หน้าแรก
เว็บบอร์ด
หลักสูตรออนไลน์
Marketplace
สินค้าสมาคม
ทดลองใช้ฟรี 30 วัน
เข้าสู่ระบบ
เมนูลัด
แสดงกระทู้ที่ยังไม่มีการตอบ
แสดงกระทู้ที่เปิดดูแล้ว
ค้นหา
รายชื่อสมาชิก
ทีมงาน
FAQ
ไอเดียหุ้นเด้ง
โพสต์ยอดนิยม
หุ้นที่ติดตาม
ผู้เขียนที่ติดตาม
pakapong_u
Joined: อาทิตย์ ก.ย. 07, 2008 5:10 pm
47266
โพสต์
|
0
กำลังติดตาม
|
399
ผู้ติดตาม
ส่งข้อความ
ดูประวัติส่วนตัว - pakapong_u
กระทู้ที่ตั้ง
โพสต์ที่ตอบ
โพสต์ที่ตอบ
คอมเมนต์
ไลค์
Re: Z
Z เปิด 4 กลยุทธ์สู่ผู้นำบริการด้านบัญชีเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ 19/09/2022 16:58 “บล.จีเอ็มโอ-แซด คอม (ประเทศไทย)” โชว์ศักยภาพผู้นำให้บริการด้านบัญชีเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ ดอกเบี้ยถูก ค่าคอมมิชชั่นต่ำ ชู 4 กลยุทธ์หลักเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน รุกสร้างความแตกต่างจากธุรกิจหลักทรัพย์อื่น พร้อมเดินหน้ายกระดับการเทรดด้วยเทคโนโลยีและองค์ความรู้จากญี่ปุ่น หนุนขึ้นแท่นเป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจหลักทรัพย์ด้านการให้บริการด้านบัญชีเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ของไทย นายเมกุมุ โมโตฮิสะ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ จีเอ็มโอ-แซด คอม (ประเทศไทย) หรือ Z เปิดเผยว่า ทิศทางการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ปี 2565 ยังคงอยู่ในสภาวะผันผวนจากปัจจัยการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่เกิดขึ้นระลอกใหม่ ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั้งทางตรงและทางอ้อม ทำให้ระดับราคาของสินทรัพย์ทางเลือก เช่น ราคาทองคำ ราคาพลังงานปรับเพิ่มขึ้น เป็นแรงกดดันต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ รวมถึงภาวะเงินเฟ้อที่มีระดับสูงขึ้น อีกทั้งรายได้จากการท่องเที่ยวที่ยังต้องใช้ระยะเวลาในการจะกลับมาสู่ภาวะระดับเดียวกันกับช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดโควิด-19 อย่างไรก็ตาม ปัจจัยความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้น นับเป็นโอกาสของนักลงทุนที่จะเข้ามาลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ตนเองยอมรับได้ หรือเป็นโอกาสของนักลงทุนหน้าใหม่ที่จะเข้ามาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพราะปัจจุบันสามารถเข้าถึงข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตได้อย่างไร้ขีดจำกัด รวมถึงกระบวนการต่างๆ ที่สามารถทำได้โดยไม่ต้องออกจากสถานที่พักอาศัย ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะเป็นตัวส่งเสริมให้ตลาดการลงทุนมีการขยายตัว ทั้งนี้ บริษัทฯ ถือเป็นหนึ่งในผู้ดำเนินธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ออนไลน์ในประเทศไทย โดยได้เข้าเป็นสมาชิกตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยหมายเลข 10 ภายใต้ใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ ซึ่งให้บริการเฉพาะ 2 ประเภทบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ คือ 1) บัญชีเงินฝากล่วงหน้า (Cash Balance Account) และ 2) บัญชีเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (Credit Balance Account) โดยมุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ออนไลน์ในนาม Z เป็นหลัก ด้วยความพร้อมด้านประสบการณ์ และการมีแหล่งเงินทุนที่แข็งแกร่ง จากการที่บริษัทฯ มีผู้ถือหุ้นรายใหญ่คือ GMO Financial Holdings Inc. (GMOFHD) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ GMO Internet โดยทั้ง 2 บริษัทจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น (Tokyo Stock Exchange: TSE) สำหรับ GMOFHD มีการดำเนินธุรกิจในลักษณะ Holding Company โดยเน้นธุรกิจให้บริการทางการเงินได้แก่ การซื้อขายหลักทรัพย์ (Securities Trading) อัตราแลกเปลี่ยนทางการเงิน (Foreign Exchange Trading) และสินทรัพย์ดิจิทัล ครอบคลุมการให้บริการใน 4 ประเทศ ได้แก่ ญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร เขตบริหารพิเศษฮ่องกง และประเทศไทย ซึ่งจากศักยภาพและความเชี่ยวชาญในการดำเนินธุรกิจของผู้ถือหุ้น ส่งผลต่อความเชื่อมั่นแก่ทุกภาคส่วน รวมถึงช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้แก่บริษัทฯ ได้เป็นอย่างดี นายประกฤต ธัญวลัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ จีเอ็มโอ-แซด คอม (ประเทศไทย) กล่าวว่า บริษัทฯ พร้อมมุ่งมั่นให้บริการในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย แม้ปัจจุบันจะมีบริษัทหลักทรัพย์ที่ให้บริการด้านนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์จำนวน 38 บริษัท ซึ่งมีการแข่งขันค่อนข้างสูงและใช้กลยุทธ์การแข่งขันด้านอัตราค่าธรรมเนียม อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ตระหนักดีถึงความเสี่ยงดังกล่าว จึงได้มุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจให้บริการเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์เป็นหลัก ภายใต้แบรนด์ Z.com โดยได้รับการถ่ายทอดองค์ความรู้จาก GMOFHD และนำมาประยุกต์และปรับใช้ให้เหมาะสมกับการดำเนินธุรกิจหลักทรัพย์ในประเทศไทย จนกลายเป็นระบบเทคโนโลยี (Initial Margin Methodology) ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้ลงทุน โดยบริษัทฯ สามารถคำนวณการปรับเกรดหุ้นเพื่อให้สามารถสะท้อนถึงคุณภาพของหลักทรัพย์ตามสถานการณ์ทุกวันได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ และมีจำนวนหลักทรัพย์ที่สามารถซื้อและ/หรือนำมาวางเป็นหลักประกันได้จำนวนมาก ส่งผลให้ในปัจจุบันบริษัทฯ มีรายได้ดอกเบี้ยจากเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์เป็นรายได้หลัก ซึ่งมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จึงมั่นใจว่าบริษัทฯ จะสามารถก้าวขึ้นเป็นผู้นำในธุรกิจการให้กู้ยืมเงินเพื่อซื้อหลักทรัพย์ของไทยได้อย่างแน่นอน “แม้จะเป็นบริษัทหลักทรัพย์ แต่บริษัทฯ มีความแตกต่างที่ไม่เหมือนธุรกิจหลักทรัพย์อื่นๆ ที่เน้นความสำคัญกับค่าคอมมิชชั่นหรือค่านายหน้า โดยบริษัทฯ มุ่งเน้นรายได้จากดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์เป็นหลัก ซึ่งถือเป็นรายได้หลักของเรา เพราะไม่ว่าปริมาณการซื้อขายจะมากหรือน้อย ตลาดหลักทรัพย์หยุดทำการหรือติดวันหยุดยาว ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อบริษัทฯ เนื่องจากดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์สามารถสร้างรายได้ให้แก่บริษัทฯ ได้ทุกวัน” นายประกฤต กล่าว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล. จีเอ็มโอ-แซด คอม (ประเทศไทย) กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทฯ วางเป้าหมายเป็นบริษัทอันดับหนึ่งในธุรกิจการให้กู้ยืมเงินเพื่อซื้อหลักทรัพย์ในประเทศไทย และขึ้นแท่นเป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจหลักทรัพย์ของประเทศไทย โดยใช้กลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ ได้แก่ 1.) กลยุทธ์ด้านความหลากหลายของหลักทรัพย์ที่สามารถซื้อและนำมาวางเป็นหลักประกัน มุ่งเน้นธุรกิจการให้กู้ยืมเงินเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (Credit Balance) เป็นหลัก รวมถึงมีระบบเทคโนโลยีสารสนเทศซึ่งได้รับการถ่ายทอดองค์ความรู้มาจากประเทศญี่ปุ่น สามารถนำมาประยุกต์และปรับใช้กับการดำเนินธุรกิจหลักทรัพย์ในประเทศไทย 2.) กลยุทธ์ด้านอัตราค่าธรรมเนียม เพื่อดึงดูดลูกค้ามาใช้บริการนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ โดยการคิดอัตราค่าธรรมเนียมนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ (Commission Rate) ในอัตราร้อยละ 0.065* ซึ่งอัตราค่าธรรมเนียมดังกล่าว เป็นค่าธรรมเนียมที่ต่ำกว่าคู่แข่งส่วนใหญ่ในตลาด เนื่องจากบริษัทฯ มุ่งเน้นให้ลูกค้าทำรายการด้วยตนเองผ่านระบบอินเตอร์เน็ตเป็นหลัก ส่งผลให้บริษัทฯ มีต้นทุนต่ำกว่าหากเปรียบเทียบกับบริษัทหลักทรัพย์อื่น 3.) กลยุทธ์ด้านช่องทางการตลาด เน้นแผนการตลาดผ่านการโฆษณาทางช่องทางออนไลน์ เพื่อดึงดูดกลุ่มลูกค้าที่มีพฤติกรรมการใช้งานอินเตอร์เน็ตเป็นประจำ นอกจากนี้ ยังมีแผนการตลาดผ่านทางช่องทางออฟไลน์ด้วย อาทิ การออกบูธ การจัดสัมมนาให้ความรู้ และการโฆษณาผ่านช่องทางหนังสือพิมพ์ เป็นต้น และ 4.) กลยุทธ์ด้านกลุ่มลูกค้า โดยกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของบริษัทฯ จะเป็นกลุ่มนักลงทุนมีความรู้เกี่ยวกับระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและความรู้ด้านการลงทุน โดยเป็นกลุ่มลูกค้ารายใหญ่ที่อยู่ในกลุ่ม Generation X (อายุ 41-55 ปี) ซึ่งมีประสบการณ์ในการลงทุนสูง และในปัจจุบัน บริษัทฯ ได้วางแผนขยายกลุ่มลูกค้าไปยังกลุ่ม Generation Y (อายุ 25-40 ปี) ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าที่ใช้งานอินเตอร์เน็ตเป็นประจำ และหาข้อมูลเกี่ยวกับการลงทุนด้วยตนเอง โดยเชื่อว่าจะทำให้บริษัทฯ มีจำนวนลูกค้าเพิ่มขึ้น และจะกลายเป็นกลุ่มลูกค้าหลักต่อไปในอนาคต นางสาวประวีนา ไหมรักษา หัวหน้ากลุ่มงานสนับสนุนงานผู้บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ จีเอ็มโอ-แซด คอม (ประเทศไทย) กล่าวว่า บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจภายใต้วิสัยทัศน์ “การเป็นผู้นำในธุรกิจการให้กู้ยืมเงินเพื่อซื้อหลักทรัพย์ในประเทศไทย ด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่มีความแตกต่างและมีคุณภาพ พร้อมมุ่งมั่นขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน และดูแลผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วนอย่างสมดุล” ด้วยประสบการณ์ความเชี่ยวชาญและฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง สะท้อนจากผลประกอบการในปี 2562 – 2564 บริษัทฯ มีรายได้รวม 251.53 ล้านบาท 398.15 ล้านบาท และ 719.80 ล้านบาท ตามลำดับ สำหรับงวด 6 เดือน ปี 2565 บริษัทฯ มีรายได้รวม 469.69 ล้านบาท หรือเติบโตประมาณ 50.16% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยจากยอดลูกหนี้เงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ซึ่งเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดย ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2565 บริษัทฯ มียอดลูกหนี้เงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์อยู่ที่ 13,769 ล้านบาท หรือเติบโตกว่า 40.76% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ สำหรับพอร์ตรายได้จากดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2562 – 2564 บริษัทฯ มีรายได้จากดอกเบี้ยฯ จำนวน 206.11 ล้านบาท 335.33 ล้านบาท และ 639.63 ล้านบาท ตามลำดับ หรือคิดเป็นสัดส่วน 81.94% 84.22% และ 88.86% ของรายได้รวมตามลำดับ ส่งผลให้ในปี 2564 บริษัทฯ มีรายได้ดอกเบี้ยจากเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์สูงเป็นอันดับ 1 จากบริษัทหลักทรัพย์ที่ให้บริการเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดในประเทศไทย และสำหรับงวด 6 เดือน ปี 2565 บริษัทฯ มีรายได้จากดอกเบี้ยฯ จำนวน 430.38 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 91.64% ของรายได้รวม ขณะที่กำไรสุทธิในปี 2562 – 2564 เท่ากับ 7 ล้านบาท 45 ล้านบาท 261 ล้านบาท ตามลำดับ และสำหรับงวด 6 เดือน ปี 2565 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 182 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้บริษัทฯ มีอัตรากำไรสุทธิ 2.69% ในปี 2562 11.22% ในปี 2563 36.30% ในปี 2564 และ 38.70% สำหรับงวด 6 เดือนปี 2565 ซึ่งบริษัทฯ สามารถทำอัตรากำไรสุทธิได้ในระดับสูง เนื่องจากรายได้ดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น การควบคุมค่าใช้จ่ายและต้นทุนทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ อัตราค่าธรรมเนียมนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ ดังกล่าว ยังไม่รวมค่าธรรมเนียมตลาดฯ, ค่าชำระราคาและส่งมอบหลักทรัพย์, ค่าธรรมเนียมการกำกับดูแล และภาษีมูลค่าเพิ่ม 7%
โดย
pakapong_u
จันทร์ ก.ย. 19, 2022 6:33 pm
0
0
Re: Z
Z.com จ่อขาย IPO ลุยขยายพอร์ตสินเชื่อซื้อหุ้น ชู 4 กลยุทธ์หลักพร้อมเจาะตลาด Gen Y ข่าวหุ้น-การเงิน Monday September 19, 2022 13:14 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) นายเมกุมุ โมโตฮิสะ ประธานกรรมการบริหาร บล.จีเอ็มโอ-แซด คอม (ประเทศไทย) (Z) เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างการเตรียมการเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 120 ล้านหุ้น และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) หลังจากยื่นแบบไฟลิ่งต่อสำนักงานกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) โดยมีบริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด (APM) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน เพื่อนำระดมทุนไปใช้ในการขยายบัญชีเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (Credit Balance Account) ที่เป็นสัดส่วนรายได้หลักถึง 80% ส่วนรายได้ที่เหลืออีก 20% มาจากค่าคอมมิชชั่น ปัจจุบันบริษัทมีการให้บริการ 2 ประเภทบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ 1.บัญชีเงินฝากล่วงหน้า (Cash Balance Account) และ 2.บัญชีเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (Credit Balance Account) โดยมุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ออนไลน์ในนาม Z เป็นหลัก ด้วยความพร้อมด้านประสบการณ์ และการมีแหล่งเงินทุนที่แข็งแกร่ง จากการที่บริษัทมีผู้ถือหุ้นรายใหญ่คือ GMO Financial Holdings Inc. (GMOFHD) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ GMO Internet โดยทั้ง 2 บริษัทจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์โตเกียวประเทศญี่ปุ่น ซึ่งจากศักยภาพและความเชี่ยวชาญในการดำเนินธุรกิจของผู้ถือหุ้น ส่งผลต่อความเชื่อมั่นแก่ทุกภาคส่วน รวมถึงช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้แก่บริษัทได้เป็นอย่างดี กลยุทธ์หลักเน้น 4 ข้อหลักคือ 1.ด้านความหลากหลายของหลักทรัพย์ที่สามารถซื้อและนำมาวางเป็นหลักประกัน มุ่งเน้นธุรกิจการให้กู้ยืมเงินเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (Credit Balance) เป็นหลัก 2.กลยุทธ์ด้านอัตราค่าธรรมเนียม เพื่อดึงดูดลูกค้ามาใช้บริการนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ โดยการคิดอัตราค่าธรรมเนียมนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ที่ 0.065% 3.กลยุทธ์ด้านช่องทางการตลาด เน้นแผนการตลาดผ่านการโฆษณาทางช่องทางออนไลน์การออกบูธ การจัดสัมมนาให้ความรู้ และการโฆษณาผ่านช่องทางหนังสือพิมพ์ เป็นต้น 4.กลยุทธ์ด้านกลุ่มลูกค้าคือกลุ่มนักลงทุนมีความรู้เกี่ยวกับระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและความรู้ด้านการลงทุน โดยเป็นกลุ่มลูกค้ารายใหญ่ที่อยู่ในกลุ่ม Generation X (อายุ 41-55 ปี) ซึ่งมีประสบการณ์ในการลงทุนสูง และใน ปัจจุบัน บริษัทฯ ได้วางแผนขยายกลุ่มลูกค้าไปยังกลุ่ม Generation Y (อายุ 25-40 ปี) ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าที่ใช้งานอินเตอร์เน็ตเป็นประจำ และหาข้อมูลเกี่ยวกับการลงทุนด้วยตนเอง ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีบัญชีลูกค้าอยู่ทั้งหมด 10,000 บัญชี ด้านนายประกฤต ธัญวลัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Z กล่าวว่า บริษัทเน้นการให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์เป็นหลักภายใต้แบรนด์ Z.com โดยนำองค์ความรู้จาก GMOFHD และนำมาประยุกต์และปรับใช้ให้เหมาะสมกับการดำเนินธุรกิจหลักทรัพย์ในประเทศไทย จนกลายเป็นระบบเทคโนโลยี (Initial Margin Methodology) ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้ลงทุน บริษัทสามารถคำนวณการปรับเกรดหุ้นเพื่อให้สามารถสะท้อนถึงคุณภาพของหลักทรัพย์ตามสถานการณ์ทุกวันได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ และมีจำนวนหลักทรัพย์ที่สามารถซื้อและ/หรือนำมาวางเป็นหลักประกันได้สูงกว่า 800 หลักทรัพย์ และ อยู่ในกลุ่มเกรด A มากกว่า 400 หลักทรัพย์ส่งผลให้ในปัจจุบันบริษัทมีรายได้ดอกเบี้ยจากเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์เป็นรายได้หลัก ซึ่งมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จึงมั่นใจว่าบริษัทจะสามารถก้าวขึ้นเป็นผู้นำในธุรกิจการให้กู้ยืมเงินเพื่อซื้อหลักทรัพย์ของไทยได้อย่างแน่นอน "บริษัทมีความแตกต่างที่ไม่เหมือนธุรกิจหลักทรัพย์อื่นๆ ที่เน้นความสำคัญกับค่าคอมมิชชั่นหรือค่านายหน้า โดยบริษัทมุ่งเน้นรายได้จากดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์เป็นหลัก ซึ่งถือเป็นรายได้หลักของเรา เพราะไม่ว่าปริมาณการซื้อขายจะมากหรือน้อย ตลาดหลักทรัพย์หยุดทำการหรือติดวันหยุดยาว ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อบริษัทเนื่องจากดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์สามารถสร้างรายได้ให้แก่บริษัทได้ทุกวัน" นายประกฤต กล่าว นางสาวประวีนา ไหมรักษา หัวหน้ากลุ่มงานสนับสนุนงานผู้บริหาร Z เปิดเผยว่า ผลประกอบการในปี 62- 64 บริษัทมีรายได้รวม 251.53 ล้านบาท 398.15 ล้านบาท และ 719.80 ล้านบาท ตามลำดับ และสำหรับงวด 6 เดือนของปี 65 มีรายได้รวม 469.69 ล้านบาท หรือเติบโตประมาณ 50.16% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยจากยอดลูกหนี้เงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ซึ่งเติบโตอย่างต่อเนื่อง ณ วันที่ 30 มิ.ย. 65 บริษัทมียอดลูกหนี้เงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์อยู่ที่ 13,769 ล้านบาท หรือเติบโตกว่า 40.76% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
โดย
pakapong_u
จันทร์ ก.ย. 19, 2022 1:27 pm
0
1
Re: SAFARI
คุยกับ “กิตติกร คิ้วคชา” ปั้น “คาร์นิวัลเมจิก” ฝัน 20 ปี 3 วิกฤติ กว่าจะเป็นจริง By วิภาภรณ์ สุภาพันธ์17 ก.ย. 2565 เวลา 9:09 น. เปิดใจ “กิตติกร คิ้วคชา” กับแผนปั้น “คาร์นิวัลเมจิก” ต่อยอดจากภูเก็ตแฟนตาซี หวังเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ให้ไข่มุกอันดามัน ทุ่มงบ 6,600 ล้านบาท ตั้งเป้าเปลี่ยนเกมดึงนักท่องเที่ยวฟื้นภูเก็ตภายใน 2 ปี ย้อนหลังไปเมื่อ 20 ปีที่แล้ว จังหวัดภูเก็ตมีสถานที่ท่องเที่ยวอย่าง “ภูเก็ต แฟนตาซี” ที่นำวัฒนธรรมความเป็นไทยมาผสมผสานกับเทคโนโลยี Magic Illusion จนเกิดเป็นโชว์ที่มีเอกลักษณ์ เช่นที่หลายคนคงนึกถึง ก็คือ โชว์ช้างลอยได้ หรือกระทั่งทำให้หายวับไปกับตา! ซึ่งส่งผลให้ภูเก็ตแฟนตาซีถูกบรรจุในลิสต์ห้ามพลาดของเหล่านักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ แต่หลังจากปิดเงียบมานานกว่า 2 ปี จากพิษโควิด มาในวันนี้ ภูเก็ตแฟนตาซีกลับมาอีกครั้ง และไม่ใช่แค่เหมือนเดิม เพราะที่เพิ่มเติมเข้ามา คือ สวนสนุกแห่งใหม่ “คาร์นิวัลเมจิก” บนพื้นที่ 100 ไร่ ตั้งใกล้กับภูเก็ตแฟนตาซีที่มาพร้อม 9 รางวัลการันตี “ที่สุดของโลก” จากกินเนสส์เวิลด์เรคคอร์ด (Guinness World Records) -รถพาเหรดที่ยาวที่สุดในโลก -การแสดงแสงสีเสียงที่ใช้ไฟ LED มากที่สุดในโลก -รูปปั้นไฟ LED ที่ใหญ่ที่สุดในโลก -โครงสร้างไฟ LED ใหญ่ที่สุดในโลก -ตู้ป๊อปคอร์น (Popcorn machine) ใหญ่ที่สุดในโลก -โคมระย้า (Chandelier) ใหญ่ที่สุดในโลก -รูปปั้นเปเปอร์มาเช่ (Paper-mache) ใหญ่ที่สุดในโลก -กรอบเวที (Proscenium) สูงที่สุดในโลก -รถตู้ที่ติดไฟLEDมากที่สุดในโลก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ ชวนไปพูดคุยกับ “กิตติกร คิ้วคชา” กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ภูเก็ตแฟนตาซี จำกัด (มหาชน) และบริษัท คาร์นิวัลเมจิก จำกัด และในฐานะ ครีเอเตอร์ ผู้สร้างสรรค์คาร์นิวัลเมจิก ที่ได้แรงบันดาลใจจากงานฟันแฟร์ งานรื่นเริง หรืองานวัดของไทย มาสร้างเป็นอาณาจักรเมืองไฟด้วยเทคโนโลยีทันสมัย บนพื้นที่ 100 ไร่ ด้วยงบลงทุน 6,600 ล้านบาท กับเป้าหมายของการเป็นดาวเด่นแหล่งท่องเที่ยวของเอเชีย 3 วิกฤติใหญ่ บนเส้นทาง 19 ปีกว่าจะมาเป็นคาร์นิวัลเมจิก กิตติกร เล่าย้อนไปถึงจุดเริ่มต้นแนวคิดที่จะสร้างคาร์นิวัล ว่า เดิมทีมีแนวจะเปิดตั้งแต่ปี 2002 หรือเมื่อ 20 ปีที่แล้ว แต่ด้วยเจอวิกฤติถึง 3 ครั้ง ทำให้โครงการดังกล่าว ไม่สำเร็จ “ครั้งแรกคือ เจอสึนามิตอนปี 2004 ครั้งที่สองก็จะมีเหตุการณ์ของเศรษฐกิจโลกทำให้เราสร้างต่อไม่ได้ และครั้งที่สาม คือ โควิด-19 ก็ไม่คิดว่าโควิดจะเกิด เพราะเรากำลังจะเปิดแล้ว (วางแผนจะเปิดช่วงต้นปี 2020) การ์ดเชิญจะแจกตอนเดือนมีนาคมแต่โควิดมาเดือนกุมภาพันธ์ วิกฤติ 3 ครั้งที่ทำให้เราหยุด และรอกว่า 19 ปีจนจะมาถึงวันนี้ได้” เนื่องจากใช้ระยะเวลานาน และยังต้องมาเจอวิกฤติซ้ำซ้อนทำให้งบประมาณครั้งล่าสุดพุ่งไปถึง 6,600 ล้านบาท จากเดิมทีตั้งเป้างบดำเนินการไว้ที่ 1,500 ล้านบาทเมื่อปี 2002 ต่อมาในปี 2020 ก็แถลงเพิ่มงบประมาณมาเป็น 5,500 ล้านบาท กิตติกรเล่าว่า ในตอนแรกตั้งใจว่าจะให้คาร์นิวัลเป็นส่วนหนึ่งของภูเก็ตแฟนตาซี ที่สามารถซื้อบัตรแล้วเข้าชมได้เลย อยู่ในพื้นที่ 50 ไร่ แต่ต่อมามีความตั้งใจว่าเมื่อสร้างแล้วก็ควรทำให้ยิ่งใหญ่ จึงมีส่วนของค่าปรับปรุงซ่อมแซม รวมถึงดอกเบี้ยจึงทำให้งบเพิ่มขึ้นมา "ลงทุน 6,600 ล้าน บางทีก็ดูเหมือนเยอะ แต่ในการท่องเที่ยวคือ ลงทุนได้เยอะ โปรดักต์ของมันก็จะดี โปรดักต์ที่เหนือใคร นั่นคือโปรดักต์ที่กลายเป็นเบอร์หนึ่ง เวลาคนเที่ยวจะไม่เคยบอกว่าเขาไปเที่ยวเบอร์สองก่อน จะต้องไปตัวที่ท็อปก่อน คาร์นิวัลเป็นโปรดักต์ที่ว่า ถ้าเกิดผมได้ที่หนึ่ง ท็อปหนึ่ง มันจะเป็นจุดเป้าหมายของทุกคนที่เดินทาง เพราะฉะนั้นการที่เราลงทุนเยอะ มันไม่ใช่ไม่ใช่ปัญหาบางทีมันเป็นข้อดีข้อหนึ่งที่ทำให้เราอยู่ในระดับที่เรียกว่ากลายเป็นจุดมุ่งหมายของนักท่องเที่ยว ซึ่งเราเชื่อว่า คาร์นิวัลเมจิก จะเป็นจุดมุ่งหมายของนักท่องเที่ยว ต้องการมาเที่ยวที่นี่แล้วก็เดินทางมาภูเก็ต" พฤติกรรมนักท่องเที่ยวเปลี่ยนไป ธุรกิจต้องปรับตัวให้เร็ว ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาโควิดมาพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวก็เปลี่ยนไป จึงทำให้สถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งมีความกังวลว่าอาจจะไม่ได้รับกระแสตอบรับที่ดีเท่าที่ควร แต่ผู้บริหารภูเก็ตแฟนตาซีมองว่า แม้โควิดจะทำให้พฤติกรรมของนักท่องเที่ยวเปลี่ยนไปจริง แต่สิ่งที่ทำได้คือ การปรับตัวเข้าหาสถานการณ์ให้เร็วที่สุด “การเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้น ไม่ใช่สิ่งใหม่ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทุกปีทุกช่วงอยู่แล้วของการท่องเที่ยวเพราะว่าไม่เคยหยุดนิ่งในการเปลี่ยนแปลง เรื่องหนึ่งที่สำคัญคือว่า คนเราต้องหาความสุขเข้าหาตัวเอง การท่องเที่ยวจึงเกิด ไม่ว่าจะเป็นเทรนด์ยังไงก็แต่สุดท้ายก็ยังมีการท่องเที่ยว พฤติกรรมเปลี่ยนไปยังไงต้องมาเที่ยว” กิตติกรกล่าว โควิดวิกฤติสุด คาดการณ์ 1-2 ปี นักท่องเที่ยวฟื้นตัว กิตติกรยอมรับว่า สถานการณ์โควิดนับเป็นช่วงเวลาหนักหนาที่สุดครั้งหนึ่งของผู้ประกอบธุรกิจท่องเที่ยว เพราะได้รับผลกระทบโดยตรง สิ่งที่ทำได้คือไม่ยอมแพ้ เขาเชื่อว่าการท่องเที่ยวของภูเก็ตจะกลับมา 1-2 ปี การเรียกความเชื่อมั่นกับภูเก็ตไม่ยากเท่าเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ที่สร้างนักท่องเที่ยวจาก 2 ล้านคน ขึ้นมาถึง 15 ล้านคน “สิ่งหนึ่งที่โควิดสอน ก็คือว่าไม่มีความแน่นอน ตอนนี้คนที่ผ่านไปได้ก็คือ การปรับตัวต้องเร็วมากๆ สถานการณ์มาเป็นยังไงต้องรีบปรับให้ได้ หลายๆ อย่างที่เคยยึดติดที่เคยคิดว่าต้องถูกต้อง ต้องเปลี่ยนทันที อันนี้คือสิ่งที่เป็นบทเรียนอย่างแรง แล้วก็ตอนนี้ไม่ว่าผมจะวางแผนอะไรก็แล้วแต่ ผมรู้เลยว่าสุดท้ายมันจะไม่ตรงตามแผนที่เราวาง เราจะเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา รู้จักเลี้ยวกลับ รู้จักวน เพราะถนนไม่มีตรง” ทั้งนี้ ปัจจุบันสถานการณ์การท่องเที่ยวของจังหวัดภูเก็ตมีแนวโน้มฟื้นตัวและเติบโตมากยิ่งขึ้น จากนักท่องเที่ยวต่างประเทศ ซึ่งข้อมูลของการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดภูเก็ต (ทกจ.ภก.) เผยว่าหลังจากภาครัฐได้ผ่อนคลายมาตรการเดินทางเข้าราชอาณาจักร ยกเลิกระบบ Test & Go ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม ที่ผ่านมาคาดการณ์ว่าตลอดปี 2565 จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้า จ.ภูเก็ต ประมาณ 5 ล้านคน คิดเป็นการฟื้นตัว 50% เมื่อเทียบกับปีปกติก่อนโควิด-19 ระบาด ในด้านของนักท่องเที่ยวชาวไทยก็ยังคงปักหมุดให้ภูเก็ตเป็นเมืองท่องเที่ยวยอดนิยม โดยเฉพาะเมื่อยิ่งเข้าใกล้ ช่วงไฮซีซั่นของการท่องเที่ยวปลายปี จังหวัดภูเก็ตก็ยิ่งคึกคักไปด้วยนักท่องเที่ยว จึงคาดหวังว่า การเปิดตัวของคาร์นิวัลเมจิก อย่างยิ่งใหญ่นี้ จะช่วยดึงดูดเม็ดเงินจากต่างประเทศ เพิ่มการจ้างงานคนในพื้นที่ กระตุ้นเศรษฐกิจหมุนเวียนในประเทศ ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวของจังหวัดภูเก็ตและประเทศไทยให้กลับมาเติบโตอย่างสดใสได้อีกครั้ง “คาร์นิวัลเมจิก ถือเป็นหนึ่งในโครงการท่องเที่ยวที่ลงทุนเยอะที่สุดในเมืองไทย แล้วก็ในแถบเอเชียตอนนี้ยังไม่มีโปรดักต์ใหม่ เพราะฉะนั้นยังไงเราจะเป็นดาวเด่นแน่นอน เชื่อว่าได้โอกาสดึงท่องเที่ยวกลับมาได้เร็วมาก คือเดิมอาจจะกลับมาภายในสองปี ตอนนี้ก็มีโอกาสดึงได้เร็วกว่านี้อีก แล้วก็จำนวนมากขึ้น คนที่ไม่เคยเที่ยวตอนนี้ก็กลับมาหันมาสนใจว่ามีที่เที่ยวใหม่ คนอินเดีย คนจีนที่ไม่เคยเที่ยวภูเก็ต พอเห็นที่เที่ยวใหม่ ก็อาจจะกลับมามากขึ้น เพราะฉะนั้นตลาดใหม่ก็ได้ ตลาดเก่าก็กลับมาสนใจ” 3 จุดแข็ง สู่เป้าหมาย “ดาวเด่นแห่งเอเชีย” กิตติกรมองว่า 3 จุดแข็งที่จะทำให้คาร์นิวัลเมจิกเป็นดาวเด่นของเอเชียได้ คือ ความเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร คุณภาพของการให้บริการ และความคิดสร้างสรรค์ “สามประเด็นที่สำคัญที่สุดที่เรายึดถือ หนึ่งคือ ความยูนีค (unique) ความไม่เหมือนใคร ซึ่งก็คือความเป็นไทยของเรา จุดแข็งที่คนไทยเรามี ผมเอาส่งเสริมแล้วก็ทำให้มันเด่นขึ้น ทำให้มันยิ่งใหญ่ขึ้น นี่เป็นจุดแข็งที่อื่นแย่งเราไม่ได้เลย สองก็คือ คุณภาพ ทั้งหมดที่อยู่ในโครงการ ทุกด้านจะเน้นคุณภาพ เพราะฉะนั้นก็คือพยายามผลักดันทุกอย่างให้ขึ้นถึงมาตรฐานโลก และสามก็คือเรื่อง จินตนาการ (imagination) ความคิดสร้างสรรค์เป็นสิ่งที่คนชอบมองข้าม แต่จริงๆ อันนี้สำคัญมากๆ คือทุกอย่างเริ่มต้นที่ไอเดีย ไอเดียต้องต้องไปถึง แล้วหลังจากนั้นเราจะพยายามสร้างให้ได้ ไอเดียต้องได้ เพราะฉะนั้นตรงนี้เราเอา imagination ความสร้างสรรค์ตรงนี้เป็นหนึ่งในนโยบายของบริษัทหรือว่าต้องพยายามกระตุ้นตรงนี้ให้ได้ มันถึงมีไอเดียหลุดโลก เมื่อมีไอเดียดีๆ แล้วมันจะไปชนะกับโลกได้ ก็เป็นสิ่งที่ไม่เหมือนใคร อันนี้มีค่ามาก” กิตติกร กล่าว สถานที่ท่องเที่ยวที่ซัพพอร์ตทุกความต้องการของทุกวัย แม้จินตนาการจะสำคัญ แต่การจะทำให้ “ถูกใจ” นักท่องเที่ยวได้ “ความเข้าใจ” ในพฤติกรรมและความต้องการก็สำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน โดยกิตติกรเล่าว่า ก่อนที่จะเปิดตัวคาร์นิวัลเมจิก ได้ทำการสำรวจความสนใจ รวมถึงความต้องการของนักท่องเที่ยวทุกชนชาติที่เดินทางมาเที่ยวทุกวัน ว่าช่วงวัยใดชอบอะไร รวมถึงการรับเอาข้อบกพร่องจากภูเก็ตแฟนตาซีมาปรับปรุงให้คาร์นิวัลเมจิกตอบโจทย์นักท่องเที่ยวทุกเพศทุกวัยให้ได้มากที่สุด “เรามีการเซอร์เวย์ทุกชนชาติที่มาเที่ยวที่แฟนตาซีก่อน เพราะมีฐานลูกค้าแบบนี้จากการที่เขาเข้ามาเที่ยวทุกวัน ผมก็จำได้แม่นๆ เช่น วัยรุ่นถ่ายรูปภาพ แล้วก็ถ้าเป็นเด็กก็คือ สิ่งที่สนุกสนานต่างๆ เครื่องเล่นเราก็มีให้ รุ่นอัพขึ้นหน่อยก็ช้อปปิ้ง เรามีเพราะนี่คือการที่ตอบสนองความต้องการลูกค้า ลูกค้าที่มาเที่ยวภูเก็ตหนึ่งในนั้นคือเขาต้องการซื้อจิวเวลรี ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่แปลกใหม่ รุ่นอาวุโสเราก็เทคแคร์ เราก็รู้ว่าเขาจะชอบในการเดินเที่ยวหรือว่านั่งรถเที่ยวชม เรามีรถรถกอล์ฟให้เช่า สุดท้ายยังเทคแคร์ผู้ที่มีความต้องการพิเศษก็คือ เช่น เราจะมีซับไตเติ้ลให้ อันนี้เราจะเทคแคร์เกือบทุกด้านเลย มีลิฟท์ให้คนพิการมีห้องน้ำครบถ้วน คือเราได้ประสบการณ์จากแฟนตาซีมาเลยตอนนี้แก้ให้หมดให้คนที่มีความต้องการพิเศษเที่ยวได้ด้วย” ตื่นตาไปกับ 4 โซนภายใน “คาร์นิวัลเมจิก” คาร์นิวัลเมจิก มีกำหนดการเปิดให้บริการในวันที่ 20 กันยายนนี้ โดยภายในพื้นที่ 100 ไร่ถูกประดับไปด้วยไฟ LED กว่า 40 ล้านดวง ตระการตา สำหรับไฮไลต์ของ “คาร์นิวัล เมจิก” ประกอบไปด้วย โซนที่ 1 คือ ถนนช้อปปิ้ง คาร์นิวัลฟันแฟร์ (Carnival Fun Fair) ช้อปปิ้งสินค้าต่าง ๆ ในร้านค้าที่ถูกออกแบบและตกแต่งอย่างงดงามน่าสนใจด้วยสีสันสดใสสไตล์คาร์นิวัลไม่เหมือนใคร นักท่องเที่ยวยังสามารถสนุกสนานกับกิจกรรมและการแสดงตลอดทั้งคืน อาทิ การแสดงขบวนคาร์นิวัล ศูนย์เครื่องเล่น VR ลิ้มรสอาหารทานเล่นและของหวานอย่างจุใจ ถ่ายภาพกับมาสค็อต เกมการละเล่น และเครื่องเล่นแสนสนุกอีกมากมาย เช่น ชิงช้าสวรรค์ ม้าหมุน หรือ การขับรถแข่ง เป็นต้น โซนที่ 2 ภัตตาคารบุฟเฟต์ เบิร์ดออฟพาราไดซ์ (Bird of Paradise) ภัตตาคารบุฟเฟต์ที่สามารถรองรับลูกค้าได้มากกว่า 3,000 ที่นั่ง มีบรรยากาศในการรับประทานอาหารเสมือนอยู่ในสวนแห่งสวรรค์ รายล้อมไปด้วยรูปปั้นนกยูงยักษ์ มีห้องโถงรับประทานอาหารสวยงามโอ่อ่า เสิร์ฟอาหารทั้งเมนูตะวันตกและตะวันออก อาหารอินเดีย อาหารมังสวิรัติ และอาหารฮาลาล พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก นอกจากนี้ ในอนาคตคาร์นิวัลเมจิก ยังมีภัตตาคารหรูอีกแห่งที่ มีชื่อว่า ริเวอร์ออฟบลิส (River of Bliss Luxury Restaurant) เป็นภัตตาคารหรู ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเทศกาลงานลอยกระทง ภายในให้บริการอาหารแบบเซตเมนูที่ลูกค้าเลือกเองได้ ในบรรยากาศที่ตกแต่งด้วยกระทงที่สวยงาม โดยไฮไลต์ของภัตตาคารแห่งนี้ คือ ลูกค้าจะต้องเดินมาตรงกลางของ “น้ำตกแห่งความสุข” (Happiness Falls) เพื่อขึ้น “เรือแห่งความสุขสำราญ” (Barge of Happiness) ซึ่งเรือจะลอยขึ้นเหนือจากพื้นประมาณ 7 เมตร เพื่อเข้าสู่บริเวณภายในภัตตาคาร โซนที่ 3 คือ โรงละครริเวอร์พาเลส (River Palace) เป็นโรงละครขนาดใหญ่ มีพื้นที่กว่า 16,000 ตารางเมตร หรือประมาณ 10 ไร่ เป็นหนึ่งในโรงละครที่มีพื้นที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และเป็นหนึ่งในโรงละครที่ใหญ่ที่สุดในโลก รองรับผู้ชมได้มากกว่า 2,200 ที่นั่ง และภายในมีเวทีการแสดงกว้าง 22 เมตร และยาว 70 เมตร พร้อมการแสดงในรูปแบบขบวนพาเหรดอินดอร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ในชื่อ ริเวอร์คาร์นิวัล (River Carnival) ริเวอร์คาร์นิวัล (River Carnival) เป็นการแสดงพาเหรดที่ผสมผสานศิลปะไทยและเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้าด้วยกัน มีความยาวประมาณ 50 นาที ในการแสดงจะมีรถขบวนแห่พาเหรดขนาดใหญ่มากกว่า 88 ลำ ประดับประดาไปด้วยแสงไฟหลายล้านดวงที่สวยงามตระการตา และมีเทคโนโลยีเอฟเฟกต์ต่าง ๆ ที่ทันสมัยตื่นตาตื่นใจ และไฮไลต์ของการแสดง ริเวอร์คาร์นิวัล (River Carnival) คือ มีรถพาเหรดที่ยาวที่สุดในโลก มีความยาวถึง 70 เมตร หรือยาวเกือบเท่ากับเครื่องบินจัมโบ้ A380 โซนที่ 4 คือ เมืองไฟ คิงดอมออฟไลต์ส (Kingdom of Lights) เป็นเมืองที่มีไฟประดับประดาสวยงามมากกว่า 40 ล้านดวง ซึ่งในพื้นที่กว่า 9 โซน ทุกท่านจะได้เดินเที่ยวชมและสัมผัสกับแสงไฟ ที่สวยงามเหนือจินตนาการ สนุกสนาน ตื่นตาตื่นใจตลอดเวลา ไฮไลต์ของเมืองไฟคือโซนริเวอร์ออฟไลต์ส (River of Lights) ที่มีการนำดวงไฟหลายล้านดวงมาประดับบนโครงเหล็กดัดลวดลายสวยงาม (Luminaries) ที่มีความยาวรวมถึง 50 กิโลเมตร เป็นรูปทรงที่เป็นเอกลักษณ์ของไทยล้อมรอบทะเลสาบ โดยลูกค้าสามารถเดินผ่านสะพานเข้ามา ในโซนนี้เพื่อชมความอลังการของดวงไฟหลายสิบล้านดวงแบบพาโนรามารอบทิศทาง แนวโน้มการท่องเที่ยวของภูเก็ต เกี่ยวกับความคาดหวังต่อการฟื้นตัวและก้าวต่อไปของการท่องเที่ยวภูเก็ตนั้น ในฐานะผู้ประกอบการ กิตติกรมองว่า สิ่งต้องให้ความสำคัญมากขึ้น คือ เรื่องความปลอดภัยซึ่งหากแก้ปัญหาตรงนี้ไม่ได้ อาจมีปัญหาอีกครั้ง “ภูเก็ตมีข้อดีต่างๆ ให้คนมาเรียกว่าหลงใหลมาเที่ยวเยอะมาก แต่ว่ามันก็มีสิ่งที่ทำให้บางทีเขาก็ไม่พอใจหรือไม่ประทับใจ เช่น เรื่องความปลอดภัยก็เป็นบทเรียนของภูเก็ตหลายรอบ เพราะว่าเป็นเรื่องเดียวเลยที่ทำลายเราได้ ต้องฝากทั้งทางผู้ประกอบการกับทางภาครัฐ ส่วนเราจะควบคุมและช่วยเหลือในส่วนที่เราทำได้” เขากล่าวทิ้งท้าย
