อุตสาหกรรมการเงินการธนาคาร

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

อุตสาหกรรมการเงินการธนาคาร

โพสต์ที่ 1

โพสต์

สินเชื่อยังหดสวนทางเงินฝาก

โพสต์ทูเดย์ สินเชื่อในระบบธนาคารพาณิชย์ยังขยายตัวจุ๋มจิ๋ม เดือน พ.ค.เงินกู้ 7 ธนาคาร เพิ่มขึ้นแค่ 4.6 พันล้านบาท

รายงานข่าวจากสมาคมธนาคารไทยกล่าวว่า ยอดสินเชื่อรวมของ 7 ธนาคารขนาดใหญ่ ที่มีส่วนแบ่งตลาดสินเชื่อประมาณ 70% ในเดือน พ.ค. มีการ ขยายตัว 4,626 ล้านบาท โดยธนาคารกรุงเทพ ยอดสินเชื่อรวมเพิ่มขึ้น 1,518 ล้านบาทธนาคารกรุงไทย ยอดสินเชื่อรวมเพิ่มขึ้น 16,250 ล้านบาท

ธนาคารกสิกรไทย ยอดสินเชื่อรวม ลดลง 2,272 ล้านบาท ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ยอดสินเชื่อรวมลดลง 7,870 ล้านบาท ธนาคารทหารไทย ยอดสินเชื่อรวมลดลง 3,204 ล้านบาท และธนาคารนครหลวงไทย ยอดสินเชื่อรวมลดลงจำนวน 128 ล้านบาท

http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=171564
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news12/06/07

โพสต์ที่ 2

โพสต์

บีไอเอสห่วงหนี้บัตรพุ่ง

โพสต์ทูเดย์/เจนีวา (เอเอฟพี) บีไอเอสระบุยอดการใช้บัตรเครดิตที่เพิ่มขึ้นในเอเชีย อาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพด้านการเงินของภูมิภาคได้ ธาริษา คุยคุมอยู่หมัด

ธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ (บีไอเอส) เปิดเผยว่า การใช้บัตรเครดิตในเอเชียปรับเพิ่มขึ้น 3-6 เท่าในช่วงปี 2541-2548 ขณะที่ดุลการใช้บัตรเครดิตเฉลี่ยต่อคนปรับเพิ่มขึ้นในสัดส่วนเดียวกันอีกด้วย

บีไอเอส เปิดเผยว่า ธนาคารจำนวนมากได้เข้ามาแสวงโอกาสในขณะที่ตลาดผู้บริโภคกำลังขยายตัว โดยการลดมาตรฐานการให้ กู้ทำให้เปิดโอกาสให้การถือครองบัตรเครดิตทำได้ง่ายขึ้น ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวแม้ จะช่วยขับเคลื่อนการใช้จ่ายของผู้บริโภค แต่เป็นการสร้างหนี้ครัวเรือนให้เพิ่มขึ้นอย่าง รวดเร็ว

ยอดการใช้บัตรเครดิตที่เพิ่มขึ้นอาจเป็นโอกาสใหม่สำหรับการขยายตัว ทว่าก็เพิ่มความเสี่ยงให้แก่ระบบการเงินในภูมิภาค บีไอเอส เปิดเผย

บีไอเอส ยังเปิดเผยว่า สินเชื่อผู้บริโภคเป็นส่วนสำคัญในระบบการเงินของเอเชีย บรรดา ผู้บริหารประเทศจำเป็นต้องมีความเข้าใจในความเกี่ยวโยงระหว่างความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น และต้องเตรี
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=171752
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news14/06/07

โพสต์ที่ 3

โพสต์

ธปท.ส่งสัญญาณสิ้นสุดดบ.ลง ผู้กู้ฝันค้างแบงก์ชะลอลดดอกกู้

ผู้กู้อาจรอเก้อ แบงก์ไม่ลดดอกเบี้ย หากแบงก์ชาติจบนโยบายดอกเบี้ยขาลง "กนง." ส่งสัญญาณดอกเบี้ยอาร์/พี 1 วัน 3.50% เหมาะสมแล้ว นักวิเคราะห์ชี้หากดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.50% แบงก์จะขยับตามแค่ 0.25% เหตุต้องรักษาความสามารถทำกำไร ด้าน "สภาพัฒน์" ระบุไตรมาสแรก ดอกเบี้ยเงินฝากลดมากกว่าเงินกู้ เป็นเหตุให้แบงก์กินส่วนต่างเพิ่มจาก 2.86% เป็น 3.32%

ความคาดหวังของหลายฝ่ายว่า เศรษฐกิจในช่วงไตรมาส 3-4 จะปรับตัวดีขึ้น จากบรรยากาศทางการเมืองที่เริ่มชัดเจน และปัจจัยทางเศรษฐกิจที่เริ่มผ่อนคลาย ทั้งเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลง โดยเฉพาะปัจจัยดอกเบี้ยแม้จะถูกระบุว่าเป็นส่วนหนึ่งของการตัดสินใจของนักลงทุน แต่ก็เป็นส่วนที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ถูกเรียกร้องให้ปรับลดมาตลอด

ตั้งแต่ต้นปีถึงขณะนี้ ดอกเบี้ยนโยบายปรับลดลงมาแล้ว 1.50% ในการประชุมทั้งหมด 4 ครั้ง ซึ่งแม้ตลาดยังมองว่ายังเหลือรูมให้สามารถปรับลดได้อีก เพราะเงินเฟ้อระยะต่อไปจะยังอยู่ในระดับ ต่ำแต่สัญญาณที่ส่งออกมาจาก ธปท. ค่อนข้างชัดว่า อาจไม่เห็นการลดดอกเบี้ยติดต่อกันแล้ว

http://www.matichon.co.th/prachachat/pr ... ionid=0206
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news18/06/07

โพสต์ที่ 4

โพสต์

ผวาปีหน้าดอกเบี้ยขาขึ้น
หลังแตะต่ำสุด3% กสิกรชี้เงินเฟ้อพุ่ง รบ.ใหม่ดัมพ์เงิน

โพสต์ทูเดย์ แบงก์ประสานเสียง ดอกเบี้ยใกล้จุดต่ำสุด ลดลงได้อย่างมาก 0.5% ประสาร ชี้กลางปีหน้าส่อกลับเป็นทิศทางขาขึ้น

นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล กรรมการผู้จัดการธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ดอกเบี้ยจะกลับเป็นทิศทาง ขาขึ้นตั้งแต่กลางปีหน้า เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อจะปรับตัวสูงขึ้นกว่าปีนี้ที่ 2% พร้อมทั้งมีรัฐบาลใหม่เข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจและเร่งรัดการใช้จ่าย เพื่อเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมา

นายประสาร กล่าวว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายจนถึงจุดต่ำสุดที่ 3% ในการประชุมอีก 2 ครั้ง โดยน่าจะลดลงครั้งละ 0.25% เริ่มจากเดือน ก.ค.

สำหรับธนาคารพาณิชย์น่าจะ ปรับลดดอกเบี้ยตาม กนง.ทั้งอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และดอกเบี้ยเงินฝาก แต่จะลดได้อีกเท่าใดขึ้นอยู่กับสภาพคล่อง การแข่งขัน และอัตราเติบโตของสินเชื่อ ขณะที่ส่วนต่างดอกเบี้ยซึ่งเป็นรายได้ของธนาคารก็ลดลงจาก 4.05% ในปีก่อน มาเหลือ 3.8-3.9% ในขณะนี้

นายเดชา ตุลานันท์ กรรมการ รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า ดอกเบี้ยน่าจะลงได้ถึงสิ้นปีนี้ไม่เกิน 0.5% ซึ่งถือว่ามากแล้ว ไม่เช่นนั้นผู้เกษียณอายุมีหวังอดตาย
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=173035
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news21/06/07

โพสต์ที่ 5

โพสต์

เครื่องรูดบัตรเครดิตผุดเป็นดอกเห็ด

โดย มติชน วัน พฤหัสบดี ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2550 08:34 น.

ชี้แนวโน้มบัตรเดบิตแซงเอทีเอ็ม


ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้เผยแพร่รายงานระบบการชำระเงินประจำปี 2549 โดยได้วิเคราะห์ถึงภาพรวมการใช้บัตรเอทีเอ็ม และบัตรเครดิตในปีที่ผ่านมารวมถึงแนวโน้มในระยะต่อไปว่า ธนาคารพาณิชย์ให้ความสำคัญกับการติดตั้งเครื่องเอทีเอ็มเพิ่มมากขึ้น เพราะสามารถใช้เป็นธนาคารพาณิชย์ได้ช่องทางหนึ่ง โดยเฉพาะเพื่อการโอนเงินและการชำระค่าสินค้าและบริการ โดยในปี 2549 ธนาคารพาณิชย์ได้ติดตั้งเครื่องเอทีเอ็มจำนวนทั้งสิ้น 21,988 เครื่อง เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 6,204 เครื่อง หรือ 39%

ขณะที่เครื่องสำหรับรูดบัตรเครดิตมีจำนวนทั้งสิ้น 208,942 เครื่อง เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 106,942 เครื่อง หรือ 104.84% โดยปัจจัยที่ทำให้มีการติดตั้งเครื่องดังกล่าวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว นอกจากราคาเครื่องที่ถูกลงแล้ว ยังเนื่องมาจากการขยายธุรกิจด้านการรับชำระด้วยบัตรของธนาคารพาณิชย์มากขึ้น ตลอดจนการส่งเสริมตลาดบัตรเครดิตและบัตรเดบิตจากธนาคารพาณิชย์และผู้ประกอบการที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (นอนแบงก์)
http://news.sanook.com/economic/economic_148832.php
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news22/06/07

โพสต์ที่ 6

โพสต์

เศรษฐกิจไม่หมุน ยอดเช็ควูบ13%

โพสต์ทูเดย์ ธปท. เผยปริมาณการใช้เช็คเดือน พ.ค. ลดลง 13.5% ชี้ตามภาวะเศรษฐกิจ
ฝ่ายระบบการชำระเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานปริมาณเช็คเรียกเก็บเพื่อหักบัญชี เช็คระหว่างธนาคารในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ที่เรียกเก็บผ่านศูนย์หักบัญชีอิเล็กทรอนิกส์ ในเดือน พ.ค. มีจำนวนทั้งสิ้น 5,019,264 ฉบับ คิดเป็นมูลค่า 2.49 ล้านล้านบาท ปริมาณเช็คลดลงจากเดือนก่อนหน้า 13.5% ขณะที่มูลค่าลดลงเช่นกัน

