เปิดสอนบัญชี สอนบัญชีเหนื่อยมากครับ เห็นมีคนหาอาจารยืมาสอนให้แล้วนี่ครับ ลองไปเรียน ไปฟังกันก่อนครับ เดี๋ยวผมสอนอย่างอื่นให้ก็แล้วกัน นานๆเปิดมาทีเห็น PMเต็มไปหมด ต้องขอโทษด้วยครับ ไม่ได้เข้ามาอ่านนานมากแล้ว ใครอยากคุยกับผมก็ส่งมาที่ [email protected] เปิดอ่านทุกวันครับ โดย Mon money จันทร์ มี.ค. 15, 2010 9:02 pm

ใครคิดถึง อ.มนตรี Mon Money บ้าง!! พี่ปรัชญา คิดถึงจริงหรือเปล่า? :D วันเสาร์นี้ผมไปเป็นผู้ดำเนินรายการให้ ธ.เกียรตินาคินครับ บังเอิญใช้ลูกเล่นนิดหน่อยเลยได้ตัว CIO ของสอง บลจ.ที่ผมชื่นชอบและไว้ใจมาสองบริษัท คือ ABERDEEN และ AYF และผมก็ลงทุนในกองทุนต่างประเทศของทั้งสองบริษัท ของAberdeen จะมีให้เลือกหลายกอง ส่วน AYFมีไม่มากแต่พอมีก็น่าสนใจมากๆ ปกติผมก็ซื้อหุ้นไม่บ่อยอยู่แล้วครับ พอให้ความสนใจหุ้นต่างประเทศเลยไม่ค่อยได้สนใจหุ้นไทยรายตัว ตอนนี้หุ้นไทยมีแค่ 30%เองครับ หุ้นต่างประเทศเป็นตัวๆก็ไม่ซื้อเพราะดูไม่ไหวแน่ๆ แน่นอนว่าลงทุนเองก็ใช้หลักการเน้นมูลค่า หาของถูก ลงทุนผ่านกองทุนก็เช่นกัน บลจ.หรือกองทุนทั่วๆไปก็ไม่ได้กินผมแน่ๆ ใครสนใจไปฟัง ไปคุยกันก็เสาร์นี้ครับ 9.00น. เจอผมแน่ ใครจะตามไปเหยียบ ไปยิงก็ไม่ต้องไปนะ ยังไม่ได้ใช้เงินเลย โดย Mon money จันทร์ มี.ค. 15, 2010 8:57 pm

roe กับ pe ต่อเนื่องจากกระทู้ LH มีอะไรดีกว่าตัวอื่น สมมตินะครับ ว่าวันหนึ่ง LH มีคน Panic Sell ขึ้นมาเมื่อไหร่ จนทำให้ p/e ลดต่ำลง Cost of eq จะพุ่งเป็นจรวดทันที แล้ว Cap Yield ก็จะลดลงความน่าสนใจในการลงทุนจะลดลง ไม่รู้สึกว่าดูแปลกๆกันเหรอครับ... หุ้นยิ่งลดความน่าสนใจก็ยิ่งลดลง ในมุมกลับกัน อยู่ๆ มีคนมาซื้อ spali จน p/e วิ่งกระฉูดไป 10 เท่า... cost of eq ก็จะลดลง แล้ว Cap yield ก็จะเพิ่มขึ้น.. กลายเป็นว่า spali ก็กลายเป็นหุ้นที่น่าสนใจในทันที.. ผมว่าไม่ต้องใช้ Math ก็ได้ ... เอา Common sense มาดู 2 ตัวอย่างข้างต้นก็รู้สึกแล้วว่า Logic มันแหม่งๆ อยู่ เอาอีกหน่อยก็ได้...เห็นน้องสงสัย :D กรณีนี้ เกิดอะไรขึ้น ชั่วคราวหรือถาวร ถ้าเกิดเหตุการเช่นสมมุติขึ้นดังกล่าวแล้วเป็นเรื่องที่วิเคราะห์แล้วเป็นเรื่องชั่วคราว และอนาคตของทั้งสองบริษัทไม่ได้เปลี่ยนแปลง คุณๆจะขายอะไรไปซื้ออะไรล่ะคราวนี้? มันก็กลับไปที่หุ้นดีที่เกิดเหตุการสดุดขาตัวเองนั่นแหละ กลับกัน LHไม่ต้องถูกเทขายหรอก แค่SPALIทำได้ดีขึ้น มีอนาคตสดใสขึ้น จนนักลงทุนเห็นได้ชัดเจน SPALIมีศักยภาพจะที่จะได้ PEที่สูงขึ้น เงินลงทุนในLHอาจจะไหลมาลงที่SPALI จน PEของLH ต่ำลงไปก็ได้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก อนึ่ง การวิเคราะห์ LH เทีบยกับ SPALIเห็นจะไม่ค่อยยุติธรรมสักเท่าไร เพราะ LHมีหลายธุรกิจอยู่ในงบการเงิน เช่น BANK ค้าปลีก ฯ ควรจะเอาหุ้นที่ทำแต่อสังหาฯมาเทียบกัน จะดีกว่า SPALIที่PEต่ำๆอยู่อย่างนี้ ก็ไม่ได้หมายความว่า ตลาดให้PEถูกต้องแล้ว อาจผิดก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าคนส่วนใหญ่ในตลาดเข้าเห็นว่าอย่างไง คนส่วนใหญ่เห็นไม่ถูกต้องก็ได้ ไม่งั้นคงไม่มีหุ้นดีๆ PEต่ำๆให้ซื้อแล้วทำกำไรหรอก เพียงแต่ว่า "อะไรทำให้คนส่วนใหญ่คิดว่าPEมันควรจะเป็นเท่านี้" ต่างหากเป็นเรื่องที่ต้องหาคำตอบให้ชัดเจน เรื่องทั้งหมดนี้ไม่มีใครผิดใครถูกหรอก ขึ้นอยู่กับสมมุติฐานของแต่ละคน เห็นตรงกันหมดหุ้นก็ไม่ขึ้นไม่ลงซิวะ ไม่ตอบอีกแล้วนาโว้ย...หมีแพนด้ากำลังโต...ต้องไปดูแลหน่อย :D โดย Mon money ศุกร์ ก.ค. 24, 2009 5:26 pm

roe กับ pe ต่อเนื่องจากกระทู้ LH มีอะไรดีกว่าตัวอื่น ตัวแปรเดียวกันอยู่ทั้งสองข้างของสมการ ไม่ใช่งูกินหางนะ แต่เราต้องแก้สมการนั้นต่างหาก (เช่นสมการ 2X = X +3 แก้หาXได้เท่ากับ 3 ) ส่วนเรื่องPEที่โดน multiplyเพิ่มขึ้นเรื่อยๆก็อาจจะเป็นอย่างนั้น ถ้ามีทางเลือกการลงทุนแค่แห่งเดียวคือreinvestบริษัทเดิมเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงจะมีfactorอีกสองสามอย่าง 1. cost of equity ปรกติย่อมไม่มากกว่า cost of dept ไม่เช่นนั้น deptจะลดค่า ROE โดย Mon money ศุกร์ ก.ค. 24, 2009 3:11 pm

