ดัชนีความกลัว (VIX Index)

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
MarginofSafety
Verified User
โพสต์: 5786
ผู้ติดตาม: 2

ดัชนีความกลัว (VIX Index)

โพสต์ที่ 1

โพสต์

วันนี้เห็นนักวิเคราะห์ท่านหนึ่งหยิบดัชนีตัวนี้มาให้ดู
บอกว่าดัชนีความกลัวเริ่มปรับตัวลง แสดงว่าความกังวลเริ่มลดลง
เลยหยิบ Graph มาให้ดูกันเล่นๆครับ
จะเห็นว่า VIX กับ S&P500 แปลผกผัน (Negative Correlation) กันอย่างมีนัยสำคัญ

เดาเล่นๆว่า หาก SET ปรับตัวตามตลาดต่างประเทศ น่าจะมี Rebound ให้เห็นกันบ้าง
ดูกันเล่นๆนะครับ อย่าจริงจังมาก

รูปภาพ
"Winners never quit, and quitters never win."
ภาพประจำตัวสมาชิก
yoyo
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 4833
ผู้ติดตาม: 169

ดัชนีความกลัว (VIX Index)

โพสต์ที่ 2

โพสต์

ถ้าเจ้า VIX นี่เป็น lead indicator คงดีนะครับพี่ HVI จะได้ดักทางล่วงหน้าได้ แต่นี่เราก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าวันพรุ่งนี้นักลงทุนจะกลัวหรือกล้า เลยยังซื้อขายหุ้นตามไม่ถูกซะที

ปล. พี่ HVI นี่อ่านเยอะจังนะครับ เจออะไรใหม่ๆมาให้เพื่อนได้อ่านกันอยู่ประจำเลย
การลงทุนที่มีค่าที่สุด คือการลงทุนในความรู้
http://www.yoyoway.com
nanchan
Verified User
โพสต์: 2938
ผู้ติดตาม: 1

ดัชนีความกลัว (VIX Index)

โพสต์ที่ 3

โพสต์

Ole Ole Ole
เฝ้าดูไป โดยใจที่เป็นกลาง
ภาพประจำตัวสมาชิก
สามัญชน
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 5162
ผู้ติดตาม: 49

ดัชนีความกลัว (VIX Index)

โพสต์ที่ 4

โพสต์

มีใครนำทฤษฎี chaos มาทำนายดัชนีไหมครับน้องเฮ็ด......

เคยเห็นฮาริ เซลดอนใช้ทฤษฎีอนาคตประวัติศาสตร์ทำนายจิตวิทยามวลชนได้อย่างแม่นยำ  ว่ากันว่าใช้ chaos เป็นรากฐาน(โดยไม่รู้ตัว)นะครับ
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
ภาพประจำตัวสมาชิก
สามัญชน
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 5162
ผู้ติดตาม: 49

ดัชนีความกลัว (VIX Index)

โพสต์ที่ 5

โพสต์

สีเขียวคือความกลัวใช่ไหมครับ  ผมดูแล้วรู้สึกมันเพิ่งจะเริ่มขึ้นนะ  และยังขึ้นได้อีกเยอะ ไม่ใช่ลง .... หรือเปล่า ??????
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
MarginofSafety
Verified User
โพสต์: 5786
ผู้ติดตาม: 2

ดัชนีความกลัว (VIX Index)

โพสต์ที่ 6

โพสต์

[quote="สามัญชน"]มีใครนำทฤษฎี chaos มาทำนายดัชนีไหมครับน้องเฮ็ด......

เคยเห็นฮาริ เซลดอนใช้ทฤษฎีอนาคตประวัติศาสตร์ทำนายจิตวิทยามวลชนได้อย่างแม่นยำ
"Winners never quit, and quitters never win."
MarginofSafety
Verified User
โพสต์: 5786
ผู้ติดตาม: 2

ดัชนีความกลัว (VIX Index)

โพสต์ที่ 7

โพสต์

[quote="สามัญชน"]สีเขียวคือความกลัวใช่ไหมครับ
"Winners never quit, and quitters never win."
MarginofSafety
Verified User
โพสต์: 5786
ผู้ติดตาม: 2

ดัชนีความกลัว (VIX Index)

โพสต์ที่ 8

โพสต์

[quote="ba_2l"]Read Less, More TV
"Winners never quit, and quitters never win."
ภาพประจำตัวสมาชิก
สามัญชน
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 5162
ผู้ติดตาม: 49

ดัชนีความกลัว (VIX Index)

