อยากทราบเกณฑ์ในการแบ่งหุ้น Big, Medium, Small Cap ครับ

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
MarginofSafety
Verified User
โพสต์: 5786
ผู้ติดตาม: 2

อยากทราบเกณฑ์ในการแบ่งหุ้น Big, Medium, Small Cap ครับ

โพสต์ที่ 1

โพสต์

ว่ามีกฎเกณฑ์อย่างไร ขอบคุณล่วงหน้าครับ
"Winners never quit, and quitters never win."
Boring Stock Lover
Verified User
โพสต์: 1301
ผู้ติดตาม: 0

อยากทราบเกณฑ์ในการแบ่งหุ้น Big, Medium, Small Cap ครับ

โพสต์ที่ 2

โพสต์

เอาของฝรั่งมาก่อนก็แล้วกัน ที่เคยเห็นมา ก็จะมีความหลากหลาย

Mega Cap: Market cap of $200 billion and greater
Big/Large Cap: $10 billion to $200 billion
Mid Cap: $2 billion to $10 billion
Small Cap: $300 million to $2 billion 12,000 - 80,000 ล้านบาท
Micro Cap: $50 million to $300 million
Nano Cap: Under $50 million


Small Cap: Less than $1 billion 40,000 ล้านบาท
Mid Cap: $1 billion to $5 billion
Large Cap: Over $5 billion



อย่างของเมืองไทย ผมว่าน่าจะตัดกันที่

5000 ล้าน ลงมา $125 million
5000 - 15,000 ล้าน $125-400 million
15,000 ล้าน ขึ้นไป $400 million


รู้สึก ดร.นิเวศน์ก็เคยเขียนไว้บ้าง ลองค้นๆดู ก็อาจจะเห็น
Kao
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 1257
ผู้ติดตาม: 24

อยากทราบเกณฑ์ในการแบ่งหุ้น Big, Medium, Small Cap ครับ

โพสต์ที่ 3

โพสต์

ขนาดของหุ้น
Written by ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

           ขนาดของหุ้นซึ่งวัดโดยมูลค่าตลาดของหุ้นทั้งหมด หรือ Market Cap. ซึ่งหาได้จากการเอาราคาหุ้นคูณด้วยจำนวนของหุ้นทั้งหมดของบริษัทเป็นสิ่งที่มีนัยสำคัญในเรื่องของการลงทุนหลาย ๆ เรื่อง ตั้งแต่เรื่องของสภาพคล่องในการซื้อขาย ขนาดของธุรกิจ ความถูกความแพง ศักยภาพในการที่จะเติบโตต่อไปในอนาคต และอื่น ๆ อีกมาก เพราะฉะนั้น ทุกครั้งที่ผมจะลงทุนซื้อหุ้น ผมจะดูว่าบริษัทใหญ่แค่ไหน

           สำหรับผม ผมแบ่งหุ้นออกเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ 4 กลุ่มด้วยกันตามขนาดนั่นคือ หุ้นจิ๋ว ซึ่งผมให้นิยามว่ามีมูลค่าตลาดของหุ้นไม่เกิน 1000 ล้านบาท หุ้นขนาดเล็กซึ่งมีขนาดตั้งแต่ 1000 ถึง 8000 ล้านบาท หุ้นขนาดกลางซึ่งมีขนาดตั้งแต่ 8000 ถึง 40000 ล้านบาท และหุ้นขนาดใหญ่ซึ่งมีขนาดตั้งแต่ 40000 ล้านบาทขึ้นไป

           หุ้นจิ๋วนั้นโดยทั่วไปเป็นหุ้นที่ยังมีลักษณะของกิจการ SME นั่นคือ เป็นหุ้นที่ยังต้องพึ่งพิงอยู่กับเจ้าของเป็นหลัก ธุรกิจเป็นกิจการที่ใช้เงินลงทุนต่ำและไม่มีเท็คโนโลยีซับซ้อน เป็นกิจการที่ใคร ๆ ก็สามารถเข้ามาแข่งขันได้ง่าย ดังนั้น หุ้นในกลุ่มนี้จึงยากที่จะหาธุรกิจที่มีความเข้มแข็งโดดเด่นจริง ๆ ที่จะสามารถลงทุนในระยะยาวมากได้ กำไรของกิจการก็มักจะยังไม่มีความแน่นอนสูงและมักจะมี Margin หรือกำไรต่อยอดขายต่ำ สิ่งที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งสำหรับนักลงทุนก็คือ หุ้นจำนวนมากมีสภาพคล่องในการซื้อขายต่ำมากทำให้การซื้อขายเป็นไปด้วยความยากลำบาก อย่างไรก็ตาม ค่าที่เป็นหุ้นที่มีขนาดเล็กมาก โอกาสในการที่หุ้นจะขึ้นไปสำหรับหุ้นบางตัวก็อาจจะสูงมาก