roe กับ pe ต่อเนื่องจากกระทู้ LH มีอะไรดีกว่าตัวอื่น เข้าใจผิดที่เอาMathมาโยงในงบการเงิน ในงบการเงินนั้น โดยสมมุติฐานให้ลงเฉพาะราคาทุน เราจะเห็นว่าในงบดุลเราลงแค่ราคาทุนของหนี้ และราคาทุนของหุ้น และราคาทุนของสินทรัพย์ ไม่รวมต้นทุนที่เกิดจริง เช่นค่าเสียโอกาส ฉนั้นอะไรที่เป็นที่มาของสินทรัพย์ นั่นคือหนี้กับทุน หรือทุนอย่างเดียว และทั้งหนี้และทุนก็มีต้นทุน ฉนั้นเราก็เอาผลตอบแทนจากสินทรัพย์ ซึ่งนั้นก็คือทุนทั้งหมด มาเทียบกับต้นทุนของทุนทั้งหมด(หนี้+ทุน) หากสินทรัพย์หาผลตอบแทนได้ 10% แต่ต้นทุนของทุนเป็น 8% แสดงว่า เรามีกำไร 2% แต่หากสินทรัพย์หาผลตอบแทนได้ 10% แต่ต้นทุนของทุนเป็น 12% แสดงว่า เราขาดทุน 2% Logic  Capital Employed นี้เอาออกมาจากงบการเงิน ส่วนLogic ของต้นทุนเงินทุน เอาออกมาจากงบการเงินส่วนหนี้สิน และดอกเบี้ยจ่ายทั้งหมด แต่ส่วนทุนนั้นหาค่อนข้างยาก ซึ่งโดยทั่วไปนักการเงินใช้ CAPM แต่ผมใช้ E/Pสำหรับหุ้นเป็นตัวๆไป นักการเงินเห็นคงจะบอกว่ามันแปลกๆไม่มีตำราที่ไหนเขียนกัน ก็แล้วทำไมต้องมีตำราที่ไหนเขียนด้วยละ คิดเอง เห็นเองแล้วเป็นเหตุเป็นผลก็ได้ เคยอ่านไหมว่าหุ้นValueนั้นเป็นหุ้นที่จริงๆแล้วเสี่ยงสูง เพราะE/Pมันสูง แต่ผมคิดว่าหากเราวิเคราะห์ธุรกิจจนเข้าใจและเห็นว่า อนาคตมันจะดีขึ้นและเติบโตอย่างรวดเร็ว วันหนึ่ง P/Eมันจะสูงขึ้น เราจะได้กำไร ความเสี่ยงลดลงได้ด้วยความเข้าใจ แนวคิดนี้ไม่มีอะไรใหม่ แค่คิดต่อว่าเมื่อเราคำนวณ ROA เราจะเอาไปเทียบกับอะไร ROA 20% สูงก็ดี แต่ถ้า ต้นทุนที่มาซื้อสินทรัพย์มัน 22% ละ ดีไหม? เป็นMathที่ไม่ซับซ้อน และไม่ได้โยงอะไรวุ่นวาย เมื่อตัวเลขที่ออกมามันคือIndicatorตัวหนึ่งซึ่งต้องหาคำอธิบายว่าทำไมมันออกมาอย่างนั้น มันเริ่มด้วยข้อมูลเชิงพื้นฐาน และเอาMathมาสร้างตัวชี้วัด และจบด้วยคำอธิบายที่สมเหตุสมผล กับไปที่ข้อมูลเชิงพื้นฐานอีกครั้ง เมื่อผลประกอบการออกมา นั่นคือมันสะท้อนออกมาทางงบการเงิน นั้นมันหมายถึงการดำเนินกิจกรรมต่างๆทางธุรกิจจะถูกสะท้อนออกและสื่อสารผ่านงบการเงิน(ที่สะอาด) เราก็เอามาหา Indicator และหาตัวเปรียบเทียบ จะเปรียบเทียบกับพวกเดียวกัน หรือจะเปรียบเทียบกับอุตฯอื่นก็แล้วแต่ แต่ผมอยากเปรียบเทียบกับตัวมันเอง และผมก็มีสมมุติฐานตามนี้ ใครว่าผิดก็อธิบายมา รับฟัง และหากไม่ถูกต้องก็จะแก้ไข เพราะมันจะทำให้ผมลงทุนได้แม่นยำขึ้น โยเป็นคนเก่งและประสบความสำเร็จ ส่วนผมแก่แล้ว เจออะไรมามาก ลองอะไรมาก็เยอะ... จนเห็นว่า ใช้อะไรก็ได้ที่ตอบคำถามเราได้...ผมไม่ใช่นักคณิตศาสตร์ที่เก่ง แต่ผมไม่เคยมองข้ามสิ่งที่ตลาดสื่อให้เห็นอยู่ และมีคำถามอยู่ในใจเสมอว่าทำไมเป็นอย่างนั้น อะไรขับดันมันให้เกิดแบบนั้น และพยายามหาเหตุและตัวชี้วัดมาอธิบายความคิด ถูกผิดไว้ดูเอา การลงทุนไม่ได้ใช้แค่ความเก่งกาจจากคณิตศาสตร์(เห็นๆว่าเดี้ยงกันมาเยอะแล้ว) แต่อาศัยความช่างสังเกตุ และหาเหตุผลจากสิ่งที่เกิดอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งโยใช้อยู่เป็นประจำ และประสบความสำเร็จ เอาหละ ผมพอแล้วล่ะ ไปดูกองทุนที่ลงทุนไว้ดีกว่า เห็นว่าขึ้นมากว่า 7%แล้ว ปีๆหนึ่งเอาแค่ 15 - 20%ก็พอแล้ว ต้นทุนเงินทุนของผมมันแค่ไม่กี่% ได้ขนาดนี้ก็สูงมากแล้ว โดย Mon money ศุกร์ ก.ค. 24, 2009 3:04 pm

roe กับ pe ต่อเนื่องจากกระทู้ LH มีอะไรดีกว่าตัวอื่น มีเซียน Math ท่านไหนช่วยแก้ผมทีนะครับ ถ้าผมเข้าใจผิด ถ้าสมการทางคณิตศาสตร์สามารถตอบได้ทุกเรื่องและมันเป็นไปตามนั้น เราคงไม่เห็น LTCFที่บริหารโดยนักเศรษฐศาสตร์ระดับรางวัลโนแบลเจ็งไม่เป็นท่า อนุพันธ์ในอเมริกาคงไม่สร้างปัญหาจนเกิดเป็นวิกฤติการเงิน ฉนั้นสมมุติฐานที่ LHจะมีPEเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆจนเป็น100 เท่านั้น เป็นการคิดตามกลไกไปสักหน่อย เพราะพื้นฐานของหุ้นไม่ได้เป็น Linear Equation แต่มันขึ้นอยู่กับตัวแปรมากมาย PE บอก Market Expectationที่เปลี่ยนแปลงไปตามข้อมูลข่าวสารและอารมณ์ของผู้คนในตลาด ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง ผมก็ยังไม่เคยเห็นว่าใครจะสร้าง Math Model ที่ใช้ทำนายเรื่องนี้ได้อย่างแม่นยำ โย... อย่าโกรธเฮีย(โกรธหรือเปล่าวะ)... Math Model ทุกสมการ มีข้อจำกัด เราแก้ข้อจำกัดนี้ด้วยความเข้าใจในทุกตัวแปรของมัน สำหรับ SPALI ไม่ได้บอกว่าเป็นหุ้นห่วย เพียงแต่ตลาดสะท้อนออกมาว่า PE ต่ำ เมื่อหา Earning Yield ออกมามันสูง นั่นหมายความว่า Risk Premiumสูง และสื่อความหมายว่า คุณต้องได้Returnที่สูง ถึงจะยอมเสี่ยงลงทุน ถ้าคุณวิเคราะห์ธุรกิจแล้วเห็นว่า ธุรกิจสามารถเติบโตได้ในระยะยาว และจะสร้างReturnได้คุ้มกับRisk Premium(ต้นทุนของเรา) ลงทุนไปก็ไม่เห็นผิดตรงไหน และก็ไม่จำเป็นต้องเห็นตรงกันด้วย ไม่งั้นมันจะเกิดการซื้อขายได้อย่างไง LH ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นหุ้นดี แต่ Risk Premiumมันต่ำกว่า นั่นหมายความว่า Returnไม่ต้องสูงมาก นักลงทุนก็กล้าเสี่ยงที่จะลงทุน แต่ไม่ได้หมายความว่า Operation ของ LH ดีกว่ามากจนแตกต่าง เพียงแต่ตลาดให้Expectation เขาดีกว่าเท่านั้น หน้าที่ของนักลงทุนคือ ไปดูว่า พื้นฐานทางธุรกิจของบริษัทต่างๆเหมาะสมกับ Risk & Returnของมันหรือเปล่า ขอย้ำว่า วิเคราะห์อย่างตรงไปตรงมา มิได้มีสิ่งใดแอบแฝง และเป็น Opinoinของผมด้วย และผมก็ไม่มีทั้ง SPALI และ LH portส่วนใหญ่อยู่ในกองทุนรวมต่างประเทศ และหุ้นพื้นฐานดีปันผลต่อเนื่อง คงบางส่วนไว้ในประเทศเท่านั้นด้วยเหตุผลด้านสภาพคล่อง โดย Mon money ศุกร์ ก.ค. 24, 2009 11:57 am