โดย
pakapong_u
อาทิตย์ ก.ย. 18, 2022 1:19 pm
0
0
Re: SUNTEC
SUNTEC ยื่นไฟลิ่งขาย IPO 170 ล้านหุ้น เตรียมเข้า SET 16/09/2022 11:50 “ซันเทคสตีลเวิคส์” ธุรกิจแปรรูป จำหน่าย ออกแบบผลิตภัณฑ์หลังคาและผนังเมทัลชีท ภายใต้แบรนด์ “SUNTECH” บริษัทย่อยกลุ่ม “เพิ่มสินสตีลเวิคส์” (PERM) ยื่นไฟลิ่งขายไอพีโอ 170 ล้านหุ้น ระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET) นำเงินชำระคืนเงินกู้และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน พร้อมตั้ง บล.เคจีไอ เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน นายสิงหนาท บัตรสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซันเทคสตีลเวิคส์ (SUNTEC) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ดำเนินการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวน (Filing) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนเป็นครั้งแรก โดยมีจำนวนหุ้น IPO ทั้งหมดที่เสนอขายให้นักลงทุนครั้งนี้ จำนวน 170 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 29.82% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด โดยคาดว่าจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน การระดมทุนดังกล่าวจะนำไปใช้รองรับการเติบโตของ SUNTEC เพิ่มความน่าเชื่อถือ รวมถึงเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน ทั้งนี้ บริษัทฯ มีวัตถุประสงค์ในการใช้เงินที่ได้จากการระดมทุนเพื่อชำระคืนเงินกู้ยืมสถาบันการเงินเพื่อลงทุนในโครงการ EMPOWER และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจของ SUNTEC และ EMPOWER ทั้งนี้ SUNTEC เป็นบริษัทย่อยของ บริษัท เพิ่มสินสตีลเวิคส์ (PERM) ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดย SUNTEC ดำเนินธุรกิจแปรรูป จำหน่าย ออกแบบผลิตภัณฑ์หลังคาและผนังเมทัลชีท ภายใต้แบรนด์ “SUNTECH” รวมถึงการจำหน่ายอุปกรณ์ที่เกี่ยวเนื่องกับงานก่อสร้างหลังคา (ธุรกิจผลิตหลังคาเมทัลชีท) ธุรกิจจัดหาและจำหน่ายเหล็กม้วนอลูซิงค์ (Galvalume หรือ GL) และเหล็กม้วนเคลือบสี (Pre-painted Steel) ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตหลังคาและผนังเมทัลชีท (ธุรกิจจัดหาและจำหน่ายเหล็กม้วน) นอกจากนี้ บริษัทยังขยายธุรกิจไปสู่ธุรกิจต้นน้ำ โดยลงทุนก่อสร้างโรงงานผลิตเหล็กม้วนเคลือบสี (ธุรกิจผลิตเหล็กม้วนเคลือบสี) ภายใต้บริษัท เอ็มพาวเวอร์สตีล จำกัด (บริษัทย่อยหรือ EMPOWER) โดย SUNTEC ถือหุ้น 90.25% การประกอบธุรกิจของ SUNTEC สามารถแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ 1. ธุรกิจผลิตหลังคาเมทัลชีท การแปรรูปแผ่นเหล็กอลูซิงค์และแผ่นเหล็กเคลือบสี โดยการขึ้นรูปเป็นแผ่นหลังคาและผนังเมทัลชีท ตามแบบและความต้องการของลูกค้า รวมถึงการจำหน่ายอุปกรณ์ที่เกี่ยวเนื่องกับการก่อสร้างหลังคา เช่น เหล็กแปตัว C และเหล็กแปตัว Z แผ่นบานเกล็ด แผ่นปิดครอบมุม ซึ่งมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายหลัก ได้แก่ กลุ่มตัวแทนจำหน่าย ที่ซื้อสินค้าของบริษัทไปเพื่อจำหน่าย รวมถึงกลุ่มผู้รับเหมางานก่อสร้างในโครงการต่างๆ มีกำลังการผลิตแผ่นหลังคาและผนังเมทัลชีท 3,600,000 ตารางเมตรต่อปี 2. ธุรกิจจัดหาและจำหน่ายเหล็กม้วน บริษัทจำหน่ายเหล็กม้วนอลูซิงค์และเหล็กม้วนเคลือบสี โดยการจัดหาเหล็กม้วนทั้งจากผู้ผลิตในประเทศหรือนำเข้าจากต่างประเทศ เพื่อจำหน่ายให้แก่ผู้ผลิตแผ่นหลังคาทั้งรายใหญ่และรายย่อย ซึ่งจะนำเหล็กม้วนไปแปรรูปเป็นหลังคาเพื่อจำหน่ายต่อไป โดยมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายหลัก ได้แก่ โรงรีดหลังคาเมทัลชีททั่วประเทศที่มีอุปกรณ์ในการรีด ตัด และพับเหล็ก 3. ธุรกิจผลิตเหล็กม้วนเคลือบสี ดำเนินการภายใต้ EMPOWER โดยการจัดซื้อและนำเข้าเหล็กม้วน เข้าสู่กระบวนการเคลือบสีด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงอันทันสมัยในโรงงานผลิตเหล็กม้วนเคลือบสีของ EMPOWER ทั้งแบบสีพื้น และสี Pattern เช่น ลายไม้ ลายหิน ลายอิฐ เป็นต้น ที่มีคุณภาพสีและพื้นสัมผัสระดับต่างๆ โดย ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2565 การก่อสร้างโรงงานแล้วเสร็จประมาณร้อยละ 95 และอยู่ระหว่างทดสอบสายการผลิต ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ภายในไตรมาส 4 ของปี 2565 ด้วยกำลังการผลิตเหล็กม้วนเคลือบสีที่ 100,000 ตันต่อปี SUNTEC มีเป้าหมายในการเป็นผู้นำในวงการแผ่นหลังคาและผนังเมทัลชีท ด้วยการมุ่งเน้นเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดในทุกกลุ่มลูกค้า โดยมีนโยบายในการพัฒนาองค์กรในทุกมิติอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นผู้ให้บริการที่มีสินค้าและบริการครบวงจรครอบคลุมตั้งแต่การออกแบบ การผลิต การจำหน่ายสินค้า รวมถึงการให้บริการรับจ้างผลิตสินค้าตามความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย พร้อมทั้งเป็นผู้นำในการสรรหาเหล็กม้วนที่มีคุณภาพ ได้รับมาตรฐานสากล ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตหลังคาเหล็ก ด้วยการปรับปรุงผลิตภัณฑ์ให้มีความหลากหลายและพัฒนาคุณภาพสินค้าให้ดียิ่งขึ้น ในราคาที่เหมาะสม และเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้าให้ครอบคลุมทุกกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย เพื่อสร้างความได้เปรียบในเชิงการแข่งขัน รวมถึงการให้ความสำคัญกับการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า (CRM) ด้วยการสร้างผลิตภัณฑ์ที่แตกต่างให้สนองความต้องการเฉพาะของลูกค้า สำหรับภาพรวมผลการดำเนินงานในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (ปี 2562 – 2564) กลุ่มบริษัทมีรายได้จากการขายรวม 2,510.74 ล้านบาท 2,470.86 ล้านบาท และ 3,688.54 ล้านบาท ตามลำดับ และสำหรับงวด 6 เดือนแรกปี 2564 และปี 2565 เท่ากับ 1,796.14 ล้านบาท และ 1,851.45 ล้านบาท ตามลำดับ ซึ่งรายได้ส่วนใหญ่มาจากการขายเหล็กม้วน และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 66.12 ล้านบาท 60.50 ล้านบาท 268.83 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิร้อยละ 2.63 ร้อยละ 2.45 ร้อยละ 7.29 ตามลำดับ และงวด 6 เดือนแรกของปี 2564 และปี 2565 มีกำไรสุทธิ 196.38 ล้านบาท และ 20.08 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิร้อยละ 10.93 และร้อยละ 1.08 ตามลำดับ โดยกำไรสุทธิของกลุ่มบริษัทที่เติบโตขึ้นในปี 2564 สาเหตุมาจากราคาเหล็กโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในการขายและจัดจำหน่ายอยู่ในระดับใกล้เคียงเดิม หรือไม่ผันแปรตามยอดขาย ในงวด 6 เดือนแรกของปี 2565 กลุ่มบริษัทมีกำไรสุทธิลดลง เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2564 เป็นผลมาจากต้นทุนในการนำเข้าสินค้าเหล็กจากต่างประเทศเพิ่มสูงขึ้นจากค่าเงินบาทที่เริ่มอ่อนค่าลงจากวิกฤติเศรษฐกิจโลก ทำให้กลุ่มบริษัทมีกำไรลดลง ประกอบกับ EMPOWER จะเปิดดำเนินการผลิตและจำหน่ายในช่วงปลายปี 2565 ทำให้มีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงานเพิ่มขึ้นจากการจ้างงานใหม่หลายอัตรา นอกจากนี้ บริษัทมีค่าใช้จ่ายในการเตรียมตัวเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพิ่มขึ้น ส่งผลให้มีกำไรสุทธิลดลง อย่างไรก็ดี การระดมทุนครั้งนี้ เพื่อขยายโอกาสทางธุรกิจให้เป็นไปตามเป้าหมาย และวิสัยทัศน์ ก้าวสู่ผู้นำด้านเมทัลชีท (Metal Sheet) และเหล็กม้วนเคลือบสี ที่มีนวัตกรรมทันสมัยที่สุดในภูมิภาคอาเซียน พร้อมยกระดับอุตสาหกรรมเหล็กของประเทศไทยให้มีคุณภาพและประสิทธิภาพ
โดย
pakapong_u
ศุกร์ ก.ย. 16, 2022 1:13 pm
0
1
Re: SUNTEC
SUNTEC : บริษัท ซันเทคสตีลเวิคส์ จำกัด (มหาชน) ประเภทธุรกิจ ธุรกิจผลิตและจำหน่ายหลังคาและผนังเหล็กเมทัลชีท ธุรกิจจัดจำหน่ายเหล็กม้วนอลูซิงค์ (Galvalume) และเหล็กม้วนเคลือบสี (Pre-painted Steel) ตลาดรอง ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) กลุ่มอุตสาหกรรม / หมวดธุรกิจ สินค้าอุตสาหกรรม / เหล็กและผลิตภัณฑ์โลหะ สถานะ Filing จำนวนหุ้นที่ IPO จำนวนไม่เกิน 170,000,000 หุ้น คิดเป็นไม่เกิน 29.82 % ของจำนวนหุ้นทั้งหมดหลัง IPO ระยะเวลาเสนอขายหุ้น n/a ราคา IPO n/a ราคา PAR 1.00 บาท วันที่เริ่มซื้อขาย n/a ที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ข้อมูล Filing www.suntechsteel.com
โดย
pakapong_u
พุธ ก.ย. 14, 2022 10:37 pm
0
1
Re: SUNTEC
https://market.sec.or.th/public/ipos/IPOSEQ01.aspx?TransID=463448&lang=th หนังสือชี้ชวนตราสารทุน รายละเอียดตราสาร ผู้ออกหลักทรัพย์ : บริษัท ซันเทคสตีลเวิคส์ จำกัด (มหาชน) ผู้เสนอขายหลักทรัพย์ : บริษัท ซันเทคสตีลเวิคส์ จำกัด (มหาชน) วันที่ยื่น Filing version แรก : - วันที่แก้ไข Filing ครั้งล่าสุด (วันที่นับ 1 Filing) : - วันที่ Filing มีผลบังคับใช้ : - วันที่เริ่มต้นการเสนอขาย : - วันที่สิ้นสุดการเสนอขาย : - ประเภทหลักทรัพย์ : หุ้นสามัญ ประเภทการเสนอขาย : การเสนอขายหลักทรัพย์ครั้งแรกต่อประชาชน ที่ปรึกษาทางการเงิน/ผู้ควบคุม : บริษัท หลักทรัพย์เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) / N.A.
โดย
pakapong_u
พุธ ก.ย. 14, 2022 12:21 am
0
1
Re: SUNTEC
PERM ดัน "ซันเทคสตีลเวิคส์" เข้า SET ขาย IPO 170 ล้านหุ้น บริษัท เพิ่มสินสตีลเวิคส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PERM ดันบริษัทย่อย บริษัท ซันเทคสตีลเวิคส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SUNTEC เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ SET โดยจะเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 170 ล้านหุ้น หรือ 29.82% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัท ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญในครั้งนี้ โดยมีบล.เคจีไอ(ประเทศไทย) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท ซันเทคสตีลเวิคส์ ซึ่งประกอบธุรกิจแปรรูปเหล็กอลูซิงค์ และเหล็กเคลือบสี เพื่อทำหลังคาและผนังเมทัลชีท รวมถึงจัดหาและจำหน่ายเหล็กอลูซิงค์และเหล็กเคลือบสีในลักษณะเหล็กม้วน ได้ยื่นแบบไฟลิ่งต่อสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อขออนุญาตเสนอขายหุ้น IPO ดังกล่าว ซึ่งเงินที่ได้จากการระดมทุนบริษัทมีแผนจะนำไปชำระคืนเงินกู้ยืมสถาบันการเงิน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานของบริษัท และบริษัทย่อย ได้แก่บริษัท เอ็มพาวเวอร์สตีล จำกัด ปัจจุบันบริษัทดำเนินธุรกิจหลัก 3 ด้านคือ 1.ธุรกิจผลิตหลังคาเมทัลชีท 2. ธุรกิจจัดหาและจำหน่ายเหล็กม้วน และ 3 ธุรกิจผลิตเหล็กม้วนเคลือบสีแผ่นเหล็กอลูซิงค์ บริษัทมีเป้าหมายในการเป็นผู้นำในวงการแผ่นหลังคาและผนังเมทัลชีท ด้วยการมุ่งเน้นเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดในทุกกลุ่มลูกค้า โดยบริษัทมีนโยบายในการพัฒนาองค์กรในทุกมิติอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นผู้ให้บริการที่มีสินค้าและบริการครบวงจรครอบคลุมตั้งแต่การออกแบบ การผลิต การจำหน่ายสินค้า รวมถึงการให้บริการรับจ้างผลิตสินค้าตามความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย พร้อมทั้งเป็นผู้นำในการสรรหาเหล็กม้วนที่มีคุณภาพได้รับมาตรฐานสากลซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตหลังคาเหล็ก ด้วยการปรับปรุงผลิตภัณฑ์ให้มีความหลากหลายและพัฒนาคุณภาพสินค้าให้ดียิ่งขึ้น ในราคาที่เหมาะสม และเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้าให้ครอบคลุมทุกกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย เพื่อสร้างความได้เปรียบในเชิงการแข่งขัน รวมถึงการให้ความสำคัญกับการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า (CRM) ด้วยการสร้างผลิตภัณฑ์ที่แตกต่างให้สนองความต้องการเฉพาะของลูกค้า โครงสร้างผู้ถือหุ้นของบริษัท ซันเทคสตีลเวิคส์ จะมีบริษัท เพิ่มสินสตีลเวิคส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PERM เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในสัดส่วน 99.9% ภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO สัดส่วนการถือหุ้นจะลดลงมาอยู่ที่ 70.2%
โดย
pakapong_u
พุธ ก.ย. 14, 2022 12:15 am
0
1
Re: SAFARI
ภูเก็ตแฟนตาซีตั้งเป้าเข้าตลาดหุ้น ทุ่มทุน 6,600 ล้านปั้น Carnival Magic เป็นแหล่งท่องเที่ยวใหม่ September 12, 2022 หลังจากที่ได้ประกาศการลงทุนในปี 2019 มูลค่าหลายพันล้านบาท ล่าสุดนั้นธีมปาร์คสไตล์ไทยอย่าง คาร์นิวัลเมจิก (Carnival Magic) พร้อมที่จะเปิดให้บริการแล้ว โดยเน้นจับลูกค้าไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือทั้งผู้ใหญ่ โดยคาดว่าจะมีผู้เข้าธีมปาร์คดังกล่าวนี้อย่างน้อย 1.5 ล้านคน สำหรับโครงการ Carnival Magic ถือเป็นโครงการล่าสุดของเครือภูเก็ตแฟนตาซี บนพื้นที่ 100 ไร่ ด้วยงบลงทุน 6,600 ล้านบาท ร่างโครงการใช้เวลาถึง 10 ปี รวมถึงใช้เวลาก่อสร้างนานถึง 6 ปี การเปิดตัวของธีมปาร์คสไตล์ไทยแห่งนี้มีการผสมผสานเทคโนโลยีต่างๆ รวมถึงการประดับแสงไฟกว่า 40 ล้านดวง แปลกใหม่ ไม่เหมือนใคร มีเพียง 1 เดียวในโลก Carnival Magic เป็นธีมปาร์คแห่งที่ 3 ของ ดร.ผิน คิ้วคชา ประธานกรรมการบริหาร ของอาณาจักรซาฟารีเวิลด์ โดยที่ก่อนหน้านี้ได้ประสบความสำเร็จกับการสร้างสถานที่ท่องเที่ยวอย่างซาฟารีเวิลด์ และภูเก็ตแฟนตาซีมาแล้ว โดยสำหรับผู้ที่รับไม้ต่อจาก ดร. ผิน ในการพัฒนา Carnival Magic ก็คือ กิตติกร คิ้วคชา ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ภูเก็ตแฟนตาซี และ บจก.คาร์นิวัลเมจิก กิตติกร ได้กล่าวถึงสถานการณ์ท่องเที่ยวในจังหวัดภูเก็ตว่าก่อนการแพร่ระบาดของโควิด-19 มีนักท่องเที่ยวมาเที่ยว ในตัวจังหวัด 15 ล้านคนต่อปี ขณะที่หลังการแพร่ระบาดโควิด-19 นั้นเขามองว่าจะอยู่ที่ราวๆ 5-6 ล้านคนต่อปี โดยนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่มาภูเก็ตมากที่สุดก็คือชาวอินเดีย รองลงมาคือออสเตรเลีย มาเลเซีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ตามลำดับ การเปิดตัวของ Carnival Magic กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ภูเก็ตแฟนตาซี และ บจก.คาร์นิวัลเมจิก มองว่าการจับกลุ่มลูกค้าแตกต่างกันกับภูเก็ตแฟนตาซี และ Carnival Magic เน้นจับลูกค้ารายได้สูงกว่า อย่างไรก็ดีเขามองว่าทั้ง 2 แหล่งท่องเที่ยวนี้สามารถเกื้อหนุนกันได้ สำหรับโซนต่างๆ ภายใน Carnival Magic ประกอบไปด้วย •ถนนช้อปปิ้งที่มีชื่อว่า Carnival Fun Fair เป็นร้านค้าที่ตกแต่งแบบ Carnival ไม่เหมือนใคร มีกิจกรรมมากมายทั้งคืน ไม่ว่าจะเป็นศูนย์เครื่องเล่น VR หรือแม้แต่การถ่ายภาพกับมาสค็อตต่างๆ •ภัตตาคารบุฟเฟต์ Bird of Paradise สามารถรองรับผู้ที่เข้ามาได้ถึง 3,000 ที่นั่งเหมือน โดยให้บรรยากาศเหมือนสรวงสวรรค์ หรูหรา โอ่อ่า มีอาหารมากกว่า 100 เมนู มีห้องอาหารแบบฮาลาล หรืออาหารอินเดียเป็นต้น •โรงละครขนาดใหญ่ River Palace มีพิ้นที่กว่า 16,000 ตารางเมตร เป็นโรงละครใหญ่สุดในเมืองไทย โดยมีความยาวมากถึง 200 เมตร สามารถจุคนได้ถึง 2,200 ที่นั่ง มีเวทีกว้าง 22 เมตร ยาว 70 เมตร ซึ่งการแสดงในโรงละครความยาว 50 นาทีนี้ มีทั้งขบวนพาเหรด River Carnival ประดับไฟ และผสมผสานศิลปะไทยจำนวน 55 คัน นอกจากนี้ยังมีรถพาเหรดที่ยาวที่สุดในโลกซึ่งยาวเท่ากับเครื่องบิน Airbus A380 •เมืองแห่งไฟ Kingdom of Light มีไฟประดับประดากว่า 40 ล้านดวง สวยงาม เหนือจินตนาการ นำไฟมาประกับในโครงเหล็กดัดที่เป็นสไตล์ไทย นอกจากนี้ Carnival Magic เตรียมที่จะเปิด River of Bliss Luxury Restaurant ในภายหลัง ซึ่งภัตตาคารดังกล่าววางตำแหน่งเป็นภัตตาคารหรู โดยได้แรงบันดาลใจจากเทศกาลงานลอยกระทง มีบริการอาหารแบบเซตเมนูที่ลูกค้าเลือกเองได้ ในบรรยากาศที่ตกแต่งด้วยกระทงที่สวยงาม โดยลูกค้าที่จะมารับประทานอาหารที่ภัตตาคารแห่งนี้จะต้องเดินมาที่น้ำตกแห่งความสุขเพื่อขึ้นเรือแห่งความสุขสำราญ ซึ่งเรือดังกล่าวจะลอยขึ้นเหนือจากพื้นประมาณ 7 เมตร ซึ่งจะพาเข้าสู่ประตูทางเข้าของตัวภัตตาคารหรูแห่งนี้ ไม่เพียงเท่านี้ Carnival Magic ยังสร้างสถิติใหม่ คือการได้รับรางวัล Guinness World Record ถึง 9 รางวัล ยกตัวอย่างเช่น รถพาเหรดยาวที่สุดในโลก กรอบเวทีที่สูงที่สุดในโลก การแสดงแสงสีเสียงที่ใช้ไฟ LED มากที่สุดในโลก เป็นต้น หลังจากนี้ Carnival Magic จะเน้นทำการตลาดทุกกลุ่ม ทุกเพศทุกวัย และได้เริ่มประชาสัมพันธ์จริงจัง เช่นในประเทศ อินเดีย ออสเตรเลีย หรือแม้แต่ในยุโรป จุดประสงค์หลักคืออยากชวนให้นักท่องเที่ยวเหล่านี้กลับมาเที่ยวที่จังหวัดภูเก็ต เนื่องจากมี Carnival Magic กิตติกร มองว่าในอนาคต Carnival Magic จะเป็นสถานที่สำคัญและเป็นแม่เหล็กของการท่องเที่ยวในจังหวัดภูเก็ต ส่งผลทำให้นักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกหันมาสนใจภูเก็ต เกิดการท่องเที่ยว ทำให้เศรษฐกิจของภูเก็ตคึกคัก ไม่ว่าจะเป็นทั้งทางตรงจากรายได้ของท่องเที่ยว รวมถึงทางอ้อมอย่างการจ้างงาน หรือแม้แต่กิจกรรมทางเศรษฐกิจอื่นๆ เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ •กิตติกรได้กล่าวกับ Positioning ว่ามีแผนที่จะนำ บมจ.ภูเก็ตแฟนตาซี เข้า IPO ในตลาดหลักทรัพย์ •ค่าไฟฟ้าใน Carnival Magic นั้นเพิ่มขึ้นจากเดิมไม่มาก เนื่องจากในธีมปาร์คแห่งนี้ใช้หลอดไฟเป็น LED •กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ภูเก็ตแฟนตาซี และ บจก.คาร์นิวัลเมจิก ยังกล่าวว่าเขาไม่กลัวอุปสรรคในเรื่องของพายุฝน และมองว่าเป็นโอกาสของ Carnival Magic ด้วยซ้ำ เนื่องจากการออกแบบนั้นได้คิดถึงปัจจัยดังกล่าวไว้แล้ว •นอกจากนี้เขาเองยังมีแผนที่จะเปิดตัวธีมปาร์คในตอนกลางวัน ซึ่งกำลังพิจารณา และอยู่นอกพื้นที่จังหวัดภูเก็ต •เขามีแผนที่จะเปลี่ยนธีมโชว์ใน Carnival Magic ที่อาจเปลี่ยนโชว์ตามเทศกาลของไทย ดร.ผิน ได้กล่าวว่าอยากให้ตัวเลขนักท่องเที่ยวที่มาภูเก็ตเพิ่มจำนวนมากกว่านี้ โดยอยากให้ตัวเลขสูงสุดนั้นเป็นตัวเลขในอดีต สำหรับราคาตั๋วของ Carnival Magic เริ่มต้นที่ 2,600 บาท สามารถเข้าชมการแสดงในโรงละคร รวมถึงเดินเล่นในธีมปาร์คแห่งนี้ได้ แต่ถ้าต้องการรับประทานอาหารราคาบัตรจะอยู่ที่ 3,000 บาท โดยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ภูเก็ตแฟนตาซี และ บจก.คาร์นิวัลเมจิก นั้นกำลังพิจารณาที่จะออกตั๋วภูเก็ตแฟนตาซี รวมถึง Carnival Magic ในราคาพิเศษ โดย Carnival Magic นี้จะเปิดให้บริการวันแรกในวันที่ 20 กันยายน 2565 นี้ และในปี 2566 ตั้งเป้าว่าจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาใช้บริการมากถึง 2 ล้านคน
โดย
pakapong_u
จันทร์ ก.ย. 12, 2022 9:49 pm
0
1
Re: AAI
ก.ล.ต.ไฟเขียว AAI ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง ขายหุ้น IPO ไม่เกิน 637.5 ล้านหุ้น วันที่ 12 กันยายน 2565 - 12:02 น. ก.ล.ต.อนุมัติ “เอเชี่ยน อะไลอันซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล” หรือ AAI ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยง เสนอขายหุ้น IPO ไม่เกิน 637.5 ล้านหุ้น เตรียมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ SET ชูศักยภาพผู้นำธุรกิจผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียกรายใหญ่ของไทย วันที่ 12 กันยายน 2565 นายเอกราช พรรณสังข์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเชี่ยน อะไลอันซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ AAI เปิดเผยว่า บริษัทได้รับอนุมัติแบบคำขอเสนอขายหุ้นที่ออกใหม่จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เตรียมความพร้อมเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 637.5 ล้านหุ้น และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ทั้งนี้ บริษัทมีความเชี่ยวชาญการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยง และผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมทานชั้นนำของประเทศ และนับเป็นบริษัทเรือธง (Flagship) ในการดำเนินธุรกิจอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยง ของ บมจ. เอเชี่ยนซีคอร์ปอเรชั่น หรือ ASIAN โดยเป็นผู้รับจ้างผลิตผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียก (Wet Pet Food) และผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมทานบรรจุภาชนะปิดผนึก (Human Food) ชั้นนำของประเทศ จนเป็นที่ยอมรับจากลูกค้าเจ้าของแบรนด์ผลิตภัณฑ์และผู้บริโภคในระดับสากล รวมถึงให้ความสำคัญต่อการพัฒนาและเติบโตอย่างยั่งยืน ตอกย้ำการเป็นผู้นำในธุรกิจผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียกรายใหญ่ของไทย นายเอกราช กล่าวว่า บริษัทมีแผนพัฒนาธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ด้วยกลยุทธ์ “Level up AAI!” เพื่อยกระดับองค์กรให้พัฒนาและเติบโตให้ทันกับโอกาสทางธุรกิจ และพร้อมปรับตัวภายใต้ปัจจัยการเปลี่ยนแปลง เพื่อนำพาองค์กรให้สามารถบรรลุวิสัยทัศน์ พันธกิจ และเป้าหมายในอนาคต ผ่านการมุ่งมั่นยกระดับองค์กรในด้านต่างๆ ดังนี้ 1) ยกระดับธุรกิจ (Level up our organization) มุ่งเน้นการปรับโครงสร้างองค์กรและโครงสร้างการบริหารงานให้อยู่ในระดับมาตรฐานสากล การเร่งพัฒนาบุคลากร รวมถึงการปรับโครงสร้างกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงเพื่อรองรับการเติบโตและโอกาสทางธุรกิจในอนาคต 2) ยกระดับสถานะจาก “ผู้ร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์” เพื่อเป็น “คู่ค้าเชิงกลยุทธ์” (Level up our co-developer position to strategic partners) มองหาโอกาสในการพัฒนาความสัมพันธ์ทั้งในกลุ่มธุรกิจที่เป็นต้นน้ำและปลายน้ำ (Up-stream / Down-stream) เพื่อให้การบริหารจัดการด้านห่วงโซ่อุปทานมีความต่อเนื่องและเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตลอดจนเพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจและเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันในระยะยาว 3) ยกระดับแบรนด์อาหารสัตว์เลี้ยงของบริษัทฯ เพื่อเป็นแบรนด์ระดับโลก (Level up our own brands) โดยเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงในหลากหลายแบรนด์ เพื่อให้ครอบคลุมความต้องการของกลุ่มลูกค้าในทุกตลาดย่อย (Market Segment) และมีผลิตภัณฑ์ครบทุกประเภท ทั้งที่เป็นอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียก อาหารสัตว์เลี้ยงแบบเม็ด และขนมสำหรับสัตว์เลี้ยง และ 4) ยกระดับความใส่ใจต่อแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนผ่านแผนกลยุทธ์ CHEERS! (Level up cares through CHEERS! strategy) โดยให้ความสำคัญต่อปัญหาด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และยึดมั่นในการขับเคลื่อนธุรกิจเพื่อความยั่งยืนตามหลักสากลขององค์การสหประชาชาติ “ด้วยศักยภาพและความพร้อมในด้านแหล่งเงินทุนเพื่อลงทุนขยายธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง และการลงทุนในเครื่องจักรเพื่อขยายกำลังการผลิตและปรับปรุงสายการผลิต จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน และรักษาความสามารถการแข่งขันให้อยู่ในระดับที่ดีได้อย่างต่อเนื่อง” โดยผลการดำเนินงานของบริษัทที่ผ่านมาดีขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการเติบโตของธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงแบบพรีเมี่ยม และการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้นจาก 2,910 ล้านบาท ในปี 2559 เป็น 4,985 ล้านบาทในปี 2564 คิดเป็นอัตราเติบโตเฉลี่ย (CAGR) 11% ต่อปี และมีกำไรสุทธิ เพิ่มขึ้นจาก 16 ล้านบาท ในปี 2559 เป็น 639 ล้านบาทในปี 2564 คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) 108% ต่อปี นอกจากนี้ การเติบโตของตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงมีปัจจัยหลักมาจากการเปลี่ยนผ่านประชากรสู่กลุ่ม Millennial และ Generation Z ที่มีความรักสัตว์และต้องการเลี้ยงสัตว์มากขึ้น รวมถึงการขยายตัวของสังคมเมือง (Urbanization) ส่งผลให้จำนวนสัตว์เลี้ยงและความต้องการอาหารสัตว์เลี้ยงเพิ่มขึ้นตามไปด้วย จึงนับเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการเติบโตของตลาดอาหารสัตว์เลี้ยง นายทวีชัย ตั้งธนทรัพย์ Head of Investment Banking Capital Market บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า บมจ. เอเชี่ยน อะไลอันซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (แบบไฟลิ่ง) และแบบคำขออนุญาตเสนอขายหุ้น IPO ต่อสำนักงาน ก.ล.ต. ล่าสุด สำนักงาน ก.ล.ต. ได้อนุญาตให้เสนอขายหลักทรัพย์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2565 ปัจจุบันอยู่ระหว่างเตรียมความพร้อม เพื่อเสนอขายหุ้น IPO และนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในกลุ่มอุตสาหกรรมเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร หมวดธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ทั้งนี้ AAI มีทุนจดทะเบียนจำนวน 2,125 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 2,125 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1 บาท โดยเป็นทุนชำระแล้วทั้งสิ้นจำนวน 1,700 ล้านบาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 1,700 ล้านหุ้น และจะเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 637.5 ล้านหุ้น แบ่งเป็น 1) หุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายโดยบริษัทฯ จำนวนไม่เกิน 425 ล้านหุ้น และ 2) หุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดยผู้ถือหุ้นเดิม (บมจ. เอเชี่ยนซี คอร์ปอเรชั่น: ASIAN) จำนวนไม่เกิน 212.5 ล้านหุ้น รวมทั้งหมดไม่เกินร้อยละ 30 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO ครั้งนี้
โดย
pakapong_u
จันทร์ ก.ย. 12, 2022 12:34 pm
0
0
Re: SAFARI
SAFARI เพิ่มงบฯลงทุน 650 ล้าน ในโครงการ “คาร์นิวัลเมจิก” วันที่ 18 กรกฎาคม 2565 - 14:46 น. ซาฟารีเวิลด์ เพิ่มงบฯลงทุนอีก 650 ล้านบาท ในโครงการ “คาร์นิวัลเมจิก” ใช้ปรับปรุงส่วนงานที่หยุดก่อสร้างชั่วคราวจากภาวะโควิด-ส่วนงานตกแต่ง คาดเปิดโครงการได้ภายในไตรมาส 4/65 วันที่ 18 กรกฎาคม 2565 นายผิน คิ้วคชา ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซาฟารีเวิลด์ จำกัด (มหาชน) หรือ SAFARI รายงานตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2565 ได้มีการพิจารณาทบทวนแผนธุรกิจและสถานะทางการเงินของกลุ่มบริษัทบนสถานการณ์ปัจจุบัน พบว่าสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 มีแนวโน้มจะไม่กลับมาแพร่ระบาดรุนแรง นอกจากนี้รัฐบาลยังมีนโยบายเปิดประเทศอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับบริษัทมีความสามารถในการจัดหาแหล่งเงินทุนเพิ่มเติมเพื่อใช้ในการก่อสร้างโครงการคาร์นิวัลเมจิกให้เสร็จสมบูรณ์ โดยทางบริษัทได้เริ่มให้มีการก่อสร้างแล้วตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2565 และคาดว่าจะดำเนินการก่อสร้างให้เสร็จ 100% จนสามารถเปิดโครงการคาร์นิวัลเมจิกภายในไตรมาส 4 ปี 2565 ทั้งนี้เนื่องจากโครงการคาร์นิวัลเมจิกได้หยุดทำการก่อสร้างไว้ชั่วคราวเป็นเวลากว่า 2 ปี โดย ณ วันที่ 31 มีนาคม 2565 การจะดำเนินงานก่อสร้างโครงการคาร์นิวัลเมจิกต่อไปในครั้งนี้จำเป็นต้องมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินการเพิ่มขึ้น เกิดจากการปรับปรุงส่วนงานที่หยุดงานก่อสร้างไว้และส่วนงานระบบหลักในโครงการ รวมถึงค่าใช้จ่ายงานตกแต่งของโครงการ เป็นมูลค่ารวมประมาณ 650 ล้านบาท ทั้งนี้การเพิ่มขึ้นของงบลงทุนดังกล่าวไม่ได้เกิดจากการขยายขอบเขตการลงทุนในโครงการคาร์นิวัลเมจิกเพิ่มเติม จากที่เคยได้รับสัตยาบันจากผู้ถือหุ้นของบริษัทในการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2563 ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท คาร์นิวัลเมจิก จำกัด เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2565 ได้ทำการทบทวนงบประมาณการลงทุนของโครงการคาร์นิวัลเมจิกแล้ว มีความเห็นให้นำเสนอที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2565 พิจารณาอนุมัติการเพิ่มงบฯลงทุนโครงการคาร์นิวัลเมจิกอีกจำนวน 650 ล้านบาท ซึ่งที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบตามความเห็นของคณะกรรมการบริษัทย่อยในการปรับปรุงงบฯลงทุนโครงการเพิ่มขึ้นจากเดิมที่ผู้ถือหุ้นและคณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติไว้แล้วจำนวน 5,350 ล้านบาท อีกจำนวน 650 ล้านบาท ซึ่งจะรวมเป็นงบฯลงทุนโดยตรงผ่านโครงการคาร์นิวัลเมจิกทั้งสิ้น 6,000 ล้านบาท โดยงบฯลงทุน 650 ล้านบาท จะถูกใช้ในการปรับปรุงส่วนงานที่หยุดก่อสร้างไว้และส่วนงานระบบหลักในโครงการ รวมถึงถูกใช้ในการปรับปรุงส่วนงานตกแต่งของโครงการ ทั้งนี้ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในงบฯลงทุนโครงการคาร์นิวัลเมจิกนั้น มีสาเหตุจากการหยุดการก่อสร้างชั่วคราว โดยไม่ได้เกิดจากการขยายขอบเขตการลงทุนในโครงการคาร์นิวัลเมจิกเพิ่มเติม และไม่ได้เป็นการลงทุนเพิ่มเติมเพื่อซื้อสินทรัพย์หรือปรับโครงสร้างของโครงการ ในปัจจุบันโครงการก่อสร้างได้มีความคืบหน้าแล้ว 95% ของงานก่อสร้างทั้งหมด บริษัทได้พิจารณาทบทวนความเป็นไปได้ของอัตราผลตอบแทนทางการเงินของโครงการภายหลังการปรับเพิ่มงบประมาณเงินลงทุนในครั้งนี้ ควบคู่ไปกับนโยบายการควบคุมค่าใช้จ่ายที่ฝ่ายบริหารของ บริษัท คาร์นิวัลเมจิก จำกัด มีการบังคับใช้อยู่ในปัจจุบัน เพื่อสามารถบริหารต้นทุนของโครงการคาร์นิวัลเมจิกอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น พบว่าโครงการคาร์นิวัลเมจิกยังคงมีความน่าสนใจในการลงทุน และจะสามารถสร้างความเติบโตของรายได้ที่มั่นคงให้แก่บริษัทในระยะยาวโดยจะสามารถสร้างอัตราผลตอบแทน (IRR) ของโครงการมากกว่า 10% ต่อปี (สูงกว่าต้นทุนเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของเงินลงทุนในโครงการ) และระยะเวลาคืนทุนเท่ากับ 11 ปี บริษัทและบริษัท คาร์นิวัลเมจิก จำกัด ให้ความสำคัญในการควบคุมงบประมาณและดำเนินการก่อสร้างของโครงการคาร์นิวัลเมจิกให้เป็นไปตามแผนกำหนด และเล็งเห็นถึงศักยภาพของโครงการคาร์นิวัลเมจิกต่อการเติบโตอย่างยั่งยืนและสร้างความหลากหลายของรายได้ของกลุ่มบริษัท ทั้งนี้หากมีความคืบหน้าที่สำคัญของโครงการคาร์นิวัลเมจิก บริษัทจะแจ้งให้ผู้ถือหุ้นและนักลงทุนทราบต่อไป
