เพื่อนๆ พี่ๆ คิดว่าควรกระจายการลงทุนในหุ้นกี่ตัว จึงจะเหมาะ เริ่มศึกษาและลงทุนมาตั้งแต่ 20 เป๊ะๆ ช่วงนั้นเงินยังไม่เยอะ แต่ดันขยันจัดพอร์ต ตัวไหนดูว่าดี เห็นว่าใช่ก็ซื้อไปหมด สรุปหลายตัวเกินไปตัวที่ทำกำไรมากๆ ก็ไม่ได้ช่วยดันพอร์ตเท่าไหร่ ใครบอกตัวไหนว่าดี พอเริ่มสนใจก็ซื้อๆเก็บๆ ตัวไหนดู pe / eps ว่าน่าสนก็เก็บอีก เล็กๆน้อยๆ แทบจะไม่ส่งผลต่อพอร์ตรวม มาตั้งแต่ต้นปีนี้ .. หัดวิเคราะห์มากขึ้น ได้รับความคิดเห็นของคนอื่นมา ก็เลือกที่เข้าใจและมั่นใจมากที่สุด เน้นน้อยตัวที่สุด และถ้าหากอ่านข้อมูลแล้วไม่เข้าใจก็ไม่เข้าซื้อ .. ลดความผิดพลาดและความโลภไปได้เยอะครับ ปีนี้ตั้งแต่ต้นปีเลยถือ ครั้งละหนึ่งตัวเท่านั้น .. พอร์ตเล็กๆ สภาพคล่องแทบจะไม่มีผลเลย แต่หากเราเข้าถูกจังหวะในหุ้นพื้นฐานดี อนาคตเติบโตหรือ turn around ผลกำไรจะออกมาดีมากครับ โดย Artsuro ศุกร์ ส.ค. 13, 2010 8:12 pm

ระดับอาจารย์ที่สอนผมลงทุน โอ้ .. มานั่งอ่านกระทู้นี้ ช่วงเช้ามืดบรรยากาศเงียบๆ ซึมซับความรู้และประสบการณ์ รวมถึงทัศนคติดีดีของพี่เลย เจอกันสองสามครั้ง .. เห็นแต่พี่พอใจมาดนักเลงกวนสุดๆ แต่ความจริงใจและมนุษยสัมพันธ์นี่กินขาดจริงๆ เห็นด้วยครับว่า มนุษยสัมพันธ์และความจริงใจ เกือบทุกครั้ง มีความสำคัญมากกว่าแค่ ตัวเงิน  :wink:  :bow:  :bow:  :bow:  :bow:  :bow:  :bow:  :bow:  :bow:  :bow: โดย Artsuro อาทิตย์ ก.พ. 10, 2008 4:43 am

ASUS : The Most Hated Company In the PC Industry .. อ่านแล้วได้มุมมองกับความรู้ดึครับ ขอบคุณสำหรับบทความมากๆครับ  8) โดย Artsuro พุธ ม.ค. 09, 2008 7:10 am

สวัสดีปีใหม่ครับ :cheers:  Happy NewYear 2008 Krub !!!  :cool: สวัสดีปีใหม่พี่ๆทุกคนในเว็บไทยวีไอด้วยนะครับ ขอให้ทุกท่านมีความสุข ความเจริญ สมหวังในสิ่งที่ปรารถนาครับ และขอให้ไทยวีไออยู่ยืนยงไปอีกนานแสนนานคร๊าฟฟฟฟ ...  :wink: โดย Artsuro จันทร์ ธ.ค. 31, 2007 11:05 pm

เคยเปิดสอนฟรีไป 10 รุ่น รุ่นละ 5 คน แบบเอามันส์ :P  อ่าา .. จากเว็บนี้ไปพักนึงเพื่อเคลียร์ปัญหาร้ายแรงส่วนตัว เปิดมาอ่านก็เสร็จกิจกรรมไปแล้วซิเนี่ย รบกวนไฟล์ด้วยคนครับ  :bow: [email protected]   ขอบพระคุณครับผม โดย Artsuro พุธ ธ.ค. 19, 2007 5:30 pm

หุ้น Muraco และ Paul Energy ที่คุณเทพกล่าวถึงในหนังสือ เป็น ฮ่ะๆ ... ไม่มีอะไรครับ เข้ามายิ้มหลังจากอ่าน  :lol: โดย Artsuro อังคาร ก.ย. 18, 2007 7:39 pm

มี รพ. หรือคลีนิคศัลยกรรมดังๆ ในตลาดหุ้นบ้างไหมครับ คอนเฟิร์มอีกคนครับว่าการทำศัลยกรรมนี่ แทบจะเป็นเรื่องปกติไปแล้วทีเดียว คนที่รู้่จักกันที่เป็นพวกนางแบบใน จีน เกาหลี ญี่ปุ่น เนี่ยรู้สึกจะทำกันเยอะมากครับ หากใครเล่น hi5 นะครับพวก จีน เกาหลี ญี่ปุ่น สวยๆหน้าเหมือนตุ๊กตาตาแป๋วๆ พวกนั้นนี่ เหลาคาง ทำหน้า ทำตา ทำจมูก ดึงตีนผม ใส่คอนแทคส์ ติดขนตา  โอ้ย สารพัดครับผม แต่สุดท้าย พอสวยแล้วก็เข้าวงการกันได้สบายๆ ทนเจ็บแล้วได้เงินได้หนุ่มๆติด สวยเริ่ด ไปเลย ฮ่ะๆ ที่จริงเมืองนอกเอง ถ้าเป็นพวกฝรั่งเค้าก็เรียกพวกนี้ว่า พลาสติกเกิร์ล แล้วครับ ซึ่งมีอยู่ทุกโรงเรียนเลย โดย Artsuro จันทร์ ก.ย. 17, 2007 12:28 am

ถ้า .... บริษัทต้องออกจากตลาด แล้วนักลงทุน จะเป็นอย่างไร ..? ถูกต้องครับคุณ Nurun เพียงแต่ที่ผมบอกว่าไม่ทราบนั้น ก็หมายถึงว่าไม่ทราบว่าจะขายยังไง อาจจะเป็นการบอกขายต่อกันเอง หรือบางครั้งก็ประกาศลงหนังสือพิมพ์เอา แต่โบรกเกอร์ไม่เกี่ยวแล้ว  :wink: โดย Artsuro ศุกร์ ก.ย. 14, 2007 10:10 am

ถ้า .... บริษัทต้องออกจากตลาด แล้วนักลงทุน จะเป็นอย่างไร ..? เอาเท่าที่รู้นะครับ ... ดันรู้ไม่มากด้วยแฮ่ะ .. ต้องดูครับว่าบริษัทจะออกจากตลาดรองเพราะอะไร ?? เพราะว่าเจ๊งคือปิดกิจการไปเลย หรือเพราะว่ามี พวก  Tender offer คือมีใครมาซื้อหุ้นบริษัทรึป่าว หากเป็นอันหลังเนี่ยเข้ามาจากมีไล่ซื้อหุ้นโดยให้ราคาไว้ เราก็ขายไปก็ได้หากไม่ขาย หลังจากนั้นก็ ไม่ทราบครับ .... ต้องไปขายนอกรอบเอง 55+ แต่หากเป็นแบบแรกเนี่ย ... หืมม เงินที่ซื้อไปคงไม่ใช่กระดาษเปล่าๆ เพราะสมัยนี้กระดาษก็ไม่ออกให้แล้ว  :lol: ถ้าต้องปิดกิจการลงนะครับ ... อย่างแรกคือต้องเอาเงินไปจ่ายเจ้าหนี้ครับ ไม่ว่าจะเป็นธนาคาร หรือตราสารหนี้ จ่ายด้วยเงินสดที่มีหรือนำทรัพย์สินใดออกขายก็ตาม ต่อมาก็จ่ายคืนให้แก่พวกผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิ์ครับ เป็นกลุ่มคนที่ถือหุ้นด้วยสิทธิพิเศษ ที่ไม่ได้มีสิทธิออกเสียงครับ หลังจากนั้น ถ้ายังมีเหลือ ก็จ่ายแก่เราๆทั้งหลายครับ ... จะเหลือหรอ ??? ฮ่ะๆ ... นี่แหละครับ ถึงเป็นที่มาของการคำนวณ Asset ของบริษัทก่อนการลงทุน รวมถึง Asset Play อย่างไรก็ตาม อย่าไปตีราคาเครื่องจักรมากเลยครับ เพราะเครื่องจักรแต่ละประเภทของแต่ละธุรกิจ พอนำไปขายทอดตลาดมูลค่าของมันก็แทบจะหาไม่ได้แล้วครับ ... แต่ถ้าเป็นที่ดินนั่นคืออีกเรื่องนึง เช่นของบริษัทน้ำดำเป็นต้น ประมาณนี้มั้งครับ ... ถูกผิดประการใดพี่ๆท่านอื่นอาจช่วยเสริมได้ดีกว่าผมครับ  8) โดย Artsuro ศุกร์ ก.ย. 14, 2007 12:38 am