สำหรับเช็คเรียกเก็บเฉลี่ยต่อวัน มีปริมาณ 250,963 ฉบับ คิดเป็นมูลค่า 1.2 แสนล้านบาท การลดลงของปริมาณเช็คดังกล่าว ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการเพิ่มราคาเช็คจากฉบับละ 5 บาท เป็น 15 บาท และจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว
ขณะที่ปริมาณเช็คคืนในเดือนนี้มีจำนวน
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=173873
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news23/06/07

โพสต์ที่ 7

โพสต์

ธปท.ยันไม่ผ่อนเกณฑ์ ชำระหนี้บัตรขั้นต่ำ 10% - 23/6/2550

ธปท.ยันไม่ผ่อนเกณฑ์ ชำระหนี้บัตรขั้นต่ำ 10%

ธปท.แจงแบงก์พาณิชย์ต้องปรับตัวในการแก้ไขปัญหาเอ็นพีแอลที่เกิดขึ้น หลังจากธปท.ได้ปรับอัตราชำระคืนหนี้บัตรเครดิตไม่ต่ำกว่า 10% จากเดิม 5% ซึ่งยืนยันว่าจะไม่มีการแก้เกณฑ์ เนื่องจากให้เวลาปรับตัวนานกว่า 3 ปีแล้ว

นายเกริก วณิกกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.จะไม่แก้เกณฑ์ที่กำหนดให้ลูกหนี้บัตรเครดิตรายเดิมที่เคยชำระขั้นต่ำ 5% ต้องจ่ายเพิ่มเป็น 10% ต่อเดือน ที่เริ่มตั้งแต่เดือนเม.ย.ที่ผ่านมา หลังจากมีธนาคารพาณิชย์บางแห่งได้รับผลกระทบจากเกณฑ์ผ่อนชำระหนี้บัตรทำให้ยอดเอ็นพีแอลของธุรกิจบัตรเครดิตเพิ่มขึ้น เพราะก่อนที่จะประกาศได้ให้เวลาสถาบันการเงินแจ้งแก่ลูกหนี้บัตรเครดิตรายเก่าที่เคยผ่อนขั้นต่ำ5% ล่วงหน้านานถึง 3 ปี ดังนั้นเมื่อถึงเวลาที่จะต้องบังคับใช้ ลูกหนี้ก็ควรรู้จักประมาณตนและควบคุมยอดหนี้ของตนเอง เพราะเมื่อมีภาระการผ่อนจ่ายเพิ่มขึ้นจะได้ไม่กระทบกับเงินที่ใช้จ่ายในแต่ละเดือน

http://www.siamrath.co.th/Economic.asp?ReviewID=176421
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news25/06/07

โพสต์ที่ 8

โพสต์

บริการแบงก์ผ่านอินเตอร์เน็ตโตพรวด

โดย มติชน วัน จันทร์ ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2550 08:02 น.

ธปท.เตือนระวัง*ไปรษณีย์*คู่แข่งไล่มาติดๆ
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้เผยแพร่รายงานระบบการชำระเงินประจำปี 2549 โดยรายงานระบุว่า ในปีที่ผ่านมารายได้ของธนาคารพาณิชย์จากบริการด้านการชำระเงินยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่องโดยมีจำนวน 3.92 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีจำนวน 3.44 หมื่นล้านบาท โดยขยายตัวเพิ่มขึ้นถึง 14% ทั้งนี้ รายได้ของธนาคารพาณิชย์ไทยส่วนใหญ่มาจากการโอนเงินและเรียกเก็บเงิน บัตรเอทีเอ็มและบริการธนาคารอิเล็กทรอนิกส์ และบัตรเครดิต โดยมีสัดส่วน 32%, 27% และ 27% ขณะที่รายได้ของสาขาธนาคารต่างชาติส่วนใหญ่มาจากบัตรเครดิต การโอนเงินและเรียกเก็บเงิน และการดูแลและเก็บรักษาหลักทรัพย์ของลูกค้า โดยมีสัดส่วน 30%, 26% และ 25%

ทั้งนี้ ในส่วนของการใช้บริการธนาคารทางอินเตอร์เน็ตมีแนวโน้มดีขึ้น ทั้งในส่วนจำนวนผู้ใช้ที่มีจำนวนถึง 2,139,325 ราย เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มี 1,852,007 ราย หรือเพิ่มขึ้น 16% ส่วนจำนวนมูลค่าการใช้บริการมีจำนวน 3.58 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 2.72 ล้านล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นถึง 32% ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความนิยมที่เพิ่มมากขึ้นของบริการดังกล่าวสืบเนื่องจากความไว้วางใจในเรื่องระบบความปลอดภัยที่น่าเชื่อถือมากขึ้น โดยสัดส่วนปริมาณการใช้บริการธนาคารพาณิชย์แยกเป็น การชำระค่าสินค้าและบริการ 32% การโอนเงินธนาคารเดียวกัน 31% การจ่ายเงินเดือนและค่าจ้าง 24%

อย่างไรก็ดี องค์กรที่ไม่ใช่สถาบันการเงินยังคงเป็นคู่แข่งสำคัญในธุรกิจบริการชำระเงิน โดยเฉพาะการโอนและการชำระเงินตามใบแจ้งหนี้ประเภทต่างๆ ผ่านระบบไปรษณีย์ยังขยายตัวสูงทั้งปริมาณและมูลค่า ซึ่งปริมาณรายการมีจำนวน 34.7 ล้านรายการ เพิ่มจากปีก่อนที่มี 30.7 ล้านรายการ หรือเพิ่มขึ้น 13% ด้านมูลค่ามีจำนวน 1.07 แสนล้านบาท เพิ่มจากปีก่อนที่มี 8.1 หมื่นล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นถึง 32% ซึ่งการเติบโตดังกล่าวเป็นเพราะบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด มีการพัฒนาบริการอย่างต่อเนื่องทั้งการเชื่อมโยงสาขาด้วยระบบออนไลน์ รวมถึงบริการธนาณัติออนไลน์ และจุดแข็งด้านจำนวนสาขาที่กระจายครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ
http://news.sanook.com/economic/economic_150312.php
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news25/06/07

โพสต์ที่ 9

โพสต์

เอ็นพีแอลแบงก์เดือนพ.ค.ขยับเพิ่ม 'สินเอเซีย-ไทยธนาคาร'หนี้เน่าปูด

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 25 มิถุนายน 2550 06:35 น.
      แบงก์ชาติเผยในเดือนพ.ค.ยอดคงค้างหนี้เอ็นพีแอลในระบบสถาบันการเงินมีทั้งสิ้น 2.4 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 4.18% โดยมีปริมาณเพิ่มขึ้นเกือบ 400 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปีนี้ ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นในส่วนของแบงก์พาณิชย์สำคัญทั้งจากการยกระดับของเอไอจี เพื่อรายย่อย รวมทั้งจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวทำให้เอ็นพีแอลในแบงก์สินเอเชีย-ไทยธนาคารปูด ขณะที่แบงก์กรุงเทพหนี้ลดลงเกือบ 70 ล้านบาท
     
      รายงานข่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) แจ้งว่า ธปท.ได้ประกาศยอดคงค้างหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้(เอ็นพีแอล) ล่าสุด ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2550 พบว่า ปริมาณหนี้เอ็นพีแอลในระบบสถาบันการเงินเพิ่มขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว โดยเมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปีนี้สถาบันการเงินในระบบมีเอ็นพีแอลเพิ่มขึ้นเกือบ 400 ล้านบาท หรือคิดเป็น 0.17% จากปัจจุบันที่มียอดเอ็นพีแอลทั้งสิ้น 240,318 ล้านบาท หรือคิดเป็น 4.18%ของสินเชื่อรวม
     
      โดยธนาคารพาณิชย์จดทะเบียนในประเทศมีเอ็นพีแอลทั้งสิ้น 235,209 ล้านบาท หรือคิดเป็น 4.57% สาขาธนาคารต่างชาติ 2,962 ล้านบาท คิดเป็น 0.52% บริษัทเงินทุน 1,851 ล้านบาท คิดเป็น 5.18% และบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ 295 ล้านบาท หรือคิดเป็น 67.65%ของสินเชื่อรวม
http://www.manager.co.th/StockMarket/Vi ... 0000073457
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news25/06/07

โพสต์ที่ 10

โพสต์

กลุ่มธนาคาร: สินเชื่อสุทธิเดือนพฤษภาคมปรับสูงขึ้น 0.44% จากเดือนก่อนหน้า

25 มิถุนายน พ.ศ. 2550 13:06:00
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ :     สินเชื่อสุทธิในเดือนพฤษภาคมปรับสูงขึ้น 0.44% จากเดือนก่อนหน้า: สินเชื่อสุทธิรวมของ 11 ธนาคารใหญ่ (BBL, KBANK, KTB, SCB, BAY, SCIB, TMB, BT, TBANK, TISCO และ KK) เพิ่มขึ้น 0.44% จากเดือนก่อน และ 3.23% จากปีที่แล้ว มาอยู่ที่ 4.69 ล้านล้านบาทในเดือนพฤษภาคม (ดีขึ้นจากเดือนเมษายนที่ปรับตัวสูงขึ้น 0.14%) ทั้งนี้ KTB, KK, TISCO และ SCB มีสินเชื่อสุทธิเติบโตขึ้น 1.99%, 1.60%, 1.41% และ 0.89%, ตามลำดับ ในขณะที่ BAY และ TMB มียอดสินเชื่อสุทธิที่ลดลง 1.39% และ 0.84% จากเดือนก่อน

MoM  (%)          Oct     Nov    Dec   Jan07   Feb   Mar    Apr     May          
Net loan growth 0.74   0.81    0.70   -1.30   0.40   1.21   0.14   0.44
   เงินฝากรวมปรับตัวสูงขึ้น 0.67% จากเดือนที่แล้ว : เงินฝากรวมของธนาคารทั้ง 11 แห่งอยู่ที่ 5.84 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามการเติบโตของสินเชื่อ โดย BAY, TBANK, KTB, KBANK และ BBL มียอดเติบโตสุทธิอยู่ที่ 3.82%, 3.45%, 3.05%, 2.08%, และ 0.93% ตามลำดับ อัตราสินเชื่อต่อเงินฝากสุทธิ (LDR) เฉลี่ยอยู่ที่ 80.3% ทางด้านสภาพคล่องของทั้ง 11 ธนาคาร (ไม่รวมตลาดเงิน RP และ Inter-bank) ปรับเพิ่มขึ้น 2.57% จากเดือนก่อนหน้ามาอยู่ที่ 6.06 แสนล้านบาท
ที่มา : บล.บัวหลวง
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news27/06/07

