City Bien Hoa Industrial Park) ประเทศเวียดนาม รวมประมาณ 125 ไร่ ด้วยการพัฒนาพื้นที่เพื่อก่อสร้างแหล่งบันเทิง ชอปปิ้งคอมเพล็กซ์ หมู่บ้าน คอนโดมิเนียม โรงแรมระดับ 4-5ดาว และอาคารสำนักงานพร้อมโชว์รูม

อืมมม ครบวงจร งานใหญ่เลย

สำหรับการร่วมลงทุนก่อสร้าง อมตะ คอมเมอร์เชียล นั้น บริษัทฯได้มีแผนที่จะใช้เงินลงทุนที่ได้จากการปันผลของอมตะเวียดนามของปี 2549 มาลงทุน

นั่นไงล่ะ จะพูดง่ายๆว่า การไปลงที่เวียดนามนี่มันเติบโตต่อขยายได้ในตัวเองเลยสิเนี่ย

อืมน่าคิดนะ

............................................

นายนริศ เชยกลิ่น รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงินและบัญชี บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา(CPN) เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างเจรจาเข้าดำเนินการศูนย์การค้าในเวียดนามและอินโดนีเซีย ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในปีนี้

สรุปเองเลยได้มะ ไม่เอาอินโดอ่ะค่ะ เอาเวียดนาม :lol:

(อินโดกลัวเรื่องความสงบเรียบร้อยอะไรต่างๆอ่ะค่ะ ดูหวือหวาเหวี่ยงไหวไปป่ะ ,ไม่ค่อยแน่ใจ ...อืม หรืออินโดมีอะไรดีมากมายกว่าเวียดนามมาก,น่าไปหรอค่ะ  :?: )