MoneyTalk@SET13/1/61แนวโน้มหุ้นไทย61&หลากหลายกลยุทธ์หุ้น

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
ภาพประจำตัวสมาชิก
i-salmon
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 295
ผู้ติดตาม: 1

MoneyTalk@SET13/1/61แนวโน้มหุ้นไทย61&หลากหลายกลยุทธ์หุ้น

โพสต์ที่ 1

โพสต์

สรุปสัมมนา Money Talk@SET 13/01/2018


ช่วงที่ 1 แนวโน้มหุ้นไทยปี 2561 และเฟ้นหาหุ้นเด่น
แขกรับเชิญ
1) ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ/CEO บล.เอเชียพลัส
2) คุณมนตรี ศรไพศาล/CEO บล.เมย์แบ้งค์กิมเอ็ง
3) คุณไพบูลย์ นลินทรางกูร/CEO บล.ทิสโก้
ผู้ดำเนินรายการ ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา และ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

แนวโน้มหุ้นไทย และปัจจัยที่กระทบ
ดร.ก้องเกียรติ
สิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันคือ เงินไหลเข้าตลาดหุ้นมหาศาล ตั้งแต่ทรัมป์เข้ามาเป็นประธานธิบดีอเมริกา
นโยบายที่ทำเพื่อประโยชน์ต่อตลาดทุนอเมริกา เช่น การลดภาษีนิติบุคคล ลดภาษีจาก 35 เหลือ 21% ที่เพิ่งทำสำเร็จ
และการลงทุนในระบบสาธารณูปโภคต่างๆอย่างมหาศาล
จุดหักเหคือ การลดภาษีนิติบุคคล จะส่งผลให้ บริษัทจดทะเบียน EPS เพิ่มขึ้น มีเงินเหลือมากขึ้นสามารถซื้อหุ้นคืน
โดยเฉพาะในอเมริกา กลไกบริหารเงินนอกจากจ่ายปันผล ที่นิยมคือซื้อหุ้นตัวเองคืน
รวมถึงการลดภาษีให้บริษัทที่เก็บเงินไว้ต่างประเทศมากๆ
เช่น หุ้นเทคโนโลยี แอปเปิล กูเกิล ก็จะเอาเงินจากต่างประเทศกลับมาอเมริกา

นอกจากนี้ปัจจุบันเศรษฐกิจอเมริกาฟื้นอย่างชัดเจน ยุโรปจากที่มีปัญหาหลายปีก่อนก็มีเสถียรภาพมากขึ้น
เช่น เยอรมันก็เพิ่งจัดตั้งทีมรัฐบาลเรียบร้อยเป็นชุดเดิม
มีสเปนที่มีปัญหาเล็กๆน้อยๆในกาตาโลเนียบ้าง แต่เป็นปัญหาภายใน
สิ่งที่สังเกตสัญญาณฟื้นตัวคือ สินเชื่อดีขึ้น หุ้นธนาคารในอเมริกาดีขึ้น
ถ้าลงทุนในหุ้น Citibank JP Morgan Bank of America ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา
โตขึ้นจากจุดต่ำสุดมากกว่า 100% และยังสามารถขึ้นไปได้อีก
เพราะอัตราดอกเบี้ยอเมริกาค่อยๆปรับขึ้น และอัตราเงินเฟ้อไม่ได้ขึ้นอย่างน่ากลัว
ซึ่งช่วยส่งเสริมให้เศรษฐกิจประเทศต่างๆ ฟื้นด้วย ทั้งยุโรป ญี่ปุ่น จีน
อย่างเช่น ตลาดหุ้นฮ่องกง ก็ทำจุดสูงสุด ขึ้นต่อกันเป็นสิบวันแล้วตั้งแต่ปีใหม่
ตลาดโลกส่วนใหญ่อยู่ในระดับดัชนีทำจุดสูงสุดใหม่ ยกเว้น ญี่ปุ่น
โมเมนตันดีมักจะมีแรงส่งต่อ ไม่น่าจะมีการกลับข้างแบบ 180 องศาในช่วงเวลาสั้นๆ

เม็ดเงินไหลเข้าทำสถิติโลกใหม่
เงินไหลเข้าตลาดหุ้นในอเมริกาสูงสูดเป็นอันดับ 6 ในสถิติโลก คิดเป็นเม็ดเงิน 7 แสนล้านบาท
เงินไหลเข้าพันธบัตรตลาดกำลังพัฒนา 3.6 พันล้านเหรียญ หรือ 1 แสนล้านบาท
เงินไหลเข้าหุ้นเทคโนโลยี 1.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ เป็นอันดับ 2 ในสถิติโลก

ตลาดหุ้นไทยปีนี้คาดกำไรโต 14.5 % ซึ่งดีกว่าปีที่ผ่านมา
สาเหตุส่วนหนึ่งเพราะหุ้นน้ำมัน ราคาน้ำมันตกต่ำลงไปเยอะ มีการปิดกิจการเยอะ
ทำให้มีการฟื้นกลับขึ้นมา
สิ่งที่น่าสนใจคือ หุ้นไทยส่วนใหญ่ที่มีน้ำหนักในดัชนียังเป็นชื่อเดิมๆ เช่น กลุ่มน้ำมัน มือถือ ค้าปลีก ธนาคารพาณิชย์
ซึ่ง 10 ปีก่อนก็เป็นเช่นเดิม ถือเป็นข้อเสียของประเทศไทย แต่ถ้าอเมริกาหุ้นใหญ่สุดวันนี้ เป็นหุ้น Technology
หุ้นที่ใหญ่สุดในอเมริกาคือ Apple มูลค่า 9 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 29 ล้านล้านบาท
ในขณะตลาดหุ้นไทย อยู่ที่ 14 ล้านล้านบาท หรือราว 2 เท่าของ SET
อันดับ 2 คือ Alphabet(บริษัทแม่ google) 719 พันล้านเหรียญสหรัฐ
อันดับ 3 Microsoft 644 พันล้านเหรียญสหรัฐ , อันดับ 4 Amazon 543 พันล้านเหรียญสหรัฐ
ที่เหลือ เช่น พวก JP Morgan หรือพวกหุ้นใหญ่เดิมๆ
ภาพของหุ้นใหญ่ในตลาดหุ้นอเมริกาเปลี่ยนไปเยอะ แต่หุ้นไทยคล้ายๆเดิม
ในขณะประเทศจีนมีหุ้นใหญ่ๆที่ขึ้นมาดันดัชนีได้ เช่น Tencent หรือประกันใหญ่อย่างผิงอัน

มีหลายคนถามว่า SET จะไป 2000 ได้เมื่อไร ก็คงขึ้นกับราคาน้ำมันต้องขึ้นไปเยอะๆ
หุ้นใหญ่ๆอื่น เช่น สื่อสารก็ต้องจ่ายค่า license มหาศาล
ธนาคารไทยพาณิชย์ก็โตตามเศรษฐกิจไม่ได้ก้าวกระโดดแบบหุ้นเทคโนโลยี ก็เหลือแต่หุ้นน้ำมันเหมือนเดิม
ตลาดหุ้นรอบโลกก็ทำจุดสูงสุดใหม่ เศรษฐกิจโลกก็เติบโตได้ดี มองที่ระดับเติบโต 3.7% คิดว่าโมเมนตัมยังไปได้ดี
ให้จับตา หุ้น sector ใหม่ๆ อาจเปลี่ยนโฉมหน้าการทำธุรกิจในโลก ส่วนหุ้น sector เก่า ให้จับตาดู cyclical เช่น น้ำมัน, ปิโตรเคมี

สิ่งที่กังวลมี 2 เรื่อง
เรื่องที่ 1 ฟองสบู่ crypto currency เช่น บิทคอย ปัจจุบันมูลค่า 23.5 ล้านล้านบาท ใหญ่กว่าตลาดหุ้นไทย
ดอกเบี้ยต่ำ บังคับให้เงินไม่มีที่ไป ทำให้ crypto currency รวมถึง commodities ต่างๆ ขึ้นไป ทั้งน้ำมัน ทองคำ
ฟองสบู่เกิดขึ้นสิ่งที่เราตีมูลค่าได้ ผู้เล่นรายใหญ่ในบิทคอย มีนักการพนัน นักฟอกเงิน ปัจจุบันมีผู้เล่นใหม่ๆ เข้าไปด้วย
ทำให้คิดถึงอดีตอย่างช่วงฟองสบู่ดอทคอมระเบิด หรือทิวลิปดำในเนเธอร์แลนด์พังลงมา
ดังนั้นถ้าฟองสบู่แตกจะมีผลกระทบกับรอบข้างได้
เรื่องที่ 2 อัตราดอกเบี้ยขาขึ้น กิจกรรมต่างๆ เช่น M&A การ leverage เพื่อซื้อหุ้น หรือ commodities จะลดลง
สิ่งที่ต้องจับตา คือ bond yield ของ US

