ขอเสนอพี่เจโชว++พี่ซีเคอ่ะครับ

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

ล็อคหัวข้อ
ภาพประจำตัวสมาชิก
PaZZaHut
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 737
ผู้ติดตาม: 0

ขอเสนอพี่เจโชว++พี่ซีเคอ่ะครับ

โพสต์ที่ 1

โพสต์

http://www.thaivi.com/webboard/viewtopi ... 25&start=0

ผมอยากให้มีการรวบรวมพวกแนวคิดของพี่ๆใน ThaiVi อ่ะครับ  เพราะเท่าที่ผมจำได้ก่อนหน้านี้เคยมีของพี่คัดท้ายทีนึงแล้วหนิครับ

จะได้เป็นแหล่งความรู้ให้กับนักลงทุนใหม่ๆๆอ่ะครับ

พอดีไปได้ไปอ่านของพี่สุมาอี้อ่ะครับ
http://www.thaivi.com/webboard/viewtopi ... 25&start=0
สุมาอี้
Regular


Joined: 12 Feb 2005
Posts: 712

Posted: Wed Dec 21, 2005 9:20 pm    Post subject:    

--------------------------------------------------------------------------------

นั่งสรุปหลักการลงทุนที่ผมยึดถือมาให้อ่านกันแล้วครับ นึกได้แค่ 10 ข้อก่อน ที่จริงอยากเรียกว่า personal biases มากกว่า ไม่อยากเรียกว่าหลักการลงทุนเท่าไร



1. ซื้อก็ต่อเมื่อได้วิเคราะห์ข้อมูลจนมั่นใจว่ามูลค่าตลาดของหุ้นตัวนั้นต่ำกว่ามูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดในอนาคตทั้งหมดที่คาดหวังได้ของบริษัทเท่านั้น ซึ่งถ้ามันเป็นเช่นนั้นจริง ซื้อมาแล้วไม่ต้องขายเลยก็ยังกำไร (กฎข้อนี้สำคัญมากห้ามผ่าฝืนเด็ดขาด)

2. ทิศทางของราคาหุ้นเป็นสิ่งที่ไม่มีทางทำนายได้ อย่าพยายามทำกำไรด้วยการ BLASH การเทรดหุ้นทุกวันเปรียบเสมือนการกระโจนเข้าใส่เครื่องบดเนื้อ

3. ให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์บริษัทและอุตสาหกรรมให้มากที่สุด ไม่ต้องให้ความสำคัญกับการทำนายทิศทางเศรษฐกิจมหภาค เรือทุกลำต้องเผชิญพายุเหมือนกันหมด จงพยายามเลือกเรือลำที่ดีที่สุดแทนที่จะพยายามคาดเดาว่าพายุจะมาเมื่อไร

4. ราคาหุ้นไม่มีความสัมพันธ์กับกำไรในปัจจุบันแต่จะวิ่งไปตามความเชื่อของตลาดว่าพรุ่งนี้กำไรของบริษัทจะเป็นเท่าไร หุ้นที่ขึ้นไม่ใช่หุ้นที่ปัจจัยพื้นฐานดี แต่หุ้นที่ขึ้นคือหุ้นที่ปัจจัยพื้นฐานไม่ดีในวันนี้แต่กำลังจะดีขึ้นวันหน้าหรือหุ้นที่ปัจจัยพื้นฐานดีอยู่แล้วและจะดีขึ้นไปอีก

5. หุ้นบูลชิพที่เติบโตช้า แม้ downside จะต่ำ -20% แต่ upside ก็ต่ำด้วย +20% หุ้นเติบโตสูงจึงน่าลงทุนมากกว่าเพราะแม้ว่า downside ของมันอาจจะมากถึง -100% แต่ upside ของมันไม่มีขีดจำกัด (อาจเป็น 200% 500% 1000%...) พอร์ตที่มีหุ้นเติบโตสูงหลายๆ ตัวแม้จะผันผวนมากกว่าแต่จะวิ่งได้ไกลกว่าพอร์ตที่เต็มไปด้วยหุ้นบูลชิพในระยะยาวๆ

6. อย่าให้ความสำคัญกับ dividend yield มากนัก เพราะไม่มีกฎว่าบริษัทต้องจ่ายเงินปันผลเท่าเดิมทุกปี จงสนใจว่าบริษัทเอา retained earnings ไปลงทุนทำอะไรมากกว่า มูลค่าของบริษัทจะเพิ่มขึ้นได้ก็ต่อเมื่อบริษัทลงทุนในโครงการที่ให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าเท่านั้น

7. หุ้นเป็นหลักทรัพย์ที่มีผลตอบแทนคุ้มค่ากับการเสี่ยงมากที่สุด อย่าเสียเวลาคิดว่าควรแบ่งเงินไปลงตราสารหนี้เท่าไรหุ้นเท่าไร เงินส่วนใหญ่ของคุณควรอยู่ในหุ้นกับเงินสดตลอดเวลา อย่ากลัว market crash เพราะในระยะยาวๆ ไม่มีตลาดหุ้นไหนในโลกที่ไม่สามารถกลับมาสูงกว่าจุดสูงสุดเดิมได้ เพราะเศรษฐกิจในระบอบทุนนิยมโตต้องขึ้นเรื่อยๆ

8. จงละเลยหุ้นที่มีประวัติเรื่องเอาเปรียบผู้ถือหุ้นรายย่อย หรือมีพฤติกรรมดูแลราคาหุ้นแม้แต่ครั้งเดียว ราวกับว่าบริษัทเหล่านั้นมิได้ซื้อขายอยู่ในตลาดหลักทรัพย์

9. โอกาสในตลาดหุ้นไม่ได้มีมากขนาดหาได้ทุกวันมิฉะนั้นผู้คนคงเลิกทำงานประจำ บริษัทคงเลิกนำเงินไปลงทุนนอกตลาด ในบรรดาหุ้น 20 ตัวที่คุณอยากซื้อในหนึ่งปี จงใช้เงินทั้งหมดที่มีอยู่ซื้อแค่ 1-2 ตัวที่คุณคิดว่าเป็นโอกาสที่ดีที่สุดใน 20 ตัวนั้น คุณจะพบว่าคุณจะได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่าการแบ่งเงินออกเป็น 20 ส่วนเพื่อซื้อทั้ง 20 ตัว

10. นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จร้อยทั้งร้อยมีความคิดที่เป็นอิสระ ถ้าคุณจอดรอไฟแดงอยู่ที่สี่แยกที่ไม่มีรถวิ่งอยู่ แต่รถคันหลังรุมกดดันคุณด้วยการบีบแตรไล่ให้คุณวิ่งออกไปเลย ถ้าคุณไม่สนใจแรงกดดันนั้นและรอจนไฟเขียวจึงค่อยไป คุณมีแนวโน้มที่จะเล่นหุ้นแล้วประสบความสำเร็จครับ  


ขอให้โชคดีทุกคน
อย่างไรก็ตามก็แล้วแต่พวกพี่ๆๆและทีมงานจะเห็นสมควรหละกันนะครับ

:D  :D  :D  :D  :D
CK
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 9795
ผู้ติดตาม: 27

