Thai Value Investor การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุน VI หุ้นวีไอ Webboard

เป็นกรณีสมมุิตินะครับ (ซึ่งคิดว่ามีหลายๆบริษัทเผชิญปัญหานี้อยู่แน่นอน)
ถ้าโรงงานถูกน้ำท่วมทำให้เครื่องจักรต่างๆเสียหาย มีฐานการผลิตอยู่แหล่งใหญ๋ ไม่่ทราบว่าจะฟื้นการผลิตได้แค่ไหน และอีกนานแค่ไหน

ปัญหาที่ต้องพบคือ
-แน่นอนยอดการผลิตลดในไตรมาสนี้แน่นอน(ซึ่งอาจจะอีกหลายไตรมาสด้วย)
-อุปกรณ์เครื่องจักต่างๆ เสียหายไม่สามารถกอบกู้ได้ หรือได้ไม่มากนัก
-การประกันภัย ก็แล้วแต่บริษัทว่าได้ครอบคลุมมากน้อยแค่ไหน แต่คิดว่า บริษัทประกันภัยคงต้องเขี้ยวพอสมควร แน่นอนการได้เงินกลับคืนมาคงไม่ได้เต็มร้อยและคงไม่ได้ง่ายๆ ในระหว่างนี้
-และปัญหาอื่นอีก เช่นแรงงาน ความเชื่อมั่นของผบหในการลงทุนในกิจการในประเทศไทย(ถ้าเป็นบริษัทต่างชาติ)

คำถามที่น่าสนใจก็คือ
1. ถือว่า บริษัทมีพื้นฐานเปลียนหรือไม่
2. ในกรณีคิดว่าระยะยาวพืั้นฐานไม่เปลี่ยน ถ้าคุณถือหุ้นอยู่ คุณจะ ขายหุ้น(ซึ่งอาจจะกำไรอยู่หรือขาดทุนนิดหน่อยแล้วแต่กรณี) หรือไม่ แล้วค่อยมารอซื้อใหม่หลังจากพ้นปัญหานี้ หรือว่า ยืดหยัดถือหุ้นต่อไป ไม่สนใจ เรามันวีไอ ไม่สนใจผลกระทบระยะสั้นอยู่แล้ว ^ ^

ผมว่าเปลี่ยนนะ ระยะเวลาน้ำท่วมจนน้ำลด บวกกับฟื้นฟูความเสียหาย
การผลิตการทำรายได้หายไปไม่ต่ำกว่าสองไตรมาสแน่นอน

พื้นฐานระยะยาวจริงคงไม่ถึงกับเปลี่ยนมาก แม้ความเชื่อมั่นก็โดนเต็มๆ

แต่ก็น่าจะมีการปรับปรุงที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ระวังมากขึ้นเรื่อยๆ

แต่สิ่งที่น่าจะเปลี่ยนที่สุดน่าจะเป็น Valuation นะครับ

เพราะหลังจากนี้คงต้องใช้เงินอีกมาก (ในการกอบกู้เอกราช )

ดั้งนั้นคงต้องพิจารณาที่ Valuation จะระยะสั้นหรือยาวของแต่ละคนละคับ

น้ำไม่ท่วมยังโดนหางเลข เพราะเดียวนี้เป็น supply chain ต้นน้ำโดน
พวกกลางๆ ก็ผลตได้จากสต๊อกที่มีอยู่เท่านั้น ถ้า 1 เดือนไม่กลับมาเหมือนเดิมคงต้องหยุดตาม
พวกที่ไม่โดนน้ำท่วมอาจซวยกว่าเพราไม่ได้เงินประกัน ก็เป็นได้

สมมติว่ามีโรงงานอยู่ 3 โรง เล็ก ใหญ่ กลาง

ทุกโรงโดนน้ำท่วมเสียหาย โรงเล็กมีอาการแย่มากที่สุด อาจจะสายป่่านไม่พอหรือหมุนเงินไม่ทันต้องปิดกิจการไป

โรงกลาง มีอาการแย่กว่าเดิม เวลาผ่านไปน้ำลด อาจจะมีเครื่องจักรบางตัวเสียบ้าง ก็ต้องรอผลิตขายหมุนเงินใหม่เพื่อมาซื้อเครื่องจักรตัวใหม่