โพสต์ที่ 9

โพสต์

เห็นดร.นิเวศน์(หรือบัฟเฟตต์  ไม่แน่ใจ)เคยบอกว่า  ราคาหุ้นจะไต่กำแพงแห่งความกังวล

ความกลัวกับความกังวลน่าจะเป็นอะไรที่คล้ายๆกันและไปด้วยกันได้ กลัวทำให้เกิดกังวล กังวลก็ก่อให้เกิดความกลัว แต่กรณีนี้เท่ากับมันสวนทางกันเลยนะ  ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น........
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
MarginofSafety
Verified User
โพสต์: 5786
ผู้ติดตาม: 2

ดัชนีความกลัว (VIX Index)

โพสต์ที่ 10

โพสต์

[quote="สามัญชน"]เห็นดร.นิเวศน์(หรือบัฟเฟตต์
"Winners never quit, and quitters never win."
ภาพประจำตัวสมาชิก
สามัญชน
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 5162
ผู้ติดตาม: 49

ดัชนีความกลัว (VIX Index)

โพสต์ที่ 11

โพสต์

หมายความว่า ราคาจะขึ้นไปเรื่อยๆแม้จะมีความกังวลเป็นกำแพงคอยกั้นเป็นระดับๆก็ตาม

ไม่แน่ใจเหมือนกันครับว่าตีความถูกไหม 555  :lol:
แบบว่าตีความตามตัวอักษรอ่ะครับ อิอิ
ที่จริงมั่วหนะครับ.... :rofl:  :rofl:  :rofl:
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
ForrestGump
Verified User
โพสต์: 1435
ผู้ติดตาม: 0

ดัชนีความกลัว (VIX Index)

โพสต์ที่ 12

โพสต์

ที่ผมเข้าใจ ไต่กำแพงแห่งความกังวล คือ ถ้าคนกังวล จะทำให้ระมัดระวังตัว การซื้อหุ้นก็จะค่อยๆ ซื้อไปตามพื้นฐาน ไม่ใช่ซื้อด้วยความโลภแบบไม่มีเหตุผล  ถ้าแบบนั้น ราคาระดับสูงจะอยู่ได้ไม่นาน และตกแรงในที่สุด ถึงจะน่ากลัวอย่างแท้จริง

จากบทความเรื่อง ข่าวร้าย ของ ดร.นิเวศน์ครับ

แต่หุ้นตกที่ผ่านมา ประโยคที่ผมได้ยินบ่อยมากคือ รู้งี้ๆๆๆๆ วันหลังนะ จะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว ไม่เอาแล้ว ถ้าได้คืนนะ ฯลฯ
กฎข้อที่1 อย่ายอมขาดทุน กฎข้อที่2 กลับไปดูกฎข้อที่ 1
ภาพประจำตัวสมาชิก
สามัญชน
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 5162
ผู้ติดตาม: 49

ดัชนีความกลัว (VIX Index)

โพสต์ที่ 13

โพสต์

ที่ผมเข้าใจ ไต่กำแพงแห่งความกังวล คือ ถ้าคนกังวล จะทำให้ระมัดระวังตัว การซื้อหุ้นก็จะค่อยๆ ซื้อไปตามพื้นฐาน ไม่ใช่ซื้อด้วยความโลภแบบไม่มีเหตุผล  ถ้าแบบนั้น ราคาระดับสูงจะอยู่ได้ไม่นาน และตกแรงในที่สุด ถึงจะน่ากลัวอย่างแท้จริง
เยี่ยมครับ ......

กังวล -----> ระมัดระวัง
กลัว  ------> ทิ้งหุ้นเลย

อืม........แม้จะอยู่กลุ่มคล้ายๆกัน  แต่ด้วยระดับความรุนแรงที่แตกต่างกัน  ทำให้ผลลัพภ์ออกมาต่างกันลิบลับ  ใช่ไหมครับ.....
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
MarginofSafety
Verified User
โพสต์: 5786
ผู้ติดตาม: 2

ดัชนีความกลัว (VIX Index)

โพสต์ที่ 14

โพสต์

แปะบทความดังกล่าวมาให้อ่านกันก่อนแล้วกัน เดี๋ยวมาแจมครับ...
ความโลภ ความกลัว

วอเร็น  บัฟเฟตต์  เคยพูดเกี่ยวกับการลงทุนว่า  ในขณะที่คนส่วนใหญ่กำลังโลภ  เราต้องพยายามกลัว  และในขณะที่คนทั่วไปกำลังรู้สึกกลัวนั้น  เราต้องพยายามโลภ