ขอเสนอพี่เจโชว++พี่ซีเคอ่ะครับ

โพสต์ที่ 2

โพสต์

ขอบคุณครับ กำลังรวบรวมอยู่ด้วยครับ แต่ติดปัญหาเรื่อง
ทรัพยากร (มนุษย์) ครับ :D
ภาพประจำตัวสมาชิก
PaZZaHut
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 737
ผู้ติดตาม: 0

ขอเสนอพี่เจโชว++พี่ซีเคอ่ะครับ

โพสต์ที่ 3

โพสต์

:D  :D  :D

พี่ซีเคมีอะไรให้ผมช่วยก็บอกได้นะครับ

ไม่อยากมาอาศัยเอาความรู้จากที่นี้โดยไม่ช่วยอะไรเลยอ่ะครับ

PM มาก็ได้อ่ะครับ  หรือฝากเฮียคัดท้าย หรือ พี่เจโชว  ออน  msn  มาบอกก็ได้อ่ะคับ

แต่ช่วงนี้ออาจยังช่วยอะไรไม่ได้มากนะครับ  ใกล้สอบมิดเทอมอ่ะครับ  เดี๋ยวสอบเสร็จจะมาช่วยพี่ๆๆนะครับ

:D  :D  :D
ภาพประจำตัวสมาชิก
PaZZaHut
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 737
ผู้ติดตาม: 0

ขอเสนอพี่เจโชว++พี่ซีเคอ่ะครับ

โพสต์ที่ 4

โพสต์

อันนี้ของพี่พริตตี้แห่งสินธรอ่ะครับ
สไตล์การลงทุนหรือคะ

ถ้ามาอธิบายยาวๆ แบบแต่งตำรา ตั้งทฤษฎีให้อ่านกัน ก็น่าจะดูขลังดีนะ  แต่อย่าดีกว่า นอกจากจะขี้เกียจพิมพ์แล้ว เกรงว่าคนอ่านก็ขี้เกียจอ่านเหมือนกัน หรืออ่านแล้ว ไม่รู้เรื่อง หรือรู้ แต่ไม่นานก็ลืม สู้เอาแบบคุยกัน อ่านให้สนุก จะรับรู้ได้ดีกว่า

ไม่มีใครในโลกนี้ สามารถที่จะสร้างตำราว่าด้วยการเล่นหุ้นอย่างเป็นรูปแบบ (ตอนนี้ฝรั่งเขาเรียกตามเราแล้วนะ เขาว่า play stocks)

การเรียนวิชาอื่นๆ สามารถจะมานั่งสอนกัน ให้ทำการบ้าน สอบ แล้วแจกใบรับรองหรือประกาศณียบัตร แต่ไม่ใช่วิชาหุ้นแน่นอน ไม่งั้น ฝรั่งคงเปิดการสอนเป็นวิชาเฉพาะในมหาวิทยาลัยไปนานแล้ว  

การเสียเงิน ไปสัมมนา ไป take short courses ก็ได้ผลเพียงแค่ช่วงเวลานั้นๆ  เผลอๆหลายครั้งมาก ไปแล้วเสียเวลา เสียเงิน หนำซ้ำ ไปฟังเขาว่าเยอะๆเข้า  ก็มักจะชักเขวค่ะ

การเล่นหุ้นนั้น
เข้าใจได้ยากที่สุด  แต่เล่นง่ายที่สุด โดยเฉพาะการขายหุ้น

น้องชายคนโตของดิฉัน เป็นกุมารแพทย์  มี poly clinic ส่วนตัว แต่ยึดการเล่นหุ้นเป็นอาชีพ และการเป็นหมอเป็นงานอดิเรก  เขาคนนี้แหละ  แรกๆชอบมากเลย บอกให้คนซื้อหุ้นตามเขา แล้วพากันเจ๊งตามๆกัน   แต่ตั้งแต่ปี 1998 จนบัดนี้ เขาบอกแต่ให้ขายหุ้นที่มีอยู่ ไม่กล้าแนะนำใครให้ซื้อหุ้นอีกเลย  เขาบอกว่า ก็ขายไป จะขาดทุน จะขายหมู กำไรน้อย หรือกำไรมาก  ก็ได้เงินสดเข้ากระเป๋าไม่ใช่หรือ

เชื่อไหม เขาเล่นหุ้นมานานเท่าๆกับดิฉัน เสียค่าเล่าเรียน (ขาดทุน) นานถึง 17 ปี แต่พลิกกลับมาเป็นนักลงทุนในห้อง vip มา 9 ปีแล้วค่ะ  เสียดายเขาพิมพ์ดีดไม่เป็นน่ะค่ะ จะให้ช่วยพิมพ์อะไรส่งมาให้ คงไม่มีทาง

และเพราะการเล่นง่ายที่สุดนี่แหละ  ทำให้มีคนมากมายกรูกันเข้ามาเล่น ดิฉันเคยเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง มาจากจีนแผ่นดินใหญ่ แต่งงานกับคนสิงคโปร์  ขนาดไม่รู้ทั้งตัวหนังสือไทย และอังกฤษ แถมยังพูดไม่เป็นด้วย ยังอุตส่าห์มานั่งเฝ้าหุ้นเลย

แล้วมาค้นพบด้วยตัวเองว่า เล่นให้ขาดทุนน่ะง่าย แต่เล่นเอากำไรยาก

คุณจะไม่สามารถยึดรูปแบบการเทรดของใครคนใดคนหนึ่ง มาเป็นหลักเป็นการได้เลย ถ้าคุณไม่บังเอิญไปมี investment dna ไปเหมือนกับเขาคนนั้น

ดิฉันไม่เคยซาบซึ้งกับนักลงทุนท่านใดท่านหนึ่ง และไม่เคยเอาหลักการที่ประสพความสำเร็จในอดีต ในต่างประเทศ มาเป็นตัวอย่างเลย มันคนละเรื่อง คนละสมัย คนละตลาด และที่สำคัญ คนละ portfolio

ตลาดอเมริกาตอนต่ำสุดราวๆ 40 จุด ใครโชคดีเข้าตอนนั้น แค่ซื้อทิ้งไว้ตอนอายุน้อยๆ แล้วมีชีวิตอยู่จนแก่ๆ  ลงไป 4 แสนก็ได้มากกว่า 100 ล้านแล้ว

จะเห็นได้ว่า ในประเทศที่ตลาดตกลงมาแล้วยังโงหัวไม่ขึ้น ไม่เห็นมีเซียนหุ้นที่บอกว่าตัวเองได้กำไรเยอะๆเลย  มีแต่ทำให้บริษัทที่ตั้งมานานแสนนาน ขาดทุนจนล้มไปเลย

รูปแบบการลงทุนตอนนี้ มีอะไรต่ออะไรเพิ่มเข้ามาให้เกิดการเก็งกำไร การวัดพละกำลังของเงินหน้าตักในแต่ละฝ่าย การฉกชิงส่วนแบ่งข้ามชาติ การเทรดเพิ่มความเข้มข้นมากขึ้นทุกๆวัน  ยังจะมีอะไรต่อมิอะไรในรูปแบบใหม่ๆ  ที่เมืองไทยยังไม่มี ไม่เคยพบ ไม่เคยเห็น และไม่เข้าใจ เดินพาเหรดเข้ามาในตลาดไทย

