ขอถาม "ว่าด้วยกฎเหล็กข้อที่ 1 ของท่านแม่ทัพสุมาอี้"

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
Accidental Hero
Verified User
โพสต์: 1601
ผู้ติดตาม: 1

ขอถาม "ว่าด้วยกฎเหล็กข้อที่ 1 ของท่านแม่ทัพสุมาอี้"

โพสต์ที่ 1

โพสต์

http://www.thaivi.com/content/view/339/49/

กฎเหล็กข้อที่ 1 ว่าไว้ดังนี้

"ซื้อก็ต่อเมื่อได้วิเคราะห์ข้อมูลจนมั่นใจว่ามูลค่าตลาดของหุ้นตัวนั้นต่ำกว่ามูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดในอนาคตทั้งหมดที่คาดหวังได้ของบริษัทเท่านั้น ซึ่งถ้ามันเป็นเช่นนั้นจริง ซื้อมาแล้วไม่ต้องขายเลยก็ยังกำไร (กฎข้อนี้สำคัญมากห้ามผ่าฝืนเด็ดขาด)"

ขอเรียนถามดังนี้ครับ
1. คำว่า "คำว่ากระแสเงินสดในอนาคต" หมายถึงอะไร
ใช่กำไรจากการดำเนินงานที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตหรือเปล่าครับ

2. คำว่า "กระแสเงินสดในอนาคตทั้งหมดที่คาดหวังได้ของบริษัท" มีความหมายกว้างแค่ไหน
เราควรจะมองไปข้างสักกี่ปีครับ ควรจะต้องมีการเปรียบเทียบกับอัตราดอกเบี้ย และเงินเฟื้อหรือไม่ครับ

3. คำว่า "มูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดในอนาคตทั้งหมดที่คาดหวังได้ของบริษัท"
เราเอาการคาดหวังกระแสเงินสดในอนาคตมาแปลงเป็นมูลค่าปัจจุบันอย่างไร
"Be sure you put your feet in the right place, then stand firm"
Abraham Lincoln
Accidental Hero
Verified User
โพสต์: 1601
ผู้ติดตาม: 1

ขอถาม "ว่าด้วยกฎเหล็กข้อที่ 1 ของท่านแม่ทัพสุมาอี้"

โพสต์ที่ 2

โพสต์

ขอเอาตัวอย่างมาเป็นกรณีศึกษาครับ
ช่วยแนะนำว่าถูกหรือผิด
สมมติดูเห็น pb

ปี 2002 รายรับ 1372 ล้านบาท  กำไร 85 ล้านบาท
ปี 2003 รายรับ 1558 ล้านบาท  กำไร 110 ล้านบาท
ปี 2004 รายรับ 1811 ล้านบาท  กำไร 134 ล้านบาท
ปี 2005 รายรับ 2156 ล้านบาท  กำไร 191 ล้านบาท

ปี 2006 ไตรมาสแรก รายรับ 564 ล้านบาท กำไร 47 ล้านบาท
ผมคาดการณ์ว่า ปี 2006 นี้ คงจะมีรายรับประมาณ 2400 ล้านบาท และกำไรประมาณ 200 ล้านบาท

ส่วนปี 2007 ผมคาดว่า รายรับและกำไร จะเพิ่มประมาณ 10% เป็น 2650ล้านบาท และ กำไร 220ล้านบาท

ขณะนี้ที่ราคาหุ้น 75.50 บาท มี market cap 2265 ล้านบาท
บริษัทมี Equity = 1,035 ล้านบาท
ถ้าผมซื้อบริษัทนี้ โดยเอา market cap ลบ  equity เหลือ 1230 ล้านบาท
แปลว่าผมต้องจ่ายเงินซื้อความสามารถในการสร้างรายได้ของบริษัท 1230 ล้านบาท
ถ้าบริษัทเติบโตประมาณ 10% สม่ำเสมอ ผมจะใช้เวลาประมาณ 6ปีในการคืนทุน หลังจากนั้นเป็นกำไรล้วนๆ
อันนี้ผมไม่ได้คิดถึงอัตราดอกเบี้ย และเงินเฟ้อ

