จุดจบจะเป็นอย่างไร
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1603
- ผู้ติดตาม: 4
จุดจบจะเป็นอย่างไร
โพสต์ที่ 1
set ขึ้นมาหลายเปอร์เซ็นต์หลายท่านที่เล่น big cap คงจะรับทรัพย์กันทั่วหน้า แต่ผมอยากจะตั้งข้อสังเกตสักนิด(ตามประสาของคนชั่งสงสัย)
- การไหลเข้ามาของเม็ดเงินต่างชาติตอนนี้ทำให้เงินบาทแข็งขึ้นมากกว่าเพื่อนบ้าน ซึ่งผมเข้าจัยว่าอุตสาหกรรมหลัก(Real Sector)ของบ้านเราคือการส่งออก การที่เงินบาทแข็งขึ้นส่งผลกระทบต่าง sector โดยตรง
- เมื่อเงินบาทแข็งอุตสาหกรรมส่งออกอยู่กันไม่ได้ เรื่องถึงแบงค์ชาติต้องเข้าแซกแทรกค่าเงิน ถามว่าการแซกแทรกของแบงค์ชาติจะเป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำหรือไม่
- เมื่ออุตสากรรมหลักทำกำไรได้น้อยลง การจ้างงานก็น่าจะลดลง ความเชื่อมั่นผู้บริโภคก็ต้องลดลง แล้วจะเป็นอย่างไรต่อ
- แล้วที่ทุกคนตั้งความหวังว่าหลังจากเลือกตั้ง ประเทศจะเดินหน้าต่อ แต่ถ้าเกิดปัญหาแบบเดิมๆจะเป็นอย่างไร(ผมคิดอาจจะว่าเป็นไปได้)
- ท้ายที่สุด เมื่อการนำเข้าไม่สมดุลกับการส่งออก(ส่งออกมากกว่า) เงินบาทแข็ง ส่งออกเริ่มอยู่ไม่ได้ จะเกิดอะไรขึ้น(คงไม่30%รอบสองนะ)
ปล. ผมเพียงรู้สึกกลัวกับสิ่งที่เกิดขึ้นที่มีลักษณะคล้านฟองสบู่
- การไหลเข้ามาของเม็ดเงินต่างชาติตอนนี้ทำให้เงินบาทแข็งขึ้นมากกว่าเพื่อนบ้าน ซึ่งผมเข้าจัยว่าอุตสาหกรรมหลัก(Real Sector)ของบ้านเราคือการส่งออก การที่เงินบาทแข็งขึ้นส่งผลกระทบต่าง sector โดยตรง
- เมื่อเงินบาทแข็งอุตสาหกรรมส่งออกอยู่กันไม่ได้ เรื่องถึงแบงค์ชาติต้องเข้าแซกแทรกค่าเงิน ถามว่าการแซกแทรกของแบงค์ชาติจะเป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำหรือไม่
- เมื่ออุตสากรรมหลักทำกำไรได้น้อยลง การจ้างงานก็น่าจะลดลง ความเชื่อมั่นผู้บริโภคก็ต้องลดลง แล้วจะเป็นอย่างไรต่อ
- แล้วที่ทุกคนตั้งความหวังว่าหลังจากเลือกตั้ง ประเทศจะเดินหน้าต่อ แต่ถ้าเกิดปัญหาแบบเดิมๆจะเป็นอย่างไร(ผมคิดอาจจะว่าเป็นไปได้)
- ท้ายที่สุด เมื่อการนำเข้าไม่สมดุลกับการส่งออก(ส่งออกมากกว่า) เงินบาทแข็ง ส่งออกเริ่มอยู่ไม่ได้ จะเกิดอะไรขึ้น(คงไม่30%รอบสองนะ)
ปล. ผมเพียงรู้สึกกลัวกับสิ่งที่เกิดขึ้นที่มีลักษณะคล้านฟองสบู่
อย่ามัวติดกับเรื่องในอดีต กังวลกับเรื่องในอนาคต จนลืมว่าปัจจุบันต้องทำอะไร
-
- Verified User
- โพสต์: 1601
- ผู้ติดตาม: 0