โดย
pakapong_u
เสาร์ ก.ย. 10, 2022 1:31 pm
0
0
Re: SAFARI
“ผิน คิ้วคชา” ผู้สร้างตำนานธีมปาร์ก “รู้ว่าเสี่ยง แต่พร้อมรับ” วันที่ 7 กันยายน 2565 - 16:11 น. กว่า 3 ทศวรรษที่กลุ่ม “คิ้วไพศาล” หรือ “คิ้วคชา” สร้างปรากฏการณ์ “แลนด์มาร์ก” ขนาดใหญ่ด้านการท่องเที่ยวให้กับประเทศไทย นับตั้งแต่ลงทุนสวนสัตว์เปิด “ซาฟารี เวิลด์” บนที่ดินราว 500 ไร่ ในย่านรามอินทรา กรุงเทพฯ เมื่อปี 2531 และลงทุนกว่า 3,000 ล้านบาท ในโครงการ “ภูเก็ตแฟนตาซี” ธีมปาร์กวัฒนธรรมไทยแห่งแรกของโลก เมื่อปี 2542 บริเวณหาดกมลา จังหวัดภูเก็ต และล่าสุดลงทุนอีก 6,600 ล้านบาท ในโครงการ “คาร์นิวัลเมจิก” ธีมปาร์ก คาร์นิวัล สไตล์ไทย ๆ (บริเวณเดียวกับภูเก็ตแฟนตาซี) เรียกว่าลงทุนทุกครั้งต้องเป็นโครงการขนาดใหญ่ เกิดอิมแพ็ก และเป็นที่ 1 แน่นอนว่าโครงการขนาดใหญ่เมื่อเผชิญวิกฤตก็ย่อมได้รับผลกระทบหนักและแรงกว่าคนอื่นเช่นกัน 2 ปีสูญรายได้ 5 พันล้านบาท “ประชาชาติธุรกิจ” ได้สัมภาษณ์พิเศษ “ผิน คิ้วคชา” ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซาฟารีเวิลด์ จํากัด (มหาชน) และบริษัท ภูเก็ต แฟนตาซี จำกัด ถึงมุมมองด้านการลงทุน การบริหาร หลังจากโครงการขนาดใหญ่ทั้ง 3 แห่งได้รับผลกระทบอย่างหนัก จากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดในช่วงกว่า 2 ปีที่ผ่านมาว่า เขาอยู่ในธุรกิจธีมปาร์กและธุรกิจท่องเที่ยวเกือบ 4 ทศวรรษ ผ่านวิกฤตมาเยอะ ทั้งวิกฤตเล็ก ๆ และวิกฤตใหญ่ การระบาดของโรคโควิด-19 ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 30 เป็นวิกฤตที่หนักและใหญ่สุดที่เคยเจอมา เรียกว่าหนักหนาสาหัส และเจ็บปวดมาก เพราะตั้งแต่รัฐบาลสั่งปิดทั้ง 3 โครงการ ทำให้กว่า 2 ปีที่ผ่านมาไม่มีรายได้เข้า ส่งผลให้สภาพคล่องมีปัญหา “ผิน” บอกว่าวิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 การก่อการร้ายเครื่องบินชนตึกเวิลด์เทรดปี 2544 โรคซาร์สปี 2546 ไข้หวัดนกปี 2547 สึนามิปี 2547 น้ำท่วมใหญ่กรุงเทพฯ ปี 2554 ฯลฯ ล้วนเป็นวิกฤตระยะสั้น และกระทบเฉพาะในบางพื้นที่ หรือในบางตลาดเท่านั้น แต่ “โควิด” ที่บอกว่าหนักสุด เพราะเป็นวิกฤตทั้งโลก และกินเวลามานานกว่า 2 ปีแล้ว “เราสูญเสียรายได้ปีละกว่า 2,000 ล้านบาท รวม 2 ปีครึ่งประมาณ 5,000 ล้านบาท และไม่เพียงแต่ไม่มีรายได้เท่านั้น เรายังมีภาระในส่วนของต้นทุนค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นทุกวันในอัตราที่สูงเหมือนเดิม ส่งผลให้ขาดทุนปีละ 1,500-1,600 ล้านบาท ปัจจุบันมีตัวเลขขาดทุนสะสมพุ่งไปอยู่ที่กว่า 4,000 ล้านบาทแล้ว” แบกต้นทุน-รายจ่ายทุกวัน พร้อมอธิบายว่า ธุรกิจธีมปาร์กไม่เหมือนธุรกิจโรงแรมที่อยากปิดบริการวันไหนก็ปิดได้เลย ให้พนักงานพักงานไปก่อน ถึงเวลาเปิดก็เรียกพนักงานกลับมา แต่สำหรับธุรกิจธีมปาร์กนั้น พนักงานประมาณครึ่งหนึ่งต้องใช้สกิลที่ต้องฝึกฝนให้มีประสบการณ์เฉพาะทางสูงมาก เช่น เอาคนเลี้ยงนกมาเลี้ยงเสือแทนไม่ได้ หรือจะให้คนเลี้ยงเสือไปเลี้ยงนกก็ไม่ได้ เพราะพูดกับนกไม่รู้เรื่อง เป็นต้น สัตว์ของซาฟารีเวิล์ดและภูเก็ตแฟนตาซีมีหลายหมื่นตัวและหลายพันชนิด สัตว์แต่ละตัวจะจำเจ้าของ หากเจ้าของหรือคนดูแลคนเก่าไม่อยู่ เอาคนใหม่มาดูแลเขาจะสั่งไม่รู้เรื่อง ที่สำคัญสัตว์ต้องกินอาหารทุกวัน วันนี้ไม่ได้กิน พรุ่งนี้ก็ป่วย อีก 3-4 วันก็ตาย ดังนั้น แม้ว่าในช่วง 2-3 ปีนี้จะลำบากแค่ไหน บริษัทก็จำเป็นที่จะต้องดูแลพนักงานไว้ประมาณครึ่งหนึ่ง และดูแลสัตว์ทุกตัว ซึ่งทั้งหลายทั้งปวงนี้ล้วนเป็นต้นทุนที่แบกรับมาตลอด “ในภาวะปกติธุรกิจนี้ทำกำไรได้ พอเจอวิกฤตก็ขาดทุนเป็นเรื่องธรรมชาติ รอบนี้เราขาดทุนหลักพันกว่าล้านต่อปี การจะฟื้นต้องใช้เวลาอีกหลายปี แต่ด้วยความที่ผ่านวิกฤตมาเยอะ ทำให้เรามีประสบการณ์สามารถตั้งรับได้ เหมือนการต่อยมวย ขึ้นเวทีต่อยมาเยอะก็มีประสบการณ์ และหาทางแก้วิกฤตด้วยตัวเองได้” ไม่สนธุรกิจอื่นโฟกัสแค่ธีมปาร์ก ต่อคำถามว่า จากวิกฤตรอบนี้ทำให้กลุ่มซาฟารีเวิลด์มองเรื่องการลงทุนในธุรกิจอื่น ๆ เพื่อกระจายความเสี่ยงหรือไม่ “ผิน” ยืนยันหนักแน่นว่าไม่สนใจธุรกิจอื่น และไม่เคยคิดจะทำ แม้ว่าจะเป็นธุรกิจที่กำไรดีก็ไม่สนใจ ซึ่งที่ผ่านมาก็มีนักลงทุนหลายรายชวนไปลงทุนในธุรกิจอื่นเช่นกัน แต่ก็ไม่สนใจ เพราะไม่มีความชำนาญพอ “ถามว่าการขยายฐานไปทำธุรกิจอื่นดีไหม คำตอบก็คือดี แต่บังเอิญผมเป็นคนที่ทำอะไรทำจริงจังในสิ่งเดียว ขอให้เด่นในสิ่งเดียว จริงจังในอาชีพเดียว ไม่ทำอย่างอื่น แม้รู้ว่าเสี่ยงแต่ผมก็ยินดี และพร้อมรับกับความเสี่ยง เพราะเชื่อมั่นว่าธุรกิจท่องเที่ยวจะยังเป็นธุรกิจหลักของประเทศไทยต่อไป” และย้ำว่า ไม่ว่าจะอีก 30 ปี หรือ 50 ปีข้างหน้า ประเทศไทยก็หนีไม่พ้นเป็นประเทศท่องเที่ยว เนื่องจากภูมิประเทศทุกอย่างของไทยมีความพร้อมที่สุด และมีสิ่งที่เป็นเครื่องการันตีได้ว่า การท่องเที่ยวของไทยได้รับการยอมรับจากทั่วโลก “เราเห็นข่าวกรุงเทพฯ ติดอันดับ 1 สถานที่ท่องเที่ยวของโลกมาหลายรอบและหลายปีแล้ว เช่นเดียวกับภูเก็ตซึ่งก็ติดอันดับโลกเช่นกัน ผมมองตรงนี้ ตรงที่ประเทศไทยเป็นเมืองท่องเที่ยวที่คนทั่วโลกนิยม” “ผิน” บอกอีกว่า เขาอยู่ในธุรกิจนี้มานาน เห็นว่าธุรกิจท่องเที่ยวมีความแปลกอย่างหนึ่งคือ เป็นธุรกิจที่ยิ่งทำดี ยิ่งทำใหญ่ ยิ่งลงทุนมาก คนก็จะเข้ามาเที่ยวมาก และสามารถคืนทุนเร็ว ทำเล็ก ๆ คู่แข่งจะเยอะและคืนทุนได้ช้า หรือบางครั้งก็ไม่สามารถทำกำไรได้ ยกตัวอย่างโครงการ “คาร์นิวัล เมจิก” ธีมปาร์กแห่ใหม่ล่าสุดที่จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 20 กันยายน 2565 นี้ บริษัทลงทุนไป 6,600 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถคืนทุนได้ภายใน 3-4 ปี “ที่สำคัญกว่านั้นคือ ที่ผ่านมาผมยังไม่เคยได้ยินใครพูดว่าจะหาแหล่งท่องเที่ยวที่ถูกที่สุด มีแต่คนมองหาแหล่งท่องเที่ยวที่ดีที่สุด อันนี้คือปรัชญาสำคัญที่ผมนำมาตัดสินใจลงทุนแต่โครงการขนาดใหญ่ในช่วงที่ผ่านมา” และนี่ก็คือเหตุผลหนึ่งที่ “ดีสนีย์” กล้าลงทุนเป็นหลักแสนล้าน เพราะยิ่งลงทุนมากยิ่งคืนทุนเร็ว เสริมแม็กเน็ตใหม่ “ซาฟารีเวิลด์” “ผิน” ยังให้สัมภาษณ์ถึงแผนการลงทุนใหม่ด้วยว่า หลังจากนี้การลงทุนจะเป็นโครงการที่มีขนาดเล็กลงแล้ว ไม่มีโครงการขนาดใหญ่เท่ากับซาฟารีเวิลด์ ภูเก็ตแฟนตาซี และคาร์นิวัลเมจิก เนื่องจากโลเกชั่นและเมืองท่องเที่ยวที่เหลืออยู่ไม่มีที่ไหนที่จะทำโครงการขนาดใหญ่เท่ากับกรุงเทพฯ และภูเก็ตได้ “กลุ่มเรามีการลงทุนใหม่ทุก 10 ปี โดยหลังจากนี้มีแผนจะพัฒนาโครงการที่ปราจีนบุรี บนที่ดินที่มีอยู่แล้วกว่า 1 หมื่นไร่ ส่วนจะเป็นลักษณะไหนยังไม่ได้สรุป ขอเอาโครงการใหม่ที่ภูเก็ตให้รอดก่อน” อย่างไรก็ตาม ระหว่างนี้ก็จะมีการลงทุนประมาณ 200 ล้านบาท สำหรับเติมจุดขายใหม่ในส่วนของกิจกรรมให้กับซาฟารีเวิลด์ เป็นกิจกรรมที่เน้นความแปลกใหม่ สนุกสนาน โดยจะแบ่งการพัฒนาเป็น 4 โซน ขณะนี้อยู่ระหว่างการออกแบบกิจกรรม และโซนแรกจะเปิดให้บริการในช่วงปลายปีนี้ ทั้งนี้ คาดว่าจะมาช่วยสร้างสีสันรองรับตลาดคนไทย รวมถึงช่วยขยายฐานตลาดจากกลุ่มเด็ก ครอบครัว ไปยังกลุ่มวัยรุ่นได้มากขึ้นด้วย มั่นใจธุรกิจท่องเที่ยวฟื้นเร็ว ประธานกรรมการบริหารบริษัท ซาฟารีเวิลด์ ยังบอกด้วยว่า ส่วนตัวเชื่อมั่นว่าหลังโควิดตลาดจะฟื้นกลับมาได้เร็วกว่าเดิม เพราะตามทฤษฎีแล้ว สถานการณ์ที่ดิ่งเร็วเวลาฟื้นจะเด้งขึ้นแรงกว่าเดิมเสมอ และต้องยอมรับว่าการแข่งขันเรื่องเศรษฐกิจในด้านอื่นแข่งขันยาก เพราะต้องใช้เวลา ต้องใช้เงินลงทุน มีธุรกิจท่องเที่ยวเพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้เร็ว ประเทศไหนเบนเข็มมาโฟกัสท่องเที่ยวจะได้เงินง่ายที่สุด และประเทศไทยเราพึ่งพาการท่องเที่ยวเป็นรายได้หลัก หากท่องเที่ยวมีปัญหา นั่นคือประเทศมีปัญหา ประเทศเทศต้องรีบแก้ เพราะไม่ใช่แค่เอกชนที่ได้รับผลกระทบ แต่กระทบถึงรัฐบาลด้วย สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เป็นแนวโน้มที่มองเห็นข้างหน้า และเป็นตัวปัจจัยที่ทำให้เชื่อว่าการท่องเที่ยวจะฟื้นเร็วและฟื้นแรง โดยปัจจุบันทั้ง “ซาฟารีเวิลด์” และ “ภูเก็ตแฟนตาซี” เริ่มมีรายได้เข้ามาแล้ว คาดว่าถึงสิ้นปี 2565 นี้ ทั้ง 2 โครงการจะมีรายได้กลับมาได้ราว 50% และคาดว่าจะกลับมาได้เท่าและใกล้เคียงกับปี 2562 ได้ในปี 2567 หรืออีก 2 ปีข้างหน้า
โดย
pakapong_u
เสาร์ ก.ย. 10, 2022 1:21 pm
0
1
Re: ACOM
ACOM เปิดตัวฟีเจอร์ Price Intelligence เกาะติดราคาสินค้าคู่แข่งแบบเรียลไทม์ ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday September 8, 2022 16:15 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) นายวีระพงษ์ (พอล) ศรีวรกุล ผู้ร่วมก่อตั้ง และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บมจ.เอคอมเมิร์ซ กรุ๊ป (ACOM) ผู้ให้บริการสนับสนุนธุรกิจอีคอมเมิร์ซ (E-Commerce Enabler) ครบวงจรในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เปิดเผยว่า บริษัทเปิดตัว "Price Intelligence" ฟีเจอร์ใหม่ที่จะเป็นเครื่องมือเพื่อการแข่งขันในตลาดอีคอมเมิร์ซได้อย่างมีประสิทธิภาพ ท่ามกลางสงครามราคาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งจะทำให้แบรนด์รู้ตำแหน่งของตนเองในตลาด โดยถือเป็นกุญแจสำคัญในการกำหนดกลยุทธ์และกำหนดราคาที่พร้อมแข่งขันได้อย่างเหมาะสม ส่งผลให้แบรนด์สามารถเติบโตโดยได้ไม่สูญเสียผลกำไร Price Intelligence เป็นฟีเจอร์ล่าสุดใน EcommerceIQ แพลตฟอร์มการจัดการธุรกิจอีคอมเมิร์ซชั้นนำในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยทางบริษัทพัฒนาฟีเจอร์นี้ขึ้นมาในปี 62 และได้ใช้ภายในบริษัทเพื่อควบคุมราคาผลิตภัณฑ์ของแต่ละแคมเปญ โดยเริ่มตั้งแต่ Mega Campaign 3.3 จนถึงทุกวันนี้ ฟีเจอร์ล่าสุดดังกล่าวได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเพิ่มความได้เปรียบในการแข่งขันให้กับแบรนด์ โดยใช้เป็นเครื่องมือติดตามราคาคู่แข่งได้อย่างครอบคลุม ช่วยให้แบรนด์สามารถเปรียบเทียบราคาสินค้าในตลาดของผลิตภัณฑ์ที่คล้ายคลึงกันได้อย่างง่ายดาย และสามารถค้นหาจุดสมดุลที่เหมาะสมระหว่างการทำกำไรและการขยายตัวของธุรกิจ "Price Intelligence เป็นเครื่องมือถูกที่พัฒนาขึ้นใหม่ โดยมีจุดประสงค์ที่จะช่วยให้แบรนด์สินค้าไม่ต้องติดตามราคาของแบรนด์คู่แข่งในตลาดด้วยตัวเอง เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการขายสินค้าออนไลน์ในตลาดอีคอมเมิร์ซ และเป็นเครื่องมือออนไลน์ที่สามารถช่วยเก็บข้อมูลได้แบบเรียลไทม์" นายวีระพงษ์ (พอล) กล่าว ข้อมูลจาก Price Intelligence จะทำให้การติดตามราคาเป็นเรื่องง่าย ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสอบผลิตภัณฑ์ในแคมเปญต่างๆ เช่น การขาย Flash Sales หรือการขายสินค้าด้วยการทำโปรโมชั่นช่วง Pay Day นอกจากนี้ฟีเจอร์ใหม่ดังกล่าวยังช่วยให้ทางแบรนด์สามารถปรับราคาสินค้าเพื่อสร้างรายได้ที่เหมาะสม ตรวจสอบหมวดหมู่สินค้าที่ร่วมรายการจากแบรนด์และผู้จำหน่าย รวมถึงติดตามสินค้าของผู้จำหน่ายที่ไม่ได้ถูกแต่งตั้งอย่างเป็นทางการได้อีกด้วย โดย Price Intelligence ได้รับการออกแบบให้ใช้งานได้ง่าย เพียงแค่เพิ่ม URL ของผลิตภัณฑ์จาก LAZADA หรือ Shopee เข้าไปในแพลตฟอร์มก็จะสามารถดูข้อมูลที่ต้องการได้ทันที อนึ่ง ACOM มีแผนเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) รวมไม่เกิน 1,599,642,100 หุ้น ประกอบด้วย 1) หุ้นสามัญเพิ่มทุนไม่เกิน 685,560,900 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1.00 บาท และ 2) หุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดย เอคอมเมิร์ซ กรุ๊ป ลิมิเต็ด จำนวนไม่เกิน 914,081,200 หุ้น
โดย
pakapong_u
พฤหัสฯ. ก.ย. 08, 2022 9:13 pm
0
0
Re: BITKUB
จ่อส่งอัยการฟ้องศาล "สำเร็จ-บิทคับ" หากดื้อแพ่งไม่จ่ายค่าปรับภายใน 17 วัน เผยแพร่: 4 ก.ย. 2565 22:19 ปรับปรุง: 4 ก.ย. 2565 22:19 โดย: ผู้จัดการออนไลน์ ก.ล.ต. ขีดเส้นตาย "สำเร็จ-บิทคับ" จ่ายค่าปรับภายใน 17 วัน กรณีใช้ข้อมูลอินไซด์ดีล "เอสซีบีเอกซ์" ซื้อเหรียญ KUB Coin หากดื้อแพ่งเตรียมส่งอัยการฟ้องศาลดำเนินการเอาผิดขั้นสูงสุด เผยตั้งแต่ปี 60 มีผู้ถูกกล่าวหาคิดเป็นสัดส่วน 20% ของผู้กระทำผิดทั้งหมด ส่วนใหญ่แพ้ในชั้นศาลเกือบทุกคดี นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผย ความคืบหน้ากรณี ก.ล.ต. มีคำสั่งปรับนายสำเร็จ วจนะเสถียร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายเทคโนโลยี (CTO) ของ BBT ใช้ข้อมูลภายในซื้อ โทเคนดิจิทัล Bitkub Coin (เหรียญ KUB) เป็นจำนวนเงิน 8,530,383 บาท และห้ามดำรงตำแหน่งกรรมการและผู้บริหารในธุรกิจประกอบสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นเวลา 12 เดือน ว่า เบื้องต้น ก.ล.ต.ได้ทำหนังสือแจ้งไปยังนายสำเร็จ เมื่อวันที่ 30 ส.ค. 65 หลังจากนั้นภายใน 10 วันจะต้องมาพบ ก.ล.ต. เพื่อรับทราบรายละเอียด และมีเวลาให้อีก 7 วันในการชำระค่าปรับ ทั้งนี้ หากครบเวลาที่กำหนดไว้ นายสำเร็จไม่ชำระค่าปรับ ถ้าไม่ยินยอม ก.ล.ต.จะมีหนังสือขอให้พนักงานอัยการดำเนินการฟ้องคดีต่อศาลแพ่งเพื่อกำหนดมาตรการลงโทษในอัตราสูงสุดที่กฎหมายบัญญัติโดยไม่ต่ำกว่าอัตราที่คณะกรรมการพิจารณามาตรการลงโทษทางแพ่ง (ค.ม.พ.) กำหนด สำหรับกรณีที่นายสำเร็จ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ยืนยันไม่รับทราบข้อมูลดีลระหว่าง เอสซีบีเอกซ์ และบิทคับนั้น การเข้าซื้อ KUB เป็นเพียงการซื้อเพื่อลงทุนระยะยาว และใช้แลกค่าฟีการเทรดใน Exchange เท่านั้น น.ส.รื่นวดี กล่าวว่า สำนักงานก.ล.ต. และ ค.ม.พ. ได้พิจารณารายละเอียดที่นายสำเร็จได้ชี้แจงมาก่อนหน้าแล้ว แต่ไม่สามารถพิสูจน์ข้อเท็จจริงได้ จึงนำเรื่องเสนอให้บอร์ดก.ล.ต. พิจารณา ซึ่งบอร์ดก.ล.ต. มีมติเห็นชอบตามที่เสนอไป ส่วนการต่อสู้ก็ต้องขึ้นอยู่กับกระบวนการทางกฎหมายต่อไป ทั้งนี้ ค.ม.พ. ได้พิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วน โดยคณะกรรมการพิจารณามาตรการลงโทษทางแพ่ง (ค.ม.พ.) ประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิรวม 5 ท่าน ได้แก่ 1.อัยการสูงสุด 2.ปลัดกระทรวงการคลัง 3.อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ 4.ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย และ 5.เลขาธิการ ก.ล.ต. ด้านนายเอนก อยู่ยืน ผู้ช่วยเลขาธิการสายบังคับใช้กฎหมาย ก.ล.ต. กล่าวเพิ่มเติมว่า จากสถิติการใช้มาตรการลงโทษทางแพ่งของ ก.ล.ต.นับตั้งแต่ปี 2560-ปัจจุบัน ผู้ถูกกล่าวโทษส่วนมากจะยอมรับมาตรการลงโทษจากก.ล.ต. มีสัดส่วนเพียงประมาณ 20% ที่ไม่ยินยอม ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นช่วง 1-2 ปีแรก แต่หลังจากนั้นสัดส่วนจะลดลงเหลือประมาณ 10% เท่านั้น ทั้งนี้ เมื่อเข้าสู่กระบวนการศาลแล้ว ก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของศาล ซึ่งเกือบทุกคดีศาลจะพิจารณาสอดคล้องกับเอกสารหลักฐานที่ ก.ล.ต. เสนอไป และจะพิพากษาให้รับโทษในอัตราสูงสุดตามกฎหมาย ส่วนความคืบหน้าการพิจารณากรณีที่บอร์ด ก.ล.ต.มีคำสั่งให้ "บิทคับ" ดำเนินการแก้ไขคุณสมบัติเหรียญ KUB ที่ตนเองให้คะแนนสูงเกินมาตรฐานอย่างไม่เคยมีมาก่อน จึงทำให้ขาดคุณสมบัติเข้ามาเทรดในกระดานสินทรัพย์ดิจิทัล นั้น น.ส.รื่นวดี กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อมูลหลักฐานที่ได้รับจากบิทคับ เมื่อคณะทำงานตรวจสอบเสร็จเรียบร้อยแล้ว จะนำเสนอให้บอร์ด ก.ล.ต.พิจารณาอีกครั้ง ส่วนกรณีบริษัท ซิปเม็กซ์ จำกัด (Zipmex) ประกาศผ่านเฟซบุ๊ก ระงับการเพิกถอนเงินบาท และคริปโตเคอร์เรนซี เมื่อวันที่ 20 ก.ค. 65 เนื่องจากขาดสภาพคล่องหลังนำสินทรัพย์ดิจิทัลของลูกค้า Zipup+ ไปฝากไว้ที่ “ซิปเม็กซ์ โกลบอล” ในประเทศสิงคโปร์ และได้นำไปลงทุนบริษัทบาเบลล์ ไฟแนนซ์ และเซลเซียส นั้น น.ส.รื่นวดี กล่าวว่า ก.ล.ต. ได้เปรียบเทียบปรับ ซิปเม็กซ์ ใน 2 กรณี รวมเป็นเงิน 1.92 ล้านบาท สำหรับความเสียหายจากผลิตภัณฑ์ ZipUp+ มูลค่า 2,000 ล้านบาท ผู้เสียหายกว่า 6 หมื่นคนนั้น ตอนนี้ ก.ล.ต.อยู่ระหว่างรวบรวมข้อมูลเอาผิดซิปเม็กซ์ฐานประกอบธุรกิจอื่น และได้ประสานกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) และกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (ปอศ.) เพื่อดำเนินการเอาผิดกับบริษัทในฐานความผิดอื่นนอกเหนือจากความผิดภายใต้พ.ร.ก.สินทรัพย์ดิจิทัลฯ รวมถึงการติดตามกระบวนการพักชำระหนี้ที่ ซิปเม็กซ์ จะจัด Townhall ในวันที่ 14 ก.ย.นี้
โดย
pakapong_u
จันทร์ ก.ย. 05, 2022 11:01 pm
0
0
Re: BITKUB
"บิทคับ" ดิ้นดึงรายย่อยพยุง "KUB" ชวนลูกค้าล็อกเหรียญ 1 ปีแลกโบนัส 13% หลังดีล "เอสซีบีเอกซ์" ล่มราคาร่วงหนัก เผยแพร่: 1 ก.ย. 2565 16:42 ปรับปรุง: 1 ก.ย. 2565 16:42 โดย: ผู้จัดการออนไลน์ "บิทคับ" อัดแคมเปญ "KUB TO THE MARS" ชักชวนลูกค้าล็อกเหรียญ KUB นาน 365 วัน แลกโบนัสสูงสุด 13% หวังช่วยพยุงราคาเหรียญ หลังเจอมรสุมถล่มฉุดราคาร่วงหนักต่อเนื่อง ล่าสุดอยู่ที่ 42.84 บาท ลดลงกว่า 14.10% รายงานข่าวแจ้งว่า เพจ Bitkub Chain ได้ออกประกาศโฆษณา "KUB TO THE MARS" หรือ ยานลำแรกพร้อมเดินทางสู่ดาวอังคารแล้ว โดยเปิดโอกาสให้ลูกค้าสามารถล็อก KUB รับ KUB นาน 365 วัน พร้อมรับอัตราโบนัสสูงสุด 13% และ Exclusive NFT Airdrop เฉพาะที่ Bitkub NEXT เท่านั้น สำหรับรอบแรกสามารถเริ่มล็อกได้ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2565 เวลา 12.00 น. - 7 กันยายน 2565 เวลา 23.59 น. โดยจะเปิดให้ล็อกสูงสุด 3,846,154 KUB จากประเด็นดังกล่าวได้มีการตั้งข้อสังเกตุว่า แคมเปญการล็อก KUB เกิดขึ้น เพื่อเป็นการจูงใจนักลงทุนรายย่อยทั่วไปนำเหรียญมาฝากไว้ เพื่อเป็นการช่วยพยุงราคาเหรียญไม่ให้ลดลงไปกว่านี้หรือไม่ ทั้งนี้ สืบเนื่องจากปัจจุบัน "บิทคับ" เจอปัจจัยลบเข้ามากระหน่ำอย่างหนัก ซึ่งล้วนแล้วแต่มีผลทำให้เหรียญ KUB ลดลงอย่างหนักและต่อเนื่อง อาทิ กรณีที่บริษัท โปรเอ็น คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ ประกาศยกเลิกสัญญา และขอยกเลิการลงทุนเหรียญ KUB จำนวน 250,000 เหรียญ มูลค่าทั้งสิ้นไม่เกิน 72,949,815 บาท ต่อมา มรสุมลูกใหญ่สุดคือ กรณีที่กลุ่มเเอสซีบีเอกซ์ ได้ประกาศล้มดีลซื้อหุ้น "บิทคับ" ในสัดส่วน 51% มูลค่ากว่า 1.78 หมื่นล้าน ทำให้ราคา KUB ปรับตัวลดลงหนักทันทีกว่า 30% ในวันที่ประกาศล้มดีล จากก่อนหน้าที่เคลื่อนไหวอยู่ประมาณ 70-80 บาท เนื่องจากนักลงทุนที่เข้ามาลงทุนซื้อเหรียญ KUB ต่างเข้ามาเก็งกำไรจากราคาเหรียญ จะพุ่งสูงขึ้นเมื่อดีลนี้สำเร็จ เมื่อมีประกาศล้มดีลจึงเทขายออกมาอย่างหนักกดราคาเหรียญ KUB ลดลงต่อเนื่อง ล่าสุด เมื่อวันที่ 30 ส.ค.ที่ผ่านมา ก.ล.ต. ได้ออกคำสั่งปรับนายสำเร็จ วจนะเสถียร (นายสำเร็จ) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายเทคโนโลยี บริษัท บิทคับ บล็อคเชน เทคโนโลยี จำกัด (BBT) ใช้ข้อมูลภายในการร่วมดีลระหว่างเอสซีบีเอกซ์ และบิทคับ ซื้อเหรียญ KUB โดยปรับจำนวนกว่า 8.53 ล้านบาท และห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารเป็นเวลา 12 เดือน ซึ่งขณะนี้ผู้บริหารรายดังกล่าวยังไม่ยอมรับผิด ยืนยันจะนั่งเป็นผู้บริหารต่อไป พร้อมเตรียมต่อสู้ในกระบวนการทางกฎหมายต่อไป ด้านความเคลื่อนไหวราคา KUB ในวันนี้ (1 ก.ย.) ยังคงปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ราคาต่ำสุดที่ 41.65 บาท ขยับตัวขึ้นเล็กน้อยอยู่ที่ 42.84 บาท (ณ เวลา 15.50 น.) ปรับตัวลดลงกว่า 14.10% จากราคาในรอบ 24 ชม. ดังนั้น จึงเป็นที่จับตามองว่า การจูงใจนักลงทุนรายย่อยในแคมเปญ "KUB TO THE MARS" เพื่อล็อกเหรียญเป็นเวลา 1 ปี ครั้งนี้ จะสามารถช่วยพยุงราคาเหรียญไม่ให้ตกไปมากกว่านี้ได้หรือไม่ หลังจากที่ "บิทคับ" หมดรอบข่าวดีที่จะเข้ามาสนับสนุน แถมยังมีปัจจัยลบออกมากระหน่ำอย่างไม่รู้จบ
โดย
pakapong_u
จันทร์ ก.ย. 05, 2022 11:00 pm
0
0
Re: BITKUB
ก.ล.ต.เข้มโฆษณา "คริปโต" ทำได้ผ่านช่องทางการของบริษัทเท่านั้น เผยแพร่: 1 ก.ย. 2565 15:43 ปรับปรุง: 1 ก.ย. 2565 15:43 โดย: ผู้จัดการออนไลน์ สำนักงานก.ล.ต. ปรับปรุงเกณฑ์โฆษณาคริปโตเคอร์เรนซี ทำได้ผ่านช่องทางที่เป็นทางการของบริษัทเท่านั้น ย้ำต้องเป็นข้อเท็จจริง ไม่เกินจริง ไม่บิดเบือนหรือปิดบังสาระสำคัญ ระบุความเสี่ยง และต้องแจ้งรายละเอียดค่าใช้จ่ายต่อ ก.ล.ต. พร้อมยกเลิกให้มีผู้แนะนำรายชื่อลูกค้า (IBA) ของผู้ประกอบธุรกิจที่ให้บริการคริปโตเคอร์เรนซี มีผลบังคับ 1 ก.ย.นี้ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ออกประกาศปรับปรุงหลักเกณฑ์การโฆษณาของผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการกำกับดูแลการโฆษณาของผู้ประกอบธุรกิจให้มีความชัดเจนและเหมาะสม สอดคล้องกับหลักเกณฑ์การกำกับดูแลของต่างประเทศ และเพิ่มความคุ้มครองแก่ผู้ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2565 และสำหรับโฆษณาที่มีมาก่อนวันที่ประกาศมีผลใช้บังคับต้องแก้ไขให้เป็นไปตามที่กำหนดภายใน 30 วันนับจากวันที่ประกาศมีผลใช้บังคับ ปัจจุบันผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลมีการโฆษณาผ่านช่องทางต่างๆ ในวงกว้าง ซึ่ง ก.ล.ต. ได้พบประเด็นปัญหาจากการโฆษณา เช่น ไม่มีคำเตือนเรื่องความเสี่ยงของคริปโตเคอร์เรนซีซึ่งมีความผันผวนสูง หรือคำเตือนมีขนาดเล็กเกินไป รวมถึงเนื้อหาโฆษณาที่แสดงข้อมูลเพียงด้านบวก จึงอาจเป็นการชักชวนประชาชนใช้บริการหรือซื้อขายคริปโตเคอร์เรนซี โดยที่ยังไม่ได้พิจารณาข้อมูลและความเสี่ยงอย่างเหมาะสมก่อนตัดสินใจ ซึ่งอาจทำให้เกิดความเสียหายได้ ก.ล.ต. จึงออกประกาศปรับปรุงหลักเกณฑ์การโฆษณาและการส่งเสริมการขายของผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ตามหลักการที่คณะกรรมการ ก.ล.ต. ในการประชุมเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2565 และวันที่ 5 พฤษภาคม 2565 ได้มีมติเห็นชอบและปรับปรุงตามข้อเสนอแนะที่ได้รับจากการเปิดรับฟังความคิดเห็นผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการกำกับดูแลการโฆษณาให้มีความชัดเจนและเหมาะสม สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ของต่างประเทศ และเพิ่มความคุ้มครองแก่ผู้ซื้อขาย โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้ 1.การโฆษณาต้องไม่เป็นเท็จ ไม่เกินความจริง ไม่บิดเบือน ไม่ปิดบัง หรือทำให้สำคัญผิดในสาระสำคัญ และการให้ข้อมูลเกี่ยวกับจำนวนลูกค้าที่ใช้บริการ ให้ระบุเฉพาะจำนวนลูกค้าที่ได้รับอนุมัติให้เปิดบัญชีและพร้อมใช้บริการแล้วเท่านั้น 2.กำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจที่ประสงค์จะจัดให้มีการโฆษณา ต้องแจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับการโฆษณาและค่าใช้จ่ายในการโฆษณา รวมถึงรายละเอียดการจ้างบุคคลที่มีผลต่อการตัดสินใจต่อผู้ใช้บริการ (blogger หรือ influencer) ต่อ ก.ล.ต. ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และเงื่อนเวลา ที่กำหนด 3.กำหนดให้มีคำเตือนความเสี่ยงในการลงทุนประกอบการโฆษณา โดยรูปแบบการนำเสนอต้องชัดเจน และสังเกตได้ง่าย ต้องนำเสนอข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจลงทุนอย่างครบถ้วน โดยหากมีการแสดงข้อมูลด้านบวกหรือโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทน ต้องมีการแสดงข้อมูลด้านลบหรือความเสี่ยงจากการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลควบคู่กัน (balanced view) 4.กำหนดให้การโฆษณาคริปโตเคอร์เรนซีสามารถทำได้ในช่องทางทางการของผู้ประกอบธุรกิจ (official channel) เท่านั้น เพื่อป้องกันไม่ให้การโฆษณาคริปโตเคอร์เรนซี ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความผันผวนสูงเข้าถึงประชาชนเป็นวงกว้าง และป้องกันไม่ให้เกิดการส่งเสริมหรือการกระตุ้นการตัดสินใจซื้อขายแบบฉับพลัน (impulsive buying) ขณะที่การโฆษณาเกี่ยวกับการให้บริการของผู้ประกอบธุรกิจยังคงสามารถทำได้ในพื้นที่สาธารณะและช่องทางอื่น ๆ 5.กำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจดูแลผู้จัดทำโฆษณา หรือผู้จัดให้มีการโฆษณาเพื่อผู้ประกอบธุรกิจ ซึ่งรวมถึงบริษัทในกลุ่ม บุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องในกิจการ และผู้ที่มีบทบาทหลักที่ปรากฏในโฆษณา ให้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด 6.ยกเลิกการจัดให้มีผู้แนะนำรายชื่อลูกค้า (introducing broker agent: IBA) ของผู้ประกอบธุรกิจที่ให้บริการคริปโตเคอร์เรนซี สำหรับการให้บริการโทเคนดิจิทัลยังจัดให้มี IBA ได้ ทั้งนี้ ประกาศดังกล่าวมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2565 เป็นต้นไป โดยได้มีการกำหนดบทเฉพาะกาล สำหรับกรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจมีการเผยแพร่โฆษณาอยู่ก่อนวันที่ประกาศมีผลใช้บังคับ ให้ปรับปรุงหรือแก้ไขการโฆษณาดังกล่าวให้เป็นไปตามที่กำหนดภายใน 30 วันนับจากวันที่ประกาศมีผลใช้บังคับ
โดย
pakapong_u
จันทร์ ก.ย. 05, 2022 10:59 pm
0
0
Re: BITKUB
คริปโตฯ สู่จุดล่มสลาย / สุนันท์ ศรีจันทรา เผยแพร่: 5 ก.ย. 2565 15:48 ปรับปรุง: 5 ก.ย. 2565 15:48 โดย: ผู้จัดการออนไลน์ ธุรกิจคริปโตเคอร์เรนซี หรือสินทรัพย์ดิจิทัลรุ่งโรจน์มาหลายปี แต่ปีนี้หายนะได้ย่างกรายเข้ามา ถูกมรสุมรุมกระหน่ำอย่างต่อเนื่อง ราคาเหรียญทุกสกุลของโลกดิ่งลงเหว จนนักเก็งกำไรขาดทุนย่อยยับ เช่นเดียวกับคริปโตฯ ในประเทศ ซึ่งกำลังเกิดความระส่ำระสาย ทั้งผู้ประกอบการ ทั้งศูนย์ซื้อขายแลกเปลี่ยนเหรียญหรือโบรกเกอร์ซื้อขายเหรียญ และราคาเหรียญสกุลไทย รวมทั้งธุรกรรมการซื้อขายที่ลดลงอย่างฮวบฮาบ การสร้างกระแสคริปโตฯ โดยเฉพาะการตั้งเหมืองขุดบิตคอยน์ หรือเหรียญสกุลต่างๆ ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นับสิบแห่ง ซึ่งมีเป้าหมายในการปั่นราคาหุ้น โดยบางบริษัทอาจเข้าข่ายสร้างเหมืองทิพย์ แหกตานักลงทุนเท่านั้น แม้แต่กลุ่มมิจฉาชีพยังอาศัยกระแสตื่นตัวของผู้คนที่หวังความร่ำรวยจากคริปโตฯ ตั้งแชร์ลูกโซ่ หลอกลวงคนนับพันคน สร้างความเสียหายนับพันล้านบาท และแม้แต่ผู้ประกอบการคริปโตฯ ก็ไม่ได้ทำธุรกิจอย่างโปร่งใสตรงไปตรงมา แต่กลับใช้ข้อมูลภายในหรืออินไซเดอร์ ซื้อขายคริปโตฯ เอาเปรียบประชาชนทั่วไป นอกจากนั้น ยังมีการสร้างมูลค่าการซื้อขายเทียบหรือปั่นมูลค่าการซื้อขายเหรียญ เพื่อลวงตาให้ประชาชนรู้สึกว่ามีผู้เล่นคริปโตฯ จำนวนมาก ทั้งที่ปัจจุบันเหลือผู้เล่นน้อยมาก สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) รายงานสถานการณ์ธุรกิจคริปโตฯ ล่าสุด ระบุว่า เดือนสิงหาคมที่ผ่านมา มูลคาการซื้อขายคริปโตฯ ในประเทศเหลือเพียง 8.4 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นมูลค่าซื้อขายต่ำสุดนับจากต้นปี ขณะที่เดือนพฤศจิกายน 2564 มีมูลค่าซื้อขายคริปโตฯ รวมกว่า 2.5 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ส่วนราคาเหรียญนับจากต้นปี ปรากฏว่า เหรียญ KUB COIN ราคาลดลงมากที่สุด 88% รองลงมาคือเหรียญอีเทอเรียม ราคาลดลง 61% และบิตคอยน์ลดลง 56% สำหรับจำนวนผู้เปิดบัญชีซื้อขายเหรียญ แม้จะเพิ่มขึ้นในแต่ละเดือน แต่จำนวนผู้ที่ซื้อขายต่อเนื่องมีสัดส่วนที่น้อยมาก เมื่อเทียบสัดส่วนผู้เปิดบัญชี ธุรกิจคริปโตฯ แทบทุกมิติกำลังตกต่ำ ผู้ประกอบการมีแต่ข่าวฉาวโฉ่ ภาพลักษณ์มีแต่ด้านลบ ราคาเหรียญทรุดถ้วนหน้า บิตคอยน์ที่เคยพุ่งสูงสุด 69,000 ดอลลาร์สหรัฐ ล่าสุดมีแนวโน้มจะต่ำกว่า 19,000 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่มีมูลค่าการซื้อขายเหรียญลดลงอย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนให้เห็นว่า นักเก็งกำไรที่ยังไม่ล้มหายตายจาก หรือหมดเนื้อหมดตัวจากคริปโตฯ เริ่มถอยห่างจากการเล่นเงินในอากาศ และแม้จะมีนักเก็งกำไรหน้าใหม่เพิ่มขึ้น แต่ไม่ได้ซื้อขายเหรียญมากนัก คริปโตฯ เดินเข้าสู่ขาลงเต็มตัว โดยเฉพาะราคาเหรียญทุกสกุลในโลก แม้แต่บิตคอยน์ เหรียญที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ซึ่งไม่อาจทำนายได้ว่า ราคาจะดิ่งลงถึงไหน สำหรับเหรียญสกุลไทย ไม่ว่าจะพยายามใช้ลูกเล่นอะไรเพื่อพยุงราคาไม่ให้ร่วงติดพื้น แต่คงไม่อาจต้านทานแนวโน้มราคาที่ใกล้ถึงจุดไร้ค่าได้ รวมทั้ง KUB COIN ที่หาทางลดปริมาณเหรียญในตลาดลง โดยให้ผู้ถือเหรียญนำเหรียญมาฝากเป็นเวลา 1 ปี แลกกับโบนัส 13% จนเหรียญ KUB ที่รูดลงเหลือประมาณ 39 บาท ถูกลากขึ้นมาแถว 60 บาท ความหวังที่จะร่ำรวยในชั่วข้ามคืน นำพาให้นักเก็งกำไรทั่วโลกวายวอด จนยุคตื่น “COIN” กำลังปิดฉากลง ไม่น่าจะมีใครเพ้อฝัน อยากรวยจากการเล่นคริปโตฯ อีก ไม่น่าจะมีนักเก็งกำไรหน้าใหม่สักเท่าไหร่ที่จะเข้าไปเสี่ยงดวงกับเงินดิจิทัล นายหน้าซื้อขาย COIN จากนี้ไปหากินยากแล้วล่ะ
โดย
pakapong_u
จันทร์ ก.ย. 05, 2022 10:58 pm
0
0
Re: BITKUB