คิดอย่างนี้ มีอะไรผิดบ้าง ที่ถูกควรคิดอย่างไรครับ
"Be sure you put your feet in the right place, then stand firm"
Abraham Lincoln
Jeng
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 14784
ผู้ติดตาม: 29

ขอถาม "ว่าด้วยกฎเหล็กข้อที่ 1 ของท่านแม่ทัพสุมาอี้"

โพสต์ที่ 3

โพสต์

โค้ด: เลือกทั้งหมด

ถ้าผมซื้อบริษัทนี้ โดยเอา market cap ลบ  equity เหลือ 1230 ล้านบาท 
แปลว่าผมต้องจ่ายเงินซื้อความสามารถในการสร้างรายได้ของบริษัท 1230 ล้านบาท 
ถ้าบริษัทเติบโตประมาณ 10% สม่ำเสมอ ผมจะใช้เวลาประมาณ 6ปีในการคืนทุน หลังจากนั้นเป็นกำไรล้วนๆ 
พึ่งเคยได้ยินว่า ใช้ market cap ลบ equity

ถ้าอย่างนี้บริษัทที่มีกำไร แล้ว เราซื้อต่ำกว่า book เราก็ไม่ต้องรอ 6 ปี ใช่หรือไม่ครับ

คือได้กำไรทันที
nuttamon
Verified User
โพสต์: 37
ผู้ติดตาม: 0

ขอถาม "ว่าด้วยกฎเหล็กข้อที่ 1 ของท่านแม่ทัพสุมาอี้"

โพสต์ที่ 4

โพสต์

PB มีการเพิ่มทุนอยู่ด้วยนี่ครับ 15 ล้านหุ้น หุ้นละ 40 บาท
Accidental Hero
Verified User
โพสต์: 1601
ผู้ติดตาม: 1

ขอถาม "ว่าด้วยกฎเหล็กข้อที่ 1 ของท่านแม่ทัพสุมาอี้"

โพสต์ที่ 5

โพสต์

Jeng เขียน: พึ่งเคยได้ยินว่า ใช้ market cap ลบ equity

ถ้าอย่างนี้บริษัทที่มีกำไร แล้ว เราซื้อต่ำกว่า book เราก็ไม่ต้องรอ 6 ปี ใช่หรือไม่ครับ

คือได้กำไรทันที
นั่นอะดิครับ
ผมถึงว่าผมยังไม่รู้ ต้องเรียนรู้อีกมาก

แต่ถ้าบริษัทขาดทุนตลอด กระแสเงินสดในอนาคตเป็นลบ แสดงว่ามูลค่าตลาดของหุ้นตัวนั้นสูงกว่ามูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดในอนาคตทั้งหมดที่คาดหวังได้ของบริษัท

ทีนี้ถ้าบริษัททำกำไรน้อย เช่น ให้ Return on Equity แค่ 3% ผมคิดว่ากระแสเงินสดในอนาคต ติดลบเช่นกัน เพราะ ต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยและเงินเฟ้อ

มั่วๆ อะครับ ไม่ได้เรียนมาทางนี้ แต่ใจรัก
"Be sure you put your feet in the right place, then stand firm"
Abraham Lincoln
Accidental Hero
Verified User
โพสต์: 1601
ผู้ติดตาม: 1

ขอถาม "ว่าด้วยกฎเหล็กข้อที่ 1 ของท่านแม่ทัพสุมาอี้"

โพสต์ที่ 6

โพสต์

nuttamon เขียน:PB มีการเพิ่มทุนอยู่ด้วยนี่ครับ 15 ล้านหุ้น หุ้นละ 40 บาท
คือผมไม่ได้ตามหุ้น pbโดยละเอียด และไม่มีหุ้นนี้ด้วยครับ ผมยกมาสมมติเป็นตัวอย่างครับ เพื่อการศึกษาเป็นรูปธรรม
เอาเป็นว่า เรามองข้ามเรื่องการเพิ่มทุนไป สมมติว่าไม่มี
"Be sure you put your feet in the right place, then stand firm"
Abraham Lincoln
MarginofSafety
Verified User
โพสต์: 5786
ผู้ติดตาม: 2