           หุ้นขนาดเล็กจำนวนมากเป็นหุ้นของบริษัทที่มีการบริหารงานอย่างมืออาชีพ ในหลาย ๆ อุตสาหกรรมที่กำลังเติบโต บริษัทอาจจะเป็นผู้นำและมีส่วนแบ่งตลาดค่อนข้างมาก กิจการหลายแห่งมีอำนาจทางการตลาดสูงและเป็นกำแพงกั้นไม่ให้บริษัทใหม่ ๆ เข้ามาแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิผล สภาพคล่องในการซื้อขายของหุ้นโดยเฉพาะของบริษัทที่มีผลการดำเนินงานดีนั้นมักจะสูงพอสำหรับนักลงทุนรายย่อยและอาจจะรวมถึงนักลงทุนสถาบันที่เน้นลงทุนระยะยาวและเป็นกองทุนที่ไม่ใหญ่นักเช่นกองทุนเพื่อการเกษียณอายุหรือกองทุนหุ้นระยะยาว

           หุ้นขนาดกลางมักเป็นหุ้นของกิจการที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ อยู่ในอุตสาหกรรมที่ค่อนข้างใหญ่และอยู่ตัว บางบริษัทมีฐานะทางการตลาดโดดเด่นแต่อีกหลายบริษัทกลับอยู่ในอุตสาหกรรมผลิตสินค้าโภคภัณฑ์ซึ่งทำให้ผลการดำเนินงานผันผวนไม่แน่นอน กิจการบางแห่งต้องลงทุนสูง ทำให้ฐานะทางการเงินไม่ดีอย่างที่ควรเป็น สภาพคล่องในการซื้อขายของหุ้นในกลุ่มนี้ดีพอที่จะทำให้กองทุนหรือผู้ลงทุนสถาบันบางประเภทเช่นกองทุนเฮดจ์ฟันด์เข้ามาลงทุนได้ อย่างไรก็ตาม หุ้นในกลุ่มนี้ส่วนมากก็ยังไม่ใช่หุ้นบลูชิพที่จะเป็นที่สนใจของนักลงทุนตลอดเวลา ส่วนใหญ่แล้วมักจะเป็นที่สนใจก็แต่ในเวลาที่บริษัทกำลังมีผลการดำเนินงานดี

           หุ้นขนาดใหญ่ส่วนมากจะเป็นหุ้น สถาบัน นั่นคือ เป็นหุ้นบลูชิพที่สถาบันและกองทุนต่าง ๆ จะเลือกลงทุนได้ตลอดเวลา หุ้นที่เข้าข่ายเป็นหุ้นขนาดใหญ่มักจะเป็นหุ้นของกิจการที่อยู่ในอุตสาหกรรมใหญ่ที่มีการเติบโตไม่สูงและบริษัทเป็นบริษัทขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมนั้น หุ้นขนาดใหญ่จะเป็นหุ้นของบริษัทที่มีฐานะทางการตลาดมั่นคง มีผลการดำเนินงานที่ดี มีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง สภาพคล่องในการซื้อขายของหุ้นสูงมาก สามารถซื้อขายได้ตลอดเวลาในราคาตลาดที่เห็น ความเสี่ยงที่หุ้นจะตกลงมามากมายจะมีน้อย อย่างไรก็ตาม หุ้นมักไม่วิ่งไปสูงและเร็วมากในระยะเวลาอันสั้น

           ในแง่ของการลงทุนนั้น สำหรับ Value Investor เราคงไม่มีข้อห้ามไม่ให้ลงทุนในหุ้นขนาดใดขนาดหนึ่ง แต่จากประสบการณ์ส่วนตัวของผมเอง หุ้นขนาดใหญ่นั้น มักจะหาหุ้นที่มีคุณค่าสูงมากเมื่อเปรียบเทียบกับราคาค่อนข้างยาก สาเหตุน่าจะมาจากการที่หุ้นขนาดใหญ่มักจะมีนักวิเคราะห์ติดตามมากทำให้ราคาหุ้นใกล้เคียงกับมูลค่าที่แท้จริง หุ้นขนาดกลางเป็นหุ้นที่ผมเห็นว่ามีจุดขายน้อยในแง่ที่มีโอกาสเติบโตไม่สูงขณะที่ความมั่นคงและฐานะทางการตลาดของกิจการก็ไม่เข้มแข็งอย่างหุ้นขนาดใหญ่  หุ้นขนาดจิ๋วนั้น จุดอ่อนก็คือ มันมักไม่มีความได้เปรียบที่ยั่งยืนเมื่อเทียบกับคู่แข่ง ข้อดีของมันที่ชัดเจนก็คือตัวมันเล็กมากและโอกาสที่จะพบหุ้นราคาถูกมากก็มีอยู่สูงพอสมควรเพราะมีคนสนใจที่จะวิเคราะห์มันน้อยมาก ดังนั้น ผมก็มักจะลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้อยู่บ้างแม้ว่าผลที่ได้รับจะไม่ประทับใจนัก