น้องใหม่เปิดพอร์ตวันแรกครับ กดไปเท่านี้ วันแรกๆ ไม่ได้ซื้อเลยครับ ... รอคับ รอแล้วรออีก ... ฮ่ะๆ เพราะมันยังไม่ใช่ ไม่ถูกใจ ก็เลยรอต่อไป ... ทุกวันนี้กำลังกำเงินแล้วก็รออีกรอบแล้ว แหะๆ ... ไม่ต้องรีบร้อนหรอกครับ .... รอเน้นๆ แล้วซัดเต็มที่จะดีกว่าแย๊บๆไปทุกหมัด แต่หวังผลไม่ได้เลย 8) ปล.พี่จิวครับผมก็รอ gfm พี่อยู่นะที่จริง ... เห้อ โดย Artsuro พฤหัสฯ. ก.ย. 13, 2007 6:01 pm

มือใหม่คับ สนใจsiam gas จะIPO มีความเห็นยังงัยบ้างคับ ผมว่าพวกเซียนๆเก๋าๆกัน เค้าก็ยังไม่อยากยุ่งกับหุ้นที่ตัวเองไม่รู้จักเลยครับ ยกเว้น MK สุกี้เข้าตลาดอะไรแบบนั้นก็อีกเรื่องเพราะมันเห็นชัด ยิ่งถ้าเป็นน้องใหม่เนี่ย ... อาจจะกลายเป็นโดนรับน้องแบบกลุ่มเดนตายเลยก็ได้  :lol: มีแต่คนในอยากออกคนนอกอยากเข้า กระหายกันทั้งนั้น สำหรับผมเนี่ย มันไม่มีข้อมูลอะไรให้เปรียบเทียบอะครับ ว่าบริษัทเค้าเติบโตดียังไง ?? มีความได้เปรียบยั่งยืนแค่ไหน ?? ROE ROE PE PB เป็นเช่นไร ?? แล้วจะหาค่าเฉลี่ยจากไหนอีก ?? โอ้ยยย สารพัดครับผม ... ผมจะไม่ออกนอกกรอบความรู้ของผมครับ ไม่รู้ไม่เสี่ยงดีกว่านะ แล้วเรื่องบัญชีอะ มันแต่งกันได้ทั้งนั้นแหละ ... เป็นผมเป็นคุณเป็นใครก็อยากขายของให้ได้ราคาแพงที่สุดจริงไหมจ้ะ ?? ระวังเถอะครับ ... อย่าโลภเลย อันนี้จริงแท้แน่นอนมากๆๆๆๆๆ ... พี่โอ๊ตสอนมา ฮ่ะๆๆๆ ...  :P โดย Artsuro พุธ ก.ย. 12, 2007 11:07 pm

มือใหม่คับ สนใจsiam gas จะIPO มีความเห็นยังงัยบ้างคับ ที่จริงผมเห็น คำถามกระทู้นี้ตั้งแต่ตอนตั้งแล้วนะครับ แต่คิดว่าคงต้องอธิบายยาวมากแน่ๆ พี่ Cryptonian ตอบไปอย่างย่อๆเป็นข้อๆไปแล้วด้วย ... ก็หวังว่าจะเข้าใจบ้างนะครับ แต่ผมอยากแนะนำว่า การลงทุนทุกชนิดมีความเสี่ยงอยู่ในตัวครับ ต้องมีความรู้ความเข้าใจ ความเสี่ยงจึงน้อยลง หุ้นเอง ก็เป็นการลงทุนที่มีความผันผวนสูง ... หุ้น IPO เป็นหุ้นที่มีความผันผวนสูงมากและคาดการณ์จากอดีตได้ยาก ดังนั้น ถ้าถามผม .. ผมว่าใจเย็นๆเถอะครับ กำเงินไว้ในมือก่อน อย่าเพิ่งรีบลงทุนตอนนี้ เอาเงินที่มีไปซื้อหนังสืออ่านก่อนดีกว่า แล้วไปศึกษาถึงสิ่งที่กำลังสงสัยอยู่ก่อนจะดีกว่าไหมครับ ???  ลองดูในเว็บนี้แหละครับ มีความรู้ท่วมท้นเลย แล้วอีกอย่างทำไมถึงสนใจหุ้นตัวนี้เป็นพิเศษครับ??? หรือว่ามีข้อมูลอะไรจากใครมาเอ่ย ลองทบทวนก่อนนะครับ ... เพราะอ่านจากคำถามแล้วเข้าใจว่ายังไม่มีพื้นฐานเท่าใด ใจเย็นๆดีกว่าครับผม  8) ถ้ายังตีมูลค่ากิจการไม่ได้ ... ไม่รู้จักประเภทของตราสารและหุ้นเอง ก็เปรียบเสมือนไม่รู้จักท่าในการว่ายน้ำนั้นแหละครับ ไม่รู้จักบริษัทดี ก็เปรียบเสมือนไม่รู้จักสถานที่ที่จะต้องลงว่าย .. รังแต่จะเกิดความหายนะ หากดื้อลงแข่งนะครับ โดย Artsuro พุธ ก.ย. 12, 2007 10:34 pm

ซื้อ MBK ช่วงนี้แพงไปไหมครับ แหะๆ ... กองทุนอสังหาริมทรัพย์ดีๆ ของท่านพี่ Cryptonian_man มีนัยยะสำคัญ มีกองไหนดีดีบ้างครับ ?? แนะนำน้องๆเผื่อไว้เลยก็ได้ครับ เดี๋ยวคงมีถามต่อ  8) แต่ที่จริงมันเป็นวิธีคิดที่ play safe สุดๆแล้วแหละครับ เทียบกับการลงทุนอื่นที่เสี่ยงน้อยกว่า ผลตอบแทนจะเป็นเช่นไร โดย Artsuro พุธ ก.ย. 12, 2007 10:21 pm

ซื้อ MBK ช่วงนี้แพงไปไหมครับ ดูผ่านๆนะครับ ... ไม่ได้อ่านรายละเอียดมากนัก ณ ราคาขนาดนี้สำหรับผมมองว่าเหลือ margin of safety น้อยไปหน่อยนะครับ คงโตไปทีละนิด ขยับไปทีละหน่อย ขึ้นช้าๆลงไม่แรง แต่ว่าความผันผวนค่อนข้างไม่มากนักสำหรับลักษณะธุรกิจ เพราะค่าเช่าที่ในห้่างก็สามารถเก็บเพิ่มได้ตลอด และที่จอดรถก็ยังมีผู้มาใช้บริการอยู่สม่ำเสมอ .. และยังเป็นแหล่งที่ผู้คนทั้งไทยและเทศต่างมาจับจ่ายสินค้า ร้านค้าก็น่าจะคงอยู่ได้ ค่อนข้างเหมือนที่ท่านแม่ทัพเคยกล่าวไว้ครับ .. downside ต่ำ upside ต่ำ ครับ ถ้าถือไว้ก็ใจเย็นๆครับ growth ไม่สูงมากค่อยๆไป ปันผลก็ระดับหนึ่ง ลองเอา Growth เฉลี่ยมาบวก กับ Div. yeild นะครับ ว่าถ้าบวกรวมกันแล้วผลตอบแทนไม่สูงมากนัก ... ไปลงทุนในตราสารหนี้ที่ไม่ต้องเสี่ยงจะคุ้มกว่ารึป่าว ???  8) โดย Artsuro อังคาร ก.ย. 11, 2007 4:53 pm