โพสต์ที่ 11

โพสต์

แบงก์วุ่นรายได้ค่าธรรมเนียมวืดเป้า

โพสต์ทูเดย์ แบงก์ก้มหน้ารับรายได้ค่าธรรมเนียมทรุด คาดครึ่งปีหลังฟื้นจากผลพวงเลือกตั้ง

นายจรัมพร โชติกเสถียร ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ กลุ่มบริการบริหารเงินเพื่อธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ผลประกอบการของธุรกิจที่ชะลอตัวลง ส่งผลกระทบกับธุรกิจการบริหารเงินสด (แคชแมเนจเมนต์) จึงคาดว่าธุรกิจจะทำได้ต่ำกว่าเป้าหมายเดิมที่ตั้งเป้าขยายรายได้ค่าธรรมเนียม 20% และขยายปริมาณธุรกรรม 30%
เนื่องจากลูกค้าหลายรายอยู่ในภาวะชะลอตัว ทั้งรถยนต์ และจักรยานยนต์ ที่ยอดขายลดลง ทำให้ธุรกรรมผ่านธนาคารลดลงทั้งปริมาณธุรกรรมและขนาดของธุรกรรม เดิมทีคาดธุรกิจในประเทศจะขยายตัว 6-7% แต่บางรายพบว่าธุรกิจติดลบถึง 20%

อย่างไรก็ดี ธนาคารยังไม่ได้ปรับลดเป้าหมายลง เพราะรอพิจารณาตัวเลขเพิ่มเติม และจะพยายามขยายฐานลูกค้าให้เพิ่มขึ้นชดเชยรายได้ที่หายไป โดยในปี 2549 ธุรกิจบริการบริหารเงินสดมีรายได้ 1 พันล้านบาท และมีรายได้ต่อเนื่องอีก 3 พันล้านบาท นอกจากนี้ยังเชื่อว่าการเลือกตั้งจะทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้

นายชาติชาย สุนทรเกียรติ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า รายได้ค่าธรรมเนียมของธนาคารช่วงครึ่งปีแรกค่อนข้างซึม โดยเฉพาะจากลูกค้ารายใหญ่ที่ชะลอการลงทุนโครงการใหญ่ ตามภาวะเศรษฐกิจ
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=175005
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news27/06/07

โพสต์ที่ 12

โพสต์

เพิ่มทุน4แบงก์รัฐ4พันล.

โพสต์ทูเดย์ คลังหมดท่ากัดฟันควักเงิน 4.3 พันล้าน เพิ่มทุนให้ 4 แบงก์รัฐ เอาตัวรอดแก้หนี้เสีย จากที่ขอมา 3 หมื่นล้าน

นางพรรณี สถาวโรดม ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวว่า ในปีงบประมาณ 2551 กระทรวงการคลังได้อนุมัติแผนเพิ่ม ทุนให้กับสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ของรัฐทั้งหมด 4 แห่ง วงเงินทั้งสิ้น 4.3 พันล้านบาท เพื่อใช้ในการ ขยายกิจการและ เป็นเครื่องมือในการกระตุ้นเศรษฐกิจ

นางพรรณี กล่าวว่า ธนาคารรัฐ ที่ได้รับการเพิ่มทุนประกอบด้วยธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยจำนวน 1.6 พันล้านบาท ธนาคาร เพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) 1.2 พันล้านบาท ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือเอสเอ็มอีแบงก์ 1.2 พันล้านบาท และบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) จำนวน 300 ล้านบาท
นางพรรณี กล่าวว่า งบประมาณปี 2551 ได้มีการอนุมัติเพิ่มทุนให้แค่ 4.3 พันล้านบาท จากที่กระทรวงการคลังขอไปทั้งสิ้น 6 พันล้านบาท เพราะงบประมาณมีจำนวนจำกัด จึงต้องพิจารณาตามความจำเป็น ซึ่งทำให้บางแห่งไม่ได้รับการเพิ่มทุน เช่น ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) แต่ธนาคารก็ยังสามารถดำเนินการต่อไปได้
สำหรับธนาคารที่ได้รับเงินเพิ่มทุนจะต้องดำเนินการแผนธุรกิจให้มีความชัดเจน ปรับกลยุทธ์ให้มีการใช้เงินจากการเพิ่มทุนให้เกิดประโยชน์สูงสุด รองรับการสำรองตามมาตรฐานบัญชีใหม่ IAS39 ที่จะเริ่มในปี 2552
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=175008
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news27/06/07

โพสต์ที่ 13

โพสต์

ดันกม.การเงินเข้าสภา พ่วงคุ้มครองเงินฝาก

โพสต์ทูเดย์ ฉลองภพดันกฎหมายการเงิน 5 ฉบับ ให้ สนช.พิจารณาภายใน ก.ค.นี้

นายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รมว.การคลัง กล่าวว่า ภายในเดือน ก.ค.นี้จะผลักดันกฎหมายการเงินที่ค้างอยู่ทุกฉบับให้เข้าสู่การพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ทั้งหมด เนื่องจากเป็นสิ่งที่สำคัญในการปฏิรูประบบการเงิน สถาบันการเงิน และตลาดทุนของประเทศ ไม่ให้เกิดปัญหาเหมือนที่ผ่านมา
สำหรับกฎหมายการเงินที่สำคัญที่จะ ผลักดันประกอบด้วย พ.ร.บ.ธนาคารแห่งประเทศไทย พ.ร.บ.เงินตรา พ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ร.บ.สถาบันประกันเงินฝาก และ พ.ร.บ.กำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
นายฉลองภพ กล่าวว่า กฎหมายแต่ละฉบับมีความสำคัญที่แตกต่างกัน พ.ร.บ.ธนาคารแห่งประเทศไทย จะทำให้มีกฎหมายรองรับการทำงานของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ทั้งในด้านนโยบายการเงิน และกำกับดูแลสถาบันการเงินให้มีประสิทธิภาพ เพิ่มความเป็นอิสระในการบริหาร
ขณะที่ พ.ร.บ.เงินตรา จะทำให้เกิดการเชื่อมโยงกันระหว่างบัญชีต่างๆ ของ ธปท. ให้ดีขึ้นสอดคล้องภาวะปัจจุบัน เนื่องจากการบริหารค่าเงินที่ลอยตัว เวลาค่าเงินบาทแข็งค่าจะทำให้การบันทึกบัญชีของ ธปท.ขาดทุนบนกระดาษ ทั้งที่ยังไม่ได้ขาดทุนจริง เนื่องจากต้องบันทึกบัญชีตามมูลค่าตลาด
สำหรับ พ.ร.บ.สถาบันการเงิน ที่จะออกมาดูแลธนาคารพาณิชย์ จะต้องดำเนินการพร้อมกับ พ.ร.บ.ประกันเงินฝาก เพราะมีความเกี่ยวโยงกับการดูแลผู้ฝากเงิน โดยจะมีการลดประกันเงินฝากของประชาชนจาก 100% ลงเหลือ 1 ล้านบาทต่อบัญชีต่อธนาคาร ซึ่ง พ.ร.บ.ประกันเงินฝากจะเป็นเครื่องมือช่วยดูสถาบันการเงินที่อ่อนแอได้ง่ายขึ้น ไม่เป็นภาระการคลังมากเกินไป
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=175020
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news28/06/07

โพสต์ที่ 14

โพสต์

โบรกเกอร์ ออกโรงเชียร์ หุ้นแบงก์ครึ่งปีหลังฉายแววสดใส
รายงาน
ไม่ว่าภาวะตลาดหุ้นแต่ละขณะจะเป็นอย่างไร หุ้น "กลุ่มธนาคารพาณิชย์" ก็ยังคงเป็นกลุ่มที่นักลงทุนให้ความสนใจอยู่เสมอ พร้อมกับให้น้ำหนักการลงทุนมากกว่ากลุ่มอื่น และยิ่งธนาคารพาณิชย์ทุกแห่งทยอยรายงาน ธพ. 11 ประจำเดือน พ.ค.2550 ที่แสดงให้เห็นสัญญาณการขยายตัวของสินเชื่อที่เริ่มดีขึ้น ความน่าสนใจในการลงทุนหุ้นกลุ่มธนาคารก็ยิ่งมีมากขึ้นด้วย

เดือน พ.ค.เห็นสัญญาณสินเชื่อขยับ

บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กิมเอ็ง ระบุในบทวิเคราะห์หลักทรัพย์ว่า ในเดือน พ.ค.2550 กลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่ศึกษา 7 แห่ง คือ ธนาคารกรุงเทพ กรุงไทย กสิกรไทย ไทยพาณิชย์ กรุงศรีอยุธยา ทหารไทย และนครหลวงไทย มีการเติบโตของสินเชื่อที่ 0.4% เทียบเดือนต่อเดือน (MoM) และ 1.7% เทียบปีต่อปี (YoY) โดย "ธนาคารกรุงไทย" เป็นธนาคารที่มีการขยายตัวของสินเชื่อสูงสุด คือ 1.9% MoM โดยมีการปล่อยสินเชื่อให้แก่ภาครัฐระยะสั้น

ขณะที่ "ธนาคารไทยพาณิชย์" และ "กสิกรไทย" เป็นธนาคารที่มีการเติบโตของสินเชื่อย่างต่อเนื่องและโดดเด่นที่สุด โดยไทยพาณิชย์มีการเติบโตของสินเชื่อ 0.8% MoM และ 12.8% YoY (ไม่รวมสินเชื่อเช่าซื้อจากไทยพาณิชย์ลีสซิ่ง) ส่วนกสิกรไทย ขยายตัว 0.3% MoM และ 10.9% YoY ซึ่งหากพิจารณาการขยายตัวของสินเชื่อตั้งแต่ต้นปี จะพบว่าไทยพาณิชย์และกสิกรไทยมีการขยายตัวของสินเชื่อ 2.8% และ 2.2% ตามลำดับ และเมื่อพิจารณารวมกับแนวโน้มเศรษฐกิจที่ดีขึ้นในครึ่งปีหลัง และนโยบายการปล่อยสินเชื่อของทั้งสองธนาคารแล้ว เรายังคงเป้าหมายสินเชื่อปี 2550 สำหรับไทยพาณิชย์และกสิกรไทยไว้ที่ 13% และ 8% ตามลำดับ

แต่ "ธนาคารกรุงศรีอยุธยา" และ "ทหารไทย" มีการรายงานสินเชื่อที่ลดลง โดยกรุงศรีอยุธยาลดลง 1.5% MoM จากการชำระหนี้คืนของลูกค้ารายใหญ่ แต่แนวโน้มการปล่อยสินเชื่อยังมีการขยายตัวต่อเนื่อง ในขณะทหารไทยลดลง 0.8% MoM เป็นการลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี ทำให้กลายเป็นธนาคารที่รายงานการลดลงของสินเชื่อมากที่สุด คือ 7.3% YoY และ 5.3% นับแต่ต้นปี (YTD)
http://www.matichon.co.th/prachachat/pr ... ionid=0206
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news30/06/07