ดร.นิเวศน์ ถาม ทำไมต่างชาติไม่ซื้อหุ้นไทย?
ดร.ก้องเกียรติ
1) ปีที่แล้วประเทศเราไม่มีการลงทุนทางตรง(FDI) มีโครงการแต่ก็ไม่สำเร็จ
2) ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไม่เติบโต
3) ตลาดเกิดใหม่น่าสนใจกว่า เช่น จีน อินเดีย เวียดนาม
4) เงินที่ไหลเข้า emerging market ไม่มากเท่าไร ส่วนใหญ่ Focus ที่อเมริกา
คิดว่าตลาดหุ้นไทยอาจใช้เวลาสักพักถ้าหากต่างชาติจะสินใจเข้าซื้อ
ส่วนใหญ่บ่นว่าตลาดหุ้นไทยแพง แต่ก็ต้องดู Outlook ตลาดหุ้นประเทศอื่นเปรียบเทียบด้วย
ตลาดหุ้นไทยเล็กมาก ไม่ถึง 0.5% ของตลาดหุ้นโลก ผลกระทบอาจไม่มากใน portfolio
มีตัวอย่างลูกค้าในอเมริกาบริหารเงิน 2 แสนล้านเหรียญสหรัฐ (เกือบ 7 ล้านล้านบาท)
มูลค่าลงทุนขั้นต่อต่ำในการซื้อหุ้นแต่ละตัวคือ 5 ร้อยล้านเหรียญ(16,000 ล้านบาท)
ดังนั้นหุ้นไทยจะมีตัวเลือกที่เขาซื้อได้ไม่มาก เช่น ถ้าซื้อหุ้นน้ำมันในไทย PTT เขาก็มีทางเลือกอื่น
เช่น Chevron, royal dutch shell และในการตัดสินใจเขาก็ต้องใช้เวลาผ่าน investment committee


คุณไพบูลย์
เห็นด้วยตาม ดร.ก้องเกียรติ มองว่าหุ้นอยู่ในตลาดขาขึ้น แต่เป็นช่วงปลายตลาดกระทิง
นอกจากปัจจัยด้านเศรษฐกิจแล้ว มีอีก 2 ปัจจัยที่ทำให้หุ้นขึ้นแรง
คือสภาพคล่องที่ไม่เคยมากขนาดนี้มาก่อน และอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงมาจนใกล้ 0% หรือติดลบ
จึงมีการปรับมูลค่าหุ้นแพงกว่าเดิมที่เคยเป็นอยู่ ทั้งตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตรขึ้นกันต่อเนื่องหลายปี
ดังนั้นต้องจับตาการเปลี่ยนแปลงของ 2 ปัจจัยนี้
1) สภาพคล่อง - อเมริกากำลังลดสภาพคล่อง แต่ยุโรป ญี่ปุ่น และประเทศอื่นยังเพิ่มสภาพคล่องอยู่
ดังนั้นคิดรวมๆปีนี้มองว่าสภาพคล่องน่าจะยังดี แต่ปีหน้าสภาพคล่องจะเริ่มลดลง
อเมริกาจะถอนสภาพคล่องมาขึ้น, ยุโรป และญี่ปุ่น น่าจะเริ่มลดสภาพคล่องลงตาม
ยุโรปปีก่อนโต 2.3% เพราะได้อานิสงค์จากสภาพคล่องและดอกเบี้ยต่ำ
อย่างเช่น บริษัทที่เคยต้องกู้ 6-7% แต่สามารถกู้ 1-2% จึงสามารถทำกำไรได้ดีขึ้น
2) อัตราดอกเบี้ย – อเมริกา FED เริ่มปรับขึ้นดอกเบี้ยเป็นประเทศแรก แล้วประเทศ emerging เริ่มปรับขึ้นตาม
แต่โชคดีที่ดีเงินเฟ้อไม่เพิ่มขึ้น เพราะ การซื้อของ online อย่าง Alibaba ทำให้ราคาสินค้าทั่วโลกลดลง
ไม่ต้องสร้างห้างสรรพสินค้า มีคนติดตาม CPI ของสินค้าบน internet ไม่เปลี่ยนแปลง
เพราะราคาบนโลก online ทำให้ราคาบนโลก offline ไม่สามารถปรับเพิ่มขึ้นได้ด้วยเช่นกัน
แต่ ณ จุดนี้ ฐานต่ำมาหลายปี และเริ่มมีสัญญาณเงินเฟ้อจะปรับเพิ่ม

อีกสัญญาณเคือ output gap - ทุกเศรษฐกิจจะมีระดับการเติบโตที่เหมาะสม ถ้าน้อยไปเงินเฟ้อจะไม่มี
แต่วันนี้ output gap ถูกปิดไปแล้ว เช่น ยุโรประดับศักยภาพควรโต 1-1.5% ปีที่แล้วโต 2.3% ปีนี้ก็คาดโต 2.3%
ดังนั้นโตเกินศักยภาพ (ไม่มี output gap) ปัจจุบันดอกเบี้ยยุโรป 0% จึงคาดว่าจะมีการปรับดอกเบี้ยขึ้น
และเมื่ออเมริกา ยุโรปปรับขึ้น ประเทศอื่นน่าจะปรับเพิ่มเช่นกัน
หุ้นที่มี PE 100 เท่าจะไปได้นานแค่ไหน ถ้าดอกเบี้ย 0% คงไปต่อได้ แต่ถ้าดอกเบี้ยกลับมาปกติจะอยู่ได้ไหม
ต้องให้สภาพคล่องลดมาในระดับที่พอสมควร ถ้าเริ่มลงเยอะจะน่าอันตคราย
คิดว่า Bull market น่าจะไปได้ 1-2 ปี และ Correction จะแรงแค่ไหนก็ไม่มีใครทราบ เพราะไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ตอน QE ก็ไม่เคยมีใครเห็น ช่วงแรกคนก็กล้าๆกลัวๆ พอ QT ก็เหมือนกัน ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
ประเด็นดอกเบี้ย ทำให้เกิดเงินเฟ้อ ถ้ามาแรงและเร็ว ดอกเบี้ยก็จะขึ้นเร็ว

สำหรับประเทศไทย ช่วงที่ผ่านมาก็ได้รับประโยชน์ตามการฟื้นตัวอเมริกา แต่ไม่ได้เต็มที่เท่าไร
เพราะมีเรื่องการเมือง ปัญหาภายในต่างๆ มีช่วงหลังที่กลับมาเติบโตได้ 4% ความมั่นใจสูงขึ้น จึงมีเม็ดเงินเข้ามากขึ้น
Upside ตลาดหุ้นไทยมองว่าไม่มาก ภาพใหญ่ SET 1800 กว่าจุด ถ้าไปถึง 1900 ก็เหลืออีกแค่ 5%
ถ้าจะได้กำไรดีๆ ต้องคัดสรรหุ้น การเหวี่ยงแหซื้ออะไรก็ได้ไม่น่าสำเร็จ เพราะภาพใหญ่ไม่ได้เอื้ออำนวย
ต้อง valuation แล้วสมเหตุสมผล หุ้นหลายตัวยังไม่สมเหตุสมผล เหมือนเอา PE หุ้น Technology
มาเทรดกับ PE หุ้น real sector เช่น โรงไฟฟ้า PE 40 เท่า ไม่มีที่ไหนในโลกเทรดระดับนี้
และเป็นอีกเหตุผลที่ฝรั่งไม่มาเทรดที่บ้านเรา เพราะมีหุ้นไม่กี่ตัวที่ซื้อได้และตัวที่ซื้อได้ก็มูลค่าสูงแล้ว
เช่น ถ้าฝรั่งจะซื้อหุ้นท่องเที่ยว หุ้นสนามบินเราก็ Market cap ใหญ่ แพงสุดในโลกไปแล้ว
หรือหุ้นไฟฟ้าก็แพงกว่าที่จะซื้อ หรือหุ้นผู้รับเหมา,Infrastructure ก็ทำให้ผิดหวังหลายรอบ จึงไปลงทุนประเทศอื่นดีกว่า
เหลือกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่มูลค่าอยู่ในระดับที่เหมาะสมยังพอซื้อได้
สรุปปีนี้ยังไม่ค่อยเป็นห่วง Peak อาจจะเห็นกลางปี แล้วชะลอ ถ้าการเลือกตั้งไม่มี จะส่งผลให้ความมั่นใจลดลง

