ทำไมจึง "ต้องการที่ 1 เท่านั้น"

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
Accidental Hero
Verified User
โพสต์: 1601
ผู้ติดตาม: 1

ทำไมจึง "ต้องการที่ 1 เท่านั้น"

โพสต์ที่ 1

โพสต์

ขออนุญาตล้อกระทู้คุณวัวแดงครับ
http://www.thaivi.com/webboard/viewtopic.php?t=17706

เจตนาเพื่อให้เกิดความคิดที่หลากหลาย
จำเป็นจริงหรือ ที่บริษัทที่จะมีการเติบโตมาก จะต้องเป็นที่ 1 เท่านั้น
ถ้าเทียบอัตราการเติบโต ระหว่าง ที่ 1 กับ ที่ 2 หรือที่ 3  ไม่แน่ว่าใครจะโตเร็วกว่ากัน

ที่ 1 ครองส่วนแบ่งการตลาดสูงสุด
การเพิ่มส่วนแบ่ง มาจากการเพิ่มความต้องการของผู้บริโภคในภาพรวม และการหาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆมากระตุ้นลูกค้า   ส่วนการชิงส่วนแบ่งมาจากที่ 2 หรือ 3 ไม่แน่ใจว่าจะทำได้แค่ไหนเพราะผู้บริโภค พอใจเลือกสินค้าที่ไม่ใช่เบอร์ 1 อยู่แล้ว  จะลดราคาลงก็เสียภาพลักษณ์ของผู้นำ รวมทั้งกระทบฐานรายได้เดิมด้วย
ส่วนที่ 2 หรือ ที่ 3 ถือเป็นมวยรอง กลยุทธ์ในการชิงส่วนแบ่งมีหลากหลายกว่า

เลยเป็นที่มาของคำถามว่า "ต้องการที่ 1 เท่านั้น" จริงหรือ
"Be sure you put your feet in the right place, then stand firm"
Abraham Lincoln
ภาพประจำตัวสมาชิก
สามัญชน
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 5162
ผู้ติดตาม: 46

ทำไมจึง "ต้องการที่ 1 เท่านั้น"

โพสต์ที่ 2

โพสต์

มีทั้งดีทั้งเสียครับ แต่ข้อดีจะมีมากกว่า

ได้ที่ 1. มาแล้วก็เป็นการพิสูจน์อดีตและปัจจุบันว่าเขาเก่งที่สุด(ถึงได้ที่1.เนาะ) แต่ก็ไม่ได้พิสูจน์อนาคต

ส่วนที่2.-3. ก็บอกว่าอดีตและปัจจุบันยังไม่ใช่ที่สุด  แต่อนาคตก็ยังมีโอกาส และถ้าทำได้จริงกลุ่มนี้ก็จะมีโอกาสเติบโตมากกว่าเสียอีก

และถ้าฟังผู้บริหารกลุ่มนี้ซึ่งได้ที่2.-3.พูดถึงโครงการต่างๆที่จะทำให้ได้ที่1.เราก็มักจะเคลิ้มตาม(คนระดับนี้มักจะมีความสามารถโน้มน้าวใจได้พอสมควร ไม่อย่างนั้นก็ไม่ได้เป็นคนระดับนี้ อิอิ)ว่าอีกไม่นานคงจะได้ที่1.เป็นแน่แท้

แต่เมื่อเวลาผ่านไป หลายบริษัทก็ทำจนได้ที่1.ได้จริง  และอีกหลายบริษัท(มักจะมากกว่าหลายเท่าตัว) ก็ทำไม่ได้สักที........

คำพูดของคนที่ได้ที่1.มาแล้วจึงน่าเชื่อถือกว่าหลายเท่าตัวตามไปด้วย.....
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
ภาพประจำตัวสมาชิก
สามัญชน
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 5162
ผู้ติดตาม: 46

ทำไมจึง "ต้องการที่ 1 เท่านั้น"

โพสต์ที่ 3

โพสต์

การครองที่1.นอกจากจะบอกว่ามีฝีมือในการไต่เต้าจนได้ที่1.แล้ว  ยังมีเรื่องอื่นๆที่ช่วยให้เขาได้เปรียบอีก เพราะเขาเข้าไปอยู่ในวัฏฏะแห่งความรุ่งเรืองได้ง่ายกว่าและเร็วกว่า  เช่นการประหยัดจากขนาดทั้งเรื่องการตลาดการโฆษณาการบริหาร เรื่องค่านิยม เรื่อง.....ฯลฯ(ซึ่งเป็นไปตามทฤษฎีการตลาด)

