Thai Value Investor การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุน VI หุ้นวีไอ Webboard

คือผมสับสนว่าควรจะใช้เปอร์เซ็นต์ใกล็กับตราสารหนี้สัก 6% แล้วไปหา MOS ดี หรือว่า

ควรจะใช้เปอร์เซนต์ที่ผมคาดหวังว่าจะได้รับจากตลาดครับเช่น 15%

เพราะเวลาผมทำแบบสองทีไรไม่ค่อยได้ซื้อหุ้นแบบมี MOS เลยครับ

เลยอยากรู้ว่าท่านอื่นทำไวครับ

ขอบคุณที่ช่วยแบ่งปันครับ

จาก CAPM หา require return

Require return, ke = Rf+Beta x (Rm-Rf)

Unleverage beta
bu = b/(1+(1-T)*(D/S))
b หาจาก bloomberg เป็น beta ย้อนหลัง 2 ปี
หรือจาก trinity ย้อนหลัง 1 ปี

Market Return ปี 2000-2010, Rm = 14.39% (Geometric Mean)

Risk free rate
Rf = 3.77%



แล้วแทนค่า สามารถหา require return ได้

หากต้องการใช้ WACC
ใช้ ke ค่าเดิม ส่วน kd หาข้อมูลจากงบ
ส่วน We ใช้ mkt value
Wd ใช้ debt ซึ่งมูลค่าปัจจุบันไม่เปลี่ยนไปมาก
Wp/s, kp/s ลองดูว่ามี prefer stock รึเปล่า

WACC = wdkd(1-T) + we ke + wp/s x kp/s

มีตัว discount 2 ตัว ให้เลือก
DDM ใช้ ke
DCF - FCFF ใช้ WACC
DCF - FCFE ใช้ ke
RI ใช้ ke

ส่วนตัวไม่เคยกะเกณฑ์เป๊ะๆ
ว่าหุ้นที่สนใจต้อง discount ลงมาเท่าไหร่
เช่น ราคาหุ้นในกระดานตอนนี้
ถ้าเราซื้อเหมือนได้ผลตอบแทนปีละกี่ %
แถมได้ส่วนลดกี่ %
ในขณะเดียวกัน mos ก็ไม่ควรจะดูเชิงปริมาณอย่างเดียว
ต้องดูเชิงคุณภาพด้วย

ปล.
หามูลค่าหุ้นน่ะผมว่ามันไม่ยากหรอก
แต่ที่มันยากคือ หาหุ้นที่จะให้ผลตอบแทนดีด้วย
และต้องปลอดภัยด้วยนี่แหละ

wacc ควรจะเป็นค่าที่สัมพันธ์กับผลตอบแทนที่ท่านต้องการในระยะยาว
เพราะเป็นค่าที่คำนวนdcf
mos ควรเป็นค่าเผื่อความปลอดภัย โดยประเมินความเสี่ยงต่างๆและความไม่แน่นอน

ผมเองใช้ค่าที่คำนวณตามหลักวิธีคิดเป็นเกณฑ์
เพราะปัญหาแรกที่ ผมเจอตอนหามูลค่ากิจการ คือ ใช้เท่าไหร่ดีหว่า

แต่พอเรามีเกณฑ์ ทำให้ผมรู้ว่า ผมควรใช้เท่าไหร่
เพราะถ้าผมใช้ Discount, MOS ที่มาก พอได้ Target price ออกมา ถ้าไม่เกิด crisis คงซื้อไม่ได้เลย

ผมเลยมาดูตรง MOS แทน
แล้วใช้ WACC, Ke ตามสูตรไป

หรืออาจทำ sensitivity เพื่อ ดูผลของการเปลี่ยนแปลงค่าต่างๆๆ

ถ้าเรานิยามราคาที่เหมาะสมว่าคือราคาที่จะให้ผลตอบแทนตามที่เราต้องการ เราก็ต้องใช้ผลตอบแทนที่ต้องการเป็นตัวคิดลดครับ

MOS ก็ต้องเป็น MOS จากราคาที่เหมาะสมที่่คิดลดด้วยผลตอบแทนที่ต้องการนะครับ ถึงจะเป็นการการันตีได้ว่าการลงทุนครั้งนี้น่าจะได้ผลตอบแทนตามที่ต้องการแน่ๆ

