........................
ช่วงเริ่มต้นเหยียบย่างเข้าสู่โลกแห่งการลงทุน ผมซื้อ “หุ้นผีบอก” เลย กล่าวคือการซื้อหุ้นตามโบรกเกอร์ เขาว่าหุ้นตัวไหนดี ผมก็ว่าตามกันไป โชคชะตายังเข้าข้าง “คนไม่รู้อีโหน่อีเหน่” อย่างผม ปีนั้นตลาดหุ้นเป็นใจ ไม่ว่าจะซื้อหุ้นตัวไหนก็ได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ ปี 2546 ดำเนินผ่านไปอย่างรวดเร็ว ผมประสบความสำเร็จอย่างมากจากหุ้นผีบอก หากแต่ผมรู้ตัวดีว่าสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นเพียงเรื่องของจังหวะเวลาและโชคชะตา มันไม่ได้เกิดจากความสามารถของตนเองเลยแม้เพียงสักนิดเดียว
........................
กลยุทธ์แบบหุ้นผีบอกยังคงใช้งานได้ดีในอีก 2-3 ปีต่อจากนั้นมา พอวันเวลาย่างเท้าเข้าสู่ปี พ.ศ.2549 หลายๆสิ่งเริ่มเปลี่ยนไป ผลตอบแทนไม่เป็นไปตามที่ผมคาดหวังอีกแล้ว จึงทำให้ผมเริ่มคิดย้อนกลับมาทบทวนตัวเองว่าตลอดเวลา 3 ปีที่โลดแล่นอยู่ในตลาดหุ้น เราทำอะไรผิดพลาดไปบ้างรึเปล่า? ผมเริ่มตระหนักได้ว่าความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตการลงทุนของเราคือ “การซื้อหุ้นตามผู้ (ที่เราคิดว่าเขา) เชี่ยวชาญ” ไม่ว่าจะเป็นโบรกเกอร์ บทวิเคราะห์หลักทรัพย์ หนังสือพิมพ์ หรือแม้กระทั่งกลุ่มเพื่อนที่เรียกตัวเองว่าเป็นคนวงในอุตสาหกรรมนั้นๆ ผมเรียนรู้ว่า ไม่มีทางที่ใครจะรู้เรื่องราวในตลาดหุ้นได้ดีแบบมั่นใจ 100% ไม่มีวันที่จะผิดพลาดได้หรอก ผมจึงเริ่มมองหาวิธีการใหม่ๆ สิ่งเหล่านี้เป็นจุดเริ่มต้นซึ่งกระตุ้นให้เราหันมาใส่ใจศึกษาหาความรู้ด้านการลงทุนด้วยตนเองอย่างจริงจัง
........................
หุ้นผีบอกก็ไม่ได้แย่ไปเสียทีเดียว เขาเป็นครูที่ดี เขาสอนให้ผมรู้ว่าเราควรวางตัวอย่างไรในตลาดหุ้นจึงจะปลอดภัย ทัศนคติของผมเปลี่ยนไปมากตั้งแต่เริ่มต้นศึกษาเรื่องการลงทุนอย่างจริงจัง อย่างน้อยที่สุดคือไอ้ความคิดที่จะทำงานเก็บเงินเพื่อเอาไปผลาญกับความสนุกสนานเพียงด้านเดียวเริ่มน้อยลง ก็ยังมีอยู่บ้างเพราะมันคือชีวิตที่ผมชอบ แต่น้อยลงไปเยอะ อีกทั้งความคิดที่จะเก็บออมเงินทั้งหมดไว้ในบัญชีออมทรัพย์เพียงอย่างเดียวก็หมดไปเลยเช่นกัน ทุกวันนี้ผมไม่ค่อยเก็บเงินสดนะ เมื่อมีรายได้เข้ามาก็กันเงินส่วนหนึ่งไว้ใช้จ่ายในชีวิตประจำวันอย่างเพียงพอ ส่วนเงินที่เหลือจากนั้นทั้งหมดจะนำไปลงทุนไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
........................