           หุ้นที่ผมเห็นว่าน่าสนใจที่สุดมักจะอยู่ในกลุ่มหุ้นขนาดเล็ก โดยเฉพาะบริษัทที่เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโต หุ้นเหล่านี้ถ้าเติบโตถึงจุดที่กลายเป็นหุ้นขนาดกลางก็จะสามารถดึงดูดนักลงทุนสถาบันบางกลุ่มเข้ามาลงทุนได้ และนี่จะเป็นจุดที่สามารถขับดันให้ราคาหุ้นวิ่งสูงขึ้นไปได้มาก นอกจากนั้น หุ้นที่เข้าข่ายเป็นหุ้นขนาดเล็กนั้นมีจำนวนค่อนข้างมากและยังไม่เป็นที่สนใจของนักวิเคราะห์ ทำให้การหาหุ้นลงทุนทำได้กว้างขวาง และเมื่อพบหุ้นดังกล่าวแล้ว การซื้อลงทุนก็สามารถทำได้ไม่ยากนักเพราะสภาพคล่องของหุ้นในกลุ่มนี้ที่มีผลการดำเนินงานดีมักจะมีพอสมควรสำหรับรายย่อยที่จะลงทุน  ประสบการณ์การลงทุนของผมในหุ้นกลุ่มนี้ค่อนข้างจะดีมากเมื่อเทียบกับกลุ่มอื่น และผมแนะนำให้ Value Investor ลองพิจารณาดู
"Price is what you pay. Value is what you get."
BHT
Verified User
โพสต์: 1822
ผู้ติดตาม: 0

อยากทราบเกณฑ์ในการแบ่งหุ้น Big, Medium, Small Cap ครับ

โพสต์ที่ 4

โพสต์

ดร. ใช้คำว่า "สำหรับผม ผมแบ่ง...."


อยากรู้เกณฑ์จริงๆที่ใช้กันอ่ะครับ
MarginofSafety
Verified User
โพสต์: 5786
ผู้ติดตาม: 2

อยากทราบเกณฑ์ในการแบ่งหุ้น Big, Medium, Small Cap ครับ

โพสต์ที่ 5

โพสต์

การแบ่งหุ้นในมุมมอง ดร.

หุ้นจิ๋ว : < 1,000 ล้าน
หุ้นเล็ก : 1,000 - 8,000 ล้าน
หุ้นกลาง : 8,000 - 40,000 ล้าน
หุ้นใหญ่ : > 40,000 ล้าน

ปล. ดร.ชอบหุ้นขนาดเล็กนั่นคือ market cap อยู่ระหว่าง 1,000 - 8,000 ล้าน

ข้อมูลของคุณ BSL
อย่างของเมืองไทย ผมว่าน่าจะตัดกันที่

5000 ล้าน ลงมา $125 million
5000 - 15,000 ล้าน $125-400 million
15,000 ล้าน ขึ้นไป $400 million
ไม่ทราบว่ามีแหล่งที่มาหรือเปล่าครับ หรือเป็นมุมมองของคุณ BSL
แล้วไม่ทราบว่า ตลท. มีกฎเกณฑ์ในการแบ่งขนาดหุ้น หรือไม่ อย่างไรครับ

ขอบคุณทุกท่านที่ช่วยตอบครับ
"Winners never quit, and quitters never win."
Boring Stock Lover
Verified User
โพสต์: 1301
ผู้ติดตาม: 0

อยากทราบเกณฑ์ในการแบ่งหุ้น Big, Medium, Small Cap ครับ

โพสต์ที่ 6

โพสต์

HVI เขียน: ข้อมูลของคุณ BSL
ไม่ทราบว่ามีแหล่งที่มาหรือเปล่าครับ หรือเป็นมุมมองของคุณ BSL
แล้วไม่ทราบว่า ตลท. มีกฎเกณฑ์ในการแบ่งขนาดหุ้น หรือไม่ อย่างไรครับ