                       ในช่วงนี้คนจำนวนมากในตลาดหุ้นคงจะโลภ  เพราะการทำเงินดูเหมือนจะง่ายและเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ  ภาวะเศรษฐกิจ  การเมือง  การเงิน  ตลาดหุ้นและผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนดูเหมือนจะมีทิศทางเดียวคือดีขึ้นและจะดีขึ้นเรื่อย ๆ  เช่นเดียวกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์และปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มสูงขึ้นมหาศาล  และนี่คือสิ่งที่ทำให้นักลงทุนเกิดความโลภ


                       Value Investor  จำนวนมากก็คือปุถุชนดังนั้นความโลภจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยากโดยเฉพาะเมื่อเห็นเพื่อน ๆ นักลงทุนและนักเก็งกำไรทำเงินจากการลงทุนในหุ้นบางตัวหรือบางกลุ่มได้อย่างรวดเร็ว  แต่คำแนะนำของผมก็คือในภาวะอย่างนี้เราต้องพยายามกลัว  เช่น  กลัวว่าหุ้นจะปรับตัวลง  กลัวว่าหุ้นที่ราคาขึ้นไปมาก ๆ จะตกลงมาเมื่อเกิดเหตุการณ์บางอย่างที่ไม่คาดฝัน  กลัวว่าเศรษฐกิจที่ร้อนแรงจะชะลอตัวลง  กลัวว่าผลการดำเนินงานของกิจการจะไม่เป็นไปดังคาดและพยายามหาเรื่องอื่น ๆ มากลัวอีกหลายเรื่อง




                       แต่สิ่งหนึ่งที่สำคัญก็คือ  อย่ากลัวจนต้องขายหุ้นทิ้ง  ถอนการลงทุนจากตลาดหุ้นเพื่อที่จะรอให้ดัชนีปรับตัวลงมาเพื่อ รอซื้อหุ้นถูก  เพราะการออกจากตลาดหุ้นอาจจะทำให้เสียโอกาสกำไรมหาศาลหากตลาดไม่ปรับตัวลงแต่กลับปรับตัวขึ้นไปอีกมาก    Value Investor  พันธุ์แท้จะไม่ออกจากตลาดหุ้นถ้าไม่คิดว่าหุ้นทั้งตลาดมีราคาแพงเกินไปมาก  ซึ่งในความเห็นของผมไม่ใช่เวลานี้




                       คำถามก็คือ  เราควรกลัวแค่ไหน?  กลยุทธ์การลงทุนควรจะเป็นอย่างไร?  




ผมคงไม่สามารถตอบคำถามให้แต่ละคนได้  เพราะความโลภและความกลัวของแต่ละคนคงไม่เหมือนกัน  แต่จะให้แนวทางคร่าว ๆ ว่าในความเห็นของผมซึ่งค่อนข้างจะอนุรักษ์นิยม  และไม่ใช่คนที่โลภมากเท่าไรนัก  ผมคิดว่า:



การลงทุนในหุ้นกลุ่มรีแฮบโก้หลายหุ้นในขณะนี้เป็นการลงทุนที่เกิดจากความโลภ  และคนลงทุนไม่ได้คิดถึงความกลัวหรือไม่ได้ พยายาม  กลัวเท่าที่ควร  เหลุผลก็คือ  บริษัทที่เข้าอยู่ในแผนฟื้นฟูนั้นถึงแม้ว่าหลาย ๆ บริษัทจะมีโอกาสออกจากแผนได้  แต่ฐานะการเงินก็ยังไม่ดีนัก  หนี้ยังคงมากในขณะที่ส่วนของผู้ถือหุ้นมักจะมีน้อย  ที่สำคัญกำไรที่เกิดขึ้นยังไม่ใช่กำไรจริงที่เกิดจากผลการดำเนินงานปกติ    ส่วนใหญ่มักจะเป็นกำไรที่เกิดจากการปรับโครงสร้างหนี้  กำไรที่เกิดจากการทำธุรกิจที่เกิดขึ้นก็มักจะยังไม่มีความแน่นอนว่าจะสามารถดำรงอยู่ได้ในระยะยาว  สรุปได้ว่าธุรกิจยังไม่มีความแน่นอน