โพสต์ที่ 15

โพสต์

แบงก์จุกเอ็นพีแอลพุ่ง

โพสต์ทูเดย์ เอ็นพีแอลไตรมาส 2 ปูดตามภาวะเศรษฐกิจ แบงก์ลุยตั้งสำรองหนี้เสียเพิ่มรับมือเศรษฐกิจไม่แจ๋วจริง
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ของธนาคารกรุงไทยงวดไตรมาส 2 ยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากไตรมาสแรก และเป็นหนี้เสียที่เกิดใหม่จากลูกค้าทุกกลุ่ม ทั้งรายใหญ่ รายกลาง รายย่อย นอกจากนี้ยังมีลูกหนี้ที่เคยปรับโครงสร้างหนี้ไปแล้วและกลับมาเป็นเอ็นพีแอลอีกครั้ง
นายอภิศักดิ์ กล่าวว่า ตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจเป็นต้นมา เอ็นพีแอลในระบบปรับตัวลดลงมาโดยตลอด เพิ่งจะมาปรับขึ้นครั้งแรกเมื่อไตรมาสแรกของปีนี้ และยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจ ส่วนแนวทางลดเอ็นพีแอล จะใช้วิธีบริหารเอง เพราะการขายทรัพย์ในภาวะแบบนี้จะได้ราคาไม่ดีนัก ถึงแม้การรักษาพอร์ตเอ็นพีแอลไว้จะมีผลต่อการตั้งสำรอง แต่ธนาคารไม่มีความกดดันเรื่องการตั้งสำรองหนี้เสีย
นายอภิศักดิ์ กล่าวว่า การตั้งสำรองในไตรมาส 2 จะเพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งเพื่อรองรับไอเอเอส 39 อีกส่วนหนึ่งเป็นการตั้งเผื่อเอาไว้กรณีที่ไตรมาส 3 เศรษฐกิจยังไม่หยุดชะลอตัว เนื่องจากเศรษฐกิจเติบโตลดลงตั้งแต่ไตรมาสแรกมาถึงไตรมาส 2 และธนาคารคาดว่าไตรมาส 3 จะเริ่มทรงๆ ไม่ชะลอลงไปอีกแล้ว แต่เพื่อความรอบคอบจึงสำรองเผื่อไว้ล่วงหน้า แต่คาดว่าไตรมาส 4 เศรษฐกิจจะดีขึ้น จากการลงทุนของรัฐวิสาหกิจ ซึ่งภาครัฐควรสร้างความมั่นใจและส่งเสริมให้ภาคเอกชนลงทุนต่อเนื่อง เพราะลำพังรัฐบาลไม่สามารถลงทุนเองได้นานนัก ธนาคารยังคงเป้าหมายสินเชื่อ 6 หมื่นล้านบาท แม้ครึ่งปีแรกจะไม่ได้ตามเป้า แต่คาดว่าครึ่งปีหลังจะมาชดเชยกันได้ ขณะนี้สินเชื่อรายย่อยเติบโตได้ดี โดยเฉพาะสินเชื่อบ้านที่โตกว่า 10% แม้สินเชื่อเอสเอ็มอีจะหลุดเป้าหมาย เพราะเศรษฐกิจไม่ดี เอสเอ็มอีจะกระทบมากที่สุด นายอภิศักดิ์ กล่าว
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=175627
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news02/07/07

โพสต์ที่ 16

โพสต์

ได้จังหวะดอกเบี้ยนิ่ง แบงก์ลุยดูดเงินฝาก

โพสต์ทูเดย์ แบงก์เผยต้นทุนเงินฝากเริ่มนิ่ง เล็งคลอดผลิตภัณฑ์เงินฝาก เอาใจคนออมเงิน

นายตรรก บุนนาค ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า ธนาคารเตรียมออกผลิตภัณฑ์ด้านเงินฝากใหม่เพื่อเป็นทางเลือกแก่ผู้ออมเงิน เพราะขณะนี้ดอกเบี้ยเงินฝากค่อนข้างนิ่งแล้ว และไม่กระทบต่อต้นทุนของธนาคาร โดยจะมุ่งขยายฐานลูกค้าเงินฝากมากกว่าเร่งระดมเงิน
นายตรรก กล่าวว่า จากนี้ถึงสิ้นปีดอกเบี้ยนโยบายน่าจะปรับลงได้อีก 0.5% เหลือ 3% เพราะดอกเบี้ยต่ำมีผลต่อการกระตุ้นการลงทุนและทำให้ส่วนต่างระหว่างดอกเบี้ยไทยกับต่างประเทศเพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบการแข็งค่าของค่าเงินบาทด้วย
ด้านนายจักรกฤษณ์ ประสาทไทย ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ผู้บริหารฝ่ายบริหารสินทรัพย์และหนี้สิน ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า เร็วๆ นี้ธนาคารจะออกผลิตภัณฑ์เงินฝากเพื่อเป็นทางเลือกแก่ผู้ฝากเงิน แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้
นายจักรกฤษณ์ กล่าวว่า ดอกเบี้ยนโยบายจะลงอีกไม่เกิน 0.25% โดย การลดดอกเบี้ยไม่ได้มีผลกระตุ้นให้เกิด การใช้จ่ายมากขึ้น เพราะคนไม่มีความ เชื่อมั่น ถ้าลดดอกเบี้ยมากเกินไปจะเหมือนประเทศญี่ปุ่น ที่ลดดอกเบี้ย มาเรื่อยๆ เป็น 10 ปี จนดอกเบี้ยเหลือ ศูนย์ รัฐบาลอยากจะกระตุ้นเศรษฐกิจอีก กระสุนหมด เพราะดอกเบี้ยเหลือ 0% แล้ว ไม่มีเครื่องมือแล้ว

รายงานข่าวแจ้งว่า ตั้งแต่ต้นปีเป็นต้นมาระบบธนาคารพาณิชย์ปรับลดดอกเบี้ยเงินฝากลงรวม 2.25%
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=175948
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news02/07/07

โพสต์ที่ 17

โพสต์

"กิมเอ็ง"ยังครองแชมป์ครึ่งปี50 วอลุ่มเทรดวูบเหลือแค่ 1.3 หมื่นล./วัน  

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 2 กรกฎาคม 2550 12:00 น.
 
      บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ยังครองแชมป์มาร์เกตแชร์ครึ่งปี 50 ด้วยส่วนแบ่ง 7.37 % ขณะที่อันดับสองโบรกเกอร์ฝรั่งอย่าง"เครดิต สวิส" เบียดส่วนแบ่งได้ถึง 6.21% หลังสัดส่วนนักลงทุนต่างชาติในตลาดหุ้นไทยสูงถึง 40% ขณะที่อันดับสาม "ภัทร" ส่วนแบ่งลดลงจากปีที่ผ่านมามาอยู่ที่ 5.91 % ด้านวอลุ่มการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันวูบเหลือเพียง 1.3 หมื่นล้านบาท
     
      สถานการณ์การแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เกตแชร์) ของบริษัทหลักทรัพย์ในช่วงครึ่งปีแรก 2550 การเข้ามาซื้อสุทธิอย่างต่อเนื่องของนักลงทุนต่างชาติส่งผลทำให้ตำแหน่งแชมป์มาร์เกตแชร์สูงสุดต่อเนื่องกันในช่วงหลายปีที่ผ่านมาของบริษัทหลักทรัพย์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KEST ซึ่งมีฐานลูกค้าส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนรายย่อยเริ่มมีการสั่นคลอน เพราะอันดับ 2 คือบริษัทหลักทรัพย์เครดิต สวิส (ประเทศไทย) จำกัด หรือ CS ในช่วงครึ่งปีแรกมีมาร์เกตแชร์ตามหลังแชมป์หลายสมัยอย่างสูสี เนื่องจากมียอดการซื้อขายหลักทรัพย์จากนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาซื้อหุ้นในตลาดหุ้นไทยอย่างมาก จนทำให้สัดส่วนนักลงทุนต่างชาติในตลาดหุ้นในปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 40% ของการซื้อขายเฉลี่ย
     
      ทั้งนี้จากข้อมูลพบว่าครึ่งปี 2550 มียอดการซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 13,415 ล้านบาท ลดลงจากปีที่ผ่านมาซึ่งซื้อขายเฉลี่ยอยู่ที่ 18,338 ล้านบาท โดยลดลง 4,923 ล้านบาทต่อวัน หรือ 26.8 % ขณะที่ยอดการซื้อขายสุทธิของนักลงทุนแต่ละประเภทพบว่านักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิรวม 97,525.59 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันในประเทศขายสุทธิรวม 19,401.72ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยขายสุทธิรวม 78,123.88 ล้านบาท
http://www.manager.co.th/StockMarket/Vi ... 0000076479
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news03/07/07

โพสต์ที่ 18

โพสต์

กกร.ผนึกลูกหนี้บุกคลังยืดภาษี

โพสต์ทูเดย์ กกร.โดดอุ้มลูกหนี้แบงก์ เตรียมเจรจาขุนคลังยืดเวลาลดภาษีปรับโครงสร้างหนี้ต่ออีก 2 ปี

นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน (กกร.) เห็นชอบให้มีการเจรจากับกระทรวงการคลังเพื่อยืดระยะเวลา ในการรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีในการปรับโครงสร้างหนี้อีก 2 ปี หลัง จากสิทธิประโยชน์ดังกล่าวหมดลงในปี 2549
นายสันติ กล่าวว่า ข้อเรียกร้องดังกล่าว เกิดขึ้นเนื่องจากผู้ประกอบการส่วนหนึ่งซึ่งยังปรับโครงสร้างหนี้ไม่สมบูรณ์ได้ร้องขอ แต่ขณะนี้ยังไม่ทราบจำนวนผู้ประกอบการที่เดือดร้อน รวมถึงมูลหนี้ว่ามีทั้งหมดเท่าไร กำลังให้ลูกหนี้ไปรวบรวมกันมา และแจ้งยังสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยหรือสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เพื่อร่วมกันไปเจรจากับกระทรวงการคลังว่าได้รับผลกระทบจากภาษีตัวใดบ้าง
ทั้งนี้ สิทธิประโยชน์จากการ ปรับปรุงโครงสร้างหนี้ที่ลูกหนี้เคย ได้รับ อาทิ การยกเว้นภาษีเงินได้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ และการลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอนอสังหาริมทรัพย์
รวมตัวกันมาแล้วไปคุยกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเลย เพราะที่เราเคยขอไปเป็นแค่จดหมาย คราวนี้ให้ลูกหนี้ที่เดือดร้อนไปนั่งชี้แจงด้วย กระทรวงการคลังจะได้ รู้ถึงสาเหตุของความเดือดร้อน นายสันติ กล่าว
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า ยังมีสมาชิกหลายรายซึ่งเป็นลูกหนี้ ที่ปรับโครงสร้างหนี้มาตั้งแต่สมัยโบราณ ที่ปัจจุบันยังเดินตามแผนปรับโครงสร้างหนี้อยู่ แต่ยังดำเนินการไม่สมบูรณ์ ประสบความเดือดร้อนค่อนข้างมาก เนื่องจากสิทธิประโยชน์ทางภาษีหมดลงเมื่อปี 2549
ลูกหนี้ทีดีอาร์ส่วนใหญ่แก้ปัญหาจบแล้ว จึงไม่ได้รับผลกระทบทางภาษี แต่ลูกหนี้ที่ยังติดก็เหลือ อีกเยอะ กระจายในหลายอุตสาห กรรม เอ็นพีแอลทั้งระบบก็ยัง สูง เพราะการปรับโครงสร้างหนี้ไม่ใช่แค่ 1-2 ปีจบ สาเหตุที่ธุรกิจปรับ โครงสร้างหนี้เพราะไม่มีเงินมาชำระ บางรายมาผ่อนชำระ เรายกหนี้ให้ก้อนหนึ่ง แต่หนี้ก้อนนั้นถือเป็นรายได้ ต้องเสียภาษี ซึ่งเขาก็ไม่รู้ จะเอาเงินที่ไหนไปเสีย นายอภิศักดิ์ กล่าว
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=176180
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news03/07/07

โพสต์ที่ 19

โพสต์

กสิกรไทยมองสถาบันการเงินไทยปรับตัวดีขึ้นในช่วง10ปีที่ผ่านมา

3 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 13:42:00

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองสถาบันการเงินของไทยปรับตัวดีขึ้นในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ระบุแม้ปัจจุบันจะมีข่าวเรื่องเอ็นพีแอล กลับมาเพิ่มขึ้น และธนาคารบางแห่งยังมีปัญหา แต่ก็จะไม่เกิดวิกฤติเหมือนในปี"40

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด รายงานว่า นับจากเดือนกรกฎาคม 2540 จนถึงเดือนกรกฎาคม 2550 เป็นเวลาครบรอบ 10 ปี ที่ประเทศไทยประสบปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจและการเงิน หนึ่งในองค์ประกอบหลักที่นำมาสู่ปัญหาวิกฤติ และการขาดความเชื่อมั่นจากต่างชาติครั้งใหญ่ ได้แก่ ความอ่อนแอของระบบสถาบันการเงิน ปัญหาการดำเนินงานของสถาบันการเงินที่ไม่โปร่งใส ตลอดจนมาตรฐานการกำกับ ตรวจสอบ และดูแลสถาบันการเงินที่ยังไม่มีประสิทธิภาพ สะท้อนออกมาในรูปการขาดสภาพคล่องทางการเงินของสถาบันการเงินบางแห่งที่ลุกลามจนกลายเป็นปัญหาสภาพคล่องของทั้งระบบสถาบันการเงินและของประเทศ

ทั้งนี้ จากบทเรียนในช่วงนั้น ทั้งกระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ใช้ระยะเวลาหลายปี ในการแก้ไขปัญหาด้วยวิธีการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการปิดสถาบันการเงินที่มีปัญหา การให้ความช่วยเหลือในการเพิ่มทุน การเพิ่มความเข้มงวดของมาตรฐานการกำกับดูแลด้านต่าง ๆ รวมถึงการจัดตั้งองค์กรพิเศษและปรับปรุงกระบวนการทางกฎหมาย เพื่อทำให้การแก้ไขปัญหาหนี้เสียรวดเร็วและมีระบบมากขึ้น เช่นเดียวกับธนาคารพาณิชย์ไทยที่ปรับปรุงการดำเนินงานหลายด้านเพื่อป้องกันโอกาสการเกิดปัญหาซ้ำรอย โดยเฉพาะในเรื่องของการบริหารความเสี่ยงเครดิต ซึ่งผลสำเร็จที่ตามมาจากการมุ่งแก้ไขบทเรียนจากวิกฤติเศรษฐกิจในครั้งนั้น สามารถเห็นได้จากผลการดำเนินงานและศักยภาพในการทำกำไรของธนาคารพาณิชย์ไทยที่ฟื้นตัวขึ้นชัดเจนจากช่วงวิกฤติ
http://www.bangkokbiznews.com/2007/07/0 ... wsid=82138
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news04/07/07

โพสต์ที่ 20

โพสต์

หุ้นแบงก์แรงแซงมูลค่าเหมาะสม

โพสต์ทูเดย์ หุ้นแบงก์หลายตัววิ่งแซงราคาเป้าหมายสิ้นปีนี้แล้ว จีอีฯ กำไรอื้อซ่าหุ้นกรุงศรีฯ

หุ้นกลุ่มแบงก์ขึ้นนำตลาด โดยดัชนีพุ่งถึง 6.63% หรือ 19.63 จุด ปิดที่ 315.71 จุด ด้วยมูลค่าซื้อขายเกือบ 9 พันล้านบาท โดยธนาคารกรุงไทย (KTB) ปิดที่ 12.90 บาท เพิ่มขึ้น 6.61% ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ปิดที่ 82 บาท เพิ่มขึ้น 7.19% โดยเฉพาะธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) ปิดที่ 29.50 บาท เพิ่มขึ้น 13.46% และ BAY-W1 ปิดที่ 14.60 บาท เพิ่มขึ้น 14.06%
นักวิเคราะห์ บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า หุ้นกลุ่มแบงก์ขึ้นแรงมากกว่าตลาด โดยราคาหุ้นแบงก์สูงเกินเป้าหมายปี 2550 เกือบหมดแล้ว เพราะมองการลงทุนไปถึงปีหน้า ยกตัวอย่างเช่น KBANK ให้ราคาเป้าหมายปีนี้ที่ 81 บาท
แหล่งข่าวจากเจ้าหน้าที่การตลาดหรือมาร์เก็ตติง เปิดเผยว่า หุ้นแบงก์ได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติรอบนี้ เนื่องจากราคายังปรับตัวขึ้นไม่มากเทียบกับหุ้นพลังงาน โดยหลายตัวยังมีการจ่ายเงินปันผลที่ดีด้วย
ด้านหุ้น BAY ที่ปรับตัวขึ้นแรงกว่าแบงก์อื่น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะจีอีฯ เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้น แต่ผลกำไรในไตรมาส 2 นี้ยังไม่ดีเท่าไร และราคาสูงกว่าราคาเป้าหมายที่ให้กว่า 23 บาทแล้ว
ก่อนหน้านี้ GE Capital International Holdings Corporation (GECIH) ได้ซื้อหุ้นเพิ่มทุน BAY งวดแรก จำนวน 1,391 ล้านหุ้น ในราคา หุ้นละ 16 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 22,256 ล้านบาท และผู้ถือใบสำคัญแสดงสิทธิได้ใช้สิทธิแปลงสภาพในราคาหุ้นละ 12 บาท
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=176470
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news05/07/07

โพสต์ที่ 21

โพสต์

รมว.คลังไม่ห่วงเชื่อบาทแข็งระยะสั้น

ค่าเงินบาทเปิดตลาดเช้านี้ ที่ 34.10 บ. ยังคงทำสถิติแข็งค่าในรอบ 10 ปี ด้าน รมว.คลัง ไม่ห่วง เชื่อเงินบาทจะแข็งค่าในระยะสั้น

ค่าเงินบาทเช้านี้ เปิดตลาดยังคงทำสถิติแข็งค่าในรอบ 10 ปี โดยเปิดตลาดที่ 34.10 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ นักวิเคราะห์ระบุจนถึงสิ้นปีนี้อาจจะได้เห็นเงินบาทแข็งค่ามากกว่า 33 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากมีเงินทุนไหลเข้าเอเชียเป็นจำนวนมาก ในขณะที่แนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐประสบปัญหา จนเป็นที่คาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐอาจลดดอกเบี้ย ยิ่งเป็นปัจจัยทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนลง และนักลงทุนจะหันไปลงทุนในประเทศอื่น ๆ เพิ่มขึ้น
ด้านตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดขึ้นยังบวกต่อเนื่อง ทำสถิติสูงสุดในรอบ 10 ปี โดยบวกสูงสุดกว่า 7 จุด หรือดัชนีปรับขึ้นไปสูงสุดที่ 833.21 จุด แต่หลังจากนั้นเริ่มมีแรงเทขายทำกำไร ทำให้ดัชนีติดลบเป็นช่วง ๆ และเมื่อปิดตลาดช่วงเช้าติดลบ 2.86 จุด ดัชนีปิดที่ 822.59 จุด มูลค่าซื้อขาย 21,048.09 ล้านบาท
นายอดิศักดิ์ คำมูล ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจและกลยุทธ์ บล.เคจีไอ ระบุการที่ดัชนีติดลบในวันนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะหุ้นถีบตัวขึ้นสูงแรงมากในช่วง 3 วันที่ผ่านมา จนทำให้หุ้นขนาดใหญ่เริ่มชะลอความร้อนแรง ซึ่งจากพื้นฐานเศรษฐกิจไทยที่ดี การเมืองมั่นคง และเงินทุนที่ไหลเข้าเอเชีย จึงมั่นใจว่าต่างชาติจะเข้ามาลงทุนรอบนี้ด้วยการถือหุ้นระยะยาว โดยตั้งแต่ต้นปีมาถึงขณะนี้ ต่างชาติเข้าซื้อหุ้นไทยสุทธิกว่า 100,000 ล้านบาทแล้ว
นายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า เงินบาทที่แข็งค่าอย่างต่อเนื่องเกิดจากเงินทุนเข้ามาซื้อหุ้นจำนวนมาก ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวคงเป็นเพียงช่วงระยะสั้น จึงไม่วิตกกังวลแต่อย่างใดและเป็นหน้าที่ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะเป็นผู้ดูแล สำหรับอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นนั้นเห็นว่าในปัจจุบันอยู่ในระดับที่เป็นจุดต่ำสุดแล้ว แต่ต้องขึ้นอยู่กับการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 18 กรกฎาคมนี้ ว่าจะพิจารณาเปลี่ยนแปลงหรือไม่ เพราะทิศทางอัตราดอกเบี้ยของประเทศต่าง ๆ ได้เริ่มปรับสูงขึ้นแล้ว เห็นได้จากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยไว้

http://www.posttoday.com/topstories.php?id=176803
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news05/07/07