Re: จุดจบจะเป็นอย่างไร
โพสต์ที่ 3
ตามมุมมองนี้ แสดงว่า ตลาดหุ้นไม่ได้สะท้อนภาพที่เป็นจริงของประเทศกุหลาบงามหลังฝน เขียน:set ขึ้นมาหลายเปอร์เซ็นต์หลายท่านที่เล่น big cap คงจะรับทรัพย์กันทั่วหน้า แต่ผมอยากจะตั้งข้อสังเกตสักนิด(ตามประสาของคนช่างสงสัย)
- การไหลเข้ามาของเม็ดเงินต่างชาติตอนนี้ทำให้เงินบาทแข็งขึ้นมากกว่าเพื่อนบ้าน ซึ่งผมเข้าใจว่าอุตสาหกรรมหลัก(Real Sector)ของบ้านเราคือการส่งออก การที่เงินบาทแข็งขึ้นส่งผลกระทบต่าง sector โดยตรง
- เมื่อเงินบาทแข็งอุตสาหกรรมส่งออกอยู่กันไม่ได้ เรื่องถึงแบงค์ชาติต้องเข้าแทรกแซงค่าเงิน ถามว่าการแทรกแซงของแบงค์ชาติจะเป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำหรือไม่
- เมื่ออุตสาหกรรมหลักทำกำไรได้น้อยลง การจ้างงานก็น่าจะลดลง ความเชื่อมั่นผู้บริโภคก็ต้องลดลง แล้วจะเป็นอย่างไรต่อ
- แล้วที่ทุกคนตั้งความหวังว่าหลังจากเลือกตั้ง ประเทศจะเดินหน้าต่อ แต่ถ้าเกิดปัญหาแบบเดิมๆจะเป็นอย่างไร(ผมคิดอาจจะว่าเป็นไปได้)
- ท้ายที่สุด เมื่อการนำเข้าไม่สมดุลกับการส่งออก(ส่งออกมากกว่า) เงินบาทแข็ง ส่งออกเริ่มอยู่ไม่ได้ จะเกิดอะไรขึ้น(คงไม่30%รอบสองนะ)
ปล. ผมเพียงรู้สึกกลัวกับสิ่งที่เกิดขึ้นที่มีลักษณะคล้ายฟองสบู่
แต่กลับเป็นปัจจัยที่มีผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจที่แท้จริง ใช่ไหมครับ
"Be sure you put your feet in the right place, then stand firm"
Abraham Lincoln
Abraham Lincoln
-
- Verified User
- โพสต์: 375
- ผู้ติดตาม: 1
จุดจบจะเป็นอย่างไร
โพสต์ที่ 4
รู้จัก derivative ไหมครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 348
- ผู้ติดตาม: 0
จุดจบจะเป็นอย่างไร
โพสต์ที่ 5
ผมว่าค่าเงินบาทแข็งไม่เป็นปัญหากับการส่งออกของประเทศมากเพราะโครงสร้างการส่งออกของบ้านเรามีโครงสร้างเฉพาะตัวที่คอยค้ำจุนครับ
1.สินคาเกษตรซึ่งเป็นสินค้าส่งออกหลักปีนี้ราคาดีมากทั้งข้าว มัน ยางพาราและอื่นๆราคาที่ดีผมว่าน่าจะมากกว่าค่าเงินที่แข็งขึ้นเสียอีก
2.อุตสาหกรรมอีเลกทรอนิก ปกติมีการนำเข้าของวัตถุดิบจากต่างประเทศอยู่แล้วเป็นการลดผลกระทบจากค่าเงินแข็งอยู่แล้วครับ กำไรขึ้นกับดีมานด์จากต่างประเทศจะสั่งสินค้ามากหรือไม่ครับ
