ช่วยอธิบายการเพิ่มทุนหน่อยซิ

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
starvi
Verified User
โพสต์: 22
ผู้ติดตาม: 0

ช่วยอธิบายการเพิ่มทุนหน่อยซิ

โพสต์ที่ 1

โพสต์

1.หุ้นเพิ่มทุน ที่ราคา่เพิ่มทุนสูงกว่าราคากระดาน
2.หุ้นที่ราคาที่เพิ่มทุน ต่ำกว่าราคากระดาน
มันต่างกันอย่างไร ช่วยเราสู่กันฟังหน่อย อย่าง KTC ราคา 7 บาท เพิ่มทุน 10 บาท จะมีคนเพิ่มทุนหรือ แต่ถ้าราคาเพิ่มทุน เช่น IEC ราคาเพิ่มทุนต่ำกว่าราคากระดาน ก็เหมือนมัดมือให้ผู้ถือหุ้นต้องใส่เงินเพิ่ม ความต่าง มันคือะไร
anakinnet
Verified User
โพสต์: 520
ผู้ติดตาม: 0

ช่วยอธิบายการเพิ่มทุนหน่อยซิ

โพสต์ที่ 2

โพสต์

จิงๆมันก็ไม่เกี่ยวกับราคากระดานนะครับ

สมมุติ คุณและผม ลงเงินกันคนละครึ่ง เปิดบริษัทชายห้าหมี่เกี้ยว คนละ 2500 หุ้น หุ้นละ 10 บาท บ.เรามีเงิน 50000 บาท เริ่มดำเนินการไปสักพัก ไม่ดีอย่างที่คิด เหลือเงิน+ทรัพย์สินอยู่ 5000 บาท เท่ากับว่ามูลค่าหุ้นเหลือหุ้นละ 1 บาท เราสองคนตกลงใจที่จะสู้ต่อ โดยคิดกันว่า จะต้องใช้เงินอีก ห้าหมื่นบาท ก็ออกหุ้นเพิ่มทุนอีก 5000 หุ้น หุ้นละ 10 บาท ให้โควต้าคุณและผมซื้อได้กันคนละครึ่ง เพื่อที่จะรักษาสัดส่วนความเป็นเจ้าของให้เหมือนเดิม สมมุติว่าผมเกิดไม่อยากได้ ผมก็ไม่ซื้อ คุณก็อาจจะซื้อเองทั้งหมด หรือไปหาคนอื่นมาซื้อ หลังเพิ่มทุน บ.ก็จะมีหุ้นทั้งหมด 10000 หุ้น ราคาพาร์ 10 บาท ผมก็เป็นเจ้าของเหลือแค่ 25%
In the long run, We are all dead.
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 5

ช่วยอธิบายการเพิ่มทุนหน่อยซิ

โพสต์ที่ 3

โพสต์

การเพิ่มทุน มีทั้งสิ้น 5 วิธี ประกอบไปด้วย

1) IPO
ย่อมาจากคำว่า "Initial Public Offering"
หมายถึง การเสนอขายหุ้นที่ออกใหม่ต่อประชาชนในครั้งแรก

2) PP
ย่อมาจากคำว่า "Private Placement"
หมายถึง การที่บริษัทออกหุ้นขายให้แก่ผู้ซื้อรายหนึ่งหรือกลุ่มหนึ่ง โดยเจาะจงโดยที่ผู้ซื้อรับซื้อไว้เพื่อลงทุน มิใช่รับซื้อมาเพื่อนำออกจัดจำหน่าย การออกหุ้นขายแบบ Private Placement บริษัทผู้ออกหุ้นไม่ต้องจัดทำข้อมูลให้สำนักงาน ก.ล.ต. พิจารณา แต่วิธี Private Placement จะต้องเข้าเกณฑ์เงื่อนไขที่กำหนดโดย ก.ล.ต.
( ข้อมูลเพิ่มเติมของ PP อยู่ที่ http://www.sec.or.th/securities_issuanc ... CAT0000066 )

3) PO
ย่อมาจากคำว่า "Public Offering"
หมายถึง การเสนอขายหุ้นที่ออกใหม่ต่อประชาชนในครั้งต่อ ๆ ไป

4) Right Issues หรือ Right Offering
หมายถึง การเพิ่มทุนโดยให้สิทธิผู้ถือหุ้นเดิมจองซื้อหุ้นใหม่ตามสัดส่วน ซึ่งผมเข้าใจว่ามักจะมีการขึ้นเครื่องหมาย XR (Excluding Right)
ซึ่งเป็นเครื่องหมายแสดงว่า ณ วันที่ขึ้นเครื่องหมาย XR ผู้ลงทุนที่ซื้อหุ้นของบริษัทจดทะเบียนดังกล่าวไม่มีสิทธิในการจองซื้อหุ้นสามัญจากการเพิ่มทุนในครั้งนั้นของบริษัท หากผู้ลงทุนต้องการได้สิทธิในการจองซื้อหุ้นเพิ่มทุน จะต้องซื้อหุ้นนั้นก่อนวันขึ้นเครื่องหมาย XR