ขอบคุณทุกท่านที่ช่วยตอบครับ
ไม่มีแหล่งที่มาครับ เป็นมุมมองผมเอง แล้วมองในฐานะคนในตลาดไทยเท่านั้น ใช้หลักของยอดขายของธุรกิจ การให้ราคาต่อหุ้นที่ต่ำของเมืองไทย แล้วก็ค่าเงิน ตัวเลขก็เป็นแค่ลอยๆออกมาจากสามมุมนั้นๆ

พวก Global Investor ก็น่าจะใช้ตัวเลขของฝรั่ง


ไม่คิดว่ามีตลท.มีการกำหนดนะครับ

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่มีมาตรฐาน อย่างที่ผมยกของฝรั่งมาและครับ ยังมีการกำหนดขนาดมากกว่าสามระดับ และตัวเลขไม่เหมือนกัน
ภาพประจำตัวสมาชิก
สามัญชน
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 5162
ผู้ติดตาม: 49

อยากทราบเกณฑ์ในการแบ่งหุ้น Big, Medium, Small Cap ครับ

โพสต์ที่ 7

โพสต์

คงเป็นหลักการกว้างๆมั้งครับว่าประมาณเท่าไหร่ถึงเรียกใหญ่เล็ก

คงไม่มี definition ชัดเจน หรือถึงมีก็ยังขึ้นอยู่กับการยอมรับ และจุดประสงค์การนำไปใช้ หรือเพื่อความสะดวกนั้นๆมากกว่า  

ว่าแต่น้องเฮ็ดถามทำไมหรือครับ  จะเอาไปทำรายงานหรือทำอะไรถึงต้องการตัวเลขเป๊ะๆ
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
MarginofSafety
Verified User
โพสต์: 5786
ผู้ติดตาม: 2

อยากทราบเกณฑ์ในการแบ่งหุ้น Big, Medium, Small Cap ครับ

โพสต์ที่ 8

โพสต์

[quote="สามัญชน"]
ว่าแต่น้องเฮ็ดถามทำไมหรือครับ
"Winners never quit, and quitters never win."
ภาพประจำตัวสมาชิก
สามัญชน
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 5162
ผู้ติดตาม: 49

อยากทราบเกณฑ์ในการแบ่งหุ้น Big, Medium, Small Cap ครับ

โพสต์ที่ 9

โพสต์

ฮ่า ๆ ๆ งั้นน้องเฮ็ดนิยามศัพท์เองเลยก็ได้ครับ  เอาที่เขานิยมมากๆหน่อยก็น่าจะโอเค  เพราะคงไม่มีใครแบ่งลำดับไว้ชัดๆและเท่ากันเป๊ะๆจนเป็นสากล

อืม..........ผมขอร่วมแจมด้วยนะ  เอ่อ....ผมชอบของดร. แล้วก็จะพูดถึงขนาดตามนิยามดร.นะครับ
การแบ่งหุ้นในมุมมอง ดร.

หุ้นจิ๋ว : < 1,000 ล้าน
หุ้นเล็ก : 1,000 - 8,000 ล้าน
หุ้นกลาง : 8,000 - 40,000 ล้าน
หุ้นใหญ่ : > 40,000 ล้าน
ปัจจัยที่เรียกว่า ขนาดของบริษัท  น่าจะมีข้อดีข้อเสียดังนี้

ข้อดีของหุ้นใหญ่

1.มักจะมีกำแพงโดยธรรมชาติอยู่ในตัว เพราะใช้เงินเยอะ  จะหาคู่แข่งที่มีเงิน 40,000 ลบ.มาทำธุรกิจแข่ง ก็น่าจะยากกว่า
2.มักจะมีความแข็งแกร่งอยู่ในตัวเช่นเดียวกัน  ไม่อย่างนั้นคงขาดทุนและลดขนาดลงไปเป็นหุ้นกลางและเล็ก
3.น่าจะมีประสบการณ์ยาวนาน ผ่านร้อนผ่านหนาวมาพอสมควร  และมักจะเป็นประสบการณ์ที่สำเร็จเสียด้วย  เพราะเส้นทางการเติบโตกว่าจะมาถึงขนาดนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ  การที่จะเกิดใหม่แล้วโตขนาดนี้เลยคงจะมีแต่ก็คงน้อย