หาค่า GROWTH ได้จากที่ไหนครับ มิได้เก่งกาจประการใดนะฮะ ... ถูกผิดก็อย่าว่ากัน แหะๆ ... ผมเป็นโรคจิตเห็นคนเค้าสงสัยหรือถามอะไรเป็นต้องขอลองช่วยสักหน่อย Growth = อัตราการเติบโตของการทำกำไร โดยเปรียบเทียบจากกำไรในปีก่อน หรือไตรมาสก่อนๆ โดยปกตินิยมคิดเป็นปี ตัวอย่างเพื่อความเข้าใจง่ายๆนะ สมมติว่า ... ปี 2005 บริษัท CDX มีกำไรปกติ 200 ล้าน ปี 2006 บริษัท CDX มีกำไรปกติ 250 ล้าน  ** เท่ากับว่า กำไรเพิ่มขึ้น 50 ล้าน หรือ 25% ดังนั้น G = 25 % ** ถ้าเราสันนิษฐานว่าบริษัท CDX จะยังสามารถเติบโตด้วยอัตราคงที่ เราก็จะคิด ค่า G ที่ 25% กำไรของบริษัทจึงควรจะเป็นดังนี้หากเราคาดการณ์ไม่ผิด ปี 2007 บริษัท CDX มีกำไรปกติ 312.5 ล้าน  ** 25% ของ250 = 62.5 ** แต่ที่สำคัญคือเราต้องพิจารณารายละเอียดของแต่ละปีแต่ละบริษัทให้ดี ว่ากำไรที่โตนั้น เกิดจากอะไร ?? เช่น หากบริษัทขายบริษัทย่อยไป หรือขายทรัพย์สินไป เราก็ควรจะนำเฉพาะกำไรปกติจากธุรกิจมาคำนวณ แล้วค่อยบวกกำไรพิเศษทีหลัง เพราะมิฉะนั้นหากเราไม่ดูให้ดี เราก็จะคำนวณทุกอย่างคลาดเคลื่อนไปหมดนะครับ ทั้ง PE ROE ROA  ดังนั้นแยกครับ ต้องแยกกำไรพิเศษออก อย่างไรก็ตาม การใช้ G ของแต่ละคนไม่เท่ากันครับ เช่นเดียวกับการให้ค่า PE  ฉันใดก็ฉันนั้นว่าศึกษาจนมั่นใจในการเติบโตของบริษัทขนาดไหน แต่หาก เราเจอหุ้นที่ PE สูงๆ เช่น 15-18 .. เราอาจจะมองว่าแพงแล้ว แต่หากเราหาค่า G เฉลี่ยได้เท่ากับ 35% ราคานั้นก็อาจจะถูกมากก็ได้ครับ ลองพิจารณาแล้วหาบทความเชิงวิชาการแบบง่ายๆหรือลึกๆกว่านี้มาอ่านเพิ่มเติมนะครับ ขอให้ประสบความสำเร็จในการลงทุนครับ  8) โดย Artsuro อังคาร ก.ย. 11, 2007 4:35 pm

อยากซื้อหุ้นทางเน็ตครับ ผมใช้ Seamico นะครับพอดีเทรดน้อย ไม่อยากเสียขั้นต่ำ โดยรวมก็บริการดีครับใช้ได้ทีเดียว ส่วน KBANK นั้น เสียขั้นต่ำนะครับในการส่งคำสั่งนะครับ แล้วถ้าจะเปิดบัญชีเงินสด ต้องมีเงิน 50,000 บาทครับ ไม่เหมือนพวก ไม่มีขั้นต่ำที่จะเริ่มที่กี่บาทก็ได้ อย่างผมเองก็หลักพันเองครับ ค่อยๆสะสม ไม่มีเงินก้อน KBANK เห็นว่าเทรดออนไลน์เนี่ย ทุกๆวันจะมี msg มาแจ้งที่มือถือเกี่ยวกับธุรกรรมและการซื้อขายที่เกิดขึ้นรวมถึงการชำระเงิน ลองพิจารณากันดูนะครับ ...  8) โดย Artsuro อาทิตย์ ก.ย. 09, 2007 3:49 pm

ถ้านักลงทุนทุกคนในตลาดเป็น Value Investor ทั้งหมดจะเป็นยังไง การลงทุนแบบ VI นี่มีหลายสำนักนะครับมีกลยุทธ์และวิธีการลงทุนที่ต่างกันไป อย่างที่คุณ Mprandy ว่ามาถูกต้องเลยแหละครับ เอาเฉพาะใน Thaivi เนี่ยมีีกี่คนที่ลงทุนแบบ VI 100% ทั้งพอร์ตเลยด้วย ท่านที่เก่งๆ ก็ยังห้ามใจไม่เล่นสั้นไม่ได้เลย บางท่านก็ชอบ Asset play อีก หืม ... แล้วที่สำคัญครับ ถึงทุกคนจะรู้พื้นฐานและมูลค่าของหุ้นดีก็ตาม แต่ในตลาดหุ้น "ความโลภ" มีอิทธิพลมากครับ ... และนั่นเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ สมมติฐานนี้ไม่น่าจะเป็นจริงได้ 8) โดย Artsuro เสาร์ ก.ย. 08, 2007 2:37 pm

ค่า P/BV ดูยังไงอ่ะคับถึงจะรู้ว่าถูกหรือแพงคับ ออกตัวก่อนนะครับว่าไม่ได้เก่งอะไรมากมายนัก แต่เห็นยังไม่มีใครเข้ามาตอบจึงขอแนะนำเบื้องต้นแล้วกันครับ หุ้นมูลค่าตามหลัก วีไอ โดยปกตินั่นจะหมายถึงหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงใช่ไหมครับ แล้วก็จะมี ratio ที่เกี่ยวข้องเบื้องต้นอยู่ 2 ตัวคือ PE และ PBV นั่นเองซึ่งปกติสองตัวนี้ค่อนข้างจะสอดคล้องกัน ผมแนะนำว่าเราควรดูทั้งสองตัวพร้อมๆกันนะครับ PE นั้นคืออัตราส่วนราคาต่อกำไร เอาง่ายๆคือระยะเวลาที่การหวังจะเท่าทุนหากลงทุนไป เช่น P=10 EPS=2 หารกันออกมา ได้เท่ากับ PE=5  คือเราซื้อที่ราคา 10 บาท หุ้นทำกำไรได้ปีละ 2 บาท ดังนั้น 5 ปี จะเท่าทุน ดังนั้นการมองหาหุ้นมูลค่า ก็จะต้องย้อนกลับไปคำนวณการทำกำไรหรือการเติบโตของธุรกิจนั้นในอนาคตด้วย ว่าPEเหมาะสมหรือไม่ PBV = Price per Book Value อัตราส่วน ราคาหุ้นต่อมูลค่าทางบัญชี อันนี้ก็คือ คิดจากมูลค่าหุ้นที่เจ้าของเดิมได้ไว้ โดยคิดง่ายๆประมาณนี้คือ หาก PB=1 นั่นคือเราซื้อ ณ ราคาเท่ากับเจ้าของเดิม หาก PB สูงกว่า 1 นั่นคืออัตราส่วนที่เราซื้อแพงกว่าเจ้าของเดิมครับ และหาก PB ต่ำกว่า 1 นั่นคือเราซื้อกิจการในราคาที่ถูกกว่าเจ้าของเดิม เท่าที่ ดร.นิเวศน์ ว่าไว้หากผมจำไม่ผิด ท่านว่า สูงเกินกว่า1.5 ก็ถือว่าแพง ต่ำกว่า 0.8 นี่ถูกมากๆ แต่ต้องดูเป็นอุตสาหกรรมไปนะครับ เช่น กลุ่มโรงพยาบาล และพวก Super Stock ทั้งสองอัตราก็มักจะสูงอยู่เสมอ เพราะการคาดหวังมักจะมีสูงเช่นกัน อย่างไรก็ตามอย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นนะครับ PE และ PB จะสอดคล้องกันคุณจะต้องรู้มูลค่าที่แท้จริงของกิจการในอนาคตก่อนด้วย หาก PE สูงนั่นคือการคาดหวังในการทำกำไรในอนาคตก็สูงซึ่งมีผลทำให้ PB สูงตามไปด้วยครับ พยายามดูราคา PE เป็นหลักดีกว่าครับ ต้องให้ราคา PE ให้ได้ซึ่งตรง PE นี่แหละที่ต่างคนต่างให้ต่างกัน ส่วนPBหากมีอัตราที่ต่ำกว่าตัวอื่นๆที่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกันอันนั้นก็นับว่าถูกไประดับหนึ่ง ยกเว้นเจอสภาพเศรษฐกิจก่อนฟองสบู่เท่านั้น เน้นครับสำคัญที่การหามูลค่าที่แท้จริง .... หวังว่าคงเข้าใจมากขึ้นบ้างนะครับ  8) โดย Artsuro เสาร์ ก.ย. 08, 2007 3:34 am

และแล้วข่าวร้าย Subprime ก็เงียบๆไป... ผลกระทบและความเสียหายจาก Subprime น่าจะยังแสดงออกมาไม่หมดนะครับ หรือว่าใครสามารถสรุปความเสียหายได้แล้ว ?? อย่างไรก็ตามมุ่งเน้นที่ตัวบริษัทไปดีกว่า หามูลค่าของบริษัทที่เราสนใจ แล้วก็รอจังหวะเข้าซื้อในราคาที่เหมาะสมครับ โดย Artsuro พุธ ก.ย. 05, 2007 12:47 am