5) Warrant
หมายถึง ใบสำคัญแสดงสิทธิ์ที่ใช้แปลงเป็นหุ้นสามัญที่บริษัทเจ้าของหุ้นเป็นผู้ออกเอง และในการออกวอร์แรนท์นั้นทางบริษัทจะต้องออกหุ้นเพิ่มทุนเวลาที่มีการแปลง สภาพเข้ามาเป็นตัวหุ้นสามัญ
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 5

ช่วยอธิบายการเพิ่มทุนหน่อยซิ

โพสต์ที่ 4

โพสต์

Article 27 : เพิ่มทุนด้วยมิตรใหม่
โดย : เทพ รุ่งธนาภิรมย์
Money for Money

รูปภาพ

ในสนามรบการค้า เมื่อ CEO นำทัพออกศึกไปสักระยะหนึ่ง ก็มักจะมีความจำเป็นต้องหาเงินเข้ามา
เพื่อช่วยให้กองทัพสามารถขยายไปครอบครองพื้นที่การตลาด

เงินที่จะหาเข้ามานี้ จะไปกู้มาจากเจ้าหนี้ หรือจะไปเพิ่มทุน ย่อมทำได้ ขึ้นอยู่กับว่าโครงสร้างทุนของกองทัพอยู่ในสถานใด

ถ้ามีเจ้าหนี้และเงินกู้ยืมเยอะ เรียกว่ามี Debt สูง แต่ด้านส่วนของทุน คือEquity มีน้อย
พูดง่ายๆ คือมี Debt to equity (D/E) ratio สูง ก็ต้องตัดสินใจเสนอให้สภาสงครามคือ คณะกรรมการพิจารณาเพิ่มทุน

การเพิ่มทุนก็ทำได้ถึง 5 วิธี คือ
หุ้นจองคะนองฤทธิ์ (IPO)
มิตรใหม่ใจถึง (Private Placement)
ดึงจากคนนอก (Public Offering)
บอกกล่าวตามสิทธิ (Right Issues)
คิดได้ตามสบาย (Warrant)

ก่อนเข้าตลาดหุ้น CEO มีทางเลือกน้อย เพราะถ้าไม่เพิ่มทุนด้วยเงินตัวเอง เนื่องจากถือหุ้นเกือบ100% บางทีลงทุนจนหมดตัว ลงทุนต่อไม่ไหว ก็ต้องหาคนอื่นมาร่วมทุน ด้วยวิธีมิตรใหม่ใจถึง จะทำตามวิธีอื่นอาจติดขัดด้วยกฎหมายจึงเกิดกรณีการเพิ่มทุนแบบ Private placement ถ้าโชคดีคุยกับคนที่เข้าใจและสนใจ มีความต้องการที่ตรงกัน ก็สามารถตกลงปลงใจร่วมทุนกันเลย

มีคนที่สนใจจะร่วมทุนแบบนี้ โดยจัดเป็นกองทุนร่วมทุน (Venture Capital) อาชีพหลัก คือคอยเข้าไปร่วมทุนกับบริษัทที่กำลังเติบโต ลงทุนสัก 3 4 ปี ถ้าธุรกิจของบริษัทเริ่มไปได้ดี ก็อาจจะเสนอขายคืนเจ้าของโดยมีกำไร หรือจะรอจนหุ้นเข้าตลาด ค่อยขายก็ได้

ส่วนมากพวก Venture Capital จะเข้ามาร่วมทุนแบบการเงิน(Financial Partners)
เพราะจุดแข็งของ Venture Capital คือ เรื่องเงิน อาจไม่ชำนาญเรื่องการรบในสนามการค้า

แต่บางที CEO ก็จะเจอ ผู้ร่วมทุนอีกแบบหนึ่งที่พร้อมจะรบเคียงบ่าเคียงไหล่ เป็นการร่วมทุนแบบพันธมิตร (Strategic Partners) เช่น CEO เก่งด้านการผลิต แต่คนมาร่วมทุนเก่งด้านการตลาด อย่างนี้ร่วมทุนและทำงานคู่กันไป ก็เป็น win win ทั้งคู่

สำหรับพวก Strategic Partners ส่วนมากก็จะกอดคอกับ CEO ร่วมหัวจมท้ายกัน
จนบริษัทแข็งแรงพอ เอาเข้าตลาดหุ้นเพื่อขยายงานต่อ

แม้เมื่อเอาหุ้นเข้าตลาดแล้ว Strategic Partners หลายแห่ง ก็ยังยืนหยัดเคียงคู่กับ CEO ด้วยการถือหุ้นเป็นพันธมิตรต่อ มิได้ขายหุ้นออกเหมือนกลุ่ม Venture Capital

เพราะเป้าหมายของ Strategic Partners ค่อนข้างแตกต่างกับ Venture Capital ซึ่งเข้ามาถือในฐานะของการลงทุนแบบ Financial Partners

ถ้าได้กำไรตามสมควรก็ขาย เพื่อออกจากโครงการ (Exit) จะขายให้เจ้าของเดิมหรือขายในตลาดหุ้นก็ได้ ไม่ว่ากัน
ไม่เหมือน Strategic Partners ที่เข้ามาแบบร่วมด้วยช่วยกัน เพื่อร่วมบริหารให้บริษัทมีการสร้างมูลค่าที่ดีขึ้นแบบระยะยาว