3.สินค้าส่งออกที่ใช้วัตถุดิบภายในประเทศ เช่นสิ่งทอ หรือพวกอาหารทะเลที่ใช้วัตถุดิบภายในประเทศ ที่โดนกระทบค่อนข้างมากแต่มีการผลักภาระให้ผู้ผลิตวัตถดิบในประเทศและการช่วยเหลือไม่ให้เงินบาทแข็งเร็วขึ้นจะช่วยแก้ปัญหาได้บ้าง
เหล่านี้เป็นปัจจัยที่ช่วยให้การส่งออกบ้านเราไปได้ถึงแม้ค่าเงินจะแข็งขึ้น(และเป็นการแข็งค่าขึ้นทั้งภูมิภาค)
อีกประการเรื่องการแทรกแซงค่าเงินบาทกรณีเงินบาทแข็งค่ามากๆผมไม่เคยคิดว่าเป็นปัญหามากนัก ถ้าธปท.มีวินัยเกี่ยวกับการบริหารสกุลเงินต่างประเทศ กลับอยู่ที่การมีวินัยทางการคลังและการเข้มงวดด้านการตรวจสอบภาคการเงินจะยิ่งช่วยให้เศรษฐกิจบ้านเราสามารถรับมือกับสิ่งที่ไม่แน่นอนในอนาคตได้
ที่ผ่านมาเราเสียเวลากับเรื่องการทุจริต การเล่นพรรคเล่นพวกจนเกิดการกระจุกตัวกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยกลุ่มที่ได้รับประโยชน์ไม่กี่กลุ่มจนทำให้ขาดการเพิ่มขีดความสามารถของอีกหลายกลุ่มทุนในสังคม และประสิทธิภาพการทำงานภาครัฐค่อนข้างอ่อนแอมาตลอด แรงจูงใจการพัฒนาขีดความสามารถเพื่อต่อยอดจึงล่าช้า
ได้แต่หวังว่ารัฐบาลควรวางแผนต่อจากนี้ให้ดีเพื่อรองรับการผันผวนการไหลเข้าออกของทุนและการตกต่ำของสินค้าโภคภัณฑ์ที่อาจจะเกิดในอนาคตให้ดีด้วย(แต่ถ้าไม่เกิดก็คงดี)
1.สินคาเกษตรซึ่งเป็นสินค้าส่งออกหลักปีนี้ราคาดีมากทั้งข้าว มัน ยางพาราและอื่นๆราคาที่ดีผมว่าน่าจะมากกว่าค่าเงินที่แข็งขึ้นเสียอีก
2.อุตสาหกรรมอีเลกทรอนิก ปกติมีการนำเข้าของวัตถุดิบจากต่างประเทศอยู่แล้วเป็นการลดผลกระทบจากค่าเงินแข็งอยู่แล้วครับ กำไรขึ้นกับดีมานด์จากต่างประเทศจะสั่งสินค้ามากหรือไม่ครับ
3.สินค้าส่งออกที่ใช้วัตถุดิบภายในประเทศ เช่นสิ่งทอ หรือพวกอาหารทะเลที่ใช้วัตถุดิบภายในประเทศ ที่โดนกระทบค่อนข้างมากแต่มีการผลักภาระให้ผู้ผลิตวัตถดิบในประเทศและการช่วยเหลือไม่ให้เงินบาทแข็งเร็วขึ้นจะช่วยแก้ปัญหาได้บ้าง
เหล่านี้เป็นปัจจัยที่ช่วยให้การส่งออกบ้านเราไปได้ถึงแม้ค่าเงินจะแข็งขึ้น(และเป็นการแข็งค่าขึ้นทั้งภูมิภาค)
อีกประการเรื่องการแทรกแซงค่าเงินบาทกรณีเงินบาทแข็งค่ามากๆผมไม่เคยคิดว่าเป็นปัญหามากนัก ถ้าธปท.มีวินัยเกี่ยวกับการบริหารสกุลเงินต่างประเทศ กลับอยู่ที่การมีวินัยทางการคลังและการเข้มงวดด้านการตรวจสอบภาคการเงินจะยิ่งช่วยให้เศรษฐกิจบ้านเราสามารถรับมือกับสิ่งที่ไม่แน่นอนในอนาคตได้