Re: ขอถาม "ว่าด้วยกฎเหล็กข้อที่ 1 ของท่านแม่ทัพสุมาอี้&

โพสต์ที่ 7

โพสต์

Accidental Hero เขียน:
ขอเรียนถามดังนี้ครับ
1. คำว่า "คำว่ากระแสเงินสดในอนาคต" หมายถึงอะไร
ใช่กำไรจากการดำเนินงานที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตหรือเปล่าครับ

ตรงนี้มาจากทฤษฎีทางการเงินน่ะครับ
โดยมีแนวคิดว่าราคาของบริษัทควรจะเท่ากับ
กระแสเงินสดในอนาคตทั้งหมดของบริษัท
และคิดลด (Discounted) มาเป็นมูลค่าปัจจุบัน (Present Value)

ซึ่งก็มีรายละเอียดปลีกย่อยอีกเช่น
กระแสเงินสดที่นำมาใช้คิดลดอาจจะเป็น

- Dividend
- Free Cashflow
- Operating Cashflow

ส่วน rate ที่ใช้คิดลดก็อาจจะเป็น
- Required Rate of Return
- WACC
- Cost of Equity

ซึ่งการจะหาค่าได้ถูกต้องเนี่ย ไม่ง่ายเลยครับ
เพราะต้องสามารถวิเคราะห์ หรือประเมิน กระแสเงินสดของบริษัทในอนาคตได้ถูกต้อง และต้อง

ส่วนกฎข้อ 1 ของท่านสุมาอี้ที่ว่านี้ ไม่แน่ใจว่าได้เจาะจงวิธีใดวิธีหนึ่งหรือเปล่า
หรืออาจจะพูดกว้างๆ ก็ได้ครับ (อยากฟังเหมือนกันว่าปกติท่านสุมาอี้ใช้วิธีไหน ในการคิดลด)
"Winners never quit, and quitters never win."
MarginofSafety
Verified User
โพสต์: 5786
ผู้ติดตาม: 2

ขอถาม "ว่าด้วยกฎเหล็กข้อที่ 1 ของท่านแม่ทัพสุมาอี้"

โพสต์ที่ 8

โพสต์

ถ้าผมซื้อบริษัทนี้ โดยเอา market cap ลบ  equity เหลือ 1230 ล้านบาท
แปลว่าผมต้องจ่ายเงินซื้อความสามารถในการสร้างรายได้ของบริษัท 1230 ล้านบาท
ถ้าบริษัทเติบโตประมาณ 10% สม่ำเสมอ ผมจะใช้เวลาประมาณ 6ปีในการคืนทุน หลังจากนั้นเป็นกำไรล้วนๆ
อันนี้ผมไม่ได้คิดถึงอัตราดอกเบี้ย และเงินเฟ้อ
Book value of a firm -- that is the total of the net book value of all of the firm's assets -- is generally lower than the market capitalization of a firm, because the value assigned by the market is generally understood to be based on the discounted value of future earnings and takes account of factors such as the productive capacity of the assets, the expertise of employees and the value of brands. In non-asset-intensive industries (such as high-technology or service industries), book value is generally much lower than market capitalization.

In the price/book value ratio the "book value" is simply the shareholders' equity from the "books", or, the balance sheet.
Source : Wikipedia



ส่วนต่างระหว่าง Market Cap - Book Value
(หรือจากคำนิยามดังกล่าวก็คือส่วนของ Equity)
เราจะเรียกว่าค่า Goodwill ที่เราต้องจ่ายเพิ่ม

หาก Net Profit โต 10%

กำไรจะโตดังนี้

ปีที่ 1 ปีที่ 2  ปีที่ 3   ปีที่ 4      ปีที่ 5      ปีที่ 6
220  242   266.2    292.82   322.102    354.3122