ข้อเสีย
1. มักจะโตมากแล้ว  และคงพัฒนาต่อไปไปเป็นกลุ่มหุ้นแข็งแกร่ง  ไม่ใช่หุ้นเติบโต  บางหุ้นที่ใหญ่มากๆคับประเทศแล้วยิ่งยากเข้าไปอีก
2.การบริหารงานคงจะยุ่งยากกว่าใคร เพราะองค์กรมีขนาดใหญ่ มีสายบังคับบัญชาเยอะและยาวซึ่งเป็นอุปสรรคในการเปลี่ยนแปลงมากกว่าหุ้นเล็ก

โดยสรุปน่าจะคล้ายๆต้นโพธ์ที่โตเกือบเต็มวัยแล้ว  มั่นคงแข็งแกร่งแต่ก็โตมากๆได้ยาก

แต่ถ้าไปเจอหุ้นใหญ่ที่ยังสามารถโตได้อีกเยอะเพราะมีความได้เปรียบเชิงแข่งขันละก็........น่าสนใจทีเดียว :ep:  อิอิ

แค่นี้ก่อนนะครับ  ถ้าเห็นว่ามีประโยชน์ค่อยมาต่อ
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
ภาพประจำตัวสมาชิก
วัวแดง
Verified User
โพสต์: 1429
ผู้ติดตาม: 0

อยากทราบเกณฑ์ในการแบ่งหุ้น Big, Medium, Small Cap ครับ

โพสต์ที่ 10

โพสต์

ผมว่า หุ้นที่ต่ำกว่า5000ล้าน น่าสนครับ ยิ่งroeสูงด้วยแล้ว ชอบมากๆครับ(เกี่ยวมั้ยเนี่ย) :D
ถ้าผมคิดเหมือนคนทั่วๆไป ผลตอบแทนผมก็เหมือนคนทั่วๆไป
ใจผมคงละลาย ถ้าผมคิดตามคนอื่น
ผู้ชนะไม่แน่ว่าจะต้องเป็นคนที่วิ่งเร็วที่สุด...แต่เป็นผู้ที่อดทนที่สุดต่างหาก
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 5

Re: อยากทราบเกณฑ์ในการแบ่งหุ้น Big, Medium, Small Cap ครับ

โพสต์ที่ 11

โพสต์

ข้อมูลล่าสุดของ บริษัทฯ Small Cap. ครับ

=============================================

หุ้นจิ๋วผลงานแจ๋ว

หุ้นเล็กโชว์ผลงานปี 53แจ่ม พลิกเป็นกำไร 1131.43ลบ. โต 152.59% E โชว์ฟอร์มเด่นสุด กำไรโต 2551.68% ขณะที่ MME อ่วมปี 53พลิกเป็นขาดทุน ฉุดผลงานติดลบ 2745.76 % ขณะที่ FSS คาดสัปดาห์หน้า เข้าสู่ฤดูกาลเล่นหุ้นเล็ก หลังมองตลาดหุ้นเข้าสู่ช่วงพักตัว แนะเก็งกำไร E PLE และNNCL ด้าน CGS มอง PAE เป็นหุ้นเด่นสุดในกลุ่ม

หลังสิ้นสุดฤุดูกาลประกาศผลการดำเนินงานปี 2553 สำหรับ 23 กลุ่มหุ้นเล็ก ปรากฎว่าผลงานของกลุ่มพลิกกลับเป็นกำไร จำนวน 1131.43 ล้านบาทจากปี 2552 ที่ขาดทุน 2151.06 ล้านบาท ส่งผลให้ผลงานปี2553เปลี่ยนแปลงดีขึ้นจำนวน 3282.49 ล้านบาทหรือคิดเป็นการขยายตัวดีขึ้น 152.59%


E โชว์ฟอร์มเจ๋งสุด กำไรโต 2551.68%ขณะที่ MPIC ตามมาอันดับ 2
ทั้งนี้ในกลุ่มหุ้นเล็ก พบว่าผลงานของ บริษัท เอฟโวลูชั่น แคปปิตอล จำกัด (มหาชน)( E )โชว์ฟอร์มเด่นสุด ผลงานปี 2553 กำไร 86.71 ล้านบาทจากปี 2552 ที่มีกำไร 3.27 ล้านบาท กำไรเพิ่มขึ้น 83.44 ล้านบาท หรือคิดเป็นการเติบโต 2551.68% ตามมาด้วยบริษัท เอ็ม พิคเจอร์ส เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ( MPIC) ที่พลิกเป็นกำไรในปี 2553 จำนวน 43.49ล้านบาท จากปี 2552 ขาดทุน2.73 ล้านบาท คิดเป็นการเติบโต 1693.04%