ที่ผ่านมาเราเสียเวลากับเรื่องการทุจริต การเล่นพรรคเล่นพวกจนเกิดการกระจุกตัวกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยกลุ่มที่ได้รับประโยชน์ไม่กี่กลุ่มจนทำให้ขาดการเพิ่มขีดความสามารถของอีกหลายกลุ่มทุนในสังคม และประสิทธิภาพการทำงานภาครัฐค่อนข้างอ่อนแอมาตลอด แรงจูงใจการพัฒนาขีดความสามารถเพื่อต่อยอดจึงล่าช้า
ได้แต่หวังว่ารัฐบาลควรวางแผนต่อจากนี้ให้ดีเพื่อรองรับการผันผวนการไหลเข้าออกของทุนและการตกต่ำของสินค้าโภคภัณฑ์ที่อาจจะเกิดในอนาคตให้ดีด้วย(แต่ถ้าไม่เกิดก็คงดี)
- สุมาอี้
- Verified User
- โพสต์: 4576
- ผู้ติดตาม: 85
จุดจบจะเป็นอย่างไร
โพสต์ที่ 7
อึม ซ้อสสามขวด
จะตีความว่าอะไรได้บ้างน่ะ
http://dekisugi.net
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2273
- ผู้ติดตาม: 1
จุดจบจะเป็นอย่างไร
โพสต์ที่ 8
ฮ่าๆ กำไร derivative เร็วกว่าเยอะeconometrica เขียน:รู้จัก derivative ไหมครับ
เดี๋ยวนี้ long กันวันละหลายพันสัญญา
แต่เงินเราก็แข็งพอๆกับเพื่อนบ้านนะ
อินโดยังแข็งกว่าเราเลย
ส่วนที่เป็นส่งออก ทำ swap ค่าเงินก็จบปิดความเสี่ยงซะ
แบ็งค์ชาติไม่ควรทำเอาเงินมาโดดท้าสู้เหย็งๆ ไม้ซีกงั้นไม้ซุงชัดๆ
เมื่อไหร่ที่มันเริ่มส่งออกไม่ได้ เงินบาทก็จะอ่อนค่าลง
ผมมองว่าตอนนี้คนพอมีเงินนะครับ แต่ไม่ยอมใช้เลย เพราะมองไม่เห็นว่าจะมีรายได้เพิ่มมากขึ้นในอนาคต
รอดู ทุกครั้งที่มีวิกฤติก็มีโอกาส จริงๆ บ้านเราก็ไม่ได้แย่อะไร
เงินเฟ้อก็ไม่เยอะ GDP ก็ยังดูดี เพียงแต่การกระจายรายได้ระหว่างคนรวยกํบคนจนยังห่างอีกเยอะเท่านั้นเอง
การลงทุนคือความเสี่ยง
แต่ความเสี่ยงสูงคือ ไม่รุ้ว่าอะไรคือจุดชี้เป็นชี้ตายของบริษัท
ความเสียงสุงที่สุด คือ ไม่รู้ว่าเลยว่าตัวเองทำอะไรอยู่
แต่ความเสี่ยงสูงคือ ไม่รุ้ว่าอะไรคือจุดชี้เป็นชี้ตายของบริษัท
ความเสียงสุงที่สุด คือ ไม่รู้ว่าเลยว่าตัวเองทำอะไรอยู่
- picatos
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3352
- ผู้ติดตาม: 346
จุดจบจะเป็นอย่างไร
โพสต์ที่ 9
ผมว่าในความเป็นจริงมันไม่ได้ง่ายขนาดพูดว่า... ทำ swap ปิดความเสี่ยงซะก็จบsunrise เขียน: ส่วนที่เป็นส่งออก ทำ swap ค่าเงินก็จบปิดความเสี่ยงซะ
แบ็งค์ชาติไม่ควรทำเอาเงินมาโดดท้าสู้เหย็งๆ ไม้ซีกงั้นไม้ซุงชัดๆ
เพราะการทำ swap ยังมีปัญหาและความเสี่ยงที่เกิดจากการทำ Swap อีกหลายเรื่อง ไหนจะเรื่องวงเงิน ไหนจะเรื่องการวาง Margin ไหนจะเรื่องการหา Underlying เรื่องต่างๆ อีกเยอะแยะ...