เอ้า เอาไป 10 ข้อ ควรจำ และควรทำแล้วกัน

1  อย่าทำตัวเป็นนักโบราณคดี  คุณไม่สามารถจะทำเงินจากการขุดค้นประวัติศาสตร์ ชีวประวัติบุคคล หรือหนังสือหุ้นเก่าๆ ดอกค่ะ อ่านแค่พอผ่านๆ

2  อย่ายึดติดกับ model trade ใดๆ เพราะค่ายกลไหนๆก็ไม่มี perfect

3  Keep alert พร้อมรับสิ่งใหม่ๆ ตลอดเวลา ตามให้ทัน run don't walk

4  อย่าแก่ทฤษฎี  เพราะการลงมือทำสำคัญกว่า

5  เครื่องมือทางเทคนิค และโปรแกรมต่างๆนั้น มีให้เราดูลายละเอียดในอดีต คาดหวังปัจจุบัน และเดาอนาคต จงใช้มันเป็นเครื่องมือสถิติ อย่าให้มาควบคุมเรา

6  ทำตัวเป็นหลิวลู่ลม อย่าฝืน เดี๋ยวหัก เผลอๆรากหลุด

7  แปลงกายเป็นเต่าในบางครั้ง โง่ และขี้ขลาด หดหัวในกระดอง ปลอดภัยดี

8  ให้ถือคติไทย เดินตามผู้ใหญ่ หมาไม่กัด แต่พอจ่อประตูบ้าน ให้รีบวิ่งเข้าบ้านก่อน เพราะขืนปล่อยผู้ใหญ่เดินลับเข้าประตูก่อน หมาไม่เห็นผู้ใหญ่ มีหวังฟัดเราเลย

9  แทงม้าเมื่อออกจากซอง (ไว้อธิบายทีหลัง นี่น้องชายที่เป็นหมอบอกมา)

10  จำไว้ว่า ถ้าไม่ขาย ก็ไม่ได้กำไร ขายหมูดีกว่าเท่าทุน และเท่าทุน ดีกว่าขาดทุน
jaychou
ผู้ติดตาม: 0

ขอเสนอพี่เจโชว++พี่ซีเคอ่ะครับ

โพสต์ที่ 5

โพสต์

ย้ายมาห้องมือใหม่นะคับ

พี่พริตตี้แกเน้นเก็งกำไรนะคับ ใครจะเล่นตามแกก็ไม่ว่าหรอก
พวกเราแถวนี้ก็มีเล่นเดย์เทรดกันเยอะ
แต่จะการคัดบทความให้เว็บ ขอคิดดูก่อนคับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Linzhi
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 1526
ผู้ติดตาม: 226

ขอเสนอพี่เจโชว++พี่ซีเคอ่ะครับ

โพสต์ที่ 6

โพสต์

นอกจากบทความแล้ว มีกระทู้ดี ๆ เยอะด้วยครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
PaZZaHut
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 737
ผู้ติดตาม: 0

ขอเสนอพี่เจโชว++พี่ซีเคอ่ะครับ

โพสต์ที่ 7

โพสต์

ปีเตอร์ลินซ์ ในมุมมอง ของ...คุณสามัญชน แห่ง TVI

เจอแนวคิดในการเลือกหุ้นของลินซ์ว่า

1. มันดูน่าเบื่อ หรือดียิ่งกว่านั้นอีก "น่าขัน"
2.มันทำอะไรที่น่าเบื่อ
3.มันทำบางสิ่งบางอย่างที่คนไม่เห็นด้วย
4. มันเป็นหุ้นที่แตกออกมา
5.สถาบันไม่ถือมันและนักวิเคราะห์ไม่ได้ติดตาม
6.ข่าวลือว่า มันเกี่ยวข้องกับขยะพิษ และ/หรือ มาเฟีย
7.มีอะไรโศรกเศร้าและหดหู่เกี่ยวกับมัน
8.มันเป็นอุตสาหกรรมที่ไม่โต
9.มันมีจุดเด่น
10.คนต้องซื้อมันเรื่อยๆ
11.มันเป็นผู้ใช้เทคโนโลยี
12.บุคคลภายในบริษัทกำลังซื้อหุ้น
13.บริษัทกำลังซื้อหุ้นคืน



หุ้นที่ลินซ์หลีกเลี่ยง

1.หุ้นที่ร้อนที่สุดในอุตสาหกรรมที่ร้อนแรงที่สุด
2.ระวังหุ้นที่จะเป็นตัวต่อไปของบางอย่าง
3.หลีกเลี่ยง"ยิ่งกระจายยิ่งแย่" (Diworseification)
4.ระวังหุ้นกระซิบ
5.ระวังพ่อค้าคนกลาง
6.ระวังหุ้นที่มีชื่อน่าตื่นเต้น

ผมคิดว่ามันมีส่วนเชื่อมโยงกับคำว่า สภาพคล่องของการซื้อขาย พอสมควร สีน้ำเงินทั้งหมดมีแนวโน้มที่ทำให้คนไม่สนใจและมองข้าม (ทั้งผู้เล่นหุ้น และคนที่จะทำธุรกิจมาแข่ง) ดังนั้นจึงก่อให้เกิดสภาพคล่องที่ต่ำ ส่วนสีแดงทั้งหมด ทำให้เกิดสภาพคล่องที่สูง

หุ้นที่มีสภาพคล่องต่ำ มักจะถูกตีราคาต่ำกว่า และตรงกันข้าม หุ้นที่มีสภาพคล่องสูงมากและยิ่งร้อนแรงด้วยแล้ว นักลงทุนมักจะให้ราคาสูงกว่า


การเลือกซื้อหุ้นที่มีสภาพคล่องน้อยกว่า(แต่ไม่ใช่ไม่มีสภาพคล่องเลย)จึงค่อนข้างจะปลอดภัยกว่า

แต่โดยธรรมชาติหุ้นแต่ละตัวย่อมมีวงจรขึ้นลงของมันเอง หุ้นที่เคยเงียบเหงาก็ย่อมจะมีวันที่เฟื่องฟูและนักลงทุนต่างมารุมกันซื้อ ในทางตรงข้าม หุ้นที่เคยเฟื่องฟูก็ย่อมจะมีโอกาสซบเซาตามวัฏจักร

อันนี้น่าจะเป็นแนวคิดโดยสรุปรวบยอดของลินซ์ กระมังครับ (เดาเอา)

นั่นหมายถึงว่า ถ้าไปเจอหุ้นที่มีคุณสมบัติของสีน้ำเงินทั้งหมด(ยกเว้นข้อ 5.) แต่ว่าสภาพคล่องสูงมาก ใครๆก็พากันแย่งซื้อ เราก็ควรจะหลีกเลี่ยงมัน ไม่ใช่กระโดดเข้าใส่ ใช่ไหมครับ


ผมก็ว่าเป็นแนวคิดที่ดีมากๆและมีส่วนช่วยเปลี่ยน
จากขาดทุนเป็นกำไรให้เราได้ไม่น้อยเลย
แต่ว่ามันเป็นแนวคิดของปีเตอร์ ลินช์เขาครับ

ไม่ใช่ของเกล้ากระผม อิอิ

ที่ผมทำก็แค่สรุปรวมความให้จำได้ง่ายๆ
เพราะผมเป็นคนขี้ลืม แหะๆๆ
เพราะถ้าผมจะจำแนวคิดทั้งหมดซึ่งเป็นเรื่องหุ้นที่ควรซื้อ 13 ข้อ และที่ควรหลีกเลี่ยงอีก 6 ข้อก็จะกลายเป็น 19 ข้อ ข้าพเจ้าคงจำได้ไม่หมดเป็นแน่แท้