roe กับ pe ต่อเนื่องจากกระทู้ LH มีอะไรดีกว่าตัวอื่น งานเข้าอยู่เลยมาไม่ได้ วันนี้เห็นงงกันอยู่เลยมาสักหน่อย ไม่รู้ว่าจะทำใมห้งงกันเพิ่มขึ้นหรือเปล่า เห็นว่างงกันที่ WACC ตรง E/P ส่วนเจ้ากบก็งงที่ ส่วนสินทรัพย์ที่มาจากหนี้สิน โดยปกติสินทรัพย์ดำเนินงานหลักของบริษัทอสังหาฯจะมาจากส่วนหนี้สิน โดยเฉพาะ "Inventory" โดยปกติในช่วงที่ดอกเบี้ยต่ำๆต้นทุนinventory (มีดอกเบี้ยอยู่ในนั้น ต้องแกะออกมาคิด cost of debt ด้วย) จะมีอยู่แต่ไม่สูง ทั้ง SPALIและ LH มีด้วยกันทั้งคู่ ส่วน WACCนั้นตามหลักสากลต้องใช้ CAPMคำนวณหา ซึ่งถ้าเป็นช่วงที่ Market Return มันติดลบ เราจะหา Risk premiumอย่างไง? สมมุติฐานของผมคือ PE คือ Expectationของตลาดโดยรวม และเป็นของที่เห็นๆ ถึง ในกรณีที่ตลาดไม่มีประสิทธิภาพ(YOYO) ซึ่งอาจทำให้ราคาของหุ้นที่PEต่ำ เมื่อกลับค่าออกมาแล้วE/Pจะสูง นั่นหมายความว่า ถ้าคนจะซื้อก็ต้องการเห็นหุ้นนั้นๆให้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับส่วนกลับของ PEนั้นเอง ถ้าต่ำกว่านั้นไม่เอา(หมายคนคิดเอามากกว่านั้น เสียอีก) ฉนั้นหุ้นที่ PEต่ำๆ ไม่ได้หมายถึงเป็นหุ้นที่ราคาถูก หรือถูกหลงลืม อย่างเดียว มันมีอะไรเป็นเหตุเป็นผลตามที่ไอ้ฮงมันยกมาอ้างตั้งหลายอย่าง ฉนั้นการจะบอกว่าหุ้นนี้PEต่ำ แล้วน่าจะมีโอกาสที่PEจะสูงขึ้น เราจะต้องเห็นการเปลี่ยนแปลงในด้านอื่นๆอีกหลายประเด็น แน่นอนว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงทางพื้นฐาน ในบางกรณีที่เราเห็นหุ้นที่พื้นฐานเชิงคุณภาพดีแต่ PEต่ำ และน่าจะมีPEสูงกว่านี้ และหุ้นนั้นเองแหละ Misprice แต่ปัจจัยพื้นฐานเชิงธุรกิจนั้นส่งเสริมหรือไม่? ถ้าปัจจัยพื้นฐานดี เดี่ยวตลาดจะทำหน้าที่ของมันเอง นายตลาดไม่ใช่คนที่ไม่มีเหตุผลตลอดเวลา แต่เขาก็เป็นคนที่ฉลาดเอามากๆ แต่ก็ขี้หลงขี้ลืมเป็นบางครั้ง ในกรณีนี้ผมใช้สมมุติฐานว่า SPALI มีPEที่ต่ำกว่า LH เพราะปัจจัยทางธุรกิจด้อยกว่า LH คนที่ลงทุนในLH ต้องการผลตอบแทนที่จะชดเชยความเสี่ยงที่เกิดขึ้นน้อยกว่า SPALI สิ่งนี้น่าจะสะท้อนความคาดหวังที่แท้จริงจากตลาดมากกว่า CAPM(ที่ยังมีคำถามกันอยู่ว่า มันworkจริงหรือ) ตอบคำถามไอ้ฮง ว่า WACCนั้นเกิดจากส่วนผสมของหนี้และทุน ของกิจการ เป็นการจัดโครงสร้างของเงินลงทุนในสินทรัพย์ ผู้บริหารมักจะใช้ประโยชน์จากการก่อหนี้(leverage)ในช่วงที่ดอกเบี้ยต่ำ ถ่วงเงินทุนจากส่วนผู้ถือหุ้นลงมา แต่ก็ต้องอยู่ในสัดส่วนที่ไม่เสี่ยงจนเกินจุดที่จะทำให้ WACC กลับมาสูงได้ ฉนั้นการที่ WACCต่ำ คือมีต้นทุนทางการเงินต่ำ เอาไปลงทุนในโครงการที่ให้ผลตอบแทนแล้วมีส่วนต่าง ไม่ได้หมายความว่าผู้ลงทุนมีต้นทุนต่ำ(ผู้ลงทุนก็มีต้นทุนเท่าเดิมนั่นแหละ แต่ E/Pจะบอกว่า ได้ขนาดนี้นะ จะเสี่ยงไหม?) แต่บริษัทจัดโครงสร้างทางการเงินให้ต่ำเพื่อรับประโยชน์ในช่วงใดช่วงหนึ่ง อนึ่ง หากเราไปเปิดตำราของ Damodaran เราจะเห็นการพิสูทธ์สุตรการคำนวณ DCF และมีการพิสูทธ์ให้เห็นว่า PEก็อยู่ในสมการDCFด้วย ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ เกิดจาก Market Expectation PEก็เอามาจาก Market Expectation กลับหัวกลับหางก็ตัวเลขเดิม ตลาดมันบอกอย่างนี้ ก็คำนวณไปตามนั้น เมื่อตัวเลขมันออกมาตามนั้นก็วิเคราะห์ไปตามนั้น มิได้มุ่งจะไปทำให้ใครเสียหาย พึ่งสังเกตว่าหุ้นใด PEสูง และถ้าพื้นฐานไม่ได้เปลี่ยนแปลงเด็ดขาด PEก็จะยังคงสูงกว่าชาวบ้านเขาอย่างนั้น หุ้นใดที่PEต่ำและพื้นฐานไม่ได้ดีขึ้นในระยะยาว PE อาจจะสูงขึ้นแต่ชั่วคราว ทั้งหมดเป็น Expectationจากตลาดโดยรวมฃ ช่วงนี้ไม่ค่อยว่างครับ ทำMega Projectอยู่ ขนาดหุ้นก็ยังเอาไปให้ผจก.กองทุนดูแลให้ ดังนั้นจึงนานๆที่จะได้เข้ามาคุย แนวคิดนี้นอกตำราครับ หาอ่านไม่ได้หรอก ต้องคิดให้เหมือนผมก่อนจะเข้าใจ คิดต่างจากผมก็ไม่ผิด มันต้อง ซ.ต.พ. จริงไหมไอ้ฮง โดย Mon money ศุกร์ ก.ค. 24, 2009 10:27 am

roe กับ pe ต่อเนื่องจากกระทู้ LH มีอะไรดีกว่าตัวอื่น เฉลยไปแล้วตอนสัมมนาบัญชีเมื่อวันที่ 11-12ที่ผ่านมา เรื่องมันยาว อธิบายไปเกือบสองชั่วโมง คนไปเรียนครั้งนั้นรู้ทุกคนครับ โดย Mon money ศุกร์ ก.ค. 17, 2009 10:11 pm

ขอถามคุณ mon money หน่อยครับ ไม่อบรมแต่ขอถามอย่างเดียวได้ไหมครับ :P โดย Mon money ศุกร์ ก.ค. 10, 2009 9:20 am

ขอถามคุณ mon money หน่อยครับ Derivertive มีมากมายหลายรูปแบบ ที่คุณเห็นในบ้านเราคือ Future, Option ในต่างประเทศมีแยอะแยะ Future, Option, Swap, etc. สัญญาอนุพันธ์ทั้งหลายใช้ Marginซื้อครับ นั้นคือวางเงินแค่10% ซื้อสัญญามูลค่า 100% ฉนั้นยิ่งธุรกรรมของอนุพันธ์มากขึ้นเท่าใด วงเงินสัญญาจะเพิ่ม10เท่าตัวเสมอ แต่พอSettlementกัน เขาจ่าย/รับกันที่ส่วนต่าง ตัวเลขที่เห็นจึงเป็นมูลค่า ฉนั้นห้ามมีมูลค่าลดลงเด็ดขาด ถ้ามันลงก็อย่างที่เห็นนั่นแหละ...เละ Securitised debt ก้คือการขายหนี้ไปให้กับคนอื่น และให้คนอื่นไปตามถวงเอาครับ เห็นไหมว่า ไอ้กันมันทำอะไรก็เป็นเงิน คำถามสุดท้ายนี้ ผมก็ไม่ทราบว่าทำไม มันเป็นสถิติที่เขาเก็บมาและเอามาสร้างเป็นกราฟก็เห็นเป็นอย่างนั้น...และขอบอกว่าให้ดูเอานะ อาจไม่เป็นไปตามนั้นก็ได้ เอาหละ... พอแค่นี้นะ เรื่องพวกนี้ผมไม่ถนัด เพียงแค่รู้เท่านั้นเอง ถามมากก็ตอบไม่ได้ ผมอยู่ได้ทุกวันนี้ไม่ใช่เพราะ Timming ตลาดครับ ผมอยู่ได้เพราะหุ้นปันผลที่จ่ายเงินปันผลทุกปี และเติบโตต่อเนื่องครับ ของพวกนี้ผมแค่รู้และเอาไว้ใช้หาโอกาสลงทุนในของถูกๆ เป็นบางโอกาสครับ โดย Mon money พุธ ก.ค. 08, 2009 8:03 pm