ชาว Thai VI มีใครลองหรือเผลอเล่น Day Trade บ้างครับ เสริมจากคุณ kit556 ครับผม เค้าบอกว่าคนเราถ้าลองทำอะไรติดต่อกันเป็นเวลา 21 วันสิ่งนั้นจะกลายเป็นความเคยชิน ซึ่งความเคยชิน ก็คือนิสัยที่เรารู้สึกว่ามันเป็นสิ่งปกติที่เรากระทำโดยประจำและไม่รู้สึกว่าต้องคิดย้ำก่อน สุดท้าย ถ้าเกิดกับการเทรดรายวัน โดยปราศจากการควบคุม ผมว่าก็จะกลายเป็นนิสัยเสีย ต้องมีดัดนิสัยตัวเองกันบ้างแหละครับ ... อย่างที่พี่นริศ ว่าไว้ต้องมีหลักฐานและบทเรียนมาสอนตัวเอง "ให้จำและเรียนรู้" แต่ผมว่าถ้าใครอยากสนุกหรือหาอะไรทำแก้เซ็งก็แบ่ง พอร์ตเลยดีกว่าว่าเท่าไหร่ เก็งกำไรและเท่าไหร่เป็นวีไอ จะได้ไม่ปนจนพอร์ตพัง ปล.เดือนนึงมี 30 วันโดยประมาณ ... ตลาดหุ้นเปิดทำการ 22 วันโดยประมาณ ตลาดปิด 8 วันโดยประมาณ งั้นเทรดรายวันไปสักเดือนนึง ก็คงจะเริ่มชินเป็นนิสัย ... หุหุ    8) โดย Artsuro พฤหัสฯ. ส.ค. 30, 2007 2:48 pm

กลยุทธ์ เมื่อไม่มีหุ้นน่าสนใจ มีครับคุณ Radio ... รู้สึกพวกหนังสือใหม่นี่ มีเกือบทุกร้านชั้นนำแหละครับ เมื่อวานไปเดิน เดอะมอลล์ ราม เหลือบไปเห็นโดยบัญเอิญ "ฉลองนายอินทร์สาขาใหม่ หนังสือใหม่ลดราคา 10%-15% " ก็เห็นเล่มนี้อยู่ด้วย ... ไม่ทราบกี่เปอร์เซ็นต์ ถ้าลดขนาดนั้น ยิ่งแวลูเลยนะ(ปกติหนังสือนอกเครือ ลดแค่ 5%เอง) หืมม ... ผมว่ามันมีหุ้นที่น่าสนใจอยู่เสมอแหละครับ แต่อาจจะไม่มีราคาที่่น่าสนใจบ่อยๆเท่านั้นเอง ... แล้วเด็กน้อยก็กำเงินสดต่อไป ... ขณะที่เด็กดอยมองลงมา ...   8) ปล. การลงทุนในตัวเองเป็นการลงทุนที่มีคุณค่ามากที่สุดครับ "อ่านหนังสือ และปรับปรุงทัศนคติของตนเอง" โดย Artsuro พฤหัสฯ. ส.ค. 30, 2007 1:54 pm

ใครถือหุ้นตัวไหน ได้กำไรเป็นท่วมมากทีสุด ถือนานแค่ไหน ดูของพี่ Dino แล้วชัดเจนขึ้นมากว่าหลังจากเราศึกษาบริษัทและธุรกิจแล้ว เราต้องให้เวลากับบริษัทนั้นในการแสดงผลประกอบการและการเติบโต แต่เดาว่าบางส่วนอาจจะวิ่งขึ้นช่วงกระทิงนี้พอดีเลยดูสูงพอสมควรนะครับ หืมม .... ดีครับกระทู้นี้ ขอบคุณพี่เจ๋งมากครับ ที่ตั้งขึ้นมา ...  8) โดย Artsuro เสาร์ ส.ค. 25, 2007 10:18 pm

น้องๆ vi ท่านใด อายุไม่เกิน 25 ปี ลอง สมัคร MMA ดูซิคับ อ่าาส์ เสียดายจังเลยครับงั้น .... คงเป็นนัดสำคัญแน่นอน  :lol: เสียสมัครพรรคพวกผู้ร่วมขบวนการไปอีกหนึ่งคน  :cry: โดย Artsuro พฤหัสฯ. ส.ค. 23, 2007 2:25 pm

น้องๆ vi ท่านใด อายุไม่เกิน 25 ปี ลอง สมัคร MMA ดูซิคับ คุณ SARAN ลองเข้าไปในเว็บไซท์ซิครับ ในนั้นมีตารางบอกเลยครับ ว่าวันที่เท่าไหร่ รอบไหนทำอะไรบ้าง มีล่วงหน้าเลย รอบแรกถึงสุดท้าย ... พี่โอ๊ต ผมกำลังจะเข้ามาพิมพ์คำว่าอุดมการณ์เดียวกันอยู่เลย พี่นี่ใจตรงกับผมจริงๆ ... หุหุ  :roll: อุดมการณ์แนวไหนหว่า โดย Artsuro พฤหัสฯ. ส.ค. 23, 2007 1:31 pm

น้องๆ vi ท่านใด อายุไม่เกิน 25 ปี ลอง สมัคร MMA ดูซิคับ พี่โอ๊ตสมัครได้นะครับ เท่าที่ผมอ่านๆแล้วเนี่ย  ... ลองดูดีดีพี่ เชียร์ๆ  :lol: โดย Artsuro พฤหัสฯ. ส.ค. 23, 2007 12:55 am

น้องๆ vi ท่านใด อายุไม่เกิน 25 ปี ลอง สมัคร MMA ดูซิคับ อายุยี่สิบวัยกลัดมัน ไม่พลาดแน่  :lol: โดย Artsuro พุธ ส.ค. 22, 2007 11:25 pm

ทำไมถึงเลือกลงทุนในหุ้นกันครับ ผมว่าคำตอบเรื่องผลตอบแทน และการสร้างความมั่งคั่งนั้นคงเหมือนกันเกือบหมด แต่สำหรับคนที่ชอบคิดชอบทำ หลงใหลในการทำธุรกิจและการลงทุน ผมว่าการลงทุนในหุ้นเปรียบเสมือนงานศิลปะอย่างหนึ่งเลยนะครับ เพราะมันคือการมองธุรกิจ ศึกษาธรรมชาติและเรียนรู้ลักษณะของธุรกิจนั้นๆอย่างลึกซึ้ง สุดท้ายแล้ว มันก็คือศิลปะในการทำธุรกิจ .... พอได้เริ่มศึกษาศาสตร์ในศิลปะนี้แล้ว ผลงานจะออกมาเป็นอย่างไรก็ตาม ถ้าทำมาถูกทางที่เราพอใจ ผมก็มีความสุขแล้วนะ :wink: โดย Artsuro พุธ ส.ค. 22, 2007 11:24 pm

Working Hard ชอบครับ ขอบพระคุณมาก  8) ปล. ไปห้องบทความดีไหมหว่า ?? โดย Artsuro อังคาร ส.ค. 21, 2007 12:43 am

ชาวVIทั้งหลาย คุณได้ขายหุ้นออกไปช่วง panic นี้บ้างป่าวครับ ขายหุ้นที่รักไม่มากออกไปครับ ... พอดีตอนนั้นราคาที่ขายก็ไม่ได้ตกเยอะ แล้วรีบไปซื้อหุ้นที่แอบรักอยู่นาน ... ซึ่งก็พอดีว่ามันตกลงมาเยอะมากแล้วทีเดียว เรียกว่าราคาหุ้นตกไม่เป็นไร ดูมูลค่ากิจการให้ออกดีกว่า ผมไม่ยอมค่าเสียโอกาสนะ ปล... ไหนหว่า พวกโบรกเกอร์นักวิเคราะห์ที่บอกว่าจะไปถึงพัน ถึงพันแน่นอน ... หุหุ 8) โดย Artsuro ศุกร์ ส.ค. 17, 2007 3:28 am

อาทิตย์นี้การค้าเงียบอย่างแรง หรือช่วงที่ผ่านมาซึ่งเคยแลดูว่ารุ่งเรืองนั่น จะเป็นภาวะเสียสมดุลผิดจากความเป็นจริง ผลลัพธ์ที่ตามมาคือช่วงนี้ต้องทยอยเคลียร์ภาระหนี้สินที่เคยพอกพูนเอาไว้ ประกอบกับสภาพความไม่แน่นอนของบ้านเมือง ผู้คนเริ่มระมัดระวังและเก็บเงินมากขึ้น ส่วนหนึ่งอาจจะเพิื่อความเป็นอยู่ของตน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสภาพความจำยอม และอีกส่วนหนึ่งคือเศรษฐกิจพอเพียง หืมม ....  8) โดย Artsuro เสาร์ ส.ค. 04, 2007 1:23 pm

