หน้า 1 จากทั้งหมด 1

อยากรู้ว่าๆพี่ๆๆมีวิธีการไหนที่ลดสภาวะเสี่ยงจากการ

โพสต์แล้ว: พุธ ธ.ค. 06, 2006 7:02 pm
โดย ichbinpao
คือมีคำถามอยู่ประมาณสามคำถามนะครับ ที่สงสัย

1) ผมได้ยินหลายคนพูดว่าแนว VI ยากนักกว่าจะรวย เพราะบริษัทในไทยไม่เหมือนในเมกา หรือว่ายุโรป เพราะส่วนมากบริษัทในไทยมีการแก้ไขบัญชีให้สวยหรู ดังนั้น ผมอยากรู้ว่าพวกๆๆพี่ๆๆมีวิธีแก้ไขความเสียงตรงนี้อย่างไรงะครับ

2) ทำไมถึงเลือกแนว VI ครับ มันดีกว่าแนว technical ยังไง ผมอยากรู้ ต้องมานั่งอ่านงบ ต้องเข้าใจวงจรของธุรกิจ ซึ่งถ้าไม่ได้ทำแนวงานการเงินแบบ ดร นิเวศน์ (ซึ่งเคยอ่านมาท่านทำด้านสินเชื่อ ซึ่งน่าจะมีอ่านออกว่าธุรกิจไหนน่าจะบูมไม่บูมในอนาคตและสามารถเข้าใจกลโกงของบางบริษัทได้นะครับ) มายากนักกว่าจะรวยแถม กำไรบางทีก็อาจจะน้อยกว่าแนว technical ซึ่งนานมากกว่าจะเก่งนะครับ ทำไมถึงเลือกแนวนี้หนอ

3) ระหว่างเล่น future, option กับ เล่นหุ้นปกติเนี่ยมีข้อดีข้อเสียต่างกันไงงะครับ

Re: อยากรู้ว่าๆพี่ๆๆมีวิธีการไหนที่ลดสภาวะเสี่ยงจากการ

โพสต์แล้ว: พุธ ธ.ค. 06, 2006 7:15 pm
โดย สุมาอี้
ichbinpao เขียน:คือมีคำถามอยู่ประมาณสามคำถามนะครับ ที่สงสัย

1) ผมได้ยินหลายคนพูดว่าแนว VI ยากนักกว่าจะรวย เพราะบริษัทในไทยไม่เหมือนในเมกา หรือว่ายุโรป เพราะส่วนมากบริษัทในไทยมีการแก้ไขบัญชีให้สวยหรู ดังนั้น ผมอยากรู้ว่าพวกๆๆพี่ๆๆมีวิธีแก้ไขความเสียงตรงนี้อย่างไรงะครับ
ถ้าเป็นอย่างนั้น ผมก็ไม่เห็นว่าการเล่นในแนวอื่นๆ จะช่วยให้ได้เปรียบแนว VI อย่างไร โดนหลอกเท่ากันหมด

"I can't play the game that other people play" -Warren Buffett

แม้หุ้นไทยส่วนใหญ่จะไม่โปร่งใสแต่หุ้นไทยไม่ได้เป็นแบบนั้นหมดทุกตัว ถ้ามันไม่โปร่งใสเราก็ไม่เห็นจะต้องไปเล่นหุ้นพวกนั้นเลย สนใจแค่ไม่เกิน 10 ตัวก็รวยได้เหมือนกัน

ข้ออื่นให้คนอื่นมาตอบบ้างอ่ะ

อยากรู้ว่าๆพี่ๆๆมีวิธีการไหนที่ลดสภาวะเสี่ยงจากการ

โพสต์แล้ว: พุธ ธ.ค. 06, 2006 7:40 pm
โดย setmaker
สงสัย ตอน นักเทคนิคัล รวย มันไม่เป็นข่าว
หรือไม่ ก็อาจเป็นข่าว(ดี)ได้ไม่นาน
เพราะนานๆ เข้าอาจประสบข่าวร้าย

:mrgreen:

อยากรู้ว่าๆพี่ๆๆมีวิธีการไหนที่ลดสภาวะเสี่ยงจากการ

โพสต์แล้ว: พุธ ธ.ค. 06, 2006 7:52 pm
โดย BHT
ในหนังสือ the intelligent investor บอกไว้ชัดเจนมากเลยครับ

อ่านเล่มนี้เลย รับรอง

อยากรู้ว่าๆพี่ๆๆมีวิธีการไหนที่ลดสภาวะเสี่ยงจากการ

โพสต์แล้ว: พุธ ธ.ค. 06, 2006 7:57 pm
โดย Capo
ขออนุญาต ตอบแบบ 2 งู 2 ปลา นะครับ

1. ผมว่ากว่าจะรวย ก็ยากทั้งนั้นล่ะครับ ทั้งทำมาหากิน ทั้งลงทุน แม้แต่เล่นหวย แต่ละท่านในที่นี้ที่เห็น ๆ ว่ามีทรัพย์สินมาก ได้ผลตอบแทนมาก ผมเชื่อครับว่าแต่ละท่านก็ตรากตรำมามาก กว่าจะถึงวันนี้ และผมก็เชื่อเช่นกันว่ากลุ่มอื่น ๆ ที่เลือกใช้วิธีการแบบอื่น กว่าจะรวย ก็ต้องลำบากและทุ่มเทมามากเหมือนกันครับ