ที่สำคัญกว่าเรื่องฐานะและผลการดำเนินงานก็คือเรื่องราคาหุ้นของบริษัทในกลุ่มรีแฮปโก้หรือหุ้นที่เพิ่งออกจากการฟื้นฟูใหม่ ๆ  ซึ่งหลายบริษัทมีราคาสูงขึ้นไปมาก  หรือมูลค่าหุ้นของบริษัทมีค่าสูงขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ  ประเด็นหลังนี้เป็นเรื่องที่สำคัญเพราะนักลงทุนที่ไม่ได้วิเคราะห์หุ้นอย่างลึกซึ้งจะมองไม่เห็น  ทำให้เกิดความเข้าใจผิดคิดว่าหุ้นมีราคา ไม่แพง  จึง  น่าลงทุน เมื่อเปรียบเทียบกับการฟื้นตัวของกิจการ




หุ้นรีแฮปโก้ส่วนใหญ่มักจะมีการแปลงหนี้เป็นทุนจำนวนมาก  ทำให้มีจำนวนหุ้นมากว่าปกติ  หลาย ๆ บริษัทยังมีวอแรนต์ที่ยังไม่ได้ถูกใช้สิทธิแต่ก็มีโอกาสที่จะแปลงมาเป็นหุ้น  หุ้นจำนวนมากเหล่านี้จะมาเป็นตัวหารหรือตัวแบ่งกำไรทำให้กำไรต่อหุ้นของบริษัททั้งในปัจจุบันและอนาคตต่ำลงมาก  เพราะฉะนั้นแม้ว่าราคาหุ้นของบริษัทในกลุ่มรีแฮปโก้จะดูเหมือนต่ำไม่ถึง  10  บาทต่อหุ้น  แต่ถ้าคิดถึงค่า P/E  ที่คิดจากกำไรปกติของบริษัทแล้ว  อาจจะบอกได้ว่าเป็นหุ้นที่มีราคาแพงมาก




การลงทุนในหุ้นของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์หลาย ๆ บริษัทที่เพิ่งมีผลกำไรพุ่งพรวดจากการปรับโครงสร้างหนี้  และ/หรือจากการขายบ้านหรือคอนโดมีเนียมในช่วงนี้ผมรู้สึกว่าน่าจะเกิดจากความโลภมากกว่าความกลัว  เนื่องจากราคาหุ้นของบริษัทเหล่านี้ได้ปรับตัวขึ้นไปมากเป็นหลาย ๆ เท่า ๆ จากราคาหุ้นที่ผ่านมาเพียงปีหรือสองปี




ความกลัวของผมในเรื่องของอสังหาริมทรัพย์นั้นมีหลายเรื่อง  แต่ที่สำคัญก็คือเวลาที่อสังหาริมทรัพย์บูมนั้น  ผู้ประกอบการสามารถเข้ามาเล่นในตลาดได้อย่างไม่จำกัด  และทำได้อย่างรวดเร็ว  ฟองสบู่ของอสังหาริมทรัพย์นั้นเป็นฟองที่เกิดได้เร็วและรุนแรงแค่ไหนคงไม่ต้องพูดถึงและเราได้เห็นมาแล้ว  ดังนั้นก่อนที่ Value Investor  จะลงทุนในธุรกิจนี้จึงควรพยายามกลัวไว้บ้างก็จะดีครับ



ดีกว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพราะผู้เล่นหน้าใหม่เข้าตลาดไม่ได้ก็คือธุรกิจหลักทรัพย์ซึ่งได้รับประโยชน์เต็มที่จากการที่ตลาดหุ้นบูมในช่วงนี้  แต่ก็เป็นธุรกิจที่ควรกลัวด้วยเหมือนกันเพราะธุรกิจหลักทรัพย์นั้นมีช่วงดีและช่วงเลวร้ายสลับกันมาตลอดและไม่สามารถคาดการณ์ได้  ดังนั้นการลงทุนในหุ้นของบริษัทหลักทรัพย์ที่มีราคาแพงคือมีค่า P/E สูงมาก ๆ จึงมีความเสี่ยงที่สูงและอาจทำให้เกิดความเสียหายมากได้ถ้าสถานการณ์เปลี่ยนไป




หุ้นของกิจการที่ผลิตและขายสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีราคาขึ้นลงเป็นวัฎจักรเช่นหุ้นของบริษัทปิโตรเคมี  หุ้นของบริษัทเรือ  หุ้นของบริษัทที่ผลิตสินค้าเกี่ยวกับเกษตรกรรมที่กำลังมีราคาพุ่งขึ้นนั้น  แม้ว่าจะมีคนบอกว่าราคาจะยังพุ่งขึ้นหรือสูงต่อไปอีกระยะหนึ่งนั้นก็เป็นหุ้นที่ควรพยายามกลัวด้วยเหมือนกัน