มือใหม่ครับ ฝากตัวด้วยครับ ขอปรึกษาหน่อยครับผม ยินดีต้อนรับครับพี่ ... ศึกษาบริษัทแต่ละบริษัทให้ดีนะครับ ให้รู้จักและมั่นใจในบริษัทนั้นจริงๆก่อนลงทุน อย่าไปตื่นกระทิงมากนัก ... เสียดายที่เราไม่ได้ลงทุน ดีกว่าเสียใจเพราะลงทุนผิดพลาดนะครับ หุ้นหลายตัวที่ผมมองมานานๆ ช่วงนี้ก็วิ่งขึ้นไปจนเกินราคาแล้วทั้งนั้นเก็บไม่ทันเลย ก็ต้องปล่อยๆไป ดีกว่าไปฝืน .... จะไม่คุ้ม .... ลงทุนในการศึกษาเยอะๆครับ ขอให้ประสบความสำเร็จในการลงทุนครับผม  :wink: โดย Artsuro อาทิตย์ ก.ค. 29, 2007 6:44 pm

ต้องซื้อหุ้นอย่างน้อยกี่หุ้นครับ หุ้นในกระดานหลัก ทุกบริษัทจดทะเบียน หนึ่งหน่วย คือ 100 หุ้นครับ ไม่มีเศษ .. จะกี่ร้อย กี่พัน กี่หมื่น ก็แล้วแต่เราครับ เช่น 100 หุ้น หุ้นละ 50 บาท ก็เป็นจำนวนเงิน 5000 บาท ส่วนถ้าหากต้องการซื้อหุ้นจำนวนน้อยกว่า 100 หุ้น ต้องไปที่กระดาน ย่อยครับ ถ้าใช้บริการเทรดผ่านอินเตอร์เน็ต นี่ส่วนมากจะมีให้อยู่แล้ว หรือไม่ก็โทรไปที่โบรกเกอร์ แต่ส่วนมากไม่นิยมซื้อลักษณะหลังครับ เพราะขายยาก ซื้อยาก โก่งราคาด้วย โดย Artsuro อาทิตย์ ก.ค. 29, 2007 6:36 pm

อาทิตย์นี้การค้าเงียบอย่างแรง ยืนยันว่าร้านค้าทั่วๆไป ย่ำแย่ลงเยอะครับตั้งแต่ช่วงเปิดเทอมที่ผ่านมา จากที่เคยปิดแค่ช่วงสี่ห้าทุ่ม ปัจจุบันตีสองตีสามบางร้านก็ยังต้องเปิดอยู่ ถามลุงขายไก่ย่าง5ดาวที่สนิทๆ กันก็บอกว่าตอนนี้ ย่างไก่วันละสองรอบ จากปกติสี่รอบ ตกดึกเหลือไก่ทิ้งทุกคืน ลุงเปิดอยู่ 6 สาขา ขาดทุนตลอดสามสี่เดือน ยอดบริษัทเองก็ตกไปครึ่งนึง ไปนั่งทานข้าวร้านไหน พ่อค้าแม่ค้าก็บ่นอุบเลยทีเดียว ว่าตอนนี้แย่กว่าปี 40 ซะอีก ไปเดินเล่นที่สยามคุยกับพนักงานเก่าแก่ตามร้านต่างๆที่พอคุ้นหน้า ก็เล่าว่าร้านค้าใหญ่ๆ แบรนด์ดีดีมีแต่คนเข้าไม่มีคนซื้อ หลังๆเริ่มๆยุบไปแล้ว หืมม.... ผู้คนระมัดระวังการใช้จ่ายเงินมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดครับ คนค้าขายแย่ ผมก็เคยสงสัยด้วยสมองน้อยๆของผมว่า  ราคาหุ้น ณ ปัจจุบันเป็นราคาน่าจะเป็นรึป่าว หากว่าใช่เพราะเป็นจุดสมดุลย์แล้ว ก็คงโอเคเพราะตลาดอื่นก็เงินล้นเหมือนกัน แต่ถ้าดูพื้นฐานตรรกกะความเป็นจริง ที่รากหญ้าย่ำแย่แบบนี้ แล้วเศรษฐกิจใหญ่จะโตแค่ไหน ?? ไม่ทราบว่าราคาจะวิ่งไปหามูลค่าที่เหมาะสม ณ ตอนนี้ หรือ วิ่งนำเกินไปแล้ว โดย Artsuro เสาร์ ก.ค. 28, 2007 1:20 pm

มีใครลงทุนแนว VI แล้วไม่ประสบความสำเร็จไม๊ครับ การศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมอยู่ตลอด ทั้งจากการอ่าน สิ่งรอบตัว และจากผู้รู้ รวมถึงเพื่อนฝูงพี่น้องใน Thaivi สามารถทำให้ความคิดความเข้าใจในการลงทุนและรวมถึงการควบคุมอำนาจจิตใจตกผลึกได้ครับ และนั่นคือการจำกัดความเสี่ยงทางการลงทุน ยิ่งรู้และเข้าใจมาก ก็เสี่ยงน้อยลง ถามผมว่ามีใครบ้างที่ไม่ประสบความสำเร็จจากการลงทุนแบบเน้นคุณค่า เท่าที่ทราบ ไม่มีใครล้มเหลวจากการลงทุนแนว VI ครับ มีแต่ล้มเลิกไปเท่านั้นเอง โดย Artsuro พฤหัสฯ. ก.ค. 26, 2007 12:40 am

หุ้นดี ดูที่พื้นฐานของบริษัท แลว กองทุนรวมจะดีดูที่อะไร ด้วยความเคารพครับผม ...การลงทุนเราอย่าคำนึงถึงจำนวนเงินเพียงอย่างเดียวนะครับ ในที่นี้เราคำนวณผลตอบแทนเป็นเปอร์เซ็นต์ .... ที่ผมเสนอแนะให้ศึกษาหุ้นเอง ก็เพราะว่าหลายครั้งต่อหลายครั้ง มีผู้คนไว้ใจผู้เชี่ยวชาญที่บริหารกองทุนรวมมากเกินไป แล้วก็หลายต่อหลายครั้ง คนใกล้ตัวผมเองก็เสียหายจากความไว้ใจดังกล่าวพอสมควร ที่ชี้แนะให้เร่งศึกษาหาความรู้ด้านนี้ ก็เพียงเพราะเจตนาที่ดีครับ ไม่มีเจตนาอื่นใด หากเริ่มศึกษาหนังสือ การลงทุนแบบเน้นคุณค่าแล้ว น่าจะเข้าใจสิ่งที่ผมเสนอมากขึ้นครับ ปล. ผมและพี่ๆหลายคนที่นี่ ก็เริ่มต้นจากเงินจำนวนเพียงน้อยนิดครับ ในการเริ่มลงทุนในตลาดหุ้น พี่บางคนที่เก่งมากๆ ถึงขนาดกับเล่นในกระดาษเปล่าๆ เป็นปีจนไม่ขาดทุน เงินมากเงินน้อยคือเงินครับ เริ่มศึกษาเองตั้งแต่วันนี้ หรือจะเอาเงินเราไปเสี่ยงก่อน ผมว่ามีค่าเท่ากันเลยแนะนำเลยตั้งแต่ต้น โดย Artsuro พุธ ก.ค. 25, 2007 9:17 pm

หวัดดีครับ ยินดีต้อนรับเช่นกันครับ ผมว่าถ้าชอบและอยากจะศึกษาการลงทุนของ บัฟเฟต แนะนำอ่าน ตามรอยบัฟเฟต(how buffet does it)  นะครับ จะเข้าใจภาพกว้างชัดเจนขึ้น วาทะบัฟเฟต เหมาะกับอ่านเล่นมากกว่า เท่าที่ผมรู้สึกของผมนะครับ นอกนั้น หนังสือ ของ ดร.นิเวศน์ ทุกเล่ม ควรหามาอ่านก่อน Intelligent Investor ครับ ไม่ใช่ว่าหนังสือที่พี่เว็บแปลไม่ดีนะครับ แต่กลัวเริ่มจากตรงนั้น แล้วจะเครียดไป ขอให้ประสบผลสำเร็จครับ  8) โดย Artsuro อังคาร ก.ค. 24, 2007 5:40 pm