อินไซเดอร์ KUB COIN / สุนันท์ ศรีจันทรา เผยแพร่: 1 ก.ย. 2565 17:11 ปรับปรุง: 1 ก.ย. 2565 17:11 โดย: ผู้จัดการออนไลน์ ปีนี้กลุ่ม “บิทคับ” ตกเป็นข่าวฉาวโฉ่อย่างต่อเนื่อง ก่อคดีความผิดต่างๆ นับไม่ถ้วน ล่าสุด สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพยและตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ประกาศใช้มาตรการลงโทษทางแพ่ง ปรับผู้บริหารบริษัท บิทคับ บล็อคเชน เทคโนโลยี จำกัด ฐานใช้ข้อมูลภายในซื้อขาย KUB COIN นายสำเร็จ วัจนะเสถียร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ บล็อคเชน เทคโนโลยี จำกัด บริษัทในกลุ่ม “BIT KUB” ถูก ก.ล.ต.สั่งปรับเป็นเงิน 8.53 ล้านบาท และห้ามเป็นกรรมการและผู้บริหารของผู้เสนอชายโทเคนดิจิทัล หรือผู้ประกอบสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นเวลา 12 เดือน ก.ล.ต.ระบุว่า ระหว่างวันที่ 4 กันยายน ถึง 2 พฤศจิกายน 2564 มีการเจรจาซื้อหุ้นบริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด จำนวน 51% ของทุนจดทะเบียน วงเงิน 17,850 ล้านบาท โดยบล.ไทยพาณิชย์จะเป็นผู้ซื้อ ซึ่งมีผลต่อราคาเหรียญ KUB แต่ก่อนจะมีการเปิดเผยข้อมูลการทำสัญญาซื้อขายในวันที่ 2 พฤศจิกายน 2564 นายสำเร็จ ได้ซื้อเหรียญ KUB จำนวนมากอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งสิ้น 61,107.66 เหรียญ มูลค่า 1,994,966.56 ล้านบาท จึงมีความผิดฐานซื้อเหรียญ KUB โดยเป็นบุคคลที่รู้หรือครอบครองข้อมูลภายใน ตามความผิด พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ ราคาเหรียญ KUB ก่อนเปิดเผยข้อมูลการเจรจาซื้อขายหุ้น บิทคับ ออนไลน์ อยู่ที่ 49.53 บาท แต่วันที่ 2 พฤศจิกายน เพิ่มขึ้นสูงสุดถึง 99.99 บาท หรือเพิ่มขึ้น 101% การใช้อินไซเดอร์แสวงหาประโยชน์จากการซื้อขายเงินดิจิทัลเพิ่งเกิดขึ้นเป็นคดีแรก กรณีของนายสำเร็จ ซึ่งตอกย้ำความไม่โปร่งใสในการดำเนินธุรกิจสินรัพย์ดิจิทัลของกลุ่ม “บิทคับ” ซึ่งมีนายท็อป หรือ “จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา” เป็นหัวเรือใหญ่ เพราะก่อนหน้าบริษัทในกลุ่ม “บิทคับ” ถูก ก.ล.ต.ปรับในความผิดมากมาย รวมทั้งการสร้างมูลค่าซื้อขายเหรียญเทียม หรือปั่นมูลค่าซื้อขายเหรียญ สร้างภาพลวงตาว่ามีผู้ซื้อขายเหรียญจำนวนมาก การที่กลุ่มธนาคารไทยพาณิชย์ตัดสินใจล้มธุรกรรมการซื้อขายหุ้น “บิทคับ ออนไลน์” มูลค่า 17,850 ล้านบาท ส่วนหนึ่งเพราะพฤติกรรมของกลุ่ม “บิทคับ” จนถูก ก.ล.ต.เฝ้าจับตา จุดสูงสุดของท็อป จิรายุส ผ่านพ้นไปแล้ว เช่นเดียวกับความรุ่งเรืองสุดขีดของกลุ่มบิทคับ ยักษ์ใหญ่ในธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลที่ปิดฉากลง และกำลังเดินเข้าสู่ความตกต่ำ ทั้งธุรกิจ ภาพลักษณ์ จนคนที่เคยโหนกระแส "นายท็อป จิรายุส" ทยอยกันโดดหนี ไม่ร่วมสังฆกรรมด้วย ชะตากรรมของบิทคับจะเป็นอย่างไรไม่เกี่ยวกับสาธารณชนเท่าไหร่นัก เพราะผู้ถือหุ้นเป็นเพียงคนกลุ่มเล็กๆ เพียงกลุ่มเดียว และผู้ประกอบการสินทรัพย์ดิจิทัลไม่ได้มีเพียงกลุ่มเดียว ถ้าบิทคับจะต้องล่มสลาย ล้มหายตายจาก คงไม่ส่งผลกระทบต่อศูนย์ซื้อขายหรือธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลมากนัก แต่ราคาเหรียญ KUB ที่ผลิตออกมาจำนวน 110 ล้านเหรียญของกลุ่มบิทคับ เกี่ยวข้องกับหายนะของนักเก็งกำไรนับหมื่นคน ราคาเหรียญ KUB เคยถูกลากขึ้นไปสูงสุดที่ 584 บาท หลัง บล.ไทยพาณิชย์ประกาศซื้อหุ้นบิทคับฯ แต่หลังจากนั้นรูดลงมาตลอด และรูดลงเหลือประมาณ 40 บาทเศษ เมื่อกลุ่มธนาคารพาณิชย์ประกาศล้มดีล ยกเลิกการซื้อหุ้น KUB COIN หรือเหรียญ KUB มีแนวโน้มที่อาจล่มสลายไร้ค่าเหมือนเหรียญ LUNA แต่ยังไม่สายจนเกินไปสำหรับคนที่หลวมตัวเข้าไปเล่น และยังถือเหรียญ KUB อยู่ในมือ เพราะวันนี้ยังมีราคาให้ขาย KUB COIN อยู่ แม้จะขาดทุนย่อยยับก็ตาม แต่วันหน้าขายราคาเท่าไหร่อาจไม่มีใครซื้อ
โดย
pakapong_u
จันทร์ ก.ย. 05, 2022 10:57 pm
0
0
Re: AAI
ASIAN จัดสรรหุ้นเพิ่มทุน “AAI” ให้ Pre-emptive Right ที่ 6.385 ต่อ 1 กำหนดวัน Record Date ผู้ถือหุ้นรับสิทธิซื้อหุ้น IPO 19 ก.ย.นี้ “บมจ. เอเชี่ยนซี คอร์ปอเรชั่น หรือ ASIAN” แจ้งกำหนดวันรายชื่อผู้ถือหุ้น (Record Date) 19 ก.ย. นี้ ที่มีสิทธิได้รับการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ บมจ.เอเชี่ยน อะไลอันซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล (AAI) ที่เสนอขายต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก โดยให้ Pre-emptive Right ในอัตราส่วน 6.385 หุ้นสามัญ ของบริษัทต่อ 1 หุ้นสามัญเพิ่มทุนของ AAI นายเอกกมล ประสพผลสุจริต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการเงิน บริษัท เอเชี่ยนซี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ASIAN เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ กำหนดการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนของบริษัทย่อยให้กับผู้ถือหุ้นของบริษัท (Pre-emptive Right) สืบเนื่องจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2565 มีมติอนุมัติแผนการนำหุ้นของบริษัท เอเชี่ยน อะไลอันซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ AAI ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (Spin- off) โดยการเสนอขายและจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ AAI ให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) รวมทั้งผู้ถือหุ้นของบริษัทที่มีสิทธิจองซื้อก่อนตามสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัท (Pre-emptive Rights) โดยกำหนดจำนวนหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่จะเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของ ASIAN ในสัดส่วนไม่เกิน 127,500,000 หุ้น หรือไม่เกินร้อยละ 20 ของจำนวนหุ้นสามัญของ AAI ที่เสนอขายต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก ผู้ถือหุ้นของบริษัทที่มีสิทธิได้รับการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ AAI หมายถึง บุคคลที่มีรายชื่อปรากฏอยู่ในสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นของบริษัท ณ วันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้น (Record Date) ในวันที่ 19 กันยายน 2565 โดยผู้ถือหุ้นดังกล่าวมีสิทธิจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ AAI ตามสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัท (Pre-emptive Rights) ในอัตราส่วน 6.385 หุ้นสามัญ ของบริษัทต่อ 1 หุ้นสามัญเพิ่มทุนของ AAI อนึ่ง บริษัท เอเชี่ยน อะไลอันซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ AAI ซึ่งเป็นบริษัทย่อย เตรียมจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ขณะนี้การดำเนินการยังเป็นไปตามแผนที่วางไว้ ล่าสุด สำนักงาน ก.ล.ต. ได้เริ่มนับหนึ่งไฟลิ่งแล้วเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2565 ปัจจุบันบริษัทฯ อยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมเพื่อเสนอขายหุ้น IPO ไม่เกิน 637.5 ล้านหุ้น และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปีนี้ เพื่อปลดล็อกฐานทุนเร่งการเติบโตของธุรกิจ
โดย
pakapong_u
อาทิตย์ ก.ย. 04, 2022 6:50 pm
0
1
Re: SAFARI
หนึ่งเดียวในโลก!"คาร์นิวัลเมจิก"เมืองไฟภูเก็ต 6,600 ล้าน เปิด 20 ก.ย.65 ฐานเศรษฐกิจดิจิทัล 01 ก.ย. 2565 เวลา 16:25 น. หนึ่งเดียวในโลก! ‘คาร์นิวัลเมจิก’ธีมปาร์คคาร์นิวัลสไตล์ไทยแห่งเดียวในโลก เมืองไฟ 40 ล้านดวง มูลค่าการลงทุน 6,600 ล้านบาท แลนด์มาร์กใหม่ท่องเที่ยวภูเก็ต พร้อมเปิดให้บริการ 20 กันยายน 2565 ชูไฮไล์ตสถิติโลก 9 รางวัลจากกินเนส เวิล์ด เรคคอร์ด นายกิตติกร คิ้วคชา กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัทภูเก็ตแฟนตาซี จำกัด และบริษัทคาร์นิวัลเมจิก จำกัด กล่าวว่ากว่า 22 ปีของการเปิดให้บริการภูเก็ตแฟนตาซี ถือว่าได้รับการตอบรับจากนักท่องเที่ยวเป็นอย่างดี และเรากำลังจะเปิดตัวโครงการใหม่ อย่าง “คาร์นิวัลเมจิก- มหัศจรรย์เมืองไฟ” ในวันที่ 20 กันยายน 2565 มูลค่าการลงทุนกว่า6,600 ล้านบาท หลังใช้เวลาก่อสร้างมานานกว่า 6 ปี โดย “คาร์นิวัลเมจิก มหัศจรรย์เมืองไฟ”จะเป็นธีมพาร์ก คาวินัล สไตล์ไทย แห่งใหม่ผสมผสานความเป็นไทย วัฒนธรรมไทยที่แรกและที่เดียวในโลกจุดเด่นของที่นี่ คือ เมืองไฟ (Kingdom of Light) เป็นพื้นที่กว่า 100 ไร่ ที่จะตกแต่งประดับประดาดวงไฟในรูปลักษณ์ต่างๆ รวมกว่า 40 ล้านดวงที่จะสร้างความตระกาลตาและประสบการณ์แปลกใหม่แห่งเดียวในโลก ซึ่งอยู่ติดกับภูเก็ต แฟนตาซี ทั้งนี้ภายใน“คาร์นิวัลเมจิก- มหัศจรรย์เมืองไฟ”จะมีจุดเด่นใน 4 โซนหลัก ได้แก่ โซนที่ 1 ถนนช้อปปิ้ง(Carnival Fun Fair) ร้านค้าต่างๆถูกออกแบบสวยงามสไตล์คาวินัล ไม่เหมือนใครให้นักท่องเที่ยวสนุกสนานไปกับกิจกรรมตลอดทั้งคืน ศูนย์รวมเครื่องเล่นVR เครื่องเล่นต่างๆ หนึ่งเดียวในโลก!"คาร์นิวัลเมจิก"เมืองไฟภูเก็ต 6,600 ล้าน เปิด 20 ก.ย.65 โซนที่ 2 ภัตตาคารเบิร์ดออฟพาราไดซ์ รองรับได้ 3,000 ที่นั่ง บรรยากาศเหมือนทานอาหารอยู่ในสวนสวรรค์ บริการอาหารสไตล์บุฟเฟ่ต์นานาชาติกว่า 100 เมนู มีแยกพื้นที่อาหารฮาลาล อินเดีย และไพเวท กรุ๊ป โซนที่ 3 เป็นโรงละคร (River palace) รองรับได้มากกว่า 2,200 ที่นั่ง เป็นโรงละครที่ใหญ่ที่สุดในโลก โรงละครมีความยาว 200 เมตร การแสดงจะเป็นพาเหรดที่ผสมผสานศิลปะไทยกับเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้าด้วยกัน ไฮไลต์อยู่ที่ขบวนพาเหรดที่ยาวที่สุดในโลก 70 เมตร เทียบเท่ากับเครื่องบินแอร์บัสเอ 380 ขบวนพาเหรดลอยฟ้าขนาดมหึมา ฉากวันลอยกระทง ที่ใช้เทคโนโลยี Animatronics ระบบเครื่องยนต์ในการเคลื่อนไหว ซึ่งจะมีการจัดแสดงวันละ 4 รอบต่อวัน แต่ในระยะแรกจะเปิดบริการอยู่ที่ 2รอบต่อวัน ใช้เวลาในการแสดง 50 นาที โซนที่4 เมืองไฟ (Kingdom of light)ที่ประดับไฟกว่า 40 ล้านดวง บนพื้นที่ทั้งหมด 9 โซน ที่มีไฮไลท์มากมาย เช่นการนำไฟมาประดับโครงเหล็กดัดล้อมรอบทะเลสาบยาวถึง 50 กิโลเมตรเท่ากับเกาะภูเก็ต ที่ล้วนเป็นไฟ LED ที่มีความปลอดภัย นอกจากนี้โครงการ“คาร์นิวัลเมจิก มหัศจรรย์เมืองไฟ” ยังได้รับการรับรองสถิติโลกจาก กินเนสเวิล์ด เรคคอร์ด ใน 9 รางวัล ได้แก่ 1. รถพาเหรดที่ยาวที่สุดในโลก 2. การแสดงแสงสีเสียงที่ใช้ไฟ LED มากที่สุดในโลก 3. รูปปั้นไฟ LED ที่ใหญ่ที่สุดในโลก 4. โครงสร้างไฟLED ที่ใหญ่ที่สุดในโลก 5. ตู้ป๊อปคอร์น ใหญ่ที่สุดในโลก 6. โคมระย้า ใหญ่ที่สุดในโลก 7. รูปปั้นเปเปอร์มาเช่ ใหญ่สุดในโลก 8. กรอบเวที สูงที่สุดในโลก 9.รถตู้ที่ติดไฟ LED มากที่สุดในโลก ทั้งนี้หลังการเปิดให้บริการตั้งเป้าว่าจะดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวที่คาร์นิวัลเมจิก ราว 1.5-2 ล้านคนต่อปีภายในปี 2566 เราได้ทำการตลาดผ่านคู่ค้าหรือเอเยนต์ทั้งในไทยและต่างประเทศที่เป็นพันธมิตรมากกว่า 1,000 แห่ง โดยกลุ่มเป้าหมายจะเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ 70% คนไทย 30% กลุ่มลูกค้าต่างชาติส่วนใหญ่จะเน้นอินเดีย จีน ยุโรป ออสเตรเลีย กลุ่มประเทศตะวันออกกลาง ซึ่งโครงการนี้จะเป็นแม่เหล็กใหม่ด้านการท่องเที่ยวของภูเก็ต https://youtu.be/zq8Eeg09JBM https://youtu.be/AqXS1rTGgPQ https://www.youtube.com/watch?v=6J8V9-a5xk0
โดย
pakapong_u
เสาร์ ก.ย. 03, 2022 10:52 pm
0
1
Re: BITKUB
บิทคับ ยัน ‘สำเร็จ’ ยังนั่งบริหาร หลังก.ล.ต.สั่งห้าม ชี้ไม่ได้รับผลกระทบ วันที่ 30 สิงหาคม 2565 - 18:20 น. บิทคับ ประกาศ ‘สำเร็จ วจนะเสถียร’ ยังนั่งตำแหน่งปธ. จนกว่าจะเกิดความชัดเจนในกระบวนกฎหมาย หลังก.ล.ต.สั่งห้าม ยันไม่ได้รับผลกระทบ สืบเนื่อวงจากรณี ก.ล.ต. เปิดเผยการดำเนินคดีด้วยมาตรการลงโทษทางแพ่งกับผู้กระทำความผิด นายสำเร็จ วจนะเสถียร (นายสำเร็จ) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายเทคโนโลยี บริษัท บิทคับ บล็อคเชน เทคโนโลยี จำกัด (BBT) กรณีซื้อโทเคนดิจิทัล Bitkub Coin (เหรียญ KUB) โดยเป็นบุคคลซึ่งรู้หรือครอบครองข้อมูลภายใน โดยให้ผู้กระทำความผิดชำระเงินรวม 8,530,383 บาท และกำหนดระยะเวลาห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารเป็นเวลา 12 เดือน ต่อมา เฟซบุ๊ก Bitkub Chain ได้เผยแพร่ข้อความ “ประกาศเรื่อง คุณ สำเร็จ วจนะเสถียร CTO ยังปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งตามปกติ” สืบเนื่องจากข่าวสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ฉบับที่ 135/2565 เรื่อง ก.ล.ต. ใช้มาตรการลงโทษทางแพ่งกับผู้กระทำความผิด 1 ราย กรณีซื้อเหรียญ KUB โดยอาศัยข้อมูลภายใน ลงวันที่ 30 สิงหาคม 2565 นั้น บริษัท บิทคับ บล็อคเชน เทคโนโลยี จำกัด (“บริษัท”) ขอแจ้งให้ทราบว่า คุณ สำเร็จ วจนะเสถียร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายเทคโนโลยี (Chief Technology Officer : CTO) ยังปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งดังกล่าวตามปกติ จนกว่าจะเกิดความชัดเจนในกระบวนการทางกฎหมาย โดยบริษัทจะติดตามและเรียนแจ้งให้ลูกค้าและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกท่านทราบต่อไป จากกรณีดังกล่าวบริษัทขอยืนยันว่า บริษัทไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ดังกล่าว ตลอดจนการพัฒนาเครือข่าย Bitkub Chain และการดำเนินการของบริษัท ไม่ได้รับผลกระทบกับเหตุการณ์นี้แต่อย่างใด บริษัทขอเรียนให้ลูกค้าและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกท่านทราบว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาและต่อไปในอนาคต บริษัทยังคงมุ่งมั่นพัฒนาเครือข่าย Bitkub Chain ตามแผนงานที่ได้ให้คำมั่นสัญญากับสาธารณะชนดังที่นำเสนอผ่านเอกสาร Whitepaper ด้วยความมุ่งหวังที่จะให้ Bitkub Chain เป็นโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจดิจิทัลที่แข็งแรงของประเทศไทยให้ทัดเทียมกับเครือข่ายบล็อกเชนชั้นนำระดับโลก ด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สามารถเข้าถึงได้และสร้างประโยชน์ต่อทุกภาคส่วนอย่างเท่าเทียม และโปร่งใสต่อไป ขอแสดงความนับถือ บริษัท บิทคับ บล็อคเชน เทคโนโลยี จำกัด
โดย
pakapong_u
อังคาร ส.ค. 30, 2022 7:13 pm
0
0
Re: BITKUB
ก.ล.ต. ลงโทษ-ปรับผู้บริหาร "บิทคับ บล็อคเชนฯ" ใช้อินไซด์ซื้อเหรียญ KUB ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday August 30, 2022 17:02 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยการดำเนินคดีด้วยมาตรการลงโทษทางแพ่งกับผู้กระทำความผิดราย นายสำเร็จ วจนะเสถียร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายเทคโนโลยี บริษัท บิทคับ บล็อคเชน เทคโนโลยี จำกัด (BBT) กรณีซื้อโทเคนดิจิทัล Bitkub Coin (เหรียญ KUB) โดยเป็นบุคคลซึ่งรู้หรือครอบครองข้อมูลภายใน โดยให้ผู้กระทำความผิดชำระเงินรวม 8,530,383 บาท และกำหนดระยะเวลาห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารเป็นเวลา 12 เดือน ก.ล.ต.ได้ติดตามสภาพการซื้อขายบนศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลของ บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด หรือเรียกว่า Bitkub Exchange ตามที่ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ได้แจ้งสารสนเทศผ่านระบบข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2564 เวลา 18.53 น. ว่า บล.ไทยพาณิชย์ จะเข้าทำสัญญาซื้อหุ้นร้อยละ 51 ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของบริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด (BO) จากบริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (BCGH) คิดเป็นมูลค่าประมาณ 17,850 ล้านบาท โดยมีเงื่อนไขว่าผลการสอบทานธุรกิจ (Due Diligence) ของบริษัท BO ส่วนที่เป็นสาระสำคัญต้องเป็นที่น่าพอใจและคู่สัญญาได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ระบุในสัญญาซื้อขายหุ้นครบถ้วน เหตุการณ์ตามสารสนเทศดังกล่าวมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อราคาเหรียญ KUB ที่เสนอขายโดยบริษัท BBT ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มบริษัทบิทคับและมีความเกี่ยวพันกัน อันเป็นข้อมูลภายในเกี่ยวกับบริษัท BBT โดยในวันที่ 2 พฤศจิกายน 2564 ราคาซื้อขายเหรียญ KUB ได้ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงก่อนที่จะเปิดเผยข้อมูลสารสนเทศ โดยราคาสูงสุดของวันอยู่ที่ 99.99 บาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 101 จาก 49.53 บาท ซึ่งเป็นราคาสุดท้ายก่อนที่จะเปิดเผยข้อมูลสารสนเทศ นอกจากนี้ ก.ล.ต. ได้รับการร้องเรียนให้ตรวจสอบกรณีมีเหตุสงสัยว่ามีบุคคลซื้อขายเหรียญ KUB โดยรู้หรือครอบครองข้อมูลภายในเกี่ยวกับเหตุการณ์ตามสารสนเทศดังกล่าว ผลการตรวจสอบของ ก.ล.ต. พบว่า กลุ่มธนาคาร SCB และบริษัท BCGH ได้เริ่มเจรจาการซื้อขายหุ้นของบริษัท BO ตั้งแต่ช่วงเดือนสิงหาคม 2564 และในระหว่างวันที่ 4 กันยายน ? 2 พฤศจิกายน 2564 ก่อนการเปิดเผยข้อมูลภายในดังกล่าว นายสำเร็จ ดำรงตำแหน่งเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายเทคโนโลยี (CTO) ของบริษัท BBT ได้มีพฤติกรรมการซื้อเหรียญ KUB จำนวนมากอย่างต่อเนื่อง เป็นจำนวน 61,107.66 เหรียญ มูลค่า 1,994,966.56 บาท ซึ่งต่างจากพฤติกรรมก่อนเกิดข้อมูลภายในดังกล่าว การกระทำของนายสำเร็จเป็นความผิดฐานซื้อเหรียญ KUB โดยเป็นบุคคลซึ่งรู้หรือครอบครองข้อมูลภายในตามมาตรา 42(1) ประกอบมาตรา 43(1) ซึ่งมีบทกำหนดโทษตามมาตรา 70 และมาตรา 72 แห่งพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 คณะกรรมการพิจารณามาตรการลงโทษทางแพ่ง (ค.ม.พ.) มีมติให้นำมาตรการลงโทษทางแพ่งมาใช้บังคับกับนายสำเร็จ โดยกำหนดมาตรการลงโทษทางแพ่ง ได้แก่ ค่าปรับทางแพ่ง ชดใช้เงินในจำนวนเท่ากับผลประโยชน์ที่ได้รับหรือพึงได้รับ และชดใช้ค่าใช้จ่ายของ ก.ล.ต. เนื่องจากการตรวจสอบการกระทำความผิด รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 8,530,383 บาท รวมทั้งห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารของผู้เสนอขายโทเคนดิจิทัลหรือผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล เป็นเวลา 12 เดือน การกำหนดระยะเวลาห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารดังกล่าวข้างต้นจะมีผลนับตั้งแต่วันที่ผู้กระทำความผิดลงนามในบันทึกการยินยอมปฏิบัติตามมาตรการลงโทษทางแพ่งที่ ค.ม.พ. กำหนด หากผู้กระทำความผิดไม่ยินยอม ก.ล.ต. จะมีหนังสือขอให้พนักงานอัยการดำเนินการฟ้องคดีต่อศาลแพ่งเพื่อกำหนดมาตรการลงโทษทางแพ่งในอัตราที่อัตราสูงสุดที่กฎหมายบัญญัติโดยไม่ต่ำกว่าอัตราที่ ค.ม.พ. กำหนด ทั้งนี้ เงินค่าปรับทางแพ่งและเงินค่าชดใช้คืนผลประโยชน์ที่ได้รับจากการกระทำความผิดเป็นรายได้แผ่นดินที่นำส่งกระทรวงการคลัง ในกรณีนี้ ก.ล.ต. ได้ประสานความร่วมมือกับกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) โดยกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) ในการตรวจสอบรวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐาน ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของหน่วยงานทั้ง 2 แห่งที่ได้มีการหารือแนวทางการทำงานเชิงรุกร่วมกันในการสืบสวนและตรวจสอบการกระทำผิดเกี่ยวกับตลาดทุนและสินทรัพย์ดิจิทัล เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมาย
โดย
pakapong_u
อังคาร ส.ค. 30, 2022 5:11 pm
0
1
Re: BITKUB
ธปท. แจ้งรับทราบ SCB ล้มดีล “บิทคับ” ยันก่อนหน้าไม่ได้ยื่นขออนุญาต ธปท. ได้รับแจ้งเรื่อง SCB ยกเลิกดีล BitKub แล้ว ยันก่อนหน้า “เอสซีบี เอกซ์” ยังไม่ได้ยื่นรายละเอียดคำขออนุญาตที่ครบถ้วนอย่างเป็นทางการ พร้อมย้ำให้ความสำคัญกับการพัฒนานวัตกรรมของภาคการเงิน ควบคู่ไปกับการดูแลเสถียรภาพโดยรวมและความมั่นคงของกลุ่มธุรกิจ ธพ. นายรณดล นุ่มนนท์ รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงกรณี บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด (SCBS) ล้มเลิกทำสัญญาธุรกรรมซื้อหุ้นใน BitKub Online ในสัดส่วน 51% นั้น บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB ยังไม่ได้ยื่นรายละเอียดคำขออนุญาตที่ครบถ้วนอย่างเป็นทางการต่อ ธปท. แต่ ธปท.ได้รับแจ้งเรื่องการยกเลิกดีลดังกล่าวแล้ว สำหรับในการกำกับดูแลเรื่องนี้ ธปท. ให้ความสำคัญกับการพัฒนานวัตกรรมของภาคการเงิน ควบคู่ไปกับการดูแลเสถียรภาพโดยรวมและความมั่นคงของกลุ่มธุรกิจ ธพ. ทั้งด้านธรรมาภิบาล ความเพียงพอของเงินกองทุน การบริหารจัดการความเสี่ยงและผลกระทบในด้านต่างๆ รวมถึงการดูแลผู้ใช้บริการ โดยเกณฑ์ปัจจุบัน ธปท.อนุญาตให้บริษัทในกลุ่มธนาคารพาณิชย์สามารถลงทุนในกิจการที่ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset หรือ DA) ได้ไม่เกิน 3% ของเงินกองทุน เพื่อ (1) เปิดโอกาสให้บริษัทในกลุ่มธนาคารพาณิชย์มีความยืดหยุ่นในการลงทุนเพื่อนำนวัตกรรมมาให้บริการแก่ลูกค้าให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น (2) ให้ธุรกิจ DA ในประเทศขยายตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อจำกัดความเสี่ยงใหม่ๆ ที่อาจกระทบความเชื่อมั่นต่อธนาคารพาณิชย์ (3) ให้กลุ่มธนาคารพาณิชย์พิจารณาการลงทุนหรือจัดสรรทรัพยากรอย่างรอบคอบ ซึ่งทั้งหมดนี้จะเป็นประโยชน์กับผู้ใช้บริการและการพัฒนานวัตกรรมของภาคการเงินไทยในที่สุด ทั้งนี้กลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่ต้องการจะมีบริษัทลูกประกอบธุรกิจเกี่ยวกับ DA ต้องยื่นขออนุญาตต่อ ธปท. ก่อน ทั้งนี้ หลักเกณฑ์ข้างต้นไม่ได้ออกมาเพื่อดูแลความเสี่ยงของดีลใดดีลหนึ่งโดยเฉพาะ แต่เป็นการดูแลความเสี่ยงในภาพรวมของระบบการเงินเป็นสำคัญ
โดย
pakapong_u
จันทร์ ส.ค. 29, 2022 9:25 pm
0
0
Re: AAI
ASIAN ขึ้น XB 16 ก.ย. ให้ IPO ‘เอเชี่ยน อะไลอันซ์’ 29/08/2022 18:24 ”เอเชี่ยนซี คอร์ปอเรชั่น”ให้สิทธิผู้ถือหุ้นที่มีชื่อในทะเบียน 19 ก.ย.ได้รับการจัดสรรหุ้น IPO ของ ‘เอเชี่ยน อะไลอันซ์’ สัดส่วน 6.385 : 1 ช่วยดันหุ้น ASIAN บวก 0.20 บาท บริษัท เอเชี่ยนซี คอร์ปอเรชั่น (ASIAN) จัดสรรหุ้นเพิ่มทุนของบริษัท เอเชี่ยน อะไลอันซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล (AAI)ที่เสนอขายให้แก่ประชาชนครั้งแรก (IPO) จำนวน 127.5 ล้านบาท ให้แก่ผู้ถือหุ้นของ ASIAN ที่มีชื่อในทะเบียนวันที่ 19 ก.ย.2565 สัดส่วน 6.385 : 1 กำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิประโยชน์อื่นๆ (XB) 16 ก.ย. 2565 สำหรับ AAI มีแผนจะนำหุ้นเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ในปี 2565 มีทุนจดทะเบียนจำนวน 2,125 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 2,125 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1 บาท โดยเป็นทุนชำระแล้วทั้งสิ้น 1,700 ล้านบาท จะเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 637.5 ล้านหุ้น แบ่งเป็น 1) หุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายโดยบริษัทฯ จำนวนไม่เกิน 425 ล้านหุ้น และ 2) หุ้นเดิมที่เสนอขายโดยผู้ถือหุ้นเดิม คือ ASIAN จำนวนไม่เกิน 212.5 ล้านหุ้น รวมทั้งหมดไม่เกิน 30% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO ครั้งนี้ ด้านราคาหุ้น ASIAN ปิดที่ 17.60 บาทเพิ่มขึ้น 0.20 บาทหรือ +1.15% สวนทางดัชนีตลาดหลักทรัพย์ร่วงหนักกว่า 18 จุด หรือ -1.11% วันที่ 29 ส.ค.2565
โดย
pakapong_u
จันทร์ ส.ค. 29, 2022 7:51 pm
0
2
Re: BITKUB
มัดตราสัง “บิทคับ” / สุนันท์ ศรีจันทรา เผยแพร่: 26 ส.ค. 2565 19:11 ปรับปรุง: 26 ส.ค. 2565 19:11 โดย: ผู้จัดการออนไลน์ ในที่สุด บริษัท เอสซีบี เอ็กซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB ได้ประกาศอย่างชัดเจน ยกเลิกธุรกรรมการซื้อขายหุ้น ระหว่างบริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ ซึ่งเป็นบริษัทย่อย กับบริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด มีผลตั้งแต่วันที่ 25 สิงหาคม 2565 SCB แจงเหตุผลว่า “บิทคับ ออนไลน์” ยังมีประเด็นคงค้างที่ต้องดำเนินการหาข้อสรุปตามคำแนะนำและคำสั่งของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ซึ่งยังมีความไม่แน่นอนในเรื่องระยะเวลาหาข้อสรุป ผู้ซื้อผู้ขายจึงตกลงร่วมกันยกเลิกข้อตกลงซื้อขายหุ้น คณะกรรมการบริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ มีมติเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2564 อนุมัติการเข้าทำสัญญาซื้อหุ้นบริษัท บิทคับ ออนไลน์ ผู้ให้บริการศูนย์ซื้อขายแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลรายใหญ่ที่สุดของประเทศ ในสัดส่วน 51% ของทุนจดทะเบียน วงเงิน 17,850 ล้านบาท แต่การตรวจสอบและประเมินทรัพย์สิน รวมทั้งหนี้สินของ “บิทคับ” ยืดเยื้อมายาวนานเกือบ 10 เดือน ท่ามกลางข่าวลือว่า SCB อาจล้มเลิกสัญญาการซื้อหุ้นบิทคับฯ เพราะมีข่าวฉาวโฉ่อย่างต่อเนื่อง และถูก ก.ล.ต.ปรับในฐานความผิดต่างๆ ขณะที่การซื้อขายเก็งกำไรสินทรัพย์ดิจิทัลหรือคริปโตเคอร์เรนซีซบเซา ราคาเหรียญสกุลต่างๆ ทรุดฮวบ SCB แจ้งการล้มสัญญารซื้อขายหุ้นบิทคับฯ ระหว่างพักการซื้อขายหุ้นในรอบเช้า และถือเป็นข่าวดีสำหรับหุ้น SCB แต่เป็นข่าวร้ายของ KUBCOIN ซึ่งออกโดยบริษัท บิทคับ บล็อคเชน เทคโนโลยี จำกัด ราคาหุ้น SCB พุ่งทะยานขึ้นทันทีหลังเปิดการซื้อขายในภาคบ่ายวันพฤหัสบดีที่ 25 สิงหาคม ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ 110.50 บาท เพิ่มขึ้น 6 บาท มูลค่าซื้อขาย 6,503.99 ล้านบาท โดยเป็นหุ้นที่มีการซื้อขายสูงสุดประจำวัน ขณะที่ราคาเหรีญ KUB ทรุดฮวบลงทันที จากราคาประมาณ 73 บาท ทรุดลงไปแตะ 48 บาท ก่อนจะเด้งขึ้นมาล่าสุดที่ประมาณ 62 บาท โดยไม่อาจคาดการณ์ใดๆ เกี่ยวกับแนวโน้มราคาเหรียญ KUB ได้ เพราะไม่มีปัจจัยในเชิงบวกสนับสนุน นอกจากข่าวร้ายชิ้นใหญ่ ถูก SCB ถอนยวงร่วมลงทุน ช่วงที่ SCB ประกาศจะซื้อหุ้นบิทคับฯ ถือเป็นเวลารุ่งเรืองสุดขีดของกลุ่มบิทคับ และนายท๊อป หรือจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ถือหุ้นใหญ่บิทคับ โดยราคาเหรียญ KUB ถูกลากขึ้นไปสูงสุดที่ 584 บาท ก่อนจะทรุดลงเรื่อยมา การประกาศยกเลิกสัญญาซื้อหุ้นของ SCB เป็นการตอกฝาโลงกลุ่มบิทคับ และเป็นข่าวร้ายที่กระหน่ำซ้ำเติมจนเหรียญ KUB ดิ่งลงเหว หลังจากถูกบริษัท โปรเอ็น คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ PROEN ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาด MAI ขอยกเลิกการลงทุนในเหรียญ KUB จำนวน 250,000 เหรีญ วงเงินลงทุน 72 ล้าน เพราะกังวลในความผันผวนของราคาเหรียญ KUB COIN หรือเหรียญ KUB ออกมาจำนวนทั้งสิ้น 110 ล้านเหรียญ มีนักเก็งกำไรคนรุ่นใหม่แห่เข้าไปเล่นจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่ขาดทุนป่นปี้ โดยบางคนยอมตัดขาดทุนและขายทิ้ง แต่บางคนทำใจแบกรับขาดทุนไม่ไหว และทนถือเหรียญไว้ ภายใต้ความหวังว่า สักวันหนึ่งราคาคงฟื้นคืนกลับขึ้นมาใหม่ แต่หมดข่าวดีที่รอคอยสำหรับเหรียญ KUB แล้ว การขอแยกทางของ SCB เป็นการปิดฉากของเงินดิจิทัลที่ “บิทคับ” ผลิตขึ้นมา และตอกย้ำขาลงเต็มตัวของกลุ่ม “บิทคับ” และ KUBCOIN นักเก็งกำไรที่มีเหรียญ KUB ติดมือไว้ยังมีเวลาที่จะลดความสูญเสีย โดยขายทิ้งเหรียญเสีย ก่อนที่ KUB COIN จะด้อยค่าลงเรื่อยๆ สุดท้ายอาจไร้ค่าเหมือนเหรียญ LUNA
โดย
pakapong_u
จันทร์ ส.ค. 29, 2022 12:33 pm
0
0
Re: BITKUB