เป็นหุ้นที่มีสภาพคล่องในการซื้อขายน้อย
ก็เลยจำได้ง่ายกว่าซึ่งเหมาะกับสมองน้อยๆของผมมากกว่า

เพื่อนๆจะเสนอแนะอะไรเพิ่มเติมไหมครับ
ไม่งั้นผมจะได้ save ลงในเนื้อเยื่อ memoryสมองผมเลย ฮ่าๆๆๆ


ทั้งหมดนี้น่าจะเป็นเครื่องมือในการคัดกรองหุ้นคร่าวๆ (เพราะมีหุ้นให้เลือกเป็นหมื่นๆตัวและเขาก็ซื้อหุ้นเยอะมาก ประมาณว่า1,400 กว่าตัว และใช้เวลาคัดกรองสั้นๆตัวละ 2 นาที) ส่วนจะถึงขั้นลงมือซื้อตัวไหนต้องติดตามต่อไป อิอิ

นักลงทุนที่ผมประทับใจที่สุดเมื่อตอนเริ่มเล่นใหม่ๆคือ เกรแฮม ด้วยสูตรที่เลื่องลือที่สุด คือ ซื้อหุ้นที่ราคาต่ำกว่าสองในสามของมูลค่าบริษัท(ที่นับเฉพาะสินทรัพย์หมุนเวียนเอาแค่หมุนเวียนนะครับ ลบหนี้สินทั้งหมด) หรือซื้อหุ้นในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐานมากๆ ซึ่งผมคิดว่าเป็นหุ้นที่มี margin of safety สุดๆ ผลการดำเนินงานของเกรแฮมก็อยู่ในเกณฑ์ทีดีมาก จนได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่ง value investor

ต่อมาผมเริ่มชอบแนวบัฟเฟตต์หลังจากที่ได้มีโอกาสอ่านหนังสือเกี่ยวกับบัฟเฟตต์(ลูกศิษย์ของเกรแฮม)มากขึ้น สูตรสำเร็จของเขาก็คือ เลือกหุ้นที่มีความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืนและถือมันไว้ตราบเท่าที่มันยังเป็นกิจการที่ดี(ตามสโลแกนพี่ครรชิต) ผลจากแนวคิดนี้เป็นหลัก(แน่นอนว่าต้องมีแนวคิดย่อยและเทคนิคอย่างอื่นอีกมาก)ส่งผลให้เขากลายเป็นนักลงทุนในหุ้นที่รวยที่สุดในโลก และล้ำหน้าอาจารย์ลิบลับ นับถึงวันนี้ผมก็ยังคิดว่าแนวคิดของเขาดีที่สุด แต่ปัญหาก็คือ ในทางปฏิบัติแล้ว ทำตามได้ยากมาก คือว่า.....เอ่อ...สารภาพว่า... ตั้งแต่เล่นหุ้นมา ผมยังไม่เคยได้ซื้อหุ้นที่มีความได้เปรียบอย่างยั่งยืนในราคาที่ไม่แพงเลยฮ่าๆๆๆ.....(เป็นเพราะว่าผมหาไม่เจอเองแหละ.....)


และแล้วผมก็ได้อ่าน one up on wall street แนวการลงทุนของ ปีเตอร์ ลินช์โดย ดร.นิเวศน์เป็นผู้แปล ผมอ่านแล้วชอบมาก อ่านแล้ววางไม่ลง และได้ความคิดหลายๆอย่าง

ที่ผมชอบแนวคิดลินช์อาจจะเป็นเพราะนำไปใช้ได้ง่ายกว่า ลินช์แบ่งหุ้นเป็นกลุ่มใหญ่ๆ 6 กลุ่ม คือ หุ้นโตช้า หุ้นแข็งแกร่ง หุ้นโตเร็ว หุ้นวัฏจักร หุ้นฟื้นตัว และหุ้นทรัพย์สินมาก

หุ้นที่เขาชอบมากที่สุดคือ หุ้นโตเร็วโดยดูองค์ประกอบเหล่านี้ร่วมด้วยได้แก่
1. สินค้าที่ทำกำไรได้สูงๆนั้น เป็นตัวหลักของกำไรทั้งหมดหรือไม่
2. การเติบโตของกำไรอยู่ในช่วง 20- 25 % (ถ้ามากกว่านี้เขาจะมองมันเป็นอุตสาหกรรมร้อน)
3. บริษัทได้ก็อปปี้สูตรสำเร็จและนำไปใช้ในการขยายธุรกิจต่อได้หรือยัง ถ้ายัง...รอก่อน
4. มีช่องว่างที่จะให้บริษัทโตได้อีกหรือไม่
5. ดูว่าราคาหุ้นที่ซื้อขายมีค่า p/e ใกล้เคียงกับอัตราการเติบโตหรือไม่
6. ดูว่าการขยายตัวกำลังเร่งขึ้นหรือเปล่า


ถ้าจะใช้วิธีของลินช์เป็นตัวตั้งต้น วิธีของเกรแฮมน่าจะอยู่ในกลุ่มหุ้นที่มีสินทรัพย์มาก สินทรัพย์อาจจะลงบัญชีแล้วซึ่งได้แก่ ที่ดิน เงินสด น้ำมันที่อยู่ใต้ดิน ๚ล๚ หรือที่ยังไม่ได้ลงบัญชีหรือลงในราคาเก่า


แต่วิธีที่ของบัฟเฟตต์จัดเข้ากลุ่มได้ค่อนข้างยาก หรือว่าจะต้องตั้งกลุ่มใหม่ แต่ถ้าจะจัดเข้ากลุ่มให้ได้ก็น่าจะอยู่ในกลุ่มหุ้นแข็งแกร่งแต่อาจจะกินความหมายกว้างกว่าหุ้นที่แข็งแกร่งเติบโตเต็มที่แล้ว ซึ่งรวมหุ้นขนาดเล็กที่เก่งๆและผูกขาดไปด้วย


ถ้าดูธรรมชาติของหุ้นแล้ว หุ้นที่โตเร็วน่าจะทำกำไรได้มากที่สุด แม้ว่าจะมีหุ้นหลายๆตัวทำให้ขาดทุนเนื่องจากไม่เป็นไปตามคาด เห็นเขาบอกว่าหุ้นกลุ่มนี้ทำกำไรได้หลายๆเด้งเลยทีเดียว 10 , 20 หรือ 30 เด้งก็เคยมี ส่วนหุ้นกลุ่มทรัพย์สินมากมักทำกำไรได้ประมาณ 4 -5 เด้ง ในขณะที่กลุ่มแข็งแกร่งไม่ต้องพูดถึงเด้ง ถ้าได้ 40-50% ก็ต้องขายแล้ว ซึ่งถ้าเป็นอย่างนี้ ลินช์ก็ต้องรวยที่สุด แต่คนที่รวยที่สุดกลายเป็นบัฟเฟตต์ เป็นเพราะอะไร???????????