Discount ถ้าคิดเองมันค่อนข้าง subjective
ถ้าอยากหา % ที่เป็นมาตราฐานหน่อย ใช้ WACC แล้วเอามาหา NPV ก็ได้มั้งคะ
แต่หุยคิดว่า WACC ที่เค้าบริษัทเอามาคิด NPV กันส่วนใหญ่เค้าเอาไว้หา ความคุ้มค่าของการเริ่ม project ใหม่ซะมากกว่า ไม่ค่อยเหมาะสมในการเอามาคิดสำหรับหุ้นทั้งตัว เพราะ cost of debt ในสมการมันคงแตกต่างกันในแต่ละโครงการ ถึงแม้จะเป็นบริษัทเดียวกัน แถมยังผันผวนได้อีกต่างหาก ex. ดอกเบี้ยจ่ายของโครงการใหญ่เล็ก แต่ถ้าจะทำของทั้งบริษัทจริงๆคงยุ่งยากหน่อย คือเอามา weighted average ให้ได้ average cost of debt

DCF หุยเคยมีปัญหาเหมือนกันว่าทำไมตัวเลขมันออกมาไม่เห็นดีเลย หุ้นตัวนี้ดูไม่เห็นน่าสนใจ
แต่คิดว่า Ratio ส่วนใหญ่หรือพวก financial analysis calculation เค้ามีมาให้เพื่อ "เปรียบเทียบ"
ถ้าหา DCF หุ้นเทพๆแล้วยังไม่เจออะไรที่โดดเด่น ลองทำหลายๆตัวที่มี business model คล้ายๆกันและ sector เดียวกัน เผื่อจะเห็นความแตกต่าง หรือมีตัวไหนที่โดดออกมา

ขึ้นอยู่กับคุณภาพของกิจการครับ...

Discount Rate ถ้าคิดย้อนไปมองอีกมุม... มันก็คือ อัตราผลตอบแทนคาดหวังที่สมเหตุสมผลที่ควรจะได้รับจากกิจการนั้นๆ

ถ้ากระแสเงินสดของกิจการมีความเสี่ยง หรือมีความไม่แน่นอนสูง อย่างกิจการจำพวกโรงงานรับจ้างผลิต เราก็ควรจะใช้ Discount Rate ที่สูงๆ หน่อย
แต่ถ้ากระแสเงินสดของกิจการมีความแน่นอนสูง อย่างกิจการจำพวกค้าปลีกที่มี DCA เราก็อาจจะใช้ Discount Rate ที่ต่ำหน่อยได้

สรุป Discount Rate = Rational Expected Return = Risk Free Interest Rate + Risk Premium

สุดท้าย... ระวัง... เวลา Valuation มันเกิดปรากฎการหลอกตัวเองเข้า... ไปปรับค่านู้นค่านี้ เพื่อคิดเข้าข้างตัวเองว่าหุ้นมี MOS เยอะ มี Upside เยอะเกินจริง... ดังนั้นเวลาประเมินมูลค่า ควรที่จะ Conservative เอาไว้ให้มากๆ นะครับ...

และสุดท้าย การประเมินมูลค่ากิจการสำหรับผม... ผมจะมีทัศนคติว่า... เราไม่สามารถหามูลค่าได้ถูกต้อง... เราหาได้แต่มูลค่าที่ผิดๆ เพียงแต่ว่ามูลค่าที่เราประเมินได้ ผิดมาก หรือผิดน้อย... และผิดด้วยความเชื่อมั่นสักเท่าไหร่... ดังนั้น อย่ายึดติดกับมูลค่าที่ประเมินได้... เพราะ เราประเมินผิดอยู่เสมอ... เหล่านี้จะช่วยให้เราไม่ยึดมั่นถือมั่นจนเกินไป และเป็นอันตรายต่อการลงทุนครับ

ขอบคุณครับ ความรู้เยอะดี

ขอบคุณครับ

ขอบคุณครับ

แล้วถ้าเกิดผมใช้อัตราคิดลด ที่ 10% กับหุ้นทุกตัว จะได้มั้ยครับ?

แล้วค่อยปรับตัว MOS ไปตามความไม่แน่นอนของกิจการนั้นๆ ถ้ามีความไม่แน่นอนสูง หรือมีโอกาสคาดเดา cash flow คลาดเคลื่อนสูง ก็ใช้ MOS มากหน่อย ถ้ากิจการที่ cash flow ค่อนข้างเสถียรก็ MOS น้อยหน่อย

แบบนี้จะผิดมั้ยครับ