สถานีต่อไป KUB Coin โดนแขวน?!! เผยแพร่: 29 ส.ค. 2565 06:53 ปรับปรุง: 29 ส.ค. 2565 06:53 โดย: ผู้จัดการออนไลน์ สถานีต่อไป KUB Coin โดนแขวน?!! หลังพบเหรียญไม่ตรงปก ถ้ายิ่งแก้เหรียญยิ่งแย่ ก.ล.ต.ห้ามใช้เหรียญซื้อขายสินค้าและบริการ มูลค่าลดฮวบ หลัง "SCBX" ล่มดีลซื้อหุ้น “บิทคับ” มูลค่า 1.78 หมื่นล้าน ย้อนแย้ง "ท๊อป จิรายุส" เสนอรัฐบาลส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล ก้าวสู่ Digital Hub แต่กลับแหกกฎเอง วัดใจ ก.ล.ต.ต้องเพิกถอน "KUB Coin" เพื่อมาตรฐานที่ถูกต้องโปร่งใส และเป็นธรรมกับผู้ลงทุนรายย่อย พร้อมตั้งข้อสังเกตผู้บริหาร "PROEN" ทราบดีลเอสซีบีเอกซ์ล่มก่อนรีบชิ่งหรือไม่ หลังจากที่บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB ประกาศยกเลิกการลงทุนซื้อหุ้นในบริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด (บิทคับ) ในสัดส่วน 51% มูลค่ากว่า 17,850 ล้านบาท โดยระบุเหตุผลที่ชัดเจนว่า เนื่องจากบิทคับยังมีประเด็นคงค้างที่ต้องดำเนินการหาข้อสรุปตามคำแนะนำและสั่งการของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) โดยประเด็นสำคัญที่ บิทคับ ยังคงค้างอยู่ที่ ก.ล.ต. และไม่สามารถดำเนินการแก้ไขได้ตามคำสั่ง จนกลายเป็นที่มาของการล้มบิ๊กดีลครั้งนี้ คือ กรณีที่ ก.ล.ต. มีคำสั่งให้ บิทคับ แก้ไขคุณสมบัติของเหรียญ KUB ที่บริษัทให้คะแนนเหรียญตัวเองสูงเกินมาตรฐานอย่างไม่เคยมีมาก่อน จนทำให้ขาดคุณสมบัติที่จะเข้ามาเทรดในกระดาน แต่บิทคับ กลับไม่แก้ไข พร้อมทั้งยืนยันเหรียญ KUB ดีและเหมาะสมมาตั้งแต่ต้น มาดูจุดตั้งต้นของเหรียญ “KUB” ที่ท๊อปหวังใช้เทนเงินซื้อขายสินค้า ทั้งนี้ Bitkub Coin หรือ KUB ออกโดย บริษัท บิทคับ บล็อคเชน เทคโนโลยี จำกัด ในไวท์เปเปอร์ระบุ จำนวนเหรียญไว้ทั้งสิ้น 1,000 ล้านเหรียญ ก่อนจะเผาหรือทำลายทิ้ง 890 ล้านเหรียญ เหลือเพียง 110 ล้านเหรียญ เพื่อใช้สำหรับจ่ายค่าธรรมเนียม (ค่า Gas) ในการทำธุรกรรมบนเครือข่าย เช่น การโอนสินทรัพย์ การจัดเก็บข้อมูล และอื่นๆ รวมถึงเป็นค่าธรรมเนียมในการใช้งาน Smart Contracts หรือ Decenterlized Application (dApps) รวมถึงสามารถซื้อขายบนกระดานซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลของบิทคับ ขณะเดียวกัน ผู้ถือเหรียญ KUB สามารถ Lock & Drop โดยจะได้รับสิทธิพิเศษผ่านแอปพลิเคชัน Bitkub NEXT ที่เป็นกระเป๋าสตางค์ดิจิทัล ที่ถูกพัฒนาโดยบริษัท บิทคับ บล็อคเชน เทคโนโลยี จํากัด ที่ผู้ถือสามารถฝากเหรียญ KUB ไว้ตามระยะเวลาที่กำหนด เพื่อรับสินทรัพย์ดิจิทัลและรางวัลอื่นจากพันธมิตร นอกจากนี้ ยังสามารถใช้แลกเปลี่ยนสินค้าและบริการจากพันธมิตรของ “บิทคับ”และร้านค้าทั่วไปสามารถเลือกรับเหรียญ KUB เพื่อแลกเปลี่ยนกับสินค้าสินและบริการ แม้เหรียญ KUB ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ชำระเงิน แต่พันธมิตรและร้านค้าทั่วไปสามารถเลือกที่จะรับเหรียญ KUB เพื่อใช้ได้ตามความเหมาะสม หรือนี่จะเป็นนัยสำคัญที่ซ่อนเร้นอยู่ในไวท์เปเปอร์ ที่ “ท๊อป จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา” ที่คิดการใหญ่ วาดหวังไว้ตั้งแต่แรก เพื่อจะสร้างและผลักดันให้เหรียญ KUB เป็นสื่อกลางการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ เป็นเงินดิจิทัลสกุลหลักหรือไม่ KUB ไม่ตรงปกเหตุปั่นเหรียญจากดีล “SCBX” ขณะเดียวกันการประกาศเข้ามาลงทุนของกลุ่มเอสซีบีเอกซ์ ได้กลายเป็นจุดสร้างความสนใจให้ “บิทคับ” อีกครั้ง หลัง เอสซีบีเอกซ์ จะเข้ามาซื้อหุ้น บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด ในสัดส่วน 51% มูลค่ารวมกว่า 17,850 ล้านบาท ทำให้นักลงทุนสนใจเข้ามาเก็งกำไรเหรียญ KUB เพราะคาดว่า หลังจากเอสซีบีเอกซ์ เข้ามาจะทำให้ธุรกิจของบิทคับ มีความมั่นคง และสร้างสามารถสร้างผลกำไรได้ในอนาคต จากข่าวดังกล่าว ทำให้ราคาเหรียญ KUB ทะยานขึ้นทันที จากที่เคยลงไปต่ำสุดประมาณ 12 บาท พอมีดีลดังกล่าวเกิดขึ้น ราคาเหรียญขยับขึ้นจากเดิมที่ระดับ 30-33 บาท ขึ้นไปยืนเหนือ 500 บาท และโดนทุบลงมาเหลือเพียง 200 บาท ภายในเวลาไม่กี่วัน จนโดน ก.ล.ต. ต้องเข้ามาตรวจสอบถึงความผิดปกติว่ามีการปั่นเหรียญหรือไม่ จากความผันผวนของราคาที่เกิดขึ้น ทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทย และ ก.ล.ต. ได้ออกหลักเกณฑ์ไม่ให้นำสินทรัพย์ดิจิทัล มาใช้เป็นสื่อกลางชำระค่าสินค้าและบริการ โดยผู้ประกอบการสินทรัพย์ดิจิทัล ต้องไม่ได้บริการ สนับสนุน หรือส่งเสริมการชำระค่าสินค้าและบริการด้วยสินทรัพย์ดิจิทัล ทั้งนี้ สืบเนื่องจากการใช้สินทรัพย์ดิจิทัลในการชำระค่าสินค้าและบริการ อาจจะส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพระบบการเงิน และระบบเศรษฐกิจโดยรวม ที่สำคัญอาจเกิดความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาสินทรัพย์ดิจิทัล ความเสี่ยงจากการถูกโจรกรรมทางไซเบอร์ ความเสี่ยงข้อมูลส่วนบุคคลรั่วไหล หรือการถูกใช้เป็นเครื่องมือของการฟอกเงินได้ สิ่งที่ ธปท. และ ก.ล.ต. กังวลเรื่องความผันผวนของราคาสินทรัพย์ ได้รับการพิสูจน์อย่างเห็นได้ชัด จากขณะนี้ราคาเหรียญดิจิทัล รวมถึง KUB อยู่ในภาวะผันผวนอย่างรุนแรง ซึ่งต้องยอมรับการตัดสินใจของหน่วยงานรัฐทำได้ถูกต้อง ไม่เช่นนั้นผู้ที่ได้รับความเสียหายก็คือประชาชนทั่วไป ท๊อปดิ้นรนหาพันธมิตรช่วยพยุงเหรียญ หลังจากราคา KUB ผันผวนและลดลงอย่างหนัก “ท๊อป บิทคับ” ได้พยายามดิ้นรน ไม่ให้เหรียญตัวเองเหวี่ยงไปมากกว่านี้ หลังการทุบกำไรจาก 500 บาท เหลือกว่า 200 – 300 บาท จึงหาพันธมิตรเข้ามาช่วยพยุงราคาเหรียญ อาทิ บริษัท โปรเอ็น คอร์ป จำกัด (มหาชน) (PROEN) ลงทุนซื้อ KUB จำนวน 250,000 เหรียญ KUB มูลค่าทั้งสิ้นไม่เกิน 72,949,815 บาท หรือคิดเป็นราคาเฉลี่ยประมาณ 291.80 บาท บริษัท ทีวี ไดเร็ค จำกัด (มหาชน) หรือ TVD ลงทุน 104.26 บาท/เหรียญ จำนวน 125,000 เหรียญ ใช้เงินทุนราว 13 ล้านบาท และบริษัท อนันดา ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ANAN ลงทุน 225,000 KUB คิดเป็นเงินลงทุน 60.77 ล้านบาท โดยมีการรับประกันราคา (Price Guarantee) โดยมีการรับประกันการซื้อคืนขั้นต่ำเมื่อครบกำหนดเป็นต้น อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เอสซีบีเอกซ์ ประกาศล้มดีลไม่กี่วัน PROEN ได้ทำหนังสือถึงบริษัท บิทคับ บล็อคเชน เทคโนโลยี จำกัด (Bitkub) แจ้งใช้สิทธิยกเลิกสัญญาพันธมิตร และขอยกเลิการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลดังกล่าว KUB เลื่อนลอยขาดความน่าสนใจ ขณะที่ บิทคับ เอง เมื่อทางการสั่งห้าม ทำให้ความคาดหวังที่จะให้ เหรียญ KUB กลายเป็นสื่อกลางการแลกเปลี่ยนใช้ซื้อสินค้าและบริการ เป็นอันต้องจบลง เพราะคุณสมบัติเหรียญไม่ตรง ทำให้แผนที่วางไว้ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ดูเลื่อนลอย ขาดความน่าสนใจ แตกต่างกับ DESTINY TOKEN (เหรียญบุพเพสันนิวาส ๒) ที่กำหนดไว้ชัดเจนการระดมทุนเพื่อนำไปสร้างภาพยนตร์ เมื่อมีรายได้ก็จะนำมาเป็นผลตอบแทนคืนให้แก่ผู้ลงทุน ทั้งนี้ภาพยนตร์เรื่อง “บุพเพสันนิวาส ๒” ได้ระดมทุนผ่านการซื้อ DESTINY TOKEN (เหรียญบุพเพสันนิวาส ๒) ที่เสนอขายรวม 16,087 โทเคน มูลค่ารวม 256.23 ล้านบาท ผู้ลงทุนจะได้รับสิทธิการรับคืนเงินต้นเมื่อจบโครงการพร้อมผลตอบแทนจากการลงทุนอยู่ที่ 2.99% ต่อปี และจะมีโอกาสได้ผลตอบแทนพิเศษเพิ่มอีก 2.0% ต่อปี ของมูลค่าเงินลงทุนเริ่มต้น รวมเป็น 5% ต่อปี เมื่อภาพยนตร์บุพเพสันนิวาส ๒ มีรายได้ Box Office ทั่วประเทศตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป รวมทั้งผู้ที่ซื้อเหรียญจะได้รับสิทธิประโยชน์ต่างๆ อีกมากมาย และรอชมภาพยนตร์ บุพเพสันนิวาส ๒ ในโรงภาพยนตร์ก่อนใคร เหรียญไม่ตรงปก “บิทคับ” แข็งเมือง ก.ล.ต. ทำดีล “SCBX” ล่ม-เหรียญ KUB รูดกราว ก่อนที่ เอสซีบีเอกซ์ จะประกาศล้มดีลซื้อ บิทคับ นั้น ก.ล.ต.ได้มีคำสั่งให้ บิทคับ แก้ไขคุณสมบัติเหรียญ KUB ที่ให้คะแนนสูงเวอร์ จนขาดคุณสมบัติที่จะเข้าเทรดในกระดาน แต่เมื่อครบกำหนด บิทคับ ได้ขอขยายเวลาในการแก้ไขคุณสมบัติ ซึ่งก.ล.ต. ก็ขยายให้ถึงวันที่ 4 ส.ค. แต่เมื่อครบกำหนด บิทคับ กลับไม่แก้ไข และยืนยันเหรียญมีคุณสมบัติครบถ้วนตั้งแต่เริ่มแรกแล้ว คำถามที่ตามมา คือ จากการที่ ก.ล.ต. สั่งให้ บิทคับ แก้ไขคุณสมบัติเหรียญ KUB แต่ไม่สามารถดำเนินการ ทั้งๆ ที่มีเวลากว่า 1 เดือน ตามที่ ก.ล.ต.กำหนด และขยายเวลาให้ถึงวันที่ 4 ส.ค.ที่ผ่านมา เป็นเพราะเหตุใด หรือเป็นเพียงเพราะเหรียญไม่มีคุณสมบัติ หรือเป็นเพียง "เหรียญทิพย์" ที่เสกขึ้นมาไม่ "ตรงปก" ตั้งแต่ต้น หรือในทางกลับกัน มองว่า เมื่อไม่สามารถแก้ไขคุณสมบัติของเหรียญได้ตามคำสั่งของ ก.ล.ต. ทางบิทคับ ไม่รู้จะแก้อย่างไร เพราะรู้อยู่แก่ใจ เหรียญไม่ตรงปก "ยิ่งแก้ยิ่งแย่" กว่าเดิม จากเหตุนี้ทำให้เอสซีบีเอกซ์ ที่ไม่อยากจะร่วมทุนอยู่แล้ว หลังจากตลาดคริปโตอยู่ในช่วงขาลง ความน่าสนใจหมดไป จึงอาศัยเหตุที่ค้างคากับ ก.ล.ต. กรณี “เหรียญไม่ตรงปก” ประกาศล่มดีลดังกล่าว รายงานข่าวแจ้งว่า จากการล้มดีลของ SCB ได้สร้างความตื่นตระหนกให้แก่นักลงทุนที่เข้ามาลงทุนและเก็งกำไรเหรียญ KUB ที่หวังราคาจะเพิ่มขึ้นหากดีลสำเร็จ แต่เมื่อมีการยกเลิกจึงได้เทขาย KUB ออกมาอย่างหนัก ทำให้ราคาร่วงทันทีกว่า 30% ราคาต่ำสุดที่ 48.59 บาท ก่อนจะปรับขึ้นเล็กน้อย ณ เวลา 18.12 (25 ส.ค.) อยู่ที่ 62.03 บาท ลดลงกว่า 16.12% สวนทางกับราคาหุ้น SCB ปรับขึ้นทันที 5 บาท ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ 110.50 บาท เพิ่มขึ้นจากวันก่อน 6 บาท หรือ 5.74% ซึ่งนับเป็นราคาปิดสูงสุดในรอบกว่า 2 เดือน เมื่อรับทราบข่าวล้มดีลดังกล่าว เนื่องจากนักลงทุนมองว่า เป็นการลงทุนไม่คุ้มค่า ขณะที่วันที่ 26 ส.ค. ราคาเหรียญ KUB อยู่ที่ 56.71 บาทต่อเหรียญ จากระดับ 71.28 บาทต่อเหรียญ (ช่วงเช้าวันที่ 25ส.ค.) คิดเป็นการลดลงของราคาเหรียญประมาณ 20% อย่างไรก็ตามหลายคนเชื่อว่าการลดลงของราคาเหรียญ KUB จะยังมีออกมาอย่างต่อเนื่องเพราะข่าวที่เป็นปัจจัยบวกและสร้างสีสันให้กับเหรียญ KUB มากที่สุดหนีไม่พ้นการประกาศเข้าซื้อซื้อหุ้น 51% ใน “บิทคับ ออนไลน์” ของกลุ่มไทยพาณิชย์ เมื่อ 2 พ.ย.2564และปัจจุบันข้อมูลดีๆทางธุรกิจของ “บิทคับ” ในระดับนี้ก็แทบหาไม่เจออีกแล้ว KUB เสี่ยงสูงถูก ก.ล.ต.สั่งแขวน คำถามต่อมาคือ เมื่อเหรียญไม่ตรงปก ได้สะท้อนจากราคาเหรียญ KUB ที่ตกต่ำช่วยย้ำชัดถึงคุณสมบัติของเหรียญที่กลุ่ม “บิทคับ” การันตีในคุณภาพและมาตรฐานนั้นไม่ได้เป็นดังราคาคุยที่กล่าวอ้าง เพราะหากเป็นจริงความเชื่อมั่นต่อราคาเหรียญของนักลงทุนย่อมมีมากกว่านี้ และโอกาสในการปรับตัวลดลงย่อมเป็นไปได้น้อย โดยเรื่องดังกล่าวช่วยยืนยันได้ว่าสิ่งที่ ก.ล.ต.ออกมาเตือน และสั่งให้แก้ไขนั้นเป็นเรื่องจริง ขณะที่คุณสมบัติที่ทางกลุ่มได้กล่าวอ้างมาเป็นเพียงแค่การอุปโลกน์ หรือ “คุณสมบัติทิพย์” จากทางผู้บริหารของ “บิทคับ” เท่านั้น ดังนั้น หากเปรียบเทียบเหรียญ KUB เป็นดั่งอาหาร-เครื่องดื่ม ซึ่งเวลาจะผลิตออกมาจำหน่ายผู้ประกอบการจำเป็นต้องขอเลข อย.มากำกับเพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค และเมื่อ อย.มีคำสั่งให้แก้ไขสินค้า แต่เจ้าของเครื่องดื่มกลับไม่ยอมแก้ไข ก็ไม่มีหนทางไหนจะเกิดขึ้นนอกจาก ถูก อย.สั่งเก็บสินค้า ฉันท์ใดก็ฉันท์นั้นโอกาสที่เหรียญ KUB จะถูกสั่งเก็บเหมือนสินค้าไร้คุณภาพจาก อย.ก็สามารถเกิดขึ้นได้ทุกขณะ นำไปสู่ความเสี่ยงที่มีแต่นับวันรอให้เหตุการณ์นั้นมาถึง เฉกเช่นเดียวกันเมื่อเทียบกับต่างประเทศโดยเฉพาะสิงคโปร์ อยู่ภายใต้การควบคุมของ The Monetary Authority of Singapore (MAS) ซึ่งมีความเข้มงวดและเด็ดขาด หากตรวจสอบพบการกระทำผิด เหรียญไม่ตรงปก ขาดคุณสมบัติจะมีการลงโทษเพิกถอนอย่างแน่นอน หาก ก.ล.ต.ไทย ตรวจพบความผิดครบองค์ประกอบ ก็อาจมีความเสี่ยงสูงที่จะโดน ก.ล.ต.แขวน หรือเพิกถอน เช่นเดียวกัน หวังเป็น Digital Hub ต้องแขวน KUB ขณะเดียวกัน ล่าสุด "ท๊อป จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา" ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด ได้คิดการใหญ่เสนอแนะรัฐบาลส่งเสริมโครงสร้างพื้นและและให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจดิจิทัล เพื่อก้าวสู่ความเป็น Digital Hub หากต้องการรัฐบาลส่งเสริมโครงสร้างพื้นฐานเพื่อก้าวสู่เศรษฐกิจจริงจังอย่างที่ "ท๊อป จิรายุส" กล่าวอ้าง รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องออกกฎเกณฑ์และมาตรฐานควบคุมผู้ประกอบการอย่างเข้มงวดด้วยหรือไม่ เพราะการดำเนินธุรกิจจะต้องอยู่นพื้นฐานและกฎกติกาที่ถูกต้อง โปร่งใส และเป็นธรรม สำหรับผู้ประกอบการ รวมถึงป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นกับนักลงทุนเหมือนที่ผ่านมา ดังนั้น ก่อนที่จะพัฒนาก้าวสู่ Digital Hub หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะต้องถาม “ท๊อป จิรายุส” และ ก.ล.ต. ต้องเล่นตามกฎกติกา ไม่มีความผิดครบองค์ประกอบจะต้องใช้มาตรการเด็ดขาดแขวนเหรียญ หรือเพิกถอนเหรียญ KUB ก่อน รวมถึงต้องถอนใบอนุญาตของ “บิทคับ” ด้วยหรือไม่
โดย
pakapong_u
จันทร์ ส.ค. 29, 2022 12:29 pm
0
0
Re: BITKUB
"bitkub" ยูนิคอร์น ฝันสลาย!? ย้อนรอย ก่อนดีลล่ม "SCB" By กรุงเทพธุรกิจออนไลน์25 ส.ค. 2565 เวลา 15:00 น. ชวนย้อนรอยฝันสู่ “ยูนิคอร์น” ของ “Bitkub“ เบอร์หนึ่งกระดานเทรดคริปโทฯไทย หลัง SCB-bitkub ประกาศ “ไม่ไปต่อ” ปิดฉากดีลยักษ์ 1.785 หมื่นล้าน ทันทีที่ข่าว "แยกทาง" ระหว่าง SCB-bitkub เผยแพร่เมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 25 ส.ค.65 หลังจากเคยจับมือประกาศดีลยักษ์ โดยกลุ่ม SCBx ให้บริษัทลูก คือ บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด (SCBS) เข้าซื้อหุ้นใน บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด ซึ่งเป็นกระดานเทรดคริปโทฯ ในสัดส่วน 51% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดจากบริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด คิดเป็น มูลค่ารวมประมาณ 17,850 ล้านบาท เรียกได้ว่า สั่นสะเทือนแวดวงคริปโทฯ อย่างมาก เพราะพ้นจากข่าวความง่อนแง่นของ zipmex ไม่ทันไร อีกเจ้าใหญ่อย่าง bitkub ก็เกิดข่าวใหญ่ตามมาติดๆ ขณะที่ ราคาเหรียญkub coin ก็ร่วงตาม ราวๆ 20% ภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมง (ระหว่างบ่ายโมงถึงบ่ายสองโมง) ก่อนจะดีดกลับขึ้นมาเล็กน้อย สำหรับดีลยักษ์ มูลค่า 1.785 หมื่นล้านบาท ที่ประกาศออกมาเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2564 โดยถึงแม้ดีลดังกล่าวที่ประกาศตอนนั้น ยังไม่ได้มีการซื้อขายจริง แต่จาก "มูลค่าหุ้น" ที่ตกลงกันไว้ ไม่ต่างจากการ "ประทับตรา" มูลค่าธุรกิจที่ 3 หมื่นล้าน สู่สถานะ "ยูนิคอร์น" ไปโดยปริยาย ย้อนรอย "บิทคับ" ฝันสู่ "ยูนิคอร์น" จากพฤศจิกายน 64 สู่วันนี้ เวลาก็ล่วงมาแล้ว 10 เดือนที่นักลงทุนเฝ้ารอการปิดดีล ทำการซื้อขายอย่างเป็นทางการ และที่สุดก็ถึงคำตอบสุดท้าย คือ ทั้งสองฝ่ายตกลงกันว่าจะ "ไม่ไปต่อ" ดังที่เป็นข่าวใหญ่วันนี้ "กรุงเทพธุรกิจออนไลน์" ชวนย้อนรอยกลับไปดูที่มาที่ไป เส้นทางของ bitkub เพื่อให้ทำความเข้าใจอย่างง่ายๆ ดังนี้ * bitkub กางแผนขาย IPO เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2564 ท๊อป-จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา Group CEO ได้ออกมาเปิดเผยว่า บริษัทมีแผนเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ เบื้องต้นอยู่ระหว่างพิจารณาการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และตลาดหุ้นแนสแด็กในสหรัฐ เนื่องจากมีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์ระดมทุนของตลาดหุ้นทั้ง 2 แห่ง ปัจจุบันบริษัทได้จ้างที่ปรึกษาทางการเงินเข้ามาช่วยเตรียมความพร้อมเพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) “เหตุผลที่อยากจะเข้าตลาดหลักทรัพย์ เพราะเราอยากเป็นตัวแทนของกลุ่มคนรุ่นใหม่ในเมืองไทย อยากทำให้ทุกคนภูมิใจว่าคนไทยก็เก่ง เราก็สร้างบริษัทเทคโนโลยีได้ เราไม่จำเป็นต้องเป็นแค่คนใช้เทคโนโลยีเท่านั้น แต่เราจะเป็นผู้สร้างและผู้ให้บริการเทคโนโลยีด้วย ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ของไทยเองก็ยังไม่มีบริษัทเทคโนโลยี ดังนั้น เราจะเป็นบริษัทเทคโนโลยีรายแรกที่เข้าระดมทุน” จิรายุส กล่าวไว้ในตอนนั้น * ประกาศดีล 1.785 หมื่นล้าน วันที่ 2 พฤศจิกายน 2564 เกิดข่าวใหญ่ กรณี SCB ประกาศเตรียมเข้าถือหุ้นใน bitkub โดยจะเป็นการเข้าลงทุนใน “บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด” ซึ่งเป็นกระดานเทรดคริปโทฯ เบอร์หนึ่งของเมืองไทย ผ่านการเข้าซื้อหุ้นสามัญในสัดส่วนร้อยละ 51 ของจำนวนหุ้นทั้งหมดจากบริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 17,850 ล้านบาท โดยมี “บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด” (SCBS) เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ * ขีดเส้นตาย "เงื่อนไข" ที่นำมาสู่การ "ไม่ไปต่อ" ในแถลงการณ์ครั้งนั้นของกลุ่ม SCBx ได้ให้รายละเอียดกำกับไว้ในการแถลงข่าวครั้งนั้นว่า การเข้าทำธุรกรรมการซื้อขายหุ้นจะอยู่ภายใต้การปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้อง เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และ ตลาดหลักทรัพย์ โดยมีเงื่อนไขว่า ผลการสอบทานธุรกิจ (Due Diligence) ของ Bitkub ในส่วนที่เป็นสาระสำคัญต้องเป็นที่น่าพอใจ และคู่สัญญาได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ระบุในสัญญาซื้อขายหุ้นครบถ้วน โดยคาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในไตรมาสแรกของปี 2565 * SCBx ประกาศชะลอซื้อ bitkub ระหว่างที่นักลงทุนรอความชัดเจนของดีลยักษ์ครั้งนี้ เมื่อวันที่ 8 ก.ค.65 "อาทิตย์ นันทวิทยา" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีบีเอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB ได้แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า การเข้าทำธุรกรรมซื้อขายหุ้นใน Bitkub ดังกล่าวอยู่ภายใต้การปฎิบัติตามหลักเกณฑ์ของหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้อง และมีเงื่อนไขว่าผลการสอบทานธุรกิจของ Bitkub ในส่วนที่เป็นสาระสำคัญต้องเป็นที่น่าพอใจ และคู่สัญญาได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ระบุในสัญญาซื้อขายหุ้นครบถ้วน ทั้งนี้ปัจจุบันยังอยู่ระหว่างกระบวนการสอบทางธุรกิจ และระหว่างการหารือกับหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้อง โดยมีการ "ขยายเวลา" การเข้าทำธุรกรรมออกไปจากกำหนดการเดิม กระทั่ง ล่าสุดวันนี้ (25 ส.ค.65) ก็ถึงเวลา ปิดฉากอย่างเป็นทางการ ของดีลยักษ์ 1.785 หมื่นล้านบาท * "การสอบทานธุรกิจ" ไม่มีปัญหา แต่มีประเด็นคงค้างกับก.ล.ต. ทั้งนี้ จากประกาศของ บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด วันที่ 25 สิงหาคม 2565 ที่ชี้แจงถึงการตัดสินใจดังกล่าว โดยใจความส่วนหนึ่งได้ยืนยันถึงการสอบทานธุรกิจว่า ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด โดยมีข้อความระบุว่า.. "ตลอดระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา ทางบริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด และบล.ไทยพาณิชย์ จำกัด (SCBS) ได้ดำเนินการสอบทานธุรกิจ (due diligence) ร่วมกันอย่างรอบคอบ โดยบริษัทฯ ได้ให้ความร่วมมืออย่างดีกับบล.ไทยพาณิชย์ จำกัด และได้ทำการเปิดเผยข้อมูลที่แสดงถึงความสามารถในการดำเนินงานของบริษัทฯ ที่มีศักยภาพ และแสดงผลประกอบการอย่างโปร่งใสและตรงไปตรงมา ตลอดจนนำเสนอแผนกลยุทธ์การดำเนินงานและพัฒนาธุรกิจในอนาคต จากการสอบทานธุรกิจ ทางบริษัทผู้ซื้อ (SCBS) “ไม่พบข้อบ่งชี้ถึงความผิดปกติอันเป็นนัยสำคัญที่ไม่สามารถแก้ไขได้” อย่างไรก็ดี เนื่องจากบริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด ยังคงมีประเด็นคงค้างกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ที่อาจส่งผลให้เกิดความล่าช้าในการดำเนินการธุรกรรมดังกล่าว บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด และบริษัทผู้ซื้อ (SCBS) จึงได้ตกลงร่วมกันที่จะระงับธุรกรรมการซื้อขายหุ้นในครั้งนี้ เพื่อให้บริษัทดำเนินการหาข้อสรุปในประเด็นต่างๆ ตามคำชี้แนะและสั่งการโดยก.ล.ต.ต่อไป * ท๊อป-จิรายุส ยืนยัน เป็นทางออกที่ดีที่สุด โดย ท๊อป-จิรายุส ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ยืนยันว่า การตัดสินใจยุติธุรกรรมซื้อขายหุ้นในครั้งนี้เป็นการตกลงร่วมกันของผู้บริหารทั้งสองฝ่าย ที่ได้พิจารณาอย่างที่ถ้วนอย่างรอบด้านและเห็นตรงกันว่าเป็นทางออกที่ดีที่สุด ณ เวลานี้ "ผมและทีมงานตลอดจนผู้บริหารต้องขอขอบพระคุณทาง SCBS ที่ได้ให้ความสนใจในสตาร์ทอัพและแวดวงสินทรัพย์ดิจิทัลตลอดจนเล็งเห็นถึงศักยภาพของบิทคับ เอ็กเช้นจ์ และมีอุดมการณ์ที่จะสนับสนุนให้บริษัทของคนไทยได้เติบโตและขยายตัวไปยังประเทศอื่นๆได้ แต่ด้วยความล่าช้าของธุรกรรมจึงทำให้มีการยุติดีลในครั้งนี้เพื่อเปิดโอกาสให้กับทั้งสองฝ่ายได้เดินหน้าต่อไป บิทคับเป็นองค์กรที่มีอนาคตมาก ในฐานะผู้บริหารและผู้นำองค์กร ผมและทีมงานทุกคนยังคงเชื่อมั่นในวิสัยทัศน์ที่จะสร้างประวัติศาสตร์ร่วมกันในการเป็น National Champion ใหม่ให้กับประเทศไทย เพื่อให้เศรษฐกิจไทยก้าวไปสู่โลกอนาคต และเป็นศูนย์กลางทางการเงินและเทคโนโลยีในระดับภูมิภาค พวกเรายังคงมุ่งมั่นเดินหน้าร่วมมือกันพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อสร้างนวัตกรรมที่จะสร้างโอกาสให้กับทุกคนตามแนวทางที่เราเชื่อมั่นต่อไปครับ ขอบคุณทุกคนที่สนับสนุนมาโดยตลอดครับ 🙏" จากนี้ไปจึงต้องจับตาสถานะของ "bitkub" ว่า จะยังคนสานฝันสู่ "ยูนิคอร์น" ต่อไปได้อีกหรือไม่?
โดย
pakapong_u
เสาร์ ส.ค. 27, 2022 2:15 pm
0
0
Re: BITKUB
ย้อนรอยมหากาพย์ SCBX-Bitkub ก่อนดีลล่ม ปิดฉากยูนิคอร์นตัวใหม่ของไทย โดย ดำรงเกียรติ มาลา 25.08.2022 HIGHLIGHTS •การส่ง SCBS เข้าซื้อหุ้นสามัญในสัดส่วน 51% ของบริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ ด้วยมูลค่า 17,850 ล้านบาท ในช่วงปลายปีก่อนของกลุ่ม SCBX สร้างความคาดหวังว่าจะสร้างยูนิคอร์นตัวใหม่ของไทย •การสอบทานธุรกิจที่ล่าช้ากว่ากำหนด และปัญหาที่ยังค้างคาระหว่าง Bitkub กับหน่วยงานกำกับ นำไปสู่การตัดสินใจแยกทางกันเดินในที่สุด •ผู้เชี่ยวชาญในแวดวงคริปโตมองว่าเรื่องนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของ Bitkub โอกาสที่จะเกิดดีลใหม่ๆ ยังคงเปิดกว้างเสมอ การประกาศล้มดีลยกเลิกแผนเข้าลงทุนใน Bitkub ของกลุ่ม SCBX หรือยานแม่ ถือเป็นข่าวใหญ่ที่สั่นสะเทือนแวดวงคริปโตเคอร์เรนซีของไทยต่อเนื่องจากกรณีปัญหา Zipmex หากย้อนกลับไปในเดือนพฤศจิกายน ปี 2564 การประกาศส่งยานลูกอย่าง SCBS เข้าซื้อหุ้นสามัญในสัดส่วน 51% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดจากบริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด ด้วยมูลค่ารวมประมาณ 17,850 ล้านบาท สร้างความฮือฮาให้กับแวดวงคริปโตไทยเป็นอย่างมาก เนื่องจากหากดีลนี้ประสบความสำเร็จ ก็จะส่งให้ Bitkub ก้าวขึ้นมาเป็นยูนิคอร์นตัวใหม่ของไทยในทันที โดยกระแสข่าวเชิงบวกที่เกิดขึ้นนี้ได้ส่งผลให้ราคาเหรียญ KUB พุ่งขึ้นไปแตะระดับสูงสุดที่ 580 บาท อย่างไรก็ดี ในแถลงการณ์ของกลุ่ม SCBX ได้ให้รายละเอียดกำกับไว้ครั้งนั้นว่า การเข้าทำธุรกรรมการซื้อขายหุ้นจะอยู่ภายใต้การปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้อง เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) นอกจากนี้ยังกำหนดเงื่อนไขว่า ผลการสอบทานธุรกิจ (Due Diligence) ของ Bitkub ในส่วนที่เป็นสาระสำคัญต้องเป็นที่น่าพอใจ และคู่สัญญาได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ระบุในสัญญาซื้อขายหุ้นครบถ้วน โดยคาดว่าการสอบทานจะแล้วเสร็จภายในไตรมาสแรกของปีนี้ ย้อนกลับไปในตอนนั้น อาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) ได้ให้เหตุผลของการเข้าลงทุนใน Bitkub เอาไว้ว่า “ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นหนึ่งในธุรกิจการเงินแห่งโลกอนาคตที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็วและมีโอกาสเติบโตในระยะยาว การที่ ‘กลุ่ม SCBX’ เข้าไปลงทุนใน ‘Bitkub’ ซึ่งให้บริการแพลตฟอร์มด้านการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลชั้นนำของประเทศไทยที่มีความน่าเชื่อถือ มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา จะช่วยให้ ‘กลุ่ม SCBX’ สามารถสร้างคุณค่าใหม่ที่สามารถเติบโตในระยะยาวไปกับโลกใหม่ได้ สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ยานแม่ SCBX ในการยกระดับสู่กลุ่มบริษัทเทคโนโลยีการเงิน สามารถตอบสนองความต้องการใหม่ของผู้บริโภค และสามารถเข้าสู่สนามการแข่งขันแบบใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นโดยเร็วในอีก 3-5 ปีข้างหน้า” ขณะที่ จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา Group CEO ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด ได้กล่าวว่า “Bitkub ได้เดินมาถึงจุดที่เราได้กลายเป็นโครงสร้างสำคัญของเศรษฐกิจในอนาคตของประเทศไทย หรือที่เรียกว่า Digital Economy ต่อจากนี้ Bitkub ไม่ได้เป็นเพียงสตาร์ทอัพอีกต่อไป แต่กำลังจะก้าวมาเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นต่อวงการการเงิน 3.0 ของประเทศไทย ในตอนนี้เราได้พา Bitkub มาถึงจุดเปลี่ยนที่สำคัญมาก และเพื่อที่จะนำ Bitkub ให้ก้าวไปสู่ระดับโลก พวกเราต้องการพาร์ตเนอร์ที่แข็งแกร่งมาเป็นกำลังเสริมให้ไปถึงได้เร็วขึ้นอย่างยั่งยืน นั่นเป็นเหตุผลที่เราจับมือร่วมกับ SCBS” โดยท๊อปยังระบุด้วยว่า การเข้ามาลงทุนใน Bitkub ของกลุ่ม SCBX ถือเป็นการประทับตรา ‘ยูนิคอร์น’ อีก 1 ตัวให้คนไทยทุกๆ คนได้ภาคภูมิใจ อย่างไรก็ดี เมื่อเข้าสู่ไตรมาสแรกของปีนี้ตามกำหนดการ ปรากฏว่าธุรกรรมการซื้อขายกลับยังไม่มีวี่แววว่าจะแล้วเสร็จ โดยทั้ง SCB และ Bitkub ให้เหตุผลว่า การสอบทานธุรกิจยังไม่แล้วเสร็จ จนมีการขยายกรอบเวลาธุรกรรมออกมาเรื่อยๆ สอดคล้องกับราคาเหรียญ KUB ที่ทยอยปรับลดลง จนเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคมที่ผ่านมา SCBX ได้ทำหนังสือแจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) โดยระบุว่า ตามที่บริษัทได้แจ้งว่า จากการคาดการณ์ว่าธุรกรรมการซื้อขายหุ้นกับ Bitkub จะสามารถดำเนินการได้เสร็จสิ้นภายในไตรมาสแรกของปี 2565 นั้น ธุรกรรมดังกล่าวอยู่ระหว่างกระบวนการสอบทานทางธุรกิจและระหว่างการหารือกับหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้อง ทำให้ต้องขยายเวลาการเข้าทำธุรกรรมออกไปอย่างไม่มีกำหนด ต่อมาภายในเดือนเดียวกัน มาณพ เสงี่ยมบุตร Chief Finance & Strategy Officer บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB และรองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มงานการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ได้เปิดเผยในงานแถลงข่าวว่า การเข้าลงทุนใน Bitkub ยังคงไม่มีพัฒนาการใหม่ๆ โดยดีลดังกล่าวได้มีการเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด แต่ปัจจุบันอยู่ระหว่างการทำ Due Diligence และการเจรจาพูดคุย ตลอดจนปรึกษากับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องและหน่วยงานที่กำกับดูแล “ดีลยังมีอยู่ แต่ใช้เวลาในการศึกษาความเป็นไปได้ ความเหมาะสม และผลตอบแทน รวมไปถึงการมองหาโอกาสใหม่ๆ ในการลงทุนในรูปแบบอื่นๆ เข้ามาเพิ่มเติม” มาณพกล่าว การที่ดีลถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด ประกอบกับกรณีที่ก่อนหน้านี้คณะกรรมการ ก.ล.ต. ได้มีมติเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2565 โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 35 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 (พ.ร.ก.สินทรัพย์ดิจิทัลฯ) สั่งการให้ Bitkub แก้ไขการคัดเลือกและอนุมัติเหรียญ KUB ในการเข้ามาซื้อขายในศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (ศูนย์ซื้อขายฯ) ของ Bitkub ภายใน 30 วัน ทำให้เริ่มมีข่าวลือเรื่อง ‘ดีลล่ม’ เกิดขึ้นอย่างหนาหู ในท้ายที่สุดข่าวลือก็กลายมาเป็นข่าวจริงในวันนี้ (25 สิงหาคม) เมื่อกลุ่ม SCBX ทำหนังสือแจ้งตลาดหลักทรัพย์ถึงการยกเลิกการเข้าลงทุนใน Bitkub โดยระบุว่า ตามที่ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด (‘SCBS’ หรือ ‘ผู้ซื้อ’) ในการประชุมครั้งที่ 13/2564 เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2564 ได้มีมติอนุมัติให้ SCBS ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) (‘บริษัทฯ’) เข้าทำสัญญาซื้อหุ้นในบริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด (‘Bitkub’) จากบริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (‘ผู้ขาย’) ในสัดส่วนร้อยละ 51 ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของ Bitkub คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 17,850 ล้านบาท รวมเรียกว่า ‘ธุรกรรมการซื้อขายหุ้น’ นั้น ตลอดระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา บริษัทฯ และ SCBS ได้ร่วมกันดำเนินการสอบทานธุรกิจ (Due Diligence) ด้วยความรอบคอบระมัดระวัง และได้รับความร่วมมืออย่างดีจากผู้ขายและ Bitkub โดยในระหว่างกระบวนการสอบทานธุรกิจ บริษัทฯ และ SCBS ได้เห็นศักยภาพและความสามารถในหลากหลายด้านของกลุ่ม Bitkub และเห็นโอกาสในการร่วมมือพัฒนาและปรับปรุงการดำเนินธุรกิจของ Bitkub ในอีกหลายด้าน อย่างไรก็ดี ถึงแม้การสอบทานธุรกิจจะไม่มีข้อบ่งชี้ถึงความผิดปกติอันเป็นนัยสำคัญซึ่งไม่สามารถแก้ไขได้ แต่เนื่องจาก Bitkub ยังมีประเด็นคงค้างที่ต้องดำเนินการหาข้อสรุปตามคำแนะนำและสั่งการของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งยังมีความไม่แน่นอนในเรื่องระยะเวลาในการหาข้อสรุปดังกล่าว ผู้ซื้อและผู้ขายจึงได้ตกลงร่วมกันที่จะยกเลิกธุรกรรมการซื้อขายหุ้นในครั้งนี้ ขณะที่ ท๊อป จิรายุส ได้โพสต์เฟซบุ๊กยืนยันว่าการตัดสินใจยุติธุรกรรมซื้อขายหุ้นในครั้งนี้เป็นการตกลงร่วมกันของผู้บริหารทั้งสองฝ่าย ที่ได้พิจารณาอย่างถี่ถ้วนอย่างรอบด้าน และเห็นตรงกันว่าเป็นทางออกที่ดีที่สุด ณ เวลานี้ “ผมและทีมงานตลอดจนผู้บริหารต้องขอขอบพระคุณทาง SCBS ที่ได้ให้ความสนใจในสตาร์ทอัพและแวดวงสินทรัพย์ดิจิทัล ตลอดจนเล็งเห็นถึงศักยภาพของ Bitkub Exchange และมีอุดมการณ์ที่จะสนับสนุนให้บริษัทของคนไทยได้เติบโตและขยายตัวไปยังประเทศอื่นๆ ได้ แต่ด้วยความล่าช้าของธุรกรรม จึงทำให้มีการยุติดีลในครั้งนี้เพื่อเปิดโอกาสให้กับทั้งสองฝ่ายได้เดินหน้าต่อไป Bitkub เป็นองค์กรที่มีอนาคตมาก ในฐานะผู้บริหารและผู้นำองค์กร ผมและทีมงานทุกคนยังคงเชื่อมั่นในวิสัยทัศน์ที่จะสร้างประวัติศาสตร์ร่วมกันในการเป็น National Champion ใหม่ให้กับประเทศไทย เพื่อให้เศรษฐกิจไทยก้าวไปสู่โลกอนาคต และเป็นศูนย์กลางทางการเงินและเทคโนโลยีในระดับภูมิภาค พวกเรายังคงมุ่งมั่นเดินหน้าร่วมมือกันพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อสร้างนวัตกรรมที่จะสร้างโอกาสให้กับทุกคนตามแนวทางที่เราเชื่อมั่นต่อไปครับ” กานต์นิธิ ทองธนากุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุน Merkle Capital และผู้ก่อตั้งเพจ Kim DeFi Daddy และ Bitcoin Addict Thailand ประเมินว่า ดีลการเข้าลงทุนใน Bitkub ของกลุ่ม SCBX ที่ล่มลง อาจทำให้นักลงทุนบางส่วนสูญเสียความเชื่อมั่นไปบ้างเนื่องจากการมีข่าวว่าผู้เล่นรายใหญ่อย่างไทยพาณิชย์สนใจเข้ามาลงทุนใน Bitkub ช่วงก่อนหน้านี้ ทำให้หลายคนมองว่าแวดวงคริปโตเคอร์เรนซีในไทยเริ่มเป็นที่ยอมรับในวงกว้างมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การที่แถลงการณ์ระบุถึงสาเหตุของดีลล่มว่าเกิดจากการติดปัญหากับหน่วยงานกำกับดูแล ไม่ใช่เกิดจากการสอบทานธุรกิจ (Due Diligence) ก็ช่วยให้ภาพลักษณ์ไม่ได้ออกมาแย่ ขณะเดียวกัน เมื่อไม่นานมานี้ Bitkub ก็เพิ่งประกาศผลกำไรของธุรกิจ Exchange ที่กว่า 2 พันล้านบาท จึงมองว่าในแง่การดำเนินธุรกิจเรื่องนี้จะไม่ส่งผลกระทบมากนัก กานต์นิธิระบุอีกว่า ในมุมมองส่วนตัวยังมองว่าอนาคตของ Bitkub ไม่ได้น่ากังวล เพราะกำไรกว่า 2 พันล้านบาท น่าจะทำให้ดำเนินธุรกิจต่อไปได้อีกหลายปี ขณะเดียวกัน ลักษณะการทำธุรกิจของ Bitkub คือเป็นคนกลางที่เก็บค่าธรรมเนียม ดังนั้นไม่ว่าราคาคริปโตจะขึ้นหรือลง บริษัทก็ยังมีรายได้จากค่าธรรมเนียม นอกจากนี้หากมองในแง่ดี การที่ดีลนี้ล้มไปอาจเปิดโอกาสให้เกิดดีลใหม่ๆ ขึ้นก็ได้ “ผลกระทบที่อาจจะเห็นได้ในตอนนี้คือการปรับลดลงของราคาเหรียญ KUB ซึ่งเป็นผลมาจากข่าว อาจมีนักลงทุนบางส่วนที่ต้องได้รับผลกระทบ แต่ผมมองว่า Bitkub ยังมีอนาคต ยังมีช่องทางให้ไปต่อได้อยู่” กานต์นิธิกล่าว
โดย
pakapong_u
พฤหัสฯ. ส.ค. 25, 2022 9:45 pm
0
0
Re: BITKUB
'บิทคับ และ SCBS' ตกลงร่วมกันไม่ไปต่อ แจงการสอบทานธุรกิจไม่มีปัญหา 25 ส.ค. 2565 เวลา 13:39 น. 'บิทคับ และ SCBS' ตกลงร่วมกันไม่ไปต่อ ดีลขายหุ้น 1.78 หมื่นล้าน แจงการสอบทานธุรกิจไม่มีปัญหา ยังดำเนินธุรกิจปกติไม่ได้รับผลกระทบ ชี้ ยังคงเป็นผู้นำศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในไทย ประกาศจาก บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด วันที่ 25 สิงหาคม 2565 สืบเนื่องจากประกาศของบริษัทหลักทรัพย์(บล.) ไทยพาณิชย์ จำกัด หรือ SCBS ตามที่ประชุมคณะกรรมการ บล.ไทยพาณิชย์ จำกัด ได้มีมติอนุมัติให้ SCBS เข้าทำสัญญาธุรกรรมซื้อหุ้นในบริษัทบิทคับ ออนไลน์ จำกัด จาก บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด ในสัดส่วน 51% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดนั้น ตลอดระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา ทางบริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด และบล.ไทยพาณิชย์ จำกัด (SCBS) ได้ดำเนินการสอบทานธุรกิจ (due diligence) ร่วมกันอย่างรอบคอบ โดยบริษัทฯ ได้ให้ความร่วมมืออย่างดีกับบล.ไทยพาณิชย์ จำกัด และได้ทำการเปิดเผยข้อมูลที่แสดงถึงความสามารถในการดำเนินงานของบริษัทฯ ที่มีศักยภาพ และแสดงผลประกอบการอย่างโปร่งใสและตรงไปตรงมา ตลอดจนนำเสนอแผนกลยุทธ์การดำเนินงานและพัฒนาธุรกิจในอนาคต จากการสอบทานธุรกิจ ทางบริษัทผู้ซื้อ (SCBS) “ไม่พบข้อบ่งชี้ถึงความผิดปกติอันเป็นนัยสำคัญที่ไม่สามารถแก้ไขได้” อย่างไรก็ดี เนื่องจากบริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด ยังคงมีประเด็นคงค้างกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก. ล.ต.) ที่อาจส่งผลให้เกิดความล่าช้าในการดำเนินการธุรกรรมดังกล่าว บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด และบริษัทผู้ซื้อ (SCBS) จึงได้ตกลงร่วมกันที่จะระงับธุรกรรมการซื้อขายหุ้นในครั้งนี้ เพื่อให้บริษัทดำเนินการหาข้อสรุปในประเด็นต่างๆ ตามคำชี้แนะและสั่งการโดยก.ล.ต.ต่อไป บริษัทขอเรียนว่าการดำเนินงานและการประกอบธุรกิจของบริษัทไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด บริษัทยังคงเป็นผู้นำในตลาดศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทยพร้อมมีทรัพยากร สำหรับการดำเนินกิจการได้อย่างต่อเนื่องตามแผนงานและยุทธศาสตร์ที่ได้วางไว้ รวมถึงยังคงเดินหน้าต่อไปตามวิสัยทัศน์ พันธกิจ เพื่อสร้างระบบนิเวศของตลาดการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างมีคุณภาพและประกอบธุรกิจตามหลักบรรษัทภิบาล เพื่อให้บริการผู้ลงทุนอย่างโปร่งใสและสร้างโอกาสอย่างเท่าเทียมแก่ผู้คนในสังคมต่อไป