ดังนั้นกลุ่มนี้จึงไม่เหมือนนักมวยและนักฟุตบอลที่บอกว่าการได้เป็นแชมป์ว่ายากแล้ว การรักษาแชมป์ยิ่งยากกว่า  

เพราะกลุ่มนี้สามารถพูดได้เลยว่า การรักษาแชมป์นั้นไม่ยากเท่าไหร่การดิ้นรนเพื่อให้ได้แชมป์นั่นแหละยากกว่า  

เพราะเมื่อได้เป็นแชมป์แล้วคุณจะได้อาวุธ ได้เครื่องป้องกันอีกเพียบเหมือนเกมส์ออนไลน์พวกแร็คน่าร็อคอ่ะครับ ที่คนที่ได้เป็นแชมป์หรือคนที่มีเลเวลสูงๆมักจะได้รางวัลเป็นอาวุธเป็นเกราะเป็นทักษะพิเศษหลายๆอย่างจนเมื่อมากถึงระดับหนึ่งแล้วละก็ยิ่งยากที่จะแพ้........
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
ภาพประจำตัวสมาชิก
สามัญชน
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 5162
ผู้ติดตาม: 46

ทำไมจึง "ต้องการที่ 1 เท่านั้น"

โพสต์ที่ 4

โพสต์

ด้วยเหตุนี้ถ้าเห็นบริษัทที่หนึ่งยังคงครองที่หนึ่งอยู่เสมอจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะเขาไม่ต้องทำอะไรมากเขาก็ครองแชมป์ได้ง่ายๆไปเรื่อยๆ

แต่ถ้าเกิดกรณีบริษัทที่เป็นอันดับสองและสามารถไต่เต้าไปจนได้อันดับที่หนึ่ง อันนี้ถือว่าเยี่ยมยอดเพราะเขามีข้อเสียเปรียบกว่าเยอะ
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
ภาพประจำตัวสมาชิก
สามัญชน
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 5162
ผู้ติดตาม: 46

ทำไมจึง "ต้องการที่ 1 เท่านั้น"

โพสต์ที่ 5

โพสต์

บทความของดร.นิเวศน์เรื่องกฏการตลาดเมื่อ 15มิย.2547
กฎการตลาด

ความแตกต่างที่สำคัญมากระหว่างการลงทุนแบบ Value Investment กับการลงทุนแบบอื่น ๆ ข้อหนึ่งก็คือ Value Investor จะวิเคราะห์บริษัทละเอียดลึกซึ้งกว่าโดยเฉพาะทางด้านฐานะทางการตลาดของกิจการในขณะที่นักวิเคราะห์หลักทรัพย์โดยทั่วไปเน้นการวิเคราะห์ทางด้านการเงิน


ความเชื่อก็คือถ้าฐานะทางการตลาดเข้มแข็งโดยเฉพาะถ้าเป็นอันดับหนึ่ง ผลการดำเนินงานทางด้านการเงินก็มักจะดีด้วย และที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือจะดีต่อเนื่อง สามารถเติบโตไปเรื่อย ๆ ซึ่งเหมาะแก่การถือหุ้นลงทุนระยะยาว เพราะฉะนั้นคนที่จะรักจะเป็น Value Investor ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องรอบรู้เรื่องการตลาดพอสมควร


ความคิดและกลยุทธ์ทางการตลาดของปรมาจารย์ที่ผมคิดว่านักลงทุนควรจะเรียนรู้เป็นอย่างยิ่งก็คือความคิดของอัลไรส์ และ แจ็ค เทร้าท์ ซึ่งประกอบด้วยหนังสือชื่อ Positioning, The New Positioning, Marketing Warfare และ The 22 Immutable Laws of Marketing ทั้งหมดนี้เข้าใจว่ามีการแปลเป็นภาษาไทยด้วย หลักความคิดส่วนใหญ่พูดถึงเรื่องกฎของการตลาดที่จะต้องเกิดขึ้นหลีกเลี่ยงหรือเปลี่ยนแปลงได้ยาก