ถามว่าทั้ง Venture Capital และ Strategic Partners เข้ามาลงทุนแล้ว มีขาดทุนบ้างไหม?
มีแน่นอน

เพราะการลงทุนคือความเสี่ยง ถ้า CEO ทำไม่ได้ตามแผนการที่วางไว้ หรือเจอความเสี่ยงใหญ่ ๆ
เช่น การแข่งขันอย่างรุนแรง  การขึ้นราคาน้ำมันอย่างสุดกู่ อาจทำให้ธุรกิจจอดไม่ต้องแจว การร่วมทุนที่ลงไปก็สูญได้

จึงต้องดูให้ดีทั้ง 2 ฝ่าย CEO ก็ต้องดูให้ดีว่ามิตรใหม่ที่เข้ามาจะไม่เข้ามาก่อกวน แต่จะเข้ามาช่วยกันสร้างประโยชน์

ส่วนผู้ร่วมทุน ก็ต้องดูให้รอบคอบ ว่าบริษัทที่เลือกไว้ จะมีโอกาสอยู่ในเกณฑ์สูงที่จะเติบโต ด้วยการวิเคราะห์อย่างละเอียด รอบคอบ อย่าเชื่ออะไรง่ายเกินไป จะได้ไม่เสียใจในภายหลัง

สำหรับ CEO ที่มีฝีมือ สามารถพาตัวรอดและเติบโต จนเข้าตลาดหุ้นได้ โดยไม่ต้องพึ่งเงินจากคนอื่น ก็ต้องมีการเพิ่มทุน ด้วยวิธีหุ้นจองคะนองฤทธิ์ คือการทำ IPO หรือ Initial Public Offer ด้วยการกระจายขายหุ้นให้สาธารณชนเป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นเรื่องที่ชาวหุ้นคุ้นๆกันดี

ทีนี้พอทำไปๆ ธุรกิจขยายตัวดีขึ้น ต้องมีการเพิ่มทุนอีก ก็ต้องปรึกษากับสภาสงคราม ว่าจะต้องเพิ่มทุนอีกไหม?

ถ้าต้อง  จะเอาวิธีไหน?

ในกรณีที่ต้องเพิ่มแบบ Private Placement หรือ กลยุทธมิตรใหม่ใจถึง ก็คงทำเหมือนก่อนเข้าตลาดหุ้น ด้วยการติดต่อกับ Venture Capital หรือหา Strategic Partners ก็ได้ ขึ้นอยู่กับความเหมาะสม
แต่สุดท้ายต้องได้รับการอนุมัติจากผู้ถือหุ้น ถือเป็นเสียงสวรรค์ที่สำคัญมาก CEO จะตัดสินเองทำอย่างรวบรัดไม่ได้เด็ดขาด

Venture Capital ที่เข้ามาในช่วงนี้ มักจะเป็นกองทุนของเอกชน (Private Equity) ที่มีเงิน แต่ไม่ชอบเสี่ยงกับการลงทุนในธุรกิจ ที่ยังมีอายุไม่มาก มักจะรอลงในธุรกิจที่มีผลงานบ้าง แม้จะต้องจ่ายราคาสูงกว่าก็ยอม คือเน้นความแน่นอนไว้ก่อน กำไรน้อยหน่อยไม่เป็นไร

ส่วน Strategic Partners ที่เข้ามาในห้วงเวลานี้ ก็ย่อมมีความมั่นใจมากขึ้น เพราะเวลาหุ้นอยู่ในตลาด ต้องเปิดเผยข้อมูลมากขึ้น เพราะกฎของการกำกับดูแลที่ดี

เมื่อเป็นเช่นนี้ กองทัพของ CEO ก็จะเติบโตได้รวดเร็วขึ้น เพราะรู้จักใช้ตลาดหุ้นให้เป็นคุณ ทำการระดมทุนจากตลาดทุน อย่างชาญฉลาด ด้วยการทำตัวให้เป็นคนดี มีฝีมือ

มีหุ้นแบบนี้มากๆ นักลงทุนก็ยิ้มได้ เพราะมีคนเอาเงินไปช่วยทำงานให้

ขอขอบคุณท่าน CEO
ที่ดีทั้งฝีมือ ดีทั้งจิตใจครับ


ที่มา : http://www.earnconcept.com/node/94
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 5

ช่วยอธิบายการเพิ่มทุนหน่อยซิ

โพสต์ที่ 5

โพสต์

เพิ่มทุน (ตอนที่ 1)
โดย : K.สุมาอี้

ทุกธุรกิจต้องมีเงินส่วนหนึ่งไว้สำหรับลงทุนเพิ่มทุกปีเพื่อสร้างกำไรให้เติบโต ต่อให้ธุรกิจไม่ต้องการจะเติบโตเลย ก็ยังต้องมีเงินทุนส่วนหนึ่งไว้ใช้สำหรับการบำรุงรักษาสินทรัพย์ต่างๆ ให้อยู่ในสภาพเดิม เป็นอย่างน้อย เว้นแต่ต้องการจะเลิกทำธุรกิจแล้วเท่านั้น