โพสต์ที่ 22

โพสต์

แบงก์จุกอกเอ็นพีเอ1.6แสนล้าน

โพสต์ทูเดย์ ยอดเอ็นพีเอเดือน พ.ค. 1.6 แสนล้านบาท ลดลงจิ๊บจ๊อย 4.8% เจอศึกบ้านใหม่ล้นตลาดดัมพ์ราคาแข่ง

รายงานข่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เปิดเผยตัวเลขสินทรัพย์รอการขาย (เอ็นพีเอ) ของธนาคารพาณิชย์สิ้นเดือน พ.ค. ว่า มีจำนวน 1.68 แสนล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีอยู่ 1.77 แสนล้านบาท หรือลดลงแค่ 9 พันล้านบาท หรือลดลง 4.8%

ทั้งนี้ ยอดดังกล่าวยังไม่รวมยอดเอ็นพีเอของบริษัทบริหารสินทรัพย์ (เอเอ็มซี) ต่างๆ เช่น บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บสท.) ประมาณ 1 แสนล้านบาท บริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท 2 หมื่นล้านบาท และบ้านมือสองที่อยู่ในมือประชาชนทั่วไปอีก 1-2 หมื่นล้านบาท จึงขายไม่ออก

อย่างไรก็ตาม ยอดเอ็นพีเอของธนาคารพาณิชย์ที่ลดลงเพียงเล็กน้อยเนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาภาวะเศรษฐกิจและทิศทางดอกเบี้ยยังคงไม่ชัดเจน ทำให้ลูกค้าชะลอการตัดสินใจซื้อ เอ็นพีเอ

นอกจากนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า ยอดเอ็นพีเอของธนาคารพาณิชย์ที่ลดลงเนื่องจากเริ่มมีการโอนขายเอ็นพีเอให้กับ บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ (บสก.) ตามนโยบายของ ธปท. โดยมีสถาบันการเงินกว่า 16 แห่งที่ร่วมลงนามที่จะขายโอนขายเอ็นพีเอให้ บสก. คิดเป็นมูลค่ารวม 1.6 หมื่นล้านบาท

ทั้งนี้ การเร่งขายเอ็นพีเอจะทำให้ธนาคารลดภาระการตั้งสำรองตามความเสื่อมราคา และลดค่าใช้จ่ายการดูแลรักษาสินทรัพย์ รวมทั้งการขายเอ็นพีเอให้ บสก.สามารถนำตั๋วสัญญาใช้เงินของ บสก.กลับมาเป็นสำรองเป็นสินทรัพย์สภาพคล่องตามกฎหมายได้

นายบรรยง วิเศษมงคลชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บสก. กล่าวว่า แนวโน้มการขายเอ็นพีเอตั้งแต่ต้นปีถึงครึ่งปีหลังมีการแข่งขันรุนแรง โดยเฉพาะครึ่งปีหลังจะการแข่งขันรุนแรงมากขึ้น เพราะต้องการเร่งทำยอด ซึ่งยังคงใช้กลยุทธ์ด้านการลดราคา รวมถึงสนับสนุนเงินกู้อัตราดอกเบี้ยพิเศษ

ประกอบกับการเผชิญปัญหาการแข่งขันกับบ้านใหม่ที่มีสินค้าล้นตลาด (โอเวอร์ซัพพลาย) ขายแข่งกับบ้านเก่า

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ บสก.ได้ลงนามซื้อเอ็นพีเอไปแล้ว 2 แห่ง ประมาณ 3.4 พันล้านบาท แบ่งเป็นธนาคารทหารไทย 1.4 พันล้านบาท บรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย (บตท.) 2 พันล้านบาท และคาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังจะมีสถาบันการเงินของเอกชนและรัฐอีกหลายแห่งที่จะขายเอ็นพีเอให้กับ บสก.รวมกันไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นล้านบาท

ปัจจุบัน บสก.ได้เข้าไปรับซื้อ และรับโอนเอ็นพีเอมาแล้วทั้งหมด 4.05 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 23.89% ของทั้งระบบ
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=176668
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news05/07/07

โพสต์ที่ 23

โพสต์

ลีสซิ่งบ่นอุบยอดขายป้ายแดงหด-เช่าซื้อวูบ10%

ยอดรถใหม่ตกฮวบ 12% ทำยอดครึ่งปี "ลีสซิ่งกสิกรไทย" ดิ่ง 10% ปล่อยสินเชื่อแค่ 8 พันล้านเศษ จากเป้าหมื่นล้าน แม้มียอดต่างจังหวัดมาเสริมก็ยังเข็นไม่ขึ้น แจงดีลเลอร์บ่นอุบขายรถยาก แม้ที่ผ่านมาจะลดดอกเบี้ยไป 0.6% แต่ยังไม่เป็นผล ชี้ฝากความหวังครึ่งหลังอนาคตสดใสขึ้น จากการเมืองชัดเจน ความเชื่อมั่นกลับมา และดอกเบี้ยยังลงได้อีก เล็ง ก.ค.เพิ่มลูกเล่นการตลาด แถมบัตรเครดิตให้ลูกค้า ตั้งเป้าสิ้นปีเบ็ดเสร็จได้ 6.5 แสนคันก็พอใจแล้ว

นายอิสระ วงศ์รุ่ง กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลีสซิ่งกสิกรไทย เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ยอดจดทะเบียนรถยนต์ใหม่ของทั้งระบบในช่วง 5 เดือนแรกที่ลดลง 12.35% โดยมียอดทั้งสิ้น 1,011,724 คัน ได้ส่งผลกระทบต่อการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ของบริษัทอย่างมาก เนื่องจากส่วนใหญ่ 90% เป็นการปล่อยรถยนต์ใหม่ ทำให้ครึ่งปีแรกบริษัทปล่อยสินเชื่อได้ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 10% โดยมียอดสินเชื่อประมาณ 8 พันล้านบาท จากที่ตั้งเป้าไว้ 1 หมื่นล้านบาท แม้จะมียอดสินเชื่อที่เพิ่งรุกตลาดต่างจังหวัดเข้ามาเสริมแล้วก็ตาม

ทั้งนี้ ช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา บริษัทได้ขยายสาขาเพิ่มขึ้น 16 แห่ง ในจำนวนนี้มีถึง 12 สาขาอยู่ในต่างจังหวัด ที่มีวอลุ่มเติบโตจำนวนมาก แต่ยังไม่ทำให้ยอดสินเชื่อโดยรวมเข้าเป้าที่ตั้งไว้ได้ ขณะเดียวกันที่ดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาลง ทำให้บริษัทต้องปรับลดดอกเบี้ยลงเรื่อยๆ เพื่อกระตุ้นแรงซื้อจากผู้บริโภค โดยปีนี้ปรับลดไปแล้วถึง 0.6%

"เมื่อรถยนต์ใหม่ออกสู่ตลาดได้น้อย จำนวนลูกค้าที่จะมาขอสินเชื่อก็น้อยลงไปเช่นกัน ที่ผ่านมาดีลเลอร์บ่นกันเยอะว่าขายรถยากมาก ทางบริษัทก็พยายามช่วยเท่าที่ทำได้ จะให้ลดลงมากก็คงไม่ไหว เพราะต้องดูคู่แข่ง ดูตลาดไป และ มาร์จิ้นของธุรกิจนี้ก็ไม่ได้มากนัก จะลดดอกเบี้ยก็ต้องอยู่ในระดับที่ทำให้ธุรกิจอยู่ได้ด้วย"

สำหรับตลาดสินเชื่อรถยนต์ในครึ่งหลังปีนี้ นายอิสระกล่าวว่าจะมีปัจจัยบวกมาสนับสนุนเป็นจำนวนมาก ทั้งสภาวะดอกเบี้ยขาลง ซึ่งจะมากระตุ้นกำลังซื้อ และคาดว่าดอกเบี้ยจะลดลงได้อีก 0.25-0.50% รวมทั้งการประกาศวันเลือกตั้ง ซึ่งช่วยด้านจิตวิทยาให้คนเกิดความมั่นใจ
http://www.matichon.co.th/prachachat/pr ... ionid=0206
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news06/07/07

โพสต์ที่ 24

โพสต์

แบงก์เล็กครึ่งปีหลังสดใส กำไรโต
ครึ่งปีหลังสดใส กำไรโตเช่าซื้อ-ส่วนต่างดีแบงก์เล็กรวยทั้งกลุ่ม งบหรูไตรมาส 2ส่วนต่างพุ่งและ ต้นทุนลด อนาคตครึ่งปีหลังยังสดใส โบรกเตรียมปรับเป้าTISCO หลังผลงานฉายแววเด่น

แบงก์เล็กรวยทั้งกลุ่ม  งบหรูไตรมาส 2   ส่วนต่างพุ่งและ ต้นทุนลด  อนาคตครึ่งปีหลังยังสดใส โบรกเตรียมปรับเป้าTISCO หลังผลงานฉายแววเด่น  ส่วนTCAP ไตรมาส 2 กำไรโตสุด บุ๊กรายได้แบงก์ธนชาต หลังขายหุ้นให้สโกเทียแบงก์ แต่แนวโน้มครึ่งปีหลังขาดกำไรพิเศษเพราะต้องเร่งปรับโครงสร้างองค์กร โอนบริษัทย่อยให้TBANK
   
นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ฟาร์อีสท์ จำกัด กล่าวว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2550 ของกลุ่มธนาคารเล็ก มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน โดยมองว่าธนาคารทิสโก้ จำกัด(มหาชน) TISCO จะมีกำไรสุทธิ 400 ล้านบาท ผลการดำเนินงานปรับเพิ่มขึ้น 13% จากไตรมาสก่อน และปรับเพิ่มขึ้น 14% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน อีกทั้งมองว่าครึ่งปีหลังของปีนี้ผลการดำเนินงานจะดีขึ้นจากครึ่งปีแรกเพราะอัตราดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาลง
               
ส่วนธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด(มหาชน) KK คาดว่า จะมีกำไรไตรมาส 2/2550 ประมาณ 370 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23% จากไตรมาสก่อน แต่ปรับลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนประมาณ 27% แต่ในครึ่งปีหลังผลการดำเนินงานมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน
               
สำหรับส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยของธนาคารทั้ง 2 แห่งมองว่าจะทรงตัวอยู่ในระดับสูงเพราะอัตราดอกเบี้ยของระบบอยู่ในช่วงขาลง แต่ธุรกิจหลักของธนาคารทั้ง 2 คือเช่าซื้อ ซึ่งจะมีรายรับในอัตราดอกเบี้ยคงที่  ไม่ปรับลดลงเช่นอัตราดอกเบี้ยเอ็มแอลอาร์  ทำให้มีรายรับในอัตราดอกเบี้ยสูงจากพอร์ตสินเชื่อเดิม  ขณะที่ต้นทุนการเงินปรับลดลงตามภาวะอัตราดอกเบี้ย
               