2. ส่วนตัวผม ผมชอบครับ และคิดว่าน่าจะสอดคล้องกับนิสัยผมครับ คือราคาจะขึ้นหรือลง ถ้าเงื่อนไขที่ทำให้เราตัดสินใจซื้อยังไม่เปลี่ยนแปลง เราก็ไม่จำเป็นต้องไปรู้สึกหวือหวาตามราคาครับ ผมตื่นเต้นง่าย เล่นเกม TFEX วันนี้ก็ยิ่งตอกย้ำครับ เวลาทำตัวให้เก็งกำไร แล้วมาเห็นตัวเลขแดง ๆ มันจะแป้ว มันจ้องจะเอาคืน เครียดเกินไปครับ

เรื่องของความรู้ ทุกท่านก็ต้องทำงานครับ ถ้าทำงานก็ต้องมีความรู้ ทักษะ และความสามารถในงานนนั้นครับ เอาง่าย ๆ ก็เริ่มดูองค์การที่อยู่ในธุรกิจหรืออุตสาหกรรมเดียวกันกับองค์การที่เราทำงานให้ เราจะเข้าใจเขามากขึ้นครับ

นี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่จะศึกษาให้มากขึ้นไปเรื่อย ๆ เมื่อรู้มากขึ้นจากหุ้น เราก็ถ่ายความรู้กลับเข้าไปในงานได้ด้วยครับ  Returns มันไม่ได้ถูกจำกัดอยู่ในเฉพาะตลาดหุ้นเท่านั้นครับ

Re: อยากรู้ว่าๆพี่ๆๆมีวิธีการไหนที่ลดสภาวะเสี่ยงจากการ

โพสต์แล้ว: พุธ ธ.ค. 06, 2006 10:32 pm
โดย Little Boy
ichbinpao เขียน: 2) ทำไมถึงเลือกแนว VI ครับ มันดีกว่าแนว technical ยังไง ผมอยากรู้ ต้องมานั่งอ่านงบ ต้องเข้าใจวงจรของธุรกิจ ซึ่งถ้าไม่ได้ทำแนวงานการเงินแบบ ดร นิเวศน์ (ซึ่งเคยอ่านมาท่านทำด้านสินเชื่อ ซึ่งน่าจะมีอ่านออกว่าธุรกิจไหนน่าจะบูมไม่บูมในอนาคตและสามารถเข้าใจกลโกงของบางบริษัทได้นะครับ) มายากนักกว่าจะรวยแถม กำไรบางทีก็อาจจะน้อยกว่าแนว technical ซึ่งนานมากกว่าจะเก่งนะครับ ทำไมถึงเลือกแนวนี้หนอ
ก่อนอื่นเลยผมต้องถามก่อนว่าทัศนคติของคุณกับหุ้นคืออะไร? สำหรับผม หุ้นคือการลงทุนในบริษัทฯ ที่แสวงผลกำไรครับ เฉกเช่นเดียวกันกับการที่คุณจะเปิดบริษัทฯ ขึ้นมาเพื่อต้องการหากำไรนั่นแหละครับ เพียงแต่คุณไม่ต้องวุ่นวายดำเนินการเองทั้งหมด และที่สำคัญคุณจะเปิด(ซื้อหุ้น)กี่บริษัทฯ ก็ได้ในตลาดหุ้นไม่มีใครห้ามครับ แต่ในชีวิตจริงคุณจะทำได้สักกี่บริษัทฯ

และเมื่อคุณจะเปิดบริษัทฯ คุณจะต้องรู้อะไรบ้างครับในบริษัทฯ ที่คุณกำลังจะเปิดดำเนินการขึ้น แน่นอนครับ ธุรกิจจะบูมไหมในอนาคต? คู่แข่งคือใคร? กำไรเท่าไหร่? การบริหารงานเป็นอย่างไร? พนักงานจะมีกลโกงหรือไม่? ฯ ดีไม่ดีจะมีปัญหากันระหว่างหุ้นส่วนขึ้นมาอีก  แถมเงินที่ลงทุนไปก็ต้องนำไปใช้จ่ายในกิจการ ไม่รู้ว่าจะคืนทุนเมื่อไหร่? ผมเห็นบางคนพอหุ้นตกช่อง 2 ช่องก็ขาย ไม่เข้าใจจริงๆ