บริษัทมีทางเลือก 3 ทางที่จะหาเงินมาลงทุน ดังนี้

1.เก็บกำไรสะสมไว้ลงทุนส่วนหนึ่งแทนที่จะจ่ายเป็นเงินปันผลออกมาทั้งหมด
2.กู้เงินมาลงทุน โดยชำระดอกเบี้ยให้เจ้าหนี้ตามกำหนด
3.เพิ่มทุน
บริษัทมักจะเลือกทางเลือกที่หนึ่งก่อน ถ้าไม่ได้ก็สอง ถ้าไม่ได้ก็สาม ซึ่งนักลงทุนส่วนใหญ่ก็ชอบแบบนั้น

นักลงทุนมักเข้าใจผิดว่า กำไรสะสม เป็นแหล่งเงินที่มีต้นทุนทางการเงินต่ำที่สุด เพราะไม่ต้องเสียดอกเบี้ยเหมือนอย่างเงินกู้ และไม่ทำให้เกิด dilution effect (EPS ลดลง) เหมือนการเพิ่มทุน แต่ความจริงแล้ว กำไรสะสมจัดเป็น Equity อย่างหนึ่งจึงมีต้นทุนสูงกว่าเงินกู้ ถึงแม้ไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ยแต่ก็ต้องสร้างผลตอบแทนให้ได้สูงกว่าเงินกู้เพื่อชดเชยความเสี่ยงของการใช้ Equity ลงทุน มิฉะนั้นจะส่งผลต่อ ROE ของบริษัทและราคาหุ้นในที่สุด ถ้าบริษัทหาวิธีสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าต้นทุนการเงินของกำไรสะสมไม่ได้ บริษัทควรปันผลออกมาให้หมด เพราะนักลงทุนจะได้มีทางเลือกที่จะนำเงินก้อนนั้นไปลงทุนในหุ้นตัวอื่นที่สร้างผลตอบแทนได้มากกว่า ที่จริงแล้ว เงินกู้ต่างหากที่มีต้นทุนการเงินน้อยที่สุด

ทฤษฏีทางการเงินบอกว่า สาเหตุที่บริษัทเลือกใช้กำไรสะสมก่อนกู้เงินเป็นเพราะ "ความสะดวก" ในการระดมทุน (หลักของ Pecking Order) เพราะ กำไรสะสมเอาไปใช้ได้ทันทีโดยไม่ต้องติดต่อกับเจ้าหนี้หรือผู้ถือหุ้นให้ยุ่งยาก บริษัทจึงชอบใช้กำไรสะสมมากกว่าเงินกู้ ทั้งที่ต้นทุนการเงินสูงกว่า ส่วนการเพิ่มทุนนั้นสะดวกน้อยที่สุด เพราะต้องฝ่าแรงคัดค้านจากผู้ถือหุ้นในที่ประชุมผู้ถือหุ้นให้ได้ บริษัทจึงนิยมเก็บการเพิ่มทุนไว้เป็นทางเลือกสุดท้าย

บริษัทที่ต้องการรักษาระดับการเติบโตให้สูงอย่างต่อเนื่องนั้นไม่สามารถอาศัยกำไรสะสมเป็นแหล่งเงินทุนตลอดไปได้ ถึงจุดหนึ่งจะต้องมีการเพิ่มทุนในที่สุด ในทางทฤษฏีแล้ว บริษัทที่ต้องการเติบโตเฉลี่ยในระยะยาวให้ได้เกิน ROE จะต้องมีการเพิ่มทุน เช่น ถ้าบริษัทมี ROE เท่ากับ 10% ถ้าบริษัทต้องการเติบโตเฉลี่ยในระยะยาวเกิน 10% จะต้องมีการเพิ่มทุนด้วย นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่อธิบายว่า ทำไม ROE เป็นตัวเลขตัวหนึ่งที่ไม่ควรมองข้ามในการลงทุนด้วย เพราะ ROE ที่สูงจะช่วยลดความจำเป็นในเพิ่มทุนได้นั่นเอง  

ดังนั้น การเพิ่มทุนไม่ได้เป็นสิ่งที่ดีเลวร้ายเสมอไป การที่นักลงทุนค้านเสมอเมื่อเห็นบริษัทเพิ่มทุนก็เหมือนกับนักลงทุนไม่อยากเห็นผู้บริหารมีความกล้าคิดกล้าทำเพื่อทำให้กิจการเติบโต ประเด็นที่สำคัญกว่าก็คือว่า บริษัทเพิ่มทุนไปโดยมีโอกาสในการเติบโตที่มีศักยภาพรองรับอยู่หรือไม่ เพราะถ้ามี การเพิ่มทุนก็จะทำให้กำไรเติบโตขึ้นในอัตราที่สูงกว่าจำนวนหุ้นที่เพิ่มขึ้นได้ในอนาคต ซึ่งจะทำให้ผู้ถือหุ้นรวยกว่าเดิมนั่นเอง แต่ถ้าขาดโอกาสในการเติบโตเสียแล้ว การเพิ่มทุนก็จะส่งผลเสียต่อผู้ถือหุ้นแน่นอน