สิ่งที่ปรมาจารย์ทั้งสองท่านบอกนั้นจะช่วยให้เราสามารถลงทุนในบริษัทที่ขายสินค้ามียี่ห้อได้อย่างถูกต้องมากขึ้น และสบายใจมากขึ้นในการถือหุ้นระยะยาวโดยเฉพาะในกิจการที่มีฐานะทางการตลาดเป็นอันดับหนึ่ง
กฎการตลาดหลัก ๆ ที่ผมคิดว่านักลงทุนควรจะรู้ก็คือ สินค้า 2 ยี่ห้อชนกัน คนที่จะชนะก็คือคนที่ใช้ทรัพยากรมากกว่า นั่นก็คือมีการโฆษณามากกว่า มีช่องทางการขายมากกว่าไม่ใช่มีโฆษณาที่ดูดีกว่าหรือมีพนักงานขายที่เก่งกว่า เพราะฉะนั้น สินค้าใหม่ที่เพิ่งจะเข้าตลาดจะมาแข่งกับผู้นำตลาดจึงทำได้ยากมาก เพราะสินค้าใหม่มักจะมีงบโฆษณาหรือทำการตลาดน้อยกว่ามาก


บางทีเราอาจจะถือหุ้นของกิจการซึ่งมียี่ห้อเป็นผู้นำ แต่แล้วก็มีบริษัทอื่นเสนอสินค้าที่มีคุณสมบัติ ดี กว่าสินค้าของบริษัทเราออกมาแข่ง เราอาจจะตกใจเพราะกลัวว่าสินค้าของบริษัทเราคงจะแย่แน่เพราะดูแล้วของเราสู้ไม่ได้ นี่คือความคิดของเรา แต่กฎการตลาดบอกว่าการที่สินค้าของเราเป็นผู้นำที่ได้รับการยอมรับยี่ห้อแรกนั้นย่อมดีกว่าการเป็นสินค้าที่ดีกว่าแต่มาทีหลัง


การเป็นสินค้าที่เป็นเจ้าแรกที่ได้รับการยอมรับนั้น ในทางการตลาดถือว่าได้เปรียบมหาศาล เพราะสินค้าที่มีชื่อเก่าแก่ติดอยู่ในใจของผู้บริโภคมาช้านานจะได้รับความน่าเชื่อถือและคิดถึงก่อนสินค้าที่มาทีหลังถึงแม้ว่าสินค้าที่ออกมาทีหลังจะดีกว่า แต่ความดีกว่าเพียงอย่างเดียวคงไม่ใช่ปัจจัยในการตัดสินใจซื้อสินค้า เพราะฉะนั้น ถ้าคุณเห็นสินค้าใหม่ออกมาและได้รับการต้อนรับหวือหวาจากผู้บริโภคด้วยผลของการโฆษณาและจากการ อยากลอง ของใหม่ก็อย่าได้ตกใจ เพราะในที่สุดคนก็จะกลับมาหา ของจริง ซึ่งอยู่กับเขามานาน


ถ้าเราซื้อหุ้นของกิจการที่ขายสินค้ามียี่ห้ออยู่ในอันดับที่สองหรือสามในตลาด เราควรจะเข้าใจกฎของ ขั้นบันได ซึ่งบอกว่า ผู้บริโภคนั้นมีความคิดเป็น ขั้นบันได ในสมองของเขาว่าใครเป็นอันดับหนึ่ง ใครเป็นอันดับสองและอันดับสาม โอกาสที่สินค้าของบริษัทเราจะขายดีถีบตัวเองขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งนั้นยากยิ่งกว่าเข็ญครกขึ้นภูเขา


สิ่งที่ควรจะรู้ต่อไปอีกก็คือว่า การแข่งขันเมื่อดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ คู่แข่งอันดับหนึ่งมักจะมีส่วนแบ่งตลาดสูงกว่าอันดับสองค่อนข้างมาก เพราะเมื่อเขา ชนะ แล้ว เขาก็จะได้เปรียบในการแข่งขันและชนะเพิ่มขึ้นจนถึงจุดหนึ่งก็จะอิ่มตัว ประมาณว่ายี่ห้ออันดับหนึ่งจะมีส่วนแบ่งตลาดมากกว่าอันดับสองถึงเท่าตัว และสำหรับอันดับสามนั้นในที่สุดก็อาจจะล้มหายตายจากหรือหมดความหมายไป