เช่นเดียวกันครับ การลงทุนในหุ้น ผมก็ต้องรู้ข้อมูลให้มากที่สุดเหมือนกับการที่ผมจะเปิดบริษัทฯ ใหม่ขึ้นมา แต่ข้อดีกว่าก็คือผมไม่ต้องเหนื่อยไปดำเนินการอะไรเองให้วุ่นวาย มีคนทำงานให้หมด สิ้นปีก็รอรับปันผล ถ้าแนวโน้มธุรกิจไม่สดใส ผมก็ถอนตัว หาธุรกิจใหม่ลงทุนต่อ

Re: อยากรู้ว่าๆพี่ๆๆมีวิธีการไหนที่ลดสภาวะเสี่ยงจากการ

โพสต์แล้ว: พุธ ธ.ค. 06, 2006 10:52 pm
โดย Dr.T
ichbinpao เขียน:คือมีคำถามอยู่ประมาณสามคำถามนะครับ ที่สงสัย

1) ผมได้ยินหลายคนพูดว่าแนว VI ยากนักกว่าจะรวย เพราะบริษัทในไทยไม่เหมือนในเมกา หรือว่ายุโรป เพราะส่วนมากบริษัทในไทยมีการแก้ไขบัญชีให้สวยหรู ดังนั้น ผมอยากรู้ว่าพวกๆๆพี่ๆๆมีวิธีแก้ไขความเสียงตรงนี้อย่างไรงะครับ

2) ทำไมถึงเลือกแนว VI ครับ มันดีกว่าแนว technical ยังไง ผมอยากรู้ ต้องมานั่งอ่านงบ ต้องเข้าใจวงจรของธุรกิจ ซึ่งถ้าไม่ได้ทำแนวงานการเงินแบบ ดร นิเวศน์ (ซึ่งเคยอ่านมาท่านทำด้านสินเชื่อ ซึ่งน่าจะมีอ่านออกว่าธุรกิจไหนน่าจะบูมไม่บูมในอนาคตและสามารถเข้าใจกลโกงของบางบริษัทได้นะครับ) มายากนักกว่าจะรวยแถม กำไรบางทีก็อาจจะน้อยกว่าแนว technical ซึ่งนานมากกว่าจะเก่งนะครับ ทำไมถึงเลือกแนวนี้หนอ

3) ระหว่างเล่น future, option กับ เล่นหุ้นปกติเนี่ยมีข้อดีข้อเสียต่างกันไงงะครับ
1. "แนว VI ยากนักที่จะรวย" - มี technicalist คนไหนรวย ๆ ระดับ buffett หรือ lynch บ้างครับ ขอสักชื่อเดียวก็พอ แล้วก็ถ้าบอกว่างบมันแต่งได้ เขาก็มีผู้สอบบัญชีไว้ตรวจสอบ ในขณะที่ถ้ามีคนทุ่มเงินสร้างกราฟราคา กว่ากรูลืมตรวจจะโผล่มาจ้าวก็ฟาดอิ่มแปล้ไปแล้ว
2. ผมว่ามันเข้าใจง่ายกว่าแท่งเทียนเยอะนะครับ
3. ไม่ทราบครับ

คุณเล่น technical คุณไม่มีทางได้ผลตอบแทนระดับ 70-200% จากหุ้นตัวเดียวในการซื้อขาย turn เดียวหรอก 8)

อยากรู้ว่าๆพี่ๆๆมีวิธีการไหนที่ลดสภาวะเสี่ยงจากการ

โพสต์แล้ว: พุธ ธ.ค. 06, 2006 11:36 pm
โดย magician
3) ระหว่างเล่น future, option กับ เล่นหุ้นปกติเนี่ยมีข้อดีข้อเสียต่างกันไงงะครับ
ข้อดีข้อเสียมันวัดยากนะครับ เพราะเป้าหมายของ  future, option เนี่ยมันเป็นสิทธิ์สัญญามากกว่า เอาความหมายของ future กับ option ไปแทนละกันครับ  8)


future, option ทั้งสองตัวที่เหมือนกันคือ ลดความผันผวน (หรือเพิ่มความปวดหัว แล้วแต่จะมองครับ  :wink: ) ของราคาในอนาคตครับ

future คือสิทธิ์ในการซื้อ แบบผูกมัดว่าจะต้องซื้อ (หรือผูกมัดว่าจะขาย) ผู้ถือไม่มีสิทธิ์ที่จะเลือกว่าจะซื้อหรือขายตามสัญญาหรือไม่เมื่อถึงเวลาที่กำหนด พวกนี้ส่วนใหญ่จะใช้กับ Commodity (ข้าว ,ยางพารา,กาแฟ,น้ำส้ม หรือแม้กระทั่ง เนื้อหมู !!!! :shock: ) เพราะทำสัญญากันแล้วจะต้องส่ง/รับมอบ ห้ามเบี้ยว

ในบ้านเราก็มี SET50 index future ซึ่งก็เป็นสินค้าทางการเงินอีกตัวนึง แต่ผมว่า VI ไม่น่าจะเทรดกันเพราะมันเป็นอะไรที่ไม่ได้เข้ากับหลักการของ VI เอาเสียเลย  :roll:


Options  คือสิทธิ์ในการซื้อหรือขาย แต่ต่างจาก future ตรงที่ว่าผู้ถือสามารถเลือกได้ว่าจะใช้สิทธิ์หรือไม่เมื่อถึงเวลาส่งมอบ ส่วนมากจะใช้กับหุ้น หรือเงินตราต่างประเทศ บ้านเรายังไม่มีให้เทรด (จริงๆแล้วมี เพราะถ้าจะนับกันแล้ว warrant ก็เป็น options ตัวนึง เพราะคนที่ถือ warrant สามารถเลือกได้ว่าจะใช้สิทธิ์หรือไม่เมื่อถึงเวลา แต่นักการตลาดส่วนใหญ่จะแยก warrant ออกมาเพราะมันทำให้จำนวนหุ้นที่มีอยู่ในตลาดเปลี่ยนแปลงไป ในขณะที่ options จริงๆนั้นจะไม่ส่งผมกระทบต่อจำนวนหุ้นที่มีในตลาด)

ทั้ง  future, option เป็นการจำกัดความเสี่ยงต่อราคาในอนาคตของสินค้า (สินค้าในที่นี้เป็นได้ทั้ง สินค้าที่มีตัวตนจริงๆ เช่น ข้าว,ยางพารา,เงินตราต่างประเทศ และสินค้าที่ไม่มีตัวตน เช่น หุ้น หรือ ราคา index) แต่การซื้อหุ้นเป็นการซื้อในราคาปัจจุบัน

ผมมองว่า VI ส่วนมากจะไม่สนใจใน การเทรด future (ราคาหุ้นของบริษัท) สักเท่าไร ตรงกันข้าม จะสนใจใน future (อนาคต) ของตัวบริษัทมากกว่า

แต่ผมมองว่า option น่าจะเป็นสิงดีสำหรับนักลงทุนนะครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่มีแผนการที่จะใช้เงินในอนาคตอย่างแน่นอน แล้ว (เช่น วางแผนแต่งงาน วางแผนมีลูก ฯลฯ) จะได้ลดความเสี่ยงลงเมื่อเวลาที่ต้องการจะขายหุ้นออกไป และจะได้วางแผนได้แม่นยำมากขึ้นว่าจะต้องขายออกไปเท่าไร

หาอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้จากหนังสือ อยากรวยต้องรู้ (เล่ม 3) : รู้จักเครื่องมือ

อยากรู้ว่าๆพี่ๆๆมีวิธีการไหนที่ลดสภาวะเสี่ยงจากการ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ธ.ค. 07, 2006 8:11 am
โดย house
1 แบล็กลิสต์ไปสิครับ ตัวไหนมีประวัติแต่งบัญชีก็กาหัวไปเลย ไม่ต้องไปดูมันอีก บริษัทธรรมาภิบาลดีๆในไทยมีเยอะครับ ไม่จำเป็นต้องไปยุ่งกับพวกขี้โกง

2. เรื่องกำไร ลองหากระทู้ผลกำไรประจำปีนี้ในบอร์ดดูสิครับ แล้วลองไปเทียบกับทางเทคนิค ผมว่าทำกำไรได้ไม่แพ้หรอก

ข้อได้เปรียบของ VI ที่เหนือกว่าสายเทคนิคคือ
1. มีโอกาสกินคำใหญ่ ลองคิดดูว่าคนถือ ILINK มาจาก 3-4 บาท ตอนนี้กำไรเท่าไหร่แล้ว?
2. เทรดน้อยครั้ง ค่าคอมต่ำ
3. โอกาส/ความจำเป็นต้อง คัทลอสน้อยกว่า เพราะเฟ้นหุ้นหนักกว่า
4. การติดตามข่าวหลังจากซื้อแล้วน้อยกว่า ไม่จำเป็นต้องเฝ้ากราฟ สามเดือนดูหน ก็ยังไม่เลวร้าย

พื้นฐาน VS เทคนิคัลนี่เถียงกันมานานแล้วครับ ผมว่าแล้วแต่คนถนัดมากกว่า ลองอ่าน one upon wallstreet แล้วจะรู้ว่าคุณไม่ต้องทำงานด้านการเงินหรอก ไอ้เรื่องใกล้ๆตัวนี่แหละ เอามาทำเงินในตลาดได้ดีนักแล
อ้อ conservative investor sleep well ครับ ผมนอนหลับฝันดีทุกคืนโดยไม่ต้องเฝ้าหน้าจอ(ช่วงนี้ติดเกม) ^^

อยากรู้ว่าๆพี่ๆๆมีวิธีการไหนที่ลดสภาวะเสี่ยงจากการ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ธ.ค. 07, 2006 8:45 am
โดย sunrise
เก่งอะไรทำอย่างนั้นครับ