ขอถามคุณ mon money หน่อยครับ เกี่ยวอะไรกับผมเนี่ย ผมแค่ไปปิดงานนะ แต่เอาเถอะ จากคลังความรู้ของผมพอจะมีมาบ้าง สูตรที่คุณว่านี้คงเป็นสูตรที่ในเอกสารเขียนว่า The Market Model : Ri = Alpha + Beta*Rm + Regression Error สูตรนี้ใช้หาหุ้นตัวที่น่าจะให้ผลตอบแทนดีกว่าตลาดในช่วงที่ตลาดอยู่นิ่งๆ ขึ้นลงไม่มาก ทั้งหมดนี้เป็นการนำเอาสถิติที่เกิดขึ้นมาแล้วมาใช้ระเบียบวิธีทางสถิติครับ ฉนั้น หากคุณจะคำนวณAlpha คุณต้องเอาสถิติมาคำนวณหาครับ ซึ่งไม่ง่าย คุณวิศิษฐ์ทำได้เพราะลูกน้องแยอะมาก ข้อมูลพร้อม ส่วน Regression Error นั้นคือ ส่วนที่ไม่คาดกวังว่าจะเกิดขึ้นจากเหตุการณ์ที่ไม่ได้คาดว่าจะเกิด ในที่นี้คือผลประกอบการที่ดีหรือแย่เกินคาด สูตรที่คุณเห็นนี้เกิดจากการศึกษาข้อมูลมากมายในอดีต สรุปออกมาเป็นสูตรดังกล่าว ถ้าอยากรู้ไปอ่านหนังสือ INVESTMENT แต่งโดย Bodie, Kane, Marcus หน้า292 แต่ก่อนจะอ่านเรื่องนี้เข้าใจ(ถ้าไม่ใช่นักคณิตศาสตร์ หรือนักการเงิน) ต้องเข้าใจเรื่อง Risk & Return, The Capital Asset Pricing Model, และ Asset Allocation และเมื่อคำนวณได้แล้วก็ไม่ได้หมายความว่าจะชนะตลาด คุณวิศิษฐ์ยังพลาดไปตั้ง 40กว่าจุดเลย พื้นฐานธุรกิจที่ต้องเข้าใจ งบการเงินที่ต้องตรวจสอบ เศรษฐกิจที่ต้องเฝ้าติดตาม ก็น่าจะพอสำหรับการลงทุนที่เกมาะสมกับเราแล้วครับ โดย Mon money อังคาร ก.ค. 07, 2009 8:43 pm

สาธารณูปโภครอตัดบัญชี คืออะไรเหรอคับ? น่าจะส่วนกลางที่รอโอนออกไปที่นิติบุคคลของหมู่บ้านครับ พอโครงการเสร็จสิ้นโอนหมด บริษัทก็ไปแล้วครับ ลูกบ้านก็ตั้งนิติบุคคลมารับช่วงต่อ โดย Mon money อาทิตย์ มิ.ย. 28, 2009 10:20 pm

กลับรายการค่าเผื่อการลดลงของมูลค่าสินค้าคงเหลือ ??? มีการตั้งสำรองการเผื่อด้อยค่าของมูลค่าสินค้าคงเหลือเอาไว้ในปีก่อนๆ และทะยอยกลับค่ามันกลับมา(อยู่ที่เคยบอกว่ามีค่าน้อยลง ปีที่แล้ว และปีนี้มันมีค่ากลับมาที่เดิมครับ) บริษัทไหนครับ จะได้ไปเก็บเอามาเป็นกรณีศึกษา กลับด้อยค่ามามากกว่ากำไรเท่าตัว บริษัทนี้หากไม่มีค่านี้ขาดทุน 300กว่าล้านมาสองงวดแล้วครับ กำไรที่เห็นเกิดจากการกลับค่าตัวเลขที่ตั้งสำรองเอาไว้ โดย Mon money อาทิตย์ มิ.ย. 28, 2009 10:17 pm

roe กับ pe ต่อเนื่องจากกระทู้ LH มีอะไรดีกว่าตัวอื่น ทำไมไม่มาUpdateหน่อยละ อยากรู้ว่าหุ้นอสังหาฯที่กล่าวมาเนี่ย มี ROA กับ Profit Margin เท่าไร เดี่ยวจะบอกให้ว่าทำไม PEไม่เท่ากัน โดย Mon money จันทร์ มิ.ย. 22, 2009 10:04 pm

หุ้น 10 เด้งวันนี้ยังมีอยู่ไหม? ผมคิดว่ายังมีอยู่ครับ(เฉพาะของผมก็2ตัว) ผมรอให้กาลเวลาพิสูจน์อยู่ครับ :lol: โทรมาบอกเฮียด่วน โดย Mon money พุธ มิ.ย. 17, 2009 9:13 pm

roe กับ pe ต่อเนื่องจากกระทู้ LH มีอะไรดีกว่าตัวอื่น [quote="hongvalue"]เฮียโยไม่โพสเรื่อง roe กับ pe ที่ link จาก dcf เหรอครับ ผมเปิดประเด็นให้ 1.ถ้าธุรกิจมีความเสี่ยงต่ำ โดย Mon money พุธ มิ.ย. 17, 2009 9:12 pm

**จิบเบียร์คิวหนึ่ง 29พค2552 ที่"กุ้งเต้นราชพฤกษ์** เห็นบอกคำถามละร้อย 10คำถามคุ้มพอดี ผมขอทุ่มตลาดหน่อย คำถามละ20บาท หยอดกระปุกเอาไปทำบุญ ใครอยากร่วมทำบุญมาถามผมได้  :lol: โดย Mon money จันทร์ พ.ค. 25, 2009 7:26 pm

**จิบเบียร์คิวหนึ่ง 29พค2552 ที่"กุ้งเต้นราชพฤกษ์** อ้าว ปิดจองแล้วเหรอ? เห็นว่าใกล้บ้านว่าจะไปเปิดตัวสักหน่อย ยังได้เปล่าเนี่ย? โดย Mon money ศุกร์ พ.ค. 22, 2009 9:20 pm

Coming back***คอร์สบัญชีพื้นฐานสำหรับนักลงทุน*** บัญชีพื้นฐานสำหรับนักลงทุน พื้นฐานก็ไม่จำเป้นต้องมีพื้นฐานมา และไม่ได้เรียนเป็นนักบัญชี เรียนไปอ่านงบการเงินให้เข้าใจ รู้ทันการแต่งงบการเงินเท่านั้น ความจริงปีนี้ไม่ว่างหรอก งานเข้าบานเลย รับงานที่ปรึกษานักลงทุนสัมพันธ์มาอีก รับงานวางแผนการเงินส่วนบุคคล วางแผนลงทุน ออม และวางแผนประกันชีวิต ประกันภัย งานของสมาคมส่งเสริมนักลงทุนไทยที่เป็นอุปนายก หากมีเวลาเหลือเดือนหน้า ก็พร้อมจะสอน หากไม่มีเวลาก็จะขอหยุดแหละครับ พอดีปิดต้นฉบับหนังสือ เรื่อง ปัจจัยขับดันราคาทอง เสร็จใหม่ๆ ของยังขึ้นอยู่ ถ้าคราวนี้ลงเรียนกันได้ ไอ้พรรณ ไม่เจ๊งไปก่อน จะสอนให้ครบชุดวิชาที่มี ถ้าอยากเรียน วิเคราะห์งบการเงิน จะมีปรับปรุงเนื้อหา เพิ่มเติมเพื่อเน้นวิเคราะห์ประสิทธิภาพของกิจการ แต่ก่อนจะเรียนเรื่องนี้ต้องผ่าน วิเคราะห์ธุรกิจก่อน โดย Mon money ศุกร์ พ.ค. 22, 2009 9:14 pm