ดร.นิเวศน์ ถามเพิ่มว่าเคยเจอสถานการณ์แบบนี้ไหม และมันจะเป็นไปตามต่างประเทศไหม
คุณไพบูลย์ เคยไม่เห็นมาก่อน ทั้ง QE, ดอกเบี้ย 0% ก็ไม่เคยเห็นมาก่อน
นักลงทุนสมัยนี้มีข้อมูลมากขึ้น มีคอมพิวเตอร์ช่วยประมวลให้ จะทำให้เปรียบเทียบได้ง่ายขึ้น
ถ้าปีที่เราดี เราก็จะได้รับประโยชน์มากขึ้น แต่ถ้าเราไม่ดี ก็จะไม่ได้ประโยชน์ไปกับประเทศอื่น (ตลาดมีประสิทธิภาพสูงขึ้น)
ดังนั้นถ้าตลาดต่างประเทศขึ้น ก็ไม่แน่เสมอไปว่าหุ้นไทยจะต้องขึ้น สิ่งที่คิดว่าตลาดยังไปได้
เพราะสภาพคล่องส่วนใหญ่อยู่ในตลาดพันธบัตร ถ้าเงินชุดแรกที่จะออก เงินพันธบัตรจะไปที่ตลาดหุ้นก่อน
พันธบัตรจีนวิ่งแตะไป 2.6% ไปที่ตลาดหุ้น เงินชุดถัดไปก็อาจจะไหลออกจากตลาดหุ้นใน 2 ปีข้างหน้า


คุณมนตรี
คิดว่าเราน่าจะรู้สึกตอนนี้ตลาดหุ้นไทยแพง เพราะมันไม่เคยมี New high มานานแล้ว
จุดสูงจำไม่ยาก SET 1789 วันที 5 ม.ค.61 ทำ New high วันแรก เป็นสิ่งที่เรารอมา 23 ปี
ทั่วโลกไปด้วยกัน เพราะทุกที่ทำ New high คำถามคือมันจะเป็นฟองสบู่เหมือนในอดีตไหม
ส่วนตัวมองว่าประเทศไทยไม่ค่อยมีฟองสบู่ แต่ถ้าจะเกิดฟองสบู่แตกจะมาจากตลาดโลก
ในอดีตตอนเกิดฟองสบู่แตก หุ้นไทย PE 30 เท่า (E/P 3.3%) ดอกเบี้ยเงินฝาก 10%
วันนี้ PE 20 เท่า (E/P 5%) ดอกเบี้ย 1-2% จะเห็นว่าวันนี้ไม่ได้มีแรงกดดันให้เงินไหลออกจากตลาดหุ้น
ถ้าดู Forward PE 16-17 เท่า (E/P 6%) และไม่ได้ต่างกับประเทศอื่นมากนัก
จึงอยากให้สบายใจระดับหนึ่งว่า SET ที่ขึ้นไปเกิน 1700 จุดวันนี้ไม่ได้แปลว่าต้องฟองสบู่แตก
เรื่อง Crypto Currency คิดว่าถ้ามีการกันเงินเอาไว้ และไม่มีสถาบันเข้าไปซื้อกันเยอะก็ไม่มีอะไรน่ากลัว

สำหรับฟองสบู่ในตลาดหุ้นวัดที่ margin loan
ในอดีต margin loan 1.2 แสนล้านบาท แต่วันนี้ margin loan 6.7 หมื่นล้านบาท เล็กลงครึ่งหนึ่ง
ขนาดหุ้นไทยในอดีต 3.5 ล้านล้านบาท แต่ตลาดหุ้นไทยวันนี้ขนาด 18.5 ล้านล้านบาท สัดส่วน margin load ลดลงมาก
มีฟองสบู่แฝงคือ single stock future ในหุ้นบางตัวก็อยากให้ระมัดระวัง
โดยภาพรวม หุ้นไทยยังไม่มีฟองสบู่ สมเหตุสมผล เศรษฐกิจไทยยังดี การบริโภคในประเทศมีแนวโน้มดีขึ้น
อารมณ์ในการจับจ่ายดีขึ้นหลังจากผ่านความเศร้าโศกการไว้อาลัย คนกลับมาใช้จ่ายกินดื่ม ซื้อเสื้อผ้าสีสดใส
สินค้าเกษตรแรงกดดัน Stock ข้าวน่าจะค่อยๆดีขึ้น ภาระหนี้ลดคันแรกก็จ่ายคืนไปดีขึ้น
การว่างงานต่ำมาก ภาคอุตสาหกรรมมักหาแรงงานได้ยาก
สมัยก่อน Modern trade ทำให้ร้านค้าต่างๆอยู่ไม่ได้
แต่สมัยนี้ Modern trade อย่าง Walmart ยังต้องลดคนตั้งเยอะ เพราะ Technology เปลี่ยนไป
ดังนั้นโลกเปลี่ยนไป การขายของถ้าเราทำเหมือนเดิมจะมัวแต่โทษเศรษฐกิจไม่ได้ ธุรกิจต้องแสวงหาช่องทางที่จะทำกำไร
ภาคเกษตรปีสองปีก่อนเคยห่วงน้ำแล้ง ตอนนี้ต้องห่วงน้ำท่วม ปริมาณน้ำยังดี คิดว่าภาคเกษตรยังมั่นคง
การใช้จ่ายภาครัฐ คิดว่าเสถียรภาพรัฐบาลจะทำให้การจ่ายออกมาได้ดี
การนำเข้าช่วงที่ผ่านมายังไม่ดี เพราะภาคการผลิตไม่ได้ใช้กำลังการผลิตเต็มที่นัก
ภาคท่องเที่ยวแข็งแกร่งมาก จำนวนนักท่องเที่ยวขึ้นมาระดับ 35 ล้านคน
ทุนสำรองระหว่างประเทศไทยมากเป็นลำดับ 12
อดีตเคยมีทุนสำรอง 4 หมื่นล้านเหรียญ วันนี้มี 2.3 แสนล้านเหรียญ มากกว่าเยอรมัน,อังกฤษ,ฝรั่งเศส
มีเงินเกินบัญชีเดินสะพัดกว่า 10% ดอกเบี้ยนโยบาย 1.5% ใกล้เคียงกับอเมริกา เป็นระดับที่ปรับขึ้นได้ลงได้
ปัจจัยเสี่ยงมองว่าเป็นลูกโป่งโลก เงิน QE ดอกเบี้ยต่ำในโลก
แต่ยังเชื่อว่าผู้กำหนดนโยบายโลกไม่มีใครอยากกระชากให้มันปรับตัวอย่างรวดเร็ว น่าจะเป็นการชะลอค่อยๆลดลง

สรุป ตลาดหุ้นไทย เชื่อมั่นในครึ่งปีแรก และครึ่งปีหลังต้องประเมินอีกทีว่าขึ้นไปมากหรือยัง
PE ตลาดหุ้นไทยเฉลี่ย 14.5 เท่า คิดว่า SET ระดับ 1870 จุด ต้องระมัดระวัง และติดตามบรรยากาศโลกด้วย
ดัชนีหุ้น เป็นดัชนีชี้นำเศรษฐกิจ ดังนั้นเศรษฐกิจจะค่อยดีตาม หุ้นดี อารมณ์จะค่อยดีตาม
ผลดำเนินงาน่าจะมีทิศทางดีขึ้นได้ ดอกเบี้ย ยังต่ำได้ เพราะเงินเฟ้อไม่สูง คนกำหนดนโยบายจะพยายามไม่ให้ดอกเบี้ยต่ำกว่าเงินเฟ้อ
อัตราเงินเฟ้อเป็นข้อมูลที่รู้แล้วครึ่งหนึ่ง ก่อนหน้าเรามองว่าเงินเฟ้อต่ำแน่ เพราะน้ำมันฐานสูงมาต่ำ
แต่วันนี้ น้ำมันฐานต่ำไปฐานสูง จึงเป็นแรงกดดันให้อัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น

อุตสาหกรรมใดน่าสนใจ หรือน่าหลีกเลี่ยง แนะนำหุ้นในกลุ่มนั้น
ดร.ก้องเกียรติ
ขอมองเป็นกลุ่มอุตสาหกรรม ต้องดูผู้นำในกลุ่ม และ Valuation
1) กลุ่มน้ำมัน,ถ่านหิน ยังเป็นแนวโน้มขาขึ้น
2) กลุ่มที่ได้ประโยชน์เม็ดเงินลงทุนก้อนใหม่ของรัฐบาล ซึ่งนักลงทุนผิดหวังมาหลายปีแล้ว
3) กลุ่มเงินปันผลสูง คิดว่านักลงทุนไทยไม่ค่อยเป็นพวกรักเงินปันผล
ส่วนใหญ่น่าจะชอบ Capital gain ความอดทนไม่ค่อยมี จับหุ้นที่ได้เสียเร็ว
กลุ่มที่มองว่าอาจได้รับผลกระทบด้านลบ
1) กลุ่มที่โดนกระทบเรื่องภาษี GSP กับอเมริกา เช่น พวกอาหาร และอิเล็คทรอนิกส์บางบริษัท รวมถึงราคาทองแดงก็ปรับเพิ่ม
2) กลุ่มที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง เช่น สายการบิน อย่างบางสายการบินก็ไม่น่าจะอยู่ได้
3) กลุ่มหุ้นขนาดเล็ก/กลาง ที่ PE สูงผิดปกติ เพราะพื้นฐานไม่รองรับ น่าจะปรับตัวลงได้ก่อน เช่น PE 50 เท่าขึ้นไป
PE 50 แปลว่า ซื้อหุ้นวันนี้อีก 50 ปีได้ทุนคืน
เคยคุยกับคนญี่ปุ่นซื้อหุ้นรถไฟ PE 100 เท่าทำไมกล้าซื้อ
เขาตอบว่ามูลค่าที่ดินรอบทางรถไฟมูลค่ามหาศาล จากวันนั้น 20 กว่าปีที่จุดรุ่งเรืองสุดของญี่ปุ่น
หุ้นก็ยังไม่กลับไปตรงจุดนั้นได้อีกเลย