ถ้ามีเงินค้างที่โบรค ช่วงวิกฤต? ผมเข้าใจว่าเป็นแบบ  Cash Balance นะครับคุณ thipong ซึ่งเราต้องฝากเงินเข้าไปใน Broker ระหว่างยังไม่ได้ลงทุนก็ได้ดอกเบ้ีย เท่าที่ผมทราบเนี่ย ปัจจุบัน โบรกเกอร์ที่มี บัญชีการลงทุนแบบนี้จะต้องเข้าร่วม กองทุนคุ้มครองผู้ลงทุน  ของตลาดหลักทรัพย์ครับ เพืื่อให้ผู้ลงทุนได้รับความคุ้มครองทรัพน์สินตามสิทธิที่ตนมีอยู่กับบริษัท โดยจะได้รับการจ่ายเงินชดเชยจากกองทุนเมื่อ 1. บริษัทถูกศาลพิทักษ์ทรัพย์ตามกฎหมายล้มละลาย หรือ 2. บริษัทมีข้อพิพาททางแพ่งกับผู้ลงทุนเกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์ และอนุญาโตตุลาการมีคำสั่งชี้ขาดให้บริษัท คืนหรือชดใช้ราคาทรัพย์สินของผู้ลงทุนให้แก่ผู้ลงทุน .... อ่า พิมพ์แค่นี้แล้วกันนะครับ .... หวังว่าคงได้ความรู้ความเข้าใจท่ีมากขึ้นนะครับ  8) โดย Artsuro อังคาร ก.ค. 24, 2007 2:47 pm

สถานการณ์ตลาดหุ้นบ่งบอกความเป็นไป อ่อ ... ส่วนความคิดเห็นของผมตาม topic นี้นะครับ ผมขอยกคำกล่าวของท่านแม่ทัพสุมาอี้มาอ้างอิงสักหน่อย สถานการณ์การตลาดหุ้นหรือสภาพเศรษฐกิจที่ประสบปัญหาวุ่นวายนั้น เปรียบได้เสมือนกับท้องทะเลที่มีพายุหรือคลื่นแปรปรวนอยู่นั่นเอง การที่เราจะใส่ใจและรอว่าเมื่อใด พายุลมจึงจะสงบนั่น หาใช่จะเป็นวิธีที่ดี แต่เราควรใส่ใจในการเลือกเรือลำที่ดีและแข็งแรงพอที่จะออกไปสู่ทะเลครับ พอเราเจอเรือลำที่มั่นใจแล้ว ผมว่าควรหาจังหวะที่ดีเข้ายึดจับแล้วจับให้แน่น แล้วลุยครับ ....  8) ปล. แนวคิดนี้สอดคล้องกับแนวความคิดของ Warren Buffet ครับ ให้มุ่งเน้นที่ตัวบริษัทอย่ามัวแต่ไปสนใจสภาพตลาดหรือเศรษฐกิจมากนัก สิ่งที่สำคัญคือ มูลค่าของหุ้น และ ราคาของหุ้น ณ เวลาปัจจุบันครับ  [/b] โดย Artsuro อังคาร ก.ค. 24, 2007 2:31 pm

สถานการณ์ตลาดหุ้นบ่งบอกความเป็นไป ธรรมาภิบาลของผู้บริหารแบบถูกหลักเชิงวิชาการนั้น ผมคงไม่สามารถพอที่จะอธิบายได้ แต่จะขอชี้แจงส่วนที่สามารถเห็นได้ชัดๆ และตัดสินใจได้ด้วยความรู้สึกครับ การที่เราจะตัดสินว่าเจ้าของกิจการนั้นมีธรรมาภิบาลมากน้อยแค่ไหนนั้น ผมว่าควรจะเริ่มต้นจากการไปร่วมประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อที่จะได้มีโอกาสพบปะคณะกรรมและผู้บริหาร หรืออาจจะไปเข้าฟังในงาน opp day ที่ตลาดหลักทรัพย์จัดขึ้นก็ได้ครับ เพื่อที่เราจะได้มีโอกาสดูแนวทางการนำเสนอและตอบข้อซักถามของทางผู้บริหารบริษัท ผมมองว่าแค่การที่เค้าเปิดโอกาสให้นักลงทุนรายย่อยเข้าไปใกล้ชิดนั้น แสดงให้เห็นส่วนหนึ่งแล้วว่ามีความมั่นใจในคุณภาพอยู่แล้วระดับหนึ่ง ไม่ได้กลัวที่จะตอบข้อเสียของตน จากประสบการณ์อันน้อยนิด ที่เคยมีโอกาสไปร่วมประชุมผู้ถือหุ้น (บางครั้งไม่ได้ถือหุ้นเค้าหรอก แต่ขอเข้าไปนั่งฟัง) ด้วย sense แล้วสามารถดูความจริงใจในการตอบและอธิบายชี้แจงสิ่งต่างๆได้มากจริงๆครับ ถ้าเขามีสิ่งดีดีนำเสนอนั้นย่อมเป็นเรื่องปกติครับ แต่ถ้าเขากล้าบอกผู้ถือหุ้นถึงปัญหา และเปิดเผยปัญหาพร้อมวิธีแก้ไขปัญหาดังกล่าว ก็ถือว่าสร้างความประทับใจระดับหนึ่งแล้ว นอกจากนั้น เราควรดูว่าผู้บริหารเคยได้รับปากสัญญาอะไรไว้ หรือออกนโยบายใดเอาไว้ จากไตรมาสก่อนๆ ปีก่อนๆ แล้วปัจจุบันได้ทำตามนโยบายนั้นหรือไม่ ... มีการเปลี่ยนแปลงในสิ่งที่ผู้ถือหุ้นรายย่อยแนะนำหรือออกความคิดเห็นรึป่าว อีกจุดนึง ดูจากการเติบโตและขึ้นลงของกำไรบริษัทว่าสมเหตุสมผลหรือไม่ เช่น บริษัทมีการขาดทุนในงบดุลจำนวนมากขึ้นมา ผู้บริหารสามารถอธิบายถึงสาเหตุได้หรือไม่ ?? พูดง่ายๆ ต้องสามารถบอกจุดประสงค์ที่ชัดเจนของบริษัทแก่นักลงทุนรายย่อยได้ ว่าบริษัทจะนำเงินที่ได้จากตลาดทุน .. ไปแปลงเป็นกลไกการสร้างกำไรอย่างไร และจะตอบแทนนักลงทุนอย่างไรด้วย อีกส่วนหนึ่ง ถ้าว่างจัดๆ ดูชื่อผู้บริหารแล้วเข้าไป search ข่าวจากเว็บบ้างก็ได้ครับ (ค้นกระทู้เก่าๆ รู้สึกจะมีชื่อผู้บริหารที่ฉาวๆอยู่ แต่ผมจำเพจไม่ได้แล้ว) ขอให้ประสบความสำเร็จในการลงทุนครับ ... หุ้นที่ดูเหมือนดีเจอเจ้าของแย่ก็อย่าไปยุ่งเลยครับ ... ไม่คุ้มด้วยประการทั้งปวง  8) โดย Artsuro อังคาร ก.ค. 24, 2007 2:23 pm

หุ้นดี ดูที่พื้นฐานของบริษัท แลว กองทุนรวมจะดีดูที่อะไร หืม ... ผมมองว่าไม่ว่าจะลงทุนเองหรือจะไว้วางใจให้กองทุนลงทุนให้ก็ตาม ล้วนแต่ต้องการความเข้าใจในการลงทุนทั้งสิ้น ... รวมถึงเข้าใจในหุ้นที่กองทุนจะลงทุนด้วย เพราะไม่ว่าจะวิธีใด นั่นคือการที่คุณต้องเอาเงินเก็บที่ได้จากการทำงานไปเจอกับความเสี่ยง ดังนั้น แน่นอนว่าการลงทุนผ่านกองทุนรวม ก็ต้องดูว่าจุดประสงค์หลักของกองทุนนั้น มุ่งเน้นในการลงทุนอะไร เช่น หุ้นกู้ ตราสารหนี้ พันธบัตรรัฐบาล รวมถึงตลาดทุน ความเสี่ยงและผลตอบแทนของกองทุนบางครั้งก็ไม่อาจจะวัดความดีหรือความสำเร็จได้เสมอนะครับ ผมว่าสุดท้ายแล้ว ถ้าคุณเริ่มสนใจที่จะศึกษาการลงทุนแนว VI แล้วล่ะก็ มองข้ามกองทุนไปเถอะครับ ... เอาเวลาศึกษากองทุนไปศึกษาวิธีวัดมูลค่าหุ้น และการเลือกกิจการที่ดี มีมูลค่าสูงแต่ราคาในตลาดต่ำ น่าจะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า เพราะในมุมมองของผมแล้ว ... กองทุนมีข้อจำกัดในการลงทุนเยอะครับ ไม่เหมือนรายย่อยธรรมดา ... ข้อดีข้อเสียต่างกันเยอะ แค่คิดว่าจะเสียค่าบริหารกองทุนกับภาษีก็ไม่คุ้มแล้ว อาจจะแลดูมี Bias  อยู่บ้างนะครับแต่เห็นหันมาสนใจเว็บนี้แล้ว น่าจะลงทุนตามแนวความรู้จากเว็บนี้ไปเลย ขอให้ประสบความสำเร็จในการลงทุนครับผม  8) โดย Artsuro อังคาร ก.ค. 24, 2007 12:24 am