ลอง Sum ออกมาดู ก็ได้เพียง 1697 ล้าน
แต่เราซื้อบริษัทมาในราคา 2265 ล้านบาท ดังนั้นไม่ถูกครับ

อีกอย่างนึง วิธีการคิดกระแสเงินสด เราไม่ได้คิดจาก Net Profit ครับ
"Winners never quit, and quitters never win."
MarginofSafety
Verified User
โพสต์: 5786
ผู้ติดตาม: 2

ขอถาม "ว่าด้วยกฎเหล็กข้อที่ 1 ของท่านแม่ทัพสุมาอี้"

โพสต์ที่ 9

โพสต์

เสริมอีกนิด วิธีการคิดลดดังกล่าว ไม่ค่อย Practical
ยกเว้นวิธี Dividend Dicounted Model (อันนี้ง่ายสุด)

ดังนั้นส่วนใหญ่มักจะถูกใช้โดยนักวิเคราะห์ หรือมืออาชีพทางการเงิน
เช่นการหา Valuation ของบริษัท ก่อนที่จะออก IPO เป็นต้น

วิธีที่ค่อนข้าง Practical ก็คือ Relative Valuation Approach
เช่น P/E, P/B ดังกล่าวนั่นแหละครับ
แต่ข้อเสียของมันคือ เป็นแค่การเปรียบเทียบ

แต่วิธีคิดลดกระแสเงินสดดังกล่าวหากทำได้ถูกต้อง
เราจะได้มูลค่าที่แท้จริงของบริษัท หรือ Intrinsic Value
"Winners never quit, and quitters never win."
Accidental Hero
Verified User
โพสต์: 1601
ผู้ติดตาม: 1

ขอถาม "ว่าด้วยกฎเหล็กข้อที่ 1 ของท่านแม่ทัพสุมาอี้"

โพสต์ที่ 10

โพสต์

HVI เขียน: ราคาของบริษัทควรจะเท่ากับ
กระแสเงินสดในอนาคตทั้งหมดของบริษัท
และคิดลด (Discounted) มาเป็นมูลค่าปัจจุบัน (Present Value)
...
กระแสเงินสดที่นำมาใช้คิดลดอาจจะเป็น
- Dividend
- Free Cashflow
- Operating Cashflow
ผมทำความเข้าใจอย่างนี้ถูกไหมครับ

ถ้าเรามองย้อนกลับไป สมมติว่าเป็นวันที่  31 ธันวาคม 2004
ผมกำลังจะหากระแสเงินสดในอนาคต อีก 1 ข้างหน้า ซึ่งจะเป็น วันที่ 31 ธันวาคม 2005
ณ 31 ธค.2004 บริษัท PB  มี equity 864 ล้าน มี market cap 1200 ล้าน
พอมาถึง 31 ธค. 2005 บริษัท มี equity  988 ล้าน

แปลว่า ตั้งแต่ 31 ธค.2004 ถึง 31 ธค.2005
มูลค่าของ Equity ที่เพิ่มขึ้นคือ กระแสเงินสดของบริษัท ที่ถูกลดลงด้วย Dividen ,Free Cashflow และ Operating Cashflow
ใช่หรือไม่ครับ

ดังนั้นการคาดการณ์ กระแสเงินสดในอนาคต น่าจะเป็นการคาด net profit ที่ต้องหักตามวิธีคิดลดต่างๆ

ถ้าที่เขียนผมมาถูก
ผมพอจะสรุปดังนี้ได้ไหมครับ
"กระแสเงินสดในอนาคตที่คาดหวังได้ คือค่าของ equity ที่เพิ่มสูงขึ้นในอนาคต"

ปล. ถ้าถามไม่เข้าท่า โปรดอภัย เพราะไม่รู้แต่อยากรู้จริงๆครับ
"Be sure you put your feet in the right place, then stand firm"
Abraham Lincoln
ภาพประจำตัวสมาชิก
jody4003
Verified User
โพสต์: 372
ผู้ติดตาม: 0