เก่งเทคนิคัล ก็ลุยเทคนิค
เก่ง VI ก็ลุย VI

ไม่เก่งอะไรเลย ก็ซ้อมให้มันเก่งๆแล้วลุย

ไม่มีอะไร 100% กราฟ เจ้าก็ทำหลอกได้
งบการเงิน หรือ model ธุรกิจ ก็หลอกได้

ถ้าเจ้าของมีประวัติ ก็หลบๆซะ
ทำไมเลือก VI
เพราะมันชัวร์กว่าพอสมควร เหมือนซื้อของแล้วเรามั่นใจว่าราคาคุ้มค่า
ไม่ต้องกลัวโดนหลอกมากนัก ถ้าเราศึกษาหัวหน้าเผ่าซะหน่อยไม่มีประวัติก็สบายใจหน่อย

ใช้ future กับ option มันก็คล้ายเล่นหุ้นแต่ใช้ได้ทั้งขาขึ้นและลง
โดยที่มีอัตราเร่งสูงกว่า (leverage)

อยากรู้ว่าๆพี่ๆๆมีวิธีการไหนที่ลดสภาวะเสี่ยงจากการ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ธ.ค. 07, 2006 9:21 am
โดย naris
เห็นด้วยกับคุณsunrise แมวสีอะไรก็ได้ ขอให้จับหนูเป็น

แต่ส่วนตัว ผมมั่นใจในผลของแนวVI จากเหตุที่ผมสร้างขึ้นครับ

Re: อยากรู้ว่าๆพี่ๆๆมีวิธีการไหนที่ลดสภาวะเสี่ยงจากการ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ธ.ค. 07, 2006 9:26 am
โดย Mon money
1) ผมได้ยินหลายคนพูดว่าแนว VI ยากนักกว่าจะรวย เพราะบริษัทในไทยไม่เหมือนในเมกา หรือว่ายุโรป เพราะส่วนมากบริษัทในไทยมีการแก้ไขบัญชีให้สวยหรู ดังนั้น ผมอยากรู้ว่าพวกๆๆพี่ๆๆมีวิธีแก้ไขความเสียงตรงนี้อย่างไรงะครับ
จริงครับ รวยยากมากๆ แต่รวยแล้วรวยเลยครับ ส่วนบริษัทที่ไหนๆมันก็เหมือนกันครับ มีดี ไม่ดี มีโกง ไม่โกง
วิธีลดความเสี่ยงก็คือ รู้และเข้าใจบริษัทให้มากที่สุด ผมใช้วิธีลดความเสี่ยงด้วยความเข้าใจ และ Margin of safety ครับ
2) ทำไมถึงเลือกแนว VI ครับ มันดีกว่าแนว technical ยังไง ผมอยากรู้ ต้องมานั่งอ่านงบ ต้องเข้าใจวงจรของธุรกิจ ซึ่งถ้าไม่ได้ทำแนวงานการเงินแบบ ดร นิเวศน์ (ซึ่งเคยอ่านมาท่านทำด้านสินเชื่อ ซึ่งน่าจะมีอ่านออกว่าธุรกิจไหนน่าจะบูมไม่บูมในอนาคตและสามารถเข้าใจกลโกงของบางบริษัทได้นะครับ) มายากนักกว่าจะรวยแถม กำไรบางทีก็อาจจะน้อยกว่าแนว technical ซึ่งนานมากกว่าจะเก่งนะครับ ทำไมถึงเลือกแนวนี้หนอ
ไม่จำเป็นต้องเคยทำงานสินเชื่อหรอกครับ หลายๆคนก็ไม่เคย ผมอาศัยว่าเป็นมนุษย์ช่างสังเกตุ ขับรถก็มองป้ายโฆษณา คนมาขุดท่อหน้าบ้านก็ตีสนิทคุยกับนายช่าง เดินซื้อของก็ชวนพนักงานคุย

ทำไมถึงเลือกแนวVI ตอบง่ายๆ ก็มันง่ายที่สุด ไม่ต้องฉลาดอะไรมากมายก็รวยได้ ไม่ต้องมานั่งมองกราฟให้ตาลาย เดียวนี้arket maker เขาชอบทำกราฟต้องตามให้ทัน

VI ต้องดูธุรกิจให้ออกและต้องอ่านงบการเงินถ้ารู้จริงรู้ก่อนชาวบ้าน แต่สนุกจะตายไป เคยอ่านนิยายลึกลับไหมล่ะ มันส์ไหม?