โดย
pakapong_u
พฤหัสฯ. ส.ค. 25, 2022 2:22 pm
0
0
Re: BITKUB
PROEN แจงเลิกสัญญา Bitkub ไม่กระทบงบการเงิน เผยแพร่: 23 ส.ค. 2565 15:04 ปรับปรุง: 23 ส.ค. 2565 15:04 โดย: ผู้จัดการออนไลน์ โปรเอ็น คอร์ป แจงการบอกเลิกสัญญาการเข้าร่วมเป็นพาร์ตเนอร์กับ "บิทคับ บล็อคเชน เทคโนโลยี" ยันไม่มีมูลค่าความเสียหายจากการบอกเลิกสัญญา เพราะยังไม่ได้ดำเนินการหรือใส่เม็ดเงินลงทุนใดๆ ในธุรกรรมนี้ จึงไม่กระทบต่อการแสดงรายการทางการเงินในงบการเงิน นายกิตติพันธ์ ศรีบัวเอี่ยม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โปรเอ็น คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ PROEN ได้แจ้งข่าวผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2565 เรื่องแจ้งการบอกเลิกสัญญารายการได้มาซึ่งสินทรัพย์ดิจิทัลประเภทคริปโตเคอร์เรนซี การเข้าร่วมเป็นพาร์ตเนอร์กับบริษัท บิทคับ บล็อคเชน เทคโนโลยี จำกัด (Bitkub Chain) เพื่อให้บริษัทฯ เป็นผู้ตรวจสอบธุรกรรมแบบ Proof of Stake Alliance (Node Validator-POSA) ในระบบบล็อกเชน Bitkub Chain บริษัทฯ ขอแจ้งรายละเอียดเพิ่มเติมดังนี้ ทั้งนี้ บริษัทฯ ไม่มีมูลค่าความเสียหายจากการบอกเลิกสัญญา เนื่องจากบริษัทฯ ยังไม่ได้ดำเนินงานใดๆ และยังไม่ได้ชำระเงินลงทุนซื้อเหรียญ KUB จาก Bitkub Chain จำนวน 250,000 เหรียญ KUB มูลค่าทั้งสิ้นไม่เกิน 72,949,815 บาท อีกทั้งไม่ได้ชำระเงินลงทุนในสินทรัพย์อื่นใด จึงทำให้การบอกเลิกสัญญาดังกล่าวไม่ส่งกระทบต่อการแสดงรายการทางการเงินในงบการเงินทั้งก่อนทำสัญญาและหลังการบอกเลิกสัญญา ซึ่งบริษัทฯ ยังไม่มีรายการใดๆ ที่บันทึกค่าใช้จ่ายในงบการเงินนับตั้งแต่ทำสัญญาจนถึงการบอกเลิกสัญญาดังกล่าว
โดย
pakapong_u
พฤหัสฯ. ส.ค. 25, 2022 1:45 pm
0
0
Re: BITKUB
พวกมึงเล่นอะไรกัน?! จับพิรุธดีลทิพย์ "โปรเอ็น"-"บิทคับ" ปั่นหุ้น ปั่นเหรียญ เผยแพร่: 24 ส.ค. 2565 08:24 ปรับปรุง: 24 ส.ค. 2565 08:24 โดย: ผู้จัดการออนไลน์ พวกมึงเล่นอะไรกัน?! จับพิรุธ "โปรเอ็นฯ" ร่วม "บิทคับ" ลงทุนเหรียญ "KUB" เป็นเพียง "ดีลทิพย์" แค่หวังช่วยปั่นราคาหุ้น-ปั่นเหรียญ หลังผู้บริหารยันไม่มีขาดทุน ไม่กระทบงบการเงินจากการยกเลิกสัญญา เหตุยังไม่ได้ลงทุน แม้บอร์ดอนุมัติตั้งแต่ 25 ก.พ. และได้ออกมาให้ข่าวเป็นระยะการลงทุนคริปโตฯ จะช่วยผลักดันให้ผลงานบริษัทโดดเด่น ขณะที่ราคาหุ้นพุ่งแรงรับข่าวไปแตะระดับสูงสุด 10.20 บาท ส่วนบิทคับ รับอานิสงส์ดึงดูดพันธมิตรรายอื่น และพาร์ทเนอร์ช่วยพยุงเหรียญ KUB ในช่วงตลาดขาลง หลังจากที่บริษัท โปรเอ็น คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ PROEN แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่า เมื่อวันที่ 17 ส.ค. 65 ที่ผ่านมา บริษัทได้ทำหนังสือถึงบริษัท บิทคับ บล็อคเชน เทคโนโลยี จำกัด (Bitkub) แจ้งใช้สิทธิยกเลิกสัญญา และขอยกเลิกการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล โดยอ้างการเปลี่ยนแปลงราคาเหรียญ KUB และปัจจัยอื่นๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อบริษัทอย่างมีนัยสําคัญ ทั้งนี้ บอร์ดบริษัท PROEN ได้อนุมัติการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล ร่วมเป็นพาร์ทเนอร์กับบริษัท บิทคับ บล็อคเซน เทคโนโลยี จำกัด (Bitkub) โดยจะเข้าลงทุน เหรียญ KUB จำนวน 250,000 เหรียญ มูลค่าไม่เกิน 72.45 ล้านบาท ตามเงื่อนไขการเข้าร่วมเป็นพาร์ทเนอร์กับ Bitkub เพื่อวัตถุประสงค์ในการเป็นในการเป็นผู้ตรวจสอบธุรกรรม (Validator Node POSA) แบบ Proof of Stake Alliance ในระบบบล็อกเชน Bitkub Chain ล่าสุด วานนี้ (23 ส.ค.) นายกิตติพันธ์ ศรีบัวเอี่ยม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.โปรเอ็น คอร์ป (PROEN) ได้ออกมาชี้แจงว่า ตามที่ปรากฎข่าวบริษัทมีผลขาดทุนจากการลงทุน KUB นั้น บริษัทยืนยันไม่มีผลขาดทุนจากการทำธุรกรรม และไม่ส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของบริษัท เนื่องจากยังไม่ได้ลงทุนแต่อย่างใด เป็นที่น่าสังเกตว่า ผู้บริหารของ PROEN ได้ประกาศแผนการขยายธุรกิจสู่ธุรกิจสินทรัพย์มาอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ได้รับการอนุมัติจากบอร์ดเมื่อวันที่ 25 ก.พ. 65 เรื่องการลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัล และร่วมเป็นพันธมิตรกับ บิทคับ ซึ่งจะช่วยให้ผลการดำเนินงานของบริษัทเติบโตอย่างโดดเด่น จากประเด็นข่าวดังกล่าว กลายเป็นจุดสนใจทำให้นักลงทุนทยอยเข้ามาลงทุนหุ้น PROEN จนให้ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น จากเมื่อต้นปีที่เคลื่อนไหวอยู่ที่ประมาณ 7.15 บาท แต่ในช่วง ก.พ. - เม.ย. กลับมีแรงซื้อขายเข้ามาอย่างคึกคัก และราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปยืนอยู่เหนือ 8-9 บาท และสูงสุดในวันที่ 14 มี.ค. 65 ที่ราคาหุ้นละ 10.20 บาท หลังจากนั้นเมื่อยื่นได้ระยะหนึ่งราคาหุ้นก็เริ่มปรับตัวลดลง จากภาวะตลาดหุ้นซบเซา รวมถึงความน่าสนใจของตลาดคริปโตเคอร์เรนซีลดลง ทำให้นักลงทุนประเมินว่าการลงทุนอาจจะกระทบต่อผลการดำเนินงานของบริษัท จนทำให้ช่วงปลายเดือนพ.ค. ที่ผ่านมา ผู้บริหาร PROEN ต้องออกมาชี้แจงอีกครั้งว่า บริษัทได้ขอเปลี่ยนสัญญาการร่วมทุน และลงทุนเหรียญ KUB โดยทาง บิทคับ จะการันตี การซื้อเหรียญคืนในราคาไม่ต่ำกว่าต้นทุนภายใต้เงื่อนไขที่บริษัทต้องถือครบสัญญาวันที่ 31 พ.ค. 66 เพื่อไม่ให้นักลงทุนกังวลผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นกับบริษัท X ต่อมาเมื่อเจอปัจจัยลบถาโถมที่ส่งผลกระทบทั้งราคาหุ้น และ KUB จึงได้ปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง โดยปัจจัยหลักๆ เรื่องเศรษฐกิจสหรัฐฯ อัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูง รวมถึงสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ทำให้ราคาหุ้น PROEN ปรับตัวแตะระดับต่ำสุดที่ 4.88 บาท เมื่อวันที่ 6 ก.ค. 65 ก่อนจะเริ่มขยับตัวดีขึ้นและปิดล่าสุดที่ 7.00 บาท (23 ส.ค.) ทั้งนี้ หลังจากที่ PROEN ประกาศยกเลิกสัญญาดังกล่าว ราคา KUB ได้ปรับตัวลงต่อเนื่อง โดยเมื่อวันที่ 18 ส.ค. 65 ราคาลดลงเหลืออยู่ที่ประมาณ 87 บาท ล่าสุด (23 ส.ค.) แตะราคาต่ำสุดที่ 72.54 บาท ก่อนจะขยับขึ้นมาอยู่ที่ 75.25 บาท ณ เวลา 21.45 น. อย่างไรก็ตาม ได้เกิดคำถามตามมาว่า สัญญาการร่วมทุนและลงทุนเหรียญ KUB ระหว่าง โปรเอ็นฯ และบิทคับ มีจริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงดีลทิพย์ เพียงแค่หวังสร้างกระแสให้นักลงทุนสนใจ และช่วยดันราคาหุ้นให้สูงขึ้นเท่านั้นหรือไม่ ขณะที่บิทคับ เองก็จะได้รับประโยชน์ในการสร้างข่าวเพื่อดึงพันธมิตรรายอื่นเข้ามาร่วมและยังช่วยพยุงราคาเหรียญ KUB ในช่วงตลาดคริปโตฯ ขาลงด้วย สุดท้ายแล้ว นักลงทุนรายย่อยที่เข้ามาลงทุนหุ้น PROEN และเหรียญ KUB หวังเก็งกำไรจากข่าวการร่วมทุนดังกล่าว โดยคาดหวังราคาจะปรับตัวดีขึ้น ก็ต้องแบกรับภาระผลขาดทุนที่อาจเกิดขึ้น หลังจากที่ดีลล่ม อาจจะส่งผลกระทบต่อราคาหุ้น PROEN และเหรียญ KUB ด้วย
โดย
pakapong_u
พฤหัสฯ. ส.ค. 25, 2022 1:44 pm
0
0
Re: BITKUB
SCB เผย บล.ไทยพาณิชย์ ล้มดีลเข้าซื้อหุ้น บิทคับ ออนไลน์ 1.78 หมื่นลบ. ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday August 25, 2022 13:38 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) บมจ.เอสซีบี เอ็กซ์ (SCB) เปิดเผยว่า ตามที่ที่ประชุมคณะกรรมการ บล.ไทยพาณิชย์ (SCBS) ในการประชุมครั้งที่ 13/2564 เมื่อวันที่ 2 พ.ย.64 ได้มีมติอนุมัติให้ SCBS ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ SCB เข้าทำสัญญาซื้อหุ้น ในบริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด (Bitkub) จาก บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด ในสัดส่วน 51% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของ Bitkub คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 17,850 ล้านบาทนั้น ตลอดระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา บริษัทฯ และ SCBS ได้ร่วมกันดำเนินการสอบทานธุรกิจ (due diligence) ด้วยความรอบคอบระมัดระวัง และได้รับความร่วมมืออย่างดีจากผู้ขายและ Bitkub โดยในระหว่างกระบวนการสอบทานธุรกิจ บริษัทฯ และ SCBS ได้เห็นศักยภาพและความสามารถในหลากหลายด้านของกลุ่ม Bitkub และเห็นโอกาสในการร่วมมือพัฒนาและปรับปรุงการดำเนินธุรกิจของ Bitkub ในอีกหลายด้าน อย่างไรก็ดีถึง แม้การสอบทานธุรกิจจะไม่มีข้อบ่งชี้ถึงความผิดปกติอันเป็นนัยสำคัญ ซึ่งไม่สามารถแก้ไขได้แต่เนื่องจาก Bitkub ยังมีประเด็นคงค้างที่ต้องดำเนินการหาข้อสรุปตามคำแนะนำและสั่งการของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งยังมีความไม่แน่นอนในเรื่องระยะเวลาในการหาข้อสรุปดังกล่าว ผู้ซื้อและผู้ขายจึงได้ตกลงร่วมกันที่จะยกเลิกธุรกรรมการซื้อขายหุ้นในครั้งนี้ ด้วยเหตุผลดังกล่าวที่ประชุมคณะกรรมการ SCBS ครั้งที่ 15/2565 จึงมีมติให้ SCBS ยกเลิกธุรกรรมการซื้อขายหุ้น โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 25 ส.ค.65 ทั้งนี้ SCB และ SCBS ยังคงมุ่งมั่นที่จะดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์ในการเข้าสู่ธุรกิจด้านเทคโนโลยีบล็อกเชนและสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งจะมีบทบาทอย่างสำคัญต่อเศรษฐกิจและภาคการเงินของประเทศไทย
โดย
pakapong_u
พฤหัสฯ. ส.ค. 25, 2022 1:43 pm
0
0
Re: BITKUB
"กลุ่มเอสซีบี เอกซ์" และ "บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์" ตกลงร่วมกันยกเลิกการเข้าลงทุนใน "บิทคับ ออนไลน์" ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday August 25, 2022 13:34 —ThaiPR.net ตามที่ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด ("SCBS" หรือ "ผู้ซื้อ") ในการประชุมครั้งที่ 13/2564 เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2564 ได้มีมติอนุมัติให้ SCBS ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) ("บริษัทฯ") เข้าทำสัญญาซื้อหุ้นในบริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด ("Bitkub") จาก บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด ("ผู้ขาย") ในสัดส่วนร้อยละ 51 ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของ Bitkub คิดเป็นมูลค่า รวมประมาณ 17,850 ล้านบาท รวมเรียกว่า "ธุรกรรมการซื้อขายหุ้น" นั้น ตลอดระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา บริษัทฯ และ SCBS ได้ร่วมกันดำเนินการสอบทานธุรกิจ (due diligence) ด้วยความรอบคอบระมัดระวัง และได้รับความร่วมมืออย่างดีจากผู้ขายและ Bitkub โดยในระหว่างกระบวนการสอบทานธุรกิจ บริษัทฯ และ SCBS ได้เห็นศักยภาพและความสามารถในหลากหลายด้านของกลุ่ม Bitkub และเห็นโอกาสในการร่วมมือพัฒนาและปรับปรุงการดำเนินธุรกิจของ Bitkub ในอีกหลายด้าน อย่างไรก็ดี ถึงแม้การสอบทานธุรกิจจะไม่มีข้อบ่งชี้ถึงความผิดปกติอันเป็นนัยสำคัญซึ่งไม่สามารถแก้ไขได้ แต่เนื่องจาก Bitkub ยังมีประเด็นคงค้างที่ต้องดำเนินการหาข้อสรุปตามคำแนะนำและสั่งการของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งยังมีความไม่แน่นอนในเรื่องระยะเวลาในการหาข้อสรุปดังกล่าว ผู้ซื้อและผู้ขายจึงได้ตกลงร่วมกันที่จะยกเลิกธุรกรรมการซื้อขายหุ้นในครั้งนี้ ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้น ที่ประชุมคณะกรรมการ SCBS ครั้งที่ 15/2565 จึงมีมติให้ SCBS ยกเลิกธุรกรรมการซื้อขายหุ้นโดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 25 สิงหาคม 2565 ทั้งนี้ บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด ยังคงมุ่งมั่นที่จะดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์ในการเข้าสู่ธุรกิจด้านเทคโนโลยีบล็อกเชนและสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งจะมีบทบาทอย่างสำคัญต่อเศรษฐกิจและภาคการเงินของประเทศไทย
โดย
pakapong_u
พฤหัสฯ. ส.ค. 25, 2022 1:39 pm
0
0
Re: BITKUB
bitkub.JPG
โดย
pakapong_u
พฤหัสฯ. ส.ค. 25, 2022 1:36 pm
0
0
Re: CATS
(เพิ่มเติม) SAMART คาด SDC พลิกกำไรปี 66 จ่อระดมทุน ลัคกี้ เฮง เฮง-CATS เล็งยื่นไฟลิ่งอีกรอบ ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday August 24, 2022 14:42 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) นายวัฒน์ชัย วิไลลักษณ์ รองประธานกรรมการบริหาร ฝ่ายกลยุทธ์และการพัฒนาธุรกิจใหม่ บมจ.สามารถ คอร์ปอเรชั่น (SAMART) ในฐานะระธานกรรมการบริหาร บมจ. สามารถดิจิตอล (SDC) คาดว่า ผลประกอบการของ SDC จะกลับมามีกำไรในปี 66 หลังจากบริษัทปรับเปลี่ยนธุรกิจ ซึ่งในปัจจุบันมี 2 ธุรกิจคือ Digital Trunk Radio คาดว่าปีหน้าจะ Break event โดยลูกค้าส่วนใหญ่มาจากราชการ และธุรกิจ Digital Content Service ที่เกี่ยวกับธุรกิจด้านความเชื่อและโหราศาสตร์ในประเทศไทย ภายใต้การดำเนินงานบริษัท ลัคกี้ เฮงเฮง จำกัด (Lucky Heng Heng) เพื่อดำเนินธุรกิจและให้บริการด้าน Mu tech เต็มรูปแบบ ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการขยายธุรกิจและเสริมศักยภาพการแข่งขันผ่านความร่วมมือกับองค์กรผู้ร่วมลงทุน ลัคกี้ เฮง เฮง จึงมีแผนระดมทุนในรูปแบบ Start up ที่คาดรู้ผลชัดเจนในปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า ปัจจุบัน SDC ถือหุ้น 100% ใน ลัคกี้ เฮงเฮง โดยมี 4 ธุรกิจหลักได้แก่ 1.Application เป็น One stop Service ทางด้านโหราศาสตร์และความเชื่อประกอบด้วยบริการดูดวงสดอนนไลน์ ดูโหงวเฮ้ง ฮวงจุ้ย และฤกษ์มงคลต่างๆ 2.Thai Merit Application บริการใหม่สำหรับสายบุญทั้งในและต่างประเทศ 3. Mu-Commerce สินค้าไลฟ์สไตล์สายมู และ 4. Mu-Keting การทำการตลาดด้านความเชื่อและความศรัทธาเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับแบรนด์สินค้าหรือองค์กรต่างๆ พร้อมยกตัวอย่าง ธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธ.อ.ส.)ที่นำไปใช้บริการเสริมให้ลูกค้าที่จะดูฮวงจุ้ย ฤกษ์พิธีต่างๆ นายวัฒน์ชัย กล่าวว่า จะเห็นว่า SDC เริ่มฟื้นตัวและมีโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆหลายอย่าง ทั้งหมดมาจาก 4 กลยุทธ์ในการสร้างความยั่งยืน ให้ SDC ได้แก่ 1.Focus Core Skills ใช้ความชำนาญด้าน Digital Technology & Network รวมทั้งประสบการณ์ในการให้บริการ Contents กว่า 20 ปี เป็นจุดแข็งในการให้บริการ 2.Balance Portfolio & Sources of Income สร้างสมดุล ผ่าน 2 สายธุรกิจ คือ Digital Trunk Radio เน้นสร้างรายได้ประจำจาก Corporate Clients และ Lucky Heng Heng เน้นสร้างรายได้เติบโตจาก Consumer 3.Open for Start up model and flexible structure เปิดกว้างในการลงทุนและการบริหารงาน เพื่อเพิ่มสภาพคล่องและความสามารถในการแข่งขัน และ 4.Build on benefits from Networking สร้างโอกาสในการต่อยอดธุรกิจ ผ่านเครือข่ายลูกค้าและพันธมิตรธุรกิจของกลุ่มสามารถ "ผมเชื่อว่าความเชื่อความศรัทธาของคนไทยไม่มีวันจางหายไปจากสังคม จะมีการนำเรื่องความเชื่อความศรัทธาเข้ามาเกี่ยวข้องในชีวิต จนเกิดเป็นเทรนด์ของการตลาดสายมู เป็นการสร้างสีสันสร้างจุดขายให้กับสินค้าและบริการอย่างแน่นอน และในอีก 2-3 ปี ข้างหน้า เป้าหมายของ Lucky Heng Heng จะเป็น No. 1 in Thailand และจะเป็น No. 1 in ASEAN เพราะเราเชื่อว่าตลาดมูในภูมิภาคนี้ใหญ่พอที่จะทำให้เราเป็น UNICORN ได้"นายวัฒน์ชัย กล่าว ขณะเดียวกัน กลุ่ม SAMART คาดว่าจะยื่นไฟลิ่งของบมจ.สามารถ เอวิเอชั่น โซลูชั่นส์ (SAV) ซึ่งถือหุ้น 100% ใน CATS ช่วงต้นปี 66 อีกครั้งหลังจากที่ได้หยุดดำเนินขั้นตอนการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไปในช่วงเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 เมื่อปี 63 ทั้งที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)ได้อนุมัติไฟลิ่งแล้ว โดย SAV ถือหุ้นใน CATS เพียงบริษัทเดียว ซึ่งบริการบริหารจัดการจราจรทางอากาศ (Air Navigation Service Provider : ANSP) เพียงรายเดียวในสนามบินในประเทศกัมพูชา โดยปัจจุบันปริมาณจราจรทางอากาศฟื้นตัวหลังสถานการณ์โควิดคลี่คลาย และล่าสุด CATS ได้รับการต่อสัญญาสัมปทานระบบและให้บริการควบคุมการจราจรทางอากาศในประเทศกัมพูชากับรัฐบาลกัมพูชาออกไปอีก 10 ปี ส่วนภาพรวมของ SAMART นายวัฒน์ชัย กล่าวว่า รายได้รวมปีนี้ยังไม่มั่นใจว่าจะทำรายได้ตามเป้าที่วางไว้ 1.4 หมื่นล้านบาทหรือไม่ เนื่องจากการส่งมอบงานทำได้ล่าช้าส่งผลการรับรู้รายได้ก็เลื่อนออกไป ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการขาดแคลนชิป ด้านนายสุภวัส พรหมวิทักษ์ ผู้จัดการทั่วไป SDC กล่าวว่า Lucky Heng Heng เปิดตัวบริการใหม่ "Thai Merit" แอปพลิเคชันทำบุญออนไลน์ ที่จะช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่สายบุญในการไหว้พระ ขอพร แก้บน เสี่ยงเซียมซี ตลอดจนการทำบุญปล่อยนก ปล่อยปลา อำนวยความสะดวกผ่านช่องทางออนไลน์ ให้ Thai Merit เป็นตัวแทนทำบุญตามขั้นตอนอย่างถูกวิธี ต่อยอดจากบริการสายมูเดิมที่เป็นที่รู้จักอยู่แล้ว คือ Horoworld แอปพลิเคชันทำบุญออนไลน์ หรือ Thai Merit ได้รวบรวมสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทั่วประเทศไทยมากกว่า 100 แห่ง ซึ่งในแอปพลิเคชันจะอำนวยความสะดวกในการจัดของไหว้ และไหว้ขอพรให้กับกลุ่มลูกค้าที่มีความต้องการ รวมถึง แก้บน แก้ชง ในสถานที่แห่งนั้นๆ โดยผู้เชี่ยวชาญในพื้นที่ เพื่อตอบสนองความต้องการในการทำบุญของคนไทยทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงมีแผนพัฒนาเป็นภาษาจีนเพื่อตอบสนองความต้องการของชาวจีนที่มีความนิยมและศรัทธาในการทำบุญในเมืองไทย แอปพลิเคชัน Thai Merit พร้อมเปิดให้บริการในวันศุกร์ที่ 16 กันยายน 2565 นี้ โดยตั้งเป้ายอดดาวน์โหลด 100,000 ภายในสิ้นปี 2565 นายสุภวัส กล่าวเชื่อมั่นว่าธุรกิจ Lucky Heng Heng จะประสบความสำเร็จ เนื่องจากการสำรวจข้อมูลพบว่า 75%ชองประชากรไทย หรือ 52.5 ล้านคนมีความนิยมเรื่องโหราศาสตร์ ความเชื่อความศรัทธา และกลุ่ม Gen Y นิมยมากสุด โดยเฉพาะในช่วง 2 ปีนี้ความนิยมเพิ่มขึ้นจากคนในสังคมมีความเครียดมากขึ้น และมีการดูดวง ทำบุญมากขึ้น โดยจากการรวบรวมทุกแพลตฟอร์มมียอด Follow กว่า 7 แสนคน และมีแนวโน้มเติบโตมากขึ้นคาดขึ้นเป็น 1 ล้านคนในสิ้นปีนี้ นายสุภวัส กล่าวว่า จากที่ Lucky Heng Heng ดำเนิน 4 ธุรกิจหลักครบในปีนี้ คาดว่าจะมีรายได้ในปีแรก 156 ล้านบาท ปีที่ 2 คาดรายได้ โตเท่าตัวที่ 315 ล้านบาท ปีที่ 3 รายได้เพิ่มเป็น 550 ล้านบาท ปีที่ 4 รายได้เพิ่มเป็น 1,040 ล้านบาท และปีที่ 5 รายได้เพิ่มเป็น 2,055 ล้านบาท "เรามั่นใจว่ารายได้จะโตเท่าตัวได้ จากการให้บริการ 4 บริการ โดยปัจจุบัน บริการ Horoworld ทำรายได้เดือนละ 2 ล้านบาท ส่วน Mu-Keting ที่เริ่มธุรกิจต้นปี 65 จะมองหาตลาดในกลุ่มบริษัท property , Bank "นายสุภวัส กล่าว
โดย
pakapong_u
พฤหัสฯ. ส.ค. 25, 2022 1:05 pm
0
0
Re: SAV
SAMART คาด SDC พลิกกำไรในปี 66 หลังปรับเปลี่ยนธุรกิจ-เล็งยื่นไฟลิ่ง CATS อีกรอบ ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday August 24, 2022 12:44 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) นายวัฒน์ชัย วิไลลักษณ์ รองประธานกรรมการบริหาร ฝ่ายกลยุทธ์และการพัฒนาธุรกิจใหม่ บมจ.สามารถ คอร์ปอเรชั่น (SAMART) ในฐานะระธานกรรมการบริหาร บมจ. สามารถดิจิตอล (SDC) คาดว่า ผลประกอบการของ SDC จะกลับมามีกำไรในปี 66 หลังจากบริษัทปรับเปลี่ยนธุรกิจซึ่งในปัจจุบันมี 2 ธุรกิจคือ Digital Trunk Radio คาดว่าปีหน้าจะ Break event โดยลูกค้าส่วนใหญ่มาจากราชการ และธุรกิจ Digital Content Service ที่เกี่ยวกับธุรกิจด้านความเชื่อและโหราศาสตร์ในประเทศไทย ภายใต้การดำเนินงานบริษัท ลัคกี้ เฮงเฮง จำกัด (Lucky HENG HENG) เพื่อดำเนินธุรกิจและให้บริการด้าน Mutech เต็มรูปแบบ ขณะเดียวกัน กลุ่ม SAMART คาดว่าจะยื่นไฟลิ่งของ บมจ.แคมโบเดีย แอร์ทราฟฟิค เซอร์วิส (CATS) เพื่อเดินหน้าเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อีกครั้งในช่วงต้นปี 66 หลังจากที่ได้หยุดดำเนินขั้นตอนไปในช่วงเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 เมื่อปี 63 และปัจจุบันทราฟฟิกในกัมพูชามีเพิ่มขึ้น ซึ่งทำให้ปีนี้น่าจะมีกำไรได้
โดย
pakapong_u
พุธ ส.ค. 24, 2022 12:53 pm
0
0
AAI
ก.ล.ต. นับหนึ่งไฟลิ่ง AAI ขายไอพีโอ 637.5 ล้านหุ้น จ่อเทรด SET ลุยขยายกำลังผลิต ก.ล.ต. นับหนึ่งไฟลิ่ง “เอเชี่ยน อะไลอันซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล” หรือ AAI ขายไอพีโอ 637.5 ล้านหุ้น จ่อเทรด SET ระดมทุนใช้ขยายกำลังการผลิต ตอกย้ำการเป็นผู้นำตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียกรายใหญ่ของไทย นายเอกราช พรรณสังข์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเชี่ยน อะไลอันซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ AAI ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยง และผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมทานชั้นนำของประเทศ เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมมานานกว่า 15 ปี โดยเป็นผู้รับจ้างผลิตผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียก (Wet Pet Food) และผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมทานบรรจุภาชนะปิดผนึก (Human Food) ชั้นนำของประเทศ ส่งผลให้ AAI มีความพร้อมทางด้านบุคลากร แหล่งเงินทุน และการเข้าถึงนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อพัฒนาความสามารถในการแข่งขันและสร้างการเปลี่ยนแปลง พร้อมยกระดับอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงสู่สากล ปัจจุบัน บริษัทฯ ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ 2 กลุ่ม ได้แก่ (1) ผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยง (Pet Food) สำหรับสุนัขและแมว ครอบคลุมทั้งผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียกและผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงแบบเม็ด ภายใต้เครื่องหมายการค้าของลูกค้าที่เป็นแบรนด์ผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงระดับสากล และภายใต้เครื่องหมายการค้าของกลุ่มบริษัทฯ ซึ่งประกอบด้วย แบรนด์มองชู (monchou) และแบรนด์มาเรีย (Maria) เจาะกลุ่มลูกค้าในตลาดสินค้าพรีเมียม แบรนด์มองชู บาลานซ์ (monchou balanced) และแบรนด์ฮาจิโกะ (Hajiko) เจาะกลุ่มลูกค้าในตลาดมวลชน และแบรนด์โปร (Pro) เจาะกลุ่มลูกค้าโดยเน้นแข่งขันด้านราคาเป็นหลัก รวมทั้ง (2) ผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมทานบรรจุภาชนะปิดผนึก (Human Food) ในรูปแบบผลิตภัณฑ์ปลาทูน่าในน้ำปรุงรสและซอสปรุงรส รวมถึงผลิตภัณฑ์อาหารปรุงสุกพร้อมทาน (Ready-to-eat) ภายใต้เครื่องหมายการค้าของลูกค้าทั้งหมด นอกจากนี้ ยังจำหน่ายผลิตภัณฑ์ผลพลอยได้ (By-product) จากการแปรรูปปลาทูน่า เช่น ผลิตภัณฑ์ปลาป่น ผลิตภัณฑ์น้ำนึ่งปลา และผลิตภัณฑ์น้ำมันปลา เป็นต้น โดยปัจจุบัน AAI มีโรงงานผลิต 2 แห่ง คือ (1) โรงงานสมุทรสาคร เป็นฐานการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียก อาหารพร้อมทานบรรจุภาชนะปิดผนึก และผลพลอยได้จากการแปรรูปปลาทูน่า มีกำลังการผลิตรวมในปัจจุบัน 65,500 ตันต่อปี (อาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียก: 42,000 ตัน, อาหารพร้อมทานบรรจุภาชนะปิดผนึก: 17,500 ตัน และ ปลาป่น: 6,000 ตัน) และ (2) โรงงาน MEISI ดำเนินการโดย Shandong Thaiya Meisi Pet Food Co., Ltd (MEISI) ซึ่งเป็นกิจการร่วมค้า ตั้งอยู่ที่มณฑลซานตง ประเทศจีน โดยใช้เป็นฐานการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเม็ด มีกำลังการผลิตรวมในปัจจุบัน จำนวน 20,000 ตันต่อปี ทั้งนี้บริษัทฯ มุ่งเน้นการพัฒนาปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพ เน้นการลงทุนในเทคโนโลยีและเครื่องจักรอัตโนมัติเพื่อนำมาใช้ในการผลิต อาทิ เครื่องจักรระบบแขนกล (Robotic Arm), คลังสินค้าอัตโนมัติ (Auto Warehouse) ฯลฯ เพื่อลดการพึ่งพาแรงงาน ซึ่งนอกจากจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานแล้ว ยังช่วยให้สามารถบริหารจัดการต้นทุนให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น นอกจากนั้นบริษัทฯ มีวิสัยทัศน์เป็นผู้ผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงและอาหารสู่สากล ด้วยคุณภาพ ความปลอดภัย และความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ภายใต้พันธกิจที่สำคัญ คือ 1.) การสร้างผลตอบแทนที่ดีต่อผู้มีส่วนได้เสียและมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อการเติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืน 2.) ทำให้องค์กรมีสังคมและสิ่งแวดล้อมที่ดี บุคลากรและผู้เกี่ยวข้องมีสุขภาพดี มีความสุขทุกครอบครัว 3.) ผลิตอาหารที่ได้มาตรฐานสากล ด้วยคุณภาพ และราคาที่แข่งขันได้ รวมทั้ง 4.) มีนวัตกรรมใหม่ทั้งในด้านผลิตภัณฑ์ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า และด้านวิธีการผลิตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน 5.) พัฒนาให้บุคลากรมีความรู้ ความชำนาญ และทัศนคติที่ดีต่อองค์กร 6.) มีเทคโนโลยีสารสนเทศที่ทันสมัยอย่างเพียงพอในการสื่อสารและบริหารงาน 7.) ดำเนินธุรกิจอย่างถูกต้องตามหลักกฎหมาย มาตรฐานแรงงานที่ดี และต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น และ 8.) มีนโยบายด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน เพื่อตอกย้ำศักยภาพการเป็นผู้ผลิตอาหารและอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียกรายใหญ่ของประเทศไทย ส่วน นางสาววรัญรัชต์ อัสสานุพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่สายการเงิน AAI กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทฯ มีผลประกอบการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากแนวโน้มของอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงที่มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยผลการดำเนินงาน 6 เดือนแรกของปี 2565 มีรายได้จากการขายรวม 3,464 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้จากการขายรวม 2,415 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิทำได้ 364 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 308 ล้านบาท นับเป็นการตอกย้ำความสำเร็จในการปรับตัวเข้าสู่ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงแบบพรีเมี่ยมของบริษัทฯ ด้าน นายทวีชัย ตั้งธนทรัพย์ Head of Investment Banking Capital Market บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า AAI ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (แบบไฟลิ่ง) และแบบคำขออนุญาตเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ล่าสุด สำนักงาน ก.ล.ต. ได้เริ่มนับหนึ่งไฟลิ่งแล้วเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2565 ปัจจุบันบริษัทฯ อยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมเพื่อเสนอขายหุ้น IPO และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ทั้งนี้ AAI มีทุนจดทะเบียนจำนวน 2,125 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 2,125 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1 บาท โดยเป็นทุนชำระแล้วทั้งสิ้นจำนวน 1,700 ล้านบาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 1,700 ล้านหุ้น และจะเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 637.5 ล้านหุ้น แบ่งเป็น 1) หุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายโดยบริษัทฯ จำนวนไม่เกิน 425 ล้านหุ้น และ 2) หุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดยผู้ถือหุ้นเดิม (บมจ. เอเชี่ยนซี คอร์ปอเรชั่น: ASIAN) จำนวนไม่เกิน 212.5 ล้านหุ้น รวมทั้งหมดไม่เกินร้อยละ 30 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO ครั้งนี้ โดยจะนำเงินจากการระดมทุนไปใช้ลงทุนในที่ดิน อาคาร เครื่องจักรและอุปกรณ์ เพื่อขยายกำลังการผลิต ชำระคืนเงินกู้ยืม และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในอนาคต
โดย
pakapong_u
อังคาร ส.ค. 23, 2022 3:55 pm
0
2
BITKUB