ขอถาม "ว่าด้วยกฎเหล็กข้อที่ 1 ของท่านแม่ทัพสุมาอี้"

โพสต์ที่ 11

โพสต์

ถ้าเป็นผม ผมไม่เอา equity มาเกี่ยวนะ เพราะ E แต่บริษัทมีความสามารถในการหาเงินเข้าไม่เท่ากัน ก็เลยตัดทิ้ง

ถ้าคุณสุมาอี้บอกว่า"ไม่ต้องขายก็ได้กำไร เพราะกระแสเงินสดคืนทุนแล้ว" ก็แปลว่าไม่ต้องเอา market cap มาลบ equity หรอกครับ

สมมุติ
market cap ก็คือเงินที่ใช้ซื้อบริษทนั่นน่ะแหล่ะ = 100บาท
และ บริษัทนี้ generate เงินสดออกมาได้ = Free Cash flow ในแต่ละงวด (จ่ายออกเป็นdivป่าวนั่นอีกเรื่องนะ) = 10บาท

ดังนั้น (ผมไม่เอา discount rate มาคิด เพื่อความง่ายนะ)
10 ปี จะได้เงินเหลือที่ไม่มีรายการให้ใช้จ่ายใดๆจากกิจการ = 10บาทx10ปี = 100บาท
ก็คือเงิน100บาทนี่จะเอาไปใช้ทำไรก็ได้เอากลับคืนก็ได้ เลยถือว่าถอนทุนคืนแล้ว กิจการที่มีก็ถือว่าเป็นของฟรีไป
= ไม่ต้องขายก็กำไรแล้วภายใน10ปี

ถูกป่ะครับ??
MarginofSafety
Verified User
โพสต์: 5786
ผู้ติดตาม: 2

ขอถาม "ว่าด้วยกฎเหล็กข้อที่ 1 ของท่านแม่ทัพสุมาอี้"

โพสต์ที่ 12

โพสต์

[quote="Accidental Hero"]
ผมทำความเข้าใจอย่างนี้ถูกไหมครับ

ถ้าเรามองย้อนกลับไป สมมติว่าเป็นวันที่
"Winners never quit, and quitters never win."
Accidental Hero
Verified User
โพสต์: 1601
ผู้ติดตาม: 1

ขอถาม "ว่าด้วยกฎเหล็กข้อที่ 1 ของท่านแม่ทัพสุมาอี้"

โพสต์ที่ 13

โพสต์

HVI เขียน: ผมงงกับคำถามคุณ Rambo เหมือนกัน
เอ่อ... เอ่อ... ผม Dustin Hoffman ครับ ไม่ใช่ Sylvester Stallone :wink:

คุณ HVI ใจดีมากครับ ที่อดทนอธิบายให้ :D
แล้วผมจะไปหาหนังสืองบการเงินดีๆมาอ่านครับ  :P

ผมมาดูกฎข้อ 1 อีกครั้ง
"ซื้อก็ต่อเมื่อได้วิเคราะห์ข้อมูลจนมั่นใจว่ามูลค่าตลาดของหุ้นตัวนั้นต่ำกว่ามูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดในอนาคตทั้งหมดที่คาดหวังได้ของบริษัทเท่านั้น ซึ่งถ้ามันเป็นเช่นนั้นจริง ซื้อมาแล้วไม่ต้องขายเลยก็ยังกำไร (กฎข้อนี้สำคัญมากห้ามผ่าฝืนเด็ดขาด)"

ฟังดู ไม่คิดอะไรมาก คงจะแปลง่ายๆว่า ซื้อบริษัทที่มีความสามารถทำกำไรในอนาคตอย่างต่อเนื่อง ในราคาที่เหมาะสม นะครับ