Platinum อ่ะๆ where where is a where where ..... ขอเอาความรู้มาเพิ่มเติมครับท่านแม่ทัพ ทองคำขาว มีชื่อภาษาอังกฤษว่า แพลทินัม (Platinum) ส่วนทองขาว มีชื่อภาษาอังกฤษว่า ไวท์โกลด์ (White gold) ผู้ซื้อส่วนมากมักจะโดนร้านค้าสอนให้เรียกแบบผิดๆ ซึ่งทำให้สินค้าของตัวเองดูมีราคามากขึ้น แต่จริงๆแล้วทองคำขาวมีราคาสูงกว่าทองคำบริสุทธิ์ (Gold) ประมาณ 2 เท่า (ดูได้จากตารางข้างล่าง) ซึ่งทองขาวจะถูกว่าทองคำบริสุทธ์ เนื่องจากมีส่วนผสมที่ไม่ครบ 100% นั่นเอง -ทองขาว White gold ทองขาว คือโลหะผสม ของทองคำ และโลหะสีขาว เช่น เงิน และ แพลเลเดียม ซึ่งเราอาจจะเห็นทองขาวมีตัวเลข 90% , 75% หรือ % อื่นๆ  ก็ตาม ดูจากตัวอย่าง เช่น ทองคำ (Yellow gold) มีตัวเลข 90% หมายถึง ทองคำ 90% + ทองแดงและสังกะสี อีก 10% ทองขาว (White gold) มีตัวเลข 90% หมายถึง ทองคำ 90% + เงินและแพลเลเดียม อีก 10% จึงเห็นได้ว่ามีทองคำเป็นโลหะหลักเหมือนกัน แต่มีส่วนผสมอื่นต่างกัน เมื่อก่อนจะใช้ นิกเกิล (Nickel) มาเป็นส่วนผสมในการทำทองขาว แต่ต่อมาก็ไม่ได้นำมาใช้ เพราะว่าเกิดปฏิกิริยาทางเคมีกับผิวหนังของคนบางคน โดยมีการระคายเคืองเล็กน้อยและอาจจะเป็นผื่นคัน แหวนทองขาวระยะหลัง จะมีการเคลือบผิวด้วยโลหะสีขาวที่เรียกว่า โรเดียม (Rhodium) ซึ่งดูคล้ายกับทองคำขาวมาก การเคลือบผิว(ชุบ)ด้วยโรเดียม จะทำให้ทองขาวดูขาวมากขึ้นอีก โดยธรรมชาติแล้วสีของทองขาวจะเป็นสีออกขาวอมเทา แต่โรเดียมจะขาวมากและแข็งมากอีกด้วย ในการเก็บรักษาแหวนทองขาวให้ดูดีตลอด จะต้องนำไปชุบด้วยโรเดียมทุกๆ 12-18 เดือน -ทองคำขาว (Platinum) ทองคำขาวคือโลหะสีขาวบริสุทธิ์ (อยู่ที่ประมาณ 95%) มาจากรากศัพท์ว่า  แพลทินา ซึ่งแปลว่าเงินเล็กๆ  ทองคำขาวมักพบเป็นเม็ดเล็กๆ หรือก้อนขนาดเล็กที่อยู่ในตะกอบทับถมของแร่ แหล่งทับถมแหล่งใหญ่คือ รัสเซีย แคนาดา และแอฟริกาใต้ ด้วยความแข็งที่ไม่มาก จึงไม่ค่อยเป็นผลึกที่เป็นเหลี่ยมคมมาก มักถูกใช้เป็นตัวโลหะสำคัญในเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่นเครื่องมือผ่าตัด  เพราะไม่เป็นสนิม และที่นิยมมาทำเครื่องประดับ เพราะจะมีความขาวที่ยาวนานมาก (ไม่ลอกไม่ดำ) ดังนั้นจึงไม่ต้องนำไปชุบด้วย โรเดียมเหมือนทองขาว ทองคำขาวจะมีความหนักกว่าทองคำเมื่อเทียบในปริมาณเท่ากัน เมื่อสวมใส่จะสามารถรู้สึกได้ทันที ทองคำขาวจะแพงกว่าทองคำ ราวๆ 2 เท่า (ดูได้จากตารางข้างล่าง) แต่เวลาขายนะซิ ราคาจะลดลงอย่างน่าใจหาย อาจต่ำกว่าทองคำด้วยซ้ำไป  (เหมือนกับซื้อรถยุโรปมาใช้ แล้วขายต่อราคาตก เลยนะครับ) - โลหะมีค่าชนิดไหนแข็งที่สุด โลหะมีค่า เรียงตามความแข็ง ที่มา : http://th.wikipedia.org ชนิดโลหะ (Metal) โรเดียม (Rhodium) แพลเลเดียม (Palladium) ทองคำขาว (Platinum) ทองคำ (Gold) เงิน (Silver) ความแข็ง (โมห์ส) 6.0 4.75 3.50 2.50 2.50 - โลหะมีค่าชนิดไหนหนักมากที่สุด โลหะมีค่า เรียงตามความน้ำหนัก ที่มา : http://th.wikipedia.org ชนิดโลหะ (Metal) ทองคำขาว (Platinum) ทองคำ (Gold) โรเดียม (Rhodium) แพลเลเดียม (Palladium) เงิน (Silver) ความถ่วงจำเพาะ 21.45 19.30 12.41 12.02 10.49 - โลหะมีค่าชนิดไหนหลอมทำตัวเรือนและจัดแต่งได้ยากที่สุด โลหะมีค่า เรียงตามจุดหลอมเหลว (ยิ่งมีค่ามากยิ่งต้องใช้ความร้อนสูงมาก) ที่มา : http://th.wikipedia.org ชนิดโลหะ (Metal) โรเดียม (Rhodium) ทองคำขาว (Platinum) แพลเลเดียม (Palladium) ทองคำ (Gold) เงิน (Silver) องศาเซลเซียส 1,964 1,768.30 1,554.90 1,064.18 961.78 - โลหะมีค่าชนิดไหนแพงที่สุด โลหะมีค่า เรียงตามราคา ที่มา : http://www.kitco.com ราคา ณ วันที่ 16 มี.ค. 50 เวลา 8.41 น. (กำหนดให้ค่าเงิน 1 US$ = 35 บาท) ชนิดโลหะ (Metal) โรเดียม (Rhodium) ทองคำขาว (Platinum) ทองคำ (Gold) แพลเลเดียม (Palladium) เงิน (Silver) บาท ต่อ 1 กรัม 6,667.15 1,370.56 734.23 392.71 14.65 บาท ต่อ 15.2 กรัม 101,340.66 20,832.56 11,160.30 5,969.26 222.69 ว่าไปตามนั้นครับกระผม ....  8) โดย Artsuro อังคาร ก.ค. 24, 2007 12:10 am

Platinum อ่อ ขอเสริมอีกนิดนะครับ ว่าแบบเป็นแท่งๆเล็กก็มีนะครับ แต่ส่วนมากจะเอามาห้อยกับสร้อยอีกทีนึง ไม่มีใครนิยมซื้อเก็บครับ มีไว้แสดงฐานะทางสังคมซะมากกว่า ....  :lol:  ท่านแม่ทัพหามาแขวนเสริมบารมีบ้างก็ท่าจะดีนะครับ แต่อาจจะไม่ Value เท่าไหร่ โดย Artsuro เสาร์ ก.ค. 21, 2007 11:26 pm