สงสัยผมต้องกลับไปอ่านใหม่ครับ พี่ปรัชญา 5555

ปล.ลินช์ลงทุนในกลุ่มโตเร็ว 30-40 หุ้นแข็งแกร่ง 10-20% หุ้นวัฏจักร 10- 20% ที่เหลือก็กลุ่มฟื้นฟูและสินทรัพย์มาก
_____________



1. คำพังเพยมีคำว่า น้ำขึ้นให้รีบตัก แต่ก็มีคำว่า ช้าๆได้พร้าเล่มงาม ดูเหมือนจะขัดแย้งกันเองกลายเป็นสอนในทางตรงกันข้ามกัน แต่ผมเห็นว่ามันถูกทั้งสองอย่างนะไม่ได้ขัดแย้งกัน ขึ้นอยู่กับว่าเราอยู่ในสถานการณ์ไหน

2. การวิเคราะห์ทางเทคนิคมีกราฟรูปแบบหนึ่งบอกว่า เมื่อกราฟทำตัวเป็น double top ให้เตรียมตัวขายได้เลย เพราะมันจะลง
และก็มีอีกรูปแบบหนึ่งเรียกว่า tripple top ให้เตรียมตัวขายได้เช่นกัน เพราะมันจะลงเช่นเดียวกัน ฟังแล้วก็ดูเหมือนจะสนับสนุนกันเอง และสอนในทิศทางเดียวกัน แต่ผมกลับเห็นว่ามันขัดแย้งกันเอง เพราะถ้ามันเป็น double top แล้วมันลงแน่ๆ แล้วมันจะมีรูปแบบ tripple top ได้อย่างไร กลายเป็นว่า เจ้ารูปแบบ tripple top เป็นพยานและหลักฐานชิ้นสำคัญที่พิสูจน์ว่า เมื่อเกิดรูปแบบ double top ก็ไม่จำเป็นที่หุ้นจะลงเสมอไป

ลินช์บอกว่า เขาไม่ชอบบริษัทที่กระจายความเสี่ยงไปในอุตสาหกรรมหลายๆอย่าง เขาเรียกว่า diworseification ยิ่งกระจายยิ่งแย่ แต่เขาเองก็กระจายการลงทุนในหุ้นตั้ง 1,400 ตัว ฟังดูจะไม่เป็นการขัดแย้งกันหรือเนี่ย แม้ผมจะเชื่อว่าน่าจะเป็นแบบข้อหนึ่ง คือ อยู่ในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน ไม่ค่อยเหมือนข้อสองนักก็ตามเพราะว่าเขาสามารถพิสูจน์ได้ว่าเขาทำกำไรได้มหาศาล



เท่าที่จำได้ลางๆ รู้สึกว่าอัตราการเติบโตของกำไรแบบทบต้นของบัฟเฟตต์จะอยู่ที่31% และลินช์อยู่ที่29% นะครับ(ถ้าจำไม่ผิด ถ้าผิดก็ขออภัยด้วย)

บัฟเฟตต์ถือหุ้นประมาณยี่สิบตัว แต่ลินช์กระจายความเสี่ยงไปกว่า 1,400 ตัว

ลินช์เป็นอัจฉริยะ สามารถติดตามวิเคราะห์หุ้นทั้งหมดได้และแม้จะมีผู้ช่วยมากมายช่วยติดตาม แต่การตัดสินใจขั้นสุดท้ายหรือครั้งที่สำคัญๆ เขาน่าจะเป็นคนทำเอง ผมจึงมองว่าหุ้น 1,400 ตัวเป็นจำนวนที่มากเหลือเกินแม้จะเป็นอัจฉริยะเพียงใด ตรงนี้อาจจะเป็นจุดอ่อนกระมังครับ

ที่น่าสนใจอีกเรื่องก็คือ เรื่องสัดส่วนในการลงทุน เขาไม่ได้ลงทุนในหุ้นโตเร็วทั้งหมด ที่จริงไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ เขาลงทุนในหุ้นโตช้าด้วย หุ้นแข็งแกร่งด้วย หุ้นทรัพย์สินมากด้วย ซึ่งหุ้นเหล่านี้จะสามารถช่วยได้มากในช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำ แม้ในช่วงที่เศรษฐกิจดีมันก็อาจจะเป็นตัวถ่วงก็ตาม แต่ก็เป็นเรื่องที่จำเป็นที่จะต้องมีไว้เสมอ เพราะไม่รู้ว่าเศรษฐกิจจะแย่เมื่อใด

ถ้าลินช์เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นโตเร็วมากๆ เราก็อาจจะได้พิสูจน์ว่า ความเชื่อที่ว่าลงทุนในหุ้นโตเร็วดีกว่าลงทุนในหุ้นที่มีความได้เปรียบเชิงแข่งขันอย่างยั่งยืนจริงหรือไม่

แต่ภายหลังการลาออกของเขาเราคงไม่มีโอกาสได้เห็นอีกต่อไปแล้ว

อ้อ.....ถึงตอนนี้นึกขึ้นได้ว่า จวนๆจะถึงกำหนดวางตลาดของ Beating The Street ของท่าน WEB แล้วนี่นา อืม......อิอิ


เขียนโดย สามัญชน แห่งเวปTVI
__________________________________________
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด








อยากลงทุนในหุ้นปันผลดีๆ สักตัว

เป็นแนวคิดที่ผมชอบมากและทำให้ผมตัดสินใจเล่นหุ้นเลยครับ(ก่อนหน้านี้การเล่นหุ้นไม่เคยมีอยู่ในสมองแม้แต่น้อยนิด)

ผมไม่ได้ต้องการผลตอบแทนมากมาย ไม่ได้โลภอะไร ต้องการแค่ได้มากกว่าดอกเบี้ยธนาคารที่มันต่ำติดดินเท่านั้นเอง

ก็เลยซื้อหุ้นที่ให้ปันผลงามๆ ซื้อได้สักสามสี่เดือน ราคาหุ้นตกไปยี่สิบกว่าเปอร์เซนต์ ในขณะที่ปันผลจะได้ประมาณเจ็ดเปอร์เซนต์ และเป็นอัตราปันผลของปีที่แล้วด้วย ปีนี้จะได้ปันผลหรือเปล่าก็ไม่รู้

ผลก็คือขาดทุนยับ ผมทำผิดอะไร ไม่ได้โลภสักหน่อย ทำตามตำราการลงทุนทุกอย่าง

คำตอบก็คือ ถ้าเราเข้าสู่สนามรบ เราจะไปบอกข้าศึกไม่ได้ ว่าอย่ามาฟันฉันนะ อย่าฆ่าฉันนะ ฉันจะสู้กับคนที่อ่อนๆเท่านั้น ฉันอยากชนะนิดเดียว ไม่ได้อยากชนะมากมายอะไร ไม่ได้อยากดัง นักรบเก่งๆหรือแม่ทัพอย่ามายุ่งกับฉัน

ผมมองว่าเป็นความเขลาของผมเองอย่างยิ่ง สงครามก็คือสงคราม ไม่มีข้อยกเว้น ถ้าอยากรอดก็ต้องเรียนรู้ให้มีฝีมือ มีเกราะป้องกันดีๆ มีอาวุธดีๆ ไม่มีทางอื่นให้เลือกเลย
__________________________________________________

ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด

เขียน โดย...สามัญชน
เอามาจาก Blog พี่ปรัชญาอ่ะครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
PaZZaHut
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 737
ผู้ติดตาม: 0