บ่อยครั้งเราพบว่า บริษัทซึ่งขายสินค้าหรือบริการที่มียี่ห้อแข็งแกร่งมากในตลาดสินค้าประเภทหนึ่ง ทำการ ขยายสายผลิตภัณฑ์ โดยการเอายี่ห้อหรือทรัพยากรที่มีอยู่ไปใช้ในผลิตภัณฑ์หรือบริการอีกประเภทหนึ่ง โดยเขาเชื่อว่าจะประสบความสำเร็จเพราะคิดว่า คนรู้จักกับชื่อเสียงของผลิตภัณฑ์เดิมอยู่แล้ว


ข้อนี้กฎการตลาดบอกว่าไม่จริง เพราะผู้บริโภคเขามีความคิดอยู่ในใจว่าคุณคือใครและคุณเก่งในทางไหน เช่น ถ้าคุณคือคนทำเพลงที่เก่งกาจแล้วคุณขยายไปทำหนังสือ ผู้บริโภคจะไม่ยอมรับว่าคุณทำได้ดี เพราะเขาเชื่อว่าถ้าเป็นหนังสือจะต้องเป็นอีกบริษัทหนึ่งไม่ใช่คุณ เพราะฉะนั้นเวลาที่บริษัทจดทะเบียนขยายสายผลิตภัณฑ์ใหม่ อย่าเพิ่งดีใจว่ากิจการจะมีกำไรเติบโตแบบก้าวกระโดด เพราะอาจจะกลายเป็น กับดัก ก็ได้


เกือบทั้งหมดที่กล่าวมาจะพบว่าการตลาดที่บริษัทไม่ใช่เป็นอันดับหนึ่งนั้นเป็นการตลาดที่เสียเปรียบ และการพยายามสร้างผลิตภัณฑ์ขึ้นมาแข่งกับคนที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นอันดับหนึ่งนั้นเป็นสิ่งที่ยากยิ่งและไม่ควรทำ วิธีที่จะ เข้าตลาด ให้ประสบความสำเร็จก็คือจะต้องสร้างประเภทของสินค้าใหม่ขึ้นมาใหม่และ จอง ความเป็น เจ้าแรก ในสินค้าประเภทนั้น ยกตัวอย่างเช่นในผลิตภัณฑ์ยาสีฟันนั้น มียาสีฟันหลายประเภทเช่น ประเภทต่อสู้ฟันผุ ประเภทใช้แล้วลมหายใจสดชื่น เราอาจจะสร้างประเภทใหม่ว่าเป็นยาสีฟันสมุนไพรซึ่งถ้าไม่มีผู้นำอยู่ในกลุ่มนี้ เราก็จะเป็น เจ้าแรก ทันที และในที่สุดก็จะเป็นผู้นำในกลุ่มนี้


สุดท้ายก็คือ การวิเคราะห์ในเรื่องสินค้ามียี่ห้อนั้น Value Investor จะต้องเข้าใจว่าหมายถึงเฉพาะสินค้าที่คนสนใจในตัวยี่ห้อมากเวลาจะเลือกใช้เช่นเรื่องเสื้อผ้า อาหาร แต่ไม่ใช่สินค้าที่มียี่ห้อแต่คนไม่ใคร่สนใจมากนักเช่น สินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ปูนซีเมนต์ เหล็ก ปิโตรเคมี หรือสินค้าที่ไม่เกี่ยวกับความน่ารื่นรมย์เช่น แบตเตอรี่ ยางรถยนต์ หรือระบบโทรศัพท์ เป็นต้น


ในตลาดหุ้นไทยนั้น หุ้นของกิจการที่มียี่ห้อมีไม่มากนัก และมักจะเป็นหุ้นที่มีขนาดเล็กและสภาพคล่องในการซื้อขายหุ้นก็น้อยทำให้ไม่ใคร่เป็นที่สนใจของนักเก็งกำไร แต่สำหรับ Value Investor ที่ต้องการถือหุ้นลงทุนระยะยาวโดยมีผลตอบแทนที่ดีพอใช้และความเสี่ยงต่ำแล้ว หุ้นที่มียี่ห้ออันดับหนึ่งที่ขายในราคาไม่แพงเป็นหุ้นที่น่าสนใจครับ
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
Accidental Hero
Verified User
โพสต์: 1601
ผู้ติดตาม: 1