โรงใหญ่ตอนน้ำท่วมก็เสียหาย คิดเป็นมูลค่าแล้วอาจเสียหายมากกว่าราคาโรงงานโรงเล็กทั้งโรงซะอีก แต่พอน้ำลด supply ของโรงเล็กหาย โรงกลางลด โรงใหญ่อาจจะมีเงินหมุนมากพอให้ซ่อมแซมหรือซื้อเครื่องจักรใหม่ได้ หลังจากวิกฤติผ่านไป โรงใหญ่อาจจะมียอดขายหรือกำไรมากกว่าสมัยก่อนน้ำท่วมก็ได้

สรุปคือ น้ำท่วมนี้ผมว่าพื้นฐานเปลี่ยน แต่ไม่ได้เปลี่ยนในสัดส่วนที่เท่ากัน

อยู่ที่ฐานะทางการเงินด้วยครับ ถ้ามีเงินสำรองมากพอ ก็สามารถกลับมาได้อย่างรวดเร็ว
แต่ถ้าฐานะทางการเงินค่อนข้างง่อนแง่น แล้วโดนเข้าไปอีก อาจจะกลับมาไม่ได้เลยก็เป็นไปได้

kunjoja เขียน: คำถามที่น่าสนใจก็คือ
1. ถือว่า บริษัทมีพื้นฐานเปลียนหรือไม่
2. ในกรณีคิดว่าระยะยาวพืั้นฐานไม่เปลี่ยน ถ้าคุณถือหุ้นอยู่ คุณจะ ขายหุ้น(ซึ่งอาจจะกำไรอยู่หรือขาดทุนนิดหน่อยแล้วแต่กรณี) หรือไม่ แล้วค่อยมารอซื้อใหม่หลังจากพ้นปัญหานี้ หรือว่า ยืดหยัดถือหุ้นต่อไป ไม่สนใจ เรามันวีไอ ไม่สนใจผลกระทบระยะสั้นอยู่แล้ว ^ ^

1. ถือว่าเปลี่ยนครับ แต่เปลี่ยนมากน้อย ต้องมาคิดถึงตัวแปรอื่นๆที่เคยวิเคราะห์เอาไว้ในตอนที่ซื้อ(ความสามารถในการแข่งขัน, know how, คู่แข่ง, ลักษณะสินค้า, ความสัมพันธ์กับคู่ค้า,...,...) แล้วสรุปว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร
2. ถ้าเคยวิเคราะห์ไว้เป็นอย่างดีแล้วก่อนที่จะซื้อหุ้น (รวมไปถึงความเสี่ยงของโรงงานหลักที่จะเสียหาย, เรื่องการเงิน,...) สัดส่วนหุ้นในพอร์ตเราก็น่าจะกระจายความเสี่ยงเอาไว้แล้ว กรณีนี้ถือไว้ไม่ขายครับ

<< New >> เขียน:สมมติว่ามีโรงงานอยู่ 3 โรง เล็ก ใหญ่ กลาง

ทุกโรงโดนน้ำท่วมเสียหาย โรงเล็กมีอาการแย่มากที่สุด อาจจะสายป่่านไม่พอหรือหมุนเงินไม่ทันต้องปิดกิจการไป

โรงกลาง มีอาการแย่กว่าเดิม เวลาผ่านไปน้ำลด อาจจะมีเครื่องจักรบางตัวเสียบ้าง ก็ต้องรอผลิตขายหมุนเงินใหม่เพื่อมาซื้อเครื่องจักรตัวใหม่

โรงใหญ่ตอนน้ำท่วมก็เสียหาย คิดเป็นมูลค่าแล้วอาจเสียหายมากกว่าราคาโรงงานโรงเล็กทั้งโรงซะอีก แต่พอน้ำลด supply ของโรงเล็กหาย โรงกลางลด โรงใหญ่อาจจะมีเงินหมุนมากพอให้ซ่อมแซมหรือซื้อเครื่องจักรใหม่ได้ หลังจากวิกฤติผ่านไป โรงใหญ่อาจจะมียอดขายหรือกำไรมากกว่าสมัยก่อนน้ำท่วมก็ได้