คุณไพบูลย์
Sector ที่ชอบใกล้เคียงกับกับดร.ก้องเกียรติ แต่จะเสริม Sector ธนาคาร
แม้จะเริ่มมีราคาปรับเพิ่มขึ้นแล้ว แต่คุณภาพสินทรัพย์ก็จะดีขึ้น
เศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวขึ้นมา ก็จะเห็นว่ามี NPL แค่บางบริษัท ไม่ได้เป็นทั้งระบบ
มองอนาคตจากนี้ ดอกเบี้ยจะกลับสู่ขาขึ้นไม่ปลายปีหรือปีหน้าก็น่าจะมีการปรับดอกเบี้ยขึ้น อัตรากำไรธนาคารน่าจะดีขึ้น
กลุ่ม Consumer finance ก็น่าสนใจ บ.ให้เช่าซื้อ หรือบัตรเครดิต แม้บางบริษัทจะแพงแต่ก็มีการเติบโตจริง
กลุ่มที่เกี่ยวกับการบริโภค ปีก่อนที่ทำให้ภาวะบริโภคไม่ปกติ
ยอดขายต่างๆน่าจะดีขึ้นด้วย ค้าปลีกหลายบริษัทก็น่าสนใจ
กลุ่มที่ไม่ชอบ กลุ่มไฟฟ้า บางบริษัท PE สูงเกินไป เป็นธุรกิจที่คาดเดาไม่ยาก
สามารถทอนได้จากกำลังการผลิต จึงมี Premium ตรงนี้ แต่ถ้าให้ Premium มากเกินไป
แสดงว่าราคาหุ้นมาจากสภาพคล่อง ไม่ใช่มูลค่ากิจการ


คุณมนตรี
กลุ่มที่ Overweight คล้ายกัน พลังงาน(Upstream), ปิโตรเคมี, logistics, finance
หุ้นแนะนำ PTTEP, PTTGC, BBL, ADVANC, BCH, BJC
หุ้นที่ควรหลีกเลี่ยง คือ หุ้นที่น่ากลัว
เชื่อว่าตลาดหุ้นไทยมีความรอบคอบมากขึ้น การปล่อยสินเชื่อ Margin
ในแต่ละเดือนหุ้นกระจุกในบัญชีมาร์จิ้นแต่ละอุตสาหกรรมอยู่ในหุ้นไหนบ้าง ถ้าปล่อยเกิน 20% แล้วเราจะไม่ปล่อย
ปี 2008 ลูกโป่งไทยแทบจะไม่แตก แต่มีหุ้นไทยบางตัวที่ลูกโป่งแตก ลดจาก 2 หมื่น เหลือ 2 ร้อยล้านบาทภายใน 7 วัน
พบว่ามีหุ้นกระจุกในบัญชีมาร์จิ้น 50% แสดงว่ามีการกู้เงินมาซื้อครึ่งหนึ่ง
ตัวอย่างปีใน 2 ปีก่อน มีหุ้นถ่านหินตกจากฟ้ามาพื้นดิน ตั้งแต่ช่วงปี 2015 ที่ราคาถ่านหินตกลงมา
โดยหุ้น BANPU ที่เป็นผู้นำราคาตกลงมา แต่ราคาหุ้นถ่านหิน(พื้นดิน)กลับไม่ลง
จึงต้องตั้งคำถามว่า มันเป็นหุ้น Too good too be true (ดีเกินจริงหรือไม่?)
จึงไปศึกษาต่อว่าจะบริหารได้ดีกว่า BANPU หรือเปล่า? Inventory ก็สูง
ลูกหนี้การค้าก็เพิ่ม OD ก็เพิ่มขึ้นจนถึงหหมื่นล้านบาท จึงตัดสินใจไม่ปล่อยสินเชื่อ margin ตัวนี้แล้ว
พอเคลียร์เสร็จหมด บริษัทนี้ก็ประกาศ Default หนี้พอดี
สมัยนี้หุ้นที่น่ากลัวคือ หุ้นที่รายงานการเงิน auditor ไม่ให้ความเห็น หรือเชื่อถือไม่ได้
หุ้น PE สูงๆ หรือ PBV สูงๆก็เป็นสัญญาณน่ากลัวอย่างหนึ่ง
นอกจากนี้ยังมี Future หุ้นบางตัวที่ทางโบรกเกอร์เรา ต้องเรียกหลักประกันเพิ่มมากกว่าที่อื่น ก็อยากให้ระมัดระวัง

ดร.นิเวศน์ถามเพิ่มว่า ข้อมูลหุ้นตัวไหน มีคนใช้ Margin แค่ไหน มีข้อมูลแสดงไหม?
คุณมนตรี ไม่แน่ใจว่าทำไมทางการไม่เปิดทั้งหมด อาจจะเกรงนักลงทุนตกใจ หรือมีปัญหากับตลาดได้
ทางสมาคมโบรกเกอร์มีการคุยเรื่องนี้ มีการร่วมกันส่งข้อมูลให้ตลาดหลักทรัพย์
และตลาดหลักทรัพย์รวบรวมส่งกลับไปให้โบรกเกอร์ทราบ
นักลงทุนสามารถดูได้จากรายชื่อที่ปล่อย Margin ตัวไหนที่ไม่ปล่อยอาจสงสัยได้ว่าอันตรายเกินไป

การกระจายลงทุนต่างประเทศ
ดร.ก้องเกียรติ
สำหรับนักลงทุนไทยที่มีประสบการณ์ ควรกระจายไปลงทุนต่างประเทศ
7-8 ปีก่อนหน้ามีคนไทยส่วนหนึ่งที่กระจายเงินไปต่างประเทศ ซึ่งในระยะหลังเห็นเงินออกไปต่างประเทศมากขึ้น
ที่คนไทยนิยมอันดับ 1 คือ อเมริกา อย่างหุ้นเทคโนโลยี Facebook, Google, Apple, Netflix
หรือหุ้นอย่าง Johnson&Johnson, Starbuck, Mcdonald PE 20 กว่าเท่าก็ยังน่าสนใจกว่าหุ้น consumer ไทย
อันดับ 2 คือ ฮ่องกง, จีน พวกบริษัทประกัน สถาบันการเงิน ฮ่องกงแบงค์, AIA
ก่อนหน้าไปดูในหุ้นยุโรปก็มีหุ้นประกันที่ให้ปันผล 5% PE 12 เท่า ถ้าตลาด Bond เพิ่มขึ้น
บริษัทเหล่านี้ก็จะได้ประโยชน์ แม้จะขาดทุนจาก bond รุ่นเก่า แต่จะได้ yield สูงขึ้น
อันดับ 3 ยุโรป ที่นิยมคือฝรั่งเศส แบรนด์เนม, แบงค์ในยุโรปปันผลสูง, ประกันในฝรั่งเศส,สวิตเซอร์แลนด์,อังกฤษ
อันดับ 4 คือ ญี่ปุ่น หุ้นแบงค์ญี่ปุ่นถูกสุดในโลก ส่วนใหญ่มูลค่าต่ำกว่า BV และ PE ไม่ถึง 10 เท่า
มีความเชื่อว่าถ้ามันถูกวันหนึ่งเม็ดเงินก็จะขายจากหุ้นที่แพงและมาหาหุ้นถูก
อย่างก่อนหน้านี้ชอบแบงค์ในอเมริกา จนมีเงินเข้าเยอะมาจนเริ่มแพง เงินจึงเริ่มทะลักไปจีน
และไปญี่ปุ่น แบงค์ใหญ่สุด มิตซูบิชิยูเอฟจี ราคาก็ปรับเพิ่มขึ้นมาเยอะ
ที่เหลือก็จะเป็นกลุ่มเล็กๆ เช่น บางคนไปลงทุนในธนาคารในกรีซช่วงที่ตกต่ำไปติดดินและได้กำไรสูงหลายเท่า
หรือหุ้นเหมืองในออสเตรเลีย,ยุโรป ที่ในอดีตไม่ดี แต่พอราคาโภคภัณฑ์สูงขึ้นมา สิ่งเหล่านี้ก็ได้ประโยชน์
เชื่อว่าการกระจายความเสี่ยงเป็นเรื่องสำคัญ และอยากให้มีความยืดหยุ่น ไม่ Focus ที่ใดที่หนึ่ง