นอกจากนี้การทำ Forward Outright สุดท้ายก็ต้องขาย Spot ก่อนแล้วก็ค่อยทำ Swap ซึ่งก็เป็นตัวกดดันให้ Spot มันเตี้ยต่ำลงเรื่อยๆ
เศรษฐศาสตร์ขั้นต้นมักจะไม่พูดถึง Cost ในการ Transfer ธุรกิจไปอีกธุรกิจหนึ่ง... ทำธุรกิจหนึ่งแล้วไม่คุ้มก็ไปทำอีกธุรกิจสิ... แต่ในความเป็นจริงแล้ว Fixed Cost ทำให้มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะ Shift กิจกรรมของประเทศส่วนใหญ่ที่เป็นธุรกิจส่งออก ไปอยู่ในรูปแบบอื่น...
ความเห็นส่วนตัว... ผมว่าการที่ประเทศไทยจะมี Reserve สัก USD 1 trillion ไม่เห็นจะมีอะไรเสียหายสักเท่าไหร่... เงินเยอะๆ ดีออก เอาไปจัดตั้งเป็นเงินลงทุนเพื่อพัฒนาประเทศแบบที่สิงคโปร์ หรือจีน ทำ เพื่อใช้พัฒนาประเทศให้เจริญๆ ดีจะตาย
สภาพคล่องล้น ก็ออกพันธบัตรมันเข้าไปดูดมันเข้าไป ปรับนโยบาย แก้ไขโครงสร้างให้มันฟองสบู่ที่เกิดขึ้นรุนแรงให้น้อยที่สุด น่าจะโอเค (มั้งครับ)
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11444
- ผู้ติดตาม: 98
จุดจบจะเป็นอย่างไร
โพสต์ที่ 10
แล้วผู้ส่งออกประเทศอื่นป้องกันความเสี่ยงเรื่องค่าเงินผันผวนอย่างไรละครับpicatos เขียน:ผมว่าในความเป็นจริงมันไม่ได้ง่ายขนาดพูดว่า... ทำ swap ปิดความเสี่ยงซะก็จบ
เพราะการทำ swap ยังมีปัญหาและความเสี่ยงที่เกิดจากการทำ Swap อีกหลายเรื่อง ไหนจะเรื่องวงเงิน ไหนจะเรื่องการวาง Margin ไหนจะเรื่องการหา Underlying เรื่องต่างๆ อีกเยอะแยะ...
นอกจากนี้การทำ Forward Outright สุดท้ายก็ต้องขาย Spot ก่อนแล้วก็ค่อยทำ Swap ซึ่งก็เป็นตัวกดดันให้ Spot มันเตี้ยต่ำลงเรื่อยๆ
เศรษฐศาสตร์ขั้นต้นมักจะไม่พูดถึง Cost ในการ Transfer ธุรกิจไปอีกธุรกิจหนึ่ง... ทำธุรกิจหนึ่งแล้วไม่คุ้มก็ไปทำอีกธุรกิจสิ... แต่ในความเป็นจริงแล้ว Fixed Cost ทำให้มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะ Shift กิจกรรมของประเทศส่วนใหญ่ที่เป็นธุรกิจส่งออก ไปอยู่ในรูปแบบอื่น...)