ถอดรหัส PROEN ล้าง KUB สัญญาณชีพ “บิทคับ” โคม่า!!? August 22, 2022 บทความโดย ibit ผู้จัดการออนไลน์ ถอดรหัส “โปรเอ็น คอร์ป” หรือ PROEN ยอมขาดทุนเหรียญ KUB กว่า 52 ล้านบาท ล่มสัญญาพาร์ทเนอร์ “บิทคับ” วงในเชื่อเพราะเห็นสัญญาณหายนะ หลังโดนใบเหลืองจากก.ล.ต. ให้แก้คุณสมบัติเหรียญ KUB แต่ยังดื้อแพ่ง นับวันรอใบแดง สั่งห้ามซื้อขาย แถมดีลเอสซีบีเอ็กซ์ ยังโดนเทอย่างไม่มีกำหนด ได้กลับมา 20 ล้านบาท ดีกว่าไม่ได้ จับตาบจ.พันธมิตรรายอื่น ทยอยสลายก๊วนถอนตัว จากกรณีที่ บริษัท โปรเอ็น คอร์ป จำกัด (มหาชน) (PROEN) ผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยีและการสื่อสาร โดยนายกิตติพันธ์ ศรีบัวเอี่ยม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทฯ ได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่า เมื่อวันที่ 17 ส.ค. 65 ที่ผ่านมา บริษัทได้ทำหนังสือถึงบริษัท บิทคับ บล็อคเชน เทคโนโลยี จำกัด (Bitkub) แจ้งใช้สิทธิยกเลิกสัญญา และขอยกเลิการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล โดยบริษัทให้เหตุผลระบุว่า หลังจากบริษัทได้พิจารณาปัจจัยต่างๆ ตามประกาศของสำนักงาน ก.ล.ต.เรื่องการลงทุนหรือการประกอบธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัลของบริษัทจดทะเบียน การเปลี่ยนแปลงราคาเหรียญ KUB และปัจจัยอื่นๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อบริษัทอย่างมีนัยสําคัญ PROEN จึงได้ทําหนังสือแจ้งยกเลิกสัญญาดังกล่าว ก่อนหน้านี้ คณะกรรมการบริษัท PROEN ได้อนุมัติการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล ประเภทคริปโตเคอร์เรนซี ซึ่งเป็นเงื่อนไขในการเข้าร่วมเป็นพาร์ทเนอร์กับบริษัท บิทคับ บล็อคเซน เทคโนโลยี จำกัด (Bitkub) โดยบริษัทจะเข้าลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล ประเภทคริปโตเคอร์เรนซีสกุลเงิน Bitkub Coin (เหรียญ KUB) ซึ่งเป็นเงื่อนไขในการเข้าร่วมเป็นพาร์ทเนอร์กับ Bitkub เพื่อวัตถุประสงค์ในการเป็นในการเป็นผู้ตรวจสอบธุรกรรม (Validator Node POSA) แบบ Proof of Stake Alliance ในระบบบล็อกเชน Bitkub Chain โดยมีเงื่อนไขการเข้าร่วมโดยบริษัทต้องซื้อเหรียญ KUB จาก Bikub จำนวน 250,000 เหรียญ KUB มูลค่าทั้งสิ้นไม่เกิน 72,949,815 บาท หรือคิดเป็นราคาเฉลี่ยประมาณ 291.80 บาท และได้รับเหรียญ KUB เข้าบัญชีบริษัท และไม่ให้บริษัทขายและ/หรือแลกเปลี่ยนเหรียญดังกล่าวเป็นระยะเวลาก่อนวันที่ 31 พ.ค. 66 โดยบริษัทได้รับประกันราคาซื้อคืนในราคาที่ไม่ต่ำกว่าต้นทุนเมื่อครบกำหนดเวลา PROEN ถอนตัวแบบเจ็บๆ จากเงื่อนไขดังกล่าว ในเมื่อ PROEN เป็นผู้บอกเลิกสัญญาก่อนที่จะครบกำหนด 31 พ.ค. 65 แล้วส่งที่เกิดขึ้นคือผลขาดทุนจากเหรียญ KUB นั้น บริษัทต้องแบกรับภาระเองใช่หรือไม่ หากเทียบราคาต้นทุนที่ PROEN ใช้เงินลงทุน 72.75 ล้านบาทในการเข้าถือเหรียญ KUB จำนวน 2.5 แสนเหรียญ ต้นทุนเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 291.80 บาท / 1 KUB ปัจจุบัน (20 ส.ค.65 เวลา 21.30 น.) ราคา KUB อยู่ที่ประมาณ 80 บาท ทำให้ PROEN ขาดทุนเหรียญละ 211.80 บาท หรือคิดเป็น 72.58% มูลค่าการขาดทุนรวมทั้งสิ้น 52.88 ล้านบาทบาท จากต้นทุนทั้งหมด 72.75 ล้านบาท PROEN เผ่น–เห็นสัญญาณหายนะ? สิ่งที่น่าสนใจก็คือ เพราะเหตุใด PROEN จำต้องยอมรับผลขาดทุนแบบเจ็บปวด จำนวนกว่า 52 ล้านบาท ทำไมไม่อดทนยอมถือ KUB ต่อจนครบกำหนด 31 พ.ค. 66 หรืออีกประมาณ 9 เดือนกว่า ก็สามารถขายคืนให้ “บิทคับ” ในราคาต้นทุน ตามสัญญาและเงื่อนไขที่ตกลงกันไว้ คือได้เงินคืนครบตามจำนวนที่ลงทุน 72.75 ล้านบาท แต่กลับเลือกเอาส่วนที่เหลือแค่ 20 ล้านบาทคืน หรือว่า? ผู้บริหาร PROEN ได้เห็นสัญญาณร้ายอะไรบางอย่าง ที่อาจจะก่อให้เกิด “หายนะ” กับ “บิทคับ” ในอนาคตอันใกล้ ก่อนที่จะครบกำหนดสัญญาหรือไม่ จึงได้รีบยกเลิกสัญญา และถอนเงินทุนออกมา แม้จะขาดทุนหนัก แต่ก็ยังได้อะไรติดไม้ติดมือกลับมาบ้าง หากรอให้ถึงวันนั้นอาจจะเสียหายหนักกว่านี้ หรือไม่เหลืออะไรเลยหรือไม่? ตีจากก่อน ก.ล.ต. สั่งเพิกถอน KUB บุคคลในแวดวงตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล และนักเทรดคริปโต ได้ให้มุมมองต่อการถอนตัวจากการลงทุนเหรียญ KUB ของ PROEN ในครั้งนี้ ประเด็นหลักไม่น่าจะเกิดจากตลาดคริปโตฯ ผันผวน หรือราคา KUB ที่ปรับตัวลดลงมาอย่างมาก เพราะหากเป็นประเด็นนี้จริง เมื่อครบกำหนดสัญญา ก็สามารถขายคืนให้ “บิทคับ” ในราคาต้นทุนตามสัญญาที่ทำไว้อยู่แล้ว แต่ประเด็นสำคัญน่าจะอยู่ที่ปัญหาของตัวเหรียญ KUB เอง ที่สำนักงานงานก.ล.ต. ออกมาระบุชัดเจนว่า บิทคับให้คะแนนเหรียญตัวเองสูงเกินมาตรฐานแบบไม่เคยมีมาก่อน จนทำให้เหรียญขาดคุณสมบัติเข้ามาเทรดในกระดานคริปโต ซึ่ง ก.ล.ต. ได้มีคำสั่งให้ บิทคับ ทำการแก้ไข แต่กลับไม่มีการแก้ไขจากบิทคับแต่อย่างใด อีกทั้งยังยืนยันว่าเหรียญ KUB มีมาตรฐานและเหมาะสมเข้ามาเทรดในกระดานตั้งแต่เริ่มแรกแล้ว สืบเนื่องจากที่ประชุมคณะกรรมการ ก.ล.ต. เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. 65 มีมติสั่งการให้บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด (Bitkub) แก้ไขการคัดเลือกและอนุมัติเหรียญ KUB เข้ามาให้บริการในศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล เนื่องจากมีการให้คะแนนเหรียญตัวเองสูงกว่ามาตรฐานและไม่เคยมีมาก่อน ทำให้ขาดคุณสมบัติเข้ามาซื้อขายในกระดานสินทรัพย์ดิจิทับ โดยให้แก้ไขคุณสมบัติให้เป็นไปตามกฎหมายและกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ 1 ก.ค. 65 โดยจะครบกำหนด 30 ก.ค. 65 ต่อมาเมื่อวันที่ 25 ก.ค. 65 ทาง บิทคับ ได้ทำหนังสือขอขยายระยะเวลาออกไป ซึ่ง ก.ล.ต. ได้ขยายเวลาให้ตามที่ร้องขอ โดยกำหนดให้ดำเนินการแก้ไขภายในเวลาทำการของสำนักงาน ก.ล.ต. ในวันที่ 4 ส.ค.65 แต่เมื่อถึงเส้นตาย ก.ล.ต. ทางบิทคับ กลับโต้แย้งว่า เทคโนโลยีของเหรียญ KUB เป็นเทคโนโลยีที่ได้มาตรฐาน มีคุณสมบัติเฉพาะตัวที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร และเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่พร้อมแก่การให้บริการตั้งแต่วันแรกที่มีการออกและเสนอขายให้แก่นักลงทุน ดังนั้น บริษัทฯ จึงเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า เหรียญ KUB เป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีโครงสร้างเครือข่ายบล็อกเชนที่ได้มาตรฐาน มีความน่าเชื่อถือ และสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ การท้าทายอำนาจ ก.ล.ต. โดยไม่ให้ความสำคัญกับการแก้ไขคุณสมบัติของเหรียญ KUB ของ บิทคับ ในครั้งนี้ เริ่มมีหลายฝ่ายออกมาประเมินว่ามีความเป็นไปได้ที่เหรียญเจ้าปัญหาตัวนี้ อาจถูก ก.ล.ต. สั่งห้ามซื้อขาย หรือถอดถอนออกจากการดานคริปโตได้ ซึ่งหากเกิดเป็นจริงขึ้นมา อาจนำไปสู่ความพังพินาศของใครต่อใครเป็นจำนวนมากไม่ว่าจะเป็นรายใหญ่หรือรายย่อย นอกจากเรื่องความดันทุรังของ “บิทคับ” แล้ว บิทคับเองยังมีปัญหากับ ก.ล.ต. จนนำไปสู่บทลงโทษ ทั้งการตักเตือน และปรับอีกหลายกรณี ไม่ว่าจะเป็นปัญหาในระบบ ที่มีนักลงทุนร้องเรียน หรือการรวมหัวกับ Market Maker แทรกแซงราคาเหรียญ จนถูก ก.ล.ต.สั่งปรับไปแล้วหลายครั้ง ซึ่งล้วนแล้วแต่ถูกลดทอนความน่าเชื่อถือจากพันธมิตรลง SCBX เททำพาร์ทเนอร์ฝันค้าง ไม่เพียงเท่านี้ พันธมิตร ที่เข้ามาลงทุนเหรียญ KUB เอง นอกจากจะเป็นการเอื้อประโยชน์หรือสนับสนุนทางธุรกิจแล้ว ต่างมุ่งหวังกำไรจากราคาเหรียญที่พุ่งสูงขึ้นด้วยเช่นกัน แต่กลับตรงกันข้ามตลาดคริปโตเข้าสู่ขาลง จนราคาย่ำแย่ อยู่ที่ปัจจุบันไม่ถึง 100 บาท จากเคยขึ้นไปสูงสุดกว่า 500 บาท ทำให้ความน่าสนใจของ KUB หมดลง ขณะที่ปัจจัยบวกที่พันธมิตรต่างคาดหวังจะให้เข้ามาช่วยสนับสนุนราคาเหรียญกลับมาคึกคักอีกครั้งหนึ่ง คือ กรณีที่กลุ่มไทยพาณิชย์ ในนามบริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB ประกาศเข้ามาร่วมทุนซื้อหุ้นในสัดส่วน 51% มูลค่ารวมกว่า 1.78 หมื่นล้าน ซึ่งสร้างความสั่นสะเทือนให้แก่วงการตลาดคริปโตฯในประเทศเป็นอย่างยิ่ง เพราะเพียงแค่ประกาศความสนใจก็ทำให้มูลค่าของเหรียญ และมูลค่าองค์กร “บิทคับ” ติดจรวดขึ้นไปทันที ระยะเวลาล่วงเลยนับตั้งแต่ 2 พ.ย. 64 รวมระยะเกือบ 9 เดือนแล้วกลับไม่มีวี่แววความคืบหน้าแต่อย่างใด และดูท่าจะกลายเป็นฝันค้างเสียแล้ว สำหรับ “กลุ่มบิทคับ” เมื่อยานแม่ “เอสซีบีเอกซ์” ได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 8 ก.ค. 65 ประเด็นสำคัญว่า การตรวจสอบกิจการ หรือดีลดิลิเจนท์ อาจจะเป็นเป็นที่พึงพอใจของฝ่ายบริหาร โดยเฉพาะในส่วนสาระสำคัญที่น่าจะเกิดปัญหา หรือไม่เป็นไปตามที่ต่างฝ่ายต่างคาดหวังไว้ระหว่างกัน รวมทั้งยืนยันถึงนโยบายการดำเนินธุรกิจของกลุ่มเอสซีบีเอกซ์ จะดำเนินธุรกิจให้เป็นไปตามกฏเกณฑ์และข้อกำหนดของ Regulator ที่เกี่ยวข้องก่อนจบอย่างสวยหรูว่า ปัจจุบันยังอยู่ระหว่างกระบวนการสอบทางธุรกิจ และระหว่างการหารือกับหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้อง โดยมีการขยายเวลาการเข้าทำธุรกรรมออกไปจากกำหนดการเดิม แบบไม่ขอระบุช่วงเวลาที่ชัดเจน ประเด็นดังกล่าว ทำให้แวดวงตลาดทุนต่างพากันเชื่อว่า งานนี้ก็คือการบอก “เทแบบสุภาพ” นั่นเอง ขณะที่แวดวงรายย่อยทั้งสายหุ้นและสายเหรียญต่างก็บ่นอุบเพราะ “โดนแกง” นั่นเอง “เมื่อโอกาสจะทำกำไรจากดีล เอสซีบี เอกซ์ มันจบลงไป ความน่าสนใจการลงทุนกับบิทคับทั้งรูปแบบพาร์ทเนอร์ หรือลงทุนในเหรียญมันก็หมดไปโดยปริยาย ไม่แปลกที่พาร์ทเนอร์ธุรกิจที่แห่เข้ามาประกาศร่วมลงทุนในช่วงเวลานั้นจะเริ่มทยอยถอนตัว เพราะโอกาสในการทำกำไรมันจบลงแล้ว ประตูนี้แทบจะปิดไปแล้ว… จะมีก็แต่คำพูดปลอบประโลมกันเองของนักลงทุนรายย่อยที่ยังเชื่อใจในตัว ท๊อป จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด ว่าท้ายสุดดีลจะเกิดขึ้น ราคาเหรียญจะกลับมา แต่ความเจ็บปวดที่ต้องกัดฟันถือเหรียญต่อไปทั้งที่มีแต่โอกาสเป็นขาลงมันเจ็บกว่า ต้องยอมรับว่าทุกวันนี้ความต้องการถือเหรียญนี้ลดลงไปมาก นักลงทุนเข้ามาเพื่อลงทุนเมื่อกำไรไม่เห็น ทุนมีแต่หด ใครล่ะจะยอมขาดทุน ยิ่งบิทคับไม่ยอมแก้ไขคุณสมบัติเหรียญตามคำสั่งก.ล.ต.ที่เป็นผู้ควบคุม ก็เหมือนนักฟุตบอลที่โดนใบเหลืองจากกรรมการไปแล้ว ยังดื้อแพ่งจะทำผิดอีก ก็มีแต่รอใบแดงจากกรรมการเท่านั้น นั่นยิ่งทำให้คุณค่าของเหรียญลดลงไปด้วย เพราะทุกคนก็ต่างกังวลว่าต่อจากนี้ ก.ล.ต.จะมีบทลงโทษ หรือคำสั่งออกมาเช่นไร และเมื่อพิจารณาจากราคาเหรียญในปัจจุบัน พร้อมกับปฏิกิริยาของผู้ก่อตั้ง ก็พอรู้แล้วว่าคงไม่ได้รับคำชื่นชมเป็นแน่ ตอนนี้ยังพอใกล้หลักร้อยหน่อย หลังจากนี้อาจไม่ใช่แล้ว” จับตาพันธมิตรรายอื่นๆ เป็นที่ทราบกันดีว่านอกจาก PROEN แล้ว “บิทคับ” ยังมีพันธมิตรหรือพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจอีกมากมายที่เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่ตัดสินใจเข้าไปร่วมลงทุนถือเหรียญ KUB ด้วย โดยปัจจุบันหลายฝ่ายเชื่อว่า มีความเป็นไปได้ที่จะได้เห็นการทยอยถอนตัวเกิดขึ้น ส่วนพันธมิตรที่น่าสนใจ และเคยเป็นข่าว ได้แก่ บมจ.ทีวี ไดเร็ค หรือ TVD ทำสัญญาซื้อเหรียญ KUB Coin ที่ราคา 104.26 บาท/เหรียญ จำนวน 125,000 เหรียญ ใช้เงินทุนราว 13 ล้านบาท โดยทำสัญญาป้องกันความเสี่ยงรองรับในระดับ 12% หรือจำนวน 15,000 เหรียญ ราคาซื้อคืนที่ 90 บาท ระยะเวลาสัญญา 1 ปี ซึ่งเหตุการณ์ของ TVD เกิดขึ้นในช่วงเวลาใกล้เคียงกับ PROEN ซึ่งในช่วงเวลานั้น ทั้ง 2 บริษัทออกมายืนยันความเป็นพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจที่ได้รับการรับประกันราคาซื้อคืนจากกลุ่ม “บิทคับ”ที่แตกต่างกันไป และก็นำมาซึ่งระบบ 2 มาตรฐานทางธุรกิจที่รายใหญ่ได้ประโยชน์หรือสิทธิพิเศษมากกว่านักลงทุนรายย่อยซึ่งต้องยอมรับชะตากรรมกับราคาที่ร่วงลงในชีวิตประจำวัน นอกจากบริษัทจดทะเบียน 2 รายข้างต้นแล้ว ยังมีบจ.อีกหลายแห่งที่ทำสัญญาและร่วมลงทุนกับ “บิทคับ” ในลักษณะดังกล่าว อาทิ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ANAN ลงทุน 225,000 KUB คิดเป็นเงินลงทุน 60.77 ล้านบาท โดยมีการรับประกันราคา (Price Guarantee) ซื้อคืนขั้นต่ำเมื่อครบกำหนด บริษัท ทีพีซีเอส จำกัด (มหาชน) หรือ TPCS ลงทุน KUB จำนวน 247,106 เหรียญ มูลค่าลงทุน 35 ล้านบาท ต้นทุนเฉลี่ยเหรียญละ 141 บาท ไม่มีการรับประกันราคาซื้อคืนขั้นต่ำ ขณะที่บริษัทย่อย คือ บริษัท ทีพีซีเอกซ์ จำกัด (TPCX) เข้าลงทุนประมาณ 20 ล้านบาท จำนวน 62,500 เหรียญ ต้นทุน 312 บาท มีการประกันราคาซื้อคืนขั้นต่ำ บริษัท สยามราชธานี จำกัด (มหาชน) หรือ SO ได้ชี้แจงว่า บริษัทได้ลงนามในข้อตกลง Memorandum of Understanding (MOU) เพื่อเป็นผู้ตรวจสอบธุรกรรม (Node Validator) ในลักษณะ Sharing Node ไม่จำเป็นต้องลงทุนเหรียญ KUB เพิ่มเติม แต่มีเงื่อนไขกำหนดให้ฝาก KUB ที่ได้รับผลตอบแทนจากการเป็น Node Validator ในช่วงปีก่อนหน้านี้ มูลค่า 3.96 ล้านบาท ( 31 มี.ค.65) บริษัท เอสไอเอส ดิสทริบิวชั่น (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ SIS ลงทุน 250,000 KUB มูลค่ารวม 67,113,829.80 บาท มีประกันราคาซื้อคืนขั้นต่ำไม่ต่ำกว่าราคาทุน ส่วนบริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) หรือ SPC เป็นเพียงผู้ตรวจสอบธุรกรรม (Node Validator) ด้วยการนำ facilities ที่บริษัทมีอยู่แล้วไปมีส่วนร่วมในการเป็น Node Validator ไม่ได้เข้าลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัล มีเพียงเหรียญ KUN ที่ได้รับเป็นค่าธรรมเนียมจากการเป็น Node Validator เท่านั้น อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียง บริษัท โปรเอ็น คอร์ป จำกัด (มหาชน) (PROEN) หรือ PROEN พันธมิตรของ “บิทคับ” แค่เราเดียวที่มองเห็นสัญญาณร้ายบางอย่าง จึงรีบถอยฉากออกมาก่อนที่จะได้รับความเสียหายไปมากกว่านี้ ซึ่งก็ต้องจับตาดูท่าทีของพันธมิตรรายอื่นๆ จะเดินหน้าหรือถอยฉากออกมาเหมือนกับ PROEN หรือไม่?
โดย
pakapong_u
จันทร์ ส.ค. 22, 2022 4:36 pm
0
0
Re: CHASE
อาร์เอส กรุ๊ป ยื่นไฟลิ่ง เชฎฐ์ เอเชีย เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ เสนอขายหุ้น IPO จำนวน 562 ล้านหุ้น บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) หรือ อาร์เอส กรุ๊ป (“บริษัทฯ”) เตรียมแผนการออกและเสนอขายหุ้นสามัญที่ออกใหม่ของบริษัท เชฎฐ์ เอเชีย จำกัด (มหาชน) หรือ เชฎฐ์ ให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) และนำหุ้นสามัญทั้งหมดเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน โดยจะเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 562 ล้านหุ้น เพื่อการระดมทุน เพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน สร้างโอกาสและการเติบโตทางธุรกิจของเชฎฐ์อย่างก้าวกระโดด คุณสุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “อาร์เอส นำ บริษัท เชฎฐ์ เอเชีย จำกัด (มหาชน) ยื่นไฟลิ่งต่อสำนักงานคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้ว เพื่อเสริมความแข็งแกร่งและรองรับแผนการเติบโตในอนาคต โดยจะเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนครั้งแรก (IPO) จำนวน 562 ล้านหุ้น โดยแผนการ Spin-Off ในครั้งนี้ ดำเนินการผ่านทาง บริษัท อาร์ อัลไลแอนซ์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของอาร์เอสที่ปัจจุบันถือหุ้นในเชฏฐ์อยู่ 35% โดยส่วนหนึ่งของหุ้น IPO ที่จะขายในครั้งนี้มาจากการเสนอขายหุ้นสามัญเดิมที่บริษัท อาร์ อัลไลแอนซ์ ถือในเชฎฐ์และเตรียมให้สิทธิ์ผู้ถือหุ้นของ อาร์เอส กรุ๊ป จองซื้อหุ้น IPO ของเชฎฐ์ได้ ซึ่งหลังการเสนอขายหุ้น IPO ของเชฎฐ์ บริษัทฯ จะมีสัดส่วนการถือหุ้นในเชฎฐ์ ลดลงจากเดิม 35% เป็น 20.35% อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังคงเป็น Strategic shareholder ของกลุ่มบริษัทเชฎฐ์และรักษาสัดส่วนการถือหุ้นในเชฎฐ์ให้เป็นบริษัทร่วมของบริษัทฯ เพื่อสร้าง Synergy ต่างๆ ร่วมกัน ดังนั้น การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะช่วยให้กลุ่มบริษัทเชฎฐ์ เติบโตอย่างก้าวกระโดดจากเงินทุนใหม่ที่ได้รับจากการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้” คุณประชา ชัยสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เชฎฐ์ เอเชีย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “การระดมทุนจากการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในครั้งนี้จะนำไปใช้ขยายธุรกิจให้บริการติดตามทวงถามหนี้แบบครบวงจร พร้อมทั้งลงทุนขยายฐานสินทรัพย์ด้อยคุณภาพเพื่อนำมาบริหารจัดการให้ดีขึ้นผ่านการเข้าร่วมประมูลซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพจากสถาบันการเงินหรือบริษัทต่างๆ ทั้งยังเป็นการยกระดับมาตรฐานของเชฎฐ์เข้าสู่มาตรฐานสากล เพิ่มความน่าเชื่อถือในด้านภาพลักษณ์ให้เป็นที่ยอมรับของลูกค้าและคู่ค้า รวมถึงเพิ่มศักยภาพและโอกาสในการแข่งขัน” กลุ่มบริษัทเชฎฐ์ ประกอบไปด้วยธุรกิจให้บริการติดตามทวงถามหนี้แบบครบวงจร ธุรกิจบริหารจัดการสินทรัพย์จากการรับโอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ และธุรกิจให้สินเชื่อเพื่อแก้ปัญหาหนี้เสีย โดยเชฎฐ์ดำเนินธุรกิจให้บริการติดตามทวงถามหนี้แบบครบวงจร และมีบริษัทย่อย 3 บริษัท ได้แก่ -บริษัท บริหารสินทรัพย์ ซีเอฟ เอเชีย จำกัด ประกอบธุรกิจบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพการจากรับซื้อหรือรับโอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ ภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย -บริษัท รีโซลูชั่น เวย์ จำกัด ประกอบธุรกิจให้สินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย และรับโอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพจากผู้ประกอบธุรกิจสถาบันการเงินและที่มิใช่สถาบันการเงิน -บริษัท คอร์ทส์ เม็กก้าสโตร์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกอบธุรกิจให้สินเชื่อภายใต้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ด้าน คุณพงศ์ศักดิ์ พฤกษ์ไพศาล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) มีความเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่ากลุ่มบริษัทเชฎฐ์เป็นบริษัทที่มีจุดเด่นด้วยบริการที่ครบวงจร มีศักยภาพและดำเนินธุรกิจในอุตสาหกรรมนี้มาอย่างยาวนาน อีกทั้งมีผู้บริหารที่มีประสบการณ์และความชำนาญ ซึ่งการระดมทุนในครั้งนี้จะช่วยเพิ่มโอกาสในการเติบโตซึ่งจะเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและสร้างความแข็งแกร่งให้กับเชฎฐ์มากยิ่งขึ้นในระยะยาว” ผู้สนใจสามารถติดตามข่าวสาร และความเคลื่อนไหวต่างๆ ของ อาร์เอส กรุ๊ป ได้ทาง www.rs.co.th และ https://www.facebook.com/RSGROUPOFFICIAL
โดย
pakapong_u
จันทร์ ส.ค. 22, 2022 12:33 pm
0
1
CHASE
https://market.sec.or.th/public/ipos/IPOSEQ01.aspx?TransID=455146&lang=th หนังสือชี้ชวนตราสารทุน รายละเอียดตราสาร ผู้ออกหลักทรัพย์ : บริษัท เชฎฐ์ เอเชีย จำกัด (มหาชน) ผู้เสนอขายหลักทรัพย์ : กลุ่มผู้ถือหุ้นเดิม / บริษัท เชฎฐ์ เอเชีย จำกัด (มหาชน) วันที่ยื่น Filing version แรก : - วันที่แก้ไข Filing ครั้งล่าสุด (วันที่นับ 1 Filing) : - วันที่ Filing มีผลบังคับใช้ : - วันที่เริ่มต้นการเสนอขาย : - วันที่สิ้นสุดการเสนอขาย : - ประเภทหลักทรัพย์ : หุ้นสามัญ ประเภทการเสนอขาย : การเสนอขายหลักทรัพย์ครั้งแรกต่อประชาชน ที่ปรึกษาทางการเงิน/ผู้ควบคุม : บริษัท หลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) / N.A.
โดย
pakapong_u
ศุกร์ ส.ค. 19, 2022 10:33 pm
0
0
CHASE
CHASE : บริษัท เชฎฐ์ เอเชีย จำกัด (มหาชน) ประเภทธุรกิจ ให้บริการทางการเงิน ได้แก่ (1) บริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ (NPLs) (2) ติดตามทวงถามและเร่งรัดหนี้สิน และ (3) ให้สินเชื่อกับลูกหนี้ด้อยคุณภาพ ภายใต้ชื่อ “สินเชื่อเพื่อความหวัง” (Hope loan) ตลาดรอง ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) กลุ่มอุตสาหกรรม / หมวดธุรกิจ ธุรกิจการเงิน / เงินทุนและหลักทรัพย์ สถานะ Filing จำนวนหุ้นที่ IPO ไม่เกิน 562,000,000 หุ้น คิดเป็น 28.30% ของหุ้นทั้งหมดหลัง IPO แบ่งเป็น - หุ้นสามัญเพิ่มทุน ไม่เกิน 417,000,000 หุ้น - หุ้นเดิมของบริษัท อาร์ อัลไลแอนซ์ จำกัด ไม่เกิน 145,000,000 หุ้น ระยะเวลาเสนอขายหุ้น n/a ราคา IPO n/a ราคา PAR 0.50 บาท วันที่เริ่มซื้อขาย n/a ที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ข้อมูล Filing https://www.chase.co.th/
โดย
pakapong_u
ศุกร์ ส.ค. 19, 2022 10:31 pm
0
0
CHASE
(เพิ่มเติม) เชฎฐ์ เอเชีย ยื่นไฟลิ่งขาย IPO 562 ล้านหุ้น-เข้า SET ใช้ซื้อหนี้-เป็นทุนหมุนเวียน ข่าวหุ้น-การเงิน Friday August 19, 2022 18:24 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) บมจ.เชฎฐ์ เอเชีย (CHASE) ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวนรวมไม่เกิน 562,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท คิดเป็นไม่เกิน 28.3% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายในครั้งนี้ และจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) โดยมี บล.กสิกรไทย เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน สำหรับหุ้นที่เสนอขายในครั้งนี้ แบ่งเป็น (ก) หุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายโดยบริษัทฯ จำนวนไม่เกิน 417,000,000 หุ้น และ (ข) หุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดย บริษัท อาร์ อัลไลแอนซ์ จำกัด จำนวนไม่เกิน 145,000,000 หุ้น CHASE ประกอบธุรกิจให้บริการติดตามทวงถามและเร่งรัดหนี้สิน ธุรกิจบริหารจัดการสินทรัพย์จากการรับโอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ และธุรกิจให้สินเชื่อ มีวัตถุประสงค์ในการระดมทุนครั้งนี้เพื่อนำไปใช้ซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพในอนาคต และ นำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน ณ วันที่ 30 มิ.ย.65 บริษัทฯ และบริษัทย่อย มีสำนักงานใหญ่และสาขาย่อยจำนวน 16 สำนักงาน กลยุทธ์ในการดำเนินงานของบริษัทฯ (ก) ขยายพอร์ตเงินให้สินเชื่อแก่สินทรัพย์ด้อยคุณภาพ บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายที่จะเข้าซื้อพอร์ตเงินให้สินเชื่อแก่สินทรัพย์ด้อยคุณภาพ ไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาทภายในปี 67 โดยมุ่งเน้นพอร์ตเงินให้สินเชื่อแก่สินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่ไม่มีหลักประกันเป็นหลัก และอาจพิจารณาเข้าซื้อพอร์ตเงินให้สินเชื่อแก่สินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่มีหลักประกัน (ข) ขยายทีมติดตามทวงถามและเร่งรัดหนี้สินเพื่อรองรับอุปสงค์ของงานด้านการติดตามทวงถามหนี้ที่มีเพิ่มมากขึ้น (ค) เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงพอร์ตลงทุนในระยะยาวโดยการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคู่ค้านอกจากนี้ บริษัทฯ มองหาโอกาสในการเข้าร่วมทุนกับสถาบันการเงินหรือหาพันธมิตรทางธุรกิจใด ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการเติบโตของพอร์ตเงินให้สินเชื่อแก่สินทรัพย์ด้อยคุณภาพ และโอกาสในการให้บริการติดตามทวงถามและเร่งรัดหนี้สินในระยะยาว และลดความเสี่ยงจากการสามารถจัดหาสินทรัพย์ด้อยคุณภาพได้อย่างเพียงพอในราคาที่เหมาะสม (ง) เพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการและเพิ่มช่องทางการสื่อสารผ่านช่องทาง Online โดยมีแผนจะเพิ่มช่องทางการชำระเงินและขายทรัพย์สินรอการขายผ่านทางเว็บไซต์ของบริษัทฯ และติดตั้งระบบ Mobile Application ของบริษัทฯ ภายในปี 66 โครงสร้างการถือหุ้นของบริษัทฯ ณ วันที่ 9 ส.ค.65 มีนายประชา ชัยสุวรรณ ถือหุ้น 1,017,087,200 หุ้น คิดเป็น 64.8%ภายหลังเสนอขายหุ้น IPO จะลดสัดส่วนเหลือ 51.2% บริษัท อาร์ อัลไลแอนซ์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ บมจ.อาร์เอส (RS) ถือหุ้น 548,954,600 หุ้น คิดเป็น 35% จะลดเหลือ 403,954,600 หุ้น หรือคิดเป็น 20.3% ผลประกอบการช่วงปี 62-64 บริษัทมีรายได้ดอกเบี้ยและรายได้จากค่าบริการและค่าวิชาชีพรวมทั้งสิ้น 635.69 ล้านบาท 730.20 ล้านบาท และ 781.07 ล้านบาท ตามลำดับ โดยการเพิ่มขึ้นดังกล่าวมีสาเหตุหลักมาจาก การเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยจากธุรกิจบริหารสินทรัพย์จากเงินให้สินเชื่อแก่สินทรัพย์ด้อยคุณภาพ และ การเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยจากธุรกิจให้สินเชื่อ ขณะที่บริษัทมีกำไรสุทธิ 161.95 ล้านบาท 171.38 ล้านบาท และ 270.88 ล้านบาท ตามลำดับ หรือคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิเท่ากับ 25.45% , 23.40% และ 34.50% ตามลำดับ สำหรับงวด 6 เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย.65 บริษัทฯ มีรายได้ดอกเบี้ยและรายได้จากค่าบริการและค่าวิชาชีพรวมทั้งสิ้น 360.33 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 65 ที่ 351.27 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.06 ล้านบาท หรือคิดเป็น 2.58% กำไรสุทธิ 102.54 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 97.77 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 28.37% ณ วันที่ 30 มิ.ย.65 บริษัทฯ มีสินทรัพย์รวม 2,511.61 ล้านบาท หนี้สินรวม 491.47 ล้านบาท และ ส่วนของเจ้าของ 2,020.14 ล้านบาท โดยบริษัทฯ และบริษัทย่อย มีวงเงินกู้ยืมระยะสั้นกับธนาคารกสิกรไทยจำนวน 900 ล้านบาท โดยมียอดคงค้างจำนวน 60 ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายที่จะจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิจากงบการเงินเฉพาะกิจการ หลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล และการจัดสรรทุนสำรองตามกฎหมายและข้อบังคับ
โดย
pakapong_u
ศุกร์ ส.ค. 19, 2022 10:22 pm
0
0
CHASE
เชฎฐ์ เอเชีย ยื่นไฟลิ่งขาย IPO 562 ล้านหุ้น-เข้า SET ใช้ซื้อหนี้-เป็นทุนหมุนเวียน ข่าวหุ้น-การเงิน Friday August 19, 2022 18:03 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) บมจ.เชฎฐ์ เอเชีย ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวนรวมไม่เกิน 562,000,000 หุ้น คิดเป็นไม่เกิน 28.3% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายในครั้งนี้ และจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) โดยมี บล.กสิกรไทย เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน สำหรับหุ้นที่เสนอขายในครั้งนี้ แบ่งเป็น (ก) หุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายโดยบริษัทฯ จำนวนไม่เกิน 417,000,000 หุ้น และ (ข) หุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดย บริษัท อาร์ อัลไลแอนซ์ จำกัด จำนวนไม่เกิน 145,000,000 หุ้น เชฎฐ์ เอเชีย ประกอบธุรกิจให้บริการติดตามทวงถามและเร่งรัดหนี้สิน ธุรกิจบริหารจัดการสินทรัพย์จากการรับโอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ และธุรกิจให้สินเชื่อ มีวัตถุประสงค์ในการระดมทุนครั้งนี้เพื่อนำไปใช้ซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพในอนาคต และ นำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน
โดย
pakapong_u
ศุกร์ ส.ค. 19, 2022 10:19 pm
0
0
BITKUB
PROEN ยกเลิกสัญญา Bitkub ไม่เข้าลงทุนเหรียญ KUB มูลค่า 73 ล้านบาท 18/08/2022 18:08 “โปรเอ็น คอร์ป” ร่อนหนังสือถึง “Bitkub” ใช้สิทธิเลิกสัญญาร่วมเป็นพาร์ทเนอร์ Validator Node บน Bitkub Chain พร้อมยกเลิกลงทุนเหรียญ KUB จำนวน 250,000 เหรียญ มูลค่าไม่เกิน 72.95 ล้านบาท หลังพิจารณาการเปลี่ยนแปลงราคาเหรียญ KUB พร้อมปัจจัยอื่นหวั่นกระทบบริษัทฯ อย่างมีนัยสำคัญ เผยยังเป็นพันธมิตรด้านเทคโนโลยีต่อไป บริษัท โปรเอ็น คอร์ป (PROEN) แจ้งว่า ตามที่บริษัทฯ ได้มีมติอนุมัติจากคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 3/2565 เกี่ยวกับการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล ประเภทคริปโตเคอเร็นซี่ ซึ่งเป็นเงื่อนไขในการเข้าร่วมเป็นพาร์ทเนอร์กับบริษัท บิทคับ บล็อคเชน เทคโนโลยี จำกัด (Bitkub) โดยบริษัทจะเข้าลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล ประเภทคริปโตเคอเร็นซี่ สกุลเงิน Bitkub Coin (เหรียญ KUB) ซึ่งเป็นเงื่อนไขในการเข้าร่วมเป็นพาร์ทเนอร์กับ Bitkub เพื่อวัตถุประสงค์ในการเป็นผู้ตรวจสอบธุรกรรม (Validator Node POSA)แบบ Proofof Stake Allianceในระบบบล็อกเชน Bitkub Chain ซึ่งบริษัทมีหน้าที่เป็นผู้ตรวจสอบยืนยันข้อมูลสำเนาการทำรายการธุรกรรมจากบัญชีธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์บนแพลตฟอร์ม Bitkub Chain ที่ถูกกระจายไปยังเครือข่ายระบบคอมพิวเตอร์เซิฟเวอร์มีเงื่อนไขการเข้าร่วม โดยบริษัทต้องซื้อเหรียญ KUB จาก Bitkub จำนวน 250,000 เหรียญ KUB มูลค่าทั้งสิ้นไม่เกิน 72,949,815 บาท และได้รับเหรียญ KUB เข้าบัญชีบริษัท ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้พิจารณาปัจจัยต่างๆ ตามประกาศของกลต.จท-1.(ว) 37/2565 เรื่องการลงทุนหรือการประกอบธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัลของบริษัทจดทะเบียน การเปลี่ยนแปลงราคาเหรียญ KUB และปัจจัยอื่นๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อบริษัทฯ อย่างมีนัยสำคัญ จึงได้ทำหนังสือแจ้งใช้สิทธิเลิกสัญญาและขอยกเลิกการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล โดยได้ส่งหนังสือไปยัง Bitkub เมื่อวันที่ 17 ส.ค.2565 แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังคงเป็นพันธมิตรด้านเทคโนโลยี (Tech Partner) ตามความเหมาะสมในด้านความชำนาญร่วมกับทาง BitKub สนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยี Bitkub Chain และร่วมมือกันในด้านต่างๆ สู่การเป็นโครงสร้างพื้นฐานระบบเศรษฐกิจดิจิทลัของไทยในอนาคตต่อไป
โดย
pakapong_u
พฤหัสฯ. ส.ค. 18, 2022 9:06 pm
0
0
CJ
คาราบาวกรุ๊ป รุกธุรกิจค้าปลีก ปั้น ซี.เจ.เอ็กซ์เพรส เข้าตลาดหุ้น วันที่ 17 สิงหาคม 2565 - 18:44 น. คาราบาว เผยสถานการณ์ต้นทุน-เศรษฐกิจมีสัญญาณฟื้น ลุยขยายสาขาร้านถูกดีมีมาตรฐาน-ซีเจมอร์ พร้อมเพิ่มสินค้า-บริการ หวังครองตลาดระดับชุมชน ก่อนต่อยอดสร้างเครือข่ายอีคอมเมิร์ซ วันที่ 17 สิงหาคม 2565 นายเสถียร เสถียรธรรมะ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. คาราบาวกรุ๊ป (CBG) กล่าวในงาน “ถอดรหัสลงทุน ยุคดอกเบี้ยขาขึ้น” ที่จัดโดยหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ ว่า แม้ครึ่งปีแรกสถานการณ์เงินเฟ้อและปัญหากำลังซื้อจะรุนแรงมากจนทำให้กำไรของคาราบาวกรุ๊ปต่ำกว่าที่คาดไว้ แต่ยังเชื่อมั่นว่าครึ่งหลังนี้เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวจากสัญญาญบวก เช่น ต้นทุนวัตถุดิบอย่าง อลูมิเนียมเริ่มลดลง เช่นเดียวกับราคาสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ ที่ต่างมีทิศทางขาลง ในขณะที่การเปิดประเทศที่ทำให้มีนักท่องเที่ยวเข้ามาและสร้างเม็ดเงินให้ธุรกิจต่างๆ ที่เกี่ยวข้องค่อยๆ ฟื้นตัวตามลำดับ โดยยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตาเพียงสงครามในยุโรป แต่เชื่อว่าระยะทางที่ไกลจะทำให้ได้รับผลกระทบไม่มากนัก และสถานการณ์การเมืองที่ยังไม่ชัดเจน บริษัทจึงตัดสินใจเดินหน้าธุรกิจทั้งการออกสินค้าใหม่ อย่าง เครื่องดื่มแนวสุขภาพ “คันโซX2” ที่มีจุดขายเรื่องบำรุงตับซึ่งเปิดตัวไปก่อนหน้านี้ และจะเปิดเพิ่มอีกตัวช่วงปลายปี พร้อมกับเดินแผนขยายขาธุรกิจค้าปลีกที่มีซีเจมอร์ (CJ More) และร้านถูกดีมีมาตรฐานเป็นแกนนำ ตามเป้าต่อยอดเครือข่ายร้านค้าออฟไลน์ที่ปัจจุบันมีสาขารวมกันกว่า 6,000 สาขาและเดินหน้าขยายเพิ่มต่อเนื่อง ให้เป็นแพล็ตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่ครบวงจรทั้งการขายสินค้าและบริการต่างๆ ด้วยการเดินหน้าขยายสาขาของทั้ง 2 โมเดล โดยซีเจฯ จะขยาย 250-300 สาขาต่อปี จากปัจจุบันประมาณ 1,000 สาขา ส่วนร้านถูกดีปลายปีคาดว่าจะมี 8,000-10,000 สาขา จากปัจจุบันมี 5,000 สาขา หลังมีผู้สนใจติดต่อเข้ามา 400-500 รายต่อสัปดาห์ ตามด้วยในปี 2566 ที่จะถึงนี้จะนำ ซี.เจ.เอ็กซ์เพรส กรุ๊ป เข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อนำเม็ดเงินมาขยายธุรกิจเพิ่มเติมอีก จากนั้นจึงใช้เทคโนโลยีมาเชื่อมโยงร้านค้าทั้ง 2 แบรนด์นี้เข้าเป็นเครือข่ายเดียวกัน เพื่อเสริมศักยภาพด้านสินค้าและบริการ ให้ร้านค้าของเรายกระดับเป็นศูนย์กลางชุมชน ก่อนจะต่อยอดไปสู่การแพล็ตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ โดยขณะนี้ทยอยขยายฟังก์ชั่นของ ร้านถูกดีฯ จากจุดจำหน่ายสินค้า (Point of sale) เพิ่มการเป็นจุดให้บริการ (Point of service) อาทิ “ถูกดีสั่งได้”ซึ่งเป็นการพรีออร์เดอร์สินค้าจากพอร์ทสินค้าของซีเจมอร์ ช่วยเพิ่มไลน์อัพสินค้าของร้านโชห่วยที่ปกติจะมีเพียง 200-300 รายการ เป็นมากกว่าหมื่นรายการ และจะขยายไปสู่การเป็นศูนย์กลางของชุมชนหรือ Point of Everything รวมถึงเริ่มทดลองการให้บริการทางการเงิน เช่น การให้สินเชื่อ หลังบริษัทร่วมมือกับธนาคารกสิกรไทยไปก่อนหน้านี้ พร้อมกันนี้เร่งขยายพอร์ทสินค้าของบริษัทสหมิตร จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือทำธุรกิจผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค ให้มากขึ้นจากปัจจุบันมีสินค้าแบบโอนแบรนด์ (own brand) กว่า 300 รายการ อาทิ น้ำยาล้านจาน น้ำยาปรับผ้านุ่ม ขนม ฯลฯ รวมถึงขยายคลังสินค้าขนาด 50,000 ตร.ม. ให้ครบ 10 แห่งทั่วประเทศ เพื่อรองรับการขยายตัวของร้านสาขา “เดิมเรามองว่าการจะทำแพล็ตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ แต่ในตลาดที่มีผู้บริโภค 50-60 ล้านคนอย่างประเทศไทยนั้นเป็นไปไม่ได้ เพราะมีฐานลูกค้าไม่เพียงพอ แต่เมื่อมีเครือข่ายร้านถูกดีฯ ที่เจาะเข้าถึงระดับชุมชนมาเป็นกระดูกสันหลังแล้ว เชื่อว่าแนวคิดนี้จะสามารถเป็นจริงได้” นายเสถียรกล่าว