Coming back***คอร์สบัญชีพื้นฐานสำหรับนักลงทุน*** เจ้าพรรณ มันบอกว่ามีคนมาขอให้จัดสัมมนา เห็นมีมาแค่คนเดียวเองเหรอ? ต้องยืนยันสถานที่กับทางโรงแรมภายในวันที่3 มิย.นี้ ถ้าไม่ถึงจำนวน ไม่ได้จัดแน่ ใครประสงค์จะเรียนก็รีบยืนยันให้ไวๆหน่อย ค่าเรียนสองวัน3000บาท ราคาถูกมากแล้ว ไม่มีใครเขาจัดกันหรอก ที่ผ่านมาก้มักจะมีคนมาลงชื่อจองไว้แล้วไม่มา คราวนี้ถ้าจองก็ขอให้แน่ใจว่ามาได้แน่ๆ อย่าจองเอาไว้ก่อน กรุณาโอนเงินให้เรียบร้อย ผู้จัดจะได้ทำงานได้สะดวกๆ เอาเวลาไปจัดเตรียมงาน และบริการพวกเราดีกว่าต้องให้คอยโทรตามกัน ถ้าเสียงตอบรับดี ก็จะเปิดเรื่อยๆ ถ้าเงียบๆไปก็เลิกเลยคราวนี้ โดย Mon money ศุกร์ พ.ค. 22, 2009 9:21 am

งบการเงินบอกอะไรเราบ้างครับ เสี่ย ม. โดย Mon money อังคาร มี.ค. 24, 2009 8:32 pm

งบการเงินบอกอะไรเราบ้างครับ ไม่ได้หายไปไหนหรอก อ่านอยู่บ่อยๆ เห็นกระทู้ไหนตอบแล้วมีประโยชน์ก็ตอบ กระทู้ไหนไม่น่าตอบก็ผ่านๆไป อยากให้มาตอบบ่อยๆก็ถามอะไรที่น่าตอบซิครับ :lol: โดย Mon money อาทิตย์ มี.ค. 22, 2009 8:26 pm

งบการเงินบอกอะไรเราบ้างครับ บอกถึงสถานะทางการเงินของกิจการ บอกถึงความสามารถในการทำกำไร บอกถึงการดำเนินกลยุทธ์ของกิจการ บอกถึงความสามารถของผู้บริหาร บอกถึงกำไรที่แท้จริงของบริษัท บอกอะไรอีกมาก... โดย Mon money ศุกร์ มี.ค. 20, 2009 10:27 am

เงินเฟ้อ ขึ้น 2 หลัก แล้วตลาดหุ้นจะพัง นั่งอ่านมานาน เห็นเจ้ามิฯนี่แหละที่ตอบเข้าทางที่สุด ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า "เงินเฟ้อ" คืออะไร? เงินเฟ้อคืออาการที่ข้าวของแพงขึ้นต่อเนื่อง ทำให้เงินที่มีอยู่นั้นมีค่าน้อยลง เงินเฟ้อมีสองอาการอย่างที่เจ้ามิฯบอกนั่นแหละ 1 เกิดจากความต้องการ(Demand Push) เงินเฟ้อแบบนี้เกิดอยู่ตลอดเวลา เกิดขึ้นทีละนิละหน่อยตามการเติบโตของเศรษฐกิจ หากรัฐฯไม่ออกนโยบายการเงินมายุ่งเกี่ยวมากนัก เงินเฟ้อชนิดนี้จะไม่น่ากลัว เพราะรัฐฯต้องการให้มีเงินเฟ้ออ่อนๆประมาณ 3-5% เพื่อให้เศรษฐกิจค่อยๆโต แต่หากมีการไหลเข้าของเงินทุนจากภายนอก ทำให้ปริมาณเงินในประเทศเพิ่มสูงขึ้น ก็เกิดเงินมากกว่าข้าวของ คราวนี้เงินเฟ้อจะสูงได้เช่นกัน ถ้ารัฐฯไม่ทำอะไรเดี๋ยวจะเกิดการเก็งกำไร ฟองสบู่จะตามมา เรื่องนี้ก็น่ากลัว 2 เกิดจากราคา (Cost Push) เงินเฟ้อแบบนี้เกิดจากราคาปัจจัยการผลิตปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ส่วนมากจะเป็นราคาพลังงาน เงินเฟ้อแบบนี้คุมยากเพราะเป็นปัจจัยที่เกิดทั้งโลก อย่างในบ้านเราเงินเฟ้อปรับตัวรุนแรงมากเมื่อราคาน้ำมันปรับขึ้นปีก่อนขึ้นมาราวๆ9% เงินเฟ้อนี้มักใช้นโยบายการเงินควบคุม นั่นคือดอกเบี้ย ปัญหาคือผู้กำหนดนโยบายมักจะใช้มาตรการการเงินแบบผ่อนคลายในระยะแรกๆเพื่อไม่ให้Demandหดตัวอย่างรุนแรง แต่ปัญหาก็คือการกำหนดนโยบายมักตามเงินเฟ้อ จนเห้นว่าเอาไม่อยู่แล้ว(เห็นทีไรก็ขึ้นไปเกือบ10%)ก็มักจะเอาดอกเบี้ยมากดให้อยู่หมัด แน่นอนตามมาด้วยความต้องการหดตัวรุนแรง วิกฤติก็เกิดมาดังที่เห็นนั่นแหละ สิ่งที่มันเชื่อมโยงกันมีแยอะมาก การจะรู้และเข้าใจต้องศึกษาให้ละเอียด ศึกษากันเป็นเรื่องๆไม่ได้หรอก โดย Mon money ศุกร์ มี.ค. 20, 2009 10:23 am

ผลประกอบการ5ปีแบบนี้แต่ราคาไม่ไปไหน(เลียนแบบเซียนลูกอิสาน) นริศ เอา ROA กับ Cash flow มาดูหน่อยดิ Inv. Turnover, A/R และ A/P Turnover เท่าไร? โดย Mon money จันทร์ ส.ค. 11, 2008 10:44 pm

เปิดสอนบัญชี E-mailบางคนส่งกลับไม่ได้ ติดต่อไม่ได้ หลายคนไม่ส่งการบ้าน พรุ่งนี้เป็นวันสุดท้ายแล้ว ตกลงจะเอาอย่างไง? เห็นว่าอยากเรียนกันตั้งแยอะพอเอาเข้าจริงๆหายเรียบ เป็นอย่างนี้ทุกที ผมรู้ว่าพื้นฐานแต่ละคนต่างกัน ต้องใช้วิธีเรียนต่างกัน แต่ถ้าเงียบกันอยู่อย่างนี้คนสอนจะรู้ไหม? ว่าใครจะต้องเรียนต้องสอนอย่างไร? เอาแบบป้อนเข้าปาก ผมไม่ทำแล้ว ไม่ได้ประโยชน์ เสียเงิน เสียเวลา ใครชอบมานั่งฟังเก็บเล็กเก็บน้อย เอาแบบสบายๆ รอไปเสียเงินเรียนแพงๆเถอะ งานที่ให้ทำไม่ได้ต้องการงานที่ดีเลิศ ผมต้องการเห็นความตั้งใจ ความพยายาม พื้นฐาน ของแต่ละคน ทำได้ก็รีบส่ง ทำไม่ได้เพราะอะไรก็รีบบอกมาไม่ต้องอาย การเรียนที่มีประสิทธิภาพที่สุดคือการหาความรู้ด้วยตัวเอง ติดขัดตรงไหนมาถาม โดย Mon money พุธ ก.ค. 30, 2008 11:02 am

อย่างตอนนี้เรียกว่า ตลาด crash ใช่หรือไม่ครับ ตอนนี้ตลาดกำลังปรับตัวตามความคาดหวังของคนกลุ่มหนึ่ง(คนขายหุ้น) ผมไม่รู้หรอกว่าจะปรับลงไปแค่ไหน ตอนนี้ผมเห้นว่าเป็นช่วงตะลุมบอน ฝุ่นตลบ เมื่อความไม่แน่นอนยังมีอยู่ คนจึงมีแรงจูงใจให้ลดความไม่แน่นอนลงโดยยังไม่ได้ดูปัจจัยอื่นๆ รออีกสักหน่อยจะเห็นว่ามีอะไรดีๆเหลืออยู่เอง ถามว่าCrashหรือไม่นั้น ยังตอบไม่ได้ แต่ถ้าถามผมจากใจคือใช่แล้วละ และผมเชื่อว่าจะลงอีกมาก เพราะผลตอบแทนตอนนี้ต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อมากจริง มันคงจะต้องปรับราคาลงไปจนถึงจุดที่ผลตอบแทนกับความเสี่ยงสมดุลย์กัน สำหรับเราก็คอยดูว่าหุ้นบริษัทไหน Adjust inflationได้ และมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงพอที่จะสู้กับInflationได้เป็นอย่างน้อย ของดีและของไม่ดีจะปรากฎในไม่นานนี้ครับ หน้าที่เราเลือกเอาเอง โดย Mon money เสาร์ ก.ค. 19, 2008 10:17 am

ใครมี excel การคำนวน Free cash flow และ discount cash flow ที่ขอๆกันไป ใช้งานกันได้ไหมครับ กลับมาเล่าให้ฟังหน่อยซิ โดย Mon money พฤหัสฯ. ก.ค. 17, 2008 7:37 pm