เพราะฉะนั้น เมื่อใดที่บริษัทจะเพิ่มทุน นักลงทุนควรให้ความสนใจกับรายละเอียดของการใช้เงินให้มาก ว่าบริษัทเอาเงินไปใช้ลงทุนอะไรกันแน่ อย่ามัวแต่สนใจว่าบริษัทควรเพิ่มทุนรือก่อหนี้มากกว่ากัน จนละทิ้งประเด็นนี้ที่สำคัญยิ่งกว่า ถ้าโครงการไม่ดี ใช้เงินกู้หรือเงินกูก็ไม่ดีทั้งนั้น


ที่มา : http://www.settrade.com/blog/1001ii/2008/04/16/260
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 5

ช่วยอธิบายการเพิ่มทุนหน่อยซิ

โพสต์ที่ 6

โพสต์

เพิ่มทุน (ตอนที่ 2)
โดย : K.สุมาอี้

โดยปกติแล้ว บริษัทมักเพิ่มทุนโดยให้สิทธิ์ผู้ถือหุ้นเดิมได้ซื้อหุ้นเพิ่มทุนนั้นก่อน (ซื้อได้ตามสัดส่วนที่ผู้ถือหุ้นเดิมถืออยู่) ทั้งนี้ก็เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ถือหุ้นเดิมได้รักษาสัดส่วนการถือหุ้นของตัวเองไว้ไม่ให้ลดลง (อันจะส่งผลต่อเสียงโหวต)

ในบางกรณี บริษัทจงใจขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับบริษัทใดบริษัทหนึ่งโดยเฉพาะ (Private Placement : PP) โดยไม่ให้สิทธิ์ผู้ถือหุ้นเดิมในการซื้อหุ้นเพิ่มทุนเพื่อรักษาสัดส่วนก่อน เหตุผลก็คือ บริษัทนั้นสามารถเอื้อประโยชน์บางอย่างให้กับธุรกิจของบริษัทได้ เช่น อาจจะเป็นเจ้าของเทคโนโลยีบางอย่างที่บริษัทอยากได้หรือมีเครือข่ายการจัดจำหน่ายสินค้าที่แข็งแกร่ง เป็นต้น บริษัทจึงจำเป็นต้องยอมให้บริษัทนั้นเข้ามาถือหุ้นเพื่อให้บริษัทนั้นยอมเปิดเผยเทคโนโลยีหรือยอมจัดจำหน่ายสินค้าของบริษัทให้ เราเรียกผู้ถือหุ้นแบบนี้ว่าเป็น Strategic shareholders ของบริษัท ในบางกรณีบริษัทถึงกับต้องยอมขายหุ้นเพิ่มทุนในราคาที่มีส่วนลดจากราคาตลาดให้อีกด้วย ขึ้นอยู่กับอำนาจการต่อรองของ Strategic shareholders

ในบางกรณี บริษัทจงใจขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไป (Public Offering : PO) โดยไม่ได้ให้สิทธิพิเศษใดๆ กับผู้ถือหุ้นเดิมในการซื้อหุ้นเพิ่มทุนได้ก่อน ซึ่งเป็นวิธีการเพิ่มทุนที่ผู้ถือหุ้นเดิมเสียสิทธิ์ กรณีเช่นนี้ บริษัทมักจะอ้างว่าเป็นเพราะหุ้นเก่ามีจำนวนผู้ถือหุ้นน้อยเกินไป เลยถือโอกาสกระจายหุ้นให้คนใหม่ๆ บ้างเพื่อเพิ่มสภาพคล่องไปในตัว เหตุผลนี้โดยส่วนตัวผมรู้สึกว่าฟังไม่ขึ้น ผมมักจะคิดในใจว่า น่าจะเป็นเหตุผลส่วนตัวของผู้ถือหุ้นใหญ่บางคนมากกว่าที่ไม่อยากซื้อหุ้นเพิ่มทุนด้วยเหตุผลอะไรก็ตามแต่มาตัดสิทธิ์ผู้ถือหุ้นเดิมทุกคนไม่ให้มีสิทธิ์ซื้อหุ้นเพิ่มทุนนั้นก่อนซะงั้น หรือว่ารู้ตัวว่าเคยหักหลังผู้ถือหุ้นเก่ามาก่อน ก็เลยกลัวผู้ถือหุ้นเก่าไม่ซื้อ ไม่ทราบว่าท่านผู้อ่านท่านใดมองเห็นเหตุผลอย่างอื่นที่ดีๆ ของ PO ที่ผมอาจจะมองข้ามไปหรือเปล่า ถ้าหากคิดออกช่วยแชร์ด้วย ผมคิดไม่ออกจริงๆ โดยส่วนตัวแล้ว ผมว่าการออก PO ถือเป็นสัญญาณลบอย่างหนึ่งเกี่ยวกับธรรมภิบาลของบริษัท