อย่างไรก็ตามพบว่าหลายบริษัทมีกำไรเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากปี 2552 ประกอบด้วย บริษัท ไมด้า แอสเซ็ท จำกัด (มหาชน) (MIDA) ระบุว่าปี 2553 มีกำไรอยู่ที่ 71.17 ล้านบาท จากปี 2552 มีกำไร 7.46 ล้าบาท กำไรเพิ่มขึ้น 63.71ล้านบาท หรือคิดเป็นการเติบโต 854.02%ด้าน บริษัท เอ็ม ดี เอ็กซ์ จำกัด (มหาชน)(MDX) ปี 2553มีกำไร 180.22 ล้านบาท จากปี 2552 ที่มีกำไร 21.52 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 158.7 ล้านบาท หรือคิดเป็นการเติบโต 737.45% ขณะที่ บริษัท นวนคร จำกัด (มหาชน)(NNCL)มีผลการดำเนินงานกำไร 186.29 ล้านบาทจากปี 2552 ที่มีกำไร 22.38 ล้านบาท กำไรเพิ่ม 163.91 ล้านบาทหรือคิดเป็นการเติบโต 732.39% ส่วน บริษัท ไทยน๊อคซ์ สเตนเลส จำกัด (มหาชน)(INOX) ระบุกำไรปี 2553 อยู่ที่ 642.96 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไร 405.43 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 237.53 ล้านบาทหรือคิดเป็น 58.58% และบริษัท โรงพิมพ์ตะวันออก จำกัด (มหาชน)(EPCO) กำไรปี 2553 เพิ่มเป็น 112.14 ล้านบาทจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่กำไร100.81 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.33 ล้านบาท หรือคิดเป็น11.23%


PT -N-PARK-PLE-WIN และ BLISS ผลงานแจ่มพลิกเป็นกำไร
ขณะที่บริษัทที่มีผลงานแจ่มสามารถพลิกเป็นกำไรในปี 2553 ประกอบด้วย

บริษัท พรีเมียร์ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน)(PT) มีกำไรปี 2553 อยู่ที่ 28.39 ล้านบาทจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุน6.99ล้านบาท ผลงานดีขึ้น 35.38 ล้านบาท คิดเป็นการเติบโต 506.15%

บริษัท แนเชอรัล พาร์ค จำกัด(มหาชน)( N-PARK) เป็นอีกบริษัทหนึ่งที่ผลงานปี 2553 พลิกเป็นกำไรที่ 239.58 ล้านบาทจากปี 2552 ขาดทุน 495.83ล้านบาท เพิ่มขึ้น 735.41 ล้านบาทหรือผลงานดีขึ้นคิดเป็น 148.31%

บริษัท เพาเวอร์ไลน์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน)(PLE) ปี 2553 มีกำไร 231.34ล้านบาทจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุน1,113.22ล้านบาท ผลงานดีขึ้น 1344.56 ล้านบาทหรือคิดเป็น 120.78%

บริษัท วินโคสท์ อินดัสเทรียล พาร์ค จำกัด (มหาชน)( WIN )ปี 53 มีกำไร 2.34 ล้านบาทจากปี 2552 ขาดทุน69.72 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 72.06 ล้านบาทหรือคิดเป็นผลงานดีขึ้น 103.35%

บริษัท บลิส-เทล จำกัด (มหาชน)(BLISS) มีกำไร 48.61ล้านบาท จากปี 2552 ขาดทุน95.31ล้านบาท เพิ่มขึ้น143.92 ล้านบาทคิดเป็นผลงานดีขึ้น151.00%


DISTAR-MAX- TFI -PAE -GEN และ PLUS ขาดทุนลดลง
กลุ่มที่ผลงานขาดทุนลดลง ประกอบด้วย บริษัทไดสตาร์ อิเลคทริก คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)(DISTAR) ขาดทุน 43.06ล้านบาทจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุน 263.58 ล้านบาท ผลงานการดำเนินงานดีขึ้น 220.52 ล้านบาท หรือคิดเป็น 83.66%