ขอเสนอพี่เจโชว++พี่ซีเคอ่ะครับ

โพสต์ที่ 8

โพสต์

วิธีคัดหุ้น เขียนโดย...คัดท้าย

ตัดมาแป่ะจาก...
http://www.thaivi.com/webboard/viewtopi ... 31&start=0
ข้อเขียนเป็นบทความ โดย...คัดท้าย


จริงๆจะว่าไปก็ดีเหมือนกัน ผมเองก็ไม่ค่อยได้เรียบเรียงความคิดตัวเองเท่าไหร่ เวลาลงทุน เพิ่งรู้สึกเวลาโดนเฮียคลายเครียดให้ไปพูดงานสินธร ถึงได้รู้ว่าเวลาเรานั่งเรียบเรียงสิ่งที่เราทำเป็นข้อๆ มันก็ทำให้เราทบทวนตัวเองเหมือนกัน

ก่อนจะรู้ว่าคนๆนึงจะมีวิธียังไง ผมว่าควรจะต้องรู้ว่า เค้ามีความเชื่อยังไงก่อน .. ผมว่าอันนี้สำคัญมาก อย่างในกระทู้ที่ผมพูดเรื่องการลงทุนแบบบัฟเฟต จะเห็นว่ามีหลากหลายความเห็นและความเชื่อ ซึ่งในความเชื่อที่แตกต่าง วิธีการที่ออกมามันก็จะแตกต่างกันด้วย

ผมเริ่มด้วยความเชื่อของผมก่อนแล้วกันครับ ก็เขียนเท่าที่พอจะนึกออกนะครับ คงเขียนหมดไม่ไหว นึกไม่ออก

ความเชื่อส่วนตัวของผม อาจจะจริงหรือไม่จริงก็ได้ แต่ผมเชื่อแบบนี้

1. ผมมีความเชื่อที่สำคัญที่สุด ... และกฏทุกกฏของผมจะ Relate กับกฏทองข้อแรกนี้ คือ เงินมาจาก กระเป๋าคนอื่น

คนทั่วไปอาจจะบอกว่า เงินมาจากนักลงทุนคนอื่นๆที่เสียให้เรา แต่จริงๆ ผมรวมไปถึง คนซื้อของที่จ่ายเงินให้ธุรกิจที่เราเป็นเจ้าของด้วย

2. คนส่วนใหญ่ที่เล่นหุ้น จะเสียเงิน มากกว่าได้เงิน ... กฏนี้เป็นกฏทองข้อที่สองครับ

ถ้าเมื่อใด คนส่วนใหญ่คิดอะไรเหมือนกันหมด ... เห็นดีเห็นงามเหมือนกันหมด ... คิดว่าหุ้นจะขึ้นเหมือนกันหมด ... คิดว่าหุ้นจะลงเหมือนกันหมด ...

มันใกล้จะเป็นจุดหักเหแล้ว ... โดยเฉพาะในมุมมองในแง่ดี

3.เทคนิคอลกราฟ ... ก็ตำราเดียวกัน แตกต่างกันมีบ้าง ... อะไรที่คนรู้มากๆแล้วไม่ปลอดภัย ถ้าเรารู้ คนอื่นรู้ เจ้ามือก็รู้ ... สัญญาณก็จะกลายเป็นกับดัก จะเห็นได้ว่า ข้อนี้ก็เกี่ยวกับกฏทองข้อที่สอง

4. ข่าวดี ข่าวร้าย ส่วนใหญ่ในตลาด ใช้เป้นตัวสร้างโมเม็นตัมของทิศทางราคา ไม่ใช่ทำให้เกิดการไล่ราคา โดยเฉพาะหุ้นที่มีสภาพคล่องสูง

5. ไม่มีใครรู้จริงเรื่องราคาหุ้น แม้แต่เจ้ามือ ก็เจ๊งบ่อย การบริหารความเสี่ยงเป็นเรื่องสำคัญ

6. หาหุ้นที่มีความสามารถในการแข่งขันแบบยั่งยืนในตลาดหุ้นไทย เหมือนงมเข็ม ในมหาสมุทร ยิ่งถ้าหาโอกาสซื้อในราคาที่มีส่วนลด ยิ่งหนักเข้าไปอีก ...

7. ธุรกิจในเมืองไทย ไม่สามารถขยายตัวได้เท่ากับ ธุรกิจในอเมริกา ทำให้ตลาดไทยมี Cycle ที่สั้นกว่าตลาดอเมริกามาก และไม่ควรนำมาเปรียบเทียบกัน

เทียบกันง่ายๆ ส่วนใหญ่หุ้น IPO ที่เข้ามาในเมืองไทย มักขยายตัวไปเต็มพื้นที่ในประเทศ หรือ ใกล้ตันแล้ว (แต่มีบางอันที่ยังมีโอกาสขยายเช่น SE-ED BIGC OISHI ...) ไม่ได้มีพื้นที่ที่จะขยายตัวได้อย่างเหลือเฟือ ..

ถ้าเป็นธุรกิจในอเมริกา ธุรกิจนึงอาจขายดีในระดับรัฐ แล้วก็เข้าตลาดหุ้น เค้าก็สามารถขยายได้อีก 50 รัฐ ... แล้วเมื่อไปทั่วอเมริกา เค้าก็สามารถขยายไปทั่วโลกได้ มีความสามารถในการแข่งขัน

... หุ้นเมืองไทย ไม่ใช่แบบนั้น การจะเอามาเปรียบเทียบกัน ต้องทำด้วยความระมัดระวัง

8. การถือหุ้นของกิจการดี แต่ไม่เติบโตหรือเติบโตน้อย ในราคาที่ไม่มีส่วนลดที่เพียงพอ ไม่ใช่การลดความเสี่ยง เพราะวันใดวันหนึ่งความเสี่ยงก็ย่อมเกิดขึ้นได้

9. การถือหุ้นที่กิจการไม่ดี ในราคาที่ไม่มีส่วนลดที่มากเพียงพอ เป็นการกระทำที่โคตรเสี่ยง

10.การถือหุ้น ที่กิจการกำลังเติบโต ในราคาที่มีส่วนลด เป็นการลดความเสี่ยง

11.กลยุทธและแผนงาน เหนือกว่าความสามารถส่วนบุคคล

12.ผมไม่เคยเชื่อเรื่องธรรมาภิบาล แต่เชื่อว่าคนทุกคนทำเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง ซึ่งผมคิดว่าไม่ได้ผิดอะไร แต่ใส่ใจกับเจ้าของที่มีโอกาสทำเลวเกินพิกัด

เมืองไทย ไม่ใช่ประเทศธรรมาภิบาล ... ดูจากสังคม และการเมืองได้ .. ถ้าตลาดหุ้นมันก็น่าจะซึมซับพฤติกรรมมาไม่มากก็น้อย ... ทุกอย่างเกิดขึ้นได้ ...

เป็นคนไทยต้องไม่ประมาท ทุกอย่างเกิดขึ้นได้ เป็นคนไทยต้องดูแลตัวเอง ..