กลับมาที่กรณีปกติอีกครั้งที่บริษัทให้สิทธิ์ผู้ถือหุ้นเดิมซื้อหุ้นเพิ่มทุนก่อน ปกติแล้วบริษัทจะประกาศให้ทราบว่า ผู้ถือหุ้นเก่ากี่หุ้นจะมีสิทธิ์ซื้อหุ้นเพิ่มทุนใหม่กี่หุ้น ในราคาหุ้นละกี่บาท ตัวอย่างเช่น หุ้นเก่า 2 หุ้นซื้อหุ้นเพิ่มทุนได้ 1 หุ้น อย่างนี้ก็แสดงว่า หุ้นเพิ่มทุนมีจำนวน 50% ของหุ้นที่มีอยู่เดิม เช่น ถ้าเดิมบริษัทมีหุ้นทั้งหมด 100 ล้านหุ้น ก็แสดงว่าออกหุ้นเพิ่มทุน 50 ล้านหุ้น ผู้ถือหุ้นเดิม 2 หุ้นจึงซื้อหุ้นใหม่ได้ 1 หุ้น เป็นต้น

ปกติแล้วบริษัทจะกำหนดราคาใช้สิทธิ์ซื้อหุ้นเพิ่มทุนขึ้นมาซึ่งแตกต่างจากราคาตลาดได้ อันนี้ขึ้นอยู่กับว่าบริษัทต้องการเงินเท่าไรจากการเพิ่มทุนครั้งนั้น เช่น บริษัทมีแผนจะใช้เงิน 50 ล้านบาท ก็ต้องขายหุ้นเพิ่มทุนที่ราคาหุ้นละ 1 บาท เป็นต้น

สมมติว่าราคาหุ้นเก่าในตลาดขณะนั้นอยู่ที่ประมาณ 1 บาทด้วย อย่างนี้หุ้นเพิ่มทุนกับหุ้นเดิมก็มีราคาใกล้เคียงกัน แต่ถ้าลองคิดดูให้ดี ถ้าบริษัทต้องการระดมทุน 50 ล้านบาท บริษัทมีวิธีออกแบบหุ้นเพิ่มทุนได้หลายแบบ เช่น ออกหุ้นเพิ่มทุน 50 ล้านหุ้น หุ้นละ 1 บาท หรือ ออกหุ้นเพิ่มทุน 100 ล้านหุ้น หุ้นละ 0.50 บาทก็ได้เหมือนกัน แล้วสองวิธีนี้มันมีข้อแตกต่างกันยังไง?

ในแง่จำนวนเงินที่ระดมได้นั้นไม่แตกต่าง แต่ในแง่ของความได้เปรียบเสียเปรียบระหว่างผู้ถือหุ้นนั้นต่างกันมาก การออกหุ้นเพิ่มทุนจำนวนมากๆ และขายในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาดมากๆ นั้น เป็นการบีบให้ผู้ถือหุ้นเดิมต้องเพิ่มทุน มิฉะนั้นแล้วสัดส่วนการถือหุ้นของตนเองจะลดลงอย่างมหาศาล เพราะถ้าไม่เพิ่มทุนก็เหมือนกับทิ้งสิทธิ์ในการซื้อหุ้นในราคาต่ำๆ ไปเฉยๆ  บริษัทที่มี outlook ที่ไม่ดีแต่ต้องการบีบบังคับให้ผู้ถือหุ้นเดิมใส่เงินเข้ามาเพิ่ม อาจใช้กลวิธีแบบนี้ ดังนั้นการกำหนดราคาหุ้นเพิ่มทุนก็เป็นอะไรที่สะท้อนถึงธรรมภิบาลของบริษัทได้เหมือนกัน

เพื่อแก้ปัญหาผู้ถือหุ้นบางคนที่ไม่ต้องการจะเพิ่มทุน บางบริษัทนิยมแจกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นเพิ่มทุน (หรือที่เรียกว่าวอร์แรนต์) ให้แทนที่จะเพิ่มทุนเฉยๆ วิธีนี้ก็ดีเหมือนกัน เอาไว้จะอธิบายถึงอีกครั้งว่าเป็นอย่างไรตอนที่เขียนถึงวอร์แรนต์นะครับ

ประเด็นเรื่องเพิ่มทุนยังไม่จบครับ ไว้มาต่อคราวหน้า


ที่มา : http://www.settrade.com/blog/1001ii/2008/04/23/262
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 5

ช่วยอธิบายการเพิ่มทุนหน่อยซิ

โพสต์ที่ 7

โพสต์

เพิ่มทุน (ตอนจบ)
โดย : K.สุมาอี้

ในกรณีที่บริษัทให้สิทธิ์ผู้ถือหุ้นเดิมซื้อหุ้นเพิ่มทุน บริษัทจะกำหนดวันหนึ่งขึ้นมาเป็นวัน cut off เรียกว่าใครที่เข้าไปซื้อหุ้นหลังวันนั้นจะถือว่า "มาช้า" หมดสิทธิ์ได้รับจัดสรรหุ้นเพิ่มทุน วิธีดูง่ายๆ ก็คือต้องซื้อหุ้นของบริษัทก่อนที่จะขึ้นเครื่องหมาย XR (eXcluding Rights) นั่นเอง