ผมไม่รู้ว่าแนวอื่นเขากำไรเท่าไหร แต่ปีนี้สบายๆ+โชคดี เลยกำไรมากหน่อย ของผมก็ไม่มีอะไรมากครับ ขอแค่ไม่ขาดทุนก็OKแล้ว
3) ระหว่างเล่น future, option กับ เล่นหุ้นปกติเนี่ยมีข้อดีข้อเสียต่างกันไงงะครับ
จริงๆแล้วเครื่องมือเหล่านี้เขาออกแบบมาให้เป็นเครื่องมือประกันความเสี่ยง แต่จำเป็นเหลือเกินต้องมีนักเก็งกำไรมาช่วยสร้างสภาพคล่อง ทีนี้คุณอยากจะเป็นใคร ระหว่างผู้ประกันความเสี่ยง กับ นักเก็งกำไร ส่วนผมถ้าเลือกได้ ผมขอเป็นคนกลาง รับเงินลูกเดียว อิ อิ

-------------------------------------------------------------------------------------
เอาเถอะนะ ชอบแบบไหน ถนัดแบบไหน เอาแบบนั้น

Re: อยากรู้ว่าๆพี่ๆๆมีวิธีการไหนที่ลดสภาวะเสี่ยงจากการ

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ธ.ค. 08, 2006 3:59 pm
โดย PP
ichbinpao เขียน:คือมีคำถามอยู่ประมาณสามคำถามนะครับ ที่สงสัย

1) ................................ เพราะบริษัทในไทยไม่เหมือนในเมกา .......... เพราะส่วนมากบริษัทในไทยมีการแก้ไขบัญชีให้สวยหรู ......................................
ไม่จริงมั้ง  ผมว่า เมกาเป็นต้นแบบในเรื่องการตกแต่งบัญชีให้ไทยเรียนแบบมากกว่า  ถ้าอึดพอ....ลองไปอ่าน Securitiy Analysis ของท่าน Ben Graham (ประสบการเล่นหุ้นมาตั้ง 1914 ถึง 1956) จะพบหลายบริษัทเยอะแยะไปหมดที่ตกแต่งงบการเงินเพื่อให้ Book Value สวย (ช่วงก่อนปี 1929 ....เขาเรียกว่า Watered Stock)  และช่วงหลังปี 1929 เป็น New-era ก็เป็นยุคของการตกแต่งให้ Earning per Share สวย   เอาไว้หลอกคนเล่นหุ้นให้เฮตามกันเป็นขบวน เสร็จแล้วก็จบลงด้วยการเป็นแมงเม่า  หรือถ้าจะให้ update หน่อย ก็ Enron หรือ Worldcom etc. ไง ที่ทำเอาคนเจ๊งกันเป็นแถว โดยเฉพาะคนที่เอาเงินเกษียณไปซื้อหุ้นดังกล่าว น่าสงสาร ก็เพราะเหตุของการตกแต่งบัญชีให้สวยเป็นผักชีโรยหน้า นั่นแหละ

ถ้าไม่อยากเป็นเหยื่อ ก็ต้องตั้งต้นขมักเขม่น ขวนขวายศึกษาให้เข้าใจหลักการอย่างถ่องแท้แล้วค่อยเข้ามาในตลาดหุ้นที่มีแต่เสือสิงห์กระทิงแรดน่าจะปลอดภัยมากกว่าการเข้ามาแบบไม่รู้อิโหน่อิเหน่ เฮตามคนอื่นๆ นะครับ :)

อยากรู้ว่าๆพี่ๆๆมีวิธีการไหนที่ลดสภาวะเสี่ยงจากการ

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ธ.ค. 08, 2006 11:38 pm
โดย artvr4
1) ผมได้ยินหลายคนพูดว่าแนว VI ยากนักกว่าจะรวย เพราะบริษัทในไทยไม่เหมือนในเมกา หรือว่ายุโรป เพราะส่วนมากบริษัทในไทยมีการแก้ไขบัญชีให้สวยหรู ดังนั้น ผมอยากรู้ว่าพวกๆๆพี่ๆๆมีวิธีแก้ไขความเสียงตรงนี้อย่างไรงะครับ
 ผม ยังตอบตัวเองไม่ได้ว่าตัวเองเป็นVI หรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ หุ้นที่ผมถืออยู่หลายตัว ชาวVI ก็ถือกัน  จากที่ลองปฎิบัติตามแนวนี้ ผมได้กำไร แบบเห็นเนื้อเห็นหนังกว่า สมัยก่อน ที่เทรดแล้วราคาขึ้นหน่อยก็ขาย เยอะครับ ทัศนคติเปลี่ยนไปเยอะด้วย
2) ทำไมถึงเลือกแนว VI ครับ มันดีกว่าแนว technical ยังไง ผมอยากรู้ ต้องมานั่งอ่านงบ ต้องเข้าใจวงจรของธุรกิจ ซึ่งถ้าไม่ได้ทำแนวงานการเงินแบบ ดร นิเวศน์ (ซึ่งเคยอ่านมาท่านทำด้านสินเชื่อ ซึ่งน่าจะมีอ่านออกว่าธุรกิจไหนน่าจะบูมไม่บูมในอนาคตและสามารถเข้าใจกลโกงของบางบริษัทได้นะครับ) มายากนักกว่าจะรวยแถม กำไรบางทีก็อาจจะน้อยกว่าแนว technical ซึ่งนานมากกว่าจะเก่งนะครับ ทำไมถึงเลือกแนวนี้หนอ
 เทคนิคด้านกราฟ สำหรับผม  ใช้เพื่อหาเงิน กินก๋วยเตี๋ยวครับ  แต่ การเป็นชาวVI นี่ สำหรับ อิสระด้านการเงินครับ  (หวังว่าคงเป็นได้ ในอนาคตตามแผนที่วางไว้)