ให้คะแนนตลาดหุ้นปี 2561
อ.ก้องเกียรติ ให้ 7 คะแนน มีโมเมนตัม
คุณไพบูลย์ ให้ 5 คะแนน ดูดีแต่แพงไปหน่อย
คุณมนตรี ปีก่อนให้ไว้ 5 คะแนน กลัวทรัมป์ แต่ผลออกมาปีที่แล้วน่าจะเทียบเท่ากับ 7 คะแนน
สำหรับปีนี้เรามองครึ่งปีแรกดี ให้ซัก 7 คะแนน แต่ถ้ารวมครึ่งหลังที่ต้องระวังให้ 6 คะแนน = 6.5 คะแนน

อ.ไพบูลย์กล่าวปิดท้าย
ไม่มีใครรู้อนาคต เหตุการณ์เปลี่ยนได้ตลอดเวลา
อย่างปีก่อนช่วง ก.ย.ตลาดหุ้นแย่ พอสิ้นปีกลายเป็นดี
ตอนต้นปีนี้หุ้นขึ้นดี ปลายเดือนหุ้นอาจจะไม่ดีก็ได้
แต่ยังมีคนที่ลำบากไม่มีกินเดือดร้อนอยู่ ไม่มีโอกาสได้เล่นหุ้นด้วยซ้ำ
ดังนั้นก็ควรแบ่งปันให้สังคมให้คนอื่นด้วย
ขอบคุณพระคุณแขกรับเชิญและอ.นิเวศน์

ช่วงที่ 2 ทางพี่อมรจะโพสต์ต่อนะครับ

ขอขอบพระคุณอ.ไพบูลย์ อ.เสน่ห์ อ.นิเวศน์ แขกรับเชิญ ทีมงาน money talk ทุกท่านครับ

ข้อมูลที่แชร์หากมีผิดพลาด ตกหล่นอย่างไรขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย
ติดตาม VDO ฉบับเต็มได้ทาง fb live, youtube และช่อง TV ครับ

MoneyTalk@SET ครั้งถัดไป 3 กุมภาพันธ์ 2561
ช่วงที่ 1 เศรษฐกิจโลกเศรษฐกิจไทย ดร.ศุภวุฒิ
ช่วงที่ 2 เศรษฐกิจ กระแสเงิน ผลกระทบหุ้น การจัดพอร์ต ดร.สมจินต์, ดร.วิศิษฐ์, คุณกวี
Go against and stay alive.
amornkowa
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2637
ผู้ติดตาม: 269

Re: MoneyTalk@SET13/1/61แนวโน้มหุ้นไทย61&หลากหลายกลยุทธ์หุ้น

โพสต์ที่ 2

โพสต์

Money Talk ช่วงที่สอง
หัวข้อ “หลากหลายกลยุทธ์ลุ้นหุ้นปี 61”


เกริ่นนำ แนะนำวิทยากรของสัมมนาช่วงที่สอง

1.คุณประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทาลิส จำกัด
เป็นนักลงทุนวีไอ ก่อนหน้านี้เคยบริหารกองทุนแนววีไอ ผลประกอบการดีมาก
ทุกหุ้นที่ลงทุน ต้องไปดูได้ตัวเอง เลือกหุ้นโดยใช้วิธี Bottom up
คือการเลือกหุ้นโดยวิเคราะห์จากข้างล่าง
ช่วงที่น้ำท่วม ก็เช่าเฮลิคอปเตอร์ไปดูพื้นที่ที่น้ำท่วม

2.คุณวัชระ แก้วสว่าง หรือ เซียนป๋อง
เป็นเซียนเทคนิคคนแรกที่ได้รับเชิญมางานสัมมนา Money Talk
เพราะคุณป๋องเป็นพูดตรง แนะนำตรง เป็นคนจิตใจดี

3. คุณปริญญ์ พานิชภักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ซีแอลเอสเอ (ประเทศไทย)
ปกติจะนึกถึงคุณพ่อ คือ ดร ศุภชัย พานิชภักดิ์ เป็นนักการเมืองสะอาดที่สุด
ท่านช่วยสร้างชื่อเสียงประเทศไทยในตลาดโลก

4. ดร นิเวศน์ เหมวชิรวรากร พูดในฐานะกูรูวีไอ

ดร ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา และ อ.เสน่ห์ ศรีสุวรรณ ดำเนินรายการ

อ.เสน่ห์ นำกลอนมาขึ้นช่วงต้นรายการ

“กินอาหาร ถูกวิธี นี้หลากหลาย
อย่าเอาง่าย กินซ้ำซ้ำ จำเจแสน
การลงทน หุ้นให้ดี ต้องมีแพลน
ควรรู้แก่น หลากวิธี ที่ลงทุน
จะยึดแนว วีไอ ไปให้สุด
หรือปรับยุทธ์ ใช้เทคนิค จิกเลือกหุ้น
หรือยักย้าย ไปต่างแดน แผนละมุน
หรือลองลุ้น กองทุนเด่น เป็นแนวทาง
เรื่องวีไอ ต้องให้เขา เต่านิเวศน์
คนพิเศษ จอมกูรู รู้ทุกอย่าง
เรื่องเทคนิค จับจังหว วัชระหว่าง
เสี่ยป๋องกาง กลยุทธ์ สุดน่าฟัง
เรื่องกองทุน หุ้นเด่น เน้นฉลาด
คุณประภาส มือเก๋า เขาสุดขลัง
เรื่องต่างแดน เลือกอย่างไร ไม่ให้พัง
คุณปริญญ์ชั่ง เชี่ยวชาญ ชำนาญจริง
ฟังหลากหลาย ลงทุน หุ้นปีจอ
หุ้นยอดหอ ออลไทม์ไฮ ใจต้องนิ่ง
ไม่พลาดผิด ติดดอย หรืออ้อยอิ่ง
ฟังแล้วปิ๊ง เป็นหลักคิด พิชิตชัย “


อ.เสน่ห์ พูดถึงดร นิเวศน์ ช่วงปีใหม่ไปพิชิตยอดดอยเชียงใหม่
เขาได้ขี่เต่า มีภาพประกอบ จากprofile Line ของ ดร นิเวศน์
แสดงว่าความเป็นตัวตน แต่มีคนควบคุมดรอีกคน (ภรรยา)

เข้าสู่เนื้อหาสัมมนา

คำถามแรก “หุ้นไทยในปี61 ปัจจัยสนับสนุนตลาดหุ้นมีมากมาย”

เริ่มที่คุณประภาส
ตอบว่า สินทรัพย์เสี่ยงในตลาดโลกไม่มีติดลบ ตลาดหุ้นสหรัฐบวกติดต่อกันห้าปี
ตลาดหุ้นไทยย้อนหลังไป40ปี ผลตอบแทนติดลบ 16 ปี และเป็นบวก 20กว่าปี
ดูจากข้อมูล เคยบวกติดต่อกันต่อเนื่อง นับจากดัชนี106จุด ขึ้น3ปีติดกัน
แล้วลดลง1ปี หลังจากนั้นก็ขึ้นติดต่อกัน 4ปี อีก 400%และ กลับมาลงต่อ
หลังจากนั้นขึ้นติดต่อ3ปี จนดัชนีสูงสุดที่ 1789 จุดในวันที่ 5 มค 2537 แล้วลงยาว
ปีนี้ถ้าบวกอีกเป็นปีที่3 จะเป็นปีที่3บวกติดต่อกัน จะต้องระวัง
ย้อนกลับไปสมัยก่อน เศรษฐกิจดีอย่างต่อเนื่องครั้งแรก ดัชนีบวกจาก100จุดมาเป็น 140จุด
ปรับฐานช่วงนึง และ กลับมาบวกเป็น400กว่าจุด
ช่วง ป๋าเปรม ที่มีโครงการEastern Seaboard
หุ้นบวกจากปี1982 ถึงปี 1993 โดยมีพักติดลบ2ครั้ง
ตอนนี้ไทยมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ น่าจะเป็น S Curve
จากนี้ไปมองยาว น่าจะเป็นยุคทองของไทยอีกยุค
แต่มีความเสี่ยงการปรับฐานเป็นระยะ
การปรับฐานปกติ จะลงท้ายในปีเป็นตัวเลข 7 หรือ 8
ปี17ไม่เจอ ปี 18 ต้องระวัง
การปรับฐานจากตลาดหุ้นโลกกระทบมาที่ตลาดหุ้นไทย
ถ้าไม่ใช่เหตุผลจากเศรษฐกิจของไทย ก็จะขึ้นกลับมาได้ในระยะสั้น