ทำไมจึง "ต้องการที่ 1 เท่านั้น"

โพสต์ที่ 6

โพสต์

เห็นด้วยกับคุณหมอสามัญชนในระดับหนึ่ง แต่ไม่ทั้งหมด

อันนี้ไม่ได้พูดถึงคู่แข่งหน้าใหม่ ที่เพิ่งเริ่มเข้าตลาด
แต่พูดถึงการเป็นบริษัทมหาชน เช่นกัน
ถ้าเป็นกรณีที่ เบอร์ 2 เบอร์ 3 ก็แข็งแรงเหมือนกันละครับ
หรือกรณีที่ งบการโฆษณาประชาสัมพันธ์ เป็นเรื่องจิบจ๊อย ของธุรกิจ เพราะมีเงินเหลือเฟือสำหรับการโฆษณาเหมือนกัน

ลองดูกรณีธุรกิจธนาคาร
ผมยกมา 4 แห่ง
BBL เป็นที่ 1   KBANK  SCB  BAY เป็นเบอร์รองๆ ไม่นับกรุงไทย เพราะมีปัจจัยแทรกเยอะ

ผมมีตัวเลขกำไร ปี 2004 ปี 2005 และ Q1/2006


        Y2004 (30ธค2004)        Y2005(30ธค.2005)        Q1/2006(31มีค.2006)
BBL     9.23 (2.31)                 10.64 (2.66/+15.15%)   2.72 (+17.74%)
         104                            109 (+4.81%)              109 (+4.81%)
KBANK 6.44 (1.61)                 5.85 (1.46/ -9.32%)      1.52 (-5.59%)
          52.50                          69.50 (+32.38%)          66 (+25.71%)
SCB     5.44 (1.36)                 5.56 (1.39/ 2.21%)       1.24 (-8.82%)
          49                              52.50 (+7.14%)            64.50 (+31.63%)
BAY    1.63 (0.41)                  2.10 (0.53/29.27%)       0.63 (53.66%)
          12                              14.90 (+24.17%)          18.30 (+52.50%)

เห็นว่า BAY ทำผลงานได้ดีที่สุด ทั้งธุรกิจ และราคาหุ้น

ผมเห็นว่า นักลงทุนรายย่อยอย่างเรา ไม่ได้ต้องการบริษัทที่ทำกำไรสูงสุด แต่ต้องการบริษัทที่มีการเติบโตของกำไรสูงสุดต่างหาก โดยไม่จำเป็นต้องขึ้นเป็นที่ 1
"Be sure you put your feet in the right place, then stand firm"
Abraham Lincoln
ภาพประจำตัวสมาชิก
สามัญชน
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 5162
ผู้ติดตาม: 46

ทำไมจึง "ต้องการที่ 1 เท่านั้น"

โพสต์ที่ 7

โพสต์

การเลือกซื้อหุ้นผมมองหลายๆปัจจัยเป็นตัวประกอบเหมือนที่คุณHVI บอกว่าปัจจัยแต่ละตัวเป็นเหมือนเครื่องดนตรีหนึ่งชิ้น ชิ้นใดชิ้นหนึ่งดีก็ยังไม่ได้ตัดสินใจซื้อเลยทันทีเพราะเวลาเล่นเป็นวงอาจจะไม่เพราะ ต้องวัดที่ระดับsymphony เลยทีเดียว(เขาว่าอย่างนั้น)

ในกรณีนี้ถ้ามองที่ปัจจัยเดี่ยวๆที่เรียกว่าจ้าวตลาดผมก็ยังเห็นว่าจ้าวตลาดได้เปรียบกว่า ส่วนได้เปรียบมากแค่ไหนก็ขึ้นกับส่วนแบ่งว่ามากกว่ากันแค่ไหน ถ้ามากกว่ากันเยอะก็ได้เปรียบเยอะ ถ้าน้อยก็น้อย