สรุปคือ น้ำท่วมนี้ผมว่าพื้นฐานเปลี่ยน แต่ไม่ได้เปลี่ยนในสัดส่วนที่เท่ากัน

+1 ยืนตามพี่นิวครับ พื้นฐานเปลี่ยนถาวร มันต้องแผ่นดินไหวแล้ว โรงงานยุบหายไป

หมด ไม่เหลือ อันนั้น เปลี่ยนถาวรครับ

ระยะสั้น ถ้าโรงงานคู่แข่ง ระดับกลางไม่ท่วม เค้าก้อาจจะได้ลูกค้าไปบ้าง

แต่ระยะยาวเชื่อว่า สายสัมพันธ์กับลูกค้า ไม่ไ้ด้ใช้เวลาแค่ 2-3เดือน

chukieat30 เขียน:

<< New >> เขียน:สมมติว่ามีโรงงานอยู่ 3 โรง เล็ก ใหญ่ กลาง

ทุกโรงโดนน้ำท่วมเสียหาย โรงเล็กมีอาการแย่มากที่สุด อาจจะสายป่่านไม่พอหรือหมุนเงินไม่ทันต้องปิดกิจการไป

โรงกลาง มีอาการแย่กว่าเดิม เวลาผ่านไปน้ำลด อาจจะมีเครื่องจักรบางตัวเสียบ้าง ก็ต้องรอผลิตขายหมุนเงินใหม่เพื่อมาซื้อเครื่องจักรตัวใหม่

โรงใหญ่ตอนน้ำท่วมก็เสียหาย คิดเป็นมูลค่าแล้วอาจเสียหายมากกว่าราคาโรงงานโรงเล็กทั้งโรงซะอีก แต่พอน้ำลด supply ของโรงเล็กหาย โรงกลางลด โรงใหญ่อาจจะมีเงินหมุนมากพอให้ซ่อมแซมหรือซื้อเครื่องจักรใหม่ได้ หลังจากวิกฤติผ่านไป โรงใหญ่อาจจะมียอดขายหรือกำไรมากกว่าสมัยก่อนน้ำท่วมก็ได้

สรุปคือ น้ำท่วมนี้ผมว่าพื้นฐานเปลี่ยน แต่ไม่ได้เปลี่ยนในสัดส่วนที่เท่ากัน

+1 ยืนตามพี่นิวครับ พื้นฐานเปลี่ยนถาวร มันต้องแผ่นดินไหวแล้ว โรงงานยุบหายไป

หมด ไม่เหลือ อันนั้น เปลี่ยนถาวรครับ

ระยะสั้น ถ้าโรงงานคู่แข่ง ระดับกลางไม่ท่วม เค้าก้อาจจะได้ลูกค้าไปบ้าง

แต่ระยะยาวเชื่อว่า สายสัมพันธ์กับลูกค้า ไม่ไ้ด้ใช้เวลาแค่ 2-3เดือน

ถ้าแค่น้ำท่วม แล้วส่งผลกับการผลิตระยะสั้น ซึ่งจะส่งผ่านมาทางงบการเงิน 1-2 ไตรมาส ก็คงไม่ถือว่า พื้นฐานเปลี่ยนไปมาก(เพราะส่งผลต่อกระแสเงินสดในระยะสั้น) แต่หากลูกค้าที่สั่งสินค้ากับทางโรงงานที่เกิดเหตุน้ำท่วมเกิดรู้สึกไม่สบายใจ ไม่มั่นใจ และ อยากกระจายความเสี่ยงไปยังโรงงานในประเทศอื่นอื่นบ้าง เพื่อลดปัญหาในอนาคต แบบนี้ก็คงเปลียนไปพอสมควรไหมครับ

เปลี่ยนเเน่นอนครับ เเต่ว่า บ.ที่ถูกผลกระทบจะใช้กลยุทธใดในการเเก้ไขปัญหาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการย้ายสถานที่ การรวมตัวกันหาทางป้องกันโดยมีรัฐช่วย เเม่กระทั้งการสร้างความเชื่อมั่น เป็นต้น

สุดท้ายเเล้วธุรกิจของเราต้องสร้างผลกำไรในระยะยาวครับ ถ้าระยะสั้นเเค่ไม่กี่เดือนหรือ 1-2 ปีมันอาจจะไม่ดีมาก เเต่เมื่อผ่านไปเเล้วบ.นั้น กลับมาได้ดีกว่าเดิมก็น่าซื้อเก็บไว้ เหมือนกับ apple ที่ขาดทุนเกือบต้องปิดกิจการจนเปลี่ยนกลยุทธการทำธุรกิจที่สุดเเล้วกลายมาเป็นอย่างที่เราเห็นกัน ว่าเเต่เรารู้จักบ.ที่เราลงทุนขนาดไหนล่ะครับ