........................
ในระหว่างทางที่ผ่านมา ผมก็ลงทุนไปเรื่อยๆ ไม่ได้มีความเชี่ยวชาญอะไร “การลงทุนกลายเป็นความบันเทิงส่วนตัว ท่ามกลางสิ่งเย้ายวนใจมากมายในโลกดนตรี” เสน่ห์ของโลกแห่งการลงทุนเท่าที่ผมสัมผัสได้คือ มันสามารถทำให้คุณรู้จักสัญชาตญาณของตนเอง มันทำให้คุณได้เรียนรู้ด้านมืดภายในจิตใจ ทั้งความโลภและความกลัวอย่างสุดโต่ง จนเหลือแต่ความชินชา สำหรับผมแล้วนั้น การลงทุนมันสอนให้เรารู้ว่า “ชีวิตมันก็มีเพียงเท่านี้แหล่ะ ไม่มากหรือน้อยไปกว่านี้แล้ว”
........................
......
ภายหลังปี พ.ศ.2549 ที่ผลตอบแทนการลงทุนของผมเริ่มย่ำแย่ ความผิดพลาดต่างๆส่วนหนึ่งเกิดจากการที่ผม “คิดมาก และซับซ้อนเกินไป” ผมเริ่มมีความคิดว่าไอ้กระบวนการลงทุนนี่เราทำให้มันง่ายได้ไหม? เวลาผมทำเพลง ผมคิดน้อยนะ ผมว่าบทเพลงที่ดีคือบทเพลงที่ไร้ซึ่งความคิด เราใช้สัญชาตญาณเข้าไปจับสิ่งต่างๆ เมื่อใดก็ตามที่เริ่มมีการประเมินว่าสิ่งนี้ สิ่งนั้น เมื่อทำแล้วผลลัพธ์จะออกมาดีไหม เราอาจหมกมุ่นจนเกินไป
........................
เราเริ่มจริงจังกับงบการเงิน อัตราส่วนทางการเงิน สำหรับบางคนมันได้ผล แต่สำหรับผมแล้วตัวเลขพวกนี้มันเป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้เหมือนๆกัน ดังนั้นมันอาจจะไม่ใช่ประเด็นสำคัญที่สุดซึ่งจะสร้างความได้เปรียบอะไรเลย ลองมองย้อนกลับไปสู่ช่วงที่เริ่มต้นลงทุนใหม่ๆ ผมมีหุ้นเต็มพอร์ตเลย แต่ผมไม่ได้รู้จักหุ้นพวกนั้นดีพอ ผมไม่เคยใช้บริการ ไม่เคยซื้อสินค้าที่บริษัทเหล่านั้นผลิต ผมไม่เคยเป็นลูกค้าพวกเขาเลยสักครั้ง เราอาจต้องกลับมาคิดอะไรที่ดูเรียบง่ายมากกว่านั้น เรากินอะไร เราใช้อะไร เราพบเจออะไรในชีวิตประจำวัน
........................
เมื่อผมอยากกินข้าวขาหมู เวลาจะเลือกร้านก็แค่เพราะว่ามันอร่อยและสะอาด ผมไม่เคยคิดหรอกว่าเขาขายข้าวขาหมูได้กำไรเท่าไหร่ มีหนี้สินเยอะไหม ผมรู้แค่ว่าร้านนี้อร่อย ถ้าเราเป็นเจ้าของร้านนี้ต้องรวยแน่ ขายดีแน่ กำไรแน่ ไม่เจ๊งแน่ๆ บางครั้งหากเราคิดมากเกินไป มันทำให้เรามองข้ามเรื่องพื้นฐานสามัญธรรมดาที่ควรใส่ใจ เราสามารถเรียนรู้กระบวนการลงทุนได้จากเรื่องธรรมดาทั่วไปเหล่านี้ หลังจากนั้นผมเริ่มออกเดินไปตามท้องถนน เมื่อเจอสิ่งที่ถูกใจ ก็ลองไปค้นคว้าหาข้อมูลเพิ่มเติมดูสักหน่อย มีหุ้นจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์หรือเปล่า? ถ้ามีก็ศึกษาต่อไปอีกสักนิด งบการเงินคร่าวๆ และสิ่งสำคัญคือ “คนอื่นเขารู้หรือยังว่าสิ่งนี้ดี และมีอยู่ในตลาดหุ้น?” มีผู้คนอีกจำนวนมากมายซึ่งเรียกตนเองว่านักลงทุน แต่ซื้อหุ้นโดยที่ไม่เคยรู้เลยว่าบริษัทนั้นทำมาหากินอย่างไร เขาขายสินค้าอะไร?