ชวนคุย [quote="por_jai"]:8) แหมทุกเสียงบอกว่าต้องถือต้องซื้อเพิ่ม โดย Mon money พฤหัสฯ. ก.ค. 17, 2008 11:22 am

เปิดสอนบัญชี จริงๆก็ไม่อยากเห็นใครผิดหวังหรอกนะครับ เอาอย่างนี้แล้วกัน หลังจากวันที่21 นี้ ท่านที่ตอบคำถามมาทั้งหมด และยังสนใจจะเรียนให้ส่งE-mail มาหาผม แต่ต้องหลังวันที่21 ก่อนนะ ผมจะจัดเป็นอีกชุดหนึ่งเรียนตามหลังชุดแรกประมาณ 2 ครั้ง ผมว่าผมคงได้ชุดแรกมาช่วยบ้างแล้วละ โดย Mon money พุธ ก.ค. 16, 2008 9:15 am

เปิดสอนบัญชี ที่แรกเลยก็ว่าจะตอบทาง E-mail แต่นับดูแล้วคงตอบไม่ไหวแน่ เลยขอประกาศตรงนี้เลย ตามที่ประกาศไว้ว่ารับแค่20 คนนั้น ผมเลือกได้ยากจริงๆ พยายามเลือกแบบไม่ให้มีBiasที่สุด ผมเลือกได้ 30คน เชื่อว่าจะมีคนสละสิทธิบ้าง อย่างไรก็ตาม จะมาหรือไม่มาผมขอประกาศไว้ว่าท่านผ่านการคัดเลือก ส่วนท่านที่ไม่มีชื่อปรากฎ ก็ไม่ต้องเสียใจ เสียดาย รออีกไม่นาน จะได้เรียนครับ ประกาศรายชื่อผู้ได้รับคัดเลือก ดังนี้ krisy niphon55 paul_n Samaha Bport Anakinnet noppakung 911 Mrj052 densin นะโม Jung_oh earthcu mac69 kanakum fujung koppakhun wormhole nuttipol cantona_z foobar viewview koei Teathink nadeandw Value_indy auspicja noooon010 sutee-luck alongkot2507 Weerayuth RONNAPUM สำหรับท่านที่ปรากฎนามแฝงข้างบนกรุณาส่ง ชื่อ นามสกุล ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ และ E-mail Address มาที่ [email protected] ภายในวันที่ 21 กรกฎาคม ผมจะส่ง Link ไปให้ โดย Mon money อาทิตย์ ก.ค. 13, 2008 9:02 pm

ROIC กับการวัดประสิทธิภาพของการบริหารการดำเนินงาน Mon money wrote: Adjusted Fixed assets คือการแยกเอาเฉพาะสินทรัพย์ถาวรที่ใช้ดำเนินงานมาคิด ถ้าดูในงบการเงินต้องดูให้ดีๆ บางที่มีสินทรัพย์แต่Off-Balance sheetอยู่ต้องเอามาคิดด้วย สินทรัพย์แต่Off-Balance sheet นี่เป็นประเภทสัญญาเช่าระยะยาวหรือเปล่าครับ ที่ต้องปรับจากค่าเช่าเป็นสินทรัพย์แล้วหักค่าเสื่อมแทน... สัญญาเช่าทางการเงิน ที่พยายามทำให้เป็นสัญญาเช่าดำเนินงาน ตัวนี้ไม่บันทึกสินทรัพย์ หนี้สิน Mon money wrote: Adjusted working Capital คือการเอาworking Cap มาคิด โดยหักเอาหนี้สินระยะยาว และหนี้สินที่ไม่มีภาระดอกเบี้ยออก คือ Current Asset - Current Liability - หนี้สินทั้งหมด (ทั้งสั้นและยาว) ที่ไม่มีภาระดอกเบี้ยใช่ไหมครับ ว่าแต่ทำไมต้องลบหนี้สินระยะยาวด้วยล่ะครับ เอา CA - CL ก็พอ เพราะหนี้สินระยะยาวมันไปสะท้อนใน Fixed Assets แล้ว ในกรณีWorking cap. คือเงินทุนหมุนเวียน ใช้เงินกู้ระยะสั้น หรือ เงินที่Supplierให้มาใช้ก่อน รบกวนถามพี่มนนะครับว่า ถ้าสมมุติเป็นกิจการที่เงินทุนหมุนเวียนหลักๆมาจากการปล่อยบัญชีของ supplier ตัว Adjusted working cap ควรเอาหนี้สินในส่วนที่ไม่มีภาระดอกเบี้ยกลับมาคำนวนรวมด้วยหรือเปล่าครับ คิดเล่นๆครับ มันเป็นข้อได้เปรียบของบางอุตสาหกรรม กรณีอย่างนี้ working cap. ติดลบ ทำให้ operating Assets ลดลง หากNOPATสูง ROICก็สูง แถม WACC ต่ำอีกเพราะได้ Free rideจาก supplier  ส่วนคำถามนี้ ถ้าคิดว่า สินทรัพย์ = หนี้สิน + ทุน  ---หนี้สินที่ไม่มีภาระดอกเบี้ยได้ถูกคิดต้นทุนค่าเสียโอกาสลงในcost of goods soldไปแล้ว เอามาคิดอีกก็คิดสองรอบ ผิดถูกคิดเอาครับ โดย Mon money พฤหัสฯ. ก.ค. 10, 2008 9:51 am

ROIC กับการวัดประสิทธิภาพของการบริหารการดำเนินงาน Adjusted Fixed assets คือการแยกเอาเฉพาะสินทรัพย์ถาวรที่ใช้ดำเนินงานมาคิด ถ้าดูในงบการเงินต้องดูให้ดีๆ บางที่มีสินทรัพย์แต่Off-Balance sheetอยู่ต้องเอามาคิดด้วย Adjusted working Capital คือการเอาworking Cap มาคิด โดยหักเอาหนี้สินระยะยาว และหนี้สินที่ไม่มีภาระดอกเบี้ยออก ROIC จะเป็นแนวคิดเดียวกับ ROA คือทุนทั้งหมดที่ใช้ทำมาหากำไร(สินทรัพย์ทั้งหมดของกิจการ  = หนี้สิน + ส่วนผู้ถือหุ้น)  ROIC ใช้แนวคิดที่ว่าการดำเนินธุรกิจจะต้องใช้เงินทุนหมุนเวียน(working cap.) และสินทรัพย์ถาวรในการดำเนินงาน ดังนั้นถ้าไม่หา ROIC ก็หาROAก็ได้ แต่ROICจะทำให้เห็นภาพที่ชัดเจนกว่ามากกว่า ที่นี้เวลาจะดูว่าบริษัทดำเนินการได้ดีหรือไม่ ให้เอามาเทียบกับต้นทุนของเงินทุนหมุนเวียนและสินทรัพย์ถาวร นั้นก็คือ WACC ถ้า ROIC หรือ ROA สูงกว่า WACC ก็แสดงว่าทำมาหาได้มีผลตอบแทนสูงกว่าต้นทุนเงินทุน ถ้าออกมาน้อยกว่าถึงROIC หรือ ROA สูงก็ตาม ไม่ถือว่ากิจการสร้างมูลค่า เพราะหาผลตอบแทนได้ต่ำกว่าต้นทุนเงินทุน จะมองว่า ROIC เป็น Opering ROAก็ได้ เพราะใช้มุมมองในการคิดแบบoperating Base และ Financial base ROA จะเป็นแบบ Accounting base ซึ่งอยู่ในกรอบข้อจำกัดทางบัญชี ต้องมีการปรับให้เป็นแบบ Financial base จะดีกว่า โดย Mon money พุธ ก.ค. 09, 2008 7:04 pm

เปิดสอนบัญชี วันจันทร์หน้าท่านที่ตอบคำถามเข้ามาให้เข้าไปดูที่ PMของท่าน ทุกคนจะได้PMจากผม แต่คนที่ผมเลือกผมจะให้LinkไปDownload เนื้อหามาอ่านก่อน ส่วนท่านที่ไม่ได้ Link จะได้รับเหตุผลว่าทำไมผมตอบปฎิเสธ แต่ท่านไม่ต้องห่วง ว่าจะไม่ได้เรียน ได้เรียนแน่เพราะทุกท่านที่ตอบคำถามผมมา ผมถือว่าตั้งใจจริงๆ เห็นคุณค่าของการเรียนรู้ แต่ขอผมฝึกรุ่นแรกมาช่วยพวกท่านก่อน มีคนช่วยจะทำให้รุ่นหลังๆไปได้เร็วขึ้น ดีขึ้น และมีกลุ่มก้อนมากขึ้น โดย Mon money พุธ ก.ค. 09, 2008 6:45 pm