Re: อยากรู้ว่าๆพี่ๆๆมีวิธีการไหนที่ลดสภาวะเสี่ยงจากการ

โพสต์แล้ว: เสาร์ ธ.ค. 09, 2006 7:46 am
โดย worapong
1) ผมได้ยินหลายคนพูดว่าแนว VI ยากนักกว่าจะรวย เพราะบริษัทในไทยไม่เหมือนในเมกา หรือว่ายุโรป เพราะส่วนมากบริษัทในไทยมีการแก้ไขบัญชีให้สวยหรู ดังนั้น ผมอยากรู้ว่าพวกๆๆพี่ๆๆมีวิธีแก้ไขความเสียงตรงนี้อย่างไรงะครับ

ทุกที่ก็มีทั้งบริษัทที่โปร่งใสและไม่โปร่งใสครับ ถ้าอยากเป็นวีไอที่ประสบความสำเร็จต้องแยกแยะระหว่างผู้บริหารที่ดีและไม่ดีให้ออกครับ

2) ทำไมถึงเลือกแนว VI ครับ มันดีกว่าแนว technical ยังไง ผมอยากรู้ ต้องมานั่งอ่านงบ ต้องเข้าใจวงจรของธุรกิจ ซึ่งถ้าไม่ได้ทำแนวงานการเงินแบบ ดร นิเวศน์ (ซึ่งเคยอ่านมาท่านทำด้านสินเชื่อ ซึ่งน่าจะมีอ่านออกว่าธุรกิจไหนน่าจะบูมไม่บูมในอนาคตและสามารถเข้าใจกลโกงของบางบริษัทได้นะครับ) มายากนักกว่าจะรวยแถม กำไรบางทีก็อาจจะน้อยกว่าแนว technical ซึ่งนานมากกว่าจะเก่งนะครับ ทำไมถึงเลือกแนวนี้หนอ

ผมเองเลือกแนววีไอเพราะชอบไงครับ ผมชอบคิดเรื่อยเปื่อย ถ้าเป็นวีไอก็จะได้ใช้ความคิดให้เป็นประโยชน์ แปลงความคิดเป็นทุนครับ ถ้าคนไหนเคยทำงานที่ต้องยุ่งเกี่ยวกับธุรกิจหลากหลายแบบดอกเตอร์นิเวศน์ก็จะได้เปรียบ เพราะจะมองออกว่าเค้าทำมาหากินกันยังไง เรื่องที่บอกว่าบางทีแนววีไอจะกำไรน้อยกว่าแนวเทคนิคก็พูดยากนะครับ เพราะไม่รู้จะวัดกันอย่างไร แต่จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา มันนี่มาสเตอร์หลายๆคนก็เป็นแนววีไอครับ เบนก็เคยบอกว่านักลงทุนโดยเฉลี่ยแล้ว จะไม่ค่อยสามารถทำกำไรจากการจับจังหวะครับ แล้วมันมีคำพูดเก่าแก่ว่า ถ้าวิธีการไหนมีคนใช้มากๆ มันจะไม่ทำกำไรครับ การเป็นวีไอมันต้องอึดครับ มีคนหลายคนที่วิเคราะห์เก่ง แต่มีคนน้อยมากที่จะถือได้อึดเป็นปีๆ อันนี้แหละที่ทำให้การลงทุนแบบวีไอไม่ได้รับความนิยม แต่ผมเองกลับชอบที่จะถือนานๆ เพราะจะได้มีเวลาไปทำอย่างอื่น ไปเที่ยวดอย เที่ยวทะเล ไปออกกำลังกาย ใช้เวลาที่มีน้อยนิดบนโลกนี้อย่างคุ้มค่า ถ้าคุณมีอายุขัยร้อยปี คุณจะมีเวลาบนโลกนี้แค่ 36,525 วันเท่านั้นเอง การเอาเวลามาทำแต่งานเพื่อหาเงินมากๆนั้น เป็นการกระทำที่ไม่ฉลาดเท่าไรนัก แล้วการเป็นวีไอที่เก่งอาจต้องใช้เวลานาน แต่คุณไม่จะเป็นต้องรีบเก่งนี่นา แค่คุณลงทุนแบบมีเหตุผล คุณก็ทำผลตอบแทนที่พอสมควรได้แล้ว การจะเป็นนักเทคนิคที่เก่งก็ไม่ใช่ง่ายเหมือนกัน มีคนจำนวนมากที่คิดไปเองว่าตัวเองดูเทคนิคเก่ง ทั้งๆที่ไม่ใช่ครับ ที่แนวเทคนิคได้รับการโปรโมทมากๆเพราะมันช่วยให้โบรกเกอร์อยู่ได้ครับ แล้วก็ทำให้ค่าคอมอยู่ในระดับต่ำ ถ้าไม่มีคนเล่นสั้นๆเลย มีแต่คนถือยาวๆ ชาววีไอก็ลำบากเหมือนกัน เพราะค่าคอมคงสูงกว่านี้มาก ต้องขอขอบคุณครับ เอาเป็นว่าเทคนิคก็กำไรได้นะครับ แต่คนน้อยมากจริงๆที่จะเก่ง
3) ระหว่างเล่น future, option กับ เล่นหุ้นปกติเนี่ยมีข้อดีข้อเสียต่างกันไงงะครับ