........................
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ผมใช้วิธีพื้นฐานง่ายๆ มาคัดกรองหุ้นเบื้องต้นเพื่อลงทุนเสมอ จนถึงปัจจุบัน มีการวิเคราะห์งบการเงินบ้างนิดหน่อย ไม่ใช่ไม่ดูเลย คร่าวๆเพียงว่า อนาคตยอดขายของบริษัทมีแนวโน้มจะเติบโตไหม? หนี้สินเป็นอย่างไร? ผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นใคร? ผู้บริหารมีประวัติโปร่งใสหรือไม่? นักลงทุนต้นแบบที่ผมเรียนรู้จากพวกเขาเสมอคือ “วอร์เรน บัฟเฟตต์ (Warren Buffett)” และ “ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร” ยกตัวอย่างเช่น ดร.นิเวศน์ สิ่งที่ประทับใจมากที่สุดคือ “มุมมองอันเรียบง่าย” ไม่จำเป็นต้องหยิบศัพท์เฉพาะทางยากๆมาพูด ดูเป็นคนช่างสังเกตพฤติกรรมมนุษย์ สังเกตว่ามนุษย์ในสังคมกำลังสนใจเรื่องอะไรกันอยู่ ที่เหนือชั้นไปกว่านั้นคือ แล้วคนรุ่นต่อๆไปในอนาคตพวกเขาน่าจะสนใจสิ่งใด ผมว่ามันสำคัญสำหรับโลกการลงทุน
........................
หากจำเป็นต้องเปรียบเทียบว่าแนวทางการลงทุนแบบเน้นคุณค่าคล้ายกับแนวทางดนตรีประเภทไหน? ผมคิดว่าคงเป็น “วงดนตรีอินดี้” ไม่ได้อยู่ภายใต้สังกัดค่ายเพลงใหญ่ ใจเย็น ไม่จำเป็นต้องโด่งดังชั่วข้ามคืน ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาสรรเสริญเยินยอ อยู่อย่างเรียบง่ายเช่นนี้ไปเรื่อยๆ อย่างสมถะ “ผมว่าพวกวีไอชอบการลงทุนอย่างเข้าเส้น แต่ไม่ได้บ้าเงินนะ”
........................
ผมมีแนวคิดเรื่องการวางแผนเกษียณอายุมาโดยตลอด มันเริ่มต้นตั้งแต่ช่วงก่อร่างสร้างวงดนตรี “อพาร์ตเมนต์คุณป้า” เราเริ่มต้นอาชีพนักดนตรีโดยตระหนักรู้อยู่ก่อนแล้วว่ามันอาจจะไม่สามารถทำเงินได้มากพอเพื่อการหล่อเลี้ยงชีวิต นี่คือหนทางเดียวที่จะรักษาเสถียรภาพในชีวิต เพราะผมเองก็มีรสนิยมในการใช้ชีวิตประมาณหนึ่ง ซึ่งมันมีค่าใช้จ่าย ผมไม่ได้อยากอยู่แบบลำบาก ผมอยากใช้ชีวิตในแบบที่ผมสนุกสนานเช่นนี้ไปเรื่อยๆ และมีความสุขไปกับมัน
........................
.....................................................
...
........................................................................
ขอให้มีความสุขกับการลงทุน ในทุกๆวันนะครับ
...
ขอขอบคุณภาพประกอบและข้อมูลบางส่วนจาก
...
...
...