13. แม้ว่าเราควรจะคิดให้เหมือนเป็นเจ้าของบริษัท แต่เจ้าของบริษัทไม่ได้คิดว่าเราเป็นเจ้าของ ... ดังนั้นข้อมูลที่เราได้ ก็ไม่ใช่ข้อมูลที่เจ้าของได้

14. แม้พี่เจ๋งจะบอกว่า ให้คิดเหมือนเราซื้อทั้งบริษัท ...ผมว่าจริงในแง่การมองมูลค่า ... แต่ความเป็นจริงคือ เราไม่มีตังมากขนาดนั้น และเมื่อเรามีเงินซื้อแค่นั้น สิทธิที่เราได้ก็จะมีเท่าที่เงินของเรา ...

และ หลังจากเราซื้อ เราก็เอาเงินของเรา ไปให้คนอื่นดูแล ...

ให้เปรียบเทียบกับ คุณให้เงินเพื่อนยืมไปทำบริษัท ...

คุณอาจจะบอกว่า จะบ้าเหรอ ให้เพื่อนยืมไปเสี่ยงจะตายชัก

แต่จริงๆ แล้ว เพื่อนยืมเงิน คุณยังไปถามมันได้ว่ามันเอาเงินไปทำอะไร อาจขอไปดูโรงงานมัน ขอเปิดบัญชีดู มอมเหล้ามันให้คายความลับ ... และมันก็ยังอาจจะเกรงใจคุณอยู่บ้าง

แต่เจ้าของบริษัทมหาชน คงไม่สนใจคนที่ถือหุ้น 30,000 หุ้นเท่าไหร่ และเค้าอาจจะหันมายิ้มแล้วตอบคำถามต่างๆ แต่ก็ไม่รู้จะเชื่อคำตอบได้หรือเปล่า ว่านั้นคือความจริง ...

15. ดังนั้น ข้อมูลที่เราได้ ก็จะมาจากข้อมูลวงนอกที่เราพอจะหาได้ได้แก่

- จากงบ เก่าๆย้อนกลับไป
- จากกราฟ
- จากตัวเลขและแนวโน้มของกลุ่มธุรกิจ
- จากส่วนแบ่งตลาด
- ฯลฯ

แต่จากประสบการทำให้ผมเชื่อ เฮียคลายเครียด ขึ้นทุกทีว่า จริงๆ เราเป็นกูไม่รู้ ( Gu(not)ru) คือ เราไม่ได้รู้อย่างที่เราคิดว่าเรารู้

อย่าลืมคิดเรื่องการบริหารความเสี่ยงไว้เสมอๆ เช่น เวลาซื้อหุ้น ควรบอกตัวเองว่า ถ้าเกิด เรื่องที่ไม่คาดฝัน เราจะทำอย่างไร ..

16. หุ้นเมืองไทย ยากนักที่ ราคา (ขอเน้นว่าราคา ไม่ได้พูดถึงมูลค่า) จะสวนกระแสพิษเศรษฐกิจได้ ..

ถ้าไม่ชอบเห็นหุ้นตัวเอง ราคาหายไปครึ่งนึง ... ควรจะคำนึงถึงภาวะเศรษฐกิจด้วย ..

ผมไม่เชื่อว่าหุ้น VI VS VSOP อะไรก็ตามจะต้านภาวะแย่ๆ ได้ ไม่อย่างงั้น VI หลายๆท่านจะมีโอกาสซื้อหุ้นดี ราคาถู๊กกกก ถูกก ... ในรอบที่ผ่านมาได้อย่างไร นั่นแสดงว่าราคามันทรุดลงไป

แต่ถ้าคุณไม่สนใจว่าคุณ ซื้อหุ้น 10 บาท แล้วราคา ลงไป 3 บาท แล้วไม่รู้สึกอะไร ก็ไม่สนใจเรื่องนี้

ด้วยความเชื่อทั้งหมดที่ผมบอกไป ก็เลยเกิดสิ่งที่ผมตั้งใจจะทำซึ่งก็มาจากความเชื่อ

คือ

ผมจะหาหุ้นที่เน้นว่ามี Downside Risk ต่ำ มี Upside Gain สูง ... และมีสภาพธุรกิจอยู่ในเทรนขาขึ้น (Uptrend)

และผมมักจะถือลงทุนระยะ 6-12 เดือนเป็นส่วนใหญ่ครับ จริงๆไม่มีกฏตายตัวครับ แต่ที่ผ่านๆมา ผมมักจะถือได้เป็นระยะเวลาแค่นั้น แต่จริงๆแล้วไม่มีกฏตายตัวครับ
คือ ถือไปเรื่อยๆ จนกว่ารู้สึกว่าไม่ปลอดภัยแค่นั้นเอง ..

ส่วนประกอบในการตัดสินใจลงทุน

1. ข้อมูลพื้นฐาน (ผมให้ความสำคัญข้อนี้ที่สุด)
2. ข้อมูลเทคนิค
3. จิตวิทยาและกลยุทธการเข้าซื้อ

การวิเคราะห์เชิงพื้นฐาน

ผมไม่ได้มีความรู้ด้านนี้มากนัก รู้แค่งูๆปลาๆ แต่ผมก็ให้ความสำคัญกับข้อนี้มากๆ ปกติก็จะดูข้อมูลเชิงคุณภาพก่อน และผมมักจะถามความเห็นจากหลายๆท่านที่มีความรู้เรื่องนี้ประกอบด้วย

ผมเชื่อว่า นักการเงิน คนเรียนบัญชี ... และ พนักงานสินเชื่อ ... มีความสามารถในด้านนี้มากกว่าผมหลายเท่านัก และผมว่าคนกลุ่มนี้ก็เล่นหุ้นกันเพียบ ถ้าเพียงแค่การวิเคราะห์งบ จะบอกอะไรได้หมด คงจะไม่ใช่ ไม่งั้นคนกลุ่มนี้ก็รวยกันไปหมดแล้ว มันต้องมีอะไรมากกว่านี้

ผมเชื่อว่าการที่จะทำให้หุ้นมีสภาพ Uptrend อย่างโดดเด่นได้ ต้องมีการเปลี่ยนแปลงจากพื้นฐานอย่างอื่นที่ไม่ใช่งบ เช่น วงรอบธุรกิจ (ปิโตร เรือ) ... การขยายงาน ... การเปลี่ยนแปลงนโยบายการลงทุน เช่น กองทุนอสังหา .. ฯลฯ

สำหรับผม การวิเคราะห์งบ ใช้เพื่อบอกว่าธุรกิจมีสุขภาพที่ดี หรือ อ่อนแอ แพงไป หรือ ถูก ในปัจจุบัน แค่นั้นเอง

อีกเรื่องที่ดูคือ ดูความแข็งแกร่งว่าหากโดนคู่แข่งเจาะเข้ามานี่ จะมีความสามารถในการป้องกันแค่ไหน ผูกขาดมั้ย ข้อมูลนี้ ผมใช้ดูว่าผมจะกล้าถือได้นานแค่ไหน ถือแค่เก็งการเติบโต 6 เดือน หรือถือลงทุน 3 ปี เป้นต้น

การวิเคราะห์เชิงเทคนิค

การวิเคราะห์เชิงเทคนิค ผมใช้เพื่อหาราคาที่จะเข้าซื้อครับ

หุ้นที่จะใช้วิธีการนี้ ผมแนะนำว่าควรมีสภาพคล่องนะครับ ข้อมูลทางเทคนิค จะไม่ควรใช้กับหุ้นขาดสภาพคล่อง ไอ้พวกทั้งวัน ซื้อขายไม่กี่ไม้ นี่ไม่แนะนำครับ