ทั้งนี้ ราคาหุ้นของทั้ง 2 ธนาคารได้ปรับขึ้นไปรับรู้ปัจจัยบวกจากแนวโน้มผลการดำเนินงานที่จะดีขึ้นในไตรมาส 2/2550 และในครึ่งปีหลังแล้ว อีกทั้งมีการปรับขึ้นมาจากการไหลเข้าของเงินทุน จึงแนะนำหาหาจังหวะซื้อเมื่ออ่อนตัว โดย TISCO ให้ราคาเหมาะสม 26.50 บาท แต่มีโอกาสปรับเพิ่มเป้าราคาใหม่ในเร็วๆนี้  ส่วน KK ให้ราคาเหมาะสม 35.00 บาท
             
ส่วนบริษัททุนธนชาต จำกัด(มหาชน) TCAP มีธุรกิจหลักมาจากการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อของธนาคาร ธนชาต จำกัด(มหาชน)  TBANK ซึ่งเป็นธนาคารขนาดกลาง มองว่าแนวโน้มไตรมาส 2 TBANK จะมีกำไรดีขึ้น เพราะสินเชื่อโตขึ้น แต่ในส่วนของ TCAP ในไตรมาส 2/2550 จะรับรู้รายได้จากการขายหุ้น TBANK ให้กับ Scotia Bank ทำให้กำไรไตรมาสนี้จะเพิ่มขึ้นสูง
               
อย่างไรก็ตามในครึ่งปีหลังมองว่า TCAP จะไม่เติบโตโดดเด่นเช่นไตรมาส 2/2550 แล้ว เพราะต้องปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กร ในการโอนบริษัทย่อยไปให้ TBANK อีกทั้งไม่มีกำไรพิเศษเข้ามาในครึ่งปีหลัง อย่างไรก็ตามฝ่ายวิจัยแนะนำ เก็งกำไร ให้ราคาเหมาะสม TCAPอยู่ที่ 18.00 บาท

TISCO(5 ก.ค.)ปิดที่ 29.75 บาท ลดลง 1.25 บาท มูลค่าซื้อขาย 207.65 ล้านบาท ,TCAP ปิดที่ 16.10 บาท เพิ่มขึ้น 0.20 บาท มูลค่าซื้อขาย 290.34 ล้านบาท และKKปิดที่ 34.75 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาท มูลค่าซื้อขาย 56.80 ล้านบาท
http://www.msnth.com/msn/money2/content ... 566&ch=223
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news06/07/07

โพสต์ที่ 25

โพสต์

ให้กู้ชุดใหญ่1.6หมื่นล. 9แบงก์อุ้มเอ็ชเอ็มซี

โพสต์ทูเดย์ ซินดิเคตโลนกลับมาอีกรอบ 9 แบงก์ปล่อยกู้ เอ็ชเอ็มซี โปลีเมอส์ 1.6 หมื่นล้าน หลังเศรษฐกิจไทยเริ่มมีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ แหล่งข่าวจากธนาคารเอชเอสบีซีเปิดเผยว่า ธนาคารเอชเอสบีซีเป็น ผู้นำในการจัดหาเงินกู้วงเงิน 475 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทย กว่า 1.6 หมื่นล้านบาท ให้แก่ บริษัท เอ็ชเอ็มซี โปลีเมอส์ ซึ่งเป็นบริษัท ผลิตเม็ดพลาสติกรายใหญ่ ในเครือของบริษัท ปตท. และบาเซลล์ จุดประสงค์เพื่อนำไปขยายการผลิตส่วนหนึ่ง และนำไปรีไฟแนนซ์หนี้เดิม ส่วนหนึ่ง
สำหรับวงเงินกู้ร่วมครั้งนี้ มีธนาคารผู้ให้กู้อีก 8 ราย ประกอบด้วย ธนาคารกรุงไทย ไทยพาณิชย์ ออมสินกรุงเทพ สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) ธนาคารเคบีซี ธนาคารซูมิโตโม มิตซุย แบงกิ้ง คอร์ปอเรชั่น และธนาคารคาลิยง
ลูกค้าเห็นว่าตอนนี้สถานการณ์หลายๆ อย่างเริ่มพลิกไปในทิศทาง ที่ดี จึงได้ตัดสินใจขยายการลงทุน เพิ่มเติม เพราะจริงๆ แล้ว โปรเจกต์นี้แบงก์ก็คุยกับลูกค้ามานานแล้ว แต่ เพิ่งเกิดขึ้นได้ ก็สะท้อนถึงความมั่นใจของผู้ลงทุนที่เริ่มกลับมา อีกทั้งเมื่อเร็วๆ นี้ แบงก์เพิ่งพา ปตท.ไปออกซามูไรบอนด์ที่ญี่ปุ่น ตั้งใจจะออก วงเงิน 2.3 หมื่นล้านเยน แต่ยอดจอง เกิน 2.5 เท่า เพราะนักลงทุนญี่ปุ่น ฮ่องกงและสิงคโปร์ ก็มองเหมือนกันว่าทุกอย่างเริ่มมีทิศทางที่ดี แหล่งข่าวเปิดเผย
ก่อนหน้านี้ บริษัท ปตท. ได้แจ้งตลาดหลักทรัพย์เรื่องการชำระเงินซื้อหุ้นเพิ่มทุนในบริษัท เอ็ชเอ็มซี สัดส่วน 41.43% โดยเป็นการซื้อหุ้นเพิ่มทุน 12.9 ล้านหุ้น และซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นเดิม 2.8 ล้านหุ้น รวมเป็นเงินประมาณ 9 พันล้านบาท ส่งผลให้ ปตท.กลายเป็นผู้ถือหุ้นอันดับ 1 ประมาณ 41.43% อันดับ 2 ได้แก่ Basell (Thailand) Holding BV. 28.557% และอันดับ 3 เป็นกลุ่มผู้ถือหุ้นไทยคือธนาคารกรุงเทพ บริษัท ฮั่วกี่ เปเปอร์ และผู้ถือหุ้นอื่นๆ รวม 30%
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=176919
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news06/07/07

โพสต์ที่ 26

โพสต์

จับตาค่าเงินแตะ33บาท/เหรียญ ส่งออกบุกธปท.ร้องกำไรหายวูบ

โพสต์ทูเดย์ ธปท.รับปาก 4 สมาคมธุรกิจพร้อมดูแลค่าเงินหากแข็งเร็วเกินไป ล่าสุดทะลุ 33 บาทต่อเหรียญสหรัฐ

นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวภายหลังสมาคมเอกชน 4 แห่งเข้าพบว่า สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ได้ขอให้ ธปท.เข้าดูแลอัตราแลกเปลี่ยนใน 1-2 สัปดาห์นี้ ส่วนจะออกมาตรการอะไรใหม่มาช่วยดูแลหรือไม่นั้น ขณะนี้ ธปท.ก็พิจารณาอยู่แล้ว
เราดูที่สปีดของเงินบาทว่า แข็งเร็วไปหรือผันผวนไปหรือไม่ ไม่ได้ไปดูว่าอัตราแลกเปลี่ยนต้องอยู่ที่ระดับเท่าไร เพราะอัตราแลกเปลี่ยนต้องเป็นไปตามกลไกตลาด นางธาริษา กล่าว
นายพงษ์ศักดิ์ อัสสกุล รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า ได้อธิบายให้ ธปท.ฟังว่า กระทบกับผู้ส่งออกอย่างไร โดยเฉพาะช่วงนี้แข็งขึ้นเร็วมาก ซึ่งเราต้องการให้ธปท.ดูแลให้แข่งได้ในระดับเดียวกับประเทศคู่แข่ง แต่ถ้าแข็งทะลุ 34 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ผู้ส่งออกตายแน่ แม้ตัวเลขจะโตแต่กำไรไม่มี เริ่มขาดทุน
ด้านนายสุรพล ศรีตระกูล เหรัญญิกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว กล่าวว่า ธปท.ขอให้ผู้ส่งออกอดทนไปก่อน
ทั้งนี้ ข้อมูลการซื้อขายเงินบาทตลาดในประเทศ (ออนชอร์) ปิดที่ 33.99 บาทต่อเหรียญสหรัฐแล้ว แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับวันก่อน ซึ่งปิดที่ 34.18-34.19 บาทต่อเหรียญสหรัฐ
น.ส.อุสรา วิไลพิชญ์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) กล่าวว่า ค่าเงินบาทไม่น่าจะแข็งค่าได้นาน เพราะหลังการเลือกตั้งจะเริ่มเห็นการบริโภคและการลงทุนฟื้นคืน รวมถึงการใช้จ่ายภาครัฐทำให้จำเป็นต้องมีการนำเข้า และคาดว่าค่า เงินบาทจะกลับไปอ่อนค่าที่ระดับ 36-37 บาทต่อเหรียญสหรัฐ
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=176920
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news07/07/07

โพสต์ที่ 27

โพสต์

เปิดทางลูกหนี้บัญชีดำกู้

โพสต์ทูเดย์ แบงก์อิสลามตะลุย ให้คนติดบัญชีดำกู้รีไฟแนนซ์รอบ 2 กวาดฐานลูกค้าเงินเดือน 4 หมื่นบาท ให้กู้ล้างหนี้สูงสุด 5 แสนบาท