ในกรณีของ BAYกับBBLนั้น ผมไม่แน่ใจว่า BAY จะสามารถรักษาการเติบโตแบบนี้ได้ต่อเนื่องกี่ปี  เพราะอีกไม่นานก็จะถึงจุดที่โตมากแบบเดิมไม่ไหวด้วยเหตุผลของกฏการตลาด (เว้นเสียแต่BAYจะมีกลยุทธ์ที่สุดยอดในเรื่องการทำกำไรและสามารถวิ่งแซงหน้าใครๆได้สบาย แต่ผมมองว่ามีโอกาสน้อย กลยุทธ์ใดๆก็ตามก็มักจะเก้บเป็นความลับได้ไม่นานเดี๋ยวคนอื่นก็รู้เท่าทันกันหมด) ถ้าดูงบย้อนหลังก็จะเห็นว่าการเติบโตลดลงเรื่อยๆ

ส่วนสาเหตุที่ราคาหุ้นของ BAY ขึ้นมากกว่าน่าจะเป็นเพราะปัจจัยอีกตัว คือเรื่องความถูกแพง หรือพูดง่ายๆว่า BAYมีราคาถูกBBL นั่นเอง จะสังเกตุเห็นว่าแม้ราคา BAYขึ้นมามากแล้ว แต่ณ.ราคาปัจจุบัน  BAYก็ยังมี pe และpb ต่ำกว่าBBL ซึ่งแปลว่า mr.market เองก็ยังบอกว่า BBLควรจะมีราคาแพงกว่าBAY

ดังนั้นณ.วันนี้เมื่อpe pb มาอยู่ใกล้ๆกันแล้ว  ผมจึงไม่อยากซื้อ BAY แล้วหละด้วยเหตุผลสองข้อข้างต้น ยิ่งถ้าpeและpbขึ้นมาเท่ากันผมคงเลือก BBL ดีกว่า
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
ภาพประจำตัวสมาชิก
วัวแดง
Verified User
โพสต์: 1429
ผู้ติดตาม: 0

ทำไมจึง "ต้องการที่ 1 เท่านั้น"

โพสต์ที่ 8

โพสต์

:bow:
ภาพประจำตัวสมาชิก
por_jai
Verified User
โพสต์: 14338
ผู้ติดตาม: 9

ทำไมจึง "ต้องการที่ 1 เท่านั้น"

โพสต์ที่ 9

โพสต์

8) หมอศรรามมาเป็นนักการตลาด
    ตั้งกะเมื่อไร
    สำหรับผม
    เรื่องที่หนึ่งมันต้องดีกว่าที่สองอยู่แล้ว
    ไม่เหมือนที่วงไอน้ำร้องหรอกครับ
    ที่ว่า ที่หนึ่งไม่ไหว
    จิตวิทยามนุษย์จำได้แต่ที่หนึ่งครับ
    นานๆถึงจะมีที่สองที่มีระดับ น่าให้จดจำได้บ้าง
    ยกตัวอย่างในวงการกีฬาจะเห็นได้ชัด
    ตูเดอฟรองก์เราจำได้แต่พี่แล๊นซ์ แขนแข็งแรง
    ถามว่าที่สองเป็นใครใน6-7ปีที่พี่เขาเป็นแชมป์
    จำกันไม่ค่อยได้ หรอกครับ
    บางปีก็ไม่ได้ชนะขาดนะครับ
    แต่
    ต้องดูเป็นเรื่องๆไปครับ
    ตลาดปัจจุบันหมุนเร็วมาก
    แล้วยังซอยออกเป็นเซ็กเม้นท์ที่ย่อยมากๆ
    พวกniche marketที่เขาเรียกกัน
    เป็นที่หนึ่งในแต่ละเซ็กเม้นท์กันง่ายขึ้น
    แหมแต่แชมป์เปลี่ยนตัวเร็วจัง
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
ภาพประจำตัวสมาชิก
yoyo
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 4833
ผู้ติดตาม: 159

ทำไมจึง "ต้องการที่ 1 เท่านั้น"

โพสต์ที่ 10

โพสต์

ถ้าเป็นหุ้นในอุตสาหกรรมที่มีการเติบโตสูงๆ ผมชอบไอ้พวกที่เป็นที่ 1 ครับ เพราะน่าจะโตไปกับกระแสได้อย่างมั่นคงยั่งยืนที่สุด แต่ถ้าพวกหุ้นเบอร์ 1 มันแพงไป เบอร์ 2 ถูกกว่าเยอะ แบบนี้พวกเบอร์รองๆก็ยังน่าสนใจครับ