Re: ขอสมัครเรียนบัญชี อยากทราบว่าอ.มนจะตัดสินใจคัดเลือกผู้สมัครเมื่อไร ก็เลือกไปบ้างแล้วละ ละก็แจ้งเขาไปแล้วด้วย ผมยืนยันเอาแค่ 20คนครับ ส่วนท่านที่ต้องการจะมาอบรมแต่ไม่ได้รับเลือกกรุณาอย่าเสียใจ เสียความรู้สึก เพราะครั้งนี้ผมต้องการสร้างคนมาช่วยผมถ่ายทอดความรู้ต่อไป จึงเลือกมากหน่อย เพราะการสร้างคนไม่ง่าย คนสอนก็ต้องสอนให้ดี คนเรียนก็ต้องอดทน พยายาม ใฝ่รู้ ขยันเป็นพิเศษ ส่วนมากแล้ว พยายามตอบคำถามให้ได้ดีที่สุด ผมเชื่ออย่างนั้น คำถามของผมกว้างมากๆ และเป็นแบบปลายเปิด ไม่ได้ต้องการคำตอบแบบห้วนๆ ผมต้องการเห็นความตั้งใจจริง คนที่ผมเลือกนี้ส่วนหนึ่งจะกลับมาช่วยกันแบ่งปันความรู้ให้พวกท่านภายในเวลาไม่นานจากนี้ไป ผมสัญญา.... โดย Mon money ศุกร์ มิ.ย. 27, 2008 11:19 am

บทความ Venture Capitalists ประเมินโอกาสในการลงทุนอย่างไร? ว่าแต่หนังสือพี่มนเล่มใหม่เมื่อไหร่จะออกครับ ไม่อยากบอกว่า ตั้งหน้าตั้งตารอเหมือนรอแฮรี่เลยนะพี่ :P อ่านแฮรี่ไปก่อนเถอะ ต้นฉบับเสร็จนานนมเนแล้ว แต่ไม่อยากส่งพิมพ์...กลัวขายดีเกินไป ได้เวลาปัดฝุ่น value chain แล้วสิเรา ไม่มี'ไรมากหรอก common senseทั้งนั้น ขอเพียงให้รอบครอบเข้าไว้ ดูให้ครบก็พอ โดย Mon money พุธ มิ.ย. 25, 2008 7:48 pm

บทความ Venture Capitalists ประเมินโอกาสในการลงทุนอย่างไร? ซื้อมาอ่านครับ น่าจะฉบับ 1 Dec. 2004ครับ ถ้าซื้อทั้งเล่มมาอ่านตกเล่มละ พันกว่าบาท ถ้าอยากอ่านเป็นเรื่องๆที่เราสนใจไปซื้อจาก HBR web siteได้ครับ เรื่องละ 6.20 USD(200 กว่าบาท) หรือถ้าอยากประหยัด อ่านแบบสรุปเป็นภาษาไทย รออ่านที่ผมเขียนก็ได้ โดย Mon money พุธ มิ.ย. 25, 2008 10:59 am

การเล่นหุ้นเก็งกำไรเป็นการทำบาป? นักเก็งกำไรไม่ใช่คนบาปหรอกครับ ไม่มีพวกเขา ตลาดไม่มีสภาพคล่องแน่นอน ทุกคนทำหน้าที่ของเขาโดยไม่รู้ตัว โดย Mon money อังคาร มิ.ย. 24, 2008 11:28 pm

เปิดสอนบัญชี ผมคงรวยมากแน่ๆเลย มีแต่คนจะมาเรียน :lol: เพื่อไม่ให้คนอยากจะมาเรียนมากไป ฉนั้นใครอยากเรียนกรุณาตอบคำถามผมก่อนว่า "เรียนอะไร? เอาไปทำอะไร? และเชื่อไหมว่าเรียนแล้วจะเอาไปใช้งานได้จริง" ผมสังเกตุเห็นว่า พวกเรามีอะไรก็มักจะแห่แหนมาจองๆกันเอาไว้ก่อน โดยไม่ได้มีจุดประสงค์ที่แน่ชัด คือมีอะไรก็ไม่รู้แหละ เอาไว้ก่อน ฉนั้นคนที่ไม่รู้ว่าจะได้อะไรไปก็ไม่น่าจะต้องมาเรียน เพราะเสียเงินเสียเวลาของท่านเอง ผมรับ20คน และจะคัดจากคำตอบข้างบน ชอบใจอันไหนจะติดต่อคนนั้นไป ขอคุยด้วยอีกที ได้เท่าไรเอาเท่านั้น ไม่ได้ก็ไม่สอน ไม่ใช่เล่นตัว แต่ต้องการผู้ที่มีความต้องการอย่างแท้จริง และรับรองว่าผมจะไม่รับเงินจากการอบรมครั้งนี้สักบาทเดียว ฉนั้นจึงเรื่องมากหน่อย ใครหมั่นไส้ก็ขออภัยมาณ ที่นี้ด้วย โดย Mon money อังคาร มิ.ย. 24, 2008 1:58 pm

เมื่อไหร่ บ. พวกนี้ ถึงจะถูก delist เหรอครับ ธนาคารเขาดูว่ามีปัญญาจ่ายต้นและดอกหรือไม่ครับ ถ้ามีคุรจะขาดทุนก็ไม่ว่าหรอก แต่เห็นท่าไม่ดี พวกจะจัดการก่อน งบการเงินจัดการได้หมดแหละครับ หากอยู่ในกรอบ ไม่มีใครทำอะไรได้หรอก แต่เชื่อไหมบริษัทนี้ถ้าเสนองบการเงินขาดทุนอย่างนี้สรรพากรคงจะจัดการอะไรบางอย่างไปนานแล้ว ในงบอาจขาดทุน แต่น่าจะมีการจ่ายภาษี ผมไม่รู้ว่าบริษัทอะไรจึงไม่ได้ไปดูให้ โดย Mon money อังคาร มิ.ย. 24, 2008 1:45 pm

ข้อจำกัดของวิชาบัญชี...ที่ท่านยังไม่รู้จัก ขอบคุณพี่มนมากค่ะที่ชี้แนะและให้กำลังใจคนขี้เกียจอย่างเรา เราชอบคิดว่าอยากจะวิเคราะห์เชิงลึกกับหุ้นตีแตกสักตัว แต่ที่ผ่านมา นอกจากตีไม่แตก ไม้ตียังบิ่นอีก จะเอาไปลองต่อยอดดูนะคะ และจะพยายามขยันมากกว่านี้ค่ะ ก็แสดงว่าเป็นสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ชอบ ปกติคนมักจะชอบทำอะไรบางอย่างเป็นงานอดิเรก และชอบทำโดยไม่ลืมหูลืมตา ตั้งใจทำมากกว่างานปกติ เพราะมีความสุข สนุกในการทำ คุณอาจจะเหมาะกับการใช้ข้อมูลที่ผ่านการวิเคราะห์มาบ้างแล้วก็ได้ แต่สิ่งที่ขาดไม่ได้คือความรู้ความเข้าใจในการวิเคราะห์ข้อมูล อันนี้ขี้เกียจไม่ได้  :wink: โดย Mon money อังคาร มิ.ย. 24, 2008 1:40 pm

ว่าด้วยเรื่อง Five Force Model คู่แข่งหรือครับ มีแน่นอน และน่ากลัวเสียด้วย JET BLUE ไปหาดูเอาเอง เห็นการวิเคราะห์แล้วครับ ผมว่าเราขาด คนร่วมกันคิดมากกว่านะครับ ผมเริ่มก่อนก็ได้ ผมเห็นว่าการวิเคราะห์supplierหายไปอย่างหนึ่ง คือ พนักงาน และสำคัญมากในธุรกิจนี้ เพราะเครื่องบินบินเองไม่ได้ครับ โดย Mon money อังคาร มิ.ย. 24, 2008 1:35 pm