ถ้าไม่เป็นการรบกวนเกินไป สมมติว่า ผมจะซื้อหุ้น PB ณ ราคา ปัจจุบัน ที่ 75 บาท
โดยมี
P/E 16 เท่า
P/B 3.2 เท่า
ROA 18.33%
ROE  21%
และมี growth ของรายได้ และกำไร อย่างต่อเนื่องตามข้อมูลข้างต้น
แค่นี้ พอไหมครับที่จะวิเคราะห์ "มูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดในอนาคตทั้งหมดที่คาดหวังได้ของบริษัท" อย่างคร่าวๆ แค่ดูว่า คุ้มค่าไหมสำหรับการลงทุน เพื่อเติบโตไปกับบริษัท ไม่ได้หวังแค่รับเงินปันผล
ถ้าไม่พอ เราควรจะมีข้อมูลอะไรเพิ่มเติมอีกครับ
"Be sure you put your feet in the right place, then stand firm"
Abraham Lincoln
ภาพประจำตัวสมาชิก
metro
Verified User
โพสต์: 861
ผู้ติดตาม: 0

ขอถาม "ว่าด้วยกฎเหล็กข้อที่ 1 ของท่านแม่ทัพสุมาอี้"

โพสต์ที่ 14

โพสต์

ทดสอบ ทดสอบ
ภาพประจำตัวสมาชิก
สุมาอี้
Verified User
โพสต์: 4576
ผู้ติดตาม: 69

ขอถาม "ว่าด้วยกฎเหล็กข้อที่ 1 ของท่านแม่ทัพสุมาอี้"

โพสต์ที่ 15

โพสต์

กระทู้เปิดโอกาสให้ผมโฆษณาหนังสือเล่มใหม่ของผมอีกแล้ว ในหนังสือมีคำตอบทั้งหมดอยู่เพราะเป็นหนังสือเกี่ยวกับการวัดมูลค่าหุ้นโดยเฉพาะเลยครับ ราวๆ ปลายเดือนกรกฎาคมน่าจะได้เห็นในแผงหนังสือครับ  :D


ไม่อยากให้เอาอัตราการเติบโตของกำไรในอดีตมาเป็นตัวประมาณอนาคตเลย ส่วนจะประมาณจากสูตรไหนดีนั้นผมว่ายังไม่ซีเรียสเท่ากับเรื่องนี้
http://dekisugi.net
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
BHT
Verified User
โพสต์: 1822
ผู้ติดตาม: 0

ขอถาม "ว่าด้วยกฎเหล็กข้อที่ 1 ของท่านแม่ทัพสุมาอี้"

โพสต์ที่ 16

โพสต์

[quote="สุมาอี้"]กระทู้เปิดโอกาสให้ผมโฆษณาหนังสือเล่มใหม่ของผมอีกแล้ว ในหนังสือมีคำตอบทั้งหมดอยู่เพราะเป็นหนังสือเกี่ยวกับการวัดมูลค่าหุ้นโดยเฉพาะเลยครับ ราวๆ ปลายเดือนกรกฎาคมน่าจะได้เห็นในแผงหนังสือครับ
Accidental Hero
Verified User
โพสต์: 1601
ผู้ติดตาม: 1

ขอถาม "ว่าด้วยกฎเหล็กข้อที่ 1 ของท่านแม่ทัพสุมาอี้"

โพสต์ที่ 17

โพสต์

:D  ขอบคุณทุกท่านครับ
รออ่านหนังสือคุณสุมาอี้ครับ
"Be sure you put your feet in the right place, then stand firm"
Abraham Lincoln
MarginofSafety
Verified User
โพสต์: 5786
ผู้ติดตาม: 2

ขอถาม "ว่าด้วยกฎเหล็กข้อที่ 1 ของท่านแม่ทัพสุมาอี้"

โพสต์ที่ 18

โพสต์

Accidental Hero เขียน: เอ่อ... เอ่อ... ผม Dustin Hoffman ครับ ไม่ใช่ Sylvester Stallone :wink:
อ้าวเหรอครับ... ผมเห็นทาหน้าดำๆ แล้วก็กล้ามๆ เหมือนกัน นึกว่า Rambo จะไปสู้ศึกตอนตลาดแดงเดือด

ขออภัยครับคุณ Hoffman...  :D
"Winners never quit, and quitters never win."
โพสต์โพสต์