พวกนั้นเราต้องคิดเรื่องจังหวะครับ เพราะมันซื้อขายโดยวางมัดจำ ถ้าเกิดมันกระชากไปทางตรงข้ามกับที่เราพนัน เราก็จะโดนเรียกเงินมัดจำเพิ่ม มันดูจะคล้ายๆกับการใช้มาร์จิ้น แต่การลงทุนเป็นการดูมูลค่าเปรียบเทียบกับราคาครับ แล้วก็อย่าเอาการลงทุนกับการเล่นหุ้นมาปนกันนะครับ การลงทุนในหุ้น เราสามารถนั่งดูราคาหุ้นที่เราถืออยู่ลดลงได้ ถ้าเรามีความอดทนพอ แต่พวกฟิวเจอร์ถึงเราทนนั่งดูราคามันสวนทางกับที่เราลงทุนไว้ได้ แต่โบรกเกอร์เค้าไม่ทนด้วยนะครับ เค้าต้องเรียกหลักประกันเพิ่ม ผมดูจากประวัติการลงทุนของตัวเองแล้ว พบว่าบางครั้งผมซื้อแล้วก็ขึ้นเลย บางครั้งก็รอนานหน่อย บางครั้งก็ลงมาก่อนถึงค่อยขึ้น บางครั้งก็ลงไปเรื่อยๆไม่ขึ้นอีกเลย  ถ้าผมซื้อโดยใช้มาร์จิ้น ตอนนี้คงไปนั่งถือกระป๋องขอทานอยู่ข้างถนนครับ

อยากรู้ว่าๆพี่ๆๆมีวิธีการไหนที่ลดสภาวะเสี่ยงจากการ

โพสต์แล้ว: เสาร์ ธ.ค. 09, 2006 10:28 am
โดย PP
อันนี้เป็นบทความที่เขียนโดย คุณ Rich Rockwood จากเมกาโน้น   คนนี้เขาจบไฟแนนซ์มาแล้วไปอ่านหนังสือชื่อ "Buffett: The Making of An American Capitalist" แต่งโดย Roger Lowenstein  เขาลงความเห็นว่า หนังสือเล่มดังกล่าวเป็นตัวจุดประกายไฟในเรื่องการลงทุนแบบ VI แก่ตัวเขา  ...และที่สำคัญความรู้ด้าน Finance ที่เรียนมาจากมหาวิทยาลัยประยุกต์ใช้กับการลงทุนแบบ VI ไม่ใคร่จะได้เลย    เขาเองก็แต่งหนังสือ ชื่อ Focus Investor ออกเมื่อไม่นานนี้เอง

ลองอ่านบทความที่ว่าตามลิงค์นี้นะครับ เพื่อประกอบการพิจารณาว่าคุณมีความพร้อมหรือยังที่จะเป็นนักลงทุนแบบ VI ในตลาดหุ้นได้:
http://focusinvestor.com/ActiveInvestors.pdf

อยากรู้ว่าๆพี่ๆๆมีวิธีการไหนที่ลดสภาวะเสี่ยงจากการ

โพสต์แล้ว: เสาร์ ธ.ค. 09, 2006 11:10 pm
โดย nowkung
ตอบมั่ง
1. บริษัทที่มีธรรมาภิบาลจะดำเนินธรุกิจอย่าง"ตรงไปตรงมา"ครับ

2. เป็น VI ดีกว่า technical แน่ๆ เพราะ VI วิเคราะห์เสร็จแล้วถือยาวและหุ้นที่ VI ถือมี margin of safety โอกาสที่ VI จะขาดทุนยากกว่า technical มากๆ

3. future กับ option ต่างกับหุ้นตรงที่ future & option มันหมดอายุได้ และถ้า  future มันมีผลขาดทุนจนเกิน margin คุณก็ต้องใส่เงินเพิ่มซึ่งสามรถขาดทุนได้มหาศาลกว่าหุ้น

ปล peter lynch กับ warrent buffet ยังไม่กล้ายุ่งกับ future & option เลยครับขอบอก