เพราะราคาของผลิตภัณฑ์ที่สูงมากนั้นอาจจะชักนำให้ผู้ผลิตขยายกำลังการผลิตอย่างรวดเร็วและทำให้ราคาตกลงมาเร็วกว่าที่คิด  ทำให้กำไรของกิจการลดลงเร็วกว่าที่คาด  และราคาหุ้นที่วิ่งขึ้นไปมากเกินพื้นฐานอาจจะตกกลับลงมาอยู่ในระดับที่เหมาะสม




ที่เขียนมาทั้งหมดนั้นไม่ได้เป็นการคาดการณ์ว่าหุ้นเหล่านั้นไม่ควรจะลงทุน  มีความเป็นไปได้ว่าหุ้นที่ ร้อน  เหล่านั้นจะร้อนต่อไปและคนที่เข้าไปลงทุนก็มีกำไรอย่างมากและรวดเร็วต่อไปและคนที่ โลภ เป็นผู้ชนะ  แต่สำหรับ Value Investor ที่มุ่งมั่นในการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำและลงทุนระยะยาวมากนั้น  เวลานี้ควรเป็นเวลาที่ต้อง พยายามกลัว เพื่อการเป็นผู้ชนะในระยะยาว
"Winners never quit, and quitters never win."
nanchan
Verified User
โพสต์: 2938
ผู้ติดตาม: 1

ดัชนีความกลัว (VIX Index)

โพสต์ที่ 15

โพสต์

ช่วงที่1
ปี96-97 ความกลัวไต่ระดับขึ้นพร้อมSPX
แสดงว่ายังมีความกังวลอยู่บ้าง

ช่วงที่2
ความกลัวลดลง แต่SPX ยังขึ้นต่อ
ช่วงนี้แสดงให้เห็นว่า คนเริ่มมั่นใจมากขึ้น ความกังวลเริ่มลดลง

จน11/11/98 ความกลัวกระเด็งขึ้นอย่างเร็วไปสูงมาก แสดงให้เห็นว่า
คนกลัวจนไร้เหตุผล จึงทำให้ไม่ลังเลที่จะเทขายให้SPXลดลงอย่างเร็ว

ช่วงที่3 ปลายปี98-00 Side way
อาจเนื่องจากความไร้เหตุผลที่แท้จริงของหุ้นที่ไร้เหตุผลทางพื้นฐานรองรับว่าทำไมมันจึงตก เมื่อได้คิดความกลัวก็เริ่มหายไป จึงทำให้ความกลัวลดลง
ความกล้าเข้ามาแทน SPX จึงขึ้นต่อได้ จากปัจจัยหนุนของช่วงที่1

ช่วงที่4 5/11/00-8/11/00  Diverเจ๊ง
ช่วงนี้ความกลัวลดลง แต่SPX ก็ไต่ขึ้นมาระดับสูง และก็SIde wayต่อ
ผมว่าช่วงนี้เป็นDiverเจ๊ง เพราะความกลัวลดลงแรง แต่SPXไม่ตอบสนองในทางขึ้น ตามธรรมชาติ เมื่อกลัวลด SPX จะขึ้น

ช่วงที่5 11/1101 - 8/11/02 ภาพปรากฎ
เมื่อDiverเจ๊งมา ก็มีสองทางคือรวยจัดกะจนจัด
ความกลัวเริ่มเข้ามาเยือนอย่างแท้จริง ตอบสนองภาพแห่งความกังวลก็เริ่มปรากฎ SPX จึงรูดลงตอบสนองความกลัวมาเรื่อยๆ และก็Side wayซักระยะ
ก่อนจะขึ้นไป

ช่วงที่6 11/11/03-2/11/06
ความกลัวลดลง SPXขึ้น เป็นปกติ

ช่วงที่7 จะเป็นไงต่อไปน้า...

ตอนนี้ความกลัวอยู่ระดับปานกลาง

ไม่มีกฎตายตัวในอารมณ์ที่สิงสถิตในราคาหุ้นที่ผันผวน
เฝ้าดูไป โดยใจที่เป็นกลาง
nanchan
Verified User
โพสต์: 2938
ผู้ติดตาม: 1

ดัชนีความกลัว (VIX Index)

โพสต์ที่ 16

โพสต์

ผมมั่วๆนะครับ อย่าใส่ใจอะไรมาก
เฝ้าดูไป โดยใจที่เป็นกลาง
โพสต์โพสต์