ในวันแรกที่หุ้นขึ้นเครื่องหมาย XR ราคาหุ้นในกระดานจะร่วงลงอย่างมีนัยสำคัญ (นี่แสดงให้เห็นว่า "สิทธิ์ในการได้รับจัดสรรหุ้นเพิ่มทุน" เป็นสิ่งที่มีมูลค่า ผู้ถือหุ้นเดิมจึงเป็นฝ่ายเสียประโยชน์ ถ้าบริษัทเลือกเพิ่มทุนแบบ PO )

นักลงทุนควรจะหัดคำนวณราคาใหม่ในทางทฤษฎีหลังวัน XR ให้เป็น เพื่อจะได้รู้ว่าราคาที่ร่วงลงไปนั้นถูกหรือแพงเกินไป เรื่องนี้บางคนบอกว่างงทุกที จริงๆ แล้ว เรื่องนี้ไม่น่างง ถ้าหากนักลงทุนยึดหลักการที่ว่า "กลทางการเงินใดๆ ต้องไม่สามารถทำให้มูลค่าของบริษัทเพิ่มขึ้นได้" เรื่องนี้ก็จะเป็นเรื่องง่าย หมายความว่า ถ้าบริษัทไหนคิดเล่นตลกด้วยการจัดโครงสร้างของหุ้นเพิ่มทุนให้นักลงทุนเข้าใจผิดคิดว่าหุ้นเพิ่มทุนมีราคาถูก ลูกไม้นั้นจะต้องหลอกนักลงทุนไม่ได้ มูลค่าบริษัทหลังเพิ่มทุนจะต้องมีค่าเท่าเดิมอยู่ มาดูตัวอย่างกันดีกว่า

สมมติว่าเดิมบริษัทมี 100 ล้านหุ้น ราคาในกระดานหุ้นละ 10 บาท (แสดงว่าบริษัทมีมูลค่าเท่ากับ 1000 ล้านบาท) ต่อมาบริษัทเพิ่มทุนในอัตรา 1 หุ้นเดิมต่อ 2 หุ้นใหม่ โดยให้สิทธิ์ผู้ถือหุ้นเดิมซื้อหุ้นใหม่ในราคาหุ้นละ 3 บาท (มัดมือชกกันสุดๆ) เท่ากับว่าออกหุ้นเพิ่มทุน 200 ล้านหุ้น และบริษัทจะได้รับเงินจากการเพิ่มทุนทั้งสิ้น 600 ล้านบาท และหลังเพิ่มทุนแล้วบริษัทจะมีหุ้นทั้งหมด 300 ล้านหุ้น อย่างนี้ ราคาหุ้นหลังขึ้นเครื่องหมาย XR ควรเป็นเท่าไร?

ก่อนเพิ่มทุนบริษัทมีมูลค่า 1000 ล้านบาท เมื่อบวกกับเงินเพิ่มทุนที่จะใส่เข้ามาในบริษัทอีก 600 ล้านบาท หลังวัน XR บริษัทก็ควรมีค่าเท่ากับ 1600 ล้านบาท ไม่ควรจะมากไปกว่านี้ (กลใช้ไม่ได้ผล) แต่เนื่องจากหลัง XR บริษัทมีหุ้นเพิ่มเป็น 300 ล้านหุ้น ดังนั้นมูลค่าบริษัทต่อหุ้นก็ควรจะเป็น 1600/300 หรือเท่ากับ 5.33 บาทต่อหุ้นในวันแรกที่ XM นั่นเอง

ถ้าวันนั้นตลาดไม่ได้มีข่าวสำคัญอย่างอื่นเข้ามา หุ้นก็ควรมีราคาเหลือแค่ 5.33 บาทตั้งแต่เปิดตลาด ถ้าสูงกว่านั้นก็ยังแพงเกินไป ถ้านักลงทุนคำนวณล่วงหน้าไม่เป็น เห็นราคาหุ้นเปิดมาเหลือแค่ 7 บาทอาจเข้าใจผิดคิดว่าหุ้นถูก เข้าไปรับ สิบนาทีต่อมาร่วงต่อเหลือแค่ 5.33 บาท น้ำตาจะเช็ดหัวเข่า

บางคนอาจแย้งว่า แล้วไม่ให้มูลค่าการเติบโตเลยหรือ บริษัทเพิ่มทุนเพราะมีโครงการขยายกิจการ มูลค่าของบริษัทหลังเพิ่มทุนจึงน่าจะเพิ่มขึ้นได้มากกว่าเงินสดที่ใส่เข้ามา คำตอบก็คือ "ไม่" ครับ เพราะโดยมากแล้ว ก่อนที่จะถึงวัน XR บริษัทมักมีการสื่อสารกับนักลงทุนเรื่องแผนการเติบโตมาก่อนแล้ว ราคาหุ้นก่อนวัน XR จึงมักรวมความคาดหวังของนักลงทุนเกี่ยวกับแผนการเติบโตไว้ในราคาเรียบร้อยแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องให้พรีเมี่ยมเพิ่มอีกในวัน XR ครับ