โดย
pakapong_u
พุธ ส.ค. 17, 2022 9:18 pm
0
2
Re: BITKUB
เบื้องหลัง “KUB-บิทคับ” แข็งเมือง! ถือดีเพราะมีอดีตรองเลขาฯ ก.ล.ต.นั่งกุนซือ!!? By Admin -August 15, 2022 บทความโดย ibit ผู้จัดการออนไลน์ เปิดตัว “ทิพยสุดา” อดีตรองเลขาฯ ก.ล.ต. ที่ปรึกษา “บิทคับ” กรณี “KUB Coin” ไม่ได้มาตรฐาน ก.ล.ต.สั่งให้แก้ แต่ “บิทคับ” กล้าที่จะประกาศยืนยันว่า “เหรียญเทพ” แล้ว ไม่ต้องแก้อะไร ปฏิบัติการเย้ยหยันมาตรฐานเรกกูเลเตอร์ หรือจะเป็นศึกโดยคน ก.ล.ต.กันเอง??? ยืนยันมาตรฐานสุดลิ่มสำหรับ “บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด” ที่ออกประกาศผ่านเพจ Bitkub วันที่ 4 ส.ค. ว่า ตามที่คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้มีคำสั่งการให้บริษัท แก้ไขการคัดเลือกและอนุมัติเหรียญ KUB ในการเข้ามาให้บริการซื้อขาย ในศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลของบริษัทฯ โดยให้ประสานกับบริษัท บิทคับ บล็อคเชน เทคโนโลยี จำกัด (บิทคับ บล็อกเชน) ผู้ออกเหรียญ KUB ให้แก้ไขมาตรฐานเทคโนโลยีของโปรเจกต์ของเหรียญ KUB หรือ Bitkub Chain ให้เป็นไปตามคะแนนที่คณะกรรมการคัดเลือกสินทรัพย์ดิจิทัลของบริษัทฯ ได้พิจารณาเมื่อวันที่ 5 พ.ค.2564 นั้น ล่าสุด บริษัทฯรายงานว่า ได้ประสานงานกับ “บิทคับ บล็อกเชน” และยืนยันว่ามาตรฐานเทคโนโลยีของ โปรเจกต์ของเหรียญ KUB หรือ Bitkub Chain เป็นเทคโนโลยีที่ได้มาตรฐาน มีคุณสมบัติเฉพาะตัวที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร และเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่พร้อมแก่การให้บริการตั้งแต่วันแรกที่มีการออกและเสนอขายให้แก่นักลงทุน ดังนั้น บริษัทฯ จึงเชื่อว่า เหรียญ KUB เป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีโครงสร้างเครือข่ายบล็อกเชนที่ได้มาตรฐาน มีความน่าเชื่อถือ และสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยจากนี้อยู่ระหว่างดำเนินการส่งหนังสือชี้แจงเกี่ยวกับความเหมาะสมของการให้คะแนนเหรียญ KUB ในการนำเหรียญ KUB เข้ามาให้บริการซื้อขายในศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ตามที่ ก.ล.ต. ร้องขอ ยืนยันมาตรฐานแต่ขอยืดเวลา พูดง่ายๆ คือ “กลุ่มบิทคับ” ยืนยันมาตรฐานของเหรียญ และการให้คะแนนเพื่อนำเหรียญเข้ามาซื้อขายยนกระดานของตนเองนั้นมีมาตรฐานสูง คะแนนที่ได้มีความเหมาะสมทุกอย่างอยู่แล้ว แต่ที่น่าแปลกใจหากเป็นเอกสารชี้แจงฉบับเดียวกัน ทำไม ก.ล.ต.จึงต้องออกมาเป็นคำสั่งให้แก้ไข หรืออ่านหนังสือเล่มเดียวกันแต่เข้าใจกันคนละความหมาย และทำไมต้องขอยืดเวลา งานนี้แว่วๆ ว่ากว่าจะออกมาซ่าส์ กระต่ายขาเดียวยืนยันประสิทธิภาพเหรียญ KUB ครั้งนี้ “กลุ่มบิทคับ” ก็ต้องคร่ำเครียดไม่น้อย ไม่งั้นคงชี้แจงไปตั้งแต่สิ้นเดือนกรกฎาคม 2565 ตามกำหนดของ ก.ล.ต.ที่ให้เวลา 30 วันไปแล้ว แต่กลับขอยืดเวลาชี้แจงออกไปอีก จากนั้นก็ออกมาอ้างมาตรฐานที่กำหนดเองว่าถูกต้องทุกอย่างไม่จำเป็นต้องแก้ไข แต่วงในเชื่อกันว่าเครียดหนักตั้งแต่วั้นแรกที่โดน ก.ล.ต.มีมติสั่งการ นั่นเพราะหากเกิดการแก้ไขจริงย่อมมีผลต่อความเชื่อมั่นในตัวเหรียญ KUB ของนักลงทุน ยิ่งทุกวันนี้ก็อยู่ในช่วงขาลงอยู่แล้ว หากต้องแก้ไขการให้คะแนน หรือถูกเพิกถอนเหรียญ KUB ออกยิ่งมีแต่แย่ลงไปอีก ไม่มีช่องทางไหนที่จะเป็นปัจจัยบวกให้ “บิทคับ” และเหรียญ KUB เลย “บิทคับ” เหิมหนักดื้อแพ่งซ้ำซาก ย้อนไปก่อนหน้านี้ 6 พ.ค. 65 ก.ล.ต. รายงานว่า คณะกรรมการเปรียบเทียบมีคำสั่งปรับบริษัท บิทคับ ออนไลน์ (BO) และกรรมการ 5 คน ในคณะกรรมการคัดเลือกสินทรัพย์ดิจิทัลของ BO ในกรณีที่คัดเลือก Bitkub Coin (เหรียญ KUB) เข้าซื้อขายในศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์การคัดเลือกและเพิกถอนสินทรัพย์ดิจิทัล (Listing Rule) ที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการ ก.ล.ต. และไม่ได้คำนึงถึงมาตรการป้องกันความขัดแย้งทางผลประโยชน์ (COI) โดยกรรมการคัดเลือกสินทรัพย์ดิจิทัล ทั้ง 5 ราย ประกอบด้วย นายนิธิวัฒน์ มณีสินธุ์, นายสุกฤษฏิ์ พุทธวิริยะ, นายปิยพงษ์ โคตรชนะ, นายพงศกร สุตันตยาวลี และนายอรรถกฤต ชิมผลาพิบูลย์ ได้กระทำการหรือละเว้นกระทำการอันเป็นหน้าที่ที่ต้องกระทำเป็นเหตุให้ BO คัดเลือกเหรียญ KUB ซึ่งเป็นความผิดตามมาตรา 94 ของ พ.ร.บ.สินทรัพย์ดิจิทัล ให้ปรับเงินรายละ 2,533,500.00 บาท และบิทคับเอง 2,533,500.00 บาท โดยครั้งนั้น บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด ออกแถลงการณ์ตอบโต้ ก.ล.ต.มาแล้วครั้งหนึ่ง ยืนยันว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา บิทคับ ประกอบธุรกิจด้วยความมุ่งมั่นอย่างยิ่งในการปฏิบัติตามกฎหมายอย่างถูกต้องครบถ้วนตามหลักบรรษัทภิบาลและจริยธรรมทางธุรกิจ โดยในส่วนการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับเหรียญ KUB (Bitkub Coin) บริษัทพิจารณาคัดเลือกสินทรัพย์ดิจิทัลที่จะนำเข้าสู่ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลแต่ละครั้ง จากหลักเกณฑ์การคัดเลือกสินทรัพย์ดิจิทัล (Listing Rule) เดียวกัน พร้อมทั้งยืนยันว่า ได้พิจารณาทบทวนคุณสมบัติของเหรียญ KUB (Bitkub Coin) แล้ว เหรียญ KUB ยังคงมีคุณสมบัติเพียงพอและเป็นไปตามหลักเกณฑ์การคัดเลือกสินทรัพย์ดิจิทัล (Listing Rule) ที่ได้รับความเห็นชอบจากสำนักงาน ก.ล.ต. ตามที่ได้เคยพิจารณาคัดเลือกไว้ และยังคงอยู่ในศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่ดำเนินการโดยบริษัทฯ ตามปกติรวมทั้ง บริษัทฯ ได้ใช้ความพยายามอย่างเต็มความสามารถในการดำเนินการตามขั้นตอนการพิจารณาคุณสมบัติและหลักเกณฑ์การคัดเลือกสินทรัพย์ดิจิทัล (Listing Rule) ตามที่ได้รับความเห็นชอบจากสำนักงาน ก.ล.ต. มาโดยตลอด โดยขอแจ้งดังต่อไปนี้ 1. บริษัทฯ พิจารณาคุณสมบัติและหลักเกณฑ์การคัดเลือกสินทรัพย์ดิจิทัล (Listing Rule) โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของนักลงทุนและคำนึงถึงความเสี่ยงของเหรียญเป็นสำคัญ ซึ่งบริษัทฯ ได้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับเหรียญเพื่อให้นักลงทุนและประชาชนทั่วไปได้ศึกษาและทำความเข้าใจเกี่ยวกับเหรียญก่อนการเปิดให้ซื้อขายทุกครั้ง 2. บริษัทฯ ได้ใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ในการปฏิบัติตามกระบวนการคัดเลือกสินทรัพย์ดิจิทัล (Listing) เช่น มีการหารือกับส่วนงานที่เกี่ยวข้อง และการขอ Profile listing ID ก่อนที่จะนำเข้าสู่ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลของบริษัทฯ เป็นต้น เพื่อให้กระบวนการดังกล่าวเป็นไปตามหลักการและขั้นตอนที่ได้รับอนุญาตจากสำนักงาน ก.ล.ต. นอกจากนี้ หลังจากที่ได้รับทราบประเด็นข้อสังเกตจากสำนักงาน ก.ล.ต. แล้ว บริษัทฯ ได้มีการปรับปรุงการดำเนินการที่เกี่ยวข้องตามที่ได้รับแจ้งแล้ว 3. บริษัทฯ มีการติดตามความคืบหน้าของการพัฒนาโครงการที่เกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลอยู่เป็นประจำ และมีการแจ้งให้ผู้ลงทุนทราบผ่านช่องทางของบริษัทฯ อย่างสม่ำเสมอ “บิทคับ ยืนยันได้ตระหนักถึงหลักบรรษัทภิบาลมาโดยตลอด ซึ่งให้ความสำคัญและยึดมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างโปร่งใสและเป็นธรรม โดยถือประโยชน์ของลูกค้า นักลงทุน ผู้ถือหุ้น และผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่ายเป็นที่ตั้ง รวมทั้งมีการพัฒนาและปรับปรุงกระบวนการร่วมกับทุกภาคส่วนอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและมาตรฐานในธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลที่ดีให้เกิดขึ้นต่อไป” เจ้าของตลาดออกเหรียญเองไม่รวย? นอกจากนี้ การกำหนดและให้คะแนนเหรียญเอง แถมยังเอามาเข้าซื้อขายบนกระดานของตัวเองมันก็ชวนให้น่าคิดว่าจะช่วยทำให้ราคาเหรียญ KUB ปรับตัวขึ้นได้ง่ายหรือเปล่า? เหมือนแข่งรถยนต์ที่เจ้าของสนามแข่งรถ มีรถแข่งของตัวเองมาเข้าร่วมแข่งขันด้วย ความได้เปรียบ หรือประโยชน์ หรือสิทธิพิเศษมันย่อมมีมากกว่าปกติ งานนี้มีแต่ได้กับได้ หรือทับซ้อนกันแบบ Conflict of interest หรือไม่? อย่างไรก็ตาม สงสารก็แต่นักลงทุนรายย่อยจะไม่ทันเกมส์ เมื่อคนคุมกระดานเป็นเจ้าของเดียวกับเหรียญ ดังนั้นแค่เรื่องนี้ก็ไม่น่าแปลกใจที่ก.ล.ต.จะมีคำสั่งให้ชี้แจงแก้ไข เพื่อให้มันโปร่งใส และควรเป็นเรื่องที่ “บิทคับ” ต้องทำให้กระจ่าง ซ่าส์ได้เพราะมีกุนซือช่วย ย้อนกลับมาที่คำสั่งแก้ไขการคัดเลือกและอนุมัติเหรียญ KUB เข้ามาซื้อขายบนกระดาน “บิทคับ ออนไลน์” แว่วมาว่าในการประชุมครั้งนั้น (30 มิ.ย.2565) เฉพาะเรื่องเหรียญ KUB ที่ประชุมคณะกรรมการก.ล.ต.มีการถกเหตุผลกันแบบมาราธอนร่วม 3 ชั่วโมงกว่าจะมีมติเคาะออกมาเป็นคำสั่งดังกล่าวได้ ลือกันว่ามีความคิดเห็นที่แยกกันเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งต้องการให้มีการแก้ไขชี้แจง แต่อีกฝ่ายออกตัวแทน “บิทคับ” ว่าที่ทำมาตลอดนั้นถูกทางแล้ว รายงานว่าในฝั่งที่ออกกมาแก้ต่างให้ “บิทคับ” ล้วนเป็นทีมงานของอดีตมือดีของสำนักงาน ก.ล.ต. ที่ทำงานด้านสินทรัพย์ดิจิทัลของ ก.ล.ต.มาตั้งแต่ต้น ได้ลาออก และผันตัวมาเป็นที่ปรึกษาให้กับ บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ปโฮลดิ้งส์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ “บิทคับ” จึงมีความเกรงใจหรือให้ความเคารพในฐานะเจ้านายเก่า จากการตรวจสอบข้อมูลพบว่า ทิพยสุดา ถาวรามร รองเลขาธิการสำนักงาน ก.ล.ต. ตั้งแต่ปี 2557 จนถึงปี 2562 ก่อนจะลาออกจาก ก.ล.ต. และผันตัวมาเป็นที่ปรึกษาและกรรมการให้กับบริษัทเอกชนหลายแห่ง อาทิ กรรมการอิสระและกรรมการตรวจสอบ บริษัท โคลเวอร์ เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) ตั้งแต่ปี 63 ถึงปัจจุบัน,กรรมการอิสระ ประธานกรรมการ ประธานกรรมการสรรหาและพิจารณาค่าตอบแทน บริษัท โกลบอลคอนซูเมอร์ จำกัด (มหาชน), กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลูชิต้า คอนซัลติ้ง จำกัด รวมถึงที่ปรึกษา บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด และอีกหลายบริษัท ขณะที่ดำรงตำแหน่งรองเลขา สำนักงาน ก.ล.ต.นั้น ทิพยสุดา นับเป็นบุคคลที่มีบทบาทสำคัญและโดดเด่น รวมเป็นคีย์สำคัญคนหนึ่งของ ก.ล.ต. โดยก่อนลาออกนางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล เลขาธิการสำนักงาน ก.ล.ต. ได้มอบโล่ประกาศเกียติคุณ ในพิธีเชิดชูเกียติ เพื่อแสดงความขอบคุณในฐานะผู้มีคุณูปการต่อ ก.ล.ต.ด้วย เมื่อวันที่ 16 พ.ค. 2562 ว่ากันว่า “ทิพยสุดา” หลังจากลาออกจากรองเลขาฯ ก.ล.ต. ยังคงคลุกคลีอยู่ในแวดวงสินทรัพย์ดิจิทัล หรือคริปโตเคอร์เรนซี ที่ตนเองมีความชำนาญ โดยได้เข้าไปช่วยงานในสมาคมฟินเทคประเทศไทย ที่มี “กรณ์ จาติกวณิช” เป็นผู้ร่วมก่อตั้งและชักชวนให้เข้ามาร่วมงาน ซึ่งในสมาคมฯ เองก็มีนักธุรกิจรุ่นใหม่ในแวดวงคริปโตฯ เข้ามาร่วมงานด้วย ซึ่งรวมถึง “ท๊อป จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา” ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด ก็นั่งเก้าอี้กรรมการบริหารของสมาคม ทำให้ไม่น่าใช่เรื่องแปลกใจที่อดีตมือดี ก.ล.ต.จะเข้ามาให้คำแนะนำช่องทางต่างให้แก่ “บิทคับ” เพื่อให้สะดวกโยธินในการตรวจสอบของ ก.ล.ต. ความจริงผู้เล่นกับกรรมการไม่ควรร่วมก๊วนเดียวกัน เพราะนั่นย่อมช่วยเพิ่มโอกาสให้ผู้เล่นรู้ลึกถึงช่องทางต่างที่ๆ จะหลบเลี่ยง เกณฑ์หรือกฎในการควบคุมของ regulator อย่าง ก.ล.ต.ได้ รวมไปถึงความเกรงใจแฝงที่เกิดขึ้นในบรรดาทีมงานที่ยังอยู่ในก.ล.ต.ของอดีตมือถือ ทำให้ไม่กล้าที่จะดำเนินการหรือเกรงใจเสมอหากมีเรื่องที่ชวนสงสัยเกิดขึ้น ดังนั้นงานนี้หนีไม่พ้นที่ก.ล.ต.จะถูกครหาว่าโดนล้วงลูก เมื่อเจ้าหน้าที่เกรงใจผู้เล่น จนอาจกลายเป็นสปายแฝงอยู่ในองค์กร ย่อมทำให้การผ่อนปรนกฎเกณฑ์ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเกิดขึ้น เพื่อเอื้อเฟื้อ หรือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน และถือเป็นเรื่องสำคัญที่ Regulator ควรออกมาแสดงความโปร่งใส งานนี้ คนที่ได้กับได้มีแต่ “บิทคับ” สร้างสัมพันธ์กับคนแค่คนเดียว ก็เหมือนได้คนของ ก.ล.ต.มาครึ่งโต๊ะ
โดย
pakapong_u
อังคาร ส.ค. 16, 2022 12:57 pm
0
0
PSP
https://market.sec.or.th/public/ipos/IPOSEQ01.aspx?TransID=451885&lang=th หนังสือชี้ชวนตราสารทุน รายละเอียดตราสาร ผู้ออกหลักทรัพย์ : บริษัท พี.เอส.พี.สเปเชียลตี้ส์ จำกัด (มหาชน) ผู้เสนอขายหลักทรัพย์ : บริษัท พี.เอส.พี.สเปเชียลตี้ส์ จำกัด (มหาชน) วันที่ยื่น Filing version แรก : 09/08/2565 วันที่แก้ไข Filing ครั้งล่าสุด (วันที่นับ 1 Filing) : - วันที่ Filing มีผลบังคับใช้ : - วันที่เริ่มต้นการเสนอขาย : - วันที่สิ้นสุดการเสนอขาย : - ประเภทหลักทรัพย์ : หุ้นสามัญ ประเภทการเสนอขาย : การเสนอขายหลักทรัพย์ครั้งแรกต่อประชาชน ที่ปรึกษาทางการเงิน/ผู้ควบคุม : บริษัท หลักทรัพย์บัวหลวง จำกัด (มหาชน) / นาย ธีรภัทร เกษมพันธ์กุล
โดย
pakapong_u
พุธ ส.ค. 10, 2022 10:54 am
0
0
PSP
PSP : บริษัท พี.เอส.พี.สเปเชียลตี้ส์ จำกัด (มหาชน) ประเภทธุรกิจ ประกอบธุรกิจด้านผลิตภัณฑ์หล่อลื่นแบบครบวงจร โดยเริ่มตั้งแต่กระบวนการจัดหาวัตถุดิบ การออกแบบผลิตภัณฑ์ การผลิตผลิตภัณฑ์ การบรรจุผลิตภัณฑ์ การจัดเก็บและศูนย์กระจายสินค้า การให้บริการจัดการด้านโลจิสติกส์ และธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ตลาดรอง ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) กลุ่มอุตสาหกรรม / หมวดธุรกิจ สินค้าอุตสาหกรรม / วัสดุอุตสาหกรรมและเครื่องจักร สถานะ Filing จำนวนหุ้นที่ IPO ไม่เกิน 250,000,000 หุ้น (คิดเป็น 25% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดภายหลัง IPO ระยะเวลาเสนอขายหุ้น n/a ราคา IPO n/a ราคา PAR 1.00 บาท วันที่เริ่มซื้อขาย n/a ที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ข้อมูล Filing www.psp.co.th/
โดย
pakapong_u
พุธ ส.ค. 10, 2022 10:53 am
0
0
Re: AAI
https://www.youtube.com/watch?v=i1T9IjqxVT4 https://www.facebook.com/MT-Multimedia-265248580335598/videos/%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A9%E0%B8%B1%E0%B8%97-%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%99-%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%8B%E0%B9%8C-%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%99%E0%B8%A5-%E0%B8%88%E0%B8%B3%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%94-%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%99-%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD-aai/1083604592557018 บริษัท เอเชี่ยน อะไลอันซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ AAI “โชว์ศักยภาพผู้ผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียกรายใหญ่ของไทย มองโอกาสเติบโตทางธุรกิจโดดเด่น รับเทรนด์ตลาดโลกดีมานด์สูง”
โดย
pakapong_u
ศุกร์ ส.ค. 05, 2022 12:45 pm
0
1
MASTER
คลินิกความงาม ระเบิดศึก มีบัตรประชาชนใบเดียว ผ่อนได้ วันที่ 4 สิงหาคม 2565 - 13:56 น. คลินิกศัลยกรรมความงาม 3 หมื่นล้านเริ่มฟื้น ดีมานด์ดีดกลับ แข่งขันระอุ สงครามราคาคึกคัก สวยผ่อนได้เฟื่องฟู 0% เกลื่อนตลาด “ยันฮี-รมย์รวินท์-พฤกษา-บางมด” ปูพรมแคมเปญดึงลูกค้าแบบรัว ๆ ส่วนรายเล็กไม่น้อยหน้า ปิ๊งไอเดียดึงคนไม่มีบัตรเครดิต บัตรประชาชนใบเดียวผ่อนได้-แบ่งจ่าย 5-10 งวด นายแพทย์สุพจน์ สัมฤทธิวณิชชา ประธานกรรมการบริหาร โรงพยาบาลยันฮี เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ในช่วงวิกฤตโควิด 1-2 ปีที่ผ่านมา เป็นช่วงขาลงของตลาดศัลยกรรมความงาม แม้ขณะนี้ตลาดจะเริ่มฟื้นตัวกลับขึ้นมาบ้าง เพราะทุกคนอยากสวยอยากงาม แต่โดยส่วนตัวมองว่าอาจจะต้องใช้เวลาอีกไม่ต่ำกว่า 5-10 ปี กว่าตลาดจะฟื้นตัวกลับมาเหมือนเดิมในช่วงก่อนหน้าที่จะมีโควิด-19 เกิดขึ้น เพราะขณะนี้ยังมีปัจจัยในเรื่องของภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัว กำลังซื้อผู้บริโภคยังไม่กลับมา ขณะนี้หากสังเกตจะเริ่มเห็นว่า ผู้ประกอบการหลายค่ายทั้งรายเล็กรายใหญ่ต่างเริ่มหันมาจัดโปรโมชั่นกันอย่างคึกคักเพื่อดึงลูกค้า สำหรับกลยุทธ์ของศูนย์ศัลยกรรมยันฮี ในช่วงจากนี้ไป หลัก ๆ จะมุ่งมาเน้นที่ลูกค้าคนไทยมากขึ้น ด้วยการลดแลกแจกแถม รวมถึงผ่อน 0% ร่วมกับบัตรเครดิต เพื่อกระตุ้นเป็นระยะ ๆ เช่น เดือน มิ.ย. มีแคมเปญลด 10-15% สำหรับเสริมหน้าอก เดือน ก.ค. ก็อาจจะลด 10-20% สำหรับการทำตา 2 ชั้น หรือ ส.ค. ลด 15% สำหรับการจัดฟัน เพื่อดึงให้ลูกค้าเข้ามาใช้บริการเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันก็เริ่มกลับมาทำการตลาดกับกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติผ่านทางออนไลน์ เป็นการปูทางไว้ก่อน เพราะต้องยอมรับว่ากลุ่มคนไข้ต่างประเทศที่เคยเป็นลูกค้าเขาก็ได้รับผลกระทบจากโควิดและเศรษฐกิจ จึงอาจจะยังไม่สะดวกที่จะเดินทางเข้ามา จึงต้องค่อยเป็นค่อยไป แข่งขันระอุ ลดราคา-0% เกลื่อน นายแพทย์เศรษฐกานต์ อัตถากรพันธ์ ประธานกรรมการ บริษัท พฤกษาคลินิก โฮลดิ้ง จำกัด เจ้าของพฤกษาคลินิก แสดงความเห็นว่า ตลาดศัลยกรรมและความงามมีการแข่งขันสูง เฉพาะอย่างยิ่้งในแง่ของการลดราคา เพราะมีรายใหม่ ๆ เข้ามาต่อเนื่อง โดยเฉพาะเซ็กเมนต์ศัลยกรรม หลัง ศบค.ผ่อนปรนมาตรการ และคลินิกความงาม กลับมาเปิดให้บริการ ตอนนี้ลูกค้าเริ่มกลับมา 70-80% แล้ว ส่วนใหญ่ประมาณ 85% เป็นลูกค้าเดิม โดยกลุ่มระดับล่าง คนไข้เริ่มกลับมา แต่ใช้จ่ายไม่เท่าเดิม คือ ใช้จ่ายน้อยกว่าเดิม ส่วนตลาดไฮเอนด์ไม่ได้รับผลกระทบในเรื่องกำลังซื้อ แต่อาจจะชะลอการใช้บริการเพราะกังวลเรื่องโควิด สำหรับพฤกษาเอง แม้คนไข้ส่วนใหญ่จะมีกำลังซื้อ แต่ก็ใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง ช่วงไหนที่โปรโมชั่นดีน่าสนใจ ลูกค้าก็จะคึกคักเป็นพิเศษ เรามีผ่อน 0% ร่วมกับบัตรเครดิตเป็นระยะ ๆ แต่ก็พยายามจะลดลงเพราะว่าคอสต์สูงขึ้น ขณะที่นางขวัญฤทัย ดำรงค์วัฒนโภคิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท รมย์รวินท์ คลินิก จำกัด แสดงทรรศนะในเรื่องเดียวกันนี้ว่า ปัจจุบันผู้คนปรับตัวอยู่กับโควิดได้แล้ว ส่งผลให้ธุรกิจความงาม ที่ไม่ต้องผ่าตัดหรือหัตถการที่มีมูลค่าตลาดรวมกว่า 30,000 ล้านบาท เริ่มฟื้นตัวกลับมา โดยเฉพาะหลังจากที่ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) มีมาตรการที่ผ่อนคลาย และคลินิกความงามกลับมาเปิดให้บริการได้ พบว่าลูกค้าเริ่มกลับเข้ามาใช้บริการเพิ่มขึ้น เมื่อตลาดเริ่มฟื้น การแข่งขันก็สูงตามไปด้วย ขณะนี้จะเห็นแบรนด์เล็ก ๆ มีการจัดโปรโมชั่นหนักขึ้น ซึ่งยอมรับว่าค่อนข้างกังวล เนื่องจากการจัดโปรโมชั่น หากจัดถี่เกินไป มีทั้งข้อดีและข้อเสียหากจัดเป็นชั่วคราว เพื่อให้ลูกค้าทดลองใช้ก็เห็นด้วย แต่ถ้ามีการตัดราคากันไปเรื่อย ๆ ประสิทธิภาพการรักษาก็จะต่ำลงและส่งผลต่อการรักษา สำหรับรมย์รวินท์ ที่เน้นจับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายตั้งแต่ระดับกลาง-พรีเมี่ยม ภาพรวมธุรกิจเริ่มปรับตัวดีขึ้น โดยช่วง 1-3 เดือนที่ผ่านมา ลูกค้าเก่าเริ่มกลับมาจองคอร์สระยะยาวเพิ่มขึ้น และมีปริมาณคนเข้ามาใช้บริการประมาณ 600 คนต่อวัน ต่อ 1 สาขา จากนี้ไปจะเร่งทำการตลาดอย่างหนัก ด้วยการตั้งทีมเทรนนิ่ง หรือจะเรียกว่าโค้ช ความงาม ให้ลูกค้าสามารถปรึกษาได้ส่วนตัว รวมไปถึงการนำเข้าเครื่องมือที่มีนวัตกรรมใหม่ ๆ มาเพิ่มประสิทธิภาพการรักษา ควบคู่กับการเปิดรับสมัครทีมขายสินค้าหลายอัตรา มาทำหน้าที่ขายสินค้าออนไลน์ ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 200 รายการ สิ่งเหล่านี้จะเป็นจุดแข็งที่จะสามารถหาลูกค้าใหม่ ๆ ได้เพิ่มขึ้น ด้านนายแพทย์ธนัญชัย อัศดามงคล ผู้อำนวยการศูนย์ศัลยกรรมความงาม โรงพยาบาลบางมด ระบุว่า ขณะนี้ตลาดศัลยกรรมพรีเมี่ยมกลับมาคึกคักขึ้น หลังโควิดคลี่คลาย ลูกค้าทั้งชาวไทยและต่างประเทศค้าเริ่มกลับมาใช้บริการ ทำให้รายได้จากศัลยกรรมของบางมดกลับมาเติบโตเพิ่มขึ้น 2-3 เท่า ล่าสุดได้นำเทคนิคใหม่มาใช้ในการดึงหน้า ทำให้หน้าเด็กลง แผลเล็ก หายเร็ว เป็นธรรมชาติ นอกจากนี้ ยังได้ทุ่มงบฯหลักพันล้าน สำหรับสร้างโรงพยาบาล Bangmod Aesthetic & Wellness Hospital บนพื้นที่ 5 ไร่ ทำศูนย์ศัลยกรรมครบวงจร โดยจะแยกแผนกศัลยกรรมออกมาจากการรักษาโรคทั่วไป คาดว่าจะใช้เวลาสร้าง 2-3 ปี สวยผ่อนได้ด้วยบัตร ปชช. แหล่งข่าวจากวงการคลินิกศัลยกรรมและความงาม เปิดเผยว่า ขณะนี้การแข่งขันของตลาดค่อนข้างรุนแรง นอกจากภาพการลดราคาและมีบริการเงินผ่อน 0% ที่เป็นการร่วมมือกับบัตรเครดิตและบัตรเงินผ่อนของผู้ประกอบการรายใหญ่ที่มีให้เห็นเป็นระยะ ๆ แล้ว ในส่วนของคลินิกรายเล็กหรือคลินิกเปิดใหม่ก็มีการจัดโปรโมชั่นอย่างหนัก เพื่อดึงกลุ่มลูกค้าที่ไม่มีบัตรเครดิต หรือกลุ่มนักศึกษา กลุ่มลูกค้าระดับแมส ด้วยการให้บริการศัลยกรรมความงามเงินผ่อน โดยบัตรประชาชนเพียงใบเดียว โดยกำหนดให้การผ่อนจ่ายเป็นงวด ๆ หรือบางรายวางเงื่อนไขให้วางเงินดาวน์จำนวนหนึ่งก่อน เช่น ทำศัลยกรรม (จมูก คาง) ผ่อนทุก 15 วัน 5 งวด โดยใช้บัตรประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้าน เช่น เสริมจมูกราคา 10,000 บาท ผ่อน 2,000 บาท 5 งวด หรือทำตา 2 ชั้น 10,400 บาท ผ่อน 3,466 บาท 3 งวด, เสริมคาง 6,500 บาท ผ่อน 2,167 บาท 3 งวด และทำปากกระจับบน-ล่าง 15,600 บาท ผ่อน 3,120 บาท 5 งวด หรือการทำหน้าอก 39,999 บาท ผ่อน 3,999 บาท 10 งวด โดยกำหนดเงื่อนไขว่า เมื่อผ่อนครบ 5 งวดแล้วสามารถนัดวันทำได้เลย หรือบางแห่งจัดโปรโมชั่น “ทำมาก ลดมาก” เช่น ลด 15,000 บาท เมื่อจอง 3 หัตถการ หรือลด 9,000 บาท เมื่อจอง 2 หัตถการ และลด 4,000 บาท เมื่อจอง 1 หัตถการ รวมถึงมีการกระตุ้นสุ่มแจกทองและรถจักรยานยนต์เมื่อจองทำศัลยกรรม (จมูก, คาง, ตา, ลักยิ้ม) ผ่านช่องทางออนไลน์ เช่นเดียวกับคลินิกศัลยกรรมความงามรายใหญ่ที่มีความเคลื่อนไหวจัดโปรโมชั่นเป็นระยะ ๆ อาทิ เมโกะคลินิก ตลอดเดือนสิงหาคมนี้ จัดโปรโมชั่นวันแม่เสริมหน้าอก เทคนิค seamless ไร้รอยแผล ด้วยราคาเริ่มเพียง 59,000 บาท พร้อมของแถมมูลค่ากว่า 40,000 บาท อาทิ ตรวจสุขภาพ ปรึกษา บริการดูแลก่อนและหลังผ่าตัด ชุดล้างแผล 7 วัน ตัดไหม เป็นต้น หรือรักแม่ พาแม่มาทำสวย โปรโมชั่นสวยแพ็กคู่ รับ gift voucher free 5,000.- เมื่อมียอดทำศัลยกรรม 60,000 บาทขึ้น และสามารถนำไปใช้เป็นส่วนลด skin หรือ surgery (ราคาเต็ม) ในครั้งถัดไปได้, โปรโมชั่น ยกคิ้ว foxy eyes ราคาพิเศษ 69,000 บาท ผ่อน 0% กับธนาคารที่ร่วมรายการ ขณะที่โรงพยาบาลเลอลักษณ์ จัดโปรโมชั่นลดราคาหลายรายการ เช่น เสริมหน้าอก ราคาเริ่มต้นที่ 38,900 บาท จากปกติ 75,900 บาท เสริมจมูก 7,900 บาท จาก 19,900 บาท ฟรีตะไบฮัมพ์ แต่งปลายจมูก, ปากกระจับ ราคาเริ่มต้น 9, 900 บาท จากปกติ 21,900 บาท ส่วนโรงพยาบาลยันฮี จัดโปรโมชั่น (1 ก.ค.-30 ก.ย.) อาทิ เสริมจมูก ราคา 9,900 บาท (สำหรับซิลิโคนมาตรฐานเท่านั้น) ศูนย์จุดซ่อนเร้น รับส่วนลด 10% เป็นต้น
โดย
pakapong_u
พฤหัสฯ. ส.ค. 04, 2022 8:57 pm
0
1
MASTER
“มาสเตอร์ สไตล์” ยื่นไฟลิ่ง เสนอขาย IPO เดินหน้าเข้า mai ระดมทุนปรับปรุงห้องผ่าตัด-ซื้ออุปกรณ์การแพทย์ บมจ. มาสเตอร์ สไตล์ หรือ MASTER ผู้ประกอบการกิจการสถานพยาบาลด้านศัลยกรรมความงามครบวงจรภายใต้ชื่อ “โรงพยาบาลมาสเตอร์พีช” หรือ “Masterpiece Hospital” ยื่นไฟลิ่งเสนอขาย IPO ไม่เกิน 65 ล้านหุ้น ประกอบด้วยหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายโดยบริษัทฯ จำนวนไม่เกิน 50 ล้านหุ้น และ In Glory Investments Limited ในฐานะผู้ถือหุ้นเดิม เสนอขายหุ้นสามัญเดิม จำนวนไม่เกิน 15 ล้านหุ้น เตรียมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) โดยมี บริษัท ไพโอเนีย แอดไวเซอรี่ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน หวังนำเงินระดมทุนขยายธุรกิจในช่วงปี (2566-2567) เพื่อปรับปรุงอาคารและห้องผ่าตัด รวมทั้งใช้จัดซื้อเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์-เป็นเงินลงทุนปรับปรุง-ขยายพื้นที่ดำเนินงาน และใช้เป็นทุนหมุนเวียน นางสาวเดือนพรรณ ลีลาวิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไพโอเนีย แอดไวเซอรี่ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน ของบริษัทฯ เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ของบริษัทฯ เพื่อประกอบการยื่นคำขออนุญาตเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไป (IPO) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2565 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว การเสนอขายหุ้นของบริษัท จะเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไป (IPO) จำนวนไม่เกิน 65 ล้านหุ้น คิดเป็นไม่เกินร้อยละ 27.08 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมด ภายหลังการเสนอขายในครั้งนี้ เพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ หรือ mai ในหมวดธุรกิจบริการ ทั้งนี้ แบ่งเป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายโดยบริษัทฯ จำนวนไม่เกิน 50 ล้านหุ้น และ In Glory Investments Limited ในฐานะผู้ถือหุ้นเดิม เสนอขายหุ้นสามัญเดิม จำนวนไม่เกิน 15 ล้านหุ้น โดยมีมูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท “จุดเด่นของ MASTER คือ การเป็นผู้ประกอบการกิจการสถานพยาบาลด้านศัลยกรรมความงามครบวงจรภายใต้ชื่อ “โรงพยาบาลมาสเตอร์พีช” ซึ่งก่อตั้งโดยนายแพทย์ระวีวัฒน์ มาศฉมาดล ให้บริการด้านการศัลยกรรมครบวงจร ซึ่งมีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มีประสบการณ์และเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางในด้านการศัลยกรรม อาทิเช่น ศัลยกรรมเสริมจมูก ศัลยกรรมยกคิ้วและกรอบหน้า ศัลยกรรมหน้าอก ศัลยกรรมดูดไขมันปรับรูปร่าง ศัลยกรรมตา ศัลยกรรมปรับโครงสร้างรูปหน้า เป็นต้น รวมถึงการปลูกผม ดูแลเส้นผม และให้บริการดูแลผิวพรรณและเลเซอร์ ด้วยวิวัฒนาการทางการแพทย์ที่ทันสมัยและได้รับมาตรฐานระดับสากล โดย ณ วันที่ 31 มีนาคม 2565 โรงพยาบาลมาสเตอร์พีชมีแพทย์ 28 ท่าน บุคลากร 361 คน และพื้นที่ให้บริการ 4,267 ตารางเมตร” นางสาวเดือนพรรณ กล่าว ทั้งนี้ โครงสร้างการให้บริการและขายผลิตภัณฑ์สามารถแบ่งเป็น 4 ส่วนดังนี้ 1. บริการด้านศัลยกรรม (Surgery) 2. บริการปลูกผมและดูแลเส้นผม (Hair Transplants and Hair Treatment) 3. บริการดูแลผิวพรรณ (Skin) และ 4. ขายผลิตภัณฑ์หรือให้บริการหลังศัลยกรรม (Product Sales and Aftercare) นพ.ระวีวัฒน์ มาศฉมาดล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มาสเตอร์ สไตล์ จำกัด (มหาชน) (“MASTER”) ผู้ประกอบการกิจการสถานพยาบาลด้านศัลยกรรมความงามครบวงจรภายใต้ชื่อ “โรงพยาบาลมาสเตอร์พีช” หรือ “Masterpiece Hospital” เปิดเผยว่า บริษัทฯ รายงานผลการดำเนินงาน 3 ปีย้อนหลังที่ผ่านมา (ปี 2562 – 2564) และงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2565 โดยมีรายได้จากการประกอบกิจการโรงพยาบาล 414.03 ล้านบาท 611.06 ล้านบาท 659.51 ล้านบาท และ 237.77 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตร้อยละ 47.59 ร้อยละ 7.93 และร้อยละ 41.78 ตามลำดับ โดยบริษัทฯ มีรายได้จากการประกอบกิจการโรงพยาบาลเติบโตอย่างต่อเนื่อง มีสาเหตุหลักมาจากจำนวนการใช้บริการของลูกค้าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากความนิยมและชื่อเสียงของบริษัทฯ ที่มีมาตรฐาน ให้บริการและคุณภาพตามมาตรฐานระบบคุณภาพโรงพยาบาล ขณะที่ในช่วงปี 2562 – 2564 และงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2565 นั้น บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 61.25 ล้านบาท 128.55 ล้านบาท 162.80 ล้านบาท และ 54.97 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิร้อยละ 14.66 ร้อยละ 20.89 ร้อยละ 23.59 และร้อยละ 22.91 ตามลำดับ สะท้อนถึงการเติบโตที่มีอย่างต่อเนื่อง สำหรับวัตถุประสงค์ในการนำเงินระดมทุนที่ได้จากการเสนอขายหุ้น IPO เพื่อใช้เป็นเงินลงทุนในโครงการช่วงปี 2566-2567 โดยมีแผนที่จะใช้ปรับปรุงอาคารและห้องผ่าตัด รวมถึงใช้จัดซื้อเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ และเป็นเงินลงทุนสำหรับปรับปรุงและขยายพื้นที่ดำเนินงาน รวมถึงนำไปใช้เป็นทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ สอดคล้องกับแผนการเติบโตของบริษัทฯ ในอนาคต นพ.ระวีวัฒน์ กล่าวทิ้งท้ายว่า บริษัทฯ มีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ 50 ของกำไรสุทธิจากงบการเงินเฉพาะกิจการของบริษัทฯ ภายหลังการหักภาษีเงินได้นิติบุคคล และการจัดสรรเงินทุนสำรองต่างๆ ทุกประเภทตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายและข้อบังคับของบริษัทฯ
โดย
pakapong_u
พฤหัสฯ. ส.ค. 04, 2022 3:44 pm
0
1
787 โพสต์
of 16
ต่อไป
ต่อไป
ชื่อล็อกอิน:
pakapong_u
ระดับ:
Verified User
กลุ่ม:
สมาชิก
ติดต่อสมาชิก
PM:
ส่งข้อความส่วนตัว
สถิติสมาชิก
ลงทะเบียนเมื่อ:
อาทิตย์ ก.ย. 07, 2008 5:10 pm
ใช้งานล่าสุด:
-
โพสต์ทั้งหมด:
47266 |
ค้นหาเจ้าของโพสต์
(2.40% จากโพสทั้งหมด / 8.28 ข้อความต่อวัน)
GO_TO_SEARCH_ADV
ไปที่
การลงทุนแบบเน้นคุณค่า
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้น
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้นต่างประเทศ
↳ ไอเดียหุ้นเด้ง
↳ คลังกระทู้คุณค่า
↳ Value Investing
↳ หลักสูตรการลงทุนออนไลน์
↳ ThaiVI GO Series
↳ Oppday Transcript
↳ บทความ
↳ ความรู้งบการเงิน
↳ ร้อยคนร้อยเล่ม / Multimedia Forum
↳ mai Corner
↳ Alternative Investing
เรื่องทั่วไป
↳ นั่งเล่น / กีฬา / สุขภาพ
↳ Asking Staff
↳ CSR
×
บันทึกไม่สำเร็จ
กรุณาลองใหม่อีกครั้ง
×
บันทึกสำเร็จแล้ว