ปกติ ถ้าหุ้นมีสภาพคล่อง แล้วมีหุ้นที่สนใจหลายตัว แล้วมองทางพื้นฐานก็ดีเท่ากัน รักพี่เสียดายน้อง ต้องเลือก ซื้อตัวนึงเยอะ ตัวนึงน้อย ผมมักจะชอบหุ้นที่ผมดูแล้วมีพฤติกรรมของผู้ดูแล ที่ไม่นิสัยแย่เกินไป .. โดยดูจากกราฟ ที่ผ่านๆมา หุ้นที่มีคนดูแลนิสัยเข้ากับเราจะเล่นได้สบายใจ แต่เรื่องนี้ VI อาจพูดแล้วไม่เข้าใจนะครับ อย่าไปสนใจเลยครับ

ส่วนใหญ่เทคนิคที่ใช้ ผมจะใช้ในการหาจุดที่เข้าซื้อหุ้น แต่ในความเป็นจริง ... การหาจุดต่ำสุดนั้นยากมากครับ

ราคาที่เหมาะสม ที่คิดได้บางทีมันก็จับต้องยากจัง ผมก็ไม่เก่งพอเสียด้วยที่จะบอกว่า จริงๆมันควรอยู่ที่เท่าไหร่

ผมก็เลยต้องทำข้อที่ 3 ครับ คือ

กลยุทธ และจิตวิทยาการเข้าซื้อ

ผมมีความเชื่อว่า เทคนิคกับพื้นฐาน สามารถใช้คู่กันได้ในการหาจุดเข้าซื้อ

โดยผมจะหาแนวรับในเชิงเทคนิคไว้ก่อน ... แล้ว Map จุดแต่ละจุดดูว่า ค่าที่จุดรับต่างๆนั้น ให้ค่าพื้นฐาน เช่น P/E P/BV อยู่ที่เท่าไหร่ ราคาประเมินเนี่ยถูกหรือแพง ...

แล้วก็ดูว่าแนวรับแต่ละแนวเนี่ย เป็นไปได้มากหรือน้อย แล้วก็ทะยอยรับครับตามจุดต่างๆ ลงมากรับมาก ลงน้อยรับน้อยอะไรแบบนี้

แต่ที่ผมเจอๆมา ผมพบว่า ในสถานการณ์ปกติทั่วไปหุ้นดี เวลาลงมักจะลงไม่ถึงจุดที่ทุกคนคิดว่าถูกมากและปลอดภัยจนต้องซื้อ ครับ มันมักจะไม่ถึง

ผมลืมข้อนึงไปครับ คือ การดูและรักษาปรับพอร์ต และขาย

1. จดจำเหตุผลที่คุณซื้อหุ้นใดๆไว้เสมอ และจำไว้ใช้เวลาขาย

เช่น ถ้าคุณซื้อหุ้นเพราะกราฟ แล้ว ติดดอย คุณห้ามปลอบใจตัวเองว่าไม่เป็นไร หุ้นพื้นฐานดี อะไรแบบนี้ เพราะเวลาซื้อคุณไม่ได้คิดถึงพื้นฐานมันนะ

ต้องไม่หลอกตัวเอง

2. ขายเมื่อเหตุการณ์ไม่ได้เป็นไปตามที่คุณคิด โดยเฉพาะทางพื้นฐาน ... แยกความรู้ กับ ความหวัง ออกจากกันให้ชัดเจนครับ

3. ขายเมื่อหุ้นได้ถึงเป้าหมายที่คาดเอาไว้ ... อย่าโลภเกินครับ เราหวัง เรารู้แค่ไหน ก็หวังแค่นั้น ผมคิดแบบนั้นนะ หรือไม่ถ้าเกินเป้าหมายแล้ว อยากถือต่อ ก็ควรบริหารความเสี่ยงโดยการทำคลายเครียดเรโช ไปมั่ง

อาจจะดูว่า ผมไม่ให้โอกาสหุ้นได้แก้ตัวเลย เพราะสำหรับผม ผมรู้ตัวว่าเป้นรู้อะไรน้อยมาก ผมเป็น Gu Not Ru ครับ ... ถ้าผิดคาด ผมไปก่อนครับ

สำคัญที่สุด รู้ถูก ไม่เท่าทำถูกเราต้องสร้างวินัย ทำให้ได้ตามกฏที่เราตั้งขึ้นมา


ผมลืมอีกแล้ว .... เพิ่งนึกออกเมื่อกี้อีกเรื่องครับ คือ เรื่องความเสี่ยง


เรื่องการบริหารความเสี่ยง

การบริหารความเสี่ยงนี่ ผมว่าสำคัญมากครับ สำหรับผม ข้อนี้ผมพยายามนึกถึง คำสอนในตำราซุนวู ตลอดครับ เป็นคำสอนที่ผมประทับใจมาก และคำสอนนี้ ทำให้ผมเล่นหุ้นได้ดีขึ้นมากๆ คือ ซุนวูบอกว่า

ขุนศึกที่ชนะ ออกรบเพื่อไปเอาชัยชนะ
ขุนศึกที่พ่ายแพ้ ออกรบเพื่อหวังชัยชนะ

....

จริงๆในตำราซุนวูนี่ ผมว่าเอามาประยกต์เรื่องลงทุนได้เยอะมากๆ ในงานสินธร เพิ่งรู้ว่า คุณหมอ Weekest ก็เป็นแฟนซุนวูเหมือนกัน

ผมว่าเล่นหุ้นไม่ต้องเล่นบ่อยๆ ต้องมั่นใจพอสมควร ไม่จำเป็นต้องลงทุนถ้าเราไม่มั่นใจ รอดีกว่าครับ ถ้าราคายังไม่ถูกใจ พื้นฐานยังไม่ถูกใจ สภาวะยังน่าเป็นห่วง ... ผมถอยครับ ..

บางคนบอกว่าเซียนหุ้นต้องลงทุนได้ทุกสภาวะ แต่ผมไม่ได้เป็นเซียนหุ้นครับ
ผมเป็นแมงเม่า เอาไว้ผมเห็นโอกาส ผมค่อยลงทุนครับ ไม่เน้นเสี่ยงครับ

ไม่ไหวแล้วครับ ผมหมดแรงแล้ว พิมพ์เมื่อยแล้วครับ ... ผมก็ไม่มีวิธีการอะไรมากหรอกครับ หลักๆก็มีเท่านี้ครับผม หวังว่าจะมีผักบุ้งโหรงเหรงในน้ำซุปมั่งนะครับ 5555
_________________
"If you want 1 year of prosperity, grow grain."
"If you want 10 years of prosperity, grow trees."
"If you want 100 years of prosperity, grow "people."
big15096
Verified User
โพสต์: 120
ผู้ติดตาม: 0

ขอเสนอพี่เจโชว++พี่ซีเคอ่ะครับ

โพสต์ที่ 9

โพสต์

CK Posted:
ขอบคุณครับ กำลังรวบรวมอยู่ด้วยครับ แต่ติดปัญหาเรื่อง
ทรัพยากร (มนุษย์) ครับ  
ยินดีรับใช้นะครับ บอกได้เลยครับ
------

สุดท้าย มนุษย์ก็จะเหลือเเต่ความว่างเปล่า จะไขว่คว้าหาของนอกกายไปเพื่ออะไร

------
ล็อคหัวข้อ