MOS คิดอย่างไรครับ หืม ... ตีความกันตรงๆนะครับ Margin = เงินทดรองสำหรับความสูญเสีย,จำนวนที่เพื่อเหลือเพื่อขาด Safety = ความปลอดภัย,อุปกรณ์ป้องกันความปลอดภัย  ดังนั้น Margin of Safety ก็คึิอ เงินส่วนลดที่คำนวณเอาไว้เพื่อป้องกันความเสี่ยงครับ Warren Buffet จะเรียกมันว่าช่องว่างขนาดใหญ่ .... เช่น การซื้อเงิน 1 เหรียญ ในราคา 50 เซ็นต์ เป็นต้น คือคุณคงไม่อยากให้ราคาหุ้นของคุณนั้นอยู่ใกล้กับมูลค่าที่แท้จริงของกิจการจนเกินไป แต่อัตรา MOS ของแต่ละคนจะมีไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณมากกว่าครับ บางคนอาจจะต้องการช่องว่าง 30% ก็สมมติ มูลค่ากิจการ 100,000,000 บาท มีหุ้นอยู่ 10,000,000 หุ้น ... หารออกมาได้หุ้นละ 10 บาทนะครับ ดังนั้นถ้าต้องการค่าเผื่อ ก็คูณด้วย 0.7 เข้าไปดังนี้ 10x0.7=7 MOS 30% ณ ราคา 10 บาท ของหุ้นตัวดังกล่าว จึงอยู่ที่ราคา 7 บาทครับ หลักการในการหา MOS นั้นคุณจะต้องหามูลค่าของกิจการดังกล่าวให้ได้ก่อน และนั่นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดครับ เพราะอาจจะมีข้อมูลทางบัญชีที่ซับซ้อนจนเราอาจประเมินผิดได้ หลักๆก็คือ รวมตัวเลขทางบัญชีที่ถูกต้องที่สุดเท่าที่จะหาได้ แล้วหารออกมาตามจำนวนหุ้น ในที่นี้คำนวณ  EPS ( Earning per Share ) ในอนาคตด้วยนะครับเพื่อหาราคาเหมาะสมของหุ้นตัวนั้น ผมพยายามอธิบายให้เห็นภาพแล้วนะครับ ถ้าบกพร่องตรงไหนขออภัยด้วยครับ  8) ขอให้ประสบความสำเร็จครับ โดย Artsuro เสาร์ ก.ค. 21, 2007 11:22 pm

Platinum 8)  ประตูน้ำนี่ระวังนะครับ ปลอมทั้งนั้น .... แท้ๆหายาก ต้องเอาแบบมีใบ warranty พวกผมที่ทำเพลงฮิพฮอพกัน ซึ่งเป็นกลุ่มที่วัฒนธรรมด้านนี้นิยม ทองคำขาวมาก แต่เอาเข้าจริงเวลาถ้าใครมีเงินและจะซื้อมาใส่จริงๆ ในเมืองไทยก็นิยมซื้อทองคำอยู่ดี เพราะว่าขายต่อง่ายครับท่านแม่ทัพ ทองคำขาวซื้อมาราคาแพงกว่าทองคำสองเท่า แต่เวลาขายออก บางทีราคายังได้ไม่ถึงราคาทองคำที่น้ำหนักเท่ากันเลย ....:lol: โดย Artsuro เสาร์ ก.ค. 21, 2007 10:57 pm

อยากทราบว่าเพือ่นในบอดนี้ ใครยังเป็นนักศึกษาอยู่บ้างครับ แหม พี่ sunrise เนี่ยนักศึกษารุ่นหย่ายยย แล้วนะครับ ผมไม่กล้าเทียบเคียง ...  8) โดย Artsuro เสาร์ ก.ค. 21, 2007 12:21 am

อยากทราบว่าเพือ่นในบอดนี้ ใครยังเป็นนักศึกษาอยู่บ้างครับ 8)  ยินดีต้อนรับครับผม ตอนนี้ผมก็อายุ 20 ครับ มีอะไรก็แลกเปลี่ยนพูดคุยกันได้ครับ ไม่ต้องเกรงใจ พอผมอายุครบจนสามารถเปิดพอร์ตเองได้ ก็ยื่นเรื่องขอเปิดพอร์ตทันที ก็เท่ากับว่าเริ่มลงทุนจริงๆ มาได้ประมาณครึ่งปีกว่าๆ ... แต่ก็ศึกษามาก่อนเหมือนกัน ยังไงลองพูดคุยกันดูได้ครับ หรือจะ PM มาก็ได้ไม่ว่าครับ  :wink: ส่วนหนังสือที่แนะนำให้อ่านนั้น ... หืมม เยอะมากครับ ลองไล่ซื้อหนังสิือของ ดร.นิเวศน์ ก็ง่ายดีครับ อ่านทุกเล่มเลย พอเร่ิมเข้าใจ อยากจะเห็นภาพมากขึ้น แนะนำเริ่มอ่านหนังสือที่ วอเร็น บัฟเฟต เขียน จะรู้แนวทางมากขึ้น ระหว่างทางอาจจะเพิ่มความรู้ให้หลากหลายมากขึ้น ด้วยหนังสือแนว Value Investor ทั้งหลายในหมวดธุรกิจนั่นแหละครับ (มาถึงจุดนี้แล้ว คุณจะเริ่มทราบและแยกแยะออกเองว่าควรจะหาความรู้ด้านใดเพิ่ม และหนังสือเล่มใดถือเป็นแนวทาง VI) พออ่านมากพอ ความคิดเริ่มตกผลึก แนะนำไปอ่าน The Intelligent Investor ที่คุณเว็บแปลครับ คุณ nature_fire ครับ ผมขออนุญาตออกความคิดเห็นครับว่าผลตอบแทนในการลงทุน เน้นดูเป็นเปอร์เซ็นต์ดีกว่านะครับ นั่นจะแสดงถึงความสามารถในการลงทุนของเรา อย่ากังวลกับเงินต้นเลยในช่วงแรก ผมก็เริ่มต้นลงทุนด้วยเงินระดับพันเท่านั้น หนทางหมื่นลี้ย่อมต้องมีก้าวแรกเสมอครับ สำหรับคนที่ยังอายุน้อย อาจจะยังไม่มีงานทำหรือมีงานทำแต่เงินเก็บน้อย รู้สึกลำบากใจในการแบ่งเงินมาลงทุน ผมขอแนะนำ หนังสือชื่อ The Richest Man in Babylon ครับผม 99 บาทคุ้มเหลือเกิน รับรองได้ ขอให้ทุกท่านประสบความสำเร็จในการลงทุนครับ ... การลงทุนแรกคือการหาความรู้ครับ แล้วคำว่าความเสี่ยงสูง ผลตอบแทนสูงนั้น จะถูกแทนที่ด้วย ความรู้ความเข้าใจสูง ผลตอบแทนสูงครับ PS... ศึกษาไปเรื่อยๆครับ ไม่ต้องรีบร้อนมากนัก ตลาดแบบนี้ระวังจะโดนกระทิงเล่นงานถ้าไม่ระวังตัว โดย Artsuro ศุกร์ ก.ค. 20, 2007 12:34 pm

งานเปิดตัวหนังสือ รวยหุ้นอย่างพอเพียง โดย ดร.นิเวศน์ เหมวช :oops:  เสียดายจังไม่สามารถไปร่วมงานได้ อดเจอ ดร. เลย แต่ใจจริงอยากไปให้พี่พอใจเจิมหนังสือให้แทน  :lol: ไม่ทราบจะเจิมว่าไร ปล.หนังสือ ดร. ออกบ่อยจัง เดี๋ยวมีหนังสือพี่โหน่งอีก ...หุหุ  ตามเก็บเรียบ โดย Artsuro อังคาร ก.ค. 17, 2007 11:36 pm

งานเปิดตัวหนังสือ รวยหุ้นอย่างพอเพียง โดย ดร.นิเวศน์ เหมวช :P  ท่านพี่พอใจจะไปร่วมงานด้วยรึป่าวครับ ?? เห็นว่าปกติพี่ชอบไปนั่งดื่มนั่งอ่านบ่อยๆ  8) เพื่อจะมีโอกาสได้เจออีกบ้าง ...  :wink: โดย Artsuro จันทร์ ก.ค. 16, 2007 11:25 pm

ราคา Chuo อ่อ ... อีกเรื่องพยายามหาข่าวเกี่ยวกับคณะผู้บริหารหน่อยนะครับ ไม่ทราบว่าเป็นอย่างไรกันบ้าง ช่วงก่อนหน้านี้เคยได้ข่าวปัญหาภายใน ไม่แน่ใจว่าคณะกรรมการใหม่ที่เข้ามาจะเป็นเช่นไร .....   :wink: โดย Artsuro อาทิตย์ ก.ค. 08, 2007 11:40 am

ราคา Chuo 8)  มือพองไปกันทั่วหน้าครับ คาดการณ์ผลประกอบการวงการนี้ล่วงหน้าดีดีนะครับ รวมถึงก่อนหน้านี้อีกที่มีกำไรจากรายได้ปกติและกำไรจากขายบริษัทย่อย แต่ไม่ทราบว่าทางบริษัทไปทำขาดทุนอีท่าไหน เงินต่อหุ้นหายหมดเลยครับ  :oops:  ช่วงนั้นชาว Vi จะเข้าขุดทองกัน โดนเหมืองถล่มยับเลย ...หุหุ :( โดย Artsuro อาทิตย์ ก.ค. 08, 2007 11:37 am