การเพิ่มทุนที่ดีไม่ควรเป็นการเพิ่มทุนที่เซอร์ไพรส์ตลาด บริษัทที่ดีควรมีการสื่อสารกับนักลงทุนเรื่องแผนการเติบโตมาก่อนที่จะประกาศเพิ่มทุน (แม้ว่าจะยังบอกรายละเอียดของหุ้นเพิ่มทุนไม่ได้ก็ตาม) บริษัทที่เพิ่มทุนแบบเซอร์ไพร์ส ผมถือว่าเป็นสัญญาณเชิงลบครับ

ปกติแล้ว บริษัทที่คิดจะเพิ่มทุนจะมีการวางแผนล่วงหน้ามาก่อน คือต้องพยายามขายแผนการเติบโตให้นักลงทุนตื่นเต้นให้ได้ก่อนที่จะประกาศเพิ่มทุนเพื่อให้ราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปรอล่วงหน้า เมื่อก่อนนี้ ผมมักรู้สึกไม่ดีกับบริษัทที่พยายาม "ตีปี๊บ" อย่างหนักก่อนเพิ่มทุน แต่ตอนหลัง ผมเข้าใจได้ว่า นั่นเป็นสิ่งที่ควรกระทำอย่างยิ่ง เพราะเป็นการปกป้อง wealth ของผู้ถือหุ้น "เดิม" ที่ถือหุ้นของบริษัทมานานซึ่งรวมถึงรายย่อยเดิมด้วย เนื่องจากการเพิ่มทุนมักจะทำให้ EPS ลดลงในระยะสั้น ถ้าบริษัทไม่มีการสื่อสารใดๆ ทั้งสิ้นกับตลาดเลย เมื่อประกาศเพิ่มทุน ราคาหุ้นจะร่วงลง ทำให้คนที่เข้ามาทีหลังสามารถซื้อได้ถูกกว่าเดิมมาก ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรมกับรายย่อยที่เป็นแฟนพันธ์แท้ที่เหนียวแน่นของบริษัทมาแต่เดิม เช่น ถ้าแต่เดิมหุ้นของบริษัทมีราคาอยู่แถวๆ 6 บาทมาตลอด ถ้าไม่สื่อสารแต่เพิ่มทุนเฉยๆ เลย หุ้นอาจตกเหลือ 3 บาท ผู้ถือหุ้นเดิมก็เจ็บปวด แต่ถ้าตีปี๊บให้หุ้นขึ้นไปที่ 18 บาทก่อน เมื่อเพิ่มทุนแล้ว หุ้นอาจตกลงมาเหลือแค่ 10 บาท อย่างนี้แม้จะตกลงมา ผู้ถือหุ้นเดิมก็ยังมีกำไรอยู่ เป็นต้น บริษัทควรปกป้อง wealth ของผู้ถือหุ้นเดิมก่อนด้วยการขายหุ้นเพิ่มทุนให้ได้ราคาสูงสุด once ที่ผู้ถือหุ้นใหม่ยอมจ่ายแพงเพื่อเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นแล้ว ในอนาคตจึงค่อย treat พวกเขาเหล่านั้นให้ดีเท่าๆ กับผู้ถือหุ้นเดิมคนอื่น จึงจะถือว่าปกป้องผู้ถือหุ้นอย่างแท้จริง

ถ้าสังเกตให้ดีจะพบว่า หุ้นที่เพิ่มทุนส่วนใหญ่มักจะวิ่งกันก่อนที่จะเพิ่มทุน และพุ่งสู่จุดสูงสุดในช่วงที่ใกล้จะเพิ่มทุนหรือหลังจากนั้นเล็กน้อย ต่อจากนั้น ราคาหุ้นก็จะมักจะร่วงลง เพราะเมื่อเพิ่มทุนเสร็จแล้วบริษัทก็มักจะเลิกตีปี๊บทำให้หุ้นขาดข่าวกระตุ้น ประกอบกับ EPS ก็กำลังจะลดลงชั่วคราวเพราะตัวหารเพิ่มขึ้นด้วย การซื้อหุ้นในช่วงที่เพิ่มทุนหรือหลังเพิ่มทุนใหม่ๆ จึงมีโอกาสขาดทุนในระยะสั้นได้มาก ส่วนใหญ่แล้ว คนที่ฟังบริษัทตีปี๊บแล้วรู้สึกตื่นเต้นได้ง่าย มักเป็นคนที่ติดดอยในเกมนี้เสมอ เรื่องนี้โทษใครไม่ได้ ต้องโทษตัวเองที่ "เคลิ้ม" ง่าย ถ้าอยากเล่นเกมนี้ให้ได้ตังค์ ต้องหันมาเป็นนักลงทุนที่มีความคิดที่เป็นอิสระ กล่าวคือ ตัดสินใจได้เองว่า บริษัทมีอนาคตหรือไม่ โดยไม่เกี่ยวกับว่าช่วงนั้นจะต้องมีใครมาตีปี๊บให้ฟังบ่อยๆ หรือเปล่า


ที่มา : http://www.settrade.com/blog/1001ii/2008/04/27/264
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
โพสต์โพสต์