ถึงอย่างไร เอกชนก็ต้องพยายามช่วยเหลือตัวเองให้มากๆ โลกทุกวันนี้มีความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ถ้าไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลง สุดท้ายก็คงไม่รอด
จะให้ใครเป็นผู้บริหารละครับ ถ้าไม่ใช่ ธปท.บริหาร แล้ว ธปท.จะยอมหรือpicatos เขียน:ความเห็นส่วนตัว... ผมว่าการที่ประเทศไทยจะมี Reserve สัก USD 1 trillion ไม่เห็นจะมีอะไรเสียหายสักเท่าไหร่... เงินเยอะๆ ดีออก เอาไปจัดตั้งเป็นเงินลงทุนเพื่อพัฒนาประเทศแบบที่สิงคโปร์ หรือจีน ทำ เพื่อใช้พัฒนาประเทศให้เจริญๆ ดีจะตาย
ปัจจุบัน ธปท.ยังไม่มีแนวคิดที่จะนำเงินไปลงทุนอย่างว่าเลย ให้ข่าวทำนองว่า มีหลายประเทศที่นำเงินไปลงทุน สุดท้ายก็ต้องล้มเลิก
ถ้าไม่ลงทุน เราจะขายสินทรัพย์ แรงงานของประเทศในราคาถูกๆ เพื่อนำเงินสกุลที่ด้อยค่าลงทุกวันมาเก็บไว้ครับ
ในขณะที่ค่าเงินบาทแข็ง เอกชนของเราสมควรที่จะลงทุนปรับปรุงเครื่องจักร และไปลงทุนในต่างประเทศได้แล้วครับ ซึ่งหลายอุตสาหกรรมก็เริ่มไปลงทุนที่ เขมร เวียดนามกันบ้างแล้ว
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
-
- Verified User
- โพสต์: 384
- ผู้ติดตาม: 1
จุดจบจะเป็นอย่างไร
โพสต์ที่ 11
ผมเดาว่า เขาแนะนำให้ ถือหุ้นแล้ว short index นะครับeconometrica เขียน:รู้จัก derivative ไหมครับ
คือเป็นการ hedge ป้องกันความเสี่ยงที่เกิดจากความกลัวความไม่แน่ใจ
มากกว่า
ถ้าถือหุ้น Big cap + long index อืม ไม่รวยก็ดอยล่ะครับ
ปล. โจทย์พี่กุหลาบ เป็นหุ้น big cap ก็โอเค แต่คนถือหุ้น VI นี่จะไป short index คงไม่มีประโยชน์
แมนยู โรม่า ลิสบอน เคี๊ยฟ
หมาป่าสู้สู้
หมาป่าสู้สู้
- picatos
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3352
- ผู้ติดตาม: 346
จุดจบจะเป็นอย่างไร
โพสต์ที่ 12
คือถ้าตลาดมันมีผู้เล่นครบครัน ไม่ติดกฎ ธปท. ที่คุมเข้มการนำเงินออกนอกประเทศ (จากสมัยวิกฤต) มันก็โอเคครับ... แต่นี่ Demand มันเป็น Demand ขาเดียว โครงสร้างพื้นฐาน นโยบายของรัฐ ก็ไม่ค่อยจะกระตุ้นให้เอกชนไปลงทุนต่างประเทศสักเท่าไหร่chatchai เขียน: แล้วผู้ส่งออกประเทศอื่นป้องกันความเสี่ยงเรื่องค่าเงินผันผวนอย่างไรละครับ
อย่างกระทิงแดงเนี่ย... ทำรายได้เข้าประเทศมากมายมหาศาล แต่ตอนที่จะออกไปลงทุน (เท่าที่ได้ยินมา) องค์กรรัฐเอาแต่ขัดแข้งขัดขาแทนที่จะช่วยสนับสนุน แล้ว Demand ฝั่งซื้อดอลลาร์มันจะมาจากไหนกันล่ะ
ที่ประเทศอื่นๆ เค้าปล่อย Float มันก็ไม่ใช่เพราะอยากปล่อยหรอก แต่มันถึงเวลาที่ต้องปล่อยแล้วต่างหาก โครงสร้างประเทศอื่นเค้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนจากที่ Peg เต็มที่ ค่อยๆ ไปเป็น Float โดยพยายามสร้างผู้เล่นในตลาดให้มันครบเครื่องก่อน
อย่างหลายๆ กรณี เช่น จีน เค้าก็เปลี่ยนจากที่ Peg เต็มที่ กระตุ้นให้เอกชนไปลงทุนต่างประเทศ ตั้งกองทุนไปลงทุนต่างประเทศ ค่อยๆ ปล่อยให้เงินไหลออกในรูปแบบที่ถูกต้อง (ทุกวันนี้ประเทศจีนเข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ) แล้วเึค้าก็ค่อยๆ ปล่อยให้ค่าเงินเป็นแบบ Band ซึ่งอีกหน่อยก็อาจจะเป็น Managed Float แล้วก็เป็น Freely Float ถ้าทุกคนพร้อม
chatchai เขียน: ถึงอย่างไร