ขณะที่ บริษัท แมกซ์ เมทัล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)(MAX)มีผลการดำเนินงานขาดทุนลดลงเหลือ24.62 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุน 124.20ล้นาบาท ขาดทุนลดลง 99.58ล้านบาท หรือคิดเป็นผลงานดีขึ้น 80.17% ด้านบริษัท ไทยฟิล์มอินดัสตรี่ จำกัด (มหาชน)(TFI )ปี 2553 ขาดทุน60.68ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุน 138.77ล้านบาท ขาดทุนลดลง 78.09 ล้านบาท หรือผลงานดีขึ้นคิดเป็น 56.27%ด้านบริษัท พีเออี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)(PAE )ปี 2553 ขาดทุน116.64ล้านบาท ลดลงจากปี 2552ที่ขาดทุน176.02ล้านบาท ขาดทุนลดลง 59.38 ล้านบาท หรือคิดเป็น 33.73% ส่วสนบริษัท เจนเนอรัล เอนจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน)( GEN)ปี 2553 ขาดทุน 89.77 ล้านบาท ลดลงจากปี 2552 ที่ขาดทุน123.33 ล้านบาท ขาดทุนลดลง 33.56 ล้านบาทหรือคิดเป็น 27.21% และบริษัท พี พลัส พี จำกัด (มหาชน)(PLUS) ปี 2553 ขาดทุน 42.12ล้านบาท ลดลงจากปี2552 ที่ขาดทุน 43.51ล้านบาท คิดเป็นขาดทุนลดลง1.39 ล้านบาทหรือคิดเป็น3.19%


MME อ่วมสุดผลงานปี 53 ติดลบ 2745.76%
ส่วนหุ้นที่ผลงานย่ำแย่สุด ประกอบด้วย บริษัท ไมด้า-เมดดาลิสท์ เอ็นเธอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน)(MME) ที่ผลงานปี 2553 พลิกเป็นขาดทุน 46.83 ล้านบาท จากปี 2552 มีกำไร 1.77 ล้านบาท ซึ่งผลงานย่ำแย่ 48.6ล้านบาทหรือติดลบ 2745.76 % ส่วนบริษัท ไลฟ์ อินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)(LIVE) ที่ปี 2553 ขาดทุนเพิ่มขึ้นอยู่ที่154.44 ล้านบาทจากปี 2552 ที่ขาดทุน38.51 ล้านบาท หรือผลงานติดลบ301.03 % ขณะที่บริษัท อกริเพียว โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน)(APURE) ปี 2553 พลิกเป็นขาดทุน 53.82ล้านบาท จากปี 2552 มีกำไรอยู่ที่ 32.23 ล้านบาท ผลงานย่ำแย่ 86.05 ล้านบาทหรือผลงานติดลบ266.98% ส่วนบริษัท พรีเมียร์เอ็นเตอร์ไพรซ์ จำกัด (มหาชน) (PE) พลิกเป็นขาดทุน 5.09ล้านบาท จากปี 2552 ที่กำไร 8.92ล้านบาทผลงานย่ำแย่ 14.01ล้านบาทหรือติดลบ157.06% และบริษัท เคปเปล ไทย พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน)(KTP) ปี2553ขาดทุน 104.74ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากปี 2552 ที่ขาดทุน 63.13 ล้านบาท ขาดทุนเพิ่มขึ้น 41.61 ล้านบาทหรือผลงานติดลบ 65.91%


FSS มองสัปดาห์หน้า หุ้นไทยจะเข้าสู่ช่วงพักตัว เป็นโอกาสเล่นหุ้นเล็ก
นายสมชาย เอนกทวีผล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซียไซรัส (FSS)เปิดเผยว่า คาดว่าในช่วงสัปดาห์หน้าดัชนีตลาดหุ้นไทยจะเริ่มมีสัญญาณพักตัวแล้ว จากแรงกดดันของปัญหาเงินเฟ้อที่สูงขึ้นตามทิศทางเดียวกันกับราคาน้ำมันในตลาดโลก ดังนั้น เชื่อว่านักลงทุนจะเริ่มหันมาเล่นหุ้นขนาดเล็กมากขึ้น โดยเบื้องต้นประเมินสัญญาณเทคนิคหุ้นที่ยังสามารถเก็งกำไรได้ แต่หากหลุดแนวรับควรตัดขาดทุน ได้แก่ PLE แนวรับ 1.35 บาท แนวต้าน 1.48-1.52 บาท NNCL แนวรับ 1.39 บาท แนวต้าน 1.48-1.54 บาท E แนวรับ 1.25 บาท แนวต้าน1.40-1.50 บาท ส่วนหุ้น MDX ต้องผ่านราคา 3.50 บาทค่อยเข้าเก็งกำไร รวมไปถึง MPIC เช่นกันหากราคาผ่าน 1.60 บาท ค่อยเข้าเก็งกำไร

"เดิมคาดว่าสัปดาห์นี้ดัชนีฯจะเริ่มพักตัวแล้ว ซึ่งก็เชื่อว่าสัปดาห์หน้าดัชนีฯคงจะพักตัวแล้ว เพราะแรงกดดันเงินเฟ้อที่มากขึ้น ซึ่งก็ถือเป็นฤดูกาลเล่นหุ้นขนาดเล็ก"นายสมชาย กล่าว