คุณปริญญ์ พูดเป็นคนถัดมาว่า
ปีนี้ตลาดหุ้นไทยมีเสน่ห์มากขึ้น
กองทุนไทยมีเงินเยอะ แต่กองทุนต่างประเทศขายเอาๆ ขายสุทธิมาสองปีซ้อน
เพราะฝรั่งมีตัวเลือกให้ลงทุนมากขึ้น
รอบนี้ เป็นอะไรที่โตพร้อมกัน ปีนี้เป็นปียุคทองในเศรษฐกิจในเชิงปริมาณ คือ ตัวเลขGDP
GDPไทยโต4%กว่า ,GDPของUS 3%, GDPโลกก็โตมากกว่าคาด ราคาน้ำมันก็สูง รัสเซียกับซาอุดิ มีวินัย
และต่างกุมกำลังการผลิตน้ำมันโลก ทำให้เห็นว่า มุมมองของGlobal fund มองcommodityว่าดี
แต่กองทุนต่างประเทศมองว่า ตลาดหุ้นไทยปีที่แล้วขึ้นจริง แต่แพ้จีน อินเดีย และ อีกหลายประเทศ
เขารอตัวเลขเศรษฐกิจ ความคืบหน้าของโครงการใหญ่ๆ และ การเลือกตั้งปีนี้มีหรือไม่
ตอนนั้นช่วงที่มีโครงการ Eastern Seaboard เกิดขึ้น เริ่มจาก พลเอก เกรียงศักดิ์
และ พลเอก เปรมมาสานต่อ มีคุณเสนาะ อูนากูลมาดูแล และมีคนเข้าร่วมมากมายในPhase I
ตอนนี้มีท่านเสนาะและคุณคณิตก็มาในช่วยในphaseII โครงการEEC
คุณปริญญ์ ว่าปีที่แล้วฝรั่งกังวลเรื่องการเมือง ตอนนี้คลี่คลายไป
ฝรั่งมองข้ามชอตการเมือง มามองว่าก่อสร้างจะมาจริงหรือเปล่า
แต่เราเจอกฏเกณฑ์ที่เปลี่ยนแปลงเช่นอนุญาติให้รายเล็กสามารถเข้าประมูลได้ด้วย
ตอนนี้หลายคนคิดว่าโครงการใหญ่จะไม่เกิด และไปบอกต่างชาติ ทำให้ต่างชาติไม่ค่อยเชื่อมั่นไทย
แต่ตามที่คุณประภาสบอกว่าปีนี้เป็นยุคทองของเศรษฐกิจ
ธนาคารขนาดใหญ่ โดนต่างชาติขายเอา บางธนาคารเจอorderขาย 500ล้านเหรียญสหรัฐ
แต่flowขายพลังงานไม่เห็น อาจชอบหุ้นพลังงานด้วยซ้ำ
ดังนั้นเขาเลือกอุตสาหกรรมในการลงทุน เช่น หุ้นในกลุ่มน้ำมัน คือ PTTGC
ตอนนี้บางกองทุนต่างประเทศไม่มีการถือธนาคารขนาดใหญ่เลย
แต่ละจังหวัดในต่างจังหวัด มีความเจริญไม่เท่ากัน
คิดว่าโครงการต่างๆของรัฐบาลจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำลงได้
สุดท้ายปีนี้ USมีการเลือกตั้งกลางปี ทรัมป์รู้ว่าปีนี้โตไม่ค่อยดี
GDPชองUS ดูเหมือนโตดี ถ้าตัดsectorพลังงานออกไป
พบว่า GDPโตต่ำกว่า 2%
มีคนจนมากมาย เศรษฐกิจยังฝืดอยู่ SMEยังไม่ดี
เขาต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจ
ตอนนี้มีการกระตุ้นโดยลดภาษีบริษัท ส่งผลดีต่อคนรวย
เศรษฐกิจUSไม่ดี แต่ส่งผลดีต่อไทย เพราะดอกเบี้ยไม่ขึ้น
เงินจะไหลเข้าไทยได้ หรือไป cryptocurrency เดี๋ยวมาพูดอีกที

เซียนเทคนิค คุณป๋องขอบคุณดรไพบูลย์ที่เชิญมารายการ
ผมเห็นกับพี่ประภาสโยงดัชนีกลับมา ใครดูกราฟเป็น จะเห็นปี1982 เป็นช่วงเริ่มต้นของหุ้นไทย
เดิมทีไม่เคยดูเทคนิค เล่นหุ้นปีกว่า ดัชนีขึ้นไป 1789 จุด วันที่ 5 มกราคม 2537(1993)
ตอนนั้นไม่เคยดูกราฟ หุ้นซิลลิ่งทุกวัน หลังฟองสบู่แตกจนดัชนีตกลงเหลือแค่ 204 จุด
ผมเป็นวีไอแท้จริง ถือหุ้นมาตลอดทาง ตอนนั้นไม่รู้ว่าทำไมธนาคารถึงเจ๊ง
ล้มลุก สุดท้ายก็ cut loss ไปตอนดัชนี204จุด
ช่วงนั้นเจอนักเทคนิคที่เก่ง เลยขอให้สอนกราฟ และ ตัวคุณป๋องกลับไปดูกราฟในอดีต
เห็นกราฟ สามเหลี่ยมรูปใหญ่มาก แต่ตัดลงตอนดัชนี 1,500 ตอนนั้นก็ซื้อถัวลงมา
จนถึง 800จุดก็เลิกถัว แต่ถือมาถึงดัชนี200จุด ถือว่าเป็นวีไอในช่วงนั้น
เซียนป๋อง พูดว่า วีไอ ควบคู่ เทคนิคอล จะแมทกันได้ดี
ศึกษาเทคนิคเป็นส่วนนึง แต่เราต้องรู้พื้นฐานของบริษัทแต่ละบริษัทด้วย
เทคนิคทำให้เรารู้ว่าหุ้นเคลื่อนไหวไปมาอย่างไร
บางคนดูพื้นฐาน แต่ถ้าใช้กราฟดูราคาที่ผ่านมาอาจไม่กล้าซื้อ
ต้นปีที่แล้ว คิดว่าหุ้นขึ้นแต่ไม่กล้าบอกใคร เพราะมองเรื่องคลื่นElliott Wave
คลี่นของหุ้นไทยอยู่ขาสาม เรียกว่า Grand super cycle
ขาขึ้นมี5ขา ขึ้นขาหนึ่ง ลงสอง ขึ้นสาม ลงสี่ ขึ้นห้า
ขาสามยาวมาก
ปี1975 ดัชนีอยู่ที่100 จุด ใช้ระยะเวลา 19 ปี จบขาหนึ่งใหญ่
ขาสองจบปี 2008 มีขาสามต่อ และมีคลื่นย่อย
ขาa ดัชนี 700 จุด , ขาb ปี2007 , ขาc ดัชนี380จุด (ปี2008) ใช้เวลา14 ปี
ดังนั้นตลาดหุ้นไทยอยู่ขาสาม เราสามารถทำhighเกินขาหนึ่งที่ดัชนี 1789 จุดแล้ว
ตามตำรา ดัชนีไปอีกไกลมากจนไม่กล้าพูด
ขาหนึ่งใช้เวลา19 ปี
ขาสองใช้เวลา 14 ปี
ขาสาม น่าจะใช้เวลามากกว่า 19 ปี เพราะยอดสูงกว่าขาหนึ่ง
ดังนั้นจะเหลืออีก 9 ปี แต่ดัชนีมีขึ้นและลงในระหว่างนั้น
มีขาย่อยอีก5ขา ตอนนี้กำลังจะจบขาหนึ่งใหญ่ ซึ่งตอนนี้มี5 ขา
ปีนี้น่าจะระวังตัว เป้าหมายของดัชนีที่ 1,925 จุด
ถ้าขาสามเท่ากับขาหนึ่ง ถ้าดูจากFibonacciที่161.8% คิดเป็นดัชนี 2,700 จุด
ปีที่แล้วเป็นปีไก่ตรงกับปีพ.ศ 2537 ตำราจีน ตอนนั้นถือว่ายังเป็นปีไก่
เพราะยังไม่ข้ามตรุษจีน ต้องอาศัยความรู้วีไอของวิทยากรมาช่วยยืนยัน
ที่ผมคำนวณ รัฐบาลได้ทำโครงการต่างๆมากมาย
อาจได้เห็น Rating ในการลงทุนที่ดีขึ้น
ระยะสั้นSET50 หุ้นมีPE 40 เท่า แต่ยังหุ้นอีก 25 ตัวที่PE 15 เท่าด้วย
ผมคิดว่าดัชนีจะจบในกลางปีนี้ หุ้นใหญ่จะเป็นหุ้นที่ขึ้น แต่น่าจะเป็นหุ้นไม่แพงด้วย
หุ้นในตลาดDow Jones หุ้นที่ขึ้นมารับข่าวล่วงหน้าจากลดภาษีหรือเปล่า
แอบเสียว ตีกราฟมา น่าจะไม่เกิน 28,000 จุดไม่น่าจะขึ้นอีกเยอะเพราะห่างจาก
ตอนนี้เพียงพันกว่าจุดเอง ตอนนี้อยู่ในขาห้าของขาหนึ่งใหญ่แล้ว น่ากลัวมาก
เรื่องเทคนิค ต้องมีระดมความคิดเพื่อยืนยันอีกที
แต่ที่หนักใจ ธุรกิจในเมืองไทยเป็น old economy
เพราะฉะนั้นตลาดทุนจะไปทางไหน
อนาคตประเทศในโลกมีแผนการลดการใช้น้ำมันทั่วโลก
บ้านเรา หุ้นขนาดใหญ่ที่listในตลาดหลักทรัพย์ คือบริษัทน้ำมันขนาดใหญ่
สมัยก่อนมีประกอบด้วยกลุ่ม Bank ,Finance ,Property
ตอนนี้เป็นยุคพลังงานไฟฟ้าทดแทน