แต่ถ้าหุ้นอยู่ในอุตสาหกรรมที่อยู่ในช่วงอิ่มตัวแล้ว เบอร์ 1 จะน่าสนใจน้อยลงไป
แต่พวกที่น่าสนใจคือพวกเบอร์รองๆ ที่มีจุดแข็งเฉพาะตัว สินค้าไม่ใช่ commodity ที่หน้าตาเหมือนๆกันไปหมด เช่นมีสินค้าที่เบอร์ 1 ไม่มี อาจจะเจาะตลาดที่เล็กกว่า แต่เป็นกลุ่มตลาดย่อยที่มีแนวโน้มโตเร็ว
หรือพวกเบอร์ 2 ที่ไล่บี้เบอร์ 1 มาติดๆ และมีแนวโน้มในการแย่ง Share ได้เยอะๆ

สรุปว่าแล้วแต่อุตสาหกรรมครับ ผมสนมันทุกเบอร์แหละ ขอให้กำไรโตๆเรื่อยๆละกัน
การลงทุนที่มีค่าที่สุด คือการลงทุนในความรู้
http://www.yoyoway.com
MarginofSafety
Verified User
โพสต์: 5786
ผู้ติดตาม: 2

ทำไมจึง "ต้องการที่ 1 เท่านั้น"

โพสต์ที่ 11

โพสต์

การร่อนโดยการใช้ "ธุรกิจเบอร์ 1 เท่านั้น" เป็นตะแกรงชั้นแรกในการกรอง
เป็นแค่วิธีการร่อนหนึ่งเท่านั้นครับ
ไม่ได้หมายความว่าเป็นวิธีการร่อนที่ดีที่สุด

หากเป็นเบอร์ 1 ในลักษณะ Monopoly (ผูกขาด) หรือ Oligopoly (ผู้เล่นน้อยราย)
แบบนี้ดีแน่แท้ เป็นตะแกรงที่ใช้ได้ดีเลยทีเดียว

แต่ถ้าเป็นเบอร์หนึ่งในอุตสาหกรรมที่ Maturity แล้ว
และการแข่งขันอยู่ในลักษณะ Perfect Competition (การแข่งขันแบบสมบูรณ์)
หรืออุตสาหกรรมอยู่ในภาวะ Decline
เบอร์ 1 แบบนี้ก็ไม่น่าสนใจครับ

สรุปว่า การใช้ตะแกรงเบอร์ 1 ในที่นี้ อาจจะมีข้อเสียคือ
หุ้น Growth Stock ในอุตสาหกรรมดาวรุ่ง
และมีอัตราการเติบโตสูง อาจจะถูกสะกัดดาวรุ่ง
โดยการร่อนแล้วไม่ผ่านตะแกรงเบอร์ 1
ดังนั้นอยากให้มองว่าเป็นความพยายามเลือกหุ้นที่ดี
โดยพยายามเลือกหุ้นเบอร์ 1 ในแต่ละอุตสหกรรม
มาเป็น Criteria เบื้องต้นในการคัดเลือก
และไม่อยากให้มองว่าการเลือกหุ้นลักษณะนี้
จะทำให้เราได้รับผลตอบแทนดีที่สุด
หรือเป็นการเลือกหุ้นที่ดีที่สุด
เนื่องจากดีที่สุดของแต่ละคนย่อมแตกต่างกัน
ตามความเสี่ยงที่แต่ละบุคคลรับได้นั่นเอง...
"Winners never quit, and quitters never win."
ภาพประจำตัวสมาชิก
por_jai
Verified User
โพสต์: 14338
ผู้ติดตาม: 9

ทำไมจึง "ต้องการที่ 1 เท่านั้น"

โพสต์ที่ 12

โพสต์

8) แม่นแล้วน้องเฮ็ช
    อยู๋ที่ว่าอยากได้ growth หรือ cash cow company
    ต้องถามตัวเองก่อนนิ..
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
Accidental Hero
Verified User
โพสต์: 1601
ผู้ติดตาม: 1

ทำไมจึง "ต้องการที่ 1 เท่านั้น"

โพสต์ที่ 13

โพสต์

ชัดเจน ขอบคุณทุกท่านคร้าบบบบบบ
"Be sure you put your feet in the right place, then stand firm"
Abraham Lincoln
โพสต์โพสต์