ทั้งนี้ปิดตลาดวานนี้(3 มี.ค.) ราคาหุ้น PLE อยู่ที่ 1.41 บาท เพิ่มขึ้น 0.06บาทหรือ 4.44% มูลค่าการซื้อขาย 16.01ล้านบาท ,NNCL อยู่ที่ 1.41บาท ไม่เปลี่ยนแปลง มูลค่าการซื้อขาย 3.99ล้านบาท , E อยู่ที่1.34 บาท เพิ่มขึ้น 0.11บาทหรือ8.94 % มูลค่าการซื้อขาย 35.29ล้านบาท, MDX อยู่ที่ 3.24บาท ลดลง0.08บาทหรือ 2.41% มูลค่าการซื้อขาย35.04 ล้านบาท และMPIC อยู่ที่ 1.56บาท เพิ่มขึ้น 0.02บาทหรือ1.30 % มูลค่าการซื้อขาย 5.14 ล้านบาท


CGS มอง PAE เด่นสุดในกลุ่มหุ้นเล็กให้แนวต้าน 1 บาท
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.คันทรี่กรุ๊ป (CGS) เปิดเผยว่า หากประเมินเส้นกราฟเทคนิคราคาหุ้นขนาดเล็กแล้วพบว่าหุ้น PAE ยังมีความน่าสนใจเข้าเก็งกำไรมากที่สุด เนื่องจากมีความเสี่ยงไม่มากเท่ากับตัวอื่น หลังจากเบื้องต้นพบว่าหากมีปริมาณการซื้อขายเข้ามาในช่วงระยะสั้นแล้วก็จะอยู่นานกว่าหุ้นขนาดเล็กตัวอื่น โดยเส้นกราฟเทคนิคเป็นลักษณะกลับตัวรีบาวน์หรือเป็นแบบ V Shape ดังนั้น จึงเชื่อว่าราคาหุ้นก็มีโอกาสขึ้นไปแตะแนวต้านที่ราคา 1.00 บาทได้ อย่างไรก็ตาม ไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจนของการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นดังกล่าว

ทั้งนี้ปิดตลาดวานนี้ (3 มี.ค.)ราคาหุ้น PAE อยู่ที่ 0.95 บาท เพิ่มขึ้น 0.05 บาทหรือ 5.56% มูลค่าการซื้อขาย 39.37 ล้านบาท



สรุปผลการดำเนินงานกลุ่มหุ้นเล็กปี 2553 เทียบกับ ปี 2552 (หน่วย:ล้านบาท)
ปี 2553 / 2552 / เปลี่ยนแปลง / (%)
APURE / (53.82) / 32.23 / ( 86.05 ) / -266.98
PE / (5.09) / 8.92 / (14.01) / -157.06
PT / 28.39 / (6.99) / 35.38 / 506.15
PAE / (116.64) / (176.02) / (59.38) / 33.73
DISTAR / (43.06) / (263.58) / (220.52 ) / 83.66
TFI / (60.68) / (138.77) / (78.09) / 56.27
INOX / 642.96 / 405.43 / 237.53 / 58.58
GEN / (89.77) / (123.33) / (33.56) / 27.21
KTP / (104.74) / (63.13) / ( 41.61) / - 65.91
N-PARK / 239.58 / (495.83) / 735.41 / 148.31
PLE / 231.34 / (1,113.22) / 1344.56 / 120.78
MDX / 180.22 / 21.52 / 158.74 / 737.45
MIDA / 71.17 / 7.46 / 63.71 / 854.02
PLUS / (42.12) / (43.51) / (1.39 ) / 3.19
EPCO / 112.14 / 100.81 / 11.33 / 11.23
LIVE / (154.44) / (38.51) / ( 115.93) / -301.03
MPIC / 43.49 / (2.73) / 46.22 / 1693.04
MME / (46.83) / 1.77 / ( 48.6) / -2745.76
WIN / 2.34 / (69.72) / 72.06 / 103.35
BLISS / 48.61 / (95.31) / 143.92 / 151.00
E / 86.71 / 3.27 / 83.44 / 2551.68
**NNCL /186.29 / 22.38 / 163.91 / 732.39
**MAX /(24.62) / (124.20) / (99.58) / 80.17

รวม / 1131.43 / ( 2151.06) / 3282.49 / 152.59


หมายเหตุ
** NNCL MAX เป็นงบเฉพาะกิจการ
() หมายถึง ขาดทุน - หมายถึง ผลงานติดลบ


ที่มา : http://www.bloggang.com/mainblog.php?id ... &gblog=298
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
โพสต์โพสต์