นายธีรศักดิ์ สุวรรณยศ รักษาการกรรมการผู้จัดการ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ธนาคารจะ เปิดโครงการสินเชื่ออเนกประสงค์ หรือสินเชื่อเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ (รีไฟแนนซ์) ลูกหนี้ บัตรเครดิตของสถาบันการเงินและไม่ใช่สถาบันการเงิน (นันแบงก์) รอบสอง แต่เพิ่มวงเงินขึ้นมาจากรายละ 2.5 แสนบาท เป็น 5 แสนบาท
ทั้งนี้ การจัดโครงการรีไฟแนนซ์หนี้บัตรเครดิตรอบสอง จะมีการปรับปรุงเงื่อนไข ขยายฐานเงินเดือนจากเดิมกำหนดวงเงินรายได้ 1.5 หมื่นบาท ให้กู้สูงสุด 2.5 แสนบาท ปรับเป็นตั้งแต่ 4 หมื่นบาทขึ้นไป ให้วงเงินกู้สูงสุด 4-5 แสนบาท รวมทั้งจัดแพ็กเกจให้ รีไฟแนนซ์บ้านรวมกับบัตรเครดิตด้วย ซึ่งจะทำให้ลูกค้าสามารถมีกำลังการผ่อนชำระหนี้ได้
ที่ผ่านมาส่วนใหญ่ลูกค้าที่มา รีไฟแนนซ์บัตรเครดิตกับธนาคาร แต่มีจำนวนมากที่ไม่ผ่านการพิจารณาและถูกคัดออก เนื่องจากมีปัญหาติดเครดิตบูโรค้างชำระผ่อนค่าบ้าน ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีฐานเงินเดือนหรือรายได้ 4 หมื่นบาทขึ้น อายุงานเฉลี่ย 5 ปี ซึ่งกลุ่มนี้ธนาคารไม่สามารถอนุมัติสินเชื่อ รีไฟแนนซ์บัตรเครดิตให้ได้ นาย ธีรศักดิ์ กล่าว
ดังนั้น ธนาคารอิสลามฯ จึงเห็นว่าควรจะขยายโครงการให้ครอบคลุมการให้รีไฟแนนซ์หนี้ที่อยู่อาศัยด้วย และรวมกับหนี้ทุกประเภทเพื่อที่พิจารณาสินเชื่อใหม่ให้ ซึ่งคาดว่าจะได้รับการตอบรับจากลูกค้าที่ดี เนื่องจากที่ผ่านมา หลังจากที่ธนาคารจัดทำโครงการสินเชื่อรีไฟแนนซ์บัตรเครดิตไปทำให้ลูกค้ารู้จักธนาคารอิสลามมากขึ้น
สำหรับอัตรากำไรและค่าธรรมเนียม (ดอกเบี้ย) รีไฟแนนซ์นั้น ยังไม่สามารถกำหนดได้ ต้องรอดูทิศทางดอกเบี้ยนโยบายในเดือนนี้ก่อนว่าต่ำสุดหรือยัง
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=177121
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news07/07/07

โพสต์ที่ 28

โพสต์

อุตสาหกรรมแชมป์เอ็นพีแอล  
โดย เดลินิวส์ วัน เสาร์ ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 08:53 น.
รายงานข่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงภาวะหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ไตรมาสแรกว่า เอ็นพีแอลทั้งระบบ เพิ่มขึ้น 76,816 ล้านบาท โดยในจำนวนนี้เป็นเอ็นพีแอลเกิดใหม่ 39,172 ล้านบาท เป็นเอ็นพีแอลที่เคยปรับโครงสร้างสำเร็จ และกลับมาเป็นเอ็นพีแอลอีกครั้ง (รีเอ็นทรี่) 16,786 ล้านบาท และจากสาเหตุอื่นๆ อีก 20,858 ล้านบาท อย่างไรก็ตามมียอดเอ็นพีแอลลดลงเช่นกัน 71,596 ล้านบาท เนื่องจากการปรับโครงสร้างหนี้ 10,242 ล้านบาท จากเหตุผลอื่น 61,354 ล้านบาท
ทั้งนี้เมื่อดูตามประเภทธุรกิจ จะพบว่า ภาคที่มียอดเอ็นพีแอลเพิ่มขึ้นมากที่สุด ได้แก่ ภาคอุตสาหกรรม มีเอ็นพีแอลเพิ่มขึ้น 22,003 ล้านบาท ซึ่งเป็นเอ็นพีแอลที่เกิดใหม่ 14,306 ล้านบาท เป็นรีเอ็นทรี่ 4,057 ล้านบาท และอื่นๆ อีก 3,640 ล้านบาท ส่วนที่มียอดเอ็นพีแอลเพิ่มขึ้นรองลงมาคือ ธุรกิจการธนาคารและธุรกิจการเงิน มีเอ็นพีแอลเพิ่มขึ้น 12,102 ล้านบาท เป็นเอ็นพีแอลเกิดใหม่ 39 ล้านบาท รีเอ็นทรี่ 23 ล้านบาท และอื่นๆ 12,040 ล้านบาท และธุรกิจการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคล มีเอ็นพีแอลเพิ่มขึ้น 11,687 ล้านบาท เป็นเอ็นพีแอลเกิดใหม่ 7,448 ล้านบาท รีเอ็นทรี่ 2,498 ล้านบาท อื่น ๆ 1,741 ล้านบาท.
http://news.sanook.com/economic/economic_153072.php
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news09/07/07

โพสต์ที่ 29

โพสต์

เอกชนไทยแห่ขนเงินออก ธปท.หนุน-ชี้สัญญาณดี  

"แบงก์ชาติ"รับไตรมาสแรกปี'เอกชนขนเงินไปลงทุนต่างประเทศ 2.6พันล้านเหรียญสหรัฐ ยันไม่ขัดขวาง ระบุเป็นสัญญาณที่ดีช่วยลดกระแสค่าเงินบาทแข็งค่า หลังจากเงินทุนนอกไหลถาโถมเข้ามา

นายสุชาติ สักการโกศล ผู้อำนวยการ ฝ่ายกำกับการแลกเปลี่ยนเงิน และสินเชื่อธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) กล่าวว่า ขณะนี้มีนักลงทุนไทยเริ่มหันไปลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น ถือเป็นสัญญาณที่ดีที่ช่วยลดแรงกดดันไม่ให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น

ทั้งนี้ จากข้อมูลล่าสุดที่ธปท.สำรวจ พบว่า ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ธปท.ได้อนุมัติให้ภาคธุรกิจไทยไปลงทุนในต่างประเทศทั้งสิ้น 4,235 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 516 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่มีเงินออกที่ไปลงทุนจริง 2,665 ล้านเหรียญ เทียบกับยอดคงค้าง ณ สิ้นเดือนธ.ค. 2549 หรือไตรมาส 4 ธปท.ได้มีการอนุมัติให้นักลงทุนไทยจำนวน 3,719 ล้านเหรียญสหรัฐแต่มีเงินทุนจากไทยไปลงทุนในต่างประเทศจริง 1,908 บาท

"ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้มีนักลงทุนไทยในภาคธุรกิจต่างๆหันไปลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะการลงทุนหลักทรัพย์ ทั้งในลักษณะกองทุนต่างๆ ธุรกิจประกันชีวิต กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการไทย(กบข.)จึงเป็นสัญญาณที่ดีที่เสนอให้เห็นว่าสิ่งที่แบงก์ชาติพยายามกระตุ้นให้ภาคธุรกิจต่างๆไปลงทุนในต่างประเทศมากขึ้นเพื่อให้ภาคธุรกิจไทยมีการกระจายความเสี่ยงในการลงทุนมากขึ้น รวมทั้งช่วยลดแรงกดดันค่าเงินบาทไม่ให้แข็งค่ามากเกิดไปจากการไหลเข้าของเงินทุนจากนักลงทุนต่างชาติด้วย"

สำหรับกรณีที่มีกระแสข่าวว่ามีนักลงทุนต่างชาติขอขนเงินจำนวน 4,500 ล้านบาท เพื่อนำมาลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย แต่ทางธปท.มีการขอความร่วมมือชะลอการลงทุนไว้ก่อน เพราะเกรงว่าจะยิ่งกดดันให้ค่าเงินบาทแข็งค่าอีก นั้น

นายสุชาติ ชี้แจงว่าธปท.ไม่สามารถไปควบคุมไม่ให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในไทยได้ซึ่งเป็นสิทธิที่จะตัดสินใจจะลงทุนที่ไหนก็ได้แต่หลังจากที่ธปท.มีการออกมาตรการกันสำรอง 30% สำหรับเงินทุนระยะสั้นจากต่างประเทศ เมื่อปลายปีที่ผ่านมา ซึ่งรวมถึงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ด้วย ทางนักลงทุนต่างชาติก็ต้องยอมรับกฎเกณฑ์นี้ด้วย หากต้องการเข้ามาลงทุนในไทย  
http://www.naewna.com/news.asp?ID=66862
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news10/07/07

โพสต์ที่ 30

โพสต์

แบงก์เสียเงินปราบฟอกเงินพุ่งหลังรุกทำธุรกิจตลาดเกิดใหม่ - 10/7/2550

แบงก์เสียเงินปราบฟอกเงินพุ่งหลังรุกทำธุรกิจตลาดเกิดใหม่

ผลสำรวจระดับโลกชี้ภาคธนาคารเสียค่าใช้จ่ายสูงในการปราบการฟอกเงิน ช่วง 3 ปีที่ผ่านมา หลังภาคธนาคารทำธุรกิจมากยิ่งขึ้นในตลาดเกิดใหม่ (Emerging markets) ที่มีความซับซ้อนมากขึ้นสำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานจากลอนดอน ว่าบริษัท KPMG เปิดเผยผลสำรวจระดับโลก ระบุว่า ภาคธนาคารต้องเสียค่าใช้จ่ายในการปราบปรามการฟอกเงินเพิ่มขึ้นเกือบ 60% ช่วง 3 ปีที่ผ่านมา และผู้บริหารระดับสูงของธนาคารต้องใช้เวลามากขึ้นเรื่อยๆ ในการปราบปรามอาชญากรรม

ผลสำรวจระบุว่า ค่าใช้จ่ายในการปราบปรามการฟอกเงิน พุ่งขึ้นสูงกว่าที่ภาคธนาคารเคยคาดการณ์ไว้ เนื่องจากภาคธนาคารดำเนินธุรกิจมากยิ่งขึ้นในตลาดเกิดใหม่ (Emerging markets) และเผชิญกับความซับซ้อนมากยิ่งขึ้นในตลาดการเงินผู้ควบคุมกฎระเบียบทางการเงินพยายามจะปราบปรามการฟอกเงินระดับสูง กว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปีโดยฝีมือของผู้ค้ายาเสพติด ผู้ลักลอบค้าอาวุธ และอาชญากรประเภทอื่นๆ

KPMG สำรวจความเห็นธนาคาร 224 แห่ง ใน 55 ประเทศ พบว่าค่าใช้จ่ายในกระบวนการ และระบบปราบปรามการฟอกเงิน (AML) พุ่งขึ้นเฉลี่ย 58% ช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ในอเมริกาเหนือ ตะวันออกกลาง และแอฟริกานั้น ค่าใช้จ่ายพุ่งขึ้นไม่ต่ำกว่า 70% KPMG ระบุว่า ภาคธนาคารเคยคาดการณ์ในผลการศึกษาปี 2004 ว่าค่าใช้จ่ายอาจพุ่งขึ้น 43% ช่วง 3 ปีข้างหน้า อย่างไรก็ดี ขณะนี้ ภาคธนาคารคาดว่าค่าใช้จ่ายอาจเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 34% ช่วง 3 ปีข้างหน้าค่าใช้จ่ายที่สูงที่สุด ยังคงเป็นค่าใช้จ่ายสอดส่องการทำธุรกรรมและการฝึกอบรมพนักงาน
http://www.siamrath.co.th/Economic.asp?ReviewID=177096