ดร นิเวศน์ เสริม ผมทำนายรอบนี้เป็น Grand super cycle ถือว่ายาว
ดัชนี 2,790 จุด ถือว่าน้อยเกินไป
แบบที่ผมคิด ถ้าหุ้นขึ้นปีละ 10% เป็นเวลา7ปี
ใช้กฏ72 ดัชนีก็ขึ้นได้ถึง 3,600 จุด
ถ้า9ปี น่าจะเป็น 4,000 จุด
คุณป๋อง เสริมว่า แนวต่อไปของFibonacci = 4,400 จุด
ดร นิเวศน์พูดต่อว่า มองแบบวีไอ ราคาหุ้นจะขึ้นได้ต้องมีกำไร
กำไรขึ้นเท่าไหร่ ราคาหุ้นก็ขึ้นตามนั้น แต่ถ้าขึ้นเกินไป ก็เป็นการเก็งกำไร
ตอนปี 2551 ปีนั้นตลาดหุ้นไทยกำไร 3แสนล้านบาท ปีที่แล้ว กำไร 9แสนล้านบาท
แสดงว่า 9 ปี กำไรเพิ่มขึ้น 3 เท่า ราคาหุ้นควรขึ้น 3 เท่า
ดัชนีตอนนั้นอยู่ประมาณ 400 จุด
แต่ดัชนีตอนนี้ 1,800จุด ขึ้นมา 4เท่ากว่า แสดงว่าเป็นน้ำ (ย้อนดูข้างบน)
ตอนนั้น หุ้นมีPE 10ต้นๆ ตอนนี้ PE 10ปลายๆ ถ้าน้ำหายไป หรือ Fundflowหายไป
หุ้นไทยแพงเกินไป เพราะตอนนี้น้ำเยอะจากการใส่เงินเข้ามา ทำให้คนซื้อหุ้นกันเยอะ
โดยเฉพาะกองทุนเข้ามาซื้อเยอะ
คนกลัวตกรถ ดังนั้นคนมาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์2 ล้านคนแล้ว
ซื้อโดยไม่สนใจว่าแพงไหม ผมเลยพยากรณ์ว่าตลาดหุ้นไทยไม่น่ารอด

ดัชนีDow jonesขึ้นไป3เท่า ผลตอบแทนทบต้นประมาณ 17%ต่อปี
จาก 9ปีที่ผ่านมา ส่วนหุ้นไทยขึ้น 20%ต่อปี ในช่วงที่ผ่านมา
ตลาดหุ้นประกอบด้วยหุ้น2กลุ่ม
1. กลุ่มFundamental ราคาหุ้นเหมาะสม มีพื้นฐาน
2. กลุ่มฟองสบู่ ประมาณ ไม่กี่สิบตัว แต่มีน้ำเยอะ
เป็นหุ้นที่มีPE100เท่า ที่ซ่อนอยู่ในน้ำที่กว้างใหญ่
ถ้าเราไปเล่นก็เสียหาย หุ้นอาจตกได้รุนแรง ให้นักลงทุนระมัดระวัง
คุณป๋องเสริม ตอนจบขาหนึ่งลงขาสอง พักตัวประมาณ 2 ปี ลงได้อย่างต่ำ20%
ส่วนขา3ของขา3ใหญ่ จะดูดี

คำถามที่สอง คำแนะนำในการลงทุนปี61
ควรจัดพอร์ตอย่างไร แบ่งเงินลงทุนในหุ้นเท่าไร ลงทุนต่างประเทศ
หรือไม่ และลงทุนที่ไหน


คุณประภาส ตอบคนแรก
นักลงทุนอาจงง เศรษฐกิจไม่ค่อยดี แต่ตลาดหุ้นขึ้นมาถึงดัชนี 1,800จุด
การลงทุนหุ้นเป็นรายตัว จะเจอปัญหา เช่นเข้าซื้อหุ้นช้า หรือ ออกช้า
การจัดสินทรัพย์ ไม่ว่าเศรษฐกิจเป็นอย่างไรก็ตาม การจัดสินทรัพย์เป็นสิ่งสำคัญ
ถ้ารับความเสี่ยงได้สูงก็ลงทุนหุ้นได้เยอะ ตามข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ
มีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทย ถ้าปรับฐานปีนี้แต่กำไรยังเพิ่ม
ความเสี่ยงปีหน้าจะลดลง ติดลบปีนี้ แต่ปีหน้าน่าจะดี

สัดส่วนของพอร์ตที่คุณประภาสแนะนำ

1.หุ้น สัดส่วน 50-60%
ผู้สูงวัย เงินจำกัด อาจลงทุนหุ้นน้อยกว่านี้ เพราะถ้าเจอหุ้นตก จะหาเงินไม่ได้
จัดพอร์ตเชิงรับแทน ลงในกองทุนหุ้นปันผล

2.ตราสารหนี้สัดส่วน 20-30% ดอกเบี้ยต่ำอีก 1-2ปี
อัตราผลตอบแทนประมาณ 1-2%

3.ที่เหลือลงใน REITs ผลตอบแทน 5-6%

ผมเริ่มลงทุนโดยอ่านหนังสือElliott Wave ของคุณนาถสิริ วิมลเฉลาในปี 1989
เห็นด้วยกับเสี่ยป๋อง คลื่นลูกที่ 3 ยาวและใหญ่ด้วย ขนาดใหญ่ 1.78 เท่า
ดังนั้น ดัชนีหลังปรับฐาน ประมาณ1,500+ สองเท่าคือ 3,000จุด =4,500จุด
ตลาดที่พัฒนาแล้วเก่งกว่าสัก2เท่า ดังนั้นGDP 5% บริษัทกำไรโต 10%
ตัวที่ทำให้ตลาดหุ้นขึ้นมาคือกำไรที่โตขึ้นมาเอง 220%
แต่ตลาดโต 290%หมายถึงที่ ดร นิเวศน์พูดถึงมีน้ำเยอะ PE โตมาเท่ากับ 18 เท่า
ดร นิเวศน์เสริมว่า ถ้าอยากเป็นนักลงทุนวีไอ ก็ต้องขาดทุนก่อน
แนะนำลงในกองทุน มีผลตอบแทน 10-15%
ผมมีมุมมองที่ดีในตลาดหุ้นระยะยาว แต่ตอนนี้ขึ้นมาเยอะ
PB ของตลาดโดยเฉลี่ยที่2.1เท่า กลัวว่าไม่น่าผ่าน
PB 2.2 อาจมีการปรับฐาน ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีในระยะยาว

คุณปริญญ์ ตอบว่า ดร นิเวศน์ ผิดแค่ 0.5% โดยเอาน้ำไปเติมในเวียดนาม
สถาบันต่างประเทศ เช่น Templeton ไปตั้งสาขาที่เวียดนาม
เงินเริ่มเข้าเวียดนาม ตอนนี้ยังมีหลายบริษัทต่างชาติเตรียมเข้าเวียดนาม
ถ้าแก้ไขข้อกำหนด หรือ ข้อจำกัดได้
ปีที่แล้วค่าเงินบาท แข็ง 9% ถ้ามองใน$ เราแพ้เวียดนามประเทศเดียว
ผมเชื่อว่าไม่พักฐาน หรือ พักฐานไม่แรง แล้วขึ้นรวดเดียว
คุณปริญญ์บอกว่า จะมีการจัดงานเดือนมีนาคา เชิญฝรั่งมาฟังเยอะ
ยังมีฝรั่งที่ยังไม่ได้ลงทุนในไทยเลยอีกเยอะ
เขาไม่ลงทุนในธนาคาร เพราะไม่เชื่อมั่นจากNPLที่ขยายตัว
ปลายมกราคม หรือ ต้น กุมภาพันธ์ ถ้ามีเซนต์สัญญา EEC เงินจะเข้ามาเยอะ
ในแง่รัฐบาลทำแน่
อุตสาหกรรม 4.0 จะเกิดได้จาก การปฏิรูปกฎหมายเก่า ล้าสมัยออกไป
ประเทศไหนที่มีกฎหมายมากในการขอทำธุรกิจ ทำให้คนไม่อยากเข้ามาทำธุรกิจ
ข่าวดีภาครัฐเริ่มรู้และเริ่มทำ E-catalog กฎหมายที่แก้ไข ต่างชาติจะมาลงทุนแบบก้าวกระโดด
อาลีบาบา ร่วมมือกับกลุ่ม ซีพี โดย Ant finance ร่วมมือกับ Ascend Money
และ JD.com Joint venture กับ Central ตั้งบริษัทใหม่ทำE-commerceในไทย
มีการขายสินค้าเข้าไทย และ ขายข้ามไปขายในกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขง
ปีหน้าเราเป็นเจ้าภาพจัดงาน ASIAN
ปีที่แล้วเราถวายความอาลัยมาเกือบทั้งปี
ปีนี้เป็นปีท่องเที่ยว เราเฉลิมฉลองกัน มีการอัดฉีดเงิน
ผมเชื่อว่าการเลือกตั้งน่าจะเป็นปีหน้า โครงการก่อสร้างจะรีบเซนต์ก่อนการเลือกตั้ง
หุ้นขึ้นแรง จะเกี่ยวกับเศรษฐกิจฐานราก หุ้นกลุ่มส่งออก
Megatrend กำลังจะมา เช่น Aging Society
บางบริษัทที่ไม่เคยทำ eco system ก็เริ่มทำแล้ว
หุ้นเกี่ยวกับทำ Battery charger , charging station
การวัดGDPในอนาคตน่าจะเปลี่ยนแปลงไป
WHA ได้โจทย์มาว่า Warehouse ในอนาคตจะไม่มีคนอยู่ทำงาน
ใช้ Robot มาทำแทน
วิธีการวัดปริมาณในอนาคตจะเปลี่ยนแปลง เพราะบริษัทต่างชาติที่ทำธุรกิจโฆษณาปีนี้พบว่า
Lineไม่เสียภาษี
FACEBOOK เสียภาษี3แสนบาท
ดังนั้นรัฐบาลต้องมีการเปลี่ยนแปลง และมีวิธีการเก็บภาษีใหม่

คุณป๋อง แนะนำ Portปีที่แล้ว อัดหุ้นมาเต็ม ตอนนี้กระจายน้ำออกไปบ้าง ขึ้นกับขนาดของport
ยิ่งสูงยิ่งหนาว ปี 2008 ปัญหาเกิดจากต่างประเทศ แต่กระทบเรา ก็เลยระแวงตลอดเวลา
คุณป๋องเห็นว่ากราฟชัน ก็กระจายหุ้นจากเดิมที่ถือหุ้นจำนวน 2-3 ตัว ที่แพง
เปลี่ยนเป็นหุ้นที่ราคายังถูก 5-6 ตัว ยังคิดว่าหุ้นPEต่ำ พื้นฐานดี ยังไปได้
แต่ตอนนี้เริ่มระวัง แต่ยังปล่อย Let profit run

ดร นิเวศน์
อยู่ตลาดมานาน สังเกตคนมาเยอะ เป็นนักปรัชญาชีวิต
ไม่เชื่อว่าตัวเองมีเงินขนาดนี้
เจอคนที่เรียนไม่เก่ง ไม่ค่อยทำงานหนัก แต่มีเงินพันล้านบาท
ปกติคนที่มีเงินมากๆ ต้องทำอะไรพิเศษ ต้องทุ่มเทเยอะ ต้องเก่งด้วย
รอบนี้มีคนกลุ่มนึง วีไอ และ เก็งกำไร ที่มีเงินมากๆ
สงสัยว่า พวกนี้ควรมีเงินขนาดนี้หรือเปล่า
ในระยะยาวต้องปรับตัว สังคมไม่ควรเป็นแบบนั้น
ตอนนี้อาจเป็นจุดสูงสุด หรือ ท้ายสุดก็ลงมาที่พื้นฐาน
โลกมีความยุติธรรม เกิดมาจน ก็พยายามมากขึ้น เพื่อให้รวยขึ้น
เกิดมารวย ไม่ค่อยขยันก็จนลง
ดร นิเวศน์ สรุปว่า ควรกระจายการลงทุนออกไปเพื่อลดความเสี่ยง
แต่ถ้าเราไม่รวย เราต้องอดทน ใจเย็น ลงทุนหุ้นที่ชัวร์ กิจการมั่นคง อยู่ยาว
บริษัทอยู่มานาน ซื่อสัตย์ อย่าไปตามคนที่รวยเร็ว
อย่าไปเล่นหุ้นเก็งกำไร อยู่แบบเดิม แต่ลงทุนหุ้นที่มีYieldเพิ่มขึ้น
ตลาดหุ้นไม่ทำให้เรารวยขึ้น แต่ทำให้เราได้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นจากเดิม
การเล่าเตือน บอกประสบการณ์ เป็นการให้พรปีใหม่

คำถามสุดท้าย ให้คะแนนตลาดหุ้นไทยปีนี้

คุณประภาส ให้ 7 คะแนน
คุณปริญญ์ ให้ 8 คะแนน จากปัจจัยภายนอกดี ปีแห่งการตักตวง
เสี่ยป๋อง ให้ 8 คะแนน ครึ่งปีแรก แล้วมารายการบอกคะแนนในครึ่งปีหลัง

อ เสน่ห์ ตบท้ายด้วยกลอนก่อนจบสัมมนา

“ประภาสว่าหุ้นไทยอาจไปต่อ
คำถามก้อขึ้นสามปีมีกี่หน
สี่สิบปีมีสองครั้งหวังเวียนวน
ปรับฐานบนเป็นได้ในปีนี้
คุณปริญญ์ว่าฝรั่งเขาเฝ้ามองอยู่
ฝรั่งรู้ว่าเศรษฐกิจไทยไปไหมนี่
เข้าน้ำมันออกธนาคารบานบุรี
หุ้นใหญ่มีกำลังไม่รั้งรอ
ด้านเสี่ยป๋องมองกราฟยังจ๊าบแจ่ม
ขาสามแหร่มอีกเก้าปีที่ไปต่อ
อาจยึกยักพักแล้วขึ้นฝืนชะลอ
หลังกลางปีอาจมีย่อพอฮึกเหิม
เต่านิเวศน์มองยามนี้มีน้ำมาก
เนื้อลำบากยากเพราะว่าน้ำมาเพิ่ม
หวังวันหนึ่งน้ำหยุดฉุดไม่เติม
หมดแรงเลิกลุยแหลก น้ำแตกเอย”


สุดท้ายขอขอบคุณวิทยากรทุกท่าน ดร ไพบูลย์ ดร นิเวศน์ อ เสน่ห์
และ Staff Money talk ทุกท่านครับ
amornkowa
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2637
ผู้ติดตาม: 269

Re: MoneyTalk@SET13/1/61แนวโน้มหุ้นไทย61&หลากหลายกลยุทธ์หุ้น

โพสต์ที่ 3

โพสต์

เนื่องจากกลอนของ อาจารย์เสน่ห์ในช่วงเริ่มรายการ สีที่ระบาย
ทำให้มองไม่ค่อยชัด ผมเลยมาลงให้อีกรอบครับ

อ.เสน่ห์ นำกลอนมาขึ้นช่วงต้นรายการ
“กินอาหาร ถูกวิธี นี้หลากหลาย
อย่าเอาง่าย กินซ้ำซ้ำ จำเจแสน
การลงทน หุ้นให้ดี ต้องมีแพลน
ควรรู้แก่น หลากวิธี ที่ลงทุน
จะยึดแนว วีไอ ไปให้สุด
หรือปรับยุทธ์ ใช้เทคนิค จิกเลือกหุ้น
หรือยักย้าย ไปต่างแดน แผนละมุน
หรือลองลุ้น กองทุนเด่น เป็นแนวทาง
เรื่องวีไอ ต้องให้เขา เต่านิเวศน์
คนพิเศษ จอมกูรู รู้ทุกอย่าง
เรื่องเทคนิค จับจังหว วัชระหว่าง
เสี่ยป๋องกาง กลยุทธ์ สุดน่าฟัง
เรื่องกองทุน หุ้นเด่น เน้นฉลาด
คุณประภาส มือเก๋า เขาสุดขลัง
เรื่องต่างแดน เลือกอย่างไร ไม่ให้พัง
คุณปริญญ์ชั่ง เชี่ยวชาญ ชำนาญจริง
ฟังหลากหลาย ลงทุน หุ้นปีจอ
หุ้นยอดหอ ออลไทม์ไฮ ใจต้องนิ่ง
ไม่พลาดผิด ติดดอย หรืออ้อยอิ่ง
ฟังแล้วปิ๊ง เป็นหลักคิด พิชิตชัย “
โพสต์โพสต์