เปิดสอนบัญชี โลกนี้ไม่มีอะไรฟรีแน่นอน ท่านทั้งหลาย ใครก็ตามที่สนใจจะเรียน ผมยินดีสอน แต่.......... ผมไม่เอาเงิน แต่อยากได้อาสาสมัครจากผู้ที่มาเรียน เพื่อเป้าประสงค์ของผมคือจะทำโรงเรียนนักลงทุน ฉนั้นสิ่งที่ต้องทำคือผมจะต้องมีผู้ที่มีควาสามารถ ใจสู้ เอาจริงๆ และสำคัญต้องมีเวลาให้ มาช่วยผมทำCase และช่วยRun workshop เพื่อสร้างกลุ่มนักวิเคราะห์อิสระที่ไม่ขึ้นกับสำนักใดๆ ไม่มีผลประโยชน์ขัดแย้ง นักวิเคราะห์ของโรงเรียนจะไม่ให้ราคาเป้าหมาย ให้แต่เพียงข้อมูล อุตสาหกรรม กลยุทธ์ธุรกิจ สถานะทางการเงินของบริษัท และมุมมองต่ออนาคตของอุตฯและบริษัทนั้นๆ เรียกได้ว่า จะเป็นผู้รวบรวมและเรียบเรียงข้อมูลพร้อมใช้งาน ให้แก่นักลงทุนผู้สนใจ.....แน่นอนใครจะใช้ข้อมูลจะต้องเสียค่าสมาชิก..........เอาค่าสมาชิกมาเป็นผลตอบแทนอาสาสมัคร และเก็บไว้ใช้ดำเนินงานของโรงเรียนต่อไป ทำไมต้องเก็บค่าสมาชิก 1) มีความรู้อีกหลายอย่างที่จำเป็นต้องใช้วิทยากรจากภายนอกมาถ่ายทอดให้ ต้องจ้างเขามาสอน และค่าจ้างไม่ถูก ต้องใช้ทุนในการหาข้อมูล ความรู้มาเพิ่มเติมตลอดเวลา 2) ผมต้องการทำให้โรงเรียนเติบโตและมั่นคง จำเป็นต้องแสวงหากำไร ไม่งั้นอาสาสมัครแรกๆจะทำเอาความรู้ เอาสนุก พอเบื่อก็เลิก ผมอยากจ้างเอาไว้เลย เพราะกว่าจะฝึกได้ก็ใช้ทรัพยากรไปไม่น้อย 3) พอผมเลิก ก็จะมีคนมาRun ต่อ ไม่ขาดช่วง คงจะเป็นอีกโครงการหนึ่งที่ผมจะขอทำให้กับสังคมนักลงทุน ความภูมิใจของผมคือสร้างสังคม TVI และคิดว่าอยู่มาได้จนถึงบัดนี้ก็นับว่าสำเร็จไปแล้ว พอถึงวันนี้ผมรู้สึกว่าน่าจะทำให้ได้ดีกว่านี้อีก ผมจึงคิดทำโรงเรียน และทำครั้งนี้คงเป็นโครงการสุดท้ายแล้ว เพราะแก่แล้ว(บอกพี่พอใจว่าจะเลิกทุกอย่างตอนอายุ45 นี่ก็เหลืออีก 6 ปี) ถ้าไม่สำเร็จก็ถือว่าได้คิด และลงมือทำแล้ว โดย Mon money จันทร์ มิ.ย. 23, 2008 9:01 am

ว่าด้วยเรื่อง Five Force Model [quote="sisacorn"]ในการวิเคราะห์บริษัทที่เราจะลงทุนเราควรให้น้ำหนักกับการวิเคราะห์ด้วย 5 Forces อย่างไรครับ ผมรู้สึกว่าผมกำลังหลงทาง หรือเปล่า ถ้าผมใช้ 5 Forces ในการวิเคราะห์อุตสาหกรรม ของบริษัทที่เราจะลงทุนแล้วผลที่ได้ อ่อนในทุก ๆ ด้าน เลยตัดสินใจไม่มองบริษัทในอุตสาหกรรมนั้น แต่พอลองมาอ่านกระทู้นี้ดี ๆ ผมกลับได้มุมมองว่า 5 Forces เพียงกรองอุตสาหกรรมนั้น ๆ ในชั้นหนึ่ง ทำให้ได้ผลว่า อุตสาหกรรมใดน่าลงทุน แต่ไม่ได้ให้คำตอบว่าบริษัทในอุตสาหกรรมนั้น น่าลงทุนหรือไม่ ในอุตสาหกรรมที่มีแรงดึงของ 5 Forces อย่างรุนแรง กลับอาจมี บริษัท ที่โดดเด่น ดังนั้นการที่จะวิเคราะห์บริษัทเราดึง โดย Mon money อาทิตย์ มิ.ย. 22, 2008 10:40 am

ข้อจำกัดของวิชาบัญชี...ที่ท่านยังไม่รู้จัก เข้าใจค่ะว่าพี่มนอยากได้อะไร พี่ช่างคิดและขยันมากมาก เราอาจจะเป็นตัวอย่างของใกล้เกลือกินด่าง โดย Mon money อาทิตย์ มิ.ย. 22, 2008 10:32 am

ว่าด้วยเรื่อง Five Force Model จากประสบการณ์อ่านจาก 56-1 แล้วยังไม่ครบ ต้องคุยกับผู้บริหารถึงกลยุทธ์จึงจะพอปะติดปะต่อได้ โดย Mon money ศุกร์ มิ.ย. 20, 2008 9:32 am

ข้อจำกัดของวิชาบัญชี...ที่ท่านยังไม่รู้จัก ไม่แน่ใจว่าพี่มนหมายถึง cash basis ในการจัดทำรายงานทางการเงินหรือเปล่า แต่การใช้เกณฑ์เงินสดในการจัดทำงบการเงินนั้น บางครั้งจะทำให้เกิดความหวือหวาในการรับรุ้รายได้และค่าใช้จ่าย ratio ต่างๆอาจจะใช้ไม่ได้ผล เพราะไม่รู้ว่าปีปกติเป็นแบบไหน เปรียบเทียบกันก็อาจไม่ทราบว่าธุรกิจเป็นยังไง เพราะทุกปีกำไรเงินสดแปรเปลี่ยนไปโดยมีเหตุผล support ทั้งนั้น เช่นพวกที่รับรู้รายได้แบบ unearned revenue ตาม accrual basis ก็ทยอยรับรู้ไปเรื่อยๆ ถ้าเป็น cash basis ก็รับรู้ไปตูมเดียว ปีไหนไม่มีก็จะไม่มีรายได้เข้ามาเลย เกิดขาดทุน แบบนี้เราจะวิเคราะห์กิจการยากขึ้นหรือเปล่า ไม่ใช่Cash Basicครับ แต่เราจะพยายามทำให้มันสะท้อนภาพการใช้ทรัพยากรอย่างใกล้เคียงที่สุด เช่น การหา ROA นิยามของมันคือ ผลตอบแทนจากสินทรัพย์ และสินทรัพย์นั้นมันก็คือเงินทุนทั้งเจ้าหนี้และผู้ถือหุ้น ดังนั้นถ้าเรามองมาการดำเนินงานนั้นเกิดจากการใช้สินทรัพย์ถาวร และเงินทุนหมุนเวียนร่วมกัน เวลาเราหา ROA เราก็ควรปรับสินทรัพย์ทั้งหมดให้ใกล้เคียงความเป็นจริงที่สุดโดย ปรับสินทรัพย์หมุนเวียน และหนี้สินหมุนเวียน ให้เป็น เงินทุนหมุนเวียน เอาไปรวมกับ สินทรัพย์ถาวร เป็นสินทรัพย์สุทธิ เพื่อหา ROA งงไหม? ถ้างง จะหาโอกาสทำสัมมนาแบบนั่งคุยล้อมวงกัน ผมทำมาหลายครั้งแล้ว มีน้องๆมาร่วงวง 10 -20 คนทุกครั้ง แชร์ค่าสถานที่และค่าอาหารกัน ประหยัดดี โดย Mon money ศุกร์ มิ.ย. 20, 2008 9:28 am

ข้อจำกัดของวิชาบัญชี...ที่ท่านยังไม่รู้จัก พี่ krisy ครับ ขอถามต่ออีกครับ โดย Mon money ศุกร์ มิ.ย. 20, 2008 9:20 am

ข้อจำกัดของวิชาบัญชี...ที่ท่านยังไม่รู้จัก x2 บางเรื่อง subjective ไปก็ไม่ดีนะครับ my 0.02 ลูกปูเอาข้างเดิน แม่ปูบอกให้เดินไปข้างหน้า ลูกปูก็บอกให้แม่ปูทำให้ดู แม่ปูก็ทำไม่ได้ ผมรู้แค่ว่าอ่านให้เข้าใจทำอย่างไง แต่ทำให้มันสมบูรณ์แบบนั้นผมก็ทำไม่ได้ ก็โลกมันถูกสร้างมาแบบนี้นี่นา คุณว่าไหม? โดย Mon money พฤหัสฯ. มิ.ย. 19, 2008 8:44 am

ข้อจำกัดของวิชาบัญชี...ที่ท่านยังไม่รู้จัก [quote=".^O-O^"]สวัสดีครับ โดย Mon money อังคาร มิ.